กระบี่จงมา 407.2-408.2
บทที่ 407.2 ในตำรานอกตำรา
เหมาเสี่ยวตงเงียบไปครู่หนึ่ง สายตามองถนนใหญ่ของเมืองหลวงที่ผู้คนสัญจรกันไม่ขาดสาย อยู่ดีๆ ก็นึกถึงคำพูดที่หลุดจากปากโดยไม่ได้ตั้งใจของเจ้าตะพาบน้อยบางคนขึ้นมา “สิ่งที่ผลักดันให้ประวัติศาสตร์เดินโซซัดโซเซไปข้างหน้า มักจะเป็นความผิดพลาดที่งดงาม ความคิดบางอย่างที่สุดโต่งและความบังเอิญที่จำเป็นเสมอ”
ความคิดของเหมาเสี่ยวตงล่องลอยไปไกล รอจนคืนสติกลับมาแล้วก็ยังไม่รอให้เฉินผิงอันเปิดปากพูด ผู้เฒ่าหันหน้ากลับมาเอ่ยอย่างประหลาดใจว่า “เวลานี้คงไม่เอ่ยถ้อยคำตามมารยาททำนองว่าความรู้ของเจ้าขุนเขาเหมาดีเยี่ยม ไม่ควรดูถูกตัวเองอะไรหรอกนะ?”
เฉินผิงอันพูดไม่ออก
อาจารย์ฉี เซียนกระบี่จั่วโย่ว ชุยฉาน
แล้วก็ผู้เฒ่าสูงใหญ่ที่อยู่ข้างกายผู้นี้
เฉินผิงอันรู้สึกว่าลูกศิษย์ที่อาจารย์ผู้เฒ่าเหวินเซิ่งสอนออกมา นิสัยแตกต่างกันมากเกินไปหน่อยหรือไม่
เพียงแต่ลองมาย้อนนึกดู เผยเฉียนและชุยตงซานที่อยู่ใน ‘สำนัก’ ของตนก็เหมือนว่าจะมีสภาพไม่ต่างกันสักเท่าไหร่
หากเป็นไปได้ วันหน้ามีเฉาฉิงหล่างจากพื้นที่มงคลดอกบัวมาเพิ่ม แต่ละคนก็จะยิ่งมีเอกลักษณ์แตกต่างกันไป
จำได้ว่าในตำราของชั้นประถมเล่มหนึ่งกล่าวไว้ว่า ร้อยบุปผาเบ่งบานพร้อมกันจึงจะเรียกว่าวสันตฤดู
มีเหตุผล
……
ยามพลบค่ำ เฉินผิงอันและเหมาเสี่ยวตงยังไม่กลับมาที่สำนักศึกษา
ทางฝั่งสำนักศึกษาที่ตั้งอยู่บนภูเขาตงหัว เป็นครั้งแรกที่คนเยอะจนเกิดความแออัด
หลี่เป่าผิง หลี่ไหว หลินโส่วอี อวี๋ลู่ เซี่ยเซี่ย
บวกกับเผยเฉียนและสือโหรว
หลินโส่วอีกับเซี่ยเซี่ยนั่งอยู่ตรงปลายสองฝั่งของระเบียงที่ปูพื้นด้วยไม้ไผ่มรกตจากชิงเซียวตู้ ต่างคนต่างนั่งเข้าฌานฝึกตน
สือโหรวรู้สึกเหมือนถูกมัดมือมัดเท้า ขอแค่ตัวอยู่ในสำนักศึกษาก็ไม่มีที่ให้นางหยัดยืน ยิ่งมาอยู่ในเรือนหลังนี้ นางก็ยิ่งกระวนกระวายไม่เป็นสุข
เกี่ยวกับประวัติความเป็นมา ตบะหรือศักยภาพของพวกหลี่ไหว เฉินผิงอันเคยพูดถึงคร่าวๆ อย่างไม่ปะติดปะต่อนัก
หลี่เป่าเจินพี่รองของหลี่เป่าผิง สือโหรวเคยเห็นฝีมือมาก่อน คือคนอำมหิตที่เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมกลอุบายคนหนึ่ง
บิดาของหลี่ไหวว่ากันว่าเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสิบเอ็ด เคยเกือบสังหารซ่งจ่างจิ้งอ๋องเจ้าเมืองต้าหลีตาย อีกทั้งยังใช้สองหมัดของตัวเองบุกเข้าไปรื้อทำลายศาลบรรพชนของสำนักใบถง
สถานะของอวี๋ลู่ เฉินผิงอันไม่เคยพูดถึง แต่สือโหรวก็พอจะรู้แล้วว่าบัณฑิตร่างสูงใหญ่ที่อายุไม่มากผู้นี้คือผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวขอบเขตแปดคนหนึ่ง
สถานะของเซี่ยเซี่ยในตอนนี้ ว่ากันว่าเป็นสาวใช้ของชุยตงซาน สือโหรวรู้แค่ว่าเซี่ยเซี่ยเคยเป็นผู้มีความสามารถด้านการฝึกตนของราชวงศ์ใหญ่แห่งหนึ่ง
สือโหรวยืนอยู่หน้าประตูใหญ่ของเรือน คอยทิ้งระยะทางจากคนทั้งหมดเหมือนตั้งใจ แต่ก็คล้ายว่าไม่ได้เจตนา
สือโหรวรู้ว่าครั้งแรกที่คนเหล่านี้เดินทางมาขอศึกษาต่อที่ต้าสุย ตลอดทางมีเฉินผิงอันเป็น ‘ผู้ตัดสินใจ’ ในทุกเรื่องมาโดยตลอด ฟังจากคำพูดเวลาที่เฉินผิงอันคุยกับเผยเฉียนและจูเหลี่ยน ตอนนั้นเฉินผิงอันเพิ่งจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสองสามเท่านั้น?
เหตุใดบุคคลที่ไม่ว่าจะไปอยู่ในราชวงศ์ใหญ่แห่งใดก็ล้วนเป็นลูกรักของสวรรค์เหล่านี้ถึงได้รู้สึกว่าการจัดการของเฉินผิงอันที่เป็นเพียงคนต่างถิ่นซึ่งเพิ่งมาเยือนสำนักศึกษาได้ไม่นานเป็นเรื่องปกติ หรืออาจถึงขั้นรู้สึกว่าเป็นเรื่องสมเหตุสมผล?
หลี่เป่าผิงกำลังคัดหนังสืออยู่ในห้องขนาดเล็กของชุยตงซาน
เผยเฉียนและหลี่ไหวนอนหมอบอยู่บนพื้นที่ปูด้วยไผ่มรกตหน้าประตูห้องหลัก ยกเอากระดานและโถเก็บเม็ดหมากชุดที่ชุยตงซานชื่นชอบมากออกมาเล่นหมากห้าเม็ดเรียงเป็นไข่มุกอยู่ด้วยกัน
กติกาเป็นแบบเมื่อครั้งนั้นที่ชุยตงซานใช้เล่นงานเผยเฉียน
อวี๋ลู่นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงกลางระหว่างคนทั้งสอง เผยเฉียนกับหลี่ไหวตกลงกันไว้เรียบร้อยแล้วว่าทั้งคู่ต่างก็มีโอกาสขอความช่วยเหลือจากอวี๋ลู่ได้สามครั้ง
อวี๋ลู่ที่เหยียบเรือสองแคม ทำหน้าที่เป็นกุนซือหัวหมา (เปรียบเปรยถึงคนที่ชอบออกความเห็นไร้ค่าให้กับผู้อื่น) มีสมาธิจดจ่อยิ่งกว่าเผยเฉียนและหลี่ไหวที่ชอบตีฝีปากปะทะคารมกันเสียอีก
สือโหรวรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนนอก
ทั้งๆ ที่นางเป็นเจ้าของคราบร่างเซียน มหามรรคามารออยู่ตรงหน้า ความสำเร็จในอนาคตอาจจะสูงยิ่งกว่าทุกคนที่อยู่ในเรือนหลังนี้ด้วยซ้ำ
ไม่ว่าไปอยู่ในสำนักใดที่มีตัวอักษรคำว่าจง (สำนัก) อยู่ในชื่อ ก็ไม่ควรถูกสำนักแห่งนั้นยกย่องบูชาหรอกหรือ?
ทว่าเมื่ออยู่ที่นี่ ไม่ว่าใครก็ต้องเกรงอกเกรงใจนาง แต่ก็เพียงแค่นี้เท่านั้น เพราะในความเกรงใจแฝงไว้ซึ่งความเย็นชาห่างเหินที่ปิดไม่มิด
สือโหรวคิดแล้วก็ไม่เข้าใจ
……
ในที่สุดตระกูลไช่ก็ส่งบรรพบุรุษที่ได้มาเปล่าๆ ซึ่งเป็นดั่งเทพแห่งหายนะออกไปจากประตูจวนอย่างนอบน้อม
นับแต่ไช่จิงเสินไปจนถึงพ่อครัวของเรือนล้วนรู้สึกโล่งใจเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก
คนเดียวที่รู้สึกผิดหวังเล็กน้อยเกรงว่าคงจะเป็นสาวใช้หน้าตางดงามที่มีโอกาสได้ปรนนิบัติเทพเซียนผู้หล่อเหลาคนนั้น
ชุยตงซานออกจากเขตการปกครอง ไม่ได้ตรงไปที่เมืองหลวงทันที แต่ไปพักแรมอยู่ในอารามเต๋าขนาดใหญ่แห่งหนึ่งใกล้เคียงกับเมืองหลวง
ในอารามเต๋ามีนักพรตเต๋าวัยชราที่ทำหน้าที่เป็นประธานในการประกอบพิธีกรรม นำพาผู้คนเดินเข้าสู่มรรคา เป็นเหตุให้ได้รับคำเรียกขานว่า ‘พระอาจารย์’ นำหน้าชื่อ ได้แวะมาหาชุยตงซานโดยบอกว่าต้องการถกปัญหาธรรม
เว่ยเซี่ยนรู้ดีอยู่แก่ใจว่า นักพรตเต๋าอายุมากคนนี้ต้องเป็นสายลับต้าหลีที่ถูกจัดวางไว้ในอาณาเขตของต้าสุยแน่นอน
เรื่องนี้ไม่น่าประหลาดใจเลยแม้แต่นิดเดียว เวลาที่ชุยตงซานอยู่ว่างๆ ก็เคยให้เว่ยเซี่ยนดูรายชื่อฉบับหนึ่ง รายชื่อในนั้นล้วนเป็นนักรบเดนตายและสายลับ ครบทั้งสามอาชีพเก้าสาขา จนทุกถึงวันนี้ก็ยังคงแฝงตัวอยู่ตามสถานที่ต่างๆ ของต้าหลี สายลับที่ยังขุดค้นตัวไม่เจอ แน่นอนว่าต้องมีมากกว่า ชื่อที่ถูกวงด้วยวงกลมสีแดง ชุยตงซานบอกว่าเป็นพวกคนที่มีบทบาทในการขายข่าวโดยเฉพาะ ถือเป็นสายลับสองหน้า น่าสนใจมากที่สุด ไม่เห็นญาติมิตรอยู่ในสายตา เห็นแค่เงินอย่างเดียวเท่านั้น คบค้าสมาคมกับพวกเขาค่อนข้างจะทำให้คึกคักกระปรี้กระเปร่า
เพียงแต่ว่าออกจะเหนือการคาดการณ์ของเว่ยเซี่ยนไปบ้างเล็กน้อย แม้นักพรตผู้เฒ่าจะเป็นสายลับต้าหลีอย่างไม่ต้องสงสัย แต่หลังจากรายงานข่าวอย่างเรียบง่ายเสร็จแล้ว เขากับชุยตงซานที่นั่งอยู่บนเบาะรองนั่งคนละใบกลับเริ่มพูดคุยถกปัญหาฟ้าดินกันอย่างจริงๆ จังๆ
เว่ยเซี่ยนฟังจนงีบหลับไป
หลังจากผู้เฒ่าจากไปแล้ว ชุยตงซานก็ชี้ไปยังเบาะนั่งที่อยู่ฝั่งตรงข้าม กล่าวว่า “ฉวยโอกาสที่มันยังร้อนอยู่ รีบนั่งลงซะ”
แม้เว่ยเซี่ยนจะนั่งลงจริงๆ แต่ไม่ได้นั่งลงบนเบาะ เขานั่งลงบนพื้น
ชุยตงซานเรียกโต๊ะน้ำชาใบเล็กลักษณะโบราณมีกลิ่นหอมตัวหนึ่งออกมาจากวัตถุจื่อชื่อ ด้านบนวางสี่สมบัติแห่งห้องหนังสือไว้จนเต็ม เขากางกระดาษแผ่นหนึ่งที่ประณีตงดงามซึ่งน่าจะเป็นของที่เชื้อพระวงศ์ในวังใช้กันออกแล้วเริ่มก้มหน้าก้มตาเขียนตัวอักษร
เว่ยเซี่ยนถาม “เหตุใดท่านชุยถึงเปลี่ยนใจกะทันหัน ออกจากตระกูลไช่ เร่งร้อนหนีมาแถบนี้ของเมืองหลวง แต่กลับมาหยุดอยู่ที่นี่?”
นี่คือปัญหาที่ไม่ว่าเว่ยเซี่ยนจะขบคิดอย่างไรก็คิดไม่ตก
ชุยตงซานไม่ได้เงยหน้า ไม่ได้ให้คำตอบ แต่ถามย้อนกลับมาด้วยหนึ่งประโยคที่เป็นคนละเรื่องกันเลย “เจ้าคิดว่าจิตใจคนซับซ้อนหรือไม่?”
เว่ยเซี่ยนพยักหน้ารับ “แน่นอน”
ชุยตงซานเคยเป็นผู้มีชื่อเสียงโด่งดังด้านการเขียนพู่กันซึ่งได้รับการยอมรับจากผู้คนทั่วทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง เขาจึงตวัดพู่กันได้ดุจเมฆคล้อยน้ำไหล ต่อให้เว่ยเซี่ยนแค่มองไกลๆ ก็ยังรู้สึกสบายหูสบายตาไปหมด
ชุยตงซานยังคงไล่เรียงเขียนสรุปรายงานที่สายลับทั้งหมดนำมาแจ้ง ปากก็เอ่ยช้าๆ ว่า “ใจคน มองดูเหมือนยากจะคาดเดา แต่แท้จริงแล้วไม่ได้ซับซ้อนอย่างที่พวกเจ้าจินตนาการเอาไว้ คนบนโลกทุกคนล้วนรักตัวกลัวตาย นี่ก็คือสันดานของมนุษย์ หรืออาจเป็นสันดานของหมื่นสรรพสิ่งที่มีสติปัญญาด้วย การที่มนุษย์แตกต่างจากสัตว์นั้นอยู่ที่ว่ามนุษย์มีความรักความผูกผัน ความรักระหว่างบุตรและบิดามารดา การสืบทอดควันธูป ความรุ่งเรืองและเสื่อมสลายของแคว้น ถูกไหม? ยิ่งเป็นคนที่โดดเด่น ความรู้สึกบางอย่างก็จะยิ่งเด่นชัด”
เว่ยเซี่ยนครุ่นคิด “เป็นหลักการนี้จริง แต่ส่วนใหญ่แล้วกลับมีคนประเภทชอบความสมดุลที่ผสมผสานคลุมเครืออยู่มากกว่า”
ชุยตงซานหยุดเขียน วางพู่กันลงบนแท่นวาง สะบัดข้อมือ ยิ้มหยันกล่าวว่า “คนที่คิดถึงความสมดุลอะไรนั่นก็มีแต่พวกเหลวไหล จิตใจสั่นคลอนไม่หยุดนิ่ง เคลื่อนขยับไปตามกระแส เห็นสาวงามก็เกิดใจปรารถนา เห็นทรัพย์สมบัติก็เกิดความละโมบ ไม่ว่าอะไรก็อยากได้ไปหมด เมื่ออยากได้ก็จะเอาให้ได้โดยไม่คิดประมาณตน หลิ่วชิงเฟิง หลี่เป่าเจิน เว่ยหลี่ อู๋ยวน สี่คนนี้ถือเป็นพวกคนฉลาด แต่ก็ยังมีข้อเสียและข้อบกพร่องไม่อย่างนี้ก็อย่างนั้นกันทุกคน”
“อู๋ยวนที่รับตำแหน่งเจ้าเมืองเขตการปกครองหลงเฉวียน ในใจยอมรับคุณูปการและความรู้ของข้า และยิ่งเป็นลูกศิษย์ในนามของข้า เพียงแต่ในอดีตเคยได้รับบุญคุณจากเหนียงเนียงท่านที่ฝึกตนกินเจอยู่ในตำหนักฉางชุน เลยเข้าใจไปว่าทุกอย่างที่ได้มาในวันนี้ล้วนเป็นเหนียงเนียงท่านนั้นที่ประทานให้ ดังนั้นระหว่างบุญคุณส่วนตัวกับกิจธุระบ้านเมืองจึงสั่นคลอนไม่หยุดนิ่ง มีชีวิตอย่างสับสนคิดไม่ตก”
“สิ่งที่หลี่เป่าเจินต้องการไม่ได้แปลกประหลาดอะไร แล้วก็ไม่ได้สอดคล้องกับหลักดั้งเดิมของลัทธิขงจื๊ออย่างอู๋ยวน เขาต้องการเพียงแค่สร้างความชอบ สักวันหนึ่งจะได้กลายเป็นขุนนางตำแหน่งสูงสุด แต่หลี่เป่าเจินยังไม่เข้าใจคำว่าฉลาดเกินก็มองดูเหมือนคนโง่ เวลานี้เขาแค่รู้จักแต่การแสร้งโง่ ทว่าคนฉลาดบนโลกใบนี้จะนับเป็นอะไรได้เล่า ไม่มีค่าเลยสักนิด”
“เว่ยหลี่แห่งแคว้นหวงถิง เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว เขาคือผู้รอบรู้มากที่สุดในบรรดาคนทั้งสี่ สิ่งที่สำคัญที่สุดในใจของเขาก็คือบ้านเมืองและอาณาประชาราษฎร์ แต่แผนการของเขายังเล็กเกินไป มองเห็นเพียงแค่หนึ่งแคว้นและขนบธรรมเนียมร้อยปี ยังไม่เคยชินที่จะมองไกลไปถึงหนึ่งทวีปและวางแผนใหญ่ถึงพันปี”
“หลิ่วชิงเฟิงนายอำเภอเล็กๆ แห่งแคว้นชิงหลวนคือคนที่ข้าเห็นดีที่สุดในบรรดาคนทั้งสี่ น่าเสียดายที่ไม่มีพรสวรรค์ในการฝึกตน มีอายุขัยได้มากสุดก็แค่ร้อยปี นี่ควรเรียกว่า…สวรรค์ริษยาอัจฉริยะบุคคลสินะ?”
เว่ยเซี่ยนได้ยินมาถึงตรงนี้ก็ตกตะลึงเล็กน้อย
ท่านชุยถึงขนาดเต็มใจพรรณนาถึงคนอื่นว่าเป็น ‘อัจฉริยะบุคคล’?
อันที่จริงลึกๆ ในใจเว่ยเซี่ยนคอยขบคิดถึงคำว่าใจคนที่ชุยตงซานกล่าวถึงอยู่ตลอดเวลา
ชุยตงซานหยิบรายงานสายลับปึกหนึ่งที่ถูกจัดให้เป็นรายงานปลายแถวขึ้นมาจากโต๊ะน้ำชา โยนให้เว่ยเซี่ยน “นี่คือบทกวีตกอันดับใหม่ล่าสุดของผู้ที่เข้าสอบเคอจวี่ในสองแคว้นอย่างต้าหลีและต้าสุย คือหนึ่งในวิธีที่ข้านำมาใช้แก้เบื่อ”
เว่ยเซี่ยนรับไปแล้ว ชุยตงซานถึงกล่าวว่า “เจ้าคงอยากจะถามถึงวิธีและทิศทางในการวิเคราะห์ความตื้นลึกของใจคนจากข้าสินะ มองดูเหมือนทำได้ แต่แท้จริงแล้วเรื่องราวทางโลกยากจะคาดเดา จิตใจคนขึ้นลงไม่อยู่นิ่ง ไม่แน่ว่าอุบัติภัยครั้งหนึ่งอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันได้หลากหลาย ยังคงเป็นปัญหาที่ยุ่งยากอย่างถึงที่สุด อีกทั้งยังยากที่จะคำนวณได้อย่างแม่นยำ ดังนั้นจึงไม่ถือว่ามีวิธีที่แท้จริง ถูกหรือไม่?”
เว่ยเซี่ยนพยักหน้ารับ ไม่ได้ปฏิเสธ
ชุยตงซานคลี่ยิ้ม ชี้ไปยังหัวสมองของตัวเอง “การฝึกตนบนภูเขา นอกจากจะเพื่อให้อายุขัยยืนยาวแล้ว แสงศักดิ์สิทธิ์ในนี้ก็จะผุดขึ้นตามมาด้วย”
จากนั้นชุยตงซานก็สะบัดข้อมือโปรยเงินเทพเซียนกำใหญ่ไว้บนโต๊ะน้ำชา “ข้าจะพูดถึงการแบ่งจิตใจคนเป็นหลักใหญ่ๆ ให้ฟังก่อนก็แล้วกัน สามารถนำหลักวิชาการคำนวณของสำนักคำนวณในเมธีร้อยสำนักมาช่วยเสริม จากหนึ่งถึงสิบ แยกกันแบ่งวิเคราะห์ แล้วเจ้าก็จะพบว่าคำว่าจิตใจคนขึ้นๆ ลงๆ นั้นไม่ได้ส่งผลกระทบต่อผลลัพธ์ในท้ายที่สุด”
ไม่รอให้เว่ยเซี่ยนเปิดปากพูด ชุยตงซานก็คลี่ยิ้มกล่าวว่า “หนึ่งถึงสิบยังคงไม่แม่นยำมากพอ แต่หากทำได้จากหนึ่งถึงหนึ่งร้อยล่ะ จะเป็นอย่างไร?”
เว่ยเซี่ยนกล่าวอย่างปลงอนิจจัง “วิชาการคำนวณนี้ถูกมองเป็นวิถีเล็กๆ ในใต้หล้าไพศาลมาโดยตลอด ไม่ใช่เพราะประวัติความเป็นมาของพวกเขา แต่เป็นเพราะถูกสำนักการค้าที่ชื่อเสียงไม่ดีสักเท่าไหร่ยกย่องไม่ใช่หรือ? ท่านชุยยังเอามาใช้ด้วย? หรือว่านอกจากวิชาของลัทธิขงจื๊อแล้ว ท่านชุยยังเป็นหนึ่งในผู้ยกย่องสำนักคำนวณด้วย?”
ชุยตงซานหัวเราะเสียงเย็น “สำนักคำนวณก็มีค่าพอให้ข้ายกย่อง?”
ชุยตงซานลุกขึ้นยืน “แม้แต่การแบ่งแยกระหว่างเทพและคน สามจิตหกวิญญาณ เรื่องที่เล็กละเอียดยิบย่อยที่สุดบนโลก ข้ายังต้องศึกษาค้นคว้าให้หมด สำนักคำนวณเล็กๆ ก็เป็นแค่การใช้เวลาบนกระดาษเท่านั้น จะนับเป็นผายลมอะไรได้”
เว่ยเซี่ยนถือกระดาษปึกที่เขียนบทกวีตกอันดับของผู้เข้าสอบสองแคว้นไว้ในมืออย่างเหม่อลอยไร้คำพูด
ชุยตงซานที่พูดอ้อมไปไกลหนึ่งแสนแปดพันลี้ ในที่สุดก็วกกลับมายังคำถามที่เว่ยเซี่ยนถามไว้ตอนแรกสุด “เรื่องภายในภายนอกของทางสำนักศึกษา ข้ารู้ชัดเจนดี การเปลี่ยนแปลงเดียวในเวลานี้ก็คืออาจารย์จ้าวที่ไม่มีแม้แต่แรงจะมัดไก่ผู้นั้น”
เว่ยเซี่ยนกล่าวอย่างฉงน “อาจารย์วัยชราคนหนึ่งกับอริยะลัทธิขงจื๊อที่เฝ้าพิทักษ์ฟ้าดินขนาดเล็กอย่างสำนักศึกษาคนหนึ่ง ทั้งสองฝ่ายคุมเชิงกัน ฝ่ายแรกจะยังก่อคลื่นสร้างมรสุมได้อีกหรือ? แล้วนับประสาอะไรกับที่หากอิงตามคำบอกของท่านชุย เหมาเสี่ยวตงไม่ใช่ชาวขงจื๊อที่คร่ำครึ มีหรือจะยอมให้เกิดช่องโหว่ได้ อีกอย่างตามคำอธิบายของท่าน เว้นเสียจากฮ่องเต้ต้าสุยอยากจะทำให้ตัวเองพินาศวอดวายแล้วก็ไม่มีทางกล้าลงมือกับหลี่เป่าผิงและหลี่ไหวเด็ดขาด”
ชุยตงซานจ้องเป๋งไปที่เว่ยเซี่ยนด้วยสีหน้ารังเกียจ “ลองคิดดูดีๆ ก่อนหน้านี้ข้าเคยเตือนเจ้าแล้วว่าให้มองปัญหาจากจุดที่สูงหน่อย”
ในใจเว่ยเซี่ยนพลันสะท้านเยือก
บทที่ 407.3 ในตำรานอกตำรา
ชุยตงซานยื่นมือมาขยี้ซีกแก้ม หัวเราะเสียงเย็นกล่าวว่า “ฮ่องเต้ต้าสุยให้ความสำคัญกับชะตาแคว้น แต่คนที่อยู่เบื้องหลังจะสนใจหรือว่าต้าหลีกับต้าสุยจะเป็นหรือตาย จะพินาศวอดวายไปด้วยกันทั้งสองฝ่ายหรือไม่? หากการลอบสังหารคนสองคนแล้วสามารถตัดสินแนวโน้มของสถานการณ์ในหนึ่งทวีปได้ เจ้าเว่ยเซี่ยนจะหวั่นไหวหรือไม่? ลูกศิษย์สำนักการค้ายินดีที่จะเห็นเหตุการณ์นั้น การทำสงครามนี่นะ ใช้เงินคนตาย ถึงจะมีรายได้เป็นกอบเป็นกำ ส่วนยอดฝีมือสำนักจ้งเหิงที่ทำท่าลับๆ ล่อๆ หลบซ่อนอยู่ลึกหลังม่านหลายชั้นก็ยิ่งเต็มใจจะทำเช่นนี้!”
จิตใจของเว่ยเซี่ยนกระเพื่อมไหว มือสองข้างถึงกับสั่นเบาๆ
นี่ต่างหากจึงจะเป็นวิถีแห่งโลกที่ฮ่องเต้ผู้บุกเบิกแคว้นหนันเยวี่ยนท่านนี้ใฝ่หาเรื่อยมา!
การช่วงชิงท่ามกลางกลียุค!
บนภูเขาล่างภูเขา กษัตริย์ อัครเสนาบดี เทพเซียนและเซียนซืออะไรทั้งหลายแหล่ ล้วนถูกหอบเข้าไปในกระแสแห่งสถานการณ์ใหญ่ ทุกคนล้วนเป็นหมากที่ไม่มีอิสระเป็นของตัวเอง
เพียงแต่ว่าดูเหมือนชุยตงซานจะนึกถึงเรื่องที่น่าเสียใจอะไรขึ้นมาได้ เขาเช็ดใบหน้า พูดอย่างเศร้าซึมว่า “เจ้าดูสิ ข้ามีความสามารถและความรู้มากมายถึงเพียงนี้ ในเวลานี้ก็ยังทำได้แค่เรื่องหยุมหยิมยิบย่อยไม่ใช่หรือ? คิดไปคำนวณมา ก็แค่การกรีดเนื้อมาจากขายุง ทำการค้าขายเล็กๆ เท่านั้น เจ้าตะพาบเฒ่านั่นวางแผนฮุบทั้งแจกันสมบัติทวีปอย่างสบายอุรา ข้ากลับได้แค่ทำหน้าที่เฝ้าบ้านแทนเขา ต้องคอยมานั่งจับจ้องสถานที่อย่างต้าสุยที่เล็กเท่าเปลือกหอยทาก กิจการเล็กเกินไปก็ได้แต่ทำเรื่องส่งเดชไปทั่ว แถมยังต้องคอยกังวลว่าหากทำได้ไม่ดีพอจะถูกอาจารย์ขับไล่ออกจากสำนัก…”
ชุยตงซานกำมือเป็นหมัดทุบลงบนหัวใจของตัวเองแรงๆ “เหล่าเว่ย หัวใจข้าเจ็บปวดยิ่งนัก”
จากนั้นเว่ยเซี่ยนก็เห็นว่าเด็กหนุ่มชุดขาวกลิ้งตัวไปทั่วพื้นห้อง ส่วนเขาก็ก้มหน้าลงมองกวีตกอันดับที่ว่ากันว่าสามารถทำให้มองเห็นความเป็นจริงในมือ
เขาไม่ได้เจ็บปวดใจ แต่เหนื่อยใจ
……
คนสกุลเกาของต้าสุยปฏิบัติต่อปัญญาชนดีเป็นพิเศษ นี่คือประเพณีสืบทอดที่มีมาตั้งแต่ก่อตั้งแคว้น
นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงจ้วงหยวนคนใหม่อย่างจางไต้ผู้นี้เลย แม้ว่าตอนนี้เขาจะยังคงอยู่ในสำนักฮั่นหลิน แต่กลับมีเรือนสามชั้นสิบห้องอยู่ในเมืองหลวงแล้ว เป็นเงินที่กรมครัวเรือนของราชสำนักควักจ่ายให้
ยามสนธยาของวันนี้ จางไต้สาวเท้าเดินเล่นอยู่ในเรือนที่ว่างเปล่า ป้อนอาหารให้ปลาหลีหางแดงหลายตัวที่อยู่ในอ่างใบใหญ่แล้วก็ไปศึกษาตำราหมากล้อมเพียงลำพังในห้องหนังสือ
จางไต้มีชาติกำเนิดจากตระกูลยากจนในท้องถิ่น บทความที่เขาเขียนขึ้นในการสอบระดับอำเภอเรียกว่าน่าชมเชยพอใช้ได้ ไม่ถือว่าน่าตื่นตาตื่นใจอะไร แต่การสอบหน้าพระที่นั่งกลับสร้างความตื่นตะลึงให้ผู้คน จนกระทั่งกลายเป็นปลาที่กระโดดข้ามประตูมังกร
หลังจากได้กลายเป็นจ้วงหยวนก็ย้ายมาอยู่ที่เรือนหลังนี้ การเปลี่ยนแปลงเดียวก็คือจางไต้จ้างสารถีหนึ่งคนและรถม้าหนึ่งคัน นอกจากนี้แล้วจางไต้ก็ไม่ได้เข้าร่วมงานเลี้ยงรับรองอะไรมากนัก ยากจะจินตนาการได้ว่าคนหนุ่มที่เพิ่งอายุยี่สิบต้นๆ ผู้นี้ก็คือผู้นำด้านวรรณกรรมคนใหม่ของต้าสุย ยิ่งไม่อาจนึกภาพออกว่าเขาจะไปปรากฏตัวอยู่ที่จวนตระกูลไช่ในปัจจุบัน ออกความเห็นอย่างฮึกเหิม สุดท้ายยังสามารถจากไปโดยนั่งรถม้าคันเดียวกับเหมียวเริ่นแม่ทัพหลงหนิวที่เป็นบรรดาศักดิ์หลังสร้างคุณความชอบบุกเบิกแคว้น
ทั้งหมดนี้ ไช่เฟิงก็ดี เหมียวเริ่นก็ช่าง ล้วนคิดว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้องสมเหตุสมผล จางไต้มีสถานะจ้วงหยวนที่มีราคาอย่างยิ่ง อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในสี่จิตวิญญาณของต้าสุยที่มีชื่อเสียงไปทั่วราชสำนัก ตัวตนต่ำต้อยแต่กลับขาวสะอาด กำลังอยู่ในวัยเลือดร้อน ดังนั้นจึงควบคุมได้ง่าย รู้สึกว่าคนผู้นี้ยินดีทำเพื่อคุณธรรมยิ่งใหญ่แก่บ้านเมือง เป็นผู้นำแก่ฝูงชน
จางไต้ได้ยินเสียงเคาะประตูก็หยุดการเล่นหมากล้อม เงยหน้ากล่าวว่า “เข้ามา”
คือสารถีเฒ่าที่มาขอพักอยู่ในเรือน
ผู้เฒ่ายืนอยู่หน้าประตูห้องหนังสือที่ค่อนข้างมืดสลัว เอ่ยเชื่องช้า “เหมาเสี่ยวตงพาคนหนุ่มที่ชื่อเฉินผิงอันออกมาจากสำนักศึกษา”
“พวกเขาไม่ได้ป่าวประกาศว่าจะฆ่าปีศาจบุ๋นเหมาเสี่ยวตงให้ตายหรอกหรือ ก็ไปฆ่าได้ตามสบายเลย”
จางไต้เอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “เจ้าบอกให้คนที่ถูกจัดวางไว้ในสำนักศึกษาหาข้ออ้างบอกให้จ้าวซื่อและกวางขาวออกจากสำนักศึกษาไปพร้อมกัน หาสถานที่เงียบๆ ตีให้สลบแล้วซ่อนตัวเอาไว้ หลังจากควบคุมกวางขาวตัวนั้นได้แล้ว จำไว้ว่าเจ้าอย่าทำให้เหลียงเริ่นซือผู้ฝึกตนก่อกำเนิดที่เฝ้าประตูเกิดคลางแคลงใจ ขอแค่เข้าไปในสำนักศึกษาได้อย่างราบรื่น ลงมือให้เด็ดขาดสักหน่อย ต้องให้ตายคนหนึ่ง หากตายได้สองคนก็ยิ่งดี”
ผู้เฒ่าพยักหน้า
จางไต้ลังเลเล็กน้อยก่อนกล่าวว่า “คืนนี้ข้าจะออกจากเมืองหลวงต้าสุย”
ผู้เฒ่ายิ้มบางๆ “ทำเรื่องนี้สำเร็จ คุณชายกลับไปถึงทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางแล้วย่อมต้องมีอนาคตยาวไกลหมื่นลี้รออยู่”
จางไต้ไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ
พอผู้เฒ่าจากไปแล้ว
จางไต้ก็วางตำราหมากล้อมในมือลง หลุบตาต่ำมองสถานการณ์หมากบนกระดาน
กลยุทธสร้างความสามัคคีในกลุ่มผลประโยชน์และแตกสามัคคีในกลุ่มศัตรู
……
ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้แจกันสมบัติทวีป ริมอาณาเขตของบริเวณใกล้เคียงกับเมืองหลวงแคว้นชิงหลวน มีจวนส่วนตัวแห่งหนึ่งที่ชื่อเสียงไม่โด่งดังตั้งอยู่
คนหนุ่มที่เป็นหนึ่งในผู้นำสายลับของศาลาคลื่นมรกตแคว้นต้าหลีมีสีหน้ามืดทะมึน
ผู้คนที่อยู่ในห้องโถงมีสถานะแตกต่างกันออกไป ทว่าทุกคนต่างก็เป็นยอดฝีมือด้านการใช้พู่กันของวงการขุนนาง วงการการประพันธ์แคว้นชิงหลวน แน่นอนว่ายิ่งเป็นคนสนิทชิดเชื้อที่ถูกราชสำนักต้าหลีซื้อใจ
หลี่เป่าเจินมองพื้นดิน วนนิ้วไปตามขอบจอกชาที่เขายังไม่ได้ดื่มน้ำชาด้านในเลยสักอึก
ทุกคนมีท่าทางหวาดหวั่นกระสับกระส่าย
พวกเขามารวมตัวกันในสถานที่แห่งนี้เพราะต้องการทำเรื่องหนึ่ง
นั่นคือใช้พู่กันแต่ละด้ามลากหลิ่วจิ้งถิงผู้นำแห่งวงการวรรณกรรม เจ้าประมุขด้านวัฒนธรรม รองเจ้ากรมผู้เฒ่าที่กลับไปใช้ชีวิตอยู่อย่างสันโดษในสวนสิงโตผู้นั้นให้จมลงบ่อโคลน ต้องการให้คนผู้นี้ล้มแล้วไม่อาจลุกกลับคืนมาได้อีก ยากที่จะเป็นจุดศูนย์รวมกองกำลังให้กับเหล่าปัญญาชนที่เร่งรีบเดินทางลงใต้กลุ่มนั้น แคว้นชิงหลวนยังคงต้องการผืนป่าแห่งวรรณกรรมที่ต้นไม้เขียวชอุ่มรกครึ้ม แต่ไม่ต้องการไม้ที่เด่นเกินไพรอย่างหลิ่วจิ้งถิง
มีเพียงชื่อเสียงของหลิ่วจิ้งถิงย่อยยับลง ปัญญาชนตระกูลใหญ่เหล่านั้นถึงจะแตกฉานซ่านเซ็น
ต้าหลีเต็มใจจะเห็นภาพนี้ แม้แต่ฮ่องเต้แคว้นชิงหลวนก็ยังรู้สึกว่ามีทั้งข้อดีและข้อเสีย จะได้ไม่ต้องถูกคนต่างถิ่นที่แยกแยะสถานการณ์ไม่ออกกลุ่มนั้นเข้ามาควบคุม วันๆ ต้องถูกพวกคนที่ไม่รู้จักเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตามกลุ่มนี้ชี้ไม้ชี้มือออกคำสั่งอยู่ในราชสำนักแคว้นชิงหลวน ต้องทนฟังวิธีการแก้ปัญหาสารพัดเรื่องอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ถึงเวลานั้นฮ่องเต้สกุลถังยังสามารถนั่งลงแบ่งสมบัติกับต้าหลี ต่างคนต่างซื้อใจพวกชนชั้นสูงไปควบคุมเอง
ทว่าคนหลายสิบคนในคืนนี้ใช้กองกำลังของทุกตระกูลมาพยายามหาแผนการโจมตีหลิ่วจิ้งถิงอย่างกำเริบเสิบสาน แทบจะพลิกค้นบทความ กวีนิพนธ์ เอกสารรายงานทุกฉบับของรองเจ้ากรมผู้เฒ่าออกมาแล้วไล่หาช่องโหว่ในทุกคำทุกประโยค
คาดไม่ถึงเลยว่าไม่เพียงแต่ได้ผลลัพธ์ไม่เด่นชัดนัก ยังถึงขั้นชักนำให้ฝูงชนจำนวนมากที่เป็นปัญญาชนของแคว้นชิงหลวนโกรธแค้น ขุนนางในราชสำนักบางคนที่เดิมทีความเห็นไม่ตรงกับหลิ่วจิ้งถิง และยังมีผู้รอบรู้ในท้องถิ่นอีกมากมายต่างก็ทนมองไม่ไหว เริ่มพากันช่วยพูดแทนหลิ่วจิ้งถิง โดยเฉพาะปัญญาชนตระกูลใหญ่ที่มุ่งหน้าลงใต้มายังที่แห่งนี้ที่ยิ่งเป็นเดือดเป็นแค้น พากันวิ่งวุ่นไปสี่ทิศเพื่อหลิ่วจิ้งถิง แม้แต่ข่าวเล็กๆ ที่บอกว่าหลิ่วจิ้งถิงจะย้อนกลับมาสู่ใจกลางของราชสำนัก เลื่อนขั้นมารับตำแหน่งเจ้ากรมพิธีการก็ยังเริ่มแพร่สะพัดไปทั่วเมืองหลวงแล้ว
หลี่เป่าเจินเงยหน้า ยิ้มพูดว่า “ทุกคนไม่ต้องตึงเครียด เรื่องนี้ทำได้ไม่ดี เปิดประตูมาไม่เด่นสะดุดตา กลับกันยังถูกป้ายสีดำใส่ สะดุดล้มหัวทิ่ม คนแรกที่โดนมีดจ้วงแทงย่อมเป็นข้าหลี่เป่าเจิน หลังจากนั้นจึงจะเป็นคราวของพวกเจ้า หากใต้เท้าราชครูเข้าใจ ไม่แน่อาจรู้สึกว่าพวกเรามีเหตุผลให้พออภัยได้ เปลี่ยนกระดานใหม่แล้วให้โอกาสพวกเราอีกครั้ง”
ไม่พูด ‘คำปลอบใจ’ พวกนี้ก็ยังดี แต่พอหลี่เป่าเจินพูดออกมาแบบนี้ ทุกคนต่างก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบ
ขนลุกขนพองไปทั้งร่าง
แสงเทียนในห้องโถงใหญ่ส่ายสะบัด
แน่นอนว่าหลี่เป่าเจินย่อมต้องเดือดดาลเป็นที่สุด ไอ้พวกเศษสวะไร้ค่า!
และเวลานี้เองในห้องโถงใหญ่ก็มีเงาร่างของคนสองคนปรากฏ คนผู้หนึ่งเดินเข้ามาด้านใน อีกคนหนึ่งรออยู่นอกประตู
มองปัญญาชนสวมชุดลัทธิขงจื๊อที่เดินเข้ามาในห้องโถงใหญ่ผู้นั้น หลี่เป่าเจินรู้สึกระอาใจเล็กน้อย เดิมทีนึกว่าจะอ้อมพ้นคนผู้นี้ไปแล้ว และตนก็สามารถทำเรื่องนี้ให้เสร็จสิ้นลงอย่างงดงาม ไหนเลยจะคิดว่าตัวเองต้องมาตกอยู่ในสภาพเช่นนี้
คนผู้นั้นพูดเนิบช้าด้วยน้ำเสียงที่ไม่ดังนัก “ทุกท่านที่นั่งอยู่ ณ ที่นี้ทำสำเร็จไปได้ครึ่งทางแล้ว หลังจากนี้ยังมีก้าวเล็กๆ อีกสามก้าวให้ต้องเดิน”
“ก้าวแรก หยุดการสาดน้ำโคลนโจมตีหลิ่วจิ้งถิงชั่วคราว หันกลับมาพูดยกย่องชมเชยรองเจ้ากรมผู้เฒ่าให้เกินจริง และในก้าวนี้ยังแบ่งขั้นตอนออกเป็นอีกสามขั้นตอน ข้อแรก ทุกท่านรวมถึงสหายของพวกท่านต้องพากันโยนบทความที่แสดงความคิดเห็นอย่างเป็นกลางและสุขุมมีสติออกไปบางส่วนเพื่อให้ข้อสรุปแบบตอกปิดฝาโลงต่อเรื่องนี้ก่อน พยายามอย่าทำให้บทความของตัวเองไร้พลังในการชักจูง ข้อที่สองเริ่มเชื้อเชิญคนอีกกลุ่มหนึ่งมาทำให้หลิ่วจิ้งถิงกลายเป็นเทพเจ้า ยิ่งใช้ถ้อยคำที่ชวนเลี่ยน ไพเราะแต่ไร้ประโยชน์ได้เท่าไหร่ก็ยิ่งดี โอ้อวดคุยโวถึงบทความของหลิ่วจิ้งถิงให้ถึงขั้นที่หากเขาตายไปรูปปั้นก็สามารถถูกยกไปบูชาในศาลบุ๋นได้ ข้อที่สามเขียนบทความขึ้นมาอีกชุดหนึ่ง วิจารณ์โจมตีขุนนางและปัญญาชนที่เคยแก้ข่าวให้หลิ่วจิ้งถิงทุกคน ไม่แบ่งแยกดีเลว ยิ่งใช้คำที่เลวร้ายเท่าไหร่ก็ยิ่งดี แต่ต้องระวังไว้ว่าจุดประสงค์สำคัญในการเขียนบทความคือต้องบรรยายให้คนทุกคนที่เคยช่วยเหลือหลิ่วจิ้งถิงเป็นเหมือนพวกสุนัขรับใช้”
แรกเริ่มที่ทุกคนได้ยินคำพูดประโยคแรกของคนผู้นี้ต่างก็หัวเราะเสียงหยัน นินทาอยู่ในใจไม่หยุด
เพียงแต่ยิ่งฟังไปถึงช่วงท้ายก็ยิ่งรู้สึกว่า…นี่เป็นวิธีใหม่เอี่ยมที่ควรลอง!
คนผู้นั้นกล่าวต่อว่า “ก้าวที่สอง หลังจากรออย่างสงบระยะเวลาหนึ่งค่อยหันหัวหอกชี้กลับไปที่หลิ่วจิ้งถิงคนเดียวอีกครั้ง จำเป็นต้องใช้ลูกไม้เล็กน้อย วัตถุประสงค์และรากฐานของบทความทุกฉบับให้เน้นถ้อยคำอย่าง ‘แม้ว่า’ ‘ต่อให้’ ยกตัวอย่างเช่น ‘แม้ว่า’ คุณธรรมของหลิ่วจิ้งถิงผู้นี้จะมีข้อบกพร่อง แต่จุดด่างพร้อยเล็กน้อยไม่อาจบดบังจุดเด่น ลูกศิษย์ของเขามีคนที่มีความสามารถอยู่มากมาย จากนั้นพวกเจ้าก็สามารถยกวีรกรรมต่างๆ ขึ้นมา จุดสังหารให้อยู่ที่พวกขุนนางชื่อเสียงโด่งดังที่ทำให้ผู้คนอิจฉาตาร้อนทั้งหลาย หรือยกตัวอย่างเช่น ‘ต่อให้’ ผลงานด้านการปกครองของหลิ่วจิ้งถิงจะธรรมดาสามัญ แต่ถึงอย่างไรก็ยังถือว่าเป็นคนมือสะอาดและสุจริต ก็แค่ได้ครอบครองสวนสิงโตที่มีชื่อเสียงไปครึ่งทวีปเท่านั้น”
คนผู้นั้นเอ่ยอธิบาย “เหตุใดต้องทำเช่นนี้? เพราะสำหรับคนนอกแล้ว บทความเหล่านี้หากมองผิวเผินนับว่ายังสุภาพและเยือกเย็น แล้วก็เป็นการช่วยแก้ตัวแทนให้กับหลิ่วจิ้งถิง หลายคนที่เดิมทีวางตัวเป็นกลางไม่เข้าร่วมศึกแห่งวงการวรรณกรรมครั้งนี้จะเริ่มยอมรับสมมติฐานที่กลายเป็นจริงนั้นไปโดยปริยาย บวกกับการอธิบายที่ซุกซ่อนจิตสังหารในภายหลังก็จะยิ่งเป็นการเพิ่มน้ำค้างแข็งลงบนหิมะ”
ทุกคนที่อยู่ในห้องโถงหันมามองหน้ากัน
คนผู้นั้นยิ้มบางๆ “ก้าวที่สามอยู่ที่การเขียนบทความด้านคุณธรรมส่วนตัว เช่นว่าจ้างคนมาเขียนแทน ไม่ต้องสนใจว่าลายมือจะดีหรือเลว ขอแค่สอดแทรกมุขตลกไปด้วยก็พอ ยกตัวอย่างเช่นเรื่องรักใคร่ที่หลิ่วจิ้งถิงไปอยู่ในอารามชีท่ามกลางค่ำคืนที่ลมพายุพัดกระหน่ำ ยกตัวอย่างเช่นเขาเป็นตาแกที่ผิดประเวณีในครอบครัว หรือยกตัวอย่างเช่นดอกหลีกดทับดอกไห่ถัง (ดอกหลีเป็นสีขาว ดอกไห่ถังเป็นสีแดง ดอกหลีกดทับดอกไห่ถังจึงเปรียบเปรยว่าคนแก่ผมขาวแต่งสาวน้อยมาเป็นอนุภรรยา) ระหว่างเจ้าสวนสิงโตกับสาวใช้หน้าตางดงาม แล้วก็ถือโอกาสแต่งกลอนคล้องจองที่ผู้คนท่องได้คล่องปาก เอามาแต่งเป็นนิทาน จ้างให้นักเล่านิทานและคนในยุทธภพช่วยกันเผยแพร่ออกไปให้ทั่ว”
คนผู้นั้นมองผู้คนที่ทั้งตกตะลึงทั้งไม่เข้าใจ ยังคงเอ่ยอธิบายอย่างใจเย็น “อย่าคิดว่าไม่มีประโยชน์ บัณฑิตตกอับที่ไม่มีตำแหน่งชื่อเสียงชอบเห็นเรื่องแบบนี้มากที่สุด และชาวบ้านที่ไม่สนใจความจริงก็ชอบฟังเรื่องพวกนี้ ในกลุ่มของปัญญาชน สามคนก็กลายเป็นพยัคฆ์ได้ ในหมู่ชาวบ้านร้านตลาด ฝูงยุงรวมกันก็กลายเป็นสายฟ้าได้เช่นกัน”
สุดท้ายคนผู้นั้นคลี่ยิ้ม หยิบกระดาษหลายแผ่นออกมา เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าหลี่เป่าเจิน ยื่นส่งให้อีกฝ่ายพลางกวาดตามองรอบด้าน “ทุกท่านที่อยู่ที่นี่อาจไม่รู้ว่าวิธีการ ราคาในการจัดพิมพ์ตำราเรื่องรักใคร่ รวมไปถึงการจ้างนักเล่านิทานมาเล่าเรื่องต้องจ่ายเงินเท่าไหร่ เรื่องยิบย่อยที่ไม่มีค่าพอให้พูดถึงทั้งหลายนี้ ข้าเขียนไว้บนกระดาษหมดแล้ว หลีกเลี่ยงไม่ให้ทุกท่านกลายเป็นคนเสียเปรียบที่ต้องจ่ายเงินเกินจริงโดยไม่รู้ตัว อีกทั้งชาวบ้านตัวเล็กๆ หลายคนที่ทำการค้าเป็น แม้ฐานะจะต่ำต้อย แต่อันที่จริงกลับเจ้าเล่ห์และเฉลียวฉลาดอย่างยิ่ง ต่างคนต่างมีวิธีในการใช้ชีวิตอยู่บนโลก หากปล่อยให้พวกเขาได้เปรียบในเรื่องเงินทอง ไม่แน่ว่าทุกท่านอาจถูกพวกเขาดูแคลน”
คนผู้นี้บอกลาจากไป
เดินไปใกล้ถึงประตู เขาก็พลันหมุนตัวกลับมายิ้มกล่าวว่า “เพราะทุกท่านมีผลงานอันโดดเด่นแสดงให้เห็นมาก่อน ข้าถึงได้มีโอกาสโอ้อวดกลเม็ดเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้ หวังว่าจะช่วยเหลือพวกท่านได้ไม่มากก็น้อย”
ทุกคนเหม่อมองคนผู้นั้นเดินจากไป
หลี่เป่าเจินปากคอแห้งผาก กำกระดาษที่อยู่ในมือแน่น
คนอื่นๆ ที่เหลือก็ยิ่งรู้สึกชาไปทั้งหนังศีรษะ
ต้องรู้ว่าคนผู้นั้นมีนามว่าหลิ่วชิงเฟิง
คือบุตรชายคนโตของหลิ่วจิ้งถิง
บทที่ 408.1 ผู้มาเยือนมีเจตนาไม่ดี
คิดจะไปนำโชคชะตาบุ๋นส่วนหนึ่งมาจากศาลบุ๋นในเมืองหลวงต้าสุย นี่เกี่ยวพันกับรากฐานการฝึกตนบนมหามรรคาของเฉินผิงอัน แต่เหมาเสี่ยวตงกลับไม่ได้รีบร้อนพาเฉินผิงอันตรงดิ่งไปที่ศาลบุ๋น เขาพาเฉินผิงอันเดินไปอย่างเชื่องช้าพลางพูดคุยกันไปตลอดทาง
เหมาเสี่ยวตงถามเฉินผิงอันถึงเรื่องราวน่าสนใจที่เขาพบเจอระหว่างการเดินทาง เฉินผิงอันออกเดินทางไกลอยู่สองครั้ง แต่ส่วนใหญ่ล้วนเดินทางอยู่ในภูเขาสูงป่าลึก ริมน้ำริมทะเลสาบ ขึ้นเขาลงห้วย ศาลบุ๋นที่พบเจอมาไม่ถือว่ามากนัก เฉินผิงอันจึงถือโอกาสพูดถึงเพื่อนรักที่มองดูเหมือนเป็นคนหยาบกระด้าง แต่แท้จริงแล้วกลับมีความสามารถไม่ธรรมดาอย่างจอมยุทธเคราดก สวีหย่วนเสีย
ชายฉกรรจ์ที่ปีนั้นออกจากกองทัพ นอกจากจะบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับภูเขาและแม่น้ำของสถานที่ต่างๆ แล้ว ยังใช้พู่กันวาดสิ่งปลูกสร้างไม้เก่าแก่โบราณของแต่ละแคว้นเอาไว้ เหมาเสี่ยวตงจึงบอกว่าจอมยุทธแซ่สวีผู้นี้สามารถมาเป็นอาจารย์ที่ได้รับการแขวนชื่อในสำนักศึกษาได้ ให้เขามาบรรยายให้เหล่าลูกศิษย์ของสำนักศึกษาฟังถึงความงดงามและยิ่งใหญ่ของภูเขาแม่น้ำ ความน่าสนใจของผู้คนและขนบธรรมเนียมประเพณี ทางสำนักศึกษายังสามารถสร้างเรือนให้เขาหนึ่งหลังเพื่อเอาไว้แขวนภาพวาดฝีมือของเขาโดยเฉพาะด้วย
เฉินผิงอันจึงตอบรับเหมาเสี่ยวตง บอกว่าจะส่งจดหมายไปให้สวีหย่วนเสียที่เดินทางกลับบ้านเกิดแล้ว เชื้อเชิญให้เขาเดินทางไกลมาเยือนสำนักศึกษาซานหยาของต้าสุยดูสักเที่ยว
ศาลบุ๋นในเมืองหลวงที่ขนาดใหญ่สุดและมีระบบพิธีการสูงสุดของต้าสุยแห่งนั้นตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ดังนั้นคนทั้งสองที่เดินทางออกมาจากภูเขาตงหัวจึงต้องเดินผ่านพื้นที่เกือบครึ่งหนึ่งของเมืองหลวง ระหว่างนั้นเหมาเสี่ยวตงยังเลี้ยงข้าวกลางวันเฉินผิงอันมื้อหนึ่ง เป็นร้านข้าวเล็กๆ ที่หลบอยู่ในมุมลึกของตรอกเก่าโทรม ทว่ากิจการกลับไม่ซบเซา สุราหอมไม่กลัวตรอกลึก เหล้าที่หมักจากข้าวซึ่งทางร้านหมักเองมีรสชาติดีเยี่ยมเป็นเอกลักษณ์
เหมาเสี่ยวตงเล่าว่าทุกครั้งที่หมักเหล้า นอกจากเจ้าของร้านจะต้องคัดเลือกข้าวเหนียวด้วยตัวเองแล้ว ยังต้องพาบุตรชายออกไปจากเมือง ไปตักน้ำที่บ่อน้ำพุซงเฟิงซึ่งอยู่ห่างจากเมืองหลวงไปหกสิบลี้ พ่อลูกสองคนผลัดกันหาบน้ำไว้บนไหล่ ออกแต่เช้าตรู่กลับมาถึงเย็นย่ำถึงจะหมักเหล้าข้าวที่คนชอบดื่มของเมืองหลวงพอได้ดื่มแล้วไม่อยากจะหยุดชนิดนี้ออกมาได้
ตอนที่ออกจากร้าน เฉินผิงอันซื้อเหล้าข้าวมาไหใหญ่ พอไปถึงตรอกที่ไร้ผู้คนก็เทมันใส่ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่เหล้าด้านในเหลือติดก้นแล้ว จากนั้นค่อยเก็บไหเปล่าใส่ไว้ในวัตถุจื่อชื่อ
ด้านในวัตถุจื่อชื่อ ‘เต็มไปด้วยความมหัศจรรย์’
อาภรณ์ ตำรา ของตกแต่งบนโต๊ะหนังสือ หม้อ ถ้วย กระบวยตักน้ำ มีดผ่าฟืน เข็มและด้าย สมุนไพร หินติดไฟ ของกระจุกกระจิกยิบย่อยเต็มไปหมด
เห็นว่าเฉินผิงอันเก็บไหเหล้าว่างเปล่าที่มีราคาแค่ไม่กี่อีแปะเอาไว้ เหมาเสี่ยวตงก็เอ่ยเตือนว่า “สะสมน้อยไปมาก รวบรวมเม็ดทรายเป็นเจดีย์คือเรื่องดี เพียงแต่อย่าได้ดึงดันเกินไป เป่าขนหาข้อด้อย (เปรียบเปรยว่าคอยจับผิดในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ หรือตรงกับสำนวนไทยว่าฟื้นฝอยหาตะเข็บ) ไปเสียทุกเรื่อง หากไม่ทำให้จิตใจยากที่จะใสกระจ่างแจ่มชัด ก็ต้องเหนื่อยทั้งกายและใจ แม้ว่าเส้นเอ็นและกระดูกจะแข็งแกร่ง แต่จิตใจกลับเหนื่อยล้าอ่อนเพลียเร็วกว่าเวลาอันสมควร”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “จดจำไว้แล้ว”
เหมาเสี่ยวตงลูบหนวดยิ้ม
ในความเป็นจริงแล้วคนที่เป่าขนหาข้อด้อยคือศิษย์พี่เหมาอย่างเขาต่างหาก แต่หากไม่ทำแบบนี้ ไม่วางมาดเล็กๆ ต่อหน้าเฉินผิงอันเสียบ้าง จะแสดงให้เห็นถึงศักดิ์ศรีของศิษย์พี่ได้อย่างไร? อาจารย์ของตนไม่คิดถึง ไม่เคยพูดถึงตนแม้สักครึ่งคำ เขาเหมาเสี่ยวตงก็ควรต้องหาสิ่งชดเชยกลับมาจากตัวของลูกศิษย์คนสุดท้ายของอาจารย์บ้างไม่ใช่หรือ
จากนั้นก็เดินกันไปอีกเกือบครึ่งชั่วยามจึงมาถึงสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับในใจชาวบ้านทุกคนของต้าสุย ศาลบุ๋นแห่งเมืองหลวง
ศาลบุ๋นกระจายอยู่ตามสถานที่ต่างๆ ของใต้หล้าไพศาลดุจดวงดาวดารดาษ ประหนึ่งโคมไฟชะตาบุ๋นหลายดวงที่วางอยู่บนพื้นดิน ส่องแสงให้โลกมนุษย์สว่างไสว
เว้นเสียจากเป็นสถานที่ที่ทุรกันดารห่างไกลเกินไป หาไม่แล้วต่อให้เป็นอำเภอที่เล็กที่สุดก็ยังต้องสร้างศาลบุ๋นขึ้นมา เจ้าเมืองหรือนายอำเภอทุกคนที่มารับตำแหน่งใหม่จะต้องไปจุดธูปกราบไหว้หลี่เซิ่งที่ศาลบุ๋น จากนั้นค่อยไปกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ตั้งบูชาอยู่ในศาลบู๊
ดังนั้นต่อให้เมืองเล็กในถ้ำสวรรค์หลีจูที่เฉินผิงอันเกิดและเติบโตมาจะตัดขาดกับโลกภายนอกแค่ไหน ทว่าพอถ้ำสวรรค์ปริแตกและร่วงลงมาบนพื้น หยั่งรากเชื่อมโยงกับผืนแผ่นดินในอาณาเขตของต้าหลี เรื่องใหญ่เรื่องแรกที่ราชสำนักต้าหลีต้องทำก็คือสั่งให้อู๋ยวนนายอำเภอคนแรกลงมือเฟ้นหาที่ดินในการก่อสร้างศาลบุ๋นบู๊สองแห่งทันที
เหมาเสี่ยวตงยืนอยู่นอกศาลบุ๋น เฉินผิงอันยืนเคียงไหล่อยู่กับผู้เฒ่า
เหมาเสี่ยวตงถามว่า “ก่อนหน้านี้ดื่มเหล้าข้าวมา ตอนนี้เห็นศาลบุ๋นแล้ว มีความรู้สึกอะไรหรือไม่?”
เฉินผิงอันตอบ “ใช้ข้าวเหนียวชั้นดีมาหมักเหล้า คนที่ซื้อเหล้ามีมาไม่ขาดสาย เห็นได้ชัดว่าชาวบ้านในเมืองหลวงไม่เพียงแต่ไม่มีความกังวลเรื่องการกินอยู่ ยังค่อนข้างจะมีเงินเหลืออีกด้วย ส่วนศาลบุ๋นแห่งนี้ ข้ายังมองอะไรไม่ออก”
เฉินผิงอันตอบถูกครึ่งหนึ่ง เหมาเสี่ยวตงผงกศีรษะรับเบาๆ เพียงแต่ว่าครั้งนี้เหมาเสี่ยวตงไม่ได้แสร้งทำเป็นเล่นแง่อวดภูมิกับเฉินผิงอัน เขาพูดชี้แนะเฉินผิงอันว่า “ทางฝั่งนั้นยังไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ นี่หมายความว่าเจ้าพวกคนที่อยู่ในก้อนดินของศาลบุ๋นต้าสุยเหล่านั้นไม่เห็นดีในโชคชะตาบุ๋นของเจ้าเฉินผิงอัน”
กล่าวมาถึงตรงนี้ เหมาเสี่ยวตงก็เพิ่มน้ำเสียงเย้ยหยันเข้าไปเล็กน้อย “คงเป็นเพราะถูกควันธูปรมมาหลายร้อยปี สายตาก็เลยไม่ดี”
เหมาเสี่ยวตงพูดต่อว่า “ปัญญาชนนักท่องเที่ยวที่มาเยือนศาลบุ๋นด้วยความความจริงใจ หากเป็นคนที่มีชะตาบุ๋นรุ่งโรจน์ติดตัว องค์เทพในศาลบุ๋นก็จะเกิดจิตตอบรับ แล้วก็จะแบ่งชะตาบุ๋นที่เพิ่มพูนขึ้นมาจากความสามารถด้านวรรณกรรมให้เล็กๆ น้อยๆ คำกล่าวที่ว่าจรดพู่กันดุจบุปผาผลิบาน บทความสวรรค์สร้าง ตวัดพู่กันดุจมีเทพและผีคอยช่วยเหลือ ก็คือหลักการนี้ แต่สิ่งที่ทวยเทพในศาลบุ๋นสามารถทำได้ก็มีแค่ปักบุปผาลงบนผ้าแพรเท่านั้น สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้วก็ยังต้องดูว่าตัวบัณฑิตเองมีความรู้ลึกล้ำหรือไม่”
“ผู้ที่ยินดีทำเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ควันธูปที่เปลี่ยนจากขุนนางบุ๋นมาเป็นเทพ ปรมาจารย์มหาปราชญ์และเจ็ดสิบสองนักปราชญ์ที่ตั้งบูชาไว้ในศาลบุ๋นประจำเมืองหลวงของแต่ละแคว้นก็เป็นแค่เทวรูปดินเผาเท่านั้น แน่นอนว่าไม่มีเรื่องใดตายตัว แล้วก็มีข้อยกเว้นอยู่น้อยครั้ง ศาลบุ๋นในเมืองหลวงของเก้าราชวงศ์ใหญ่ในใต้หล้าไพศาล ส่วนใหญ่มักจะมีอริยะใหญ่ท่านหนึ่งนั่งบัญชาการณ์อยู่ด้านใน”
ได้ฟังมาถึงตรงนี้ เฉินผิงอันก็เอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “ตอนนี้ทางทิศใต้ของแจกันสมบัติทวีปต่างก็ลือกันว่าต้าหลีกลายเป็นราชวงศ์ใหญ่แห่งที่สิบแล้ว”
เหมาเสี่ยวตงคลี่ยิ้ม “รอให้ห้าขุนเขาแห่งใหม่ของต้าหลีปรากฏครบก่อนแล้วค่อยมาคุยกันเรื่องนี้ เวลานี้เพิ่งจะมีขุนเขาเหนือภูเขาพีอวิ๋นแห่งเดียวที่พอจะถือว่าถูกทำนองคลองธรรม เวลานี้ยังเร็วเกินไปนัก”
เหมาเสี่ยวตงเดินตรงไปด้านหน้า “ไปกันเถอะ พวกเราไปพบเหล่าอิรยะแห่งศาลบุ๋นซึ่งเป็นศักดิ์ศรีของแคว้นต้าสุยกัน”
เฉินผิงอันเดินตามไปด้านหลัง
ศาลบุ๋นมีอาณาบริเวณกว้างขวางมาก ปัญญาชนและชายหญิงผู้มีจิตศรัทธาที่มาเยือนสถานที่แห่งนี้มีจำนวนมาก แต่กลับไม่ดูแออัด
ทว่าพอเฉินผิงอันติดตามเหมาเสี่ยวตงไปถึงตำหนักหลักของศาลบุ๋นก็พบว่ารอบด้านไร้ผู้คนแล้ว
ดูท่าคนเฝ้าศาลคงได้รับคำสั่งมาก่อน จึงไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวหรือคนที่มาทำบุญขยับเข้ามาใกล้ตำหนักใหญ่ที่ด้านหน้าตั้งพื้นที่บูชาฟ้าดิน ด้านหลังตั้งบูชาอริยะของแคว้นแห่งนี้
ลานกว้างของเรือนใหญ่มีต้นไม้โบราณสูงเสียดฟ้า บรรยากาศเงียบสงบ
ชายวัยชราลัทธิขงจื๊อที่สวมเสื้อแขนกว้างและกวานสูง ตรงเอวพกกระบี่ยาว เผยกายด้วยร่างสีทอง เดินออกมาจากเทวรูปดินเผาในส่วนหลังของตำหนัก ก้าวข้ามธรณีประตูเดินมายังลานกว้าง
เหมาเสี่ยวตงและขุนนางบุ๋นที่ขึ้นชื่อด้านความซื่อสัตย์ภักดีในตำราประวัติศาสตร์ของต้าสุยต่างก็ประสานมือคารวะซึ่งกันและกัน
ก่อนจะเดินเข้ามาในเรือนแห่งนี้ เหมาเสี่ยวตงได้เล่าเรื่องประวัติความเป็นมา สายบุ๋น รวมไปถึงคุณความชอบในแต่ละยุคแต่ละสมัยของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในศาลบุ๋นประจำเมืองหลวงที่จนทุกถึงวันนี้ก็ยัง ‘มีชีวิตอยู่’ ให้เฉินผิงอันฟังแล้ว
องค์เทพแห่งศาลบุ๋นที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้มีนามว่าหยวนเกาเฟิง คือหนึ่งในขุนนางผู้มีคุณูปการบุกเบิกแคว้นของต้าสุย และยิ่งเป็นแม่ทัพผู้มีความรู้ที่มีคุณความชอบด้านการศึกเลื่องลือท่านหนึ่ง เขาโยนพู่กันเดินเข้าสู่สนามรบ ติดตามฮ่องเต้บุกเบิกแคว้นสกุลเกาเกอหยางรวบรวมแผ่นดินอยู่บนหลังม้า พอลงจากหลังม้าก็ใช้สถานะเจ้ากรมขุนนาง รับตำแหน่งบัณฑิตใหญ่แห่งตำหนักอู่อิงมาอุทิศตนถวายชีวิตเพื่อบ้านเมือง ผลงานเกริกก้อง ตายไปก็ได้บรรดาศักดิ์เหวินเจิ้ง จนถึงทุกวันนี้ตระกูลหยวนก็ยังคงเป็นชนชั้นสูงอันดับหนึ่งในต้าสุย มีอริยะบุคคลถือกำเนิดมากมาย เจ้าประมุขสกุลหยวนคนปัจจุบันเคยดำรงตำแหน่งขุนนางถึงขั้นเจ้ากรมอาญา เพราะป่วยจึงลาออกจากราชการ ในบรรดาลูกหลานมีคนมีพรสวรรค์มากมาย ล้วนมีผลงานอยู่ทั้งในวงการขุนนาง สนามรบและวงการการศึกษา
ตัวของหยวนเกาเฟิงเองก็เป็นขุนนางคนแรกที่ฮ่องเต้ประทานบรรดาศักดิ์ว่าเหวินเจิ้งให้นับตั้งแต่ที่แคว้นต้าสุยก่อตั้งมา
หยวนเกาเฟิงถาม “ไม่ทราบว่าเจ้าขุนเขาเหมามาเยือนด้วยธุระใด?”
เหมาเสี่ยวตงถามกลับ “แสร้งถามทั้งที่รู้ดี?”
หยวนเกาเฟิงหน้าไม่เปลี่ยนสี “ขอเจ้าขุนเขาเหมาโปรดชี้แจง”
เหมาเสี่ยวตงเอ่ยเนิบช้า “ข้าต้องการดึงโชคชะตาบุ๋นส่วนหนึ่งมาจากศาลบุ๋นของพวกเจ้า และต้องการยืมอีกส่วนหนึ่ง ในบรรดาภาชนะที่ใช้ประกอบพิธีของศาลบุ๋น ข้าต้องการนำจู้ (เครื่องดนตรีโบราณชนิดหนึ่ง ทำมาจากไม้ ลักษณะคล้ายเครื่องตวงข้าวทรงสี่เหลี่ยม) และเปียนชิ่งหนึ่งชุด (ชิ่งคือเครื่องดนตรีโบราณประเภทตี รูปร่างคล้ายไม้ฉากที่ทำด้วยหยกหรือทองเหลือง เปียนชิ่งคือการนำชิ่งที่ทำจากหินซึ่งมีโทนเสียงสูงต่ำไม่เท่ากันมาแขวนเรียงกัน) นอกจากนี้ก็มีฝู่ (ภาชนะรูปสี่เหลี่ยมสำหรับใส่พระแม่โพสพในขณะที่ทำพิธีกรรมสมัยโบราณ) และกุ่ย (ภาชนะใส่อาหารสมัยโบราณ ปากกลมมีสองหู) อย่างละชิ้น เชิงเทียนสองอัน นี่คือส่วนที่สำนักศึกษาซานหยาของพวกเราควรต้องได้รับอยู่แล้ว รวมไปถึงไหใหญ่เคลือบลายครามใบที่ขุนนางผู้ตรวจการเหยียนชิงกวางจ่ายเงินจ้างให้คนทำขึ้นมาซึ่งภายหลังพวกเจ้าย้ายมาจากศาลบุ๋นในท้องถิ่นใบนั้นด้วย ของสิ่งนี้เป็นการขอยืมจากศาลบุ๋นของพวกเจ้า นอกจากโชคชะตาบุ๋นที่ซุกซ่อนอยู่ภายในแล้ว แน่นอนว่าภาชนะทุกชิ้นล้วนต้องเอามาส่งคืนให้เจ้าตามเดิม”
หยวนเกาเฟิงถาม “เหตุใดเจ้าเหมาเสี่ยวตงถึงไม่แย่งชิงไป?”
สมกับที่มีชาติกำเนิดเป็นแม่ทัพผู้ปรีชา พูดจาอ้อมค้อมตรงประเด็น ไม่เลอะเลือนเลยแม้แต่น้อย
บทที่ 408.2 ผู้มาเยือนมีเจตนาไม่ดี
เหมาเสี่ยวตงยิ้มกล่าว “หากข้าแย่งได้ก็คงไม่มัวมาเกรงใจพวกเจ้าแล้ว”
หยวนเกาเฟิงเอ่ยเย้ยหยัน “เจ้าเองก็รู้ด้วยหรือ เห็นเจ้าพูดจาวางโต ข้าก็นึกว่าตอนนี้เจ้าเหมาเสี่ยวตงคืออริยะขอบเขตหยกดิบของสำนักศึกษาซะแล้ว”
จากนั้นหยวนเกาเฟิงก็เอ่ยอีกว่า “แต่ดูเหมือนขอบเขตหยกดิบจะยังไม่พอ เว้นเสียจากว่าเจ้าเหมาเสี่ยวตงสามารถย้ายภูเขาตงหัวทั้งลูกมาที่ศาลบุ๋นถึงจะพอทำได้อย่างถูไถกระมัง? ขอบเขตไม่สูงพอคือความยากอย่างแรก ใช้วิชาอภินิหารในการเคลื่อนย้ายขุนเขาของเซียนมาย้ายชะตาบุ๋นของภูเขาตงหัวก็เป็นเรื่องยากอีกอย่างหนึ่ง ยากเจอกับยาก ช่างทำให้เจ้าขุนเขาใหญ่เหมาลำบากซะจริง”
เหมาเสี่ยวตงกวาดตามองรอบด้านพลางหัวเราะร่า “จะย้ายมาได้อย่างไร ภูเขาใหญ่กว่าศาลตั้งมาก หรือจะให้ทุ่มภูเขาทับศาลบุ๋น? ศาลบุ๋นลำดับต้นๆ ของต้าสุยจะไม่พินาศย่อยยับในวันเดียวเลยหรือ?”
หยวนเกาเฟิงพูดเสียงกร้าว “เหมาเสี่ยวตง เจ้าอย่าคิดจะมาเล่นลูกไม้ของสำนักการค้าอยู่ในศาลของข้า จะให้ข้าหยวนเกาเฟิงมาต่อรองราคากับเจ้าอยู่ที่นี่ เจ้าอาจจะไม่อาย แต่ข้ายังต้องกลัวว่าจะเสียหน้า! เส้นขีดจำกัดของศาลบุ๋นอยู่ตรงไหน เจ้าเองก็รู้ดี!”
เหมาเสี่ยวตงไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย
แต่เฉินผิงอันกลับสัมผัสได้อย่างเลือนรางว่าท่ามกลางปราณแห่งความเที่ยงธรรมที่ยิ่งใหญ่ไพศาลได้เกิดลำแสงเจ็ดสีหลายเส้นที่เดี๋ยวๆ ก็มารวมตัวกัน เดี๋ยวๆ ก็แยกย้ายกันออกไป มีสัญญาณเหมือนว่าจะรวมตัวกันกลายมาเป็นสิ่งที่จับต้องได้จริง
การโคจรลมปราณที่แท้จริงในร่างของเฉินผิงอันชะงักค้าง จวนน้ำที่หล่อเลี้ยงตราประทับแห่งชีวิตตัวอักษรน้ำปิดประตูแน่นสนิทโดยอัตโนมัติ เด็กตัวจิ๋วชุดเขียวทั้งหลายที่ฟูมฟักก่อกำเนิดมาจากแก่นน้ำตัวสั่นสะท้านด้วยความหวาดหวั่น
เหมาเสี่ยวตงไม่ได้ขัดขวางการจงใจแสดงอำนาจบารมีของหยวนเกาเฟิง ปล่อยให้เฉินผิงอันที่อยู่ด้านหลังแบกรับการสยบจากโชคชะตาบุ๋นที่เข้มข้นขุมนี้ไปด้วยตัวเอง
เหมาเสี่ยวตงยื่นฝ่ามือชี้ไปทางตำหนักใหญ่ “พวกเราไปคุยกันที่ตำหนักหลัง”
หยวนเกาเฟิงลังเลเล็กน้อยก็พยักหน้าตอบรับ
เหมาเสี่ยวตงบอกให้เฉินผิงอันไปเดินเล่นที่ตำหนักหน้า ไม่ต้องตามไปที่ตำหนักหลังด้วย
หลังจากที่เหมาเสี่ยวตงกับหยวนเกาเฟิงเดินเข้าไปในตำหนักหลังแล้วก็มีองค์เทพร่างทองอีกหลายท่านเดินออกมาจากเทวรูปดินเผา
ส่วนเฉินผิงอันก็เดินช้าๆ ไปยังตำหนักหน้าที่โอ่อ่าเคร่งขรึม นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินผิงอันได้เดินเข้ามาในตำหนักหลักของศาลบุ๋นประจำเมืองหลวงของแคว้นหนึ่ง ตอนนั้นที่อยู่ใบถงทวีปเขาไม่ได้ติดตามคนสกุลเหยาไปยังเมืองเซิ่นจิ่งของราชวงศ์ต้าเฉวียนด้วย ไม่อย่างนั้นก็คงจะไปเยือนศาลบุ๋นของที่นั่นแล้ว ต่อมาได้ไปเยือนเมืองหลวงแคว้นชิงหลวน เนื่องจากเวลานั้นกำลังมีการจัดงานโต้วาทีพุทธเต๋าขึ้น เฉินผิงอันจึงไม่มีโอกาสได้ไปเที่ยวชม ส่วนเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนในพื้นที่มงคลดอกบัวกลับไม่มีศาลบุ๋นที่ตั้งบูชานักปราชญ์ทั้งเจ็ดสิบสองท่าน
ต่อให้เดินทางไกลแค่ไหน ไล่สายตามองอย่างละเอียดเท่าไหร่ ถึงอย่างไรก็ยังมีสิ่งที่พลาดไป ไม่สิ่งนี้ก็สิ่งนั้น ไม่สามารถชื่นชมทิวทัศน์ทุกแห่งได้ถ้วนทั่วอย่างแท้จริง
กาลเวลาผันผ่าน ขยับเข้าใกล้ช่วงสายัณห์ เฉินผิงอันอยู่เพียงลำพัง แม้เท้าจะก้าวเดินแต่กลับแทบไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าของเขาเลยสักนิดเดียว เขาเดินวนดูเทวรูปในตำหนักหน้าครบสองรอบแล้ว ก่อนหน้านี้เมื่อได้อ่านตำราเทพเซียนอย่าง ‘จารึกภูเขาและทะเล’ ผลงานส่วนตัวของปัญญาชนในแต่ละแคว้นและร้อยแก้วบันทึกการท่องเที่ยว ก็ได้สัมผัสกับเรื่องราวของ ‘นักปราชญ์’ ที่ถูกตั้งบูชาในศาลบุ๋นตอนที่ยังมีชีวิตอยู่มาไม่มากก็น้อย นี่คือเรื่องที่ลัทธิขงจื๊อในใต้หล้าไพศาลทำให้ชาวบ้านไม่เข้าใจมากที่สุด แม้แต่เจ้าขุนเขาของเจ็ดสิบสองสำนักศึกษาก็ยังถูกเรียกว่าอริยะด้วยความเคยชิน แต่เหตุใดอริยะใหญ่ที่มีความรู้ยิ่งใหญ่และคุณูปการเกริกก้องเหล่านี้ถึงถูกระบบดั้งเดิมของลัทธิขงจื๊อมอบคำว่า ‘นักปราชญ์’ ให้? ต้องรู้ว่าในสำนักศึกษาใหญ่ๆ หลายแห่ง เมื่อเทียบกับวิญญูชนที่มีน้อยยิ่งกว่าขนหงส์เขากิเลนแล้ว นักปราชญ์นั้นไม่ถือว่าน้อยเลย
เหมาเสี่ยวตงเดินกลับมาจากตำหนักด้านหลัง เฉินผิงอันสังเกตเห็นว่าสีหน้าของผู้เฒ่าไม่ค่อยน่ามองนัก
ยังอยู่ในศาลบุ๋น เฉินผิงอันจึงไม่ได้ถามอะไรมาก
พอคนทั้งสองเดินออกมาจากศาลบุ๋นแล้ว เหมาเสี่ยวตงก็เป็นฝ่ายเปิดปากเล่าเองว่า “แต่ละคนไม่ต่างจากไก่ขนเหล็ก ขนสักเส้นก็ดึงไม่ออก (เปรียบเปรยถึงคนตระหนี่ ขี้เหนียว) คุยยากจริงๆ”
เฉินผิงอันผงกศีรษะรับ
เหมาเสี่ยวตงเงยหน้ามองสีท้องฟ้าแวบหนึ่ง “เดินเที่ยวในศาลบุ๋นอย่างโจ่งแจ้งเสร็จแล้ว เดี๋ยวไปกินมื้อเย็นกัน หลังจากนั้นฉวยโอกาสตอนที่ฟ้ามืด พวกเราไปลองเสี่ยงดวงตามสถานที่แห่งอื่นที่มีชะตาบุ๋นรวมตัวกันอยู่ ถึงเวลานั้นก็ไม่ต้องมัวเดินทางอย่างอืดอาดแล้ว รีบรบรีบจบ พยายามกลับไปให้ถึงสำนักศึกษาก่อนที่ไก่จะขันในวันพรุ่งนี้เช้า ส่วนทางฝ่ายของศาลบุ๋นแห่งนี้ ข้าไม่มีทางปล่อยให้พวกเขาทำตัวขี้เหนียวแบบนี้แน่นอน วันหน้าพวกเราจะมาเยือนทุกวัน วันละรอบ”
หลังจากที่คนทั้งสองเดินทะลุถนนใหญ่สองสายมาแล้วก็มองหาร้านอาหารใกล้เคียง ขณะที่รออาหารวางขึ้นโต๊ะ เหมาเสี่ยวตงก็ใช้เสียงในใจบอกกับเฉินผิงอันว่า “บรรยากาศของศาลบุ๋นไม่ปกติ หยวนเกาเฟิงทำตัวไม่น่าใกล้ชิด ข้ายังพอจะเข้าใจได้ แต่อริยะบุ๋นต้าสุยอีกสองคนที่โผล่หน้ามาช่วยสนับสนุนหยวนเกาเฟิงในวันนี้ มีชื่อเสียงด้านนิสัยอบอุ่นอ่อนโยนในตำราประวัติศาสตร์ ไม่ควรจะมีท่าทีแข็งกระด้างขนาดนี้จึงจะถูก”
เฉินผิงอันรินเหล้าข้าวสองถ้วยมาจากน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ ถามว่า “เป็นเพราะหยวนเกาเฟิงคิดจะใช้วิธีการเช่นนี้มาเตือนพวกเราหรือไม่? เหล่าองค์เทพในศาลบุ๋นประจำเมืองหลวงย่อมต้องเห็นคลื่นใต้น้ำของต้าสุยอยู่ในสายตามานานแล้ว เพียงแต่ว่าจะหน้ามือหรือหลังมือก็ล้วนเป็นเนื้อ อีกทั้งยังเกี่ยวพันกับโชคชะตาแคว้นและชะตาบุ๋นของสกุลเกาต้าสุย จึงยากที่พวกเขาจะตัดสินใจได้ ได้แต่นิ่งดูดายอยู่เฉยๆ แต่กระนั้นก็ไม่อยากเห็นพวกเราถูกปิดหูปิดตาจนสายบุ๋นของสำนักศึกษาถูกทำลาย ดังนั้นจึงจงใจตีหน้าบึ้งตึงให้เห็น ใช้คำพูดและการกระทำที่ผิดไปจากปกติมาบอกให้พวกเราระวังสถานการณ์นอกศาลบุ๋น?”
เหมาเสี่ยวตงยิ้มบางๆ ด้วยความรู้สึกชื่นชม “ตอบถูกแล้ว”
เหมาเสี่ยวตงมองไปนอกร้านอาหาร จุ๊ปากพูด “เดิมทีนึกว่าพวกเราเหวี่ยงเบ็ดโยนเหยื่อลงน้ำ ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็น่าจะใช้เวลาสังเกตการณ์ให้มากขึ้น หรือไม่ก็ฉวยโอกาสตอนกลางคืนที่คนน้อยส่งพวกปลาซิวปลาสร้อยมาลองตอดเหยื่อดูก่อน คิดไม่ถึงว่าฟ้ายังไม่ทันมืด ออกจากศาลบุ๋นมาได้ไม่ไกล บนถนนที่ผู้คนเดินกันขวักไขว่ พวกเขาก็เรียกใช้ท่าไม้ตายแล้ว ช่างเสียสติสิ้นดี ปัญญาชนลัทธิขงจื๊อฆ่าคนได้อย่างเฉียบขาดขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”
เฉินผิงอันดื่มเหล้าข้าวที่หมักจนหอมกรุ่นถ้วยนั้นอย่างเชื่องช้า
เหมาเสี่ยวตงถามด้วยรอยยิ้ม “ไม่เครียดสักนิดเลยหรือ?”
เฉินผิงอันวางถ้วยเหล้าลง กล่าวว่า “บอกเจ้าขุนเขาเหมาตามตรง ข้าผ่านการเข่นฆ่าสังหารมาไม่น้อย ถือว่าพอจะเห็นโลกกว้างมาบ้างแล้ว”
เหมาเสี่ยวตงถามอีก “เห็นโลกกว้างแค่ไหน?”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็ตอบตามสัตย์จริง “เคยต่อสู้กับเจียวเฒ่าก่อกำเนิดตัวหนึ่งที่เฝ้าพิทักษ์ฟ้าดินขนาดเล็กอย่างร่องน้ำเจียวหลง แล้วก็เคยสะพายกระบี่ของเซียนกระบี่ใหญ่ผู้เฒ่าที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ต้านรับการโจมตีจากเรือกลืนกระบี่อันเป็นสมบัติอาคมแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกตนขอบเขตบินทะยานท่านหนึ่ง”
เหมาเสี่ยวตงหัวเราะเสียงดังกังวาน
เฉินผิงอันกลั้นยิ้มแล้วพูดประจบเสริมไปอีกหนึ่งคำ “แล้วก็เคยดื่มเหล้าร่วมโต๊ะกับเจ้าขุนเขาเหมา”
เหมาเสี่ยวตงรีบยกถ้วยขาวใบใหญ่ขึ้น “ประโยคก่อนหน้านั้นไม่ขอพูดอะไร แต่ประโยคหลังนี้ต้องดื่มเหล้าถ้วยใหญ่ดีๆ สักถ้วย”
เฉินผิงอันดื่มเหล้าในถ้วยจนหมดแล้วถามขึ้นอย่างกะทันหันว่า “พอจะรู้จำนวนคนและตบะคร่าวๆ หรือไม่?”
เหมาเสี่ยวตงพยักหน้ารับ “หลายปีมานี้มองดูเหมือนข้าเตร็ดเตร่ตามเป่าผิงน้อยไปอย่างส่งเดช แต่อันที่จริงได้วางแผนบางอย่างหวังจะทำเรื่องหนึ่งให้สำเร็จมานานแล้ว แต่เป็นเรื่องอะไรนั้น ยังไม่ต้องพูดถึง ถึงอย่างไรในรัศมีพันจั้งรอบกายข้า มีผู้ฝึกลมปราณต่ำกว่าห้าขอบเขตบนและผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่ต่ำกว่าขอบเขตเก้ากี่คน ข้าล้วนรู้ชัดเจนดี นักฆ่าห้าคนนี้ มีผู้ฝึกกระบี่โอสถทองขอบเขตเก้าหนึ่งคน ผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกรของสำนักการทหารหนึ่งคน อาจารย์ด้านค่ายกลขอบเขตประตูมังกรหนึ่งคน ผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลหนึ่งคน ผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองหนึ่งคน”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจ “ข้าคงช่วยไม่ได้สักเท่าไหร่”
เหมาเสี่ยวตงคลี่ยิ้มพลางลุกขึ้นยืน หยิบยันต์ร่างจริงเทพท่องทิวาราตรีแผ่นนั้นออกมาจากชายแขนเสื้อ มอบให้เฉินผิงอันที่ลุกขึ้นยืนตามเขา พูดกลั้วหัวเราะด้วยเสียงในหัวใจ “ไหนเลยจะมีเหตุผลที่ศิษย์พี่ผลาญสมบัติของศิษย์น้อง เก็บเอาไว้”
เฉินผิงอันสองจิตสองใจ
เหมาเสี่ยวตงยิ้มถาม “ทำไม รู้สึกว่าศัตรูบุกมาอย่างอาจหาญ เป็นข้าเหมาเสี่ยวตงที่ประมาทเกินไป? ลืมประโยคที่เคยพูดก่อนหน้านี้ไปแล้วหรือไร ขอแค่ไม่มีผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบช่วยคุมท้ายขบวนให้พวกเขา ข้าก็ล้วนรับมือได้ไหว”
เฉินผิงอันขมวดคิ้ว “แล้วถ้าหากมีล่ะ?”
เหมาเสี่ยวตงคลี่ยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นข้าก็ยิ่งวางใจได้ หากมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ก็ไม่มีทางสังหารข้าให้ตายได้ ขณะเดียวกันก็พิสูจน์ให้เห็นว่าทางฝ่ายของสำนักศึกษาไม่มีทางหนีทีไล่และท่าไม้ตายที่พวกเขาซุกซ่อนเอาไว้”
ฉวยโอกาสที่เหมาเสี่ยวตงยังไม่มีท่าทีว่าจะลงมือ
เฉินผิงอันรินเหล้าเงียบๆ อีกถ้วย
เหมาเสี่ยวตงถามอย่างประหลาดใจ “ทำอะไรน่ะ?”
เฉินผิงอันกำลังก้มหน้าดื่มเหล้าอึกใหญ่ “เลียนแบบจูเหลี่ยน ดื่มเหล้าลงทัณฑ์”
เหมาเสี่ยวตงด่ายิ้มๆ “เจ้าตัวดี นี่เจ้าคงรอให้ผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบมาปรากฏตัวที่นี่ ใช่ไหม?!”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ
เหมาเสี่ยวตงชำเลืองตามองปิ่นหยกชิ้นนั้นแล้วก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น