กระบี่จงมา 405.4-407.1
บทที่ 405.4 จิตใจใฝ่หา
ตอนที่พูดถึงเรื่องพวกนี้ เผยเฉียนพบว่าหลี่เป่าผิงทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอย่างที่หาได้ยาก
เผยเฉียนทอดถอนใจด้วยความชื่นชม “พี่หญิงเป่าผิง เจ้าคิดเยอะจริงๆ”
หลี่เป่าผิงเห็นว่าเผยเฉียนยังกินขนมชิ้นนั้นไม่เสร็จ นางแทะเบาๆ ราวกับหนูตัวน้อยแทะข้าวโพดอย่างไรอย่างนั้น หลี่เป่าผิงจึงคลี่ยิ้ม ตบไหล่เผยเฉียน “อาจารย์อาน้อยต่างหากที่คิดเยอะ”
หลี่เป่าผิงแกว่งเท้า พูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ชุยตงซานเคยบอกว่า สักวันหนึ่งอาจารย์อาน้อยจะต้องพบเจอกับแม่นางที่เขาชอบ ข้าก็ได้แต่เป็นอันดับที่สองในใจของอาจารย์อาน้อย ไม่แน่ว่าในอนาคตข้าเองก็อาจพบเจอคนที่ข้าชอบมากเหมือนกัน และอาจารย์อาน้อยก็ต้องอยู่อันดับสองในใจข้า ข้ารู้สึกว่าชุยตงซานพูดจาเหลวไหล อาจารย์อาน้อยมีผู้หญิงที่ชอบ ข้าก็ไม่ถือสา แต่ข้าจะชอบคนอื่นมากกว่าอาจารย์อาน้อยได้อย่างไร ถูกไหมเผยเฉียน?”
เผยเฉียนรีบพยักหน้ารับ
หลี่เป่าผิงพึงพอใจกับท่าทีของเผยเฉียนมากจึงตบไหล่นาง พูดด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความปรารถนาดี “วันหน้าติดตามอาจารย์อาน้อยออกไปท่องยุทธภพ เจ้าต้องพยายามให้เยอะๆ ต้องรู้ความให้มากขึ้น ซุกซนบ้างก็ได้ แต่อย่าซนบ่อยจนอาจารย์อาน้อยต้องเหน็ดเหนื่อยใจ อาจารย์อาน้อยของข้า อาจารย์ของเจ้า ไม่ได้หล่นลงมาจากฟ้า อาจารย์อาน้อยเองก็มีเรื่องที่ต้องวุ่นวายใจ มีเรื่องเสียใจที่ต้องใช้เหล้าดับทุกข์ ดังนั้นเจ้าต้องรู้ความในบางเรื่อง ทำได้หรือไม่? เจ้าก็เห็นว่าเมื่อก่อนอาจารย์อาน้อยไม่เคยดื่มเหล้า ตอนนี้กลับดื่มเหล้าแล้ว นี่หมายความว่าลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาอย่างเจ้ายังมีบางเรื่องที่ทำได้ไม่ดีพอ ถูกต้องไหม?”
เผยเฉียนยังคงพยักหน้า ชื่นชมอีกฝ่ายและยินดีจากใจจริง
เกี่ยวกับเรื่องที่จะให้นางยืมน้ำเต้าลูกเล็กสีเงินและดาบแคบยันต์มงคล ความหมายคร่าวๆ ในคำพูดของหลี่เป่าผิงเหมือนกับคำพูดที่เฉินผิงอันผู้เป็นอาจารย์และคำพูดที่จงขุยเคยกล่าวไว้อย่างไม่มีผิดเพี้ยน
นาทีนั้นเผยเฉียนถึงได้ยอมรับว่า หลี่เป่าผิงเรียกเฉินผิงอันว่าอาจารย์อาน้อย เพราะมีเหตุผล
คนทั้งสองทยอยกันไต่ลงมาจากต้นไม้ใหญ่
หลี่เป่าผิงต้องไปเข้าเรียนคาบของอาจารย์จากต่างถิ่นจึงวิ่งตะบึงจากไป ท่ามกลางกลุ่มของอาจารย์ผู้เฒ่าและลูกศิษย์หนุ่มสาวของสำนักศึกษา ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหลี่เป่าผิงมีอายุน้อยที่สุด อีกทั้งยังสวมชุดสีแดงสดย่อมสะดุดตาอย่างยิ่ง
เผยเฉียนเลือกไปที่หอพักของพวกหลี่ไหวสามคนตอนที่พวกเขาเลิกเรียนพอดี
คนทั้งสามยังคงจับกลุ่มอยู่ด้วยกัน
หลิวกวานถาม “หม่าเหลียน เจ้าลองบอกมาสิ หากในบ้านมีคนเป็นขุนนาง ได้รับพระราชโองการจากฮ่องเต้ ลำพังแค่เอามาวางไว้ก็ต้องมีข้อที่ต้องพิถีพิถันมากมายอย่างที่เผยเฉียนพูดจริงๆ หรือ?”
หม่าเหลียนพยักหน้ารับอย่างแรง “มีความแตกต่างกันอยู่บ้างเล็กน้อย แต่โดยรวมก็เหมือนอย่างที่นางเล่าจริงๆ”
“แล้วเตียงป๋าปู้ (เตียงไม้โบราณอย่างหนึ่งที่มีขนาดใหญ่ โดยรอบเตียงจะมีเสาไม้และไม้แกะสลักครอบคลุม ทำให้เตียงกลายมาเป็นเหมือนห้องขนาดเล็กห้องหนึ่ง) ที่เผยเฉียนเล่าว่านางเคยนอนตอนเด็กจะใหญ่ถึงขนาดที่สามารถวางของเล่นสารพัดได้มากมายจริงๆ หรือ?”
หม่าเหลียนยังคงพยักหน้า “ใช่แล้ว พี่สาวข้าก็มีอยู่หลังหนึ่ง!”
หลิวกวานกล่าวอย่างจนใจ “นี่นางคือองค์หญิงเชื้อพระวงศ์ผู้สูงศักดิ์จริงๆ หรือนี่! ถ้าอย่างนั้นพบกันครั้งหน้า พวกเราจะคารวะแบบใด? ประสานมือคารวะนางพอหรือไม่? คงไม่ต้องถึงขั้นคุกเข่าโขกหัวให้นางหรอกกระมัง?”
หม่าเหลียนมีสีหน้าลำบากใจ “ฮ่องเต้และพวกองค์ชายองค์หญิงเคยเสด็จไปที่บ้านของข้า แต่ตอนนั้นข้ายังเด็กเกินไป จำอะไรไม่ได้เลย”
หลี่ไหวพูดอย่างอารมณ์ดี “องค์หญิงแล้วยังไง ก็ยังเป็นลูกศิษย์ของเฉินผิงอันอยู่ดีไม่ใช่หรือ ไม่เป็นไร พบนางแล้วก็ทำเหมือนข้า ทุกคนต่างก็พบเจอกันในยุทธภพ เสมอภาคเท่าเทียมกัน แค่กุมมือคารวะก็พอ”
หลิวกวานพยักหน้าเห็นด้วย “แบบนี้ก็ดี ถึงอย่างไรนางก็บอกว่าตัวเองคือคนในยุทธภพ พวกเราเองก็อย่าให้ขายหน้าตัวเองเลย”
พวกเขาพบเผยเฉียนที่หน้าประตูหอพัก
คนทั้งสามพร้อมใจกันยกมือขึ้นกุมคารวะ
เผยเฉียนเลิกคิ้วแล้วกุมหมัดคารวะกลับคืน
เข้ามาในหอพัก
เผยเฉียนก็รีบเล่าเรื่องความขัดแย้งครั้งหนึ่งในยุทธภพให้คนทั้งสามฟังอย่างสมจริงสมจัง
โจรดักปล้นกลางทางที่ไม่รู้จักกลัวตายกลุ่มหนึ่งกรูกันออกมาจากพงหญ้าสองข้างทาง ชายฉกรรจ์ร่างกำยำหลายสิบคนถือมีด ทวน กระบอง ไม่ว่าจะเป็นอาวุธรูปแบบใดก็ล้วนมีครบหมด
คนที่เป็นผู้นำถือขวานเซวียนฮวา (ขวานชนิดหนึ่งที่ด้ามยาวคล้ายทวน ใบมีดของขวานกว้างใหญ่) ชูแขนหันคมขวานเข้าหาอาจารย์ของข้า ตวาดกร้าวเสียงดังปานประหนึ่งฟ้าผ่า ‘ทางเส้นนี้ข้าเป็นคนเปิด หากคิดจะผ่านทางจงทิ้งสมบัติซื้อชีวิตเอาไว้!’ หากตกอยู่ในสถานการณ์แบบนั้น พวกเจ้าจะกลัวหรือไม่?!
หม่าเหลียนพยักหน้ารับ
หลิวกวานหัวเราะหึหึ “ถึงอย่างไรก็มีอาจารย์ของเจ้าให้การปกป้อง ก็แค่โจรภูเขาเท่านั้น จะต้องกลัวอะไร”
เผยเฉียนยกสองแขนกอดอก ตวัดตามองค้อนหลิวกวาน “อาจารย์ของข้าเลยถามกลับว่า ถ้าไม่ควักเงินจ่ายแล้วจะเป็นยังไง? พวกเจ้าไม่รู้หรอกว่าตอนนั้นอาจารย์ของข้ามีมาดแห่งจอมยุทธ์มากแค่ไหน ลมภูเขาพัดโชย ต่อให้อาจารย์ของข้าไม่ได้ขยับเขยื้อน แต่ก็มีท่วงท่าแห่งปรมาจารย์ที่ ‘ตัดหัวแม่ทัพของกองทัพนับหมื่นได้เหมือนหยิบของในกระเป๋าตัวเอง’ ทำเหมือนพวกโจรที่มากันเป็นขบวนเป็นเพียงแค่…ไก่ที่ทำจากดิน หมาที่ทำจากกระเบื้อง ไม่อาจต้านทานการโจมตี!”
ในใจเผยเฉียนอดรู้สึกเลื่อมใสตัวเองไม่ได้ นิยายที่บรรยายถึงเรื่องราวในสนามรบและยุทธภพหลายเล่มนั้น อ่านแล้วไม่เสียเปล่าจริงๆ ตอนนี้ก็ได้เวลาเอามาใช้แล้ว
หลิวกวานร้อนใจจนมิอาจอดทนได้ไหว “ความร้ายกาจของอาจารย์เจ้า พวกเราได้ยินมาเยอะแล้ว วิชาหมัดเป็นเอก วิชากระบี่ไร้ศัตรูทัดทาน เป็นทั้งเซียนกระบี่ แล้วยังเป็นปรมาจารย์ใหญ่ผู้ฝึกยุทธ์ด้วย ข้ารู้หมดแล้ว ข้าแค่อยากรู้ว่าหลังจากนั้นเป็นยังไงต่อ? เกิดศึกใหญ่นองเลือดเลยหรือไม่?”
เผยเฉียนถลึงตาใส่อีกฝ่าย “เจ้าคิดว่ายุทธภพมีเพียงแค่การเข่นฆ่าของคนหยาบกระด้างเท่านั้นหรือ? ชาวยุทธ ไม่ว่าจะเป็นวีรบุรุษชายชาตรีหรือวิญญูชนบนขื่อคาน (เป็นคำเปรียบเปรยถึงโจรขโมย) ไม่ว่าตบะจะสูงหรือต่ำก็ล้วนเป็นคนที่มีชีวิตมีลมหายใจ! อีกทั้งยังไม่มีใครที่เป็นคนโง่!”
หลิวกวานถูกสั่งสอนก็เงียบกริบ ไม่โต้เถียงอย่างที่หาได้ยาก
เผยเฉียนกระโดดลงจากเก้าอี้ เดินไปอีกฝั่งหนึ่ง “โจรภูเขาที่เป็นหัวหน้าใหญ่ผู้นั้นพลันเดือดดาลอย่างหนัก ยกขวานยักษ์หนักเจ็ดสิบแปดสิบจินขึ้นมา ถามอาจารย์ข้าด้วยความอับอายจนพานเป็นความโกรธ ‘ไอ้หนู เจ้าเบื่อที่จะมีชีวิตอยู่แล้วใช่ไหม?! ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วใช่ไหม?’”
เผยเฉียนวิ่งเหยาะๆ ออกไปสามสี่ก้าวแล้วหันตัวกลับมาพูด “อาจารย์ข้าพูดง่ายๆ แค่คำเดียว อยาก ทันใดนั้นสถานการณ์ก็พลันแปรเปลี่ยน กลุ่มโจรกู่ร้องอย่างฮึกเหิม พลังอำนาจเปี่ยมล้น”
หลิวกวานกับหม่าเหลียนฟังอย่างตั้งใจ
หลี่ไหวแทะเมล็ดแตง
เขาเคยเห็นโลกกว้างใบนี้พร้อมกับเฉินผิงอันมาก่อน ขนาดผีสวมชุดเจ้าสาวยังรับมือได้ แค่โจรภูเขาตัวเล็กๆ กลุ่มเดียว เขาหลี่ไหวไม่เห็นอยู่ในสายตา
เผยเฉียนวิ่งไปข้างหน้าต่ออีกครั้ง แสร้งทำสีหน้าดุดันแล้วหันขวับกลับมา “คนผู้นั้นตะคอกเสียงข่มขวัญ ไอ้ตัวดี เจ้ารู้หรือไม่ว่าคำว่าตายเขียนอย่างไร?!”
เผยเฉียนวิ่งย้อนกลับมาที่เดิมอีกครั้ง “อาจารย์ของข้าตอบไปอีกคำ รู้”
จากนั้นเผยเฉียนก็ใช้นิ้วแทนพู่กัน เขียนอักษรคำว่าตายกลางอากาศ หันหน้ามาพูดกับคนทั้งสาม “ตอนนั้นข้าก็ทำท่าแบบนี้ เป็นอย่างไร?”
สีหน้าของหม่าเหลียนอึ้งตะลึง
หลิวกวานปรบมือร้องว่าดี
เผยเฉียนเดินมาหยุดข้างโต๊ะ ก่อนหน้านี้หม่าเหลียนเตรียมชาไว้ให้แล้ว นางจึงยกขึ้นดื่มหนึ่งอึกให้ลำคอโล่ง แล้วจึงเล่าต่อว่า “โจรกลุ่มนั้นโมโหจนกัดฟันดังกรอดๆ ตีอกกระทืบเท้าราวกับเสียงลั่นกลองในสนามรบ คนที่เป็นผู้นำแหงนหน้าขึ้นฟ้าแผดเสียงคำรามกึกก้อง ดวงตาสองข้างถลึงปูดโปนใหญ่ยิ่งกว่าระฆังทองสัมฤทธิ์ ครั้นจึงออกคำสั่งแก่เหล่าลูกสมุนว่า ‘พี่น้องทั้งหลาย เล่นมันแม่งเลย ฟันไอ้คนที่ชอบแกล้งโง่ผู้นี้ให้ตายไปซะ! โดยเฉพาะแม่นางน้อยที่ตรงเอวห้อยกระบี่และดาบสลับกันผู้นั้น อย่าเห็นว่านางอายุยังน้อย แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นคนมีประสบการณ์ในยุทธภพ ตบะสูงส่งเกินกว่าจะคาดเดา มิอาจดูแคลน…’”
เผยเฉียนพลันหยุดการ ‘เล่านิทาน’ ของตัวเองลง
ที่แท้บนศีรษะก็มีมือใหญ่ที่อบอุ่นข้างหนึ่งกดลงมา
เผยเฉียนหันหน้าไป ยิ้มอย่างขลาดๆ “อาจารย์ ท่านมาแล้วหรือ ข้ากับพวกหลี่ไหวกำลัง…”
เดิมทีเผยเฉียนคิดอยากจะยอมรับไปตามตรงว่าตัวเองพูดจาเหลวไหล
คิดไม่ถึงว่าเฉินผิงอันจะยิ้มพูดตัดบทขึ้นมาก่อน “พอแล้ว พวกหลี่ไหวยังเป็นลูกศิษย์ในสำนักศึกษา เจ้าอย่าเล่าเรื่องในยุทธภพให้พวกเขาฟังมากนักเลย วันหน้าหากเป็นไปได้ พวกเจ้ากลายเป็นเพื่อนกันแล้ว ตอนที่หลี่ไหว หลิวกวานและหม่าเหลียนสะพายหีบหนังสือออกทัศนศึกษา เจ้าค่อยจับกลุ่มร่วมเดินทางไปพร้อมกับพวกเขา ถึงเวลานั้นค่อยเล่าให้พวกเขาสามคนฟังอย่างละเอียดอีกที”
เผยเฉียนอืมรับเสียงดังด้วยความดีใจ
เฉินผิงอันบอกให้หลี่ไหวกินข้าวกับเพื่อนไปก่อนแล้วค่อยไปหาเขาที่หอพักแขก ส่วนเขาพาเผยเฉียนไปหาหลี่เป่าผิง
ระหว่างทาง เฉินผิงอันเอ่ยเตือนเบาๆ ว่า “หากในอนาคตมีโอกาสไปท่องเที่ยวพร้อมกับพวกหลี่ไหวสามคนจริงๆ จงจำไว้เรื่องหนึ่งว่า เมื่อถึงเวลานั้น ตัวเองมีตบะวรยุทธมากน้อยเท่าไหร่ เคยเดินผ่านยุทธภพที่น้ำตื้นลึกมากแค่ไหน จะต้องบอกให้พวกเขารู้อย่างชัดเจน ไม่อาจเหมาทุกเรื่องมาทำเองคนเดียวเพียงแค่เพราะอยากคุยโวโอ้อวด ทำให้พวกเขาเข้าใจผิดคิดว่ายุทธภพก็มีดีแค่นี้เอง เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นจะเกิดเรื่องได้ง่าย จำได้แล้วหรือยัง?”
เผยเฉียนพยักหน้ารับ “จำได้แล้ว!”
เฉินผิงอันพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ต้องเก็บเอาไปใส่ใจด้วย”
เผยเฉียนยิ้มกว้าง “เดี๋ยวหลังจากนี้ข้าจะสลักลงไปบนแผ่นไม้ไผ่ไม่ให้ตกหล่นเลยสักคำเดียว!”
เฉินผิงอันเดินอยู่บนทางเล็กที่เงียบสงบของสำนักศึกษา รู้สึกสะท้อนใจจึงพูดขึ้นเบาๆ ว่า “ทำไมต้องท่องอยู่ในยุทธภพ ไม่ใช่แค่เพื่อตามหาทัศนียภาพที่งดงาม ฝึกหมัดก็ไม่ใช่แค่เพื่อให้ตัวเองแข็งแกร่งมากขึ้น ยังต้องพาตัวเองไปเจอกับคนในยุทธภพที่ดีกว่าตัวเองหลายๆ คนด้วย”
“อย่างเช่นอาจารย์ที่ได้เจอกับจางซานเฟิงซึ่งกำลังหิวโหยบนเรือข้ามฟากภูเขาต่าเจี้ยว พบเจอสวีหย่วนเสียที่บุกเข้าไปในเรือนผีหวังผดุงคุณธรรม เจอกับอริยะกระบี่ผู้เฒ่าแห่งแคว้นซูสุ่ยที่ปรากฏตัวในวัดร้างเก่าแก่ คู่สามีภรรยาภูตผีที่มองดูเหมือนน่ากลัว แต่กลับรักใคร่ปรองดองกันยิ่งนัก ได้เจอกับฟ่านเอ้อร์แห่งนครมังกรเฒ่า เจอกับหลิวโยวโจวแห่งจวนหยวนโหรวภูเขาห้อยหัว…อาจารย์ก็ยังรู้สึกละอายใจที่สู้ไม่ได้ รู้สึกเคารพเลื่อมใส รู้สึกอิจฉา หรือบางครั้งยังถึงขั้นรู้สึกริษยา”
เผยเฉียนตกตะลึง “อาจารย์ก็รู้สึกแบบนั้นด้วยหรือ?”
เฉินผิงอันลูบศีรษะเล็กๆ ของนาง “เจ้าคิดว่ายังไงล่ะ? อาจารย์เองก็มีเจ็ดอารมณ์หกปรารถนา แล้วก็มีนิสัยแย่ๆ มากมาย คนที่ไม่ชอบและไม่เห็นดีในตัวอาจารย์ แต่ไรไหนมาก็มีไม่น้อย เพียงแต่ว่าเมื่อเจอกับคนที่ดีกว่าตน จะมองดูพวกเขาเฉยๆ ไม่ได้ จะต้องมองพวกเขาเหมือนคนที่แหงนหน้ามองภูเขาสูง แม้จะไม่อาจปีนป่ายไปถึง แต่จิตใจก็ใฝ่หา…”
ฝีเท้าของเผยเฉียนช้าลงทุกที
เฉินผิงอันเดินออกไปได้หลายสิบก้าว พอหันหน้ากลับมาถึงเห็นว่าเด็กหญิงผิวดำเป็นถ่านยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ยอมขยับ จึงถามยิ้มๆ ว่า “เป็นอะไรไป?”
เผยเฉียนคลี่ยิ้ม “พี่หญิงเป่าผิงบอกว่าอาจารย์อาน้อยของนางไม่ได้หล่นลงมาจากฟ้า แต่ข้ารู้สึกว่าปีนั้นอาจารย์หล่นลงมาจากฟ้านี่นา”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “แน่จริงก็ไปพูดแบบนี้กับพี่หญิงเป่าผิงของเจ้าดูสิ?”
เผยเฉียนวิ่งเร็วๆ ไปหาเฉินผิงอัน “ข้าไม่ได้โง่สักหน่อย!”
ก่อนหน้านี้ตอนที่มองแผ่นหลังของอาจารย์
เผยเฉียนพลันรู้สึกเศร้าเล็กน้อย
ท่ามกลางระยะทางอันยาวไกลที่ต้องเดินเท้าผ่านป่าเขาลำนำไพร
เคยมีวันที่ฝนตกกระหน่ำ พวกเขาเจอหินกองใหญ่ที่กลิ้งมากองอยู่บนถนนทางหลวงในภูเขาที่เป็นดินโคลน
เผยเฉียนรู้สึกว่าแค่เดินอ้อมไปก็พอแล้ว
ทว่าแม้ฝนจะตก อาจารย์ก็ยังหยุดเดินแล้วย้ายหินก้อนแล้วก้อนเล่าออกไปให้พ้นจากเส้นทาง
ท่ามกลางม่านฝนที่มืดสนิท อาจารย์ที่สวมชุดสีขาวก้มหน้าก้มตาย้ายหินง่วน
พวกเขายังเคยหยุดอยู่ข้างสะพานไม้ที่ไม่ได้รับการซ่อมแซมมานานซึ่งรายล้อมด้วยทัศนียภาพอันงดงาม อาจารย์ก็จะยืนมองสะพานไม้อย่างโง่งมนานเป็นครึ่งๆ วัน จากนั้นก็วิ่งเข้าไปในภูเขาลึก ตัดต้นไม้ใหญ่ แบกกลับมาแล้วผ่าไม้ออกเป็นแผ่นๆ โยนมีดผ่าฟืนทิ้งเปลี่ยนมาใช้ค้อนตอกดังต๊อกๆๆ ซ่อมแซมสะพานไม้ให้ดีขึ้น
บทที่ 406.1 ประชันอาคมบนยอดเขา
อาจารย์ผู้เฒ่าที่มาเยือนสำนักศึกษาท่านนั้นเป็นรองเจ้าขุนเขาท่านหนึ่งของสำนักศึกษาซานหยาเชื้อเชิญมา วันนี้ตอนบ่ายจึงมาถ่ายทอดวิชาความรู้ให้แก่ลูกศิษย์อยู่ในโถงเชวี่ยนเซวี๋ย (ส่งเสริมการเรียน)
เฉินผิงอันพาเผยเฉียนเดินผ่านเส้นทางผ่านระเบียงจนกระทั่งมาหยุดอยู่นอกโถงเชวี่ยนเซวี๋ยที่มีใบไม้เขียวชอุ่มเป็นพุ่มเงา คาบเรียนเพิ่งจะจบลงพอดี เห็นเพียงว่าหลี่เป่าผิงที่อยู่ท่ามกลางคลื่นมหาชนเหมือนปลาจิ่นหลีตัวน้อยที่แหวกว่ายอย่างลิงโลด พริบตาเดียวก็วิ่งออกมาถึงหน้าประตู ออกมาจากเรือนที่ตั้งของโถงใหญ่ หลี่เป่าผิงกำมือข้างหนึ่งเป็นหมัดเพื่อใช้สิ่งนี้เป็นการชมเชยและให้รางวัลตัวเอง เพียงไม่นานก็มองเห็นเฉินผิงอันและเผยเฉียน หลี่เป่าผิงสาวเท้าก้าวเร็วๆ วิ่งมาหา เผยเฉียนมองหลี่เป่าผิงที่ปานประหนึ่งสายฟ้าแลบปลาบอยู่ในสำนักศึกษาก็ยิ่งรู้สึกเลื่อมใส พี่หญิงเป่าผิงเป็นคนไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดินจริงๆ
หลังจากสามคนมารวมตัวกันแล้วก็ไปที่หอพักแขกพร้อมกัน หลี่เป่าผิงเล่าเรื่องน่าสนใจมากมายให้เฉินผิงอันฟัง ยกตัวอย่างเช่นตอนที่อาจารย์ผู้เฒ่าสอนหนังสือ ข้างกายเขามีกวางสีขาวหิมะนอนหมอบอยู่ด้วย ว่ากันว่าปีนั้นตอนที่อาจารย์ผู้เฒ่าคนนี้ก่อตั้งสำนักศึกษาส่วนตัวของตัวเอง ได้เกิดความรู้สึกเชื่อมโยงกับเจตนารมณ์สวรรค์ กวางขาวจึงมาปกป้องอยู่ข้างกายอาจารย์ สำนักศึกษาที่สร้างขึ้นกลางป่าของภูเขาลึกถึงได้ไม่ถูกสัตว์ป่าลอบโจมตีและไม่ถูกภูตแห่งภูเขารุกราน
สุดท้ายหลี่เป่าผิงบอกว่ากวางขาวที่อยู่ข้างกายอาจารย์ผู้เฒ่าจ้าว มองดูเหมือนจะงดงามและมีชีวิตชีวาสู้กวางขาวตัวที่พี่หญิงเฮ้อของสำนักโองการเทพพาเข้าไปในถ้ำสวรรค์หลีจูไม่ได้
พอเฉินผิงอันนึกถึงเฮ้อเสี่ยวเหลียงก็ให้รู้สึกหัวโต ยิ่งนึกถึงเรื่องหลังจากนั้นก็ยิ่งปวดหัว หวังเพียงว่าชีวิตนี้จะไม่ต้องพบเจอกับนักพรตหญิงที่ในอดีตเคยมีโชควาสนาเป็นอันดับหนึ่งในทวีปอีกแล้ว
ปีนั้นตอนอยู่บนก้อนหินใหญ่ริมลำคลองหลงซวี เฉินผิงอันได้พบหน้าเฮ้อเสี่ยวเหลียงแห่งสำนักโองการเทพที่เป็นตัวแทนของสายเต๋าเป็นครั้งแรก แล้วก็ได้เห็นกวางขาวที่ส่องประกายแสงแวววาวมหัศจรรย์ตัวนั้น ภายหลังเขาเคยถามชุยตงซานถึงได้รู้ว่ากวางตัวนั้นไม่ธรรมดา ภาพลักษณ์ภายนอกที่เห็นเป็นสีขาวหิมะทั้งร่างเป็นเพียงแค่เวทอำพรางตาที่ฉีเจินเทียนจวินลัทธิเต๋าร่ายเอาไว้ ในความเป็นจริงแล้วมันคือกวางห้าสีตัวหนึ่งที่ต่อให้ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนเห็นแล้วก็ยังน้ำลายสอ นับแต่โบราณกาลมาก็มีเพียงคนที่มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่เท่านั้นถึงจะสามารถเลี้ยงไว้ข้างกายได้
ปีนั้นเจ้าลัทธิลู่เฉินใช้มรรคกถาอันสูงส่งเชื่อมโยงสะพานแห่งโชควาสนาระหว่างเขากับเฮ้อเสี่ยวเหลียงเข้าด้วยกัน เป็นเหตุให้หลังจากที่ถ้ำสวรรค์หลีจูปริแตกแล้วร่วงลงมา เฉินผิงอันจึงสามารถแบ่งใช้โชควาสนากับเฮ้อเสี่ยวเหลียงได้อย่างเท่าเทียม การทำเช่นนี้แน่นอนว่าต้องซ่อนแผนการลึกล้ำยาวไกลที่ลู่เฉินวางไว้เพื่อเล่นงานสายบุ๋นของอาจารย์ฉี การชักคะเย่อทางจิตใจเช่นนี้มีอันตรายอย่างหาที่สิ้นสุดมิได้ หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น เกิดขึ้นหลายครั้งเข้า ป่านนี้ก็คงได้ไปอยู่ในมุมใดมุมหนึ่งของสิบสองชั้นห้านครของป๋ายอวี้จิงแห่งใต้หล้ามืดสลัว มองดูเหมือนมีหน้ามีตา แต่อันที่จริงกลับกลายเป็นหุ่นเชิดของคนอื่นไปแล้ว
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงเข้าใจสี่คำว่า ‘โชคและเคราะห์มักมาคู่กัน’ อย่างลึกซึ้ง
เพียงแต่สภาพจิตใจของเฉินผิงอันที่แม้จะไม่ได้ถูกลู่เฉินดึงไปทางป๋ายอวี้จิง แต่ก็มี ‘ต้นตอแห่งโรค’ ที่มองไม่เห็นจำนวนมากถูกทิ้งเอาไว้ ยกตัวอย่างเช่นการไปเยี่ยมเยือนพื้นที่ลับอย่างถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลที่ปริแตก ในใจเฉินผิงอันจะรู้สึกมีอคติและผลักไสพวกมันให้ไกลตัวอยู่เสมอ จนกระทั่งได้เดินทางท่องเที่ยวไปพร้อมกับลู่ไถ และต่อมาก็ได้ฟังถ้อยคำที่จูเหลี่ยนพูดออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ ถึงทำให้เฉินผิงอันเริ่มเปลี่ยนความคิด ยิ่งมั่นใจแล้วว่าจะต้องเดินทางไปเยือนอุตรกุรุทวีปสักครั้งให้จงได้
สถานที่ที่ถูกขนามนามว่ามีผู้ฝึกกระบี่มากมายดุจต้นไม้ในผืนป่า เลื่อมใสการฝึกวรยุทธ์มากที่สุดในใต้หล้าไพศาล สถานที่ที่แม้แต่อริยะสำนักศึกษาลัทธิขงจื๊อก็ยังหงุดหงิดจนต้องลงมือซ้อมเซียนดินอย่างหนักจึงจะพูดคุยกันด้วยเหตุผลรู้เรื่อง
เฉินผิงอันอยากจะไปฝึกกระบี่ที่นั่น
เพียงลำพัง
เป็นการฝึกกระบี่อย่างเดียวและฝึกอย่างเต็มที่ที่สุด
เฉินผิงอันถามด้วยรอยยิ้ม “อาจารย์สอนหนังสือเป็นอย่างไรบ้าง?”
หลี่เป่าผิงคิดแล้วก็กล่าวว่า “ในหนังสือเล่มหนึ่งมีคนที่เลื่อมใสอาจารย์ผู้เฒ่าจ้าวท่านนี้บอกไว้ว่า การสอนหนังสือของอาจารย์ประหนึ่งนกกระเรียนเดียวดายที่บินทะยานมาทางทิศตะวันออกของมหานที เมื่อมันหยุดชะงักและส่งเสียงร้อง น้ำในแม่น้ำก็โถมตัวสูงขึ้นหาพระจันทร์กระจ่าง ข้าฟังอยู่นาน รู้สึกว่าพอจะมีเหตุผลอยู่บ้าง แต่ไม่ได้เกินจริงอย่างที่เขียนไว้ในหนังสือ ทว่าส่วนที่ร้ายกาจที่สุดของอาจารย์ท่านนี้ยังคงเป็นการตื่นรู้หลังจากที่เดินขึ้นหอสูงทอดสายตามองมหาสมุทร ยกย่องการใช้กาพย์และบทกวีในการ ‘พบปะ’ กับนักปราชญ์สมัยโบราณ ร้อยรุ่นพันปีก็ยังคงได้รับการขานรับ ช่วยอธิบายและสนับสนุนความรู้ด้านหลักการแห่งสวรรค์ของเขาให้พัฒนาไปอีกก้าว เพียงแต่ว่าการบรรยายครั้งนี้ อาจารย์ผู้เฒ่าพูดค่อนข้างละเอียด เลือกเอาแค่ตำราลัทธิขงจื๊อเล่มหนึ่งมาเป็นเป้าหมายในการอรรถาธิบายความหมายศัพท์โบราณ ไม่ได้เอาความสามารถในสายบุ๋นของพวกเขาออกมา ข้าจึงผิดหวังเล็กน้อย หากไม่เป็นเพราะรีบร้อนอยากออกมาหาอาจารย์อาน้อย ข้าก็ยังอยากไปถามอาจารย์ผู้เฒ่าดูสักหน่อยว่าเมื่อไหร่ถึงจะสอนเรื่องใจคนและหลักการแห่งสวรรค์นั่น”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็ถามว่า “อาจารย์ผู้เฒ่าท่านนี้เป็นคนของสายอริยะลู่แห่งสำนักศึกษาเอ๋อหูในทักษินาตยทวีปงั้นหรือ?”
หลี่เป่าผิงยิ้มกว้างสดใส “อาจารย์อาน้อยท่านรู้เยอะมากจริงๆ! ใช่แล้ว อาจารย์ของอาจารย์ผู้เฒ่าท่านนี้ก็คืออริยะลู่ที่ถูกเรียกขานว่า ‘จิตใจมีใต้หล้า จิตพิศมองมหาสมุทรกว้างใหญ่’ ท่านนั้น”
เฉินผิงอันนึกถึงบันทึกใน ‘จารึกภูเขาและทะเล’ เล่มที่มอบให้อวี๋ลู่ อริยะลู่มีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวกับสกุลเฉินผู้รอบรู้ ไม่รู้ว่าหลิวเสี้ยนหยางจะมีโอกาสได้พบหน้าเขาหรือไม่
เผยเฉียนอยากจะเอ่ยแทรกอยู่หลายครั้ง ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบนางฟังทั้งสองคนคุยกันด้วยความมึนงง กลัวว่าหากเปิดปากพูดจะเป็นการปล่อยไก่ กลับกลายเป็นคนโง่ต่อหน้าอาจารย์และพี่หญิงเป่าผิง จึงรู้สึกห่อเหี่ยวเล็กน้อย
ยังดีที่เฉินผิงอันดึงหูเผยเฉียน เอ่ยสั่งสอนว่า “เห็นหรือยัง พี่หญิงเป่าผิงของเจ้ารู้จักสำนักฝ่ายความรู้และแก่นแท้ของการเรียนการสอนมากมายขนาดนี้ แม้เจ้าจะไม่ใช่ลูกศิษย์ของสำนักศึกษา การเรียนหนังสือไม่ใช่อาชีพของเจ้า…”
เผยเฉียนกระทืบเท้า พูดอย่างน้อยใจ “อาจารย์ นางคือพี่หญิงเป่าผิงนะ ข้าจะเทียบกับนางได้อย่างไร หากเปลี่ยนไปเทียบกับคนอื่น ยกตัวอย่างเช่นหลี่ไหวล่ะ? เขามาเรียนอยู่ในสำนักศึกษาตั้งนานขนาดนี้แล้ว หากเอาไปเทียบกับเขา ข้าก็ยังเสียเปรียบอยู่ดีนะ”
เฉินผิงอันไม่พูดอะไรอีก หัวเราะฮ่าๆ ปล่อยมือมาตบศีรษะเผยเฉียนเบาๆ “เจ้านี่ฉลาดนักนะ”
กลับมาถึงหอพักก็เห็นว่าอวี๋ลู่มารออยู่ตรงนั้นนานแล้ว เขายืนเคียงไหล่อยู่ใต้ชายคากับจูเหลี่ยน ดูเหมือนว่าจะคุยกับจูเหลี่ยนถูกคออย่างยิ่ง
มีอวี๋ลู่อยู่ด้วย เฉินผิงอันก็วางใจได้อีกไม่น้อย
คลื่นมรสุมที่เกิดขึ้นในสำนักศึกษาตอนนั้นก็เป็นอวี๋ลู่ที่เป็นผู้ตัดสินในท้ายที่สุดอย่างเงียบๆ อยู่ต่อหน้าผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่ง เขาก็เล่นงานนักปราชญ์หลี่ฉางอิงจนอีกฝ่ายต้องถูกคนหามลงไปจากภูเขาตงหัว
เฉินผิงอันกินข้าวแล้วก็ไปคุยกับเหมาเสี่ยวตงเรื่องการหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตที่ห้องหนังสือของเขาต่อ บอกให้อวี๋ลู่ช่วยดูแลเผยเฉียน อวี๋ลู่ก็ยิ้มตอบรับ
เมื่อเฉินผิงอันจากไปแล้ว หลี่เป่าผิงก็บอกว่าจะกลับหอพักไปเขียนบันทึกเรื่องราวที่อาจารย์ผู้เฒ่าสอนในวันนี้ เผยเฉียนจึงหาข้ออ้างไม่ตามไปด้วย จากนั้นก็ไปยกหีบไม้ไผ่ออกมาจากห้องพักของเฉินผิงอัน หยิบกล่องเก็บสมบัติออกมาจากข้างใน นางกับหลี่ไหวตกลงกันอย่างลับๆ ว่าจะเปิดศึกปรมาจารย์กัน นัดรบกันที่ยอดเขาของภูเขาตงหัว
อวี๋ลู่เดินขึ้นเขาไปพร้อมเผยเฉียน จูเหลี่ยนเดินจากไปเงียบๆ ก่อนแล้ว เพราะต้องแอบไปปกป้องหลี่เป่าผิงอย่างลับๆ ตามคำสั่งของเฉินผิงอัน
พอไปถึงยอดเขาภูเขาตงหัว หลี่ไหวก็มานั่งตัวตรงอย่างสำรวมอยู่ตรงนั้นก่อนแล้ว ด้านหน้าของเขาคือกล่องไม้เจียวหวงที่มีที่มาไม่ธรรมดากล่องนั้น
เผยเฉียนยิ้มกว้าง วางกล่องเก็บสมบัติไว้บนโต๊ะ
อวี๋ลู่นั่งอยู่บนม้านั่งหิน มองเด็กสองคนที่คุมเชิงกัน รู้สึกว่าน่าสนใจไม่น้อย
หลี่ไหวมองกล่องเก็บสมบัติใบนั้นด้วยท่าทางเหมือนเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ “เผยเฉียน เจ้าออกกระบวนท่ามาก่อนเลย!”
เผยเฉียนหลุดหัวเราะพรืด เปิดกล่องเก็บสมบัติที่ปีนั้นเหยาจิ้นจือมอบให้ ด้านในกล่องแบ่งเป็นเก้าช่อง บรรจุหลิงจือไม้แกะสลักขนาดเล็กจิ๋วแต่งามประณีต เงินเหรียญหายากที่เหยาจิ้นจือซื้อมาเก็บไว้ มีชื่อเรียกว่าหมิงเฉวียน และยังมีป้ายลัทธิเต๋าเก่าแก่ซึ่งถูกห่อไว้อย่างแน่นหนาอีกแผ่นหนึ่ง ด้านบนสลักเป็นภาพเทวรูปหลิงกวานของลัทธิเต๋าที่ใบหน้าเป็นสีแดงก่ำ เคราดก สวมเกราะสีทองชุดคลุมสีแดง ตรงหว่างคิ้วมีตาทิพย์ เฉินผิงอันผู้เป็นอาจารย์เคยวิเคราะห์ให้ว่า นอกจากป้ายหลิงกวานและหลิงจือไม้แล้ว ส่วนใหญ่ล้วนเป็นของเล่นในโลกมนุษย์ ไม่ถือว่าเป็นของวิเศษตระกูลเซียนอะไร
เผยเฉียนหยิบแผ่นป้ายนั้นออกมาวางบนโต๊ะเบาๆ “เชิญรับกระบวนท่าของข้า!”
หลี่ไหวเปิดกล่องไม้เจียวหวง หยิบหุ่นปั้นดินที่เป็นจอมยุทธ์สะพายกระบี่ออกมา ยกสองมือกอดอกกล่าวว่า “ข้ามีเซียนกระบี่คอยต้านรับศัตรู แถมยังฆ่าศัตรูได้ด้วย เจ้าจะทำอย่างไร?”
เผยเฉียนรีบหยิบหลิงจือไม้แกะสลักที่เนื้อวัสดุละเอียดเรียบลื่น รูปแบบโบราณเรียบง่ายก้อนนั้นออกมา “ต่อให้เป็นกระบี่ของเซียนกระบี่ที่เป็นแม่ทัพใหญ่ใต้บัญชาการณ์ของเจ้า หลิงจือก็เป็นยาบำรุงดีเยี่ยม สามารถต่อชีวิตได้! เจ้าออกกระบวนท่ามาใหม่!”
หลี่ไหวแค่นเสียงชิชะ หยิบตุ๊กตาคนจิ๋วตัวที่สองออกมา ซึ่งก็คือคนตีฆ้องบอกเวลา “ตีกลองตีฆ้องให้เจ้าหนวกหูตาย!”
เผยเฉียนหัวเราะเสียงหยัน หยิบเหรียญหมิงเฉวียนทั้งหลายมาวางไว้บนโต๊ะ “มีเงินก็จ้างผีให้โม่แป้งได้ ระวังคนตีกลองน้อยของเจ้าจะทรยศ หันกลับมาตีฆ้องร้องป่าวอยู่นอกหน้าต่างของเจ้าเอง! ตาเจ้าแล้ว!”
หลี่ไหวหยิบตุ๊กตาดินเหนียวตัวที่สาม คือแม่ทัพบู๊สวมเสื้อเกราะ “นี่คือแม่ทัพบู๊แห่งสมรภูมิรบ จงรักภักดีต่อข้ามากที่สุด เจ้าใช้เงินก็ไม่ต่างจากโยนซาลาเปาไส้เนื้อให้สุนัข มีแต่จากไปไม่มีกลับคืน!”
จากนั้นหลี่ไหวก็หยิบตุ๊กตานักพรตที่ถือแส้ปัดฝุ่นตามมา “นี่คือท่านผู้เฒ่าเทพเซียนที่พักอยู่ในอารามเต๋าบนภูเขาท่านหนึ่ง แค่สะบัดแส้ก็สามารถคว่ำแม่น้ำพลิกมหาสมุทร เจ้าจะยอมแพ้หรือไม่?”
คราวนี้เผยเฉียนไม่ได้หยิบสมบัติออกมาจากในกล่อง แต่หยิบถุงหอมที่กุ้ยฮูหยินมอบให้ออกมาอย่างระมัดระวัง หันหลังกลับไปเทเงินเก็บส่วนตัวและกิ่งกุ้ยใบกุ้ยออกมาก่อน พอเก็บซ่อนเรียบร้อยแล้วค่อยวางถุงหอมที่ส่งกลิ่นหอมสดชื่นลงบนโต๊ะ “ถุงเฉียนคุนใบนี้ของข้าไม่ว่าเวทเซียนหรือสมบัติอาคมอะไรก็ล้วนสามารถเก็บไว้ในถุง แส้ปัดขนไก่ของนักพรตเฒ่าจมูกโคหน้าเหม็นคนหนึ่งจะนับเป็นอะไรได้!”
จากนั้นเผยเฉียนก็วางกิ่งกุ้ยสีโปร่งใสแวววาว แค่เห็นก็ชวนชื่นชอบลงบนโต๊ะ แล้วเริ่มคุยโวต่อ “นี่คือกิ่งไม้ท่อนหนึ่งที่มาจากต้นกุ้ยในตำหนักดวงจันทร์ แค่โยนลงบนพื้น พรุ่งนี้ก็จะมีต้นกุ้ยสูงกว่าบ้านหลังหนึ่งงอกขึ้นมา!”
หลี่ไหวรีบหยิบตุ๊กตาดินเหนียวตัวสุดท้ายที่เป็นรูปเซียนขี่กระเรียนออกมาสู้ “กระเรียนเซียนที่เป็นพาหนะของหญิงสาวผู้นี้ของข้าสามารถแอบคาบกิ่งกุ้ยของเจ้าไป!”
เผยเฉียนปลดดาบและกระบี่ไม้ไผ่ตรงเอวลงมา ตบลงบนโต๊ะหนักๆ “หนึ่งกระบี่ตัดกรงเล็บกระเรียนเซียน หนึ่งดาบตัดหัวสาวใช้ของเจ้า!”
ในที่สุดหลี่ไหวก็เอาหุ่นไม้หลากสี สูงครึ่งแขน ตัวสูงใหญ่กว่าคนจิ๋วชุดนั้นที่เว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะมอบให้ซึ่งเป็นแม่ทัพใหญ่อันดับหนึ่งใต้บัญชาการณ์ของเขาออกมา “มือหนึ่งจับกระบี่ของเจ้า มือหนึ่งกุมดาบของเจ้า!”
หลังจากนั้นคนทั้งสองก็เริ่มใช้สารพัดวิธี หากไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกล
ไม้เท้าเดินป่าที่ผ่านการหลอมเล็กมาก่อน วัตถุทั่วไปในโลกมนุษย์ที่มีราคาค่างวด แต่ไม่ช่วยในด้านการฝึกตนซึ่งเหลืออยู่ในกล่องเก็บสมบัติของเผยเฉียน
ส่วนหลี่ไหวก็หยิบเอา ‘หน้าผาใหญ่น้ำหยุด’ เล่มนั้นออกมา แม้แต่ภูตที่ปีนั้นอาเหลียงตบเข้าไปไว้ในหนังสือก็เอามาใช้ด้วย
แต่โดยภาพรวมแล้วยังคงเป็นเผยเฉียนที่ได้เปรียบ
บทที่ 406.2 ประชันอาคมบนยอดเขา
บนโต๊ะหินวางทรัพย์สมบัติของเผยเฉียนและหลี่ไหวไว้เต็มแน่น ละลานตา
อวี๋ลู่มองการประชันขันแข่งของเจ้าตัวน้อยทั้งสองอย่างเพลิดเพลิน
สุดท้ายหลี่ไหวถอนหายใจยาวเหยียด กุมหมัดกล่าว “ก็ได้ ข้าแพ้แล้ว ฝีมือสู้คนอื่นไม่ได้ ความสามารถเป็นรองหนึ่งระดับ ข้าหลี่ไหวคือชายชาตรีที่สามารถค้ำฟ้าค้ำดิน ยอมรับความพ่ายแพ้ได้!”
เผยเฉียนยกสองแขนกอดอก พยักหน้ารับ ใช้สายตาชื่นชมมองหลี่ไหว “ไม่เป็นไร อย่างเจ้านี้เรียกว่าแม้จะแพ้แต่ก็แพ้อย่างสมศักดิ์ศรี อยู่ในยุทธภพ วีรบุรุษชายชาตรีที่สามารถต่อสู้กับข้าได้หลายรอบขนาดนี้มีน้อยจนนับนิ้วได้!”
หลี่ไหวหันหน้าไปพูดกับอวี๋ลู่ “อวี๋ลู่ เจ้าโชคดีได้ชมศึกบนยอดเขาครั้งนี้ ถือว่าเป็นวาสนาของเจ้าแล้ว”
เผยเฉียนพูดเหมือนคนแก่ “ข้าไม่ใช่ชาวยุทธที่ชื่นชอบชื่อเสียงจอมปลอม ดังนั้นอวี๋ลู่เจ้าแค่จดจำไว้ก็พอ ไม่ต้องเอาไปป่าวประกาศที่อื่น”
หลี่ไหวหันมามองสบตากับเผยเฉียนแล้วยิ้มกว้างพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
บุคคลที่ฉลาดเฉียบแหลมย่อมรักบุคคลที่ฉลาดเฉียบแหลม
เผยเฉียนคิดว่าวันหน้าหากหลี่ไหวสะพายหีบหนังสือออกเดินทางไกล นางจะต้องทำให้เขารู้ให้ได้ว่าอะไรที่เรียกว่ายอดฝีมือแห่งยุทธภพที่แท้จริง อะไรที่เรียกว่าวิชากระบี่ล้ำเลิศ วิชาดาบอันเผด็จการ
หลี่ไหวคิดว่าวันหน้าเมื่อออกจากสำนักศึกษาไปทัศนาจร จะต้องลากเผยเฉียนออกไปท่องยุทธภพด้วยกัน พวกเขาพูดคุยกันถูกคอแบบนี้ เขาค่อนข้างจะสบายใจ
อวี๋ลู่ที่นั่งมองเงียบๆ อยู่ด้านข้างรู้สึกทึ่งยิ่งนัก
ทั้งทึ่งในเรื่องที่เจ้าตัวน้อยทั้งสองได้ครอบครองของล้ำค่ามากมายขนาดนี้ แล้วก็ทึ่งในความหน้าหนา นิสัยประหลาดเข้ากันได้ดีของคนทั้งสองด้วย
เพราะหลี่ไหวโดดเรียนมา ดังนั้นตอนนี้บนยอดเขาจึงไม่มีลูกศิษย์หรือนักท่องเที่ยวมาเยือน นี่ช่วยลดปัญหายุ่งยากให้กับอวี๋ลู่ได้มาก เขาปล่อยให้คนทั้งสองเริ่มเก็บสมบัติของตัวเองช้าๆ
ในฐานะรัชทยาทของราชวงศ์สกุลหลู อีกทั้งตอนนั้นสกุลหลูก็มีชื่อเสียงด้าน ‘ทรัพย์สมบัติมากมาย’ เป็นที่เลื่องลือไปทั่วทั้งทิศเหนือของแจกันสมบัติทวีป ในบรรดาคนกลุ่มนี้ เว้นจากเฉินผิงอันไม่นับ สายตาของเขาดีกว่าเซี่ยเซี่ยที่ฝึกตนอยู่บนภูเขาเสียอีก ดังนั้นอวี๋ลู่จึงรู้ว่าสมบัติของเจ้าตัวน้อยทั้งสองแทบจะสามารถทัดเทียมกับผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกร หรือแม้แต่เซียนดินก่อกำเนิดในกลุ่มผู้ฝึกตนอิสระได้เลย หากไม่นับรวมวัตถุแห่งชะตาชีวิต ก็ยังไม่แน่เสมอไปว่าจะมีสมบัติมากมายถึงเพียงนี้
อวี๋ลู่หันไปพูดล้อเล่นกับเผยเฉียน “เผยเฉียน เจ้าไม่กลัวว่าข้าเห็นสมบัติแล้วจะเกิดใจละโมบขึ้นมาหรือ?”
อวี๋ลู่รู้นิสัยของหลี่ไหวดีว่าเป็นคนที่ใจใหญ่ยิ่งกว่าท้องฟ้า ดังนั้นเขาจึงไม่ถามคำถามนี้กับหลี่ไหว
เผยเฉียนตวัดค้อนใส่อวี๋ลู่หนึ่งที ท่าทางรังเกียจเดียดฉันท์เล็กน้อย รู้สึกว่าเจ้าคนที่ชื่ออวี๋ลู่ผู้นี้สมองไม่ใคร่จะดีนัก “เจ้าเป็นเพื่อนของอาจารย์ข้า ข้าจะไม่เชื่อในคุณธรรมของเจ้าได้หรือ?”
อวี๋ลู่อึ้งงันไร้คำพูดตอบโต้
……
ทางฝั่งของห้องหนังสือ หลังจากที่คนทั้งสองอนุมานรายละเอียดทั้งหมดในการหลอมวัตถุเสร็จแล้ว เหมาเสี่ยวตงก็ตบไม้บรรทัดตรงเอว วัตถุดิบวิเศษแต่ละชิ้นที่ใช้ในการหลอมหัวใจบุ๋นสีทองก็ลอยออกมาจากไม้บรรทัด พากันร่วงลงบนโต๊ะ มีทั้งหมดสิบแปดชนิด ขนาดเล็กใหญ่ไม่เท่านั้น ราคาก็มีสูงมีต่ำ ตอนนี้ยังขาดอีกหกอย่าง สี่อย่างในนั้นอีกไม่นานก็จะส่งมาถึงสำนักศึกษาซานหยา ยังมีอีกสองชิ้นที่ค่อนข้างยุ่งยาก ไม่ใช่ว่าไม่สามารถหาอย่างอื่นมาแทนที่ได้ เพียงแต่ว่าจะส่งผลต่อระดับขั้นในท้ายที่สุดหลังจากหลอมหัวใจบุ๋นสีทองเสร็จไม่มากก็น้อย ถึงอย่างไรเหมาเสี่ยวตงก็ฝากความหวังไว้กับเรื่องนี้สูงมาก หวังว่าเฉินผิงอันจะสามารถหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตที่สมบูรณ์แบบไร้ตำหนิที่ช่วยพิทักษ์ช่องโพรงลมปราณแห่งที่สองได้บนภูเขาตงหัวที่มีตนเฝ้าบัญชาการณ์
เหมาเสี่ยวตงเก็บกลั้นคำพูดบางอย่างไว้ในใจ ไม่ได้เอ่ยกับเฉินผิงอัน หนึ่งเพราะอยากจะทำให้เฉินผิงอันตกตะลึงระคนดีใจ สองเพราะกังวลว่าเฉินผิงอันจะเป็นกังวลกับเรื่องนี้มากเกินไป เอาแต่พะวงถึงผลได้ผลเสียกลับจะกลายเป็นเรื่องไม่ดี
หากหลอมหัวใจบุ๋นสีทองได้สำเร็จก็จะเหมือนอ๋องโหวชนชั้นสูงสร้างจวน แล้วก็เหมือนแม่ทัพใหญ่ชูธงขึ้นในสนามรบ สามารถเพิ่มความเร็วในการดูดซับปราณวิญญาณเมื่ออยู่ในสถานที่หรือช่วงเวลาที่พิเศษ ยกตัวอย่างเช่นแผนภูมิสวรรค์ (คือระบบเลขฐาน 60 แบบวนรอบที่เขียนด้วยอักษรจีน ซึ่งประกอบด้วยส่วนย่อย 2 ส่วน ได้แก่ภาคสวรรค์ เรียกว่า ‘ราศีบน’ มี 10 ตัวอักษร และภาคปฐพี เรียกว่า ‘ราศีล่าง’ มี 12 ตัวอักษร) ของธาตุทองในห้าธาตุอันได้แก่เกิง (ภาคสวรรค์ธาตุหยาง ธาตุทอง) ซิน (ภาคสวรรค์ธาตุหยิน ธาตุทอง) เซิน (ปีวอก 15.00-17.00 น.) โหย่ว (ปีระกา 17.00-19.00 น.) สถานที่ที่เหมาะแก่การดูดซับปราณวิญญาณก็คือทิศตะวันตกและทิศตะวันตกเฉียงใต้ของสถานที่ที่มีภูเขาเขียวน้ำใส นอกจากนี้ความหมายของทองก็คือการพิชิตสังหาร หากผู้ฝึกตนเป็นพวกชอบผดุงคุณธรรมช่วยเหลือคนอ่อนแอ นิสัยแข็งกร้าว มีปราณสังหารที่เข้มข้นก็จะเหนื่อยเพียงครึ่งแต่ประสบความสำเร็จเป็นเท่าตัว เป็นเหตุให้ถูกขนานนามว่า ‘ลมฤดูใบไม้ผลิพัดกระโชกแรง เสียงดังดุจลั่นระฆัง ไยต้องกลัดกลุ้มว่าจะไร้ชื่อเสียงโด่งดังในราชสำนัก’
เพียงแต่ความลี้ลับเหล่านี้คือศักยภาพแฝงของวัตถุแห่งชะตาชีวิตธาตุทองบนโลกแทบทั้งหมด ทว่าหัวใจบุ๋นสีทองของเฉินผิงอันกลับมีโชควาสนาที่เก็บซ่อนอำพรางไว้เป็นความลับอีกชั้นหนึ่ง
เหมาเสี่ยวตงเองก็เพิ่งจะรู้เรื่องวงในเหล่านี้หลังจากอ่านหนังสือเบ็ดเตล็ดที่มีเพียงเล่มเดียวซึ่งค่อนข้างจะเอนเอียงคลุมเครืออย่างยิ่ง ต่อให้เป็นชุยตงซานก็ยังไม่รู้
หลอมหัวใจบุ๋นสีทองที่ระดับขั้นสูงสุดดวงหนึ่งเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตล้ำค่าตรงที่ว่ามันแทบจะเป็นสิ่งที่ได้แต่ปรารถนา มิอาจได้มาครอบครอง แล้วก็ต้องหลอมให้ได้สมบูรณ์แบบไร้ตำหนิเท่านั้น นอกจากนี้สิ่งที่สำคัญในสำคัญก็คือคนที่หลอมวัตถุชิ้นนี้ไม่เพียงแต่ต้องเป็นผู้ฝึกตนที่มีโชควาสนาดีและเชี่ยวชาญด้านการเข่นฆ่าสังหาร จิตใจยังต้องเชื่อมโยงสอดคล้องกับชะตาบุ๋นที่ซ่อนอยู่ในหัวใจบุ๋นด้วย อีกทั้งยังต้องใช้วิชาหล่อหลอมวัตถุชั้นสูง เมื่อปัจจัยหลายอย่างที่เกี่ยวข้องต่อเนื่องกันนี้ไม่มีข้อผิดพลาดใด สุดท้ายหัวใจบุ๋นสีทองที่หลอมออกมาได้ถึงจะสามารถไต่ไปถึงระดับที่ลี้ลับเกินจะหยั่งอย่าง ‘เป็นคนดีมีคุณธรรมสูงส่ง ย่อมไม่ถูกวัตถุนอกกายล่อลวง!’
เมื่อเข้าไปในสถานที่ที่เต็มไปด้วยเสนียดจัญไรกลิ่นอายสกปรก ไม่กล้าพูดว่าหมื่นความชั่วร้ายมิอาจรุกราน ภูตผีปีศาจทั้งหมดบนโลกพากันถอยหนีไกลสามฉื่อ แต่กระนั้นก็มีพลังสยบกำราบตามธรรมชาติ สามารถสยบสิ่งมีชีวิตที่ใต้หล้าไพศาลมองเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องเหมาะสมได้
ประสิทธิผลประเภทนี้คล้ายคลึงกับเจียวหลงในแม่น้ำ ทะเลสาบและมหาสมุทรของยุคบรรพกาลที่เกิดมาก็สามารถขับไล่ สยบพิฆาตเผ่าพันธ์สิ่งมีชีวิตในน้ำได้นับพันนับหมื่นเผ่า
เหมาเสี่ยวตงเก็บความคิดที่วุ่นวายลงไป ในขณะที่เฉินผิงอันมองประเมินวัตถุดิบวิเศษเหล่านั้นอย่างละเอียด เขาก็เอ่ยช้าๆ ว่า “หลายวันมานี้ข้าพยายามหลบเลี่ยงช่วงกลางวันที่ผู้คนมากสายตาเยอะ ไปเยือนสถานที่ที่มีโชคชะตาบุ๋นเข้มข้นอย่างศาลบุ๋นและสถานที่แห่งอื่นของเมืองหลวงต้าสุยยามค่ำคืน ข้าจำเป็นต้องเอาชะตาบุ๋นบางส่วนกลับมาและเบิกใช้ล่วงหน้า บางส่วนก็เหมือนกับว่าสำนักศึกษาของพวกเรา… ‘ฝากเก็บไว้’ ไปพูดจาเหมือนพ่อค้าหน้าเลือดกับพวกเขา แต่อันที่จริงกลับถือว่าพวกเขาได้เงินปันผลที่ได้จากการค้าขาย สำหรับเรื่องนี้เชื้อพระวงศ์สกุลเกาและที่ว่าการของกรมพิธีการต้าสุยก็ทำได้แค่หลับตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่ง ถึงอย่างไรข้าก็แค่เอากลับมาภูเขาตงหัวเท่านั้น ก็เหมือนอย่างที่เจ้าบอก ภูเขาตงหัวยังคงตั้งอยู่บนแผ่นดินของต้าสุย”
เหมาเสี่ยวตงเอ่ยเตือน “ช่วงเวลาระหว่างนี้ เจ้าแค่ยืนอยู่ข้างกายข้าก็พอ ไม่ต้องพูดอะไร การที่ข้าพาเจ้าไปด้วยก็เพราะอยากลองหยั่งเชิงดูโชควาสนาชะตาบุ๋นที่เป็นของเจ้าว่ามีหรือไม่มี ทำไม เจ้ารู้สึกพิกล? เฉินผิงอัน เจ้าคิดผิดแล้ว อันที่จริงตอนนี้เจ้ารู้เรื่องการช่วงชิงบนสายบุ๋นของลัทธิขงจื๊อแค่ผิวเผินเท่านั้น เห็นแค่ภายนอก ไม่รู้ความหมายของมัน สรุปก็คือตอนนี้เจ้ายังไม่ต้องคิดถึงเรื่องพวกนี้ แค่ทำตามที่ข้าบอกก็พอ ไม่ได้บอกให้เจ้าไปรับสายบุ๋นสายไหนเป็นบรรพบุรุษสักหน่อย ไม่ต้องตื่นเต้น”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ตกลง”
เหมาเสี่ยวตงพูดตรงๆ อย่างไม่อ้อมค้อมอีกว่า “ตอนนี้ลมปีศาจฝนชั่วร้ายกำลังตั้งเค้าอยู่ในเมืองหลวงต้าสุย เหตุการณ์ไม่สงบสุขอย่างยิ่ง ครั้งนี้ข้าพาเจ้าออกไปจากสำนักศึกษาเพราะยังมีความคิดอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งถือว่าช่วยให้เจ้าหลุดพ้นจากสถานการณ์ยากลำบากสองอย่าง เพียงแต่ว่าจะอันตราย อีกทั้งยังไม่ใช่น้อยๆ ด้วย เจ้ามีความคิดอะไรหรือไม่?”
เหมาเสี่ยวตงวางท่าชัดเจนว่าจะใช้ตัวเองเป็นเหยื่อล่อ
เฉินผิงอันกล่าวอย่างเป็นกังวล “ข้าย่อมต้องยินดีอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าเมื่อเจ้าขุนเขาเหมาออกไปจากสำนักศึกษาก็เท่ากับว่าออกไปจากฟ้าดินของอริยะ หากอีกฝ่ายเตรียมการมาก่อน แรกเริ่มสุดคนที่พวกเขาต้องการเล่นงานก็คือเจ้าขุนเขาเหมาที่อยู่ในสำนักศึกษา แบบนี้เจ้าขุนเขาเหมาจะไม่เสี่ยงอันตรายมากหรอกหรือ?”
“คิดจะเล่นงานข้า ต่อให้ข้าออกจากภูเขาตงหัว อีกฝ่ายก็ต้องเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบถึงจะมีความมั่นใจนั้น”
เหมาเสี่ยวตงหัวเราะฮ่าๆ “แต่เจ้าคิดว่าผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนของแจกันสมบัติทวีปเหมือนของเล่นที่หลี่ไหวกับเผยเฉียนเก็บสะสมไว้ คิดจะเอาออกมาโอ้อวดตอนไหนก็ได้งั้นหรือ? ขอบเขตหยกดิบเพียงหนึ่งเดียวของต้าสุยคือบรรพบุรุษสกุลเกาเหอหยาง อีกทั้งยังเป็นนักเล่านิทานที่ไม่เชี่ยวชาญการเข่นฆ่า และเขาก็ไปเยือนภูเขาพีอวิ๋นบ้านเกิดของเจ้านานแล้ว บวกกับที่นักพรตใหญ่ขอบเขตบินทะยานของใบถงทวีปผู้นั้นร่างดับมรรคาสลาย เศษชิ้นส่วนร่างทองแก้วใสร่วงกระจายกลางอากาศเหนือแจกันสมบัติทวีป พวกตะพาบเฒ่าอายุพันปีที่มีคุณสมบัติไปช่วงชิงมันมาอย่างฉีเจินเทียนจวินสำนักโองการเทพ บรรพบุรุษสกุลเจียงที่มีข่าวลือว่าแอบเลื่อนสู่ขอบเขตเซียนเหรินนานแล้ว ผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบของท่าเรือหางผึ้งที่มีชาติกำเนิดเป็นผู้ฝึกตนอิสระ คนเหล่านี้ต่างก็กำลังยุ่งอยู่กับการประชันสติปัญญาความรู้ คนที่เหลืออยู่อย่างเว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะก็ไปรวมตัวกันอยู่ที่ภาคกลางของแจกันสมบัติทวีป เตรียมจะลงมือต่อสู้กับเซี่ยสือเทียนจวินแห่งอุตรกุรุทวีป”
เหมาเสี่ยวตงพูดอย่างปลงอนิจจัง “ราชวงศ์และแคว้นใต้อาณัติน้อยใหญ่ของแจกันสมบัติทวีปมีมากถึงสองร้อยกว่าแคว้น แต่ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนที่เกิดและเติบโตมาในทวีปนี้มีแค่กี่คนกันเชียว? สองมือนับยังพอ ก่อนที่ชุยฉานและฉีจิ้งชุนจะมาแจกันสมบัติทวีป ช่วงที่โชคไม่ดีก็อนาถยิ่งกว่านี้เสียอีก แค่มือเดียวก็นับได้หมดแล้ว ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ผู้ฝึกตนทวีปอื่นจะดูแคลนแจกันสมบัติทวีป เพราะเทียบกับคนอื่นไม่ติดจริงๆ และทุกด้านก็ล้วนเป็นเช่นนี้ อืม ควรจะพูดว่าเว้นจากวิถีวรยุทธ์ ถึงอย่างไรซ่งจ่างจิ้งและหลี่เอ้อร์ก็ปรากฎตัวติดๆ กัน อีกทั้งยังอายุน้อยขนาดนี้ ถือว่าน่าตกตะลึงมากแล้ว”
เฉินผิงอันจึงพูดถึงเรื่องที่มีคนติดประกาศเสนอรางวัลค่าหัวซ่งจ่างจิ้งที่เรือนซือเตาภูเขาห้อยหัว
เหมาเสี่ยวตงยิ้มกล่าว “ใต้หล้าไพศาลเคยชินที่จะดูแคลนแจกันสมบัติทวีปแล้ว รอวันหน้าเจ้าไปหาประสบการณ์ที่ทวีปอื่น หากบอกว่าตัวเองมาจากแจกันสมบัติทวีปที่เล็กที่สุดจะต้องถูกคนดูถูกบ่อยๆ แน่ ตอนที่สำนักศึกษาซานหยาเพิ่งสร้างขึ้นใหม่ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเรื่องเดียวที่ฉีจิ้งชุนทำสำเร็จในช่วงเวลายี่สิบสามสิบปีนั้นคืออะไร?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่รู้”
เหมาเสี่ยวตงคลี่ยิ้มบางๆ “นั่นก็คืออบรมปลูกฝังเมล็ดพันธ์บัณฑิตกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าให้แก่ราชวงศ์ต้าหลีอย่างเหนื่อยยาก แต่กลับมีคนหัวแหลมคนแล้วคนเล่าคิดอยากจะไปเรียนที่สำนักศึกษากวานหูซึ่งมีชื่อเสียงมากกว่า ฉีจิ้งชุนก็ไม่ขัดขวาง ที่น่าหัวเราะที่สุดก็คือ ฉีจิ้งชุนยังต้องเขียนจดหมายแนะนำให้บัณฑิตหนุ่มเหล่านั้น ช่วยพูดเรื่องดีๆ แทนพวกเขาด้วย เพื่อที่พวกเขาจะได้อยู่ในสำนักศึกษากวานหูอย่างราบรื่น”
เฉินผิงอันตะลึงพรึงเพริด
เหมาเสี่ยวตงสีหน้าเฉยชา “ราชวงศ์ต้าหลีในเวลานั้นแทบจะเป็นบัณฑิตกันทุกคน ผู้คนต่างก็รู้สึกว่าวิญญูชนและนักปราชญ์ของสำนักศึกษากวานหูอธิบายหลักการและเหตุผลได้ดีกว่าเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาซานหยา”
ในห้องหนังสือไร้สรรพสำเนียงอยู่นาน
เหมาเสี่ยวตงหันหน้าออกไปมองนอกหน้าต่าง เอ่ยเยาะหยันตัวเอง “ดังนั้นตั้งแต่อาจารย์ของพวกเรามาจนถึงฉีจิ้งชุน สุดท้ายมาถึงข้าเหมาเสี่ยวตงล้วนไม่มีใครสามารถบอกได้อย่างชัดเจนว่า ใครกันที่ถือว่าเป็นลูกศิษย์สายตรงที่ถูกต้องเหมาะสม มีกี่คนกันแน่ที่ถือเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดวิชาความรู้อย่างสมชื่อ แล้วใครที่เป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายที่แท้จริง เฉินผิงอัน เจ้าว่าตลกหรือไม่? หันกลับไปมองสายบุ๋นสายอื่น นั่นต้องเรียกว่าสืบทอดกันอย่างเป็นระบบระเบียบ กฎเกณฑ์เข้มงวด ประหนึ่งหมู่มวลดาราที่งดงามตระการตา”
เฉินผิงอันไม่รู้ว่าควรพูดอะไร เขาปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมาดื่มเหล้าหนึ่งคำ
เหมาเสี่ยวตงเดินไปหยุดที่หน้าต่าง โดยไม่ทันรู้ตัวด้านนอกก็เป็นภาพที่ดวงจันทร์และดวงดาวส่องแสงระเรื่อแล้ว
ผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่หันหน้ากลับไปก็เห็นว่าคนหนุ่มที่ไม่เคยยอมรับว่าตัวเองคือศิษย์น้องเล็กของตนกำลังสองจิตสองใจว่าควรจะดื่มเหล้าต่อไปดีหรือไม่
บทที่ 407.1 ในตำรานอกตำรา
ก่อนที่เฉินผิงอันจะลงเขาไป ‘เสี่ยงดวงบุ๋น’ ที่ศาลบุ๋นในเมืองหลวงพร้อมกับเหมาเสี่ยวตงก็ต้องตระเตรียมการไว้ในสำนักศึกษาให้เรียบร้อยก่อน หลีกเลี่ยงไม่ให้คนอื่นมุดช่องโหว่เข้ามาได้ หวังจะล่อให้คนอื่นติดเบ็ดแต่ไม่สำเร็จ กลับกลายเป็นว่ายกแผนล่อเสือออกจากภูเขาให้แก่ศัตรูไปเปล่าๆ
เขาบอกให้เผยเฉียนย้ายออกมาจากหอพักแขก ไปพักอยู่ในเรือนที่มีเซี่ยเซี่ยคอยดูแล มีสือโหรวอยู่เคียงข้าง และเฉินผิงอันก็ยังมอบเชือกพันธนาการปีศาจสีทองเส้นนั้นไว้ให้สือโหรวด้วย
เมื่อวานตอนกลางวันหลินโส่วอีก็มาฝึกตนที่เรือนในนามของชุยตงซานแห่งนี้แล้ว บวกกับมี ‘ตู้เม่า’ มาอยู่ด้วย หลินโส่วอีที่ได้พูดคุยกับเฉินผิงอันแล้วก็เลือกจะพักอยู่ในเรือนแห่งนี้อย่างใจกว้าง
จากนั้นเฉินผิงอันก็บอกให้จูเหลี่ยนและอวี๋ลู่คอยดูแลหลี่เป่าผิงกับหลี่ไหวอย่างลับๆ
จูเหลี่ยน อวี๋ลู่ คนหนึ่งคือผู้เฒ่าหลังค่อมที่พอเห็นผู้หญิงก็จะยิ้มตาหยี อีกคนหนึ่งคือชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่มักจะมีรอยยิ้มบางๆ แต่งแต้มใบหน้าอยู่เสมอ ใครเล่าจะคาดคิดได้ว่าทั้งสองคนต่างก็เป็นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวขอบเขตเดินทางไกล
บอกให้ตอนกลางคืนหลี่เป่าผิงไปนอนในห้องหลักของชุยตงซานกับเผยเฉียน เชื่อว่าชุยตงซานคงไม่ถือสา แล้วก็ไม่กล้าถือสาด้วย
เซี่ยเซี่ยและหลินโส่วอีต่างก็พักอยู่ในห้องข้างคนละห้อง สือโหรวเป็นวัตถุหยินจึงให้ทำหน้าที่เฝ้ายามตอนกลางคืน ส่วนหลี่ไหวก็นอนเบียดอยู่กับหลินโส่วอี
จูเหลี่ยนไม่ต้องพักอยู่ในบ้าน ตอนกลางคืนให้เขาไปนอนในห้องเดิมที่หอพักแขกก็พอ
แต่อวี๋ลู่จำเป็นต้องช่วยสือโหรวเฝ้ายามคนละครึ่งคืน
เฉินผิงอันไม่ค่อยเชื่อว่าสือโหรวจะสามารถรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างฉุกละหุกได้
แต่ในเรื่องนี้อวี๋ลู่กลับทำให้คนวางใจได้มาโดยตลอด
ส่วนทางห้องหนังสือของเหมาเสี่ยวตงนั้น ในบรรดาอาจารย์ผู้เฒ่าที่เดินลาดตระเวนตอนกลางคืนก็มีทั้งฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊ อย่างเช่นต่งจิ้งผู้มากความรู้ที่โปรดปรานหลินโส่วอีก็คือผู้ฝึกตนโอสถทองเฒ่าที่เชี่ยวชาญวิชาอสนีคนหนึ่ง และยังมีเซียนดินก่อกำเนิดที่ไม่เคยเปิดเผยตัวตน ยิ่งไม่มีใครรู้ในสถานะแท้จริงของเขาอีกคนหนึ่ง เขาเองก็มาจากต้าหลีเหมือนกับเหมาเสี่ยวตง ซึ่งก็คือผู้เฒ่าแซ่เหลียงที่ทำหน้าที่เฝ้าประตูใหญ่ของสำนักศึกษา ในช่วงเวลาที่สำคัญ คนผู้นี้สามารถนั่งบัญชาการณ์สำนักศึกษาแทนเหมาเสี่ยวตงได้
สุดท้ายเฉินผิงอันเรียกหลี่เป่าผิงไปคุยเป็นการส่วนตัว มอบวัตถุสองชิ้นที่ได้มาจากหลี่เป่าเจินให้แก่นาง หนึ่งคือหยกพกที่สลักคำว่า ‘วังมังกร’ อีกหนึ่งคือยันต์ร่างจริงเทพท่องทิวาราตรีที่ระดับขั้นสูงอย่างถึงที่สุดหนึ่งแผ่น
หลี่เป่าผิงรู้สึกฉงนสนเท่ห์เล็กน้อย
เฉินผิงอันไม่ได้ปิดบัง เขาเล่าเรื่องที่ตัวเองพบกับหลี่เป่าเจินที่แคว้นชิงหลวนโดยบังเอิญให้หลี่เป่าผิงฟังคร่าวๆ สุดท้ายลูบศีรษะหลี่เป่าผิง เอ่ยเบาๆ ว่า “วันหน้าข้าไม่มีทางเป็นฝ่ายไปหาพี่รองของเจ้าก่อน และจะพยายามหลบเลี่ยงเขาอย่างสุดความสามารถ แต่หากหลี่เป่าเจินไม่ล้มเลิกความคิด หรือรู้สึกว่าได้รับความอัปยศครั้งใหญ่ตอนอยู่สวนสิงโต ในอนาคตเกิดปัญหาขัดแย้งกันขึ้นมาอีกครั้ง ข้าจะไม่มีทางออมมือให้เขาอีก แน่นอนว่าเรื่องพวกนี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเจ้า”
หลี่เป่าผิงรู้สึกหดหู่เล็กน้อย เพียงแต่ดวงตาของนางยังฉายประกายเจิดจ้า “อาจารย์อาน้อย ท่านกับพี่รองของข้าใช้กฎยุทธภพที่ว่าบุญคุณความแค้นแบ่งแยกชัดเจนต่อกันได้เลย…”
หลี่เป่าผิงเอ่ยมาถึงตรงนี้ก็ถามว่า “อาจารย์อาน้อย ถ้าอย่างนั้นข้าสามารถเขียนจดหมายไปให้พี่ชายใหญ่ได้ไหม บอกให้เขาช่วยเกลี้ยกล่อมพี่รอง?”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็พยักหน้ารับ “ได้สิ”
หลี่เป่าผิงเตรียมจะมอบแผ่นหยกและยันต์ให้กับเฉินผิงอัน
ก่อนที่อาจารย์อาน้อยจะลงจากภูเขาไปครั้งนี้ได้บอกเล่าสถานการณ์ในปัจจุบันให้พวกเขาฟังเรียบร้อยแล้ว
หลี่เป่าผิงจึงอยากให้อาจารย์อาน้อยมีของติดกายเพิ่มไปอีกสักสองชิ้น
แต่เฉินผิงอันกลับยิ้มแล้วพูดขึ้นก่อนว่า “ตอนอยู่สวนสิงโตข้าได้ร่วมมือกับนักพรตหญิงมีดอาคมที่ร้ายกาจมากคนหนึ่งจับปีศาจตนหนึ่งที่หาได้ยาก เรียกได้ว่าเป็นอ่างรวมสมบัติที่มีชีวิต ได้ผลเก็บเกี่ยวมามากมาย นักพรตหญิงคนนั้นยึดเอาปีศาจไป แต่นางก็ได้มอบเงินฝนธัญพืชให้เป็นค่าชดเชยและตอบแทนแก่ข้าหกสิบสองเหรียญ ดังนั้นข้าจึงอยากยืมยันต์ร่างจริงเทพท่องทิวาราตรีแผ่นนั้นจากเจ้า ไม่ใช่ซื้อ แต่เป็นยืม ค่อนข้างคล้ายคลึงกับการรับจำนำ เพียงแต่พวกเราสลับตำแหน่งกัน เจ้าเอายันต์มาจำนำกับข้า ข้าก็จะมอบเงินฝนธัญพืชให้เจ้า เพราะระดับขั้นของยันต์แผ่นนี้สูงมาก ไม่ใช่ยันต์ประเภทที่ใช้ได้ครั้งเดียวแล้วต้องทิ้ง สามารถนำมาใช้ซ้ำได้ ขอแค่มีเงินเทพเซียนมากพอ เทพท่องทิวาราตรีสององค์นั้นก็สามารถดำรงอยู่บนโลกไปได้ตลอด ถึงขั้นที่ว่าต่อให้ถูกสลายปราณวิญญาณร่างทองไปแล้ว แต่ขอแค่คนวาดยันต์มีความสามารถที่จะแต้มนัยน์ตามังกรลงไปบนแก่นของยันต์ ก็ยังสามารถทำให้องค์เทพทั้งสองเผยร่างได้อยู่ดี บอกตามตรง เงินฝนธัญพืชหกสิบสองเหรียญคือเงินก้อนใหญ่มาก แต่เอามาซื้อยันต์ที่มีมูลค่าควรเมืองเช่นนี้ก็ยังไม่มากพออยู่ดี ดังนั้นข้าจึงไม่ได้ซื้อยันต์…”
อดทนฟังอยู่นาน หลี่เป่าผิงที่ทนต่อไปไม่ไหวก็พูดขึ้นด้วยสีหน้าเอาจริงเอาจัง “อาจารย์อาน้อย ท่านทำตัวเป็นคนนอกกับข้าแบบนี้ ข้าเสียใจมากนะ”
เฉินผิงอันอธิบายอย่างใจเย็น “ไม่ว่ากับเจ้าหรือพี่ชายใหญ่ของเจ้า ข้าล้วนไม่เห็นเป็นคนนอก แต่ถ้ากับคนทั้งตระกูลหลี่บนถนนฝูลวี่ ข้ากลับยังต้องเห็นตัวเองเป็นคนนอกสักหน่อย ในช่วงเวลาระหว่างที่อาจารย์อาน้อยรับจำนำยันต์แผ่นนี้ชั่วคราว เจ้าสามารถบอกให้เจ้าขุนเขาเหมาช่วยนำเงินฝนธัญพืชก้อนนั้นส่งไปที่เขตการปกครองหลงเฉวียน ตอนนี้ท่านปู่ของเจ้าเป็นเทพเซียนก่อกำเนิดที่เกิดและเติบโตมาในบ้านเกิดของพวกเรา ไม่ว่าจะสมบัติอาคมแบบใดก็ไม่น่าจะขาดแคลน ถึงอย่างไรหากจะพูดถึงความสามารถด้านการเก็บตกของดีในถ้ำสวรรค์หลีจู สี่แซ่สิบตระกูลย่อมต้องเชี่ยวชาญมากที่สุด แต่เงินเทพเซียนยิ่งมีมากกลับยิ่งดีสำหรับท่านปู่ของเจ้าในเวลานี้ แม้จะบอกว่าสมบัติอาคมที่เป็นสมบัติก้นกรุในตระกูลก็เอาไปขายแลกเงินได้เหมือนกัน ไม่ต้องกลัดกลุ้มว่าจะขายไม่ออก เพียงแต่ว่าสำหรับผู้ฝึกลมปราณแล้ว หากไม่ใช่สมบัติอาคมสมบัติวิเศษที่ไม่สอดคล้องกับมหามรรคาของตนจริงๆ โดยทั่วไปก็ไม่มีใครยินดีเอาออกมาขาย”
หลี่เป่าผิงยิ้มหน้าบาน “ที่แท้อาจารย์อาน้อยก็คิดทำเพื่อข้างั้นหรือ ข้าเข้าใจอาจารย์อาน้อยผิดไปเอง เสียมารยาท เสียมารยาทแล้ว ผิดไปแล้วๆ”
พูดจบหลี่เป่าผิงก็ประสานมือคารวะขออภัยอย่างเข้าท่าเข้าที
พอหลี่เป่าผิงยืดตัวขึ้นตรงแล้ว เฉินผิงอันก็ยื่นมือสองข้างไปบีบแก้มนาง ยิ้มพูดสัพยอก “ฉวยโอกาสตอนที่เป่าผิงน้อยยังไม่โต เวลานี้ต้องรีบบีบไว้ก่อน”
หลี่เป่าผิงยืนนิ่ง ดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยความเฉลียวฉลาดมีชีวิตชีวาคู่นั้นโค้งหยีลงเป็นพระจันทร์เสี้ยว
สุดท้ายเฉินผิงอันยืนมองหลี่เป่าผิงวิ่งตะบึงจากไป
แล้วเขาก็ไปที่ประตูภูเขาของสำนักศึกษา เหมาเสี่ยวตงมารออยู่นานมากแล้ว
คนทั้งสองออกจากสำนักศึกษา เดินผ่านถนนใหญ่ เลี้ยวเข้าไปในถนนป๋ายเหมา เวลานี้เฉินผิงอันถึงได้ส่งมอบยันต์แผ่นนั้นให้เหมาเสี่ยวตงเงียบๆ
เหมาเสี่ยวตงชำเลืองตามามอง รับมาเก็บไว้ในชายแขนเสื้อ
ผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่ใช้ริ้วคลื่นในทะเลสาบหัวใจถามเฉินผิงอัน “ยันต์แผ่นนี้ไม่เคยเห็นมาก่อน วัสดุของยันต์ก็แปลกประหลาด มันคือยันต์อะไร?”
เฉินผิงอันใช้วิธีรวมเสียงให้เป็นเส้นของผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวตอบกลับไป “คือยันต์โบราณชนิดหนึ่งในตำรา ‘มหัศจรรย์ที่แท้จริงตำราสีชาด’ ชื่อว่ายันต์ร่างจริงเทพท่องทิวาราตรี แก่นของมันอยู่ที่สองคำว่า ‘ร่างจริง’ ในตำรากล่าวไว้ว่าสามารถเชื่อมโยงเข้ากับร่างจริงของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่ใช่แค่เชื่อมโยงกับแสงศักดิ์สิทธิ์เล็กน้อยของแก่นยันต์ที่พรรคมหายันต์ของลัทธิเต๋าใช้กัน ทำให้กายธรรมของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เชิญออกมาเหมือนด้านรูปลักษณ์มากกว่าเหมือนด้านจิตวิญญาณ ทว่ายันต์แผ่นนี้กลับมีส่วนของจิตวิญญาณมากกว่า ว่ากันว่าแฝงความศักดิ์สิทธิ์ไว้ด้วยส่วนหนึ่ง”
หลังจากนั้นเฉินผิงอันก็อธิบายวิธีควบคุมและเรื่องที่ต้องระวังเกี่ยวกับยันต์แผ่นนี้อย่างละเอียด
เหมาเสี่ยวตงยิ่งฟังก็ยิ่งตกตะลึง “ยันต์ล้ำค่าขนาดนี้ เอามาจากไหน?”
เฉินผิงอันละเรื่องความแค้นส่วนตัวระหว่างตนเองกับหลี่เป่าเจินเอาไว้ไม่กล่าวถึง บอกแค่ว่ามีคนไหว้วานให้เขานำมามอบให้หลี่เป่าผิงใช้เป็นยันต์ปกป้องกาย
เหมาเสี่ยวตงยิ้มถาม “แล้วเจ้าก็มอบมันให้ข้าแบบนี้เนี่ยนะ?”
เฉินผิงอันกล่าว “อยู่ในมือของเจ้าขุนเขาเหมาสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้สูงสุด ข้าที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ใช้ยันต์ไม่อาจใช้ได้อย่างถูกวิธี เมื่อไม่ได้เรียนวิชาที่ถูกต้องดั้งเดิมที่สุดของ ‘มหัศจรรย์ที่แท้จริงตำราสีชาด’ มา ก็ง่ายที่จะทำร้ายจิตแห่งยันต์และพลังต้นกำเนิดของมัน ไม่ว่ายันต์ชนิดไหน หากถูกข้าเปิดภูเขาจุดแสงแห่งจิตวิญญาณก็ล้วนถือเป็นการสูบน้ำในบ่อให้แห้งเพื่อจับปลา” (เปรียบเปรยว่าเห็นแค่ผลประโยชน์ตรงหน้า ไม่ได้มองผลในระยะยาว)
เหมาเสี่ยวตงพูดประโยคแปลกแปร่งขึ้นมา “ดีนักนะ ในที่สุดข้าก็ได้เจอกับตัวแล้ว”
เฉินผิงอันรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
เหมาเสี่ยวตงเองก็ไม่ได้อธิบายอะไรต่อ
ไม่เสียแรงที่เป็นศิษย์น้องเล็กที่ถูกชุยตงซานเรียกว่ากุมารแจกทรัพย์ เห็นใครก็ชอบมอบของขวัญกระจายทรัพย์สินจริงๆ สินะ?
คนทั้งสองเดินกันไปบนถนนป๋ายเหมา เฉินผิงอันถามว่า “เป่าผิงน้อยโดดเรียนหลายคาบเพื่ออาจารย์อาน้อยอย่างข้า เจ้าขุนเขาเหมาไม่กังวลเรื่องการเรียนของนางหรือ?”
เหมาเสี่ยวตงกล่าว “หลี่เป่าผิงต่างหากถึงจะเป็นคนที่ทำถูกที่สุดในสำนักศึกษาของพวกเรา ในสำนักศึกษาซานหยามีตำราอริยะปราชญ์ของเมธีร้อยสำนักเก็บรักษาไว้มากมาย เพียงแต่ว่าเรื่องของการเรียนหนังสือนั้นเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก หากเจ้าไม่จริงใจ ไม่มีไหวพริบมากพอ ตัวอักษรแต่ละตัวในตำราก็ช่างเจ้าแง่แสนงอนและหยิ่งผยองมากนัก ตัวอักษรทั้งหลายไม่มีขาเดินออกจากตำราวิ่งเข้าไปอยู่ในท้องคนอ่านด้วยตัวเอง แต่หลี่เป่าผิงกลับทำได้ดีมาก หลักการเหตุผลที่บรรยายไว้ในตำราต่างก็ไม่ยิ่งใหญ่ แต่พวกมันไม่เพียงแต่มีขาเข้าไปอยู่ในท้องนาง ยังมีบางส่วนที่เข้าไปอยู่ในหัวใจ สุดท้ายตัวอักษรเหล่านี้ยังย้อนกลับไปที่ฟ้าดินที่โลกมนุษย์ จากนั้นก็วิ่งออกมาจากหัวใจ ติดปีกบินไปบนรถเทียมวัวของชายชราขายถ่านที่นางช่วยเข็น หล่นลงบนกระดานหมากล้อมที่นางไปยืนดูโดยไม่เอ่ยอะไร ไปอยู่ยังสถานที่ที่นางช่วยแยกเด็กเกเรสองคนไม่ให้ตีกัน วิ่งไปบนร่างของหญิงชราที่นางเป็นผู้ประคอง…มองดูเหมือนเป็นเรื่องเล็กน้อยยิบย่อย แต่อันที่จริงกลับร้ายกาจมาก เหล่านักปราชญ์ของลัทธิขงจื๊อพวกเราต่างก็แสวงหาสิ่งนี้มาโดยตลอดไม่ใช่หรือ? สามอมตะของการเรียนหนังสือ คนรุ่นหลังมักจะต้องการสามสิ่งได้แก่คำพูด คุณความชอบและคุณธรรมที่สุด แต่ไม่รู้เลยว่าคำว่า ‘ยืน’ จึงจะเป็นรากฐานที่แท้จริง ทำอย่างไรถึงจะเรียกว่าหยัดยืน ยืนได้อยู่ นี่ต้องมีความรู้มาก”
เหมาเสี่ยวตงเอาสองมือไพล่หลัง เงยหน้ามองท้องฟ้าของเมืองหลวง “เฉินผิงอัน เจ้าพลาดทิวทัศน์ที่งดงามไปมากมาย ทุกครั้งที่เป่าผิงน้อยออกไปเที่ยวข้างนอก ข้าจะต้องแอบติดตามไปด้วยเงียบๆ เมืองหลวงต้าสุยแห่งนี้ พอมีแม่นางน้อยสวมชุดสีแดงที่ร่าเริงสดใสปรากฎตัว ก็ดูเหมือนว่าจะ…กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง”
เหมาเสี่ยวตงพูดตามความรู้สึกของตัวเอง เฉินผิงอันพลันอารมณ์ดี รู้สึกดีใจแทนหลี่เป่าผิงที่ได้ผลเก็บเกี่ยวจากการมาเรียนที่สำนักศึกษา
เหมาเสี่ยวตงพลันเอ่ยขึ้นว่า “ตอนนี้เจ้าอ่านทั้งตำราของลัทธิขงจื๊อและสำนักนิติธรรม ถ้าอย่างนั้นข้าก็ขอเตือนเจ้าสักสองสามคำ หากเรียนรู้จากลัทธิขงจื๊อแบบหลากหลายไม่ลึกซึ้ง ก็ง่ายที่ความรู้จะปนกันเหมือนแป้งเปียก ไม่ว่าจะพบเจอเรื่องอะไรก็ราวกับจะสามารถหาเหตุผลหลักการที่ตัวเองต้องการเจอได้เสมอ นี่กลับกลายเป็นว่าจะทำให้คนสับสนมึนงง โดยเฉพาะเมื่อเกี่ยวพันกับปัญหาใหญ่ก็จะยิ่งทำให้คนรู้สึกเลื่อนลอยเคว้งคว้าง แต่เจ้าเองก็น่าจะเคยสังเกตเห็นว่า เหตุใดประวัติศาสตร์ทุกยุคทุกสมัยถึงไม่เคยมีกษัตริย์ของแคว้นใดเต็มใจป่าวประกาศว่าเคารพเชิดชูสำนักนิติธรรมเพียงสำนักเดียว”
ไม่รอให้เฉินผิงอันเอ่ยอะไร เหมาเสี่ยวตงก็ชิงโบกมือเสียก่อน “เจ้าดูแคลนความใจกว้างของอริยะปราชญ์ลัทธิขงจื๊อมากเกินไป แล้วก็ดูแคลนศักยภาพของอริยะสำนักนิติธรรมมากเกินไป”
เหมาเสี่ยวตงทอดถอนใจเสียงเบา “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหล่าอริยะมองความสูงต่ำตื้นลึกของความรู้ในหนึ่งสายอย่างไร?”
เฉินผิงอันยิ้มตอบ “เรื่องนี้ข้าไม่รู้แน่นอน”
เขาปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงตามจิตใต้สำนึก คำพูดที่ออกมาจากใจจริงเหล่านี้ของเจ้าขุนเขาเหมา เมื่อดื่มเหล้าจะได้รสชาติดีเยี่ยมอย่างถึงที่สุด ทำให้รสชาตินี้อวลอลค้างอยู่ในลำคอของเฉินผิงอันได้เนิ่นนาน
เหมาเสี่ยวตงชี้ไปยังกระแสผู้คนที่เดินกันขวักไขว่บนถนนอย่างไม่ใส่ใจพลางยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ยกตัวอย่างเช่น ลัทธิขงจื๊ออยากให้คนเข้าใกล้ สำนักนิติธรรมทำให้คนอยากอยู่ห่างไกล”
เฉินผิงอันทำท่าครุ่นคิดตาม
เหมาเสี่ยวตงกล่าว “นี่เป็นเพียงแค่ความคิดของข้าเท่านั้น ไม่แน่เสมอไปว่าจะถูกต้อง หากเจ้าคิดว่ามีประโยชน์ก็เอาไปใช้ ขบเคี้ยวเป็นกับแกล้มคู่สุรา หากรู้สึกว่าไม่มีประโยชน์ก็โยนมันทิ้งไว้ข้างๆ ไม่เป็นไร ในตำรามีถ้อยคำที่ล้ำค่ามากมายถึงเพียงนั้น แต่ก็ไม่เห็นว่าคนบนโลกจะรู้จักเห็นค่าทะนุถนอมหรือนำมาขบคิดให้ละเอียดสักเท่าไหร่ ความรู้แค่ครึ่งถังของข้าเหมาเสี่ยวตง ไม่นับว่าเป็นอะไรได้เลยจริงๆ”
เฉินผิงอันดื่มเหล้า ไม่เอ่ยอะไร
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น