หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา 408-409
บทที่ 408 เปิดเผย!
โดย
Ink Stone_Fantasy
ขณะที่หวังเป่าเล่อและจินตั้วหมิงกำลังมองแมงกะพรุนสีดำไปพร้อมๆ กับฟังร่างมายาอธิบายด้วยเสียงนุ่มนวล ไกลออกไปในทางช้างเผือกอันกว้างใหญ่ ห่างจากดาวอังคารและดวงอาทิตย์ แมงกะพรุนสีดำตัวหนึ่งที่คล้ายคลึงกับตัวที่อยู่ในศูนย์วิจับกำลังท่องไปในห้วงอากาศอย่างรวดเร็ว
แมงกะพรุนสีดำตัวนี้มีขนาดใหญ่โตมโหฬาร ใหญ่เกือบเท่าเรือบินอวกาศ หนวดมากมายของมันกวัดแกว่งไปมาขณะเคลื่อนตัวไปในอวกาศ ราวกับว่าจะทำให้เคลื่อนตัวได้รวดเร็วขึ้น มันดูเหมือนกำลังเคลื่อนตัวไปข้างหน้า แต่จริงๆ แล้วกำลังเปลี่ยนรูปร่างอย่างต่อเนื่อง!
แมงกะพรุนสีดำตัวนี้คือธาราจอมตะกละที่ร่างมายาสาวพูดถึง!
แม้ตอนนี้แมงกะพรุนจะมีสีดำสนิทจนไม่สามารถมองทะลุเข้าไปข้างในได้ แต่แท้จริงแล้วมีผู้ฝึกตนสามคนกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ภายใน!
ผู้ฝึกตนทั้งสามเป็นชายวัยกลางคนสีหน้าเคร่งขรึม เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเชี่ยวชาญด้านการฆ่าสังหารที่มือเปื้อนเลือดมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง โดยเฉพาะชายที่มีตะขาบสีแดงเกาะอยู่บนใบหน้า ราวกับว่ามันผสานเป็นหนึ่งเดียวกับร่างของเขา ตะขาบบนใบหน้าขยับตัวเป็นพักๆ ส่งผลให้ชายผู้นั้นดูน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก
พวกเขาแต่งกายต่างไปจากคนบนโลก ไม่ได้สวมชุดคลุม หากแต่เป็นเกราะลักษณะเหมือนเกล็ดดูมีอิทธิฤทธิ์บางอย่างแฝงอยู่ มีคลื่นพลังพวยพุ่งออกมาขณะที่ทั้งสามกำลังนั่งสมาธิอยู่ ระรอกคลื่นเหล่านั้นถูกร่างของแมงกะพรุนปกปิดไว้ แต่จะสัมผัสได้อย่างชัดเจนเมื่ออยู่ภายใน และคลื่นพลังที่ว่านี้ก็รุนแรงพอที่จะกำราบผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในได้
ชายทั้งสาม…อยู่ในขั้นจุติวิญญาณ ซึ่งมีพลังเหนือชั้นกว่าเหล่าผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นใน!
ทันใดนั้นแมงกะพรุนที่กำลังเปลี่ยนรูปร่างอยู่ก็หยุดนิ่ง และปลดปล่อยคลื่นพลังออกจากร่าง ทำลายสะเก็ดดาวหางในเส้นทางจนสลายกลายเป็นผุยผง
แมงกะพรุนไม่ได้สนใจสะเก็ดดาวหางที่มันทำลายไปแม้แต่น้อย มันหยุดนิ่งอยู่กลางทางช้างเผือกชั่วครู่ ลำตัวไม่ได้เป็นสีดำอีกต่อไป มันเปล่งแสงสว่างสุกใสเรืองรองออกมาขณะที่กำลังปรับทิศทางของหัว ราวกับว่ากำลังหาอะไรบางอย่างอยู่
ในที่สุดเมื่อมันเลือกเส้นทางที่จะมุ่งหน้าไปได้ แสงหลากสีจากลำตัวก็ยิ่งเจิดจ้ามากขึ้น ตอนนั้นเองชายหนุ่มทั้งสามที่นั่งสมาธิอยู่ก็พลันลืมตาขึ้นพร้อมกัน เผยให้เห็นดวงตาที่มีสีแตกต่างจากคนบนโลก!
ดวงตาของพวกเขามีสีแดง และอาจเป็นเพราะสีของนัยน์ตา ที่ทำให้เมื่อทั้งสามคนลืมตา พลังอำมหิตรุนแรงก็พลันพวยพุ่งออกมา ชายหนุ่มคนหนึ่งในกลุ่มแลบลิ้นเลียริมฝีปากก่อนจะหัวเราะขึ้น
“ใครจะไปคิดกันว่าจะมีร่องรอยอารยธรรมเหลืออยู่ที่นี่…”
“เราลองไปดูกันดีไหม” อีกคนพูดขึ้นตาม ทั้งสองหันมองชายอีกคนซึ่งก็คือผู้ฝึกตนที่มีตะขาบสีแดงเกาะอยู่บนในหน้า
ชายหน้าตะขาบมีดวงตาสีแดงเข้มกว่าอีกสองคน เขายกมือแตะตะขาบบนหน้าเบาๆ ก่อนจะพูดขึ้นอย่างใจเย็น
“ลองไปตรวจสอบดู หากไม่มีผู้ฝึกตนระดับสูงเลยสักคนก็จงทำลายทิ้งเสียแล้วชิงเอาต้นกำเนิดดารามา ถ้ามีผู้ฝึกตนระดับสูงให้ดูสถานการณ์ก่อนและค่อยพิจารณาว่าจะจัดการอย่างไร!”
เมื่อเขาพูดจบ ชายอีกสองคนก็พยักหน้ารับ จากนั้นก็ปรับสภาพของแมงกะพรุนสีดำ ผ่านไปครู่หนึ่ง แมงกะพรุนสีดำที่หยุดนิ่งกลางอวกาศก็ออกทะยานไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว จุดหมายปลายทางของมันคือ…ระบบสุริยะ!
ในเวลาเดียวกัน ณ ศูนย์วิจัยระเบิดต้านทานวิญญาณบนดาวอังคาร หวังเป่าเล่อเลิกสนใจแมงกะพรุนสีดำในกำแพงโลหะ เขาหันมาสบตากับจินตั้วหมิง รู้สึกว่าพวกเขาได้เปิดโลกทัศน์ของตนไปอีกขั้น
แม้จินตั้วหมิงจะคิดว่าตนนั้นแสนรอบรู้เพียงใดก็ยังต้องตกตะลึงกับทุกสิ่งที่ได้เห็นในศูนย์วิจัยระเบิดต้านทานวิญญาณ ทั้งสองเดินตามหลังร่างมายาสาวเข้าไปในตัวศูนย์วิจัย
พวกเขาพบนักวิจัยแต่งกายในเครื่องแบบจำนวนมากระหว่างทาง เหล่านักวิจัยไม่ได้สนใจการมาของหวังเป่าเล่อและจินตั้วหมิงสักเท่าใดนัก แต่ละคนวิ่งวุ่นไปทั่ว ราวกับมีงานให้ทำมือเป็นระวิงจนไม่มีเวลาสนใจสิ่งรอบข้าง
ร่างมายาทราบมาว่าชายหนุ่มทั้งสองมาที่ศูนย์วิจัยเพื่อเยี่ยมชมภายในและเข้าพบเจ้าผินฟาง จึงไม่ได้นำทางมุ่งหน้าไปที่ห้องวิจัยหมายเลขสามในทันที แต่พาทั้งคู่ชมรอบๆ ศูนย์เริ่มจากห้องวิจัยหมายเลขหนึ่ง
ไม่นานหวังเป่าเล่อและจินตั้วหมิงก็มาถึงปลายทางเดินโลหะ เห็นพื้นที่ขนาดครึ่งหนึ่งของสำนักศึกษาเต๋าหมอกขุนเขาปรากฏอยู่เบื้องหน้า มีผู้คนมากมายอยู่บริเวณนี้ อีกทั้งยังมีเครื่องมือชั้นยอดหลายชิ้นที่หวังเป่าเล่อไม่รู้จักด้วย
ท่ามกลางข้าวของมากมาย สิ่งที่เตะตามากที่สุดคือตู้ผลึกแก้วขนาดยักษ์ที่ตั้งเรียงรายอยู่รอบๆ ตู้นั้นโปร่งใส มีเส้นรอบวงขนาดเท่าๆ กับช่วงแขนของคนสิบคน ตู้ใสตั้งติดกับพื้นและเพดานด้านบน ในนั้นเต็มไปด้วยของเหลวใสที่ใช้แช่ศพน่าตาน่าสะพรึงกลัว หวังเป่าเล่อตื่นตกใจไม่น้อยเมื่อได้เห็น!
ศพแต่ละศพดูน่าพรั่นพรึงยิ่งนัก ศพหนึ่งมีร่างกำยำแต่ไร้หัว บ้างก็มีตาตรงยอดอก มีปากตรงสะดือ มีหลายศพที่ครึ่งบนเป็นหญิงสาวแต่ครึ่งล่างเป็นงู!
มีแม้แต่มนุษย์เพลิงที่ลำตัวเป็นไฟแม้จะอยู่ในของเหลว รวมไปถึงสุนัขสามหัวตัวใหญ่ยักษ์
หวังเป่าเล่อเห็นกระทั่งมังกรมีปีก สิ่งมีชีวิตในตำนานของทวีปตะวันตก!
“นี่…นี่มัน…” หวังเป่าเล่อผุดคิดขึ้นว่าเขาอาจจะมาผิดที่ มือชี้ไปทางชายไร้หัว พลางหันมองตาค้างไปยังร่างมายาสาว
จินตั้วหมิงที่อยู่ข้างๆ ก็ตื่นตะลึงไปเช่นกัน แต่เขาเคยได้ยินเรื่องห้องวิจัยหมายเลขหนึ่งมาบ้างจึงยังพอสำรวมท่าทีไว้ได้
“ห้องวิจัยหมายเลขหนึ่งรู้จักกันในชื่อศูนย์วิจัยสิ่งมีชีวิตในตำนาน เป็นแหล่งศึกษาวิจัยสิ่งมีชีวิตตามตำนานที่ค้นพบบนโลก นอกจากนี้ยังมีการพยายามสร้างสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ขึ้นมาใหม่โดยใช้วิธีการเฉพาะของยุคกำเนิดวิญญาณ จะคิดว่าเป็นการชุบชีวิตก็ได้!
“มีแค่บางส่วนที่จัดวางไว้ที่นี่ โดยไม่ได้สุ่มคัดสรรจากหลายร้อยตัวของทางสหพันธรัฐ จริงๆ แล้วเราพบสัญญาณชีวิตของเทพในตำนานทุกตนที่อยู่ในนี้!”
หวังเป่าเล่อหายใจถี่ หัวใจเต้นระส่ำ ยังไม่ทันจะได้ชมรอบๆ จนทั่ว เขาก็รู้สึกราวกับว่าได้เปิดโลกใบใหม่แล้ว อีกทั้งยังคิดว่าตนเริ่มล่วงรู้ความลับมากมายของทางสหพันธรัฐ!
หลังจากได้เห็นทุกอย่างที่นี่แล้ว ชายหนุ่มก็ตระหนักว่าสิ่งที่ตนรู้เกี่ยวกับสหพันธรัฐเป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น!
แม้หวังเป่าเล่อจะเคยคาดเดาอะไรคล้ายๆ กันนี้มาก่อน แต่เมื่อได้มาเห็นกับตาตัวเองก็ยังรู้สึกตื่นตะลึงอยู่ดี
ชายหนุ่มยังคงอึ้งกับสิ่งที่ได้เห็น แม้จะออกจากห้องวิจัยหมายเลขหนึ่งมาแล้วก็ยังตัวสั่นจากความรู้สึกและอารมณ์ที่พวยพุ่งอยู่ภายในจนกระทั่งเดินไปถึงห้องวิจัยหมายเลขสองพร้อมจินตั้วหมิง
ทันทีที่ก้าวเข้าไป ความรู้สึกต่างๆ ก็พัดกระพือขึ้นมาอีกครั้ง ดวงตาของเขาเบิกกว้าง หากห้องวิจัยหมายเลขหนึ่งทำให้เขาได้พบสิ่งมีชีวิตในตำนานต่างๆ ห้องวิจัยหมายเลขสองก็ทำให้ชายหนุ่มได้เห็นความรุ่งเรืองของยุคกำเนิดวิญญาณ!
มีภูเขาลูกหนึ่งตั้งอยู่ในห้อง!
ภูเขาลูกนั้นตั้งอยู่ใจกลางของห้องวิจัยหมายเลขสอง ขนาดไม่ได้ใหญ่มาก สูงประมาณ 30 เมตร มีสีดำทั้งลูก ทว่าหากผู้ฝึกตนคนใดได้มาเห็น พลังปราณในกายของคนผู้นั้นจะพวยพุ่งออกมาอย่างควบคุมไม่ได้ ราวกับถูกดึงดูดอย่างรุนแรง หวังเป่าเล่อและจินตั้วหมิงเองก็เผชิญกับประสบการณ์ดังกล่าวเช่นกัน พลังปราณในกายพวกเขาปั่นป่วนอย่างควบคุมไม่ได้ จนเกือบจะหลุดลอยออกจากร่างกายไป
หัวของทั้งสองตื้อไปด้วยความคิดมากมายจนแทบระเบิด โชคดีที่ห้องวิจัยหมายเลขสองถูกสร้างขึ้นมาเป็นพิเศษ ร่างมายาสาวคาดไว้แล้วว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น นางยกมือขึ้นโบก พลันหวังเป่าเล่อกับจินตั้วหมิงก็สัมผัสได้ถึงแรงกดต้านที่ช่วยคุมพลังปราณของพวกเขาไว้
ผ่านไปครู่หนึ่งทั้งคู่ก็ปรับสภาพได้ พวกเขาหายใจถี่รัว ก่อนที่หวังเป่าเล่อจะทันได้พูดอะไร จินตั้วหมิงก็เอ่ยถามขึ้นอย่างรวดเร็ว
“หรือว่านี่จะเป็น…ต้นกำเนิดดารา”
“ต้นกำเนิดดาราหรือ” หวังเป่าเล่ออึ้งไป นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้ยินคำนี้ ชายหนุ่มหันไปมองภูเขาเบื้องหน้า หัวใจเต้นระส่ำจากความตื่นตะลึง เขาหันไปมองร่างมายาสาวเพื่อรอฟังคำตอบ
“การมาถึงของยุคกำเนิดวิญญาณทำให้ไม่ใช่แค่มนุษย์แต่สิ่งมีชีวิตทุกประเภทสามารถฝึกพลังปราณได้ ดวงดาราเองก็เช่นกัน ดวงดาราแต่ละดวงถือเป็นสิ่งมีชีวิตรูปแบบหนึ่ง และสิ่งที่เรียกว่าต้นกำเนิดดาราก็คือแก่นของดวงดารา เป็นสิ่งล้ำค่าในดวงดาวแต่ละดวง!
“น่าเสียดายที่ยุคกำเนิดวิญญาณยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น ทำให้มีต้นกำเนิดดาราที่เกิดจากดาวเคราะห์ในระบบสุริยะไม่มากนัก ที่ท่านเห็นอยู่คือส่วนหนึ่งของต้นกำเนิดดาราของดาวอังคาร!”
ร่างมายาสาวอธิบาย หวังเป่าเล่อยังใจเต้นไม่หยุด เขาอยากจะพูดอะไรออกไป ทันใดนั้นก็ต้องตกใจเมื่อสัมผัสได้รางๆ ว่ามีสิ่งมีชีวิตบางอย่างอยู่ภายในต้นกำเนิดดารา!
“มีอย่างอื่นอยู่ในนั้นด้วยหรือ” หวังเป่าเล่อยกมือชี้ไปทางต้นกำเนิดดารา ก่อนหันไปมองร่างมายาสาว
จินตั้วหมิงนิ่งอึ้งไป เขาจับสัมผัสอะไรไม่ได้เลย ทว่าร่างมายาสาวกลับเหลือบมองหวังเป่าเล่ออยู่หลายครั้ง สีหน้าของหญิงสาวเปลี่ยนไปในทันใด นางไม่คาดคิดว่าชายหนุ่มจะสามารถมองทะลุเห็นสิ่งที่อยู่ภายในต้นกำเนิดดาราได้!
บทที่ 409 การหลอมสวรรค์สร้าง
โดย
Ink Stone_Fantasy
“เจ้าเมืองหวังมาจากตำหนักอาวุธเวทของสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เป็นไปได้หรือไม่ว่าท่านจะสัมผัสได้ถึงทักษะการหลอมสวรรค์สร้าง” ร่างมายาสาวพูดขึ้นขณะมองหวังเป่าเล่อ
หวังเป่าเล่ออึ้งไป จากนั้นก็สังเกตเห็นว่าจินตั้วหมิงมีท่าทีฉงน จึงหันไปมองภูเขาต้นกำเนิดดาราอีกครั้งก็ตระหนักได้ว่าจินตั้วหมิงสัมผัสถึงสิ่งที่อยู่ในต้นกำเนิดดาราไม่ได้
หลังจากได้ฟังที่ร่างมายาสาวพูด หวังเป่าเล่อก็รู้ในทันทีว่ามีอะไรอยู่ภายในต้นกำเนิดดารา
“อาวุธเวทอย่างนั้นหรือ” หวังเป่าเล่อพูดขึ้นเสียงเบา
“มีอาวุธเวทสามชิ้นอยู่ภายในต้นกำเนิดดารา แยกขาดจากโลกภายนอก แม้แต่ผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในก็ไม่สามารถจับสัมผัสได้ มีเพียงนักอาวุธเวทที่สามารถหลอมอาวุธเวทหรือผู้ที่สัมผัสได้ถึงทักษะการหลอมสวรรค์สร้างเท่านั้นถึงจะจับสัมผัสได้” ร่างมายาสาวเหลือบมองหวังเป่าเล่ออยู่หลายครั้งขณะพูด นางอึ้งไปเมื่อได้รู้ว่าชายหนุ่มสามารถสัมผัสทักษะการหลอมสวรรค์สร้างได้ด้วยอายุเพียงเท่านี้
จินตั้วหมิงนั้นอึ้งยิ่งกว่า เขาเบิกตากว้างมองชายข้างๆ อย่างไม่เชื่อสายตาตนเอง หวังเป่าเล่อไม่ได้บอกใครว่าตนกำลังลองหลอมอาวุธเวทอยู่ มีเพียงไม่กี่คนที่รู้เรื่องนี้ ชายหนุ่มเรียนรู้การหลอมอาวุธเวทระดับสูงโดยไม่รู้ตัว
“ทำไมถึงมีอาวุธเวทอยู่ในต้นกำเนิดดารา หรือมันมีความเกี่ยวข้องกับระเบิดต้านทานวิญญาณ” หวังเป่าเล่อไม่สนใจท่าทีของจินตั้วหมิง เขาถามคำถามที่อยู่ในใจขึ้น
ชายหนุ่มสังหรณ์ใจว่าการมาที่ศูนย์วิจัยในครั้งนี้ ได้เห็นต้นกำเนิดดารา และสัมผัสได้ถึงอาวุธเวทภายในต้นกำเนิดดารา…อาจจะช่วยให้ตนเข้าใจเรื่องทักษะการหลอมสวรรค์สร้างที่ยังไม่ถ่องแท้ให้กระจ่างขึ้น
หากเป็นคำถามจากผู้อื่น ร่างมายาสาวอาจไม่ตอบ แม้คำร้องของหวังเป่าเล่อและจินตั้วหมิงจะผ่านการอนุมัติแล้วก็ตาม แต่หลังจากครุ่นคิดอยู่สักพัก นางก็หันมองชายหนุ่ม เหมือนจะรู้ว่าชายหนุ่มกำลังติดปัญหาตรงนี้อยู่ จึงถอนหายใจก่อนจะพยักหน้าให้
“ก่อนจะพูดถึงความเชื่อมโยงระหว่างระเบิดต้านทานวิญญาณและอาวุธเวท ท่านต้องเข้าใจก่อนว่าอาวุธเวทแท้จริงแล้วคืออะไร!” ร่างมายาสาวยกมือขวาขึ้นชี้ขณะพูด ทันใดนั้นภูเขาต้นกำเนิดดาราสีดำสนิทก็พลันเลือนรางและค่อยๆ โปร่งใสเผยให้เห็นอาวุธเวทสามชิ้นที่อยู่ภายใน!
“นี่คืออาวุธเวท!” หวังเป่าเล่อหันไปมองทันที ดวงตาหรี่เล็กเมื่อได้เห็นพวกมันอย่างชัดเจน แม้แต่จินตั้วหมิงที่เคยเห็นอาวุธเวทระดับเก้ามาก่อนก็ยังอดตื่นตะลึงกับสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าไม่ได้
ภายในต้นกำเนิดดาราโปร่งใสมีอาวุธเวทชั้นยอดอยู่ ชิ้นหนึ่งเป็นมังกรสีดำขลับความยาวประมาณหนึ่งช่วงแขน ชิ้นต่อมาคือปักษาเพลิงสีทองเปล่งแสงเรืองรอง และสุดท้ายคือมนุษย์หินที่กำลังโอบอุ้มสายฟ้าไว้ในมือ!
ทั้งมังกรสีดำและปักษาเพลิงต่างปล่อยแรงกดดันมหาศาลออกมา มนุษย์หินอุ้มสายฟ้าก็ปล่อยรัศมีพลังน่าครั่นคร้ามเช่นกัน แม้จะมีต้นกำเนิดดารากั้นไว้ก็ยังรู้สึกราวกับทวยเทพได้ตื่นขึ้น พร้อมจะปล่อยคลื่นพลังไปทั่วทิศทาง
“วิญญาณวุธหรือ เป็นไปไม่ได้! ต้องไม่ใช่วิญญาณวุธแน่!” หวังเป่าเล่อหายใจถี่รัว รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องในเรื่องอาวุธเวทที่ได้ศึกษามา!
สี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าอธิบายไว้ว่าอาวุธเทพเกิดจากการรวมพลังของสวรรค์และพื้นพิภพ จากนั้นก็หลอมรวมวิญญาณวุธใส่ในสมบัติเวทชั้นเลิศ มันจึงมีชื่อเรียกว่า ‘อาวุธ’!
อาวุธเวทนั้นมีต้นกำเนิดมาจากเคล็ดวิชาหลอมที่บันทึกไว้ในชิ้นส่วนกระบี่สำริดเขียวโบราณ ทำให้ตระกูลหลอมสมบัติเวทขึ้นมามีบทบาทมากขึ้น พอพบชิ้นส่วนกระบี่ที่เกี่ยวข้องกับการหลอมสมบัติเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ก็มีนักหลอมอาวุธเวทเกิดขึ้นภายในกลุ่มต่างๆ โดยมีการยึดถือธรรมเนียมการตั้งชื่อที่มีบันทึกไว้ในชิ้นส่วนกระบี่สำริดเขียวโบราณ
“ความรู้เรื่องอาวุธเวทที่บอกสอนในสหพันธรัฐนั้นไม่ได้ให้ข้อมูลที่ผิดแต่อย่างใด แค่ยังขาดเรื่องแก่นสำคัญ ไม่ใช่ว่าพวกเขาขาดความรู้ แต่เป็นเพราะกฎของทางสหพันธรัฐทำให้ไม่สามารถเผยแพร่ความรู้นี้ออกไปได้โดยง่าย สำหรับการหลอมอาวุธเวทระดับเจ็ดและแปดนั้น หากขาดความรู้เรื่องแก่นสำคัญไปก็ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรกับตัวอาวุธเวท แต่การหลอมอาวุธเวทระดับเก้านั้นจะขาดความรู้ความเข้าใจเรื่องแก่นสำคัญไปไม่ได้” ร่างมายาสาวอธิบายเสียงเบา น้ำเสียงของนางฟังดูเย็นยะเยือก นางไม่ได้ตั้งใจเช่นนั้นแต่เป็นไปเองตามสัญชาตญาณ
“สิ่งที่ท่านเห็นไม่ใช่วิญญาณวุธอย่างที่ท่านว่า แต่เป็นรูปจำแลงของอาวุธเวทระดับเก้า พลังของสวรรค์และพื้นพิภพนั้นเกิดจากดวงจิตของสิ่งต่างๆ หลอมรวมเข้าด้วยกันซึ่งย่อมรวมถึงสิ่งมีชีวิตในตำนานเมื่อครั้งโบราณกาลด้วยเช่นกัน หลังจากสิ้นชีวีลง พวกมันไม่ได้สลายหายไป หากแต่หลอมรวมเป็นหนึ่งกับดวงจิตของสวรรค์และพื้นพิภพ!
“ทว่าแม้ดวงจิตเหล่านี้จะมีอยู่ตั้งแต่ก่อนยุคกำเนิดวิญญาณ แต่พวกเราก็ไม่สามารถสัมผัสหรือใช้งานได้ การมาถึงของยุคกำเนิดวิญญาณและอารยธรรมการฝึกพลังปราณทำให้เรามีความสามารถในการสัมผัสและใช้ประโยชน์ดวงจิตเหล่านี้ได้!
“ทักษะการหลอมสวรรค์สร้างนั้น ผู้หลอมต้องสัมผัสได้ถึงดวงจิตของสิ่งมีชีวิตในตำนานที่อยู่ในสรรค์และผืนดิน และผนวกดวงจิตนั้นเข้ากับวัตถุเวทเพื่อเปลี่ยนร่างของมัน จากนั้นจึงใช้วิญญาณวุธเป็นสื่อเพื่อที่ดวงจิตเหล่านั้นจะถือกำเนิดและมีชีวิตขึ้นมาใหม่!”
“นี่คือแก่นสำคัญของอาวุธเวท!” จินตั้วหมิงไม่ค่อยเข้าใจที่ร่างมายาสาวพูด แต่สำหรับหวังเป่าเล่อแล้ว คำอธิบายเหล่านี้เป็นเมื่ออัสนีบาทฟาดเข้ากลางหัวจนร่างสั่นสะท้าน ภายในหัวอื้ออึงไปหมด เขาถึงกับหยุดหายใจไปชั่วขณะ
ดวงตาของชายหนุ่มเบิกกว้างยิ่งกว่าเดิม ภาพประสบการณ์การศึกษาค้นคว้าเรื่องทักษะการหลอมสวรรค์สร้างผุดขึ้นในหัว ในที่สุดก็หาคำตอบของข้อผิดพลาดต่างๆ ที่เกิดขึ้นและได้หนทางการหลอมอาวุธเวทมา
“เช่นนี้นี่เอง!” ความสับสนงุนงงเรื่องอาวุธเวทที่เคยมีพลันหายวับไป ชายหนุ่มพบทางสว่างเบื้องหน้า กล่าวได้ว่าการมาเยี่ยมชมศูนย์วิจัยครั้งนี้ถือเป็นโอกาสทองของเขา แม้ว่ามันใกล้จะสิ้นสุดลงแล้วก็ตาม
เมื่อเห็นว่าหวังเป่าเล่อเข้าใจแล้ว ร่างมายาสาวก็เอ่ยเสียงเย็นขึ้นอีกครั้ง
“มีสิ่งมีชีวิตในตำนานอยู่มากมายตั้งแต่ตอนที่โลกถือกำเนิดขึ้น พลังของแต่ละตนก็ต่างกันออกไป ทำให้การหลอมอาวุธเวทระดับเจ็ดนั้นง่ายที่สุด หากโชคดีก็อาจหลอมได้เป็นอาวุธเวทระดับแปด แต่ตั้งแต่โบราณกาลมา มีการหลอมสวรรค์สร้างเพียงไม่กี่แบบที่ใช้กับอาวุธเวทระดับเก้าได้…
“นอกจากนี้ยังต้องใช้วัตถุดิบและวิญญาณวุธอีกมากมาย ด้วยข้อจำกัดเหล่านี้ทำให้มีอาวุธเวทระดับเก้าอยู่ไม่ถึงสามสิบชิ้นในสหพันธรัฐแม้จะนับรวมกับที่สามัญชนมีในครอบครองแล้ว!
“ส่วนความเชื่อมโยงระหว่างอาวุธเวทและระเบิดต้านทานวิญญาณ…อาจบอกได้ว่าพลังของระเบิดต้านทานวิญญาณนั้นเทียบเท่ากับพลังที่ปะทุออกมาจากอาวุธเวทระดับเก้า…
“เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับศาสตร์การหลอมอาวุธเวทและวิธีผนวกดวงจิตของทวยเทพ แต่ก็ไม่ใช่เพียงแค่เท่านั้น ยังต้องพิจารณาการปะทะกันระหว่างปฏิสสารกับสสารอีกด้วย” ร่างมายาสาวไม่ได้อธิบายอะไรต่อ ที่นางยอมเปิดเผยความลับสุดยอดออกไปก็เป็นเพราะว่าได้รับอนุญาตมา
ข้อมูลที่ได้รับมาเป็นประโยชน์ต่อหวังเป่าเล่ออย่างมาก พอได้ยินเรื่องการปะทะกันระหว่างปฏิสสารกับสสาร ไม่รู้เพราะเหตุใด เขาจึงนึกถึงปราณวิญญาณและปราณวิญญาณขั้วลบหรือที่เรียกอีกอย่างว่าปราณมืดเข้าปะทะกันขึ้นมาเป็นอย่างแรก ชายหนุ่มนึกสงสัยว่าวิธีการนี้จะสร้างพลังมหาศาลขึ้นมาได้หรือไม่
แต่ชายหนุ่มก็ไม่สามารถลองทำตามที่คิดได้ในตอนนี้ หลังจากพับเก็บความคิดใส่สมองเสร็จ เขาก็เดินตามหลังร่างมายาสาวที่นำหน้าไปพร้อมกหันมองภูเขาต้นกำเนิดดาราเป็นพักๆ ผุดนึกว่าเมื่อไหร่ตนจะมีภูเขาต้นกำเนิดดาราในครอบครองบ้าง ชายหนุ่มสังหรณ์ใจว่าสิ่งนี้อาจเป็นกุญแจสำคัญในการหลอมอาวุธเวทระดับเก้า
แม้จินตั้วหมิงจะไม่ค่อยเข้าใจเรื่องที่ได้ฟัง แต่ก็สังเกตเห็นท่าทีของหวังเป่าเล่อที่เหมือนจะครุ่นคิดอะไรอย่างหนักอยู่ เขาคิดว่าการมาเยี่ยมชมครั้งนี้น่าจะเป็นประโยชน์ต่ออีกฝ่ายมาก จึงเริ่มครุ่นคิดไปต่างๆ นานาและสรุปได้ว่าตนควรจะลองเดิมพันกับหวังเป่าเล่อให้มากขึ้น
ทั้งสองที่ครุ่นคิดเรื่องที่ต่างกันเดินตามหลังร่างมายาสาวออกมาจากห้องวิจัยหมายเลขสอง พวกเขาเดินตามทางเข้าไปในห้องวิจัยหมายเลขสามที่เจ้าผินฟางอยู่ และถือเป็นจุดสิ้นสุดการมาเยือนในครั้งนี้
แม้จะมีห้องวิจัยอีกมากมายกว่าสิบห้อง แต่หวังเป่าเล่อและจินตั้วหมิงก็ไม่สามารถเข้าไปดูภายในห้องวิจัยเหล่านั้นได้ พิจารณาจากจุดที่เจ้าผินฟางอยู่ พวกเขาน่าจะได้เยี่ยมชมห้องวิจัยเพียงสามห้องนี้เท่านั้น
ห้องวิจัยหมายเลขสามดูต่างออกไปจากอีกสองห้อง เมื่อพวกเขาเดินเข้ามาก็พบว่าภายในห้องไม่มีเครื่องไม้เครื่องมือ ไม่มีต้นกำเนิดดารา ไม่มีนักวิจัยเลยสักคนเดียว ห้องวิจัยห้องนี้เป็นเหมือนถ้ำในภูเขาธรรมดาๆ เท่านั้น!
บนผนังถ้ำมีภาพสลักรูปจักรวาล ในภาพสลักปรากฏรูปดวงดารามากมายยามค่ำคืน มีดาวเคราะห์สีเทาอยู่ท่ามกลางหมู่ดาว ดาวเคราะห์ดวงนั้นเหมือนจะสิ้นอายุขัยไปแล้วและกำลังพังทลาย มีวิญญาณที่กำลังทุกข์ทรมานมากมายลอยออกมาจากดาวเคราะห์ที่กำลังล่มสลาย พวกมันรวมกลุ่มก่อตัวกันเป็นสายธาร
หวังเป่าเล่อไม่ได้สนใจภาพสลักมากนัก ทันทีที่เข้าไปในห้อง สายตาของเขาและจินตั้วหมิงก็จับจ้องไปยังแผ่นหลังของชายวัยกลางคนที่กำลังมองดูสายธารวิญญาณในภาพสลักอยู่!
ชายผู้นั้นใส่เสื้อสีฟ้า ดูภูมิฐานเหมือนนักวิชาการ มีผมสีเทาราวสายน้ำสีเงิน เขายืนสูงตระหง่านดังภูเขา แม้จะไม่ได้หันกลับมา แต่พลังกดดันมหาศาลก็พวยพุ่งออกจากร่างแผ่กระจายไปทั่วห้อง!
เขาคือนักวิจัยวิญญาณมือหนึ่งและเป็นคู่ครองของเจ้านครอาณานิคมดาวอังคาร เจ้าผินฟาง!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น