หมอดูยอดอัจฉริยะ 405-413
ตอนที่ 405 เรียกวิญญาณ (1)
โดย
Ink Stone_Fantasy
ที่เขตภูเขาฉางไป๋นั้นในปีหนึ่งๆ จะมีฤดูกาลที่หิมะปกคลุมไปทั้งภูเขาเป็นเวลานานสี่ถึงห้าเดือน หูหงเต๋อจึงชินกับการเดินทางกลางหิมะมานานแล้ว
ด้วยในใจกำลังนึกพะวงถึงหลานสาว แม้ว่าแต่ละก้าวจะจมลงไปในกองหิมะที่สุมกันขึ้นมาจนถึงหัวเข่า แต่หูหงเต๋อก็ยังคงเดินต่อไปอย่างเร็วมาก แต่ละก้าวที่สาวเท้าไปนั้นพาเกล็ดหิมะฟุ้งกระจายขึ้นมามากมาย และเกิดเป็นเส้นทางเดินขึ้นบนพื้นหิมะ
ตอนแรกเขานึกว่าเยี่ยเทียนจะตามฝีเท้าของเขาไม่ทัน แต่พอมองไปข้างๆ หูหงเต๋อก็มีสีหน้าตกตะลึงขึ้นมาทันที ในใจก็รู้สึกช็อกไปเลย
เยี่ยเทียนเก็บกิ่งไม้ยาวราวๆ หนึ่งเมตรเศษมาสองกิ่งจากไหนไม่ทราบ แล้วถือไว้มือละกิ่ง ระหว่างที่เดินหน้าไปก็ยื่นกิ่งไม้ออกไปแตะยันพื้นเบาๆ แล้วร่างก็ลอยละลิ่วไปข้างหน้าอย่างเบาหวิว
หูหงเต๋อหันไปมองข้างหลัง ฝีเท้าของเยี่ยเทียนที่จมลงไปบนหิมะนั้น เป็นรอยลึกเพียงราวๆ นิ้วเดียวเท่านั้นเอง แม้จะไม่ถึงขนาดเดินบนหิมะได้โดยไร้ร่องรอย แต่ก็ถือว่าใกล้เคียงแล้ว
ทั้งสองต่างเดินทางกันด้วยความเร็วสูงยิ่ง หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมงกว่าๆ ก็มาถึงไร่ที่เดินทางผ่านไปเมื่อวานแล้ว
เมื่อผลักเปิดประตูไม้ของห้องสำนักงานกรมป่าไม้ กระแสความร้อนก็พุ่งมาปะทะหน้าทันที ในห้องนั้นกำลังจุดเตาผิงไว้ ด้านนอกแม้จะเต็มไปด้วยหิมะและน้ำแข็ง แต่ภายในกลับอบอุ่นแสนสบาย
หูหงเต๋อโยนขาหมูป่าตากแห้งสองขาที่อยู่บนบ่าลงไปลงโต๊ะ “เสี่ยวซ่ง วันนี้มีรถเข้าเมืองรึเปล่า? ฉันขอติดรถไปทีสิ!”
ปกติจะยืมรถม้าของเขตกรมป่าไม้ก็ได้ แต่ตอนนี้หิมะตกหนักจนถนนใช้ไม่ได้ จึงจำเป็นต้องใช้รถจี๊ปของเขตกรมป่าไม้เท่านั้น ล้อของรถจี๊ปนั้นทำขึ้นพิเศษ เพื่อให้สามารถขับเคลื่อนไปบนพื้นหิมะได้โดยเฉพาะ
เมื่อได้ยินหูหงเต๋อถามแบบนั้น ซ่งฉ่างฉางก็ยิ้มออกมา “ตาหู มาได้จังหวะพอดีเลยนะครับ นี่ผมกำลังเตรียมจะเข้าไปในเมืองอยู่พอดี เราไปด้วยกันก็ได้นะ!”
หูหงเต๋อปัดหิมะบนร่าง แล้วตอบว่า “อย่างนั้นก็ดีน่ะสิ ไป เดี๋ยวพอไปถึงในเมืองแล้วฉันจะเลี้ยงซุปแพะแกนะ!”
“ตาหูครับ ถ้าจะเลี้ยงซุปแพะละก็ ไม่สู้อีกสองสามวันไปล่ามังกรบินมาให้กินดีกว่าน่า รสชาติมันเยี่ยมไปเลยละ!”
ซ่งฉ่างฉางคุยกับหูหงเต๋อพลางหยิบกระเป๋าเอกสารใบหนึ่งเดินออกจากประตูไป เมื่อหิมะตกหนักไปทั้งภูเขาเช่นนี้ งานที่เขตกรมป่าไม้ก็ต้องหยุดลงเช่นกัน เขาเลยจะเข้าเมืองไปรายงานเสียหน่อย
“อยากได้มังกรบินน่ะไม่มีปัญหาหรอก แต่แกน่ะคอยคุมปากตัวเองไว้ให้ดีเถอะ คราวก่อนแค่ล่าไปสามตัว ก็โดนพี่ใหญ่แกบ่นไปตั้งหลายวันแล้ว”
ที่เรียกว่ามังกรบินนั้น อันที่จริงแล้วก็คือไก่ป่าหางลายนั่นเอง เป็นนกประจำถิ่นพันธุ์หนึ่งในเขตป่าไม้ของสามมณฑลตะวันออก มังกรบินมีเนื้อขาวและนุ่ม อุมดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ รสชาติสดอร่อย เป็นวัตถุดิบอาหารแปลกที่หายากชนิดหนึ่งของโลก
อย่างที่มักจะกล่าวกันว่า ‘บนฟ้ามีเนื้อมังกร บนดินมีเนื้อลา’ นั้น คำว่า ‘เนื้อมังกร’ ในที่นี้ก็หมายถึงเนื้อไก่ป่านี่เอง
แต่ปัจจุบันนี้มังกรบินถูกจัดเป็นสัตว์อนุรักษ์ของประเทศแล้ว หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ประกาศเรื่องนี้กับพวกนักล่าบนภูเขาอยู่บ่อยไป พี่ชายคนโตของซ่งฉ่างฉางก็เป็นถึงหัวหน้าศูนย์ป่าไม้ท้องถิ่น คราวก่อนพอรู้ว่าหูหงเต๋อล่าไปหลายตัวก็แทบจะระเบิดโทสะใส่เขา
ซ่งฉ่างฉางหัวเราะ “เขาก็แค่พูดไปเท่านั้นแหละ ที่เหลืออยู่ครึ่งตัวนั่นผมเอาไปให้พี่สะใภ้ตุ๋นเป็นซุป พี่แกก็กินเสียอเร็ดอร่อยอย่างกับอะไรดีแน่ะ”
ขณะที่คุยกันไป พวกเขาก็เดินมาถึงหน้ารถจี๊ปคันหนึ่ง รถคันนี้ผ่านการดัดแปลงมาแล้ว ท้องรถยกขึ้นจนสูงมาก บนยางรถก็มีห่วงโซ่อยู่ด้วย สำหรับป้องกันรถลื่นเวลาขับไปกลางหิมะ
ตำแหน่งหัวหน้าเขตกรมป่าไม้นี่ก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไรนัก ซ่งฉ่างฉางจึงไม่มีคนขับรถให้เป็นธรรมดา คันที่ขับอยู่นี้ก็เป็นรถจี๊ปเก่าที่ผลิตตั้งแต่ปีไหนแล้วก็ไม่ทราบ เขาขับพาพวกเยี่ยเทียนมุ่งหน้าสู่ตัวเมือง
หูหงเต๋อควานหากล้องยาสูบที่พกติดตัวไว้ออกมา และเคาะกับหน้าต่างรถ แล้วจู่ๆ ก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ จึงเอ่ยขึ้นว่า “จริงสิ เสี่ยวซ่ง ช่วงนี้มีพวกหน้าใหม่ขึ้นมาอยู่บนเขาบ้างรึเปล่า? ฉันเห็นมีกับดักวางอยู่ทางทิศเหนือของภูเขาหลายที่เลย เป็นแบบที่เอาไว้ดักเสือโคร่งไซบีเรียกับหมีควายเลยนะ!”
จากป่าฝั่งที่หูหงเต๋ออาศัยอยู่ขึ้นภูเขาเขาไปนั้น ระหว่างทางจะต้องผ่านเขตของกรมป่าไม้ และบนภูเขานั้นก็เป็งสังคมปิด ทุกคนจึงรู้จักกันหมดแล้ว ถ้ามีคนต่างถิ่นโผล่มาละก็ ซ่งฉ่างฉางก็ต้องจำได้แน่นอน
ซ่งฉ่างฉางส่ายหน้า “ไม่มีนะ ปีนี้อากาศหนาวลงเร็วมาก หิมะก็ตกเร็วกว่าปกติ ในเขตกรมป่าไม้ก็ไม่มีคนต่างถิ่นเข้ามาเลย”
หูหงเต๋อมีแววตาเย็นชา พึมพำกับตัวเองว่า “อย่างนั้นก็คงเป็นพวกที่มาจากฝั่งของไอ้บอดเมิ่งละสินะ? ไว้พอเสี่ยวเซียนหายดีแล้ว ฉันคงต้องไปเยี่ยมทางนั้นสักเที่ยวแล้วละ!”
คนที่หูหงเต๋อเรียกว่าไอ้บอดเมิ่งนั้น ก็แค่มีตาขาวมากหน่อยเท่านั้นเอง แต่ที่จริงแล้วเป็นคนตาแหลมมาก ฝีมือยิงปืนก็ไม่เป็นสองรองใครในเขตภูเขาฉางไป๋ อายุน้อยกว่าหูหงเต๋อไปสิบกว่าปี ปกติไม่ค่อยจะถูกชะตากับหูหงเต๋อเท่าไรนัก
แต่พ่อของไอ้บอดเมิ่งนั้น สมัยก่อนเคยเป็นลูกน้องของหูอวิ๋นเป้า รุ่นพ่อทั้งสองจึงพอจะนับว่ามีไมตรีต่อกันอยู่บ้าง ถึงไอ้บอดเมิ่งจะเคยทำเรื่องไม่ถูกทำนองคลองธรรมอยู่หลายครั้ง แต่หูหงเต๋อก็ไม่อยากลดตัวลงไปยุ่งเกี่ยวด้วย
แต่คราวนี้ไอ้บอดเมิ่งกลับฝ่าฝืนข้อห้ามของหูหงเต๋อ เรื่องลักลอบล่าสัตว์นั้นไม่จำเป็นต้องพูดถึง แต่กับดักที่วางไว้เหล่านั้นไม่ได้ทำเครื่องหมายใดๆ ไว้เลย แสดงให้เห็นว่าจงใจหาเรื่องเขานั่นเอง หูหงเต๋อผู้ไม่เคยยอมเสียท่าให้ใครก็ต้องไม่ยอมอยู่แล้ว
นี่เป็นเรื่องส่วนตัวของหูหงเต๋อ ตอนนั้นเขาจึงไม่ได้พูดอะไรอีก แต่เปลี่ยนไปสนทนาเรื่องอื่นกับซ่งฉ่างฉางแทน
ตอนที่ออกจากเมืองมาเมื่อวานนั้นนั่งรถม้า ซึ่งใช้เวลาวิ่งไปประมาณสองชั่วโมงกว่า วันนี้ทั้งๆ ที่นั่งรถยนต์ไป แต่กลับต้องนั่งส่ายคลอนไปตามถนนนานถึงสามชั่วโมงกว่าๆ จึงจะมาถึงเขตเมือง
ขณะนั้นเป็นเวลาบ่ายสองโมงแล้ว ซ่งฉ่างฉางต้องรีบไปรายงานผลการทำงานกับหัวหน้า จึงปล่อยเยี่ยเทียนและหูหงเต๋อไว้หน้าโรงพยาบาล แล้วก็ขับรถจากไป
เยี่ยเทียนและหูหงเต๋อไปนั่งอยู่ที่ร้านหมี่ร้านเดียวกับเมื่อวานอีกแล้ว แต่คราวนี้ทั้งสองกลับไม่ได้คุยอะไรกันมากนัก ต่างคนต่างกินหมี่ไปสองชาม แล้วก็เข้าไปในโรงพยาบาล
“ไอ้ลูกเวรนี่มันก็มาด้วยเรอะ เยี่ยเทียน เดี๋ยวนายไม่ต้องพูดอะไรนะ ฉันจะไปไล่พวกมันออกมา!” เมื่อหูหงเต๋อมองเห็นรถที่จอดอยู่ในโรงพยาบาล สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที
“เหล่าหู ทำไมหรือ?” เยี่ยเทียนได้ยินหูหงเต๋อพูดอย่างนั้นก็ชักจะแปลกใจ
“พ่อของเสี่ยวเซียนมันมาน่ะ ไอ้สารเลวนี่พอปีกกล้าขาแข็งขึ้นมา มันก็ไม่ค่อยจะเชื่อฟังฉันแล้ว”
หูหงเต๋อเป็นคนอารมณ์ฉุนเฉียว เขาพูดขึ้นมาตาเขียว “เยี่ยเทียน นายไม่ต้องห่วงนะ ฉันรับรองว่า ตอนที่นายทำพิธีน่ะจะไม่มีใครอยู่ในห้องเลยสักคน พอเห็นพ่อไม่วางอำนาจเข้าหน่อย มันก็นึกว่าฉันจะต้องยอมพวกมันรึไง?”
“อย่าเลยน่า เหล่าหู วิชาเรียกวิญญาณของผมน่ะยังไงก็ใช้ตอนกลางวันไม่ได้อยู่แล้ว ต้องรอจนถึงตอนกลางคืนถึงจะทำพิธีได้ คุณอย่าเข้าไปทำให้บรรยากาศตึงเครียดเลยน่ะ พวกคุณมีความแค้นอะไรกันละเนี่ย ถึงได้เป็นเอาขนาดนี้?”
เยี่ยเทียนฟังหูหงเต๋อพูดแล้วไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ตัวก็อายุตั้งหกสิบเจ็ดสิบปีแล้ว ยังจะมาประชันอะไรกับลูกชายอีกล่ะ? ดูจากท่าทางของหูหงเต๋อแล้ว เหมือนกำลังคิดจะใช้กำลังข่มขู่เลยด้วยซ้ำ
“อย่างนั้นก็ได้ ฉันจะบอกมันว่าคืนนี้จะมาอยู่เป็นเพื่อนหลาน ให้พวกมันไสหัวไปซะ!”
หูหงเต๋อพยักหน้า ที่จริงเขาเองก็รู้สึกผิดต่อลูกชายอยู่บ้างเหมือนกัน สมัยก่อนถ้าไม่ใช่เพราะเขาดึงดันไม่ยอมให้ภรรยาไปโรงพยาบาล ตอนนี้คู่ชีวิตของเขาก็อาจจะยังมีชีวิตอยู่ก็ได้
“ลูกชายคุณเขาทำงานอะไรครับ?” เยี่ยเทียนเอ่ยถามขึ้น เพราะรถคันที่จอดอยู่ข้างนอกนั้นเป็นถึงรถโตโยต้ารุ่นคัมรี่ ซึ่งเป็นรถยนต์นำเข้าชนิดที่ถ้าไม่ใช่คนมีตำแหน่งในระดับหนึ่งก็คงไม่มีทางได้นั่ง
“ไอ้สารเลวนั่นเมื่อก่อนมันเป็นครู แล้วก็ทะเยอทะยานใช้สมองปีนป่ายขึ้นไป ตอนนี้อยู่ที่ศึกษาธิการมณฑล เหมือนจะเป็นรองศึกษาธิการอะไรเนี่ยแหละ” ถึงหูหงเต๋อจะเรียกลูกเป็นไอ้สารเลว แต่เยี่ยเทียนก็ดูออกว่า เขายังห่วงใยต่อลูกชายคนนี้อยู่เหมือนกัน
เมื่อเปิดประตูเข้าไปในห้องคนไข้ อวี๋ชิงหย่าและเว่ยหรงหรงต่างก็อยู่ที่นั่นครบ นอกจากนางหูและเจ้าหน้าที่พยาบาลแล้ว ก็ยังมีชายวัยกลางคนรูปร่างสุงใหญ่อยู่อีกคนหนึ่ง
“เยี่ยเทียน เมื่อวานหิมะตกหนัก มือถือนายก็ไม่มีสัญญาณ ฉันเป็นห่วงแทบแย่แน่ะ” พอเห็นเยี่ยเทียนเข้ามา อวี๋ชิงหย่าก็รีบเข้าไปหา เมื่อวานหิมะตกหนักเหลือเกิน จนเธอนอนไม่หลับทั้งคืนเลย
เยี่ยเทียนกุมมือของอวี๋ชิงหย่าไว้ แล้วตอบเสียงเบา “ฉันไม่เป็นไร บนเขาน่ะอยู่สบายมากเลยละ”
“พ่อ พ่อมาหรือครับ?”
เมื่อหูหงเต๋อเดินเข้ามาในห้องคนไข้ ชายวัยกลางคนผู้นั้นก็ลุกขึ้นยืน แล้วพูดว่า “พ่อครับ ปีนี้หิมะตกหนักกว่าทุกปีเลย ผมว่าพ่อกลับมาอยู่ที่บ้านดีกว่านะครับ…”
หูหงเต๋อทำหน้าบึ้งตึง แล้วตอบอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “จะกลับมาอยู่ทำไม? ให้พวกแกยั่วโมโหตายเรอะ? ฉันไม่ไปไหนทั้งนั้นละ อยู่บนเขาเนี่ยแหละดีออกจะตายไป!”
ที่จริงแล้วความสัมพันธ์ของหูหงเต๋อกับลูกชายก็ไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น เพียงแต่เขาเป็นคนหัวแข็งมาทั้งชีวิต ในความคิดของเขา ถ้าไปอาศัยอยู่ที่บ้านของลูกชาย ก็เท่ากับว่าตัวเองก้มหัวให้ลูกชาย ซึ่งเป็นเรื่องที่เขาทำไม่ได้จริงๆ
“พ่อครับ พ่อ…”
ชายวัยกลางคนก็เริ่มขึ้นเสียงขึ้นมาบ้าง แต่เมื่อเห็นในห้องคนไข้นั้นมีคนอื่นอยู่ด้วย สุดท้ายจึงถอนหายใจ แล้วหันหน้าไปพูดกับเยี่ยเทียน “เธอคงจะเป็นเสี่ยวเยี่ยสินะ? ขอบคุณนะที่มาเยี่ยมเสี่ยวเซียน ฉันชื่อหูต้าจวิน เป็นพ่อของเสี่ยวเซียนน่ะ!”
“สวัสดีครับ ผมชื่อเยี่ยเทียนครับ!”
เยี่ยเทียนพยักหน้า แล้วจับมือกับหูต้าจวิน ถ้าไม่ใช่เพราะคำนึงถึงหูหงเต๋อ เขาก็อาจจะเรียกอีกฝ่ายว่าลุงหูไปแล้ว แต่ตอนนี้ไม่ว่าอย่างไรเขาก็เรียกแบบนั้นไม่ออกจริงๆ
“ฮ่ะๆ เสี่ยวเยี่ยมาจากเมืองหลวง กิริยามารยาทเลยดูไม่ธรรมดาจริงๆ นะเนี่ย!”
หูต้าจวินเป็นผู้นำมาจนชินแล้ว เขาจึงรู้สึกได้ถึงความน่าเกรงขามที่แผ่ออกมาจากตัวเยี่ยเทียนโดยธรรมชาติ ตอนนั้นยังนึกว่าเยี่ยเทียนเป็นคุณชายมาจากบ้านไหนด้วยซ้ำไป
ว่ากันตามเหตุผล หูต้าจวินก็ถือว่าวางตัวอย่างถ่อมตนพอสมควรแล้ว แต่หูหงเต๋อกลับยังไม่พอใจ พูดดุขึ้นมาจากด้านข้างว่า “แกมีสิทธิ์อะไรไปเรียกเขาว่าเสี่ยวเยี่ย? ต้องเรียกนายน้อยสิ ขนาดพ่อแกยังมีลำดับต่ำกว่าเขารุ่นหนึ่งเลย!”
หูต้าจวินได้ยินพ่อพูดแบบนั้นก็ทั้งนึกขำทั้งนึกฉุน เมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่น เขาก็ไม่อยากจะมาทุ่มเถียงกับหูหงเต๋อ ยามนั้นจึงพูดไปว่า “พ่อ พูดอะไรของพ่ออีกแล้วครับเนี่ย? เสี่ยวเยี่ยเขามาจากปักกิ่ง แล้วจะมาเกี่ยวข้องอะไรกับพ่อได้ยังไงล่ะ?”
หูหงเต๋อตอบอย่างขุ่นเคือง “มาจากปักกิ่งแล้วไม่มีสิทธิ์เกี่ยวข้องกันรึไง? ศิษย์พี่ของเยี่ยเทียนกับปู่แกน่ะเคยสาบานเป็นพี่น้องกัน แล้วแกว่าแกควรจะเรียกเขาว่าอะไรดีล่ะ?”
“พี่…พี่น้องร่วมสาบานของคุณปู่?” หลังจากได้ยินพ่อพูด หูต้าจวินก็นิ่งอึ้งไปทันที เขาไม่นึกเลยจริงๆ ว่า เยี่ยเทียนจะมีความเกี่ยวข้องกับตระกูลหูแบบนี้ด้วย
หูต้าจวินเคยพบคุณปู่มาก่อน และสมัยเด็กยังเคยไปอยู่บนเขากับหูอวิ๋นเป้าเป็นเวลาสองปีด้วย จึงรู้ดีว่าหูอวิ๋นเป้ามีชีวิตที่ยิ่งใหญ่กึกก้องปฐพีเพียงใด และที่หูต้าจวินมีวันนี้ได้ ปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งก็เพราะได้อิทธิพลจากคุณปู่นี่เอง
เมื่อครั้งกระโน้นหูอวิ๋นเป้าเร้นกายอยู่ในป่าเขา ส่วนพี่น้องใต้บัญชาของเขาส่วนหนึ่งก็ไปเข้าร่วมการปฏิวัติ หลังจากสามมณฑลตะวันออกได้รับการปลดปล่อย คนเหล่านั้นก็โยกย้ายไปตามที่ต่างๆ และได้รับตำแหน่งกันในระดับหนึ่ง
จนกระทั่งเหตุกลียุคที่กินเวลานานสิบปีนั้นยุติลง บางคนก็ได้นั่งตำแหน่งผู้นำในระดับที่สูงพอสมควร แม้ว่าต่อมาจะถอนตัวกันไปแล้ว แต่ก็ยังคงมีอำนาจในภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนืออยู่มาก
การที่หูต้าจวินสามารถก้าวจากอาชีพครูธรรมดาๆ คนหนึ่งมาถึงจุดนี้ได้นั้น เขาเองก็รู้ดีว่า จะขาดการเกื้อหนุนจากอดีตผู้ใต้บัญชาของคุณปู่เหล่านั้นในช่วงปีแรกๆ ไปไม่ได้เลย ดังนั้นในก้นบึ้งของหัวใจจึงรู้สึกเคารพคุณปู่อย่างยิ่ง
ตอนที่ 406 เรียกวิญญาณ (2)
โดย
Ink Stone_Fantasy
เมื่อเห็นหูต้าจวินมีสีหน้ากระอักกระอ่วน เยี่ยเทียนจึงเอ่ยขึ้นว่า “เหล่าหู ไม่ต้องเรียกนายน้อยอะไรนั่นหรอก ผมเป็นเพื่อนกับเสี่ยวเซียน เราก็คุยกันสบายๆ นี่แหละ”
“ดี เราคุยกันสบายๆ นะ จริงสิ เยี่ยเทียน แล้วศิษย์พี่ของเธอชื่อว่าอะไรหรือ?”
หูต้าจวินก็เป็นคนอายุสี่สิบกว่าปีแล้ว จึงนึกกลัวอยู่ว่าพ่อของตัวเองจะยืนกรานให้ตนเรียกเยี่ยเทียนว่านายน้อยจริงๆ พอได้ยินเยี่ยเทียนพูดอย่างนั้น ก็เลยรีบฉวยจังหวะนี้เออออตามไปด้วย
“ไอ้ลูกเวรนี่ ผู้อาวุโสก็คือผู้อาวุโสสิ ไม่รู้มารยาทเอาเสียเลย!” หูหงเต๋อพึมพำขึ้นมาข้างๆ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
เยี่ยเทียนยิ้มตอบว่า “ศิษย์พี่ผมชื่อโก่วซินเจียครับ ไม่ทราบว่าคุณเคยได้ยินมาก่อนไหม?”
“อินทรีเนตรทอง?” หูต้าจวินร้องอุทานขึ้นมา
“คุณก็รู้จักหรือครับ?” เยี่ยเทียนมองไปที่หูต้าจวินอย่างทึ่งๆ ฉายาของศิษย์พี่นี่ก็โด่งดังไม่เบาเลยนะเนี่ย หูหงเต๋อและลูกชายถึงได้รู้จักกันทั้งคู่
“ฉันเคยได้ยินคุณปู่พูดถึงน่ะ ท่านบอกว่าพี่น้องร่วมสาบานของท่านคนนี้มีวรยุทธเหนือกว่าท่านเป็นร้อยเท่าเลยละ!”
สมัยเด็กหูต้าจวินเคยไปอาศัยอยู่กับคุณปู่บนเขาหลายปี และพวกเด็กๆ ก็มักจะชอบฟังเรื่องเล่ากันทั้งนั้น หูต้าจวินเองก็เช่นกัน ทุกๆ คืนจึงไปรบเร้าขอให้หูอวิ๋นเป้าเล่าเรื่องให้ฟัง
หูอวิ๋นเป้าคลุกคลีอยู่ในถิ่นภูมิภาคตงเป่ยมาทั้งชีวิต ตำนานเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับเขาก็มีอยู่นับไม่ถ้วน เพียงแต่เรื่องที่ประทับอยู่ในความทรงจำของหูอวิ๋นเป้าอย่างลึกซึ้งที่สุดนั้น ก็คือเรื่องเกี่ยวกับพี่น้องร่วมสาบานของท่านนั่นเอง
ดังนั้นเรื่องที่อินทรีเนตรทองในอดีตเคยฝ่าออกจากรังโจรภูเขาได้ด้วยตัวคนเดียวนั้น หูต้าจวินจึงเคยฟังมาไม่รู้กี่ครั้งแล้ว และเนื่องจากคนแซ่โก่วนั้นมีอยู่น้อยมาก จึงทำให้เขาจำชื่อของโก่วซินเจียได้แม่นยิ่งขึ้นไปอีก
“เยี่ยเทียน คุณปู่ฉันน่ะยกยอศิษย์พี่ของเธอไว้ว่าเป็นหนึ่งในใต้หล้าเลยทีเดียวละ ไว้พอเสี่ยวเซียนอาการดีขึ้นแล้ว เราสองคนมาประมือกันหน่อยไหม?”
เพราะได้รับการถ่ายทอดวิชาในตระกูล หูต้าจวินจึงเติบโตมากับการฝึกวิทยายุทธตั้งแต่เด็ก คนธรรมดาต่อให้มีถึงเจ็ดแปดคนก็อย่าหวังจะเข้าใกล้เขาได้เลย เมื่อได้ยินว่าเยี่ยเทียนเป็นศิษย์น้องของอินทรีเนตรทอง จึงรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที อยากจะประชันฝีมือกับเยี่ยเทียนดูสักตา
“พอได้แล้ว เลิกทำขายหน้าคนอื่นเสียที เยี่ยเทียนเขาใช้แค่นิ้วเดียวก็ทุ่มม้าอ้วนอย่างแกได้แล้วละ”
หูหงเต๋อทนดูต่อไปไม่ไหวแล้วจริงๆ เขาพูดต่ออย่างไม่สบอารมณ์ “ขนาดพ่อแกยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเยี่ยเทียนเลย อาศัยฝีมือครึ่งๆ กลางๆ อย่างแกน่ะเหรอ ก็คิดจะไปประมือกับเขา?”
“อะไรนะ? พ่อ แม้แต่พ่อก็ยังสู้เยี่ยเทียนไม่ได้เหรอ?”
หูต้าจวินได้ยินก็อึ้งไป เขารู้ระดับพลังฝีมือของพ่อตัวเองดี ขนาดท่อนซุงที่เส้นผ่าศูนย์กลางเท่าปากชาม หูหงเต๋อยังกำหักเป็นสองท่อนได้เลย วิชากำลังภายนอกก็ฝึกจนแทบจะถึงระดับสูงสุดแล้ว ในบรรดานักเล่นกังฟูชื่อดังที่หูต้าจวินรู้จักมานั้น ก็ไม่มีใครเป็นคู่ต่อสู้ของบิดาได้เลยสักคน
แต่หูต้าจวินก็รู้อีกว่า ตลอดชีวิตบิดาไม่เคยพูดโกหกเลยสักคำเดียว ในเมื่อเขาบอกว่าสู้เยี่ยเทียนไม่ได้ อย่างนั้นเยี่ยเทียนก็จะต้องมีวรยุทธเหนือกว่าเขาแน่นอน
พอได้ยินสองพ่อลูกพูดถึงเยี่ยเทียน เว่ยหรงหรงก็พูดสอดขึ้นมาบ้าง “วรยุทธของเยี่ยเทียนน่ะร้ายกาจจริงๆ นะ ช่วงก่อนหน้านี้เขายังสู้กับคนญี่ปุ่นจนฝ่ายนั้นแพ้ราบคาบได้ในกระบวนท่าเดียวเลยละ!”
“พอเถอะ อย่าพูดเรื่องนี้กันเลยนะ อาการของเสี่ยวเซียนเป็นยังไงบ้างครับ?” เยี่ยเทียนโบกมือ นี่เขาก็ไม่ได้จะมาเพื่อโอ้อวดเสียหน่อย ยามนั้นจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนามาที่หูเสี่ยวเซียนซึ่งกำลังนอนอยู่บนเตียงคนไข้
หูต้าจวินส่ายหน้า “เมื่อวานยังดีอยู่ แต่วันนี้อาการเหมือนจะทรุดลงอีกแล้ว ฉันเชิญผู้เชี่ยวชาญจากเมืองหลวงมา คิดว่าพรุ่งนี้ก็คงมาตรวจให้เสี่ยวเซียนได้แล้วละ”
“ผู้เชี่ยวชาญอะไรกันเล่า อาการของเสี่ยวเซียนนี่น่ะคือวิญญาณโดนคนชักจูงไป ไปหาผู้เชี่ยวชาญก็ไม่มีประโยชน์หรอก!” หูหงเต๋อร้องฮึอย่างไม่สบอารมณ์
“พ่อ เลิกมาไม้นี้เสียทีได้ไหมครับ? นี่เสี่ยวเซียนเขาไม่สบาย เรายังต้องพึ่งวิชาทางวิทยาศาสตร์กันอยู่นะครับ!”
เมื่อพูดถึงประเด็นนี้ หูต้าจวินก็ไม่ยอมฟังพ่อแล้ว สมัยก่อนหูหงเต๋อเคยอ้างว่าจะใช้อิทธิฤทธิ์รักษาโรคให้มารดา ใครเลยจะคาดคิดว่ากลับทำให้มารดาต้องสิ้นใจไปท่ามกลางความเจ็บปวด เหตุการณ์นี้หูต้าจวินยังคงจดจำได้ไม่ลืมเลย
หูหงเต๋อทำตาถลนแล้วด่าว่า “วิทยาศาสตร์บ้าบอน่ะสิ วันนี้พวกแกกลับไปกันให้หมด ฉันจะอยู่เฝ้าช่วงกลางคืนให้เอง”
‘ไม่ได้การ ถ้าเหล่าหูพูดแบบนี้ พวกนั้นยอมกลับไปก็แปลกแล้วละ!’ พอได้ยินหูหงเต๋อพูดแบบนั้น เยี่ยเทียนก็ร่ำร้องขึ้นมาในใจ ตาเฒ่าคนนี้ก็อายุตั้งหกเจ็ดสิบแล้ว ทำไมถึงไม่รู้จักควบคุมอารมณ์แบบนี้นะ?
“พ่อ หรือว่าพ่อคิดจะเชิญเทพอะไรมารักษาเสี่ยวเซียนอีกแล้วใช่ไหม?”
เป็นไปตามคาด หูต้าจวินมองปราดเดียวก็ดูแผนของพ่อตัวเองออกแล้ว จึงประกาศกร้าวทันทีว่า “ผมไม่ยอมนะ เสี่ยวเซียนเป็นลูกสาวของผม ผมไม่ยอมให้พ่อมาทำซี้ซั้วหรอก”
หูหงเต๋อถกแขนเสื้อขึ้น แล้วตอบกลับอย่างโมโห “เสี่ยวเซียนก็เป็นหลานสาวของฉันเหมือนกันนะ ไอ้ลูกบ้า แกคิดจะขบถใช่ไหมหา?”
“อ้าวๆ เดี๋ยวสิเหล่าหู ทำไมวู่วามแบบนี้ล่ะ? มีอะไรก็พูดกันดีๆ ไม่ได้เหรอ?”
เยี่ยเทียนยื่นมือข้างหนึ่งออกไปกดไหล่ของหูหงเต๋อไว้ หูหงเต๋อที่ตอนแรกกำลังจะกระโจนใส่ลูกชายนั้น กลับรู้สึกว่ามีพลังมหาศาลกดทับลงบนร่างราวกับขุนเขาทันที ขาก็ก้าวออกไปไม่ได้แล้ว
“เยี่ยเทียน ขายหน้าเธอจริงๆ พ่อผมก็เป็นคนแบบนี้แหละ เอะอะอะไรก็จะลงไม้ลงมือ”
เมื่อเห็นพ่อตัวเองหน้าแดงก่ำ หูต้าจวินก็ดูพิรุธออกทันที จึงพูดกับเยี่ยเทียนว่า “พรุ่งนี้ผู้เชี่ยวชาญก็จะมาแล้ว เธอว่าปล่อยให้พ่อฉันทำซี้ซั้วแบบนี้มันจะได้หรือ?”
เยี่ยเทียนพึมพำกับตัวเองครู่หนึ่ง แล้วตอบว่า “เหล่าหูเขาก็ไม่ได้ซี้ซั้วนะครับ คุณอาจจะยังไม่รู้ว่า ที่ผมฝึกอยู่น่ะเป็นวิชากำลังภายใน สามารถถ่ายพลังผ่านการฝังเข็มได้ ผมอยากจะลองช่วยรักษาให้เสี่ยวเซียนดูสักหน่อย ไม่ทราบว่าคุณจะเห็นด้วยไหมครับ?”
ตอนที่เข้าโรงพยาบาลมา หูหงเต๋อบอกให้เยี่ยเทียนไม่ต้องยุ่ง เขาจะเป็นคนพูดกับลูกชายเอง แต่ดูสถานการณ์ตอนนี้แล้ว ถ้าเยี่ยเทียนยังไม่ออกปากพูดเองอีกละก็ มีหวังสองพ่อลูกคงได้เล่นฉากบู๊กันกลางห้องคนไข้แน่ๆ
“ถ่ายพลังผ่านการฝังเข็ม? เยี่ยเทียน มันจะได้ผลหรือ?”
หูต้าจวินมองไปที่เยี่ยเทียนอย่างคลางแคลงใจ ถึงเขาจะไม่เชื่อถืออวิชชาอย่างพวกทรงเจ้าเข้าผี แต่ก็ยังยอมรับการแพทย์แผนจีนอยู่ เพราะสมัยเด็กเวลาที่เขาป่วย ก็เคยกินยาจีนที่บิดาต้มให้อยู่หลายครั้ง
“อธิ…อธิการหู”
เยี่ยเทียนจะเรียกชื่อหูต้าจวินตรงๆ ก็คงไม่เหมาะ คิดดูแล้วเรียกตำแหน่งของเขาไปเลยน่าจะดีกว่า “คุณคงรู้อยู่ว่า ตามหลักวิชาแพทย์แผนจีน ร่างกายคนเรานั้นประกอบขึ้นด้วยปราณ กาย และจิตรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน ผมสงสัยว่า เลือดลมของเสี่ยวเซียนอาจจะติดขัด จนทำให้อยู่ในสภาพอย่างตอนนี้ ก็เลยจะลองจัดเส้นลมปราณให้เธอดู ถึงจะไม่ได้ผล แต่ก็ไม่ได้ส่งผลเสียอะไรกับเธอหรอก”
“ไม่ใช่ทรงเจ้าเข้าผีนะ?” หูต้าจวินไม่ค่อยไว้ใจพ่อของตัวเองนัก และเยี่ยเทียนก็ยังอายุน้อยเกินไป คำพูดของเยี่ยเทียนนี้อย่างมากเขาก็เชื่อถือแค่สามในสิบส่วนเท่านั้น
“อธิการหูครับ การทรงเจ้าเข้าผีน่ะเป็นทักษะเฉพาะของลัทธิหมอผีทางแถบตงเป่ยนี่ ผมทำไม่เป็นหรอกครับ”
เยี่ยเทียนดูออกว่าหูต้าจวินคิดอะไรอยู่ ทันใดนั้นจึงยื่นมือขวาออกไปกลางอากาศ โดยกางอุ้งมือไปทางหูต้าจวินที่อยู่ห่างออกไปสามเมตร พลังงานสายหนึ่งแผ่ออกจากร่าง แล้วพุ่งไปที่ไหล่ของหูต้าจวินเข้าอย่างจัง
หูต้าจวินนึกไม่ถึงเลยว่า เยี่ยเทียนจะใช้ไม้นี้ออกมา จึงถูกเยี่ยเทียนลากเข้าไปหาโดยไม่ได้โต้ตอบเลยสักนิด ไหล่ของเขาขยับเขยื้อนไม่ได้เลยแม้แต่น้อย ราวกับถูกคีมเหล็กคีบไว้ก็ไม่ปาน
พอลากหูต้าจวินมาอยู่ข้างตัวแล้ว เยี่ยเทียนก็ปล่อยมือ แล้วพูดขึ้นอย่างยิ้มแย้ม “อธิการหู ต้องล่วงเกินแล้ว ที่ผมฝึกอยู่เป็นวิชายุทธสายเต๋า เน้นไปที่การปรับสมดุลหยินหยางและผสานเลือดลม คุณว่าวิชานี้เป็นยังไงบ้างล่ะครับ?”
“นี่…นี่มันวิชาอะไรกันเนี่ย?” หูต้าจวินรู้สึกราวกับอยู่ในความฝัน จนกระทั่งเยี่ยเทียนเริ่มพูดขึ้นมาแล้ว เขาถึงจะได้สติกลับมา
ตอนนี้หูต้าจวินเพิ่งจะรู้ว่า ที่แท้สิ่งที่พ่อของเขาพูดเกี่ยวกับเยี่ยเทียนไปนั้น ไม่มีความเท็จอยู่เลยแม้แต่น้อย เรื่องอื่นยังไม่ต้องพูดถึง แค่วิทยายุทธที่เยี่ยเทียนเพิ่งจะแสดงไปนี่ อธิการหูก็ยังไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยด้วยซ้ำ
“วิชากำลังภายในนี่ถ้าฝึกถึงขั้นสุดยอดแล้ว สามารถแผ่พลังออกสู่ภายนอกได้ด้วย นี่ผมยังถือว่าห่างชั้นอีกไกลเลยนะครับ”
เยี่ยเทียนหัวเราะแล้วพูดต่อ “แต่ถ้าแค่ปรับเส้นลมปราณให้เสี่ยวเซียน เท่านี้ก็ใช้ได้แล้วละ อธิการหูคิดว่ายังไงล่ะครับ?”
“ตกลง อย่างนั้นก็ลองดูเถอะ!”
พอเยี่ยเทียนแสดงฝีมือออกมา ทัศนคติที่หูต้าจวินมีต่อเยี่ยเทียนก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง นายเยี่ยเทียนที่เมื่อครู่นี้ยังดูค่อนข้างอ่อนวัยในสายตาของเขานั้น ยามนี้กลับดูเหมือนดั่งยอดคนผู้บรรลุเต๋าแล้วก็ไม่ปาน
ส่วนคนอื่นๆ ในห้องนั้นอย่างแม่ของหูเสี่ยวเซียน กลับไม่เข้าใจเลยว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เมื่อหูต้าจวินตอบตกลงที่จะให้เยี่ยเทียนรักษาหูเสี่ยวเซียนแล้ว คนอื่นๆ ก็ไม่มีอะไรจะพูดอีก
‘ตาคนนี้นี่วิสัยทัศน์กว้างดีจริงจริ๊ง’
เมื่อเห็นว่าหูต้าจวินยอมตอบตกลงในที่สุด เยี่ยเทียนก็แอบหัวเราะเฝื่อนๆ ในใจ ถ้าเปลี่ยนเป็นถังเหวินหย่วนมาได้ยินว่าเขาจะทำพิธีให้ละก็ ฝ่ายนั้นมิดีใจจนตัวสั่นไปเลยหรือ? แต่ตอนนี้ เขากลับต้องยกเรื่องการถ่ายพลังผ่านการฝังเข็มมาพูดกลบเกลื่อนแทน
“อ้าว ทำไมคนเยอะขนาดนี้ล่ะ? แบบนี้ไม่ดีต่อคนไข้นะครับ ออกไปให้หมดเลย เหลือไว้แค่สองคนก็พอ!”
ระหว่างที่พูดกันอยู่ แพทย์คนหนึ่งก็เดินเข้ามาในห้อง เมื่อเห็นว่ามีคนออกันอยู่เต็มห้องก็จมวดคิ้วขึ้นมาทันที แล้วเริ่มไล่ตะเพิดโดยไม่เกรงใจใครเลยสักนิด
หูต้าจวินเองก็รู้ว่าถ้าคนเยอะอาจทำให้อากาศในห้องผู้ป่วยแย่ลง ยามนั้นจึงเอ่ยขึ้นว่า “ไป พวกเราออกไปหาที่นั่งกันก่อนเถอะ เสี่ยวอวี๋ เสี่ยวเว่ย เย็นนี้ลุงหูขอเลี้ยงข้าวพวกหนูนะ!”
แม้จะเป็นห่วงลูกสาวอยู่ แต่เพื่อนของเสี่ยวเซียนอุตส่าห์เดินทางตั้งไกลเพื่อมาเยี่ยม ผู้ปกครองอย่างเขาจึงต้องให้การดูแลเสียหน่อย ตอนนั้นในห้องคนไข้จึงเหลือนางหูอยู่คนเดียว ส่วนคนอื่นๆ ถอยออกมากันหมด
หูหงเต๋อที่เดินอยู่ข้างหลังดึงแขนเยี่ยเทียนไว้ แล้วกระซิบถามว่า “เยี่ยเทียน คุณถ่ายพลังผ่านการฝังเข็มได้จริงๆ น่ะรึ?”
เยี่ยเทียนตอบอย่างไม่สบอารมณ์ “ถ้าผมไม่พูดไปแบบนั้น แล้วลูกชายคุณจะยอมตกลงหรือ?”
“แหะๆ ไอ้ตัวสารเลวนี่นะ แม้แต่พ่อมันก็ยังไม่ฟังเลย” ใบหน้าชราของหูหงเต๋อแดงวาบ ตอนที่เข้ามาในโรงพยาบาลเขาอุตส่าห์รับประกันเสียดิบดี ไม่นึกเลยว่าสุดท้ายยังต้องให้เยี่ยเทียนเป็นคนออกหน้าเกลี้ยกล่อมลูกชายอีก
เยี่ยเทียนคิดๆ ดู แล้วบอกว่า “เหล่าหู คุณคงต้องไปซื้อเข็มทองมาสักชุดหนึ่งนะ ตอนที่จะตรึงวิญญาณก็คงได้ใช้อยู่ดี!”
“ได้ เดี๋ยวฉันจะไปซื้อมาเลย นี่ถ้าคุณบอกมาก่อน ในบ้านผมก็มีอยู่แล้วตั้งหลายชุด” หูหงเต๋อพยักหน้า
ตอนที่เยี่ยเทียนและหูหงเต๋อมาถึงโรงพยาบาลนั้นเป็นเวลาประมาณบ่ายสามโมง พอออกจากโรงพยาบาลก็เกือบจะห้าโมงแล้ว หูต้าจวินหาร้านอาหารใกล้ๆ ที่ดูดีหน่อยร้านหนึ่ง แล้วนั่งกินข้าวกับพวกเยี่ยเทียนมื้อหนึ่ง
ส่วนหูหงเต๋อนั้นอาศัยช่วงที่คนอื่นกินข้าวกันอยู่ ออกไปซื้อชุดเข็มสำหรับฝังเข็มมาชุดหนึ่ง นอกจากนั้นก็ยังซื้อกระถางธูปใบเล็กมาอีกหนึ่งใบ ซึ่งจะใช้สำหรับจุดเผาสมุนไพรเรียกวิญญาณ
เมื่อกลับมาถึงห้องคนไข้ เยี่ยเทียนก็ขวางพวกหูต้าจวินไว้ให้อยู่นอกประตู แล้วพูดขึ้นว่า “เอาละ อธิการหู ตอนที่ผมฝังเข็ม จะถูกรบกวนไม่ได้นะครับ ให้เหล่าหูตามเข้ามาได้ แต่พวกคุณรออยู่ข้างนอกนี่แหละนะ”
“งั้น…งั้นก็ได้ เยี่ยเทียน ต้องฝากเธอด้วยนะ!”
หูต้าจวินหยุดยืนอยู่กับที่อย่างลังเล ถึงจะยังรู้สึกสงสัยในตัวเยี่ยเทียนอยู่ แต่ในเมื่อตอนนี้ลูกสาวอยู่ในสภาพแบบนี้ เขาก็คงได้แต่เยียวยาไปโดยไม่มีสิทธิ์เลือกหมอแล้ว
ตอนที่ 407 เรียกวิญญาณ (3)
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลังจากเข้าไปในห้อง เยี่ยเทียนก็หันหน้าไปพูดกับหูหงเต๋อว่า “เหล่าหู เฝ้าประตูไว้นะ ห้ามใครเข้ามาแม้แต่คนเดียว!”
บรรดาวิชาที่เยี่ยเทียนได้รับถ่ายทอดมาในสมองนั้น ส่วนมากเขาก็เข้าใจหลักการและเหตุผลของวิชาเหล่านั้นอยู่ แต่มีเพียงวิชาเรียกวิญญาณนี้เท่านั้น ที่เยี่ยเทียนไม่เคยรู้เลยว่าหลักทฤษฎีของมันนั้นอยู่ตรงไหน จึงต้องเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้นไปด้วย
“ได้เล้ย คุณวางใจเถอะนะ ต่อให้เป็นท้าวโลกบาลผมก็จะไม่ปล่อยให้เข้ามาได้เด็ดขาด!”
หูหงเต๋อตอบรับ มองซ้ายมองขวาแวบหนึ่ง แล้วเดินตรงไปที่ข้างเตียง ย้ายตู้ข้างหัวเตียงไปไว้ข้างประตูห้อง จากนั้นก็หย่อนก้นนั่งลงไปบนตู้นั้นเลย
“เหล่าหู นี่ถ้าคุณเกิดเร็วกว่านี้สักสามสิบปีละก็ จะต้องมีชื่อเสียงโด่งดังยิ่งกว่าพ่อของคุณเองแน่นอนเลยละ!”
เมื่อเห็นการกระทำของหูหงเต๋อ เยี่ยเทียนก็ไม่รู้จะหัวเราะหรือจะร้องไห้ดี ตาเฒ่านี่ไม่เสียทีที่เกิดมาในรังโจร อายุปาเข้าไปหกเจ็ดสิบแล้ว แต่ก็ยังทำอะไรเหมือนพวกกุ๊ยพวกโจรอยู่อีก
เยี่ยเทียนหัวเราะพลางส่ายหน้า นำถุงย่ามของหูหงเต๋อมา แล้วหยิบตะเกียงแอลกอฮอล์และชุดเข็มที่เพิ่งซื้อนั้นออกมาจากถุง
เมื่อจุดตะเกียงแอลกอฮอล์และนำเข็มไปฆ่าเชื้อแล้ว เยี่ยเทียนก็ไปยืนอยู่หน้าเตียงของหูเสี่ยวเซียน นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้ข้างขวาถือเข็มขึ้นมาเล่มหนึ่ง แล้วฝังลงไปที่เส้นลมปราณตำแหน่งอกและท้องของหูเสี่ยวเซียน
หลังจากฝังเข็มลงไปแล้ว มือขวาของเยี่ยเทียนก็ไม่ได้หยุดนิ่งเลย ฝังเข็มเงินอีกห้าเล่มลงไปบนร่างของหูเสี่ยวเซียนทั้งที่ยังมีผ้ากั้นอยู่ จนหูหงเต๋อที่อยู่ข้างประตูเห็นแล้วตะลึงอึ้ง เขาเป็นแพทย์แผนจีนมาทั้งชีวิต เพิ่งจะรู้วันนี้เองว่าเขาฝังเข็มกันแบบนี้ก็ได้ด้วย
เมื่อฝังไปห้าเข็มแล้ว เยี่ยเทียนก็เริ่มหอบเบาๆ ในเข็มเงินทั้งห้าเล่มนี้ แต่ละเล่มล้วนแฝงไว้ด้วยพลังแห่งชีวิต และแยกย้ายกันฝังไปบนตำแหน่งเส้นลมปราณหัวใจ ม้าม ปอด ไตและตับของหูเสี่ยวเซียน
เส้นลมปราณหัวใจ ม้าม ปอด ไตและตับนั้นถูกเรียกรวมเป็นอวัยวะภายในทั้งห้าของมนุษย์ ซึ่งตรงกับธาตุทั้งห้าอันได้แก่ ไฟ ดิน ทอง น้ำ ไม้
เยี่ยเทียนกำลังใช้พลังจากเข็มเงินกระตุ้นปราณที่อวัยวะภายในทั้งห้าของหูเสี่ยวเซียน เพื่อให้ระบบการทำงานในร่างกายของเธอฟื้นฟูกลับมาได้ในเวลาเพียงเล็กน้อย
หลังจากฝังลงไปห้าเข็ม เยี่ยเทียนก็หยิบเข็มเงินออกมาอีกเล่มหนึ่ง แล้วฝังลงไปที่จุดอิ้นถัง (หว่างคิ้ว) ของหูเสี่ยวเซียน โดยเข็มนี้สำหรับใช้ตรึงวิญญาณ
ร่างกายของคนนั้นมีสามจิตเจ็ดวิญญาณ ซึ่งเป็นที่อยู่ของจิตวิญญาณของคน ปกติวิญญาณของคนจะอยู่กับร่างกาย แต่หากคนผู้หนึ่งประสบเรื่องไม่คาดฝันหรือตื่นกลัวขึ้นมา วิญญาณของคนผู้นั้นก็จะหลุดออกจากร่าง และยากที่จะกลับคืนมาได้
หากเสียไปหนึ่งจิตและหนึ่งวิญญาณ ก็จะทำให้เซื่องซึมไม่มีชีวิตชีวา สติเหม่อลอย หากเสียไปสองจิตก็จะทำให้หลับไม่ตื่น หากสามจิตเจ็ดวิญญาณกระเจิงหายไปจนหมด เวลาตายของคนผู้นั้นก็จะมาถึงแล้ว
จนถึงตอนนี้หูเสี่ยวเซียนก็ยังมีพลังปราณแห่งชีวิตอยู่ แปลว่าสามจิตเจ็ดวิญญาณของเธอไม่ได้ถูกคนชักนำไปจนหมด เข็มที่เยี่ยเทียนฝังลงไปเข็มนี้สามารถตรึงสกัดวิญญาณในร่างของเธอได้ และช่วยกระตุ้นความรู้สึกตัวของหูเสี่ยวเซียน
หลังจากขั้นตอนเหล่านี้เสร็จสิ้นแล้ว ใบหน้าของหูเสี่ยวเซียนที่ตอนแรกขาวซีดนั้น ก็เริ่มมีเลือดฝาดขึ้นมาบ้างแล้ว การเคลื่อนไหวที่หน้าอกขณะหายใจก็ค่อยๆ คงที่มากขึ้น เยี่ยเทียนจึงรู้ว่า คราวนี้เขาไม่ได้เสียแรงไปเปล่าๆ แล้ว
เยี่ยเทียนกระถางธูปใบนั้นออกมา แล้วใส่สมุนไพรเรียกวิญญาณที่บดเป็นผงแล้วลงไปในกระถาง แล้วลูบวนจนเป็นเส้นลายก้นหอย จากนั้นก็จุดไฟแช็กที่ปลายเส้นนั้น
อาจเพราะมันมีคุณสมบัติเหมือนธูปอยู่แล้ว ควันกลุ่มหนึ่งจึงลอยออกมาจากกระถางธูป แต่ที่เผาอยู่นั้นเร็วยิ่งกว่าเผาธูปมากนัก ผ่านไปไม่นาน ทั่วทั้งห้องคนไข้ก็ปกคลุมไปด้วยควันที่ให้กลิ่นขมปร่าเล้กน้อย
หูเสี่ยวเซียนที่นอนมาสามวันแล้ว หลังจากได้กลิ่นนี้ ร่างก็กระตุกขึ้นมาในฉับพลัน ไอปราณที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็นกลุ่มหนึ่งแผ่ซ่านออกมานอกร่าง แล้วลอยอยู่กลางอากาศเหนือร่างของเธอ
‘ที่เรียกกันว่าวิญญาณนั้น ที่จริงแล้วก็คือสิ่งที่ก่อขึ้นจากไอปราณในร่างกายคนนั่นเอง สาเหตุที่เสี่ยวเซียนหลับใหลไม่ตื่นนั้น ก็น่าจะเป็นเพราะพลังปราณถูกคนอื่นดูดไปนี่แหละ!’
เมื่อเห็นไอปราณที่แผ่ออกมาจากร่างของหูเสี่ยวเซียน เยี่ยเทียนก็เข้าใจขึ้นมาทันที พลังปราณนั้นเป็นพื้นฐานของร่างกายคน หากพลังปราณสิ้นไป คนก็ย่อมจะสิ้นชีพเป็นธรรมดา
แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เหมาะจะมาขบคิดใคร่ครวญ เยี่ยเทียนจึงชูสองมือขึ้นมาวาดค่ายกลกลางอากาศสองชุด ปากก็ตวาดว่า “ไป!”
หลังจากสิ้นเสียงตวาดของเยี่ยเทียน ทันใดนั้นอุณหภูมิทั่วทั้งห้องคนไข้ก็ลดวูบลง ม่านหน้าต่างพัดโบกขึ้นมาสูงทั้งที่ไร้ลม ส่วนร่างของหูเสี่ยวเซียนก็เหมือนจะเปล่งประกายออกมาวาบหนึ่ง แล้วก็ดับวูบไปทันที
เยี่ยเทียนหลับตาลง แล้วนั่งขัดสมาธิลงไปบนพื้นห่างจากเตียงของหูเสี่ยวเซียนไปสามเมตร มือจับนิ้วร่ายอาคมไปที่ร่างของหูเสี่ยวเซียนไปเรื่อยๆ ขณะเดียวกันปากก็เปล่งเสียงขรึมต่ำออกมา “ธิดาตระกูลหู นามว่าเสี่ยวเซียน วิญญาณจงกลับมาบัดเดี๋ยวนี้!”
ระหว่างที่เยี่ยเทียนท่องประโยคนี้ไปเรื่อยๆ เหมือนบริกรรมคาถา พลังชี่ภายในห้องคนไข้ก็เริ่มปั่นป่วนขึ้นเรื่อยๆ ค่ายกลที่เยี่ยเทียนร่ายออกไปกลางอากาศเหนือร่างของหูเสี่ยวเซียนนั้นปล่อยแรงดึงดูดออกมา ทำให้พลังชี่ภายในห้องพุ่งไปยังร่างของหูเสี่ยวเซียนอย่างรวดเร็ว
แต่เมื่อพลังชี่เหล่านั้นไปสัมผัสกับไอปราณที่ปกคลุมร่างของหูเสี่ยวเซียนอยู่ ก็แตกกระจายไปทุกทิศทาง ราวกับว่าทั้งสองไม่อาจสัมผัสกันได้เลย
และเสียงบริกรรมขรึมต่ำของเยี่ยเทียนนั้นก็ชักนำพลังปราณของหูเสี่ยวเซียนทะลุผ่านหน้าต่างออกไปสู่ท่ามกลางค่ำคืนอันไร้ที่สิ้นสุดอย่างกับมีเวทมนตร์ ราวกับจะออกไปเสาะหาวิญญาณที่กระจายหายไปของตัวเอง
“นี่มันเรียกวิญญาณหรือดูดวิญญาณกันแน่เนี่ย?”
ระหว่างที่เยี่ยเทียนกำลังนั่งร่ายอาคมโดยไม่สนสิ่งรอบข้างอยู่นั้น หูหงเต๋อที่อยู่ข้างประตูก็เริ่มจะทนไม่ไหวแล้ว เสียงของเยี่ยเทียนนั้นราวกับเป็นคำสาปก็ไม่ปาน ทำให้สมองเขาปวดตื้อขึ้นมา และถึงขั้นรู้สึกเหมือนวิญญาณจะหลุดออกจากร่าง
หูหงเต๋อหายใจเข้าลึกๆ พยายามควบคุมจิตใจไว้ เขาถึงจะพอมีสติขึ้นมาบ้าง จึงรีบฉีกผ้าจากเสื้อผ้าบนร่างออกมาสองชิ้น แล้วอุดหูเอาไว้แน่น
……
หิมะตกหนักไปหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็มๆ จนภูเขาฉางไป๋ทั้งลูกปกคลุมไปด้วยหิมะและน้ำแข็ง ที่เชิงเขาทางทิศเหนือห่างจากที่พักของหูหงเต๋อไปหกสิบกว่ากิโลเมตร มีหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งซึ่งมีอยู่สิบกว่าครอบครัวตั้งอยู่
หมู่บ้านยามฤดูหนาวนั้นเงียบเหงากว่าปกติ แม้แต่สุนัขล่าเนื้อก็กลับไปขดตัวอยู่ในรังกันหมด แต่ในกระท่อมไม้หลังหนึ่งตรงปลายหมู่บ้านฝั่งที่ติดกับภูเขานั้นกลับสว่างเจิดจ้า และมีเสียงตะโกนโหวกเหวกดังออกมาเป็นครั้งคราว
กระท่อมหลังนี้สร้างอย่างปุปะ อยู่ห่างไกลจากบ้านหลังอื่นๆ ในหมู่บ้านมาก จึงดูโดดเด่นสะดุดตาอย่างยิ่ง ตรงฝั่งซ้ายของประตูบ้านนั้น มีเสาไม้ไผ่ลำยาวตั้งอยู่ต้นหนึ่ง บนยอดเสาไม้ไผ่นั้นผูกผ้าแดงยาวสามนิ้วเศษไว้ผืนหนึ่ง
บนผ้าแดงปักป้ายธงสีดำรูปสามเหลี่ยมไว้ ปลายถูกฉีกเป็นสามแถบ โดยแถบตรงกลางกว้างกว่า และแถบข้างๆ แคบกว่าและสั้นกว่าเล็กน้อย ปลายด้านล่างปักพู่ดำเป็นทรงห้านิ้วไว้ ส่วนปลายแถบตรงกลางปักพู่ดำทรงฟันเลื่อย
ถ้าเยี่ยเทียนหรือหูหงเต๋อมาอยู่ตรงนี้ มองปราดเดียวก็คงจะดูออกแล้วว่า นี่คือธงดูดวิญญาณซึ่งมีแต่ชนเผ่าแมนจูเท่านั้นที่จะมี และบนแถบผ้าที่อยู่ตรงกลางธงนั้น ยังเขียนชื่อของหูเสี่ยวเซียนไว้อีกด้วย
ในกระท่อมมีคนนั่งอยู่ห้าคน และกำลังดื่มสุรากันอยู่ บนโต๊ะเต็มไปด้วยอาหารที่ทำจากสัตว์ป่าบนเขา ชามตรงกลางเป็นซุปที่ใสจนมองเห็นก้นชาม ซึ่งก็คือซุปมังกรบินที่ซ่งฉ่างฉางพูดถึงไปนั่นเอง
“ปู่เมิ่ง มา ผมคารวะปู่หนึ่งถ้วย!”
ชายวัยสามสิบต้นๆ ปากแหลมแก้มลิงยกถ้วยสุราดื่มจนหมดแล้วเช็ดปาก “ปู่เมิ่ง กับดักที่พวกเราวางไว้พวกนั้นโดนไอ้หูสามทำลายไปหมดแล้วนะ นี่ถ้ายังไม่ได้ตัวมาอีกละก็ เงินนั่นก็เสียไปเปล่าๆ น่ะสิ!”
ชายคนนี้ชื่อกัวจื่อเชิน เดิมทีเป็นนักเลงคนหนึ่งในหมู่บ้าน ช่วงต้นทศวรรษที่ 90 เดินทางไปรัสเซียคนเดียว สามปีให้หลังเมื่อกลับมาก็กลายเป็นคนร่ำรวยไปแล้ว
ตอนแรกคนอื่นๆ ต่างก็นึกว่าเขาร่ำรวบขึ้นมาได้จากการค้าขาย แต่ความเป็นจริงแล้วเขาทำธุรกิจมืดลักลอบล่าสัตว์หายากบนภูเขาฉางไป๋แล้วนำไปขายให้ต่างประเทศ และได้กำไรมาก้อนโตจากธุรกิจนี้
หากไปเดินตามถนนยามกลางคืนบ่อยครั้งเข้า สุดท้ายก็จะต้องเจอผี ตอนที่ไปล่าเสือโคร่งไซบีเรียครั้งหนึ่ง กัวจื่อเชินก็ไปเจอกับหูหงเต๋อ จึงถูกจับไปเข้าตะรางด้วยโทษจำคุกสามปี
อาชญากรพวกนี้มักจะเป็นโรคเหมือนๆ กันคือ คิดแต่จะหาผลประโยชน์โดยไม่ต้องลงแรง หลังจากกัวจื่อเชินรับโทษจนครบกำหนดและกลับบ้านไปใช้เงินที่เหลืออยู่ได้สองปี ในที่สุดก็อดกลั้นต่อไปไม่ไหว และตกลงรับธุรกิจไปรายหนึ่ง
แต่ในใจเขาก็ยังหวาดกลัวหูหงเต๋ออยู่ การลักลอบล่าสัตว์ครั้งนี้นอกจากเขาจะติดต่อกับพวกที่เคยถูกหูหงเต๋อจัดการไปเหมือนๆ กันแล้ว เขายังมาหาไอ้บอดเมิ่งที่อยู่ในหมู่บ้านอีกด้วย
ไอ้บอดเมิ่งที่จริงก็ไม่ได้มีถิ่นกำเนิดอยู่ในหมู่บ้านนี้ ว่ากันว่าปู่ของเขาเคยเป็นขุนนางใหญ่ที่เมืองเฟิ่งเทียน แต่ทว่าหลังจากที่จักรพรรดิองค์สุดท้ายถูกจับเป็นนักโทษ ครอบครัวของไอ้บอดเมิ่งก็เลยมาอยู่ที่นี่
แต่พ่อของไอ้บอดเมิ่งนั้นโชคไม่ค่อยดีนัก ตอนนั้นหลังจากที่หูอวิ๋นเป้าเร้นกายเข้าป่า เขาก็ไปเข้าร่วมพรรคก๊กมินตั๋ง เมื่อปี 1949 ก็ไม่มีคุณสมบัติพอที่จะได้ไปไต้หวันอีก หลังจากสถาปนาประเทศก็ถูกคนไปรายงานเปิดโปง สุดท้ายจึงจบชีวิตลงโดยการประหารยิงเป้า
ตอนนั้นไอ้บอดเมิ่งแม้เพิ่งจะอายุเพียงสิบสองสิบสามปี แต่เมื่อหาเลี้ยงชีพอยู่บนภูเขาฉางไป๋ ถึงอย่างไรก็คงไม่อดตายแน่ ผ่านไปหลายสิบปี ไอ้บอดเมิ่งก็มีชื่อเสียงโด่งดังขึ้นมาในถิ่นภูเขาฉางไป๋
ทว่าตั้งแต่บิดาถูกลงโทษยิงเป้า ไอ้บอดเมิ่งก็กลายเป็นคนนิสัยประหลาดพิลึก มิหนำซ้ำยังไปหัดวิชาทรงเจ้าเข้าผีมาจากไหนไม่ทราบ ขนาดวันปกติธรรมดายังดูท่าทางน่าขนลุก จึงทำให้บรรดาชาวบ้านต่างพากันถอยห่างด้วยความเคารพ
แต่กัวจื่อเชินรู้ว่า ไอ้บอดเมิ่งนั้นฝีมือยิงปืนเยี่ยมมาก ถ้าจะพูดถึงคนที่พอสูสีกับหูหงเต๋อได้ในรัศมีหลายร้อยลี้แถบภูเขาฉางไป๋นี้ ก็คงจะมีแต่ไอ้บอดเมิ่งคนเดียว กัวจื่อเชินถึงได้ลากเขามาเอี่ยวด้วย
“กับดักนั่นที่จริงมันก็ไม่ได้เอาไว้จับเสือโคร่งไซบีเรียอยู่แล้ว” ไอ้บอดเมิ่งกรอกเหล้าแรงลงท้องไป แล้วกลอกตามองบน ปกติเขาก็มีเนื้อตาขาวเยอะอยู่แล้ว พอทำแบบนี้เลยยิ่งมองไม่เห็นลูกตาดำเข้าไปใหญ่
“ปู่เมิ่ง ไอ้หูสามมันก็อยู่บนเขานี่มาหลายสิบปีแล้ว ถึงวางกับดักไปก็คงทำอะไรมันไม่ได้หรอกมั้งครับ?”
ขณะที่กัวจื่อเชินพูดถึงหูหงเต๋อ ในดวงตาก็เต็มเปี่ยมด้วยความเจ็บแค้น ภูเขาฉางไป๋นี่ก็ไม่ใช่ของหูหงเต๋อคนเดียวเสียหน่อย แล้วมันมีสิทธิ์อะไรมาห้ามพวกตนไม่ให้ล่าสัตว์ไปแลกเปลี่ยนเป็นเงินเล่า?
“ทำอะไรมันไม่ได้ แต่ฉันทำหลานสาวมันได้ก็แล้วกัน ผ่านไปอีกเจ็ดวัน หูเสี่ยวเซียนจะต้องตายแน่นอน อาศัยจังหวะนั้นจัดการเรื่องให้เสร็จ แล้วฉันจะไปเก็บไอ้แก่นั่นเอง!”
ไอ้บอดเมิ่งฉีกขาหมูป่าที่ย่างจนเหลืองเกรียมมาข้างหนึ่ง แล้วกัดลงไปอย่างดุเดือด เขาเองก็มีความแค้นต่อหูหงเต๋อไม่น้อยไปกว่าคนอื่นๆ ที่อยู่ในห้องนี้เลย
ภาษิตว่า ให้ข้าวหนึ่งกำมือก่อบุญคุณ ให้ข้าวหนึ่งทะนานก่อความแค้น หลังจากที่พ่อของไอ้บอดเมิ่งถูกประหารยิงเป้า หูอวิ๋นเป้าก็ช่วยดูแลครอบครัวของเขาเป็นอย่างดี แต่ละเดือนส่งข้าวส่งแป้งมาให้ไอ้บอดเมิ่งกับแม่มากมาย
แต่ต่อมาหูอวิ๋นเป้าเองก็มีเรื่องต้องเข้าไปหลบอยู่ในส่วนลึกของภูเขาฉางไป๋เช่นกัน อีกทั้งข่วงหลายปีนั้นภัยธรรมชาติก็รุนแรงมาก ครอบครัวหูหงเต๋อเองก็ต้องอดมื้อกินมื้อ จึงย่อมไม่มีกำลังจะช่วยเหลือไอ้บอดเมิ่งเป็นธรรมดา
แต่ไอ้บอดเมิ่งผู้จิตใจคับแคบ กลับเกิดความแค้นต่อครอบครัวของหูอวิ๋นเป้าขึ้นมาด้วยเหตุนี้ หลังจากที่เขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ก็มักจะหาเรื่องปะทะกับหูหงเต๋ออยู่เสมอ จนในถิ่นภูเขาฉางไป๋อันกว้างใหญ่นี้ไม่มีใครเลยที่จะไม่รู้ว่าทั้งสองคนไม่ถูกกัน
“กรุ๊งกริ๊ง กรุ๊งกริ๊ง!” ขณะที่คนกลุ่มนั้นกำลังเจรจากันเรื่องการล่าเสือโคร่งไซบีเรียอยู่ จู่ๆ กระดิ่งใบหนึ่งที่มุมห้องก็ดังขึ้นมาทั้งๆ ที่ไม่มีลม
ตอนที่ 408 ประลองวิชา
โดย
Ink Stone_Fantasy
“กระดิ่งดูดวิญญาณ?!”
ไอ้บอดเมิ่งที่ตอนแรกกำลังฟังพวกกัวจื่อเชินสรรเสริญด้วยสีหน้าเบิกบานใจอยู่นั้น หลังจากได้ยินเสียงกระดิ่งก็เปลี่ยนสีหน้าไปทันที ร่างก็ลุกพรวดขึ้นมา
“ปู่เมิ่ง ทำไมหรือ?”
กัวจื่อเชินเองก็รู้สึกแปลกอยู่เหมือนกันที่กระดิ่งสั่นขึ้นมา เพราะในห้องนั้นปิดไว้อย่างสนิทแน่นหนา แม้แต่ลมสักนิดหนึ่งก็พัดเข้ามาไม่ได้ แล้วทำไมจู่ๆ กระดิ่งนั่นถึงสั่นเองได้ล่ะ?
“เกิดเรื่องแล้ว มีคนทำพิธีเรียกวิญญาณ!”
ไอ้บอดเมิ่งหยิบเสื้อคลุมหนังมาคลุมไหล่ไว้ แล้วปลดกระดิ่งที่แขวนอยู่มุมห้องลงมา จากนั้นก็เปิดประตูกระท่อม ลมหนาวพัดวูบเข้ามา ทำให้พวกกัวจื่อเชินหนาวกันจนตัวสั่น
“คิดจะเรียกวิญญาณของหูเสี่ยวเซียนกลับไปงั้นเรอะ? ไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก” ไอ้บอดเมิ่งเงยหน้าขึ้นไปดูธงดูดวิญญาณที่ตั้งอยู่หน้าประตู รอยยิ้มเย็นเยียบปรากฏขึ้นบนใบหน้า
วันนี้ลมที่พัดมาเป็นลมตะวันออกเฉียงเหนือ ตามเหตุผลแล้วธงเรียกวิญญาณนี้ก็ควรจะพัดโบกไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ แต่ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นกลับอยู่นอกเหนือหลักทฤษฎี เพราะธงเรียกวิญญาณที่โบกสะบัดขึ้นมานั้นกลับโบกไปทางทิศตะวันตดเฉียงใต้ ซึ่งเป็นตำแหน่งของตัวเมืองพอดี
ไอ้บอดเมิ่งหันหลังกลับเข้าไปในกระทอม คุ้ยหาของในกล่องอยู่ครู่หนึ่ง แล้วหยิบกลองหนังแพะออกมาใบหนึ่ง และหันไปพูดกับกัวจื่อเชิน “เปิดประตูไว้นะ แล้วพวกแกก็อย่าออกมาล่ะ”
“ปู่เมิ่ง นี่ นี่มันเกิดอะไรขึ้นน่ะ?”
เมื่อเห็นสีหน้าประหลาดๆ ของไอ้บอดเมิ่ง กัวจื่อเชินก็ชักจะประหม่าขึ้นมา แม้ว่าพวกเขาจะกำลังวางอุบายจัดการหูหงเต๋อกันอยู่ แต่ลึกๆ แล้ว กัวจื่อเชินกลับยังคงกลัวหูหงเต๋อราวกับอีกฝ่ายเป็นพยัคฆ์
“ไม่เป็นไร ฝีมือครึ่งๆ กลางๆ อย่างไอ้หูหงเต๋อน่ะสู้ฉันไม่ได้หรอก!”
ใบหน้าของไอ้บอดเมิ่งปรากฏรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม เมื่อก่อนเขาเคยบีบบังคับให้หูหงเต๋อประลองวิชากับเขามาหลายต่อหลายครั้ง แต่หูหงเต๋อก็ไม่เคยรับคำท้า มิหนำซ้ำมันยังมีเลือดลมแข็งแกร่ง ไอ้บอดเมิ่งจึงทำอะไรฝ่ายนั้นไม่ได้เลย
แต่วันนี้หูหงเต๋อถึงกับยอมใช้วิชาที่มีอยู่แค่หางอึ่งของมันเพื่อช่วยหลานสาว จึงทำให้ไอ้บอดเมิ่งได้โอกาสขึ้นมาแล้ว
ไอ้บอดเมิ่งใช้มือขยี้ผมจนยุ่งเหยิง แล้วถอดเสื้อคลุมหนังออก ผูกกระดิ่งใบนั้นไว้ที่เอว นุ่งเสื้อบางๆ ตัวเดียวแล้วโดดโหยงเหยงอยู่หน้าประตูอย่างกับคนเป็นตะคริว ขณะเดียวกันก็ชูมือขวาขึ้นมาแล้วตบลงไปบนกลองหนังแพะใบนั้นหนึ่งที
“ตูม!” เสียงกลองดังขึ้นมาหนักๆ แล้วไอ้บอดเมิ่งก็เริ่มร้องตามขึ้นมาว่า “อัญเชิญ…ท่านมหาเทพ!”
จะว่าไปแล้วไอ้บอดเมิ่งก็เสียงดีไม่ใช่เล่นเลย ลากเสียงได้เสียยาวยืด ระดับเสียงก็สูงคล้ายงิ้วปักกิ่งอยู่เหมือนกัน แต่สำเนียงการร้องของเขาในท่อนต่อมานั้น กลับฟังแล้วชวนขนลุกอย่างไรชอบกล
“อาทิตย์ลับลงหลังเขาฟ้ามืดเอย บ้านเรือนปิดประตูกันแล้วหนอ กางเขนแลนกกาโผสู่ไพร นกกระจอกพิราบโผสู่ชายคา ในสิบบ้านมีเก้าหลังลั่นกุญแจ ประตูบ้านข้านั้นมิได้ปิด เหวี่ยงแส้ตีกลองอัญเชิญเทพเทวาชะเอิงเอย…” (อ้างอิงบทร้องอุปรากรช่วงทรงเจ้าเข้าผี)
เมื่อไอ้บอดเมิ่งร้องไปเรื่อยๆ ร่างของเขาก็สั่นเทิ้มรุนแรงยิ่งขึ้นทุกที เสียงตีกลองหนังที่ถืออยู่และเสียงกระดิ่งที่เอวดังอยู่ไม่ขาด หลังจากที่ดังก้องออกไปไกลแล้ว บ้านหลายหลังที่ตอนแรกยังมีแสงไฟส่องสว่างอยู่ก็มืดดับไปทันที
การระบำของไอ้บอดเมิ่งนี้ ก็คือระบำชาแมนแบบต้นตำหรับ ซึ่งเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าการระบำทรงเจ้าเข้าผี
ในภูมิภาคตงเป่ยนั้น หลายพื้นที่มองว่าการระบำทรงเจ้าเข้าผีนั้นเป็นศิลปะพื้นบ้านอย่างหนึ่ง และในการระบำนั้นจำเป็นจะต้องมีสองคน แต่ที่จริงแล้วไม่ใช่เช่นนั้นเลย ศาสตร์แห่ชาแมนที่แท้จริงนั้นใช้เพียงคนเดียวก็พอแล้ว
ปู่ของไอ้บอดเมิ่งสมัยก่อนก็คืออาจารย์พ่อมดชาแมนที่เคยไปเข้าเฝ้าจักรพรรดิองค์สุดท้ายองค์นั้นนั่นเอง และตระกูลของเขานี้ก็เป็นตระกูลชาแมนประจำราชสำนักมาแต่โบราณ เทียบกับพวกที่ทรงเจ้าเข้าผีเป็นการหลอกลวงซึ่งแพร่หลายอยู่ในถิ่นตงเป่ยแล้ว เรียกได้ว่าพูดกันคนละเรื่องเลย
เสียงกระดิ่งและเสียงกลอง รวมถึงเสียงร้องเพลงที่เริ่มแหบนิดๆ นั้นดังกลบเสียงลมที่พัดอยู่รอบด้านไว้ แลดูเป็นเหตุการณ์ที่ค่อนข้างพิสดารในค่ำคืนหิมะตกอันเงียบเหงานี้ ทำเอาพวกคนที่อยู่ในกระท่อมผวากันจนไม่กล้าแม้แต่จะหายใจดังๆ
ทันใดนั้น ไอ้บอดเมิ่งก็สั่นเทิ้มไปทั้งร่าง เสียงร้องเพลงหยุดลง ดวงตาทั้งคู่มองไปรอบทิศ ลูกตาดำถึงกับหายไปเลย และดวงตาก็เปล่งแสงสีเขียวเรืองๆ ออกมาท่ามกลางความมืดยามค่ำคืน
พอโดนไอ้บอดเมิ่งเหลือบมองผ่านไปแวบหนึ่ง พวกคนในกระท่อมซึ่งยามปกติเป็นชายวัยฉกรรจ์ที่แม้จะเจอเสือสิงกระทิงแรดก็ยังไม่สะทกสะท้านนั้น ต่างก็หวาดผวาจนขนลุกชัน และสั่นเทิ้มไปทั้งร่างไม่หยุดเหมือนคนเป็นไข้จับสั่น
“ฮี่ๆ หูหงเต๋อ จะสู้กับฉันรึ? ฉันจะให้วิญญาณแกไม่ได้กลับเข้าร่างอีกเลย!”
ต่างจากการถูกผีหมีปีศาจจิ้งจอกเข้าสิงร่างที่เป็นตำนานเล่าขานกัน ไอ้บอดเมิ่งไม่ได้ดูเหมือนคนถูกเข้าสิงเลยสักนิด สำเนียงการพูดจาก็ยังคงเหมือนปกติ แต่ดวงตาของเขานั้น กลับดูอำมหิตมากขึ้น
นอกจากนี้รอบตัวของไอ้บอดเมิ่งยังมีพลังชี่ที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็นไหวเวียนอยู่ ทำให้ประสาทสัมผัสทั้งหกของเขาไวขึ้นผิดธรรมดา ลูกตาสีขาวทั้งคู่นั้นถึงขั้นมองเห็นปราณวิเศษที่ไหลเวียนอยู่ในธรรมชาติได้เลย
เมื่อสัมผัสได้ถึงคลื่นปราณวิเศษที่แผ่มาจากทางภูเขาฉางไป๋ รอยยิ้มเหี้ยมเกรียมก็ปรากฏบนใบหน้าของไอ้บอดเมิ่ง ทันใดนั้นเขาก็หายใจเข้าไปฟอดใหญ่ ปราณวิเศษรอบๆ กระท่อมหลังนั้นแปรปรวนขึ้นมาในพริบตา ธงเรียกวิญญาณบนเสาไม้ไผ่เปลี่ยนทิศทางในฉับพลัน แล้วโบกพลิ้วขึ้นมาตามลมเหนือ
“เอ๊ะ? มีคนทำพิธีอยู่เรอะ?!” เยี่ยเทียนที่กำลังนั่งอยู่บนพื้นในห้องคนไข้พลันลืมตาโพลง แล้วลุกขึ้นมายืนทันที ใบหน้าเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด
ตามทฤษฎีของศาสนาเต๋า แม้คนจะตายไปแล้ว แต่พลังปราณบนร่างกายก็จะยังไม่สลายตัวออกไปในทันทีทันใด วิชาเรียกวิญญาณที่เยี่ยเทียนใช้ไปนี้ ก็ใช้โดยหมายที่จะเรียกพลังปราณของหูเสี่ยวเซียนที่รั่วไหลออกไปนอกร่างกายกลับคืนมา เพื่อเยียวยาอาการป่วยของเธอ
เมื่อครู่นี้เยี่ยเทียนสัมผัสถึงตำแหน่งพลังปราณของหูเสี่ยวเซียนได้อย่างรางๆ และก็กำลังจะชักนำกลับมาได้อยู่แล้ว แต่ใครเลยจะรู้ว่า ตอนนั้นกลับมีคนสอดมือทำให้ปราณวิเศษในบริเวณนั้นแปรปรวนขึ้นมา ทำให้สายที่เชื่อมโยงถึงพลังปราณนั้นถูกตัดขาดไป
“เยี่ยเทียน เกิดอะไรขึ้นน่ะ?” เมื่อเห็นเยี่ยเทียนลุกขึ้นมากะทันหัน หูหงเต๋อที่นั่งอยู่ข้างประตูก็ลุกขึ้นมาบ้าง
เยี่ยเทียนโบกมือ “เจอคนในสายอาชีพเดียวกันน่ะ ผมเคยไปมาตั้งหลายที่แล้ว แต่นี่เพิ่งจะเป็นครั้งแรกเลยที่ได้เจอกับยอดฝีมือที่มีความชำนาญขนาดนี้”
“พูดว่าอะไรนะ? อุ่ย พอดีอุดหูไว้อยู่น่ะ” หูหงเต๋อเห็นแต่เยี่ยเทียนขยับปาก แต่กลับไม่ได้ยินเสียง หลังจากงงไปครู่หนึ่งถึงจะจำได้ว่าตัวเองอุดหูไว้อยู่
“ไม่เป็นไร การจับวิญญาณของคนอื่นไว้ก็ไม่ใช่การกระทำที่ถูกทำนองคลองธรรมอยู่แล้ว ในเมื่อเป็นอย่างนี้ ผมก็จะขอสู้กับมันดูสักตั้ง!”
เยี่ยเทียนเผยรอยยิ้มเย็น เขารู้สึกได้ว่า ถึงคนฝ่ายนั้นจะสามารถทำให้ปราณวิเศษในบริเวณโดยรอบนั้นแปรปรวนขึ้นมาได้ แต่กลับไม่สามารถปล่อยการโจมตีตามดวงจิตของเขามาได้
“จับวิญญาณ? เวรเอ๊ย นี่มันฝีมือของไอ้บอดเมิ่งไม่ใช่เรอะ?” พอได้ฟังเยี่ยเทียนพูด หูหงเต๋อก็โมโหเดือดดาลขึ้นมาทันที และกระทืบเท้าด่าทอออกมา
ก่อนหน้านี้หูหงเต๋อนึกว่าหลานสาวคงถูกทำให้ตระหนกเสียขวัญหรือไม่ก็ประสบเรื่องอะไรเข้า วิญญาณถึงได้หลุดจากร่าง ไม่ได้นึกไปถึงไอ้บอดเมิ่งเลย
เพราะถึงแม้ว่าหูหงเต๋อกับไอ้บอดเมิ่งจะไม่ถูกชะตากัน แต่ถึงอย่างไรทั้งสองครอบครัวก็ถือว่ารู้จักกันมานาน และก็ไม่ได้มีความแค้นใหญ่หลวงถึงขั้นเป็นตาย ไอ้บอดเมิ่งจึงไม่น่าจะลงมือทำร้ายเสี่ยวเซียน
แต่เมื่อเยี่ยเทียนพูดออกมาแบบนี้ หูหงเต๋อก็แน่ใจแล้วว่าต้องเป็นฝีมือของไอ้บอดเมิ่งแน่นอน จึงโมโหจนเส้นเลือดบนใบหน้าปูดโปนขึ้นมา นึกอยากจะไปคิดบัญชีกับไอ้บอดเมิ่งเสียเดี๋ยวนั้นเลย
“หยุดพูด เงียบไว้!”
เยี่ยเทียนเหลือบมองหูหงเต๋อแวบหนึ่ง แค่คำพูดธรรมดาๆ สี่พยางค์นี้ ก็ทำให้หูหงเต๋อสงบเสงี่ยมลงไปทันที ราวกับถูกราดน้ำเย็นรดศีษะ
หลังจากดุหูหงเต๋อไปแล้ว เยี่ยเทียนก็เริ่มก้าวเดินในห้องคนไข้ตามตำแหน่งแปดทิศ กระแสพลังพิฆาตกลุ่มหนึ่งพุ่งมารวมตัวกันจากทุกทิศทางตามการเคลื่อนไหวของฝีเท้า
โรงพยาบาลปกติก็เป็นสถานที่ที่พลังพิฆาตก่อตัวขึ้นมาอยู่แล้ว หากต้องการจะรวบรวมพลังพิฆาตที่นี่ขึ้นมาก็ย่อมจะเป็นเรื่องง่ายดายอย่างยิ่ง เพียงไม่นาน อุณหภูมิทั่วทั้งห้องคนไข้ก็ลดลงไปเจ็ดแปดองศาในฉับพลัน ถึงไฟจะเปิดอยู่ แต่ก็กลับให้ความรู้สึกมืดทึมชวนสยองขวัญอย่างไรชอบกล
เมื่อพลังพิฆาตภายในห้องเย็นลงจนแม้แต่หูหงเต๋อยังรู้สึกหนาวขึ้นมา เยี่ยเทียนก็ยืนกางขาออก สองมือประสานกันในท่ามหาวัชระ ปากก็ตวาดขึ้นมาว่า “ทหาร!”
เมื่อเยี่ยเทียนร้องตวาดออกไป พลังพิฆาตทั้งหมดภายในห้องก็มารวมตัวกันภายในมือทั้งคู่ของเยี่ยเทียนที่ประสานกันในท่ามหาวัชระ เขาผลักมือออกไปกลางอากาศ ดวงจิตส่วนหนึ่งของเยี่ยเทียนส่งตรามหาวัชระนั้นพุ่งแหวกออกไปกลางอากาศแล้ว
นี่ยังไม่ถือว่าเสร็จสมบูรณ์ คำว่า “ทหาร” เพิ่งจะเปล่งออกไป มือของเยี่ยเทียนก็เปลี่ยนเป็นท่าราชสีห์นอกแล้ว หลังจากตวาดคำว่า “รุก” ออกไป ตราจากมือนั้นก็พุ่งตามตราทหารไปทันที
แม้ว่าเยี่ยเทียนจะอยู่ห่างจากภูเขาฉางไป๋ไปหลายสิบกิโลเมตร แต่วาจาสองคำนี้ก็พุ่งแหวกอากาศไป และไปถึงหมู่บ้านเล็กๆ บนเขาที่ไอ้บอดเมิ่งอาศัยอยู่ในพริบตา
“เกิดอะไรขึ้น นี่…นี่มันอะไรกันเนี่ย?”
ไอ้บอดเมิ่งที่ตอนแรกกำลังทำให้พลังชี่ในธรรมชาติแปรปรวน เพราะนึกว่าจะสามารถทำร้ายหูหงเต๋อได้อยู่นั้น พลันรู้สึกใจสั่นขึ้นมา เขายังไม่ทันได้ตั้งตัว ตรามหาวัชระอันยิ่งใหญ่อลังการดั่งขุนเขาก็มาปรากฏขึ้นเหนือกระหม่อมของเขาแล้ว
“เวรละ ไม่ใช่หูหงเต๋อนี่ นี่มันฝีมือของใครกัน?” ไอ้บอดเมิ่งหวีดร้องออกมาแล้วรีบหลบไป แต่ต่อให้เขาเคลื่อนไหวเร็วยิ่งกว่านี้ ก็ยังไม่ทันดวงจิตของเยี่ยเทียนอยู่ดี
เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวราวกับท้องฟ้าถูกจุดระเบิด ปราณวิเศษสองกลุ่มปะทะเข้าหากัน เกล็ดหิมะนอกกระท่อมฟุ้งกระจายจนบดบังสายตาไปหมด
“แค่ก…แค่กๆ!”
เสียงไออย่างแรงดังขึ้นมาครู่หนึ่ง ร่างของไอ้บอดเมิ่งปรากฏออกมา ในใจนอกจากความตื่นตระหนกแล้วก็ยังมีความยินดีปนอยู่ด้วยเล็กน้อย เดชะบุญที่วันนี้ผีที่เชิญมาเป็นผีหมีฉกรรจ์ แม้พลังโจมตีจะไม่เพียงพอ แต่ด้านพลังป้องกันนั้นแข็งแกร่งมาก
แต่ทว่ายังเร็วเกินไปที่ไอ้บอดเมิ่งจะดีใจตอนนี้ ขณะที่เขาเงยหน้าขึ้นไปดูธงเรียกวิญญาณ ความรู้สึกใจสั่นนั้นก็ประดังขึ้นมาในใจอีกแล้ว เงารูปราชสีห์ตัวผู้เงาหนึ่งพุ่งตรงมาที่เขา
เมื่อครู่นี้การป้องกันบนร่างถูกตราวัชระนั้นพังทลายจนย่อยยับไปหมดแล้ว ตรารุกโจมตีของเยี่ยเทียนครั้งนี้ ไอ้บอดเมิ่งจึงไม่อาจต้านทานไว้ได้อีกแล้ว
ภายใต้การโจมตีของปราณวิเศษอันแข็งแกร่งราวกับจะจับต้องได้นั้น ร่างของไอ้บอดเมิ่งปลิวเข้าไปในกระท่อมดัง “โครม” ราวกับถูกกระสุนปืนใหญ่ก็ไม่ปาน ระหว่างที่ร่างยังลอยอยู่กลางอากาศ ดลหิตก็สาดกระจายออกมาจากปากไปด้วย
“แม่ง ตาคนนี้มันบินได้ด้วยเรอะ?”
วันนี้พวกกัวจื่อเชินที่อยู่ในกระท่อมนับว่าได้เปิดหูเปิดตาจริงๆ ที่แท้การทรงเจ้าเข้าผีนี่ก็ไม่ใช่แค่เรื่องโม้จริงๆ แต่ถึงขั้นทำให้คนลอยคว้างขึ้นมากลางอากาศได้ด้วยรึ?
แต่หลังจากนั้นพวกนี้ก็เริ่มรู้สึกไม่ชอบมาพากล เพราะไอ้บอดเมิ่งที่บินอยู่กลางอากาศนั้น กำลังกระอักโลหิตออกมาเป็นการใหญ่ จนกระทั่งไอ้บอดเมิ่งไปกระแทกชนเข้ากับโต๊ะแล้ว พวกนั้นจึงรีบล้อมวงเข้าไป
“ไป…ขึ้นเขา เจอ…เจอยอดคนเข้าให้แล้ว!”
ยามนี้ไอ้บอดเมิ่งหน้าเหลืองราวกับกระดาษทอง ปราณวิเศษที่ไหลเวียนอยู่รอบกายสลายหายไปแล้ว ลมหายใจก็รวยรินจนดูใกล้เคียงกับหูเสี่ยวเซียนที่กำลังนอนอยู่บนเตียงคนไข้
ตอนที่ 409 ฟื้นคืน
โดย
Ink Stone_Fantasy
การปะทะกันระหว่างนักไสยเวทย์นั้นแม้จะไม่ปรากฏควันระเบิด แต่กลับอันตรายร้ายแรงยิ่งกว่าสู้กันด้วยอาวุธปืนเสียอีก ถ้าไม่ใช่เพราะไอ้บอดเมิ่งมีพลังเทพเข้าทรงอยู่ และมีระยะห่างไกลจากเยี่ยเทียนถึงเพียงนั้น การโจมตีเมื่อครู่นี้ก็อาจจะคร่าชีวิตเขาไปแล้ว
แต่แม้จะเป็นเช่นนั้น ไอ้บอดเมิ่งก็ไม่ได้มีสภาพดีเท่าไรนัก อวัยวะภายในทั้งหลายบาดเจ็บราวกับถูกรถไฟชนก็ไม่ปาน นอนอยู่บนพื้นกระอักโลหิตออกมาหลายคำติดๆ กัน
อาศัยไอ้บอดเมิ่งในสภาพนี้ ย่อมไม่อาจขึ้นเขาได้อยู่แล้ว จึงฝืนรวบรวมพลังขึ้นมา แล้วชี้ไปที่ตู้ชั้นบนสุด “จื่อเชิน หยิบกล่องยานั่นมาให้ฉันทีซิ!”
“นี่ ปู่เมิ่ง เมื่อกี้มันเกิดอะไรขึ้นน่ะ?” กัวจื่อเชินรับคำ แล้วหาม้าไม้มาเหยียบปีนขึ้นไปหยิบกล่องยาขนาดไม่ใหญ่นักที่วางอยู่บนตู้ลงมา
“ฝ่ายนั้นเชิญยอดฝีมือมาน่ะ ฉันสู้มันไม่ได้ พวกเราคงต้องไปหลบอยู่บนเขาสักระยะแล้วละ!” ไอ้บอดเมิ่งมีสีหน้าเคียดแค้น เขาอยู่มาจนถึงตอนนี้ ยังไม่เคยพ่ายแพ้ให้ใครถึงขนาดนี้มาก่อนเลย
“ไว้อาการฉันดีขึ้นเมื่อไหร่ละก็ ต้องไปคิดบัญชีกับไอ้คนนั้นแน่!” ไอ้บอดเมิ่งขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพลางเปิดกล่องใบเล็กนั้นออกมา กลิ่นหอมฉุนๆ ของยาแผ่ออกมาทันที
ในกล่องใบนั้นมีของอยู่เพียงอย่างเดียว ซึ่งก็คือโสมป่าแก่ต้นหนึ่งที่มีความยาวประมาณยี่สิบเซนติเมตร แต่มันกลับเหลืออยู่เพียงครึ่งเดียว อีกครึ่งซึ่งเป็นส่วนที่มีรากติดอยู่นั้นถูกตัดออกไปแล้ว
“แม่เจ้าโวย โสมแก่นี่สงสัยอายุมากกว่าสามร้อยปีแล้วมั้งเนี่ย?”
เมื่อเห็นโสมแห้งต้นนี้ กัวจื่อเชินก็อึ้งไปทันที ถ้าไม่ใช่เพราะมันเหลืออยู่เพียงครึ่งเดียว เขาก็อาจจะเกิดความคิดที่จะก่อเหตุฆาตกรรมชิงทรัพย์ไปแล้วก็เป็นได้
“ยังไม่ถึงสามร้อยปีหรอก แต่ก็ใกล้เคียงแล้วละ”
มือทั้งสองข้างของไอ้บอดเมิ่งหยิบมีดเล็กออกมาอย่างสั่นระริก เฉือนโสมป่าแก่ต้นนั้นออกมาแผ่นหนึ่งแล้วอมไว้ในปาก หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็หั่นสองในสามส่วนของโสมต้นนั้นใส่ปากไปอีก
ใครๆ ก็รู้ราคาของโสมแก่ที่ขึ้นอยู่ในป่ากันทั้งนั้น นี่ไอ้บอดเมิ่งก็กลัวว่าพวกกัวจื่อเชินจะคิดไม่ซื่อขึ้นมา และด้วยสภาพของเขาในตอนนี้ ก็คงจะสู้ชายฉกรรจ์เหล่านี้ไม่ไหวแล้ว
สรรพคุณในการบำรุงกำลังของโสมป่าแก่นั้นได้ผลทันตาเห็นจริงๆ หลังจากอมโสมแผ่นนั้นไว้ในปากไปหลายนาที ใบหน้าอันเหลืองซีดเหมือนขี้ผึ้งของไอ้บอดเมิ่งก็กลายเป็นสีขาวซีดแทน จากนั้นก็เริ่มมีเลือดฝาดขึ้นมาเล็กน้อย
หลังจากพักผ่อนต่อไปอีกครึ่งชั่วโมงกว่าๆ ไอ้บอดเมิ่งก็สามารถเคลื่อนไหวได้แล้ว จึงลุกขึ้นมาแล้วเก็บโสมแก่ที่เหลืออยู่เพียงหนึ่งในสามส่วนนั้นไว้อย่างเรียบร้อย จากนั้นก็หยิบปืนล่าสัตว์ที่แขวนไว้บนผนัง และกลองหนังแพะที่ตัวเองทำตกไปเมื่อครู่มา แล้วพูดขึ้นว่า “ไป พวกเราขึ้นเขา”
“ปู่เมิ่ง ขึ้นเขาตอนหิมะตกหนักแบบนี้มันอันตรายเกินไปมั้ง?”
พวกกัวจื่อเชินไม่ค่อยจะเห็นด้วยนัก ด้านนอกอุณภูมิติดลบไปสิบกว่าองศา ถ้าสาดปัสสาวะออกไปก็คงกลายเป็นน้ำแข็ง ให้มุ่งหน้าเข้าป่าไปแบบนี้ มันเท่ากับรนหาที่ตายชัดๆ
ไอ้บอดเมิ่งส่ายหน้า “ถ้าไม่ขึ้นเขา จะรอให้หูหงเต๋อมันมาจัดการกับพวกแกไหมล่ะ?”
ที่จริงไอ้บอดเมิ่งก็ไม่ได้ขาดแคลนเงินเลย คนที่สามารถเคลื่อนไหวอยู่ในภูเขาฉางไป๋ได้นั้น มีคนไหนบ้างเล่าที่จะไม่ได้ร่ำรวยมีเงินเป็นล้านๆ? สาเหตุที่เขายอมลงมือครั้งนี้ มีอยู่อย่างเดียวคือถูกความเจ็บแค้นที่มีต่อหูหงเต๋อชักนำไป
ตอนนี้ไอ้บอดเมิ่งรู้แล้วว่า หูหงเต๋อจะต้องรู้แล้วแน่ๆ ว่าตนมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ และเขาก็รู้อุปนิสัยของหูหงเต๋อดี ตอนนี้ทั้งสองคงต้องสู้จนตายกันไปข้างหนึ่งถึงจะเลิกรา ขณะที่อาการบาดเจ็บยังไม่หายดี เขาก็ต้องไม่ยอมรอความตายอยู่ที่นี่อยู่แล้ว
พอได้ยินไอ้บอดเมิ่งพูดถึงหูหงเต๋อ พวกกัวจื่อเชินต่างก็มีสีหน้าหวาดกลัวขึ้นมา ชายฉกรรจ์ร่างไม่สูงนักคนหนึ่งพูดขึ้นว่า “ปู่เมิ่ง หรือไม่…พวกเรามาสู้กับไอ้หูสามกันไปเลยไหม ห้าคนก็ปืนห้ากระบอก ฉันไม่เชื่อหรอกว่าจะจัดการมันไม่ได้”
“ควายเอ๊ย แกคิดว่าหูหงเต๋อมันจะยืนเฉยๆ เป็นเป้าให้แกยิงรึไง?” ไอ้บอดเมิ่งหัวเราะเยาะเย้ย “ในป่าผืนนี้น่ะ มันเจ้าเล่ห์ยิ่งกว่าหมาจิ้งจอกเสียอีก อย่านึกว่าแกมีปืนแล้วจะแน่นักเลย!”
ทันใดนั้นไอ้บอดเมิ่งก็ฉุกนึกถึงยอดฝีมือที่ออกโรงมาเมื่อครู่นี้ จึงนั่งไม่ติดอีกต่อไป และเอ่ยขึ้นว่า “ไม่ต้องพูดพล่ามแล้ว ถ้าไม่อยากตายก็ตามฉันมา ฉันมีที่อยู่บนภูเขานี่ พวกแกไม่หนาวตายไม่หิวตายหรอกน่ะ!”
ภาษิตว่า จิ้งจอกและกระต่ายไม่ได้มีโพรงเดียว ไอ้บอดเมิ่งเคยก่อเรื่องฆ่าคนชิงโสมบนภูเขาฉางไป๋มาก็ไม่ใช่น้อยๆ ดังนั้นจึงเตรียมสถานที่หลบซ่อนไว้บนภูเขานี้ไว้นานแล้ว และตอนนี้ก็ได้โอกาสใช้ประโยชน์พอดี
“ได้ พวกเราจะเชื่อปู่เมิ่งนะ!” พวกกัวจื่อเชินสบตากันแวบหนึ่ง ด้วยความหวาดกลัวที่มีต่อหูหงเต๋อ สุดท้ายพวกเขาจึงเลือกที่จะขึ้นเขา
ทั้งห้าคนเก็บรวบรวมข้าวของ และต่างก็ถือปืนล่าสัตว์กันคนละกระบอก แล้วหายตัวไปท่ามกลางค่ำคืนบนภูเขาฉางไป๋
……………………
ขณะนั้นห่างไกลออกไป เยี่ยเทียนที่อยู่ในโรงพยาบาลเมืองฉางไป๋ก็ไม่ได้มีสภาพดีนัก สุดท้ายเขาก็ยังไปไม่ถึงขั้นหลอมจิตสู่ความว่าง หลังจากที่แผ่ดวงจิตส่วนหนึ่งออกไปเมื่อครู่นี้ ก็กลับไม่สามารถเรียกกลับมาได้อีก
เมื่อดวงจิตสลายไป จึงสร้างความเสียหายแก่เยี่ยเทียนในระดับหนึ่ง จากเดิมที่ใบหน้ามีเลือดฝาดอยู่ เยี่ยเทียนก็กลายเป็นหน้าขาวซีดไปทันที ร่างก็ส่ายโซเซไม่หยุด
“เยี่ยเทียน เป็นอะไรไปน่ะ?” หูหงเต๋อรู้ว่าเยี่ยเทียนกำลังประมือกับฝ่ายตรงข้ามอยู่ เมื่อครู่นี้จึงไม่กล้าเข้ามาใกล้เลย ตอนนี้เมื่อเห็นร่างของเยี่ยเทียนเริ่มผ่อนคลายลงแล้ว เขาก็รีบเข้ามาช่วยประคอง
หลังจากได้เห็นการต่อสู้กลางอากาศระหว่างเยี่ยเทียนและฝ่ายตรงข้ามแล้ว ตอนนี้หูหงเต๋อก็ให้รู้สึกเศร้าเสียดาย ถ้ารู้แต่แรกว่าศาสตร์พวกนี้สามารถใช้ทำแบบนี้ได้ด้วย เมื่อก่อนเขาก็คงไม่ละทิ้งไปกลางคันแบบนั้นหรอก
เยี่ยเทียนหายใจเข้าลึกๆ ปรับลมปราณภายในร่างกาย แล้วถึงจะตอบว่า “ฝ่ายนั้นเป็นคนในลัทธิชาแมนน่ะ ผมได้รับบาดเจ็บนิดหน่อย แต่เจ้าคนนั้นก็คงเจ็บปางตายเหมือนกัน เหล่าหู อาจจะเป็นไอ้บอดเมิ่งที่คุณพูดถึงก็ได้นะ!”
แม้ว่าดวงจิตสองกลุ่มที่ส่งออกไปเมื่อครู่นี้จะสลายไปแล้ว แต่ชั่วขณะที่ประมือกับไอ้บอดเมิ่งอยู่นั้น เยี่ยเทียนกลับรู้สึกถึงพลังปราณของฝ่ายตรงข้ามได้
พลังปราณนั้นค่อนข้างจะพิสดารอยู่ เพราะถึงจะเป็นปราณวิเศษ แต่ก็แตกต่างจากพลังชี่บริสุทธิ์ที่อยู่ในธรรมชาติ และให้ความรู้สึกที่แปลกประหลาดอย่างบอกไม่ถูก เยี่ยเทียนแน่ใจได้เลยว่า นั่นต้องไม่ใช่พลังที่ไอ้บอดเมิ่งฝึกออกมาได้เองอย่างแน่นอน
แต่ทั้งสองฝ่ายอยู่ห่างไกลกันเกินไป เยี่ยเทียนจึงไม่อาจสืบสาวความลับของศาสตร์ชาแมนออกมาได้ กระทั่งหลังจากที่ปล่อยตราราชสีห์นอกออกไปแล้ว ผลลัพธ์เป็นอย่างไรเขาก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำ
หูหงเต๋อมีสีหน้าเหี้ยมเกรียม และพูดขึ้นอย่างขบเคี้ยวเคี้ยวฟัน “เป็นมันจริงๆ นั่นแหละ เยี่ยเทียน คุณวางใจเถอะนะ ผมไม่ปล่อยมันไว้แน่!”
“มันคงไม่รออยู่ตรงนั้นให้คุณไปเยือนหาหรอกเหล่าหู นิ่งไว้ก่อนอย่าใจร้อน” เยี่ยเทียนส่ายหน้า แล้วพูดต่อ “เสี่ยวเซียนคงใกล้จะฟื้นแล้ว พวกลูกชายคุณก็คงร้อนใจกันแย่แล้วละ เรียกพวกเขาเข้ามาเถอะ!”
เมื่อไม่มีการสกัดควบคุมจากไอ้บอดเมิ่งแล้ว ค่ายกลที่เยี่ยเทียนวาดไว้กลางอากาศเหนือร่างของหูเสี่ยวเซียนก็เริ่มทำงานทันที และรับพลังปราณทั้งหมดในธงดูดวิญญาณนั้นกลับมา
ระหว่างที่เยี่ยเทียนกำลังคุยกับหูหงเต๋อ เขาก็รู้สึกได้ว่าพลังปราณบนร่างของหูเสี่ยวเซียนเริ่มเพิ่มปริมาณขึ้นแล้ว ห้าอวัยวะภายในที่ตอนแรกกำลังอ่อนแอนั้นก็ฟื้นพลังกลับมาได้ในพริบตา ระบบทั่วร่างกายก็ดูจะตื่นตัวขึ้นมาแล้ว
“เสี่ยวเซียนจะฟื้นแล้วรึ?” หูหงเต๋อได้ยินอย่างนั้นก็อึ้งไป แล้วก็ดีใจขึ้นมายกใหญ่ รีบผลักตู้หัวเตียงที่วางขวางประตูอยู่ออกไป แล้วเปิดประตูห้องคนไข้ออกทันที
“นี่พวกคุณทำอะไรกันน่ะ? ถ้าเกิดคนไข้มีปัญหาอะไรขึ้นมา พวกคุณใครจะรับผิดชอบฮึ?”
ไม่นึกเลยว่าพอเปิดประตู หูหงเต๋อก็ได้ยินเสียงตำหนิทันที แพทย์ประจำเวรของหูเสี่ยวเซียนแทบจะทิ่มนิ้วลงไปบนหน้าของเขาอยู่แล้ว
นายแพทย์หลิวก็กำลังโมโหจะแย่แล้ว เมื่อครู่ระหว่างที่เขาเยี่ยมคนไข้ตามเวร ก็กลับถูกพวกหูต้าจวินขวางไว้ บอกว่าข้างในกำลังมีคนฝังเข็มให้หูเสี่ยวเซียนอยู่ ห้ามเขาเข้าไปรบกวน
แบบนี้ก็หมายความว่าไม่เชื่อใจโรงพยาบาลน่ะสิ เมื่อครู่นายแพทย์หลิวอุตส่าห์อดทนไม่ไปเคาะประตู แต่ตอนนี้พอหูหงเต๋อเปิดประตูออกมาแล้ว เขาก็เลยระเบิดโทสะออกมา
“เอ็งจะเอะอะอะไรนักหนา? ถ้ายังไม่หยุดเดี๋ยวพ่อตบบ้องหูเลยนี่!”
หูหงเต๋อเป็นคนแบบไหนกัน? ยกมือขึ้นมาผลักนายแพทย์คนนั้นกระเด็นออกไปไกลสี่ห้าเมตรทันที ถ้าไม่ใช่เพราะมีผนังให้พิงอยู่ เขาก็คงล้มก้นจ้ำเบ้าลงไปนั่งกับพื้นแล้ว
“นี่…นี่คุณทำไมเป็นคนแบบนี้เนี่ย?” นายแพทย์หลิวอึ้งไปเลย เขายังไม่เคยเจอญาติคนไข้ที่ป่าเถื่อนขนาดนี้มาก่อนเลย
“ข้าอยู่มาตั้งหลายสิบปีแล้ว ก็เป็นคนแบบเนี้ยแหละ จะทำไมหา?” หูหงเต๋อขึงตาใส่ ทำเอานายแพทย์หลิวตกใจจนรีบไปหลบอยู่หลังพวกหูต้าจวิน
“พ่อ ทำอะไรของพ่อครับเนี่ย? โรงพยาบาลนี่มันใช่ที่จะมาสร้างความวุ่นวายเหรอ?” หูต้าจวินไม่นรู้จะพูดกับพ่อคนนี้อย่างไรแล้วจริงๆ มาล่วงเกินหมอในโรงพยาบาลแบบนี้ ยังอยากให้ลูกสาวเขาหายป่วยอยู่ไหมเนี่ย?
“ไปไกลๆ เลย แกไม่ต้องมาพูดสอด ไอ้หมอเส็งเคร็งพวกนี้ขนาดคนเป็นโรคอะไรก็ยังดูไม่ออก ยังจะกล้ามาทำกร่างกับข้าอีกเรอะ?” หูหงเต๋อพอมีน้ำโหขึ้นมาแล้ว ก็ไม่สนญาติโกโหติกาอะไรทั้งนั้น แม้แต่ลูกชายก็ยังโดนดุไปด้วย
“เหล่าหู มัวทำอะไรอยู่ล่ะเนี่ย? รีบเข้ามาสิ!”
พอเยี่ยเทียนได้ยินเสียงข้างนอกจากในห้องคนไข้ ก็ทั้งนึกขำทั้งนึกฉุนขึ้นมาทันที หูหงเต๋อก็อายุตั้งหกเจ็ดสิบแล้ว ทำไมยังหุนหันพลันแล่นยิ่งกว่าคนหนุ่มอายุยี่สิบต้นๆ แบบนี้อีกนะ?
ถ้าเป็นคนอื่นหูหงเต๋อจะไม่สนใจฟังก็ได้ แต่ตอนนี้เขาเคารพเยี่ยเทียนดั่งพระเจ้า ตอนนั้นจึงไม่สนใจนายแพทย์คนนี้แล้ว หันไปพูดกับลูกชายและลูกสะใภ้ว่า “ต้าจวิน พวกแกเข้ามาเถอะ เสี่ยวเซียนจะฟื้นแล้วนะ!”
“เสี่ยวเซียนจะฟื้นแล้วหรือ?”
เมื่อได้ยินพ่อบอกอย่างนั้น พวกหูต้าจวินต่างก็ยินดีปรีดา ออกันเข้าไปในห้องคนไข้พร้อมๆ กัน นายแพทย์หลิวคนนั้นคิดๆ ดู แล้วก็เดินตามหลังเข้าไปด้วย
“นี่…นี่ยังไม่ได้ถอนเข็มออกเลยนี่?”
พอเข้าไปในห้องคนไข้แล้ว ทุกคนก็มองเห็นเข็มเงินบนใบหน้ากับช่วงอกและท้องของหูเสี่ยวเซียน ในใจจึงยิ่งเชื่อถือคำพูดของเยี่ยเทียนก่อนหน้านี้มากขึ้น ว่าเขาได้ทำการฝังเข็มให้หูเสี่ยวเซียนจริงๆ
เพียงแต่พวกเขาไม่รู้ว่า เยี่ยเทียนจงใจยังไม่ถอนเข็มออก เพราะเข็มเงินที่จุดอิ้นถังตรงหว่างคิ้วของหูเสี่ยวเซียนนั้นฝังไว้เพื่อตรึงจิตของเธอไว้ ถ้าถอนออกไปแล้ว หูเสี่ยวเซียนก็จะฟื้นขึ้นมาทันที
เมื่อเห็นทุกคนเข้ามาแล้ว เยี่ยเทียนก็พูดว่า “เดี๋ยวก็จะถอนเข็มออกแล้วครับ หูเสี่ยวเซียนไม่ได้รับประทานอาหารมาหลายวัน อาจจะอ่อนแอหน่อย พวกคุณไปต้มโจ๊กมาหน่อยนะ จะให้ดีก็ใส่โสมหั่นเป็นชิ้นบางๆ ด้วย จะได้บำรุงกำลัง”
“ได้ๆ ฉัน…ฉันจะไปเดี๋ยวนี้แหละ!”
นางหูพูดตอบซ้ำๆ แต่ร่างกลับยังไม่ขยับไปไหน เพราะเธอยังไม่ค่อยเชื่อถือคำพูดของเยี่ยเทียนเท่าไรนัก จึงอยากจะเห็นลูกสาวฟื้นขึ้นมากับตาตัวเองก่อน
เยี่ยเทียนส่ายหน้า แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก เดินไปถึงข้างตัวหูเสี่ยวเซียน ยื่นมือออกไปดั่งสายลมพัด แล้วถอนเข็มทั้งหกเล่มที่ฝังอยู่บนร่างของหูเสี่ยวเซียนออกมาอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ
ทุกคนในห้องพากันกลั้นหายใจ สายตาจับจ้องไปที่ใบหน้าของหูเสี่ยวเซียนตาไม่กะพริบ หูเสี่ยวเซียนที่ตอนแรกดูเหมือนกำลังหลับปุ๋ยอยู่นั้น จู่ๆ ขนตาก็สั่นระริก แล้วดวงตาทั้งคู่ก็ลืมขึ้นมา
หูเสี่ยวเซียนตื่นขึ้นมาอย่างสะลึมสะลือ เมื่อเห็นฝ่าเพดานสีขาวราวหิมะ ก็ถามขึ้นมาด้วยเสียงอ่อนระโหย “ฉัน…ฉันอยู่ที่ไหนกันเนี่ย?”
ตอนที่ 410 ซุปมังกรบิน
โดย
Ink Stone_Fantasy
“เสี่ยวเซียน นี่แม่เองนะ ลูก…ลูกสลบไปตั้งหลายวันเลยละ”
เมื่อเห็นลูกสาวฟื้นขึ้นมา นางหูก็ตรงรี่เข้าไปอยู่ข้างเตียงทันที พอเริ่มพูด น้ำตาก็ ร่วงรินลงมาดัง “เปาะแปะ” ในช่วงหลายวันมานี้ที่ลูกสาวป่วย ทำให้เธอทุกข์ร้อนใจไปไม่น้อยเลย
หูหงเต๋อดึงแขนลูกสะใภ้แล้วพูดว่า “พอแล้ว รีบไปต้มโจ๊กมาให้เสี่ยวเซียนเถอะ เอ้อ ฉันไปด้วยดีกว่า ไอ้เป๋ซุนมันยังมีโสมดีอยู่อีกต้นหนึ่ง ถ้าฉันไม่ไปด้วยเธอคงเอามาไม่ได้หรอก!”
คนเก็บโสมบนภูเขาฉางไป๋นี้ โดยปกติจะต้องมีของช่วยชีวิตเก็บไว้ในคลังอยู่เสมอ อย่างโสมครึ่งต้นของไอ้บอดเมิ่งนั้น ก็ช่วยชีวิตเขาไว้ได้หลายครั้งแล้ว
ไอ้เป๋ซุนที่หูหงเต๋อพูดถึงนี้ ก็เป็นคนเก็บโสมที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งในถิ่นภูเขาฉางไป๋ เนื่องจากสมัยหนุ่มเคยล้มขาหักตอนที่ไปเก็บโสม หลังจากรักษาหายแล้วก็กลายเป็นเดินขากะเผลก จึงได้ฉายานามนี้มาด้วยเหตุนี้เอง
“ชิงหย่า เธออยู่เป็นเพื่อนเสี่ยวเซียนนะ ฉันจะกลับไปนอนที่โรงแรมสักงีบ เหล่าหู เราออกไปด้วยกันเลยนะ!”
เมื่อเห็นว่าหูเสี่ยวเซียนไม่เป็นอะไรแล้ว เยี่ยเทียนก็วางใจลง แต่แล้วก็รู้สึกเจ็บแปลบที่สมองขึ้นมาทันที และยังวิงเวียนศีรษะอีกด้วย เขารู้ว่า นี่คงจะเป็นอาการข้างเคียงหลังจากดวงจิตสูญสลายไปแน่ๆ
“เยี่ยเทียน คือว่า คือ…ไม่รู้จะขอบคุณเธอยังไงดีเลยละ!”
พอเยี่ยเทียนพูดออกไปแล้ว หูต้าจวินและภรรยาถึงเพิ่งจะนึกได้ว่าตัวเองมัวแต่สนใจลูกสาว แต่ยังไม่ได้ขอบคุณเยี่ยเทียนผู้มีพระคุณใหญ่หลวงเลยสักคำ ใบหน้าจึงร้อนวาบขึ้นมาทันที
เยี่ยเทียนโบกมือ “ไม่ต้องเกรงใจหรอกครับอธิการหู ผมกับเสี่ยวเซียนก็เป็นเพื่อนกัน พวกคุณอยู่เฝ้าเสี่ยวเซียนเถอะครับ ผมจะกลับไปก่อนละ”
“เฮ้ เยี่ยเทียน เดี๋ยวฉันไปส่งคุณนะ!” เมื่อเห็นเยี่ยเทียนเดินออกไปจากห้อง หูหงเต๋อก็รีบตามไปทันที
“เยี่ยเทียน คุณไม่เป็นไรแน่นะ? สีหน้าดูไม่ดีเลยนี่นา” อย่าเห็นว่าหูหงเต๋อเป็นคนใจร้อนวู่วาม เขาเองก็มีสายตาละเอียดอยู่เหมือนกัน จึงเห็นว่าสีหน้าของเยี่ยเทียนหลังจากที่รักษาโรคให้หลานสาวนั้น แตกต่างไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง
“พลังชี่เสียหายไปนิดหน่อยน่ะ ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอก เหล่าหู วันสองวันนี้อย่ามารบกวนผมนะ ผมว่าจะพักผ่อนดีๆ สักหนึ่งวัน”
เมื่อก่อนที่พลังชี่ถูกกระทบกระเทือนนั้น อาการคือร่างกายรู้สึกไม่สบาย แต่ในการปะทะครั้งนี้เยี่ยเทียนเสียดวงจิตไป อาการเจ็บแปลบที่สมองแบบนี้ เขาจึงเพิ่งจะเคยประสบเป็นครั้งแรก
“ได้ ฉันจะไปส่งคุณเองนะ!”
หูหงเต๋อพยักหน้า เขาเองก็เป็นคนที่ให้ความสำคัญต่อน้ำใจไมตรีอย่างมาก แต่การขอบคุณนั้นถึงพูดด้วยปากไปก็ไม่มีประโยชน์ หูหงเต๋อจึงตัดสินใจไว้แล้วว่า จะขุดโสมแก่อายุร้อยปีบนภูเขาเหล่านั้นมาให้เยี่ยเทียน
หลังจากกลับไปถึงที่ห้อง เยี่ยเทียนก็ฝืนทนความไม่สบายบนร่างกาย แล้วนั่งขัดสมาธิบนเตียงโคจรลมปราณหนึ่งรอบ จากนั้นถึงจะเอนกายลงนอนเคลิ้มหลับไป
เยี่ยเทียนไม่รู้ว่าตัวเองหลับไปนานแค่ไหน พอเขาตื่นขึ้นมา อาการเจ็บแปลบในสมองก็หายเป็นปลิดทิ้งแล้ว
เขาลุกไปเลิกม่านหน้าต่างของโรงแรมออก หิมะข้างนอกหยุดตกแล้ว แต่หิมะที่ทับถมกันยังไม่ละลายไป เมืองทั้งเมืองจึงเหมือนถูกปกคลุมไว้ด้วยแป้งพอกหน้าสีขาวหนึ่งชั้น เยี่ยเทียนเงยหน้าขึ้นไปมองพระอาทิตย์ ดูลักษณะแล้วน่าจะเป็นตอนบ่ายเวลาสามสี่โมง
เยี่ยเทียนยืนบริหารร่างกายอยู่ข้างหน้าต่าง พลางเริ่มขบคิดในใจ ถึงจะไดรับบาดเจ็บมาเล็กน้อย แต่การมาเที่ยวนี้ก็ถือว่าได้กำไรมาเยอะมากแล้ว
ตอนนี้เยี่ยเทียนยังฝึกไปไม่ถึงขั้นหลอมจิตสู่ความว่างเลยด้วยซ้ำ แต่ก็เกือบจะหลอมกาย ปราณและจิต ทั้งสามอย่างให้เป็นหนึ่งได้แล้ว การบรรลุระดับนี้ไม่ใช่จำทำสำเร็จกันได้ง่ายๆ เลย
“โครกคราก…โครกคราก!”
หูของเยี่ยเทียนพลันกระดิกทีหนึ่ง เขาได้ยินเสียง “โครกคราก” ดังขึ้นมาในห้อง ขณะกำลังคิดจะเงยหน้ามองหาต้นตอก็ฉุกคิดได้เสียก่อน และอดหลุดขำออกมาไม่ได้ เพราะที่แท้ก็เป็นเสียงท้องตัวเองร้องด้วยความหิวนั่นเอง
เยี่ยเทียนหยิบโทรศัพท์ของโรงแรมขึ้นมา แล้วต่อสายไปที่ห้องของอวี๋ชิงหย่า แต่กลับไม่มีคนรับสาย เขาคิดๆ ดูแล้วจึงโทรไปที่โทรศัพท์มือถือของเธอ
“เยี่ยเทียน ตื่นแล้วเหรอ? นายหลับไปสองวันเลยนะ พวกฉันอยู่ที่บ้านของเสี่ยวเซียนแล้วละ นายรีบมาเลยนะ!” ทันทีที่รับสาย เสียงของอวี๋ชิงหย่าก็พูดขึ้นอย่างดีใจ แล้วบอกที่อยู่บ้านของหูเสี่ยวเซียนให้เยี่ยเทียนรู้
“เอ้อ นี่พวกเธอกินข้าวรึยังน่ะ? ฉันจะไปหาอะไรกินก่อนนะ แล้วค่อยเข้าไปหา” เยี่ยเทียนลูบท้องตัวเอง จะไปบ้านคนอื่นตอนนี้ก็ยังไม่ใช่เวลามื้ออาหาร ไปเติมกระเพาะให้เต็มก่อนแล้วค่อยว่ากันเถอะ
“พวกฉันกินแล้วละ อ้อ เยี่ยเทียน คุณปู่หูจะคุยกับนายน่ะ!”
อวี๋ชิงหย่าเพิ่งจะพูดไปได้ครึ่งเดียว โทรศัพท์ก็ถูกหูหงเต๋อแย่งไปเสียก่อน “เยี่ยเทียน มาที่บ้านนี่สิ เมื่อวานฉันขึ้นเขาไปล่ามังกรบินมาได้สองตัว จะได้บำรุงพลังชี่คุณเสียหน่อย!”
“ดีเลย เหล่าหู แล้วก็เตรียมอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ไว้ด้วยนะ ผมหิวสุดๆ ไปเลยเนี่ย” เยี่ยเทียนก็ต้องไม่เกรงใจหูหงเต๋ออยู่แล้ว หลังจากวางสายก็ไปเรียกรถมุ่งหน้าไปที่บ้านของหูเสี่ยวเซียนเลย
บ้านของหูเสี่ยวเซียนตั้งอยู่ในแถบชานเมือง แถวนั้นเป็นหมู่บ้านซึ่งเป็นบ้านหลังเดี่ยวพร้อมสวน หน้าบ้านแต่ละหลังต่างก็มีสวนขนาดใหญ่กันทุกหลัง และแบ่งสัดส่วนเป็นส่วนตัวอย่างยิ่ง
‘เป็นรองอธิการก็ได้อยู่ที่แบบนี้แล้วรึเนี่ย? หูต้าจวินนี่คงไม่ใช่พวกข้าราชการทุจริตหรอกนะ?’ เมื่อเห็นสวนตรงหน้าที่ปัดกวาดหิมะไว้จนสะอาด เยี่ยเทียนก็เกิดความคิดนี้ขึ้นมาในสมอง
เพียงแต่เยี่ยเทียนไม่รู้ว่า บ้านหลังนี้ไม่ใช่ของพ่อแม่ของหูเสี่ยวเซียน แต่เป็นของหูเสี่ยวเซียนเอง โดยเป็นบ้านที่หูหงเต๋อซื้อให้หลานสาวในปีที่เธอสอบติดมหาวิทยาลัยหวาชิง
ในฐานะที่เป็นนักล่าโสมแก่ผู้โด่งดังที่สุดบนภูเขาฉางไป๋ โสมป่าแก่ที่หูหงเต๋อขายได้ในหลายปีที่ผ่านมารวมๆ แล้วก็เป็นราคาไม่ต่ำกว่าสิบล้าน จะซื้อบ้านแบบนี้สักหลังหนึ่งก็ย่อมไม่เป็นปัญหาอยู่แล้ว
“เยี่ยเทียน มาแล้วเหรอ มาๆ เข้าบ้านเร็ว!”
ตั้งแต่ได้รับโทรศัพท์จากเยี่ยเทียน หูหงเต๋อก็มายืนรออยู่หน้าประตูตลอด ทำเอาหูต้าจวินและภรรยาต่างก็รู้สึกขัดเขิน จนต้องฝ่าลมหนาวออกมายืนอยู่ข้างนอกเป็นเพื่อนพ่อด้วย
“เหล่าหู ทำไมจะต้องเกรงใจกันขนาดนั้นด้วยเล่า!” เยี่ยเทียนหัวเราะ เขากล่าวทักทายหูต้าจวินและภรรยา แล้วจึงเดินเข้าไปในบ้าน
“เยี่ยเทียน นายนี่นอนเก่งจริงๆ นะ ขนาดฉันเปิดประตูนายยังไม่ตื่นเลย!” เมื่อเห็นว่าแฟนหนุ่มมาแล้ว อวี๋ชิงหย่าก้รีบวิ่งเข้าไปหาเยี่ยเทียน แล้วจับมือของเขาไว้อย่างเป็นห่วง
เยี่ยเทียนยิ้มแย้ม “ไม่มีอะไรหรอก แค่เสียพลังชี่ไปนิดหน่อยน่ะ หลับไปสองวันก็ดีขึ้นแล้ว”
หูเสี่ยวเซียนก็เดินเข้ามาหาด้วย แล้วโค้งคำนับต่อเยี่ยเทียนเป็นอย่างสูง “เยี่ยเทียน ขอบคุณนะ ฉันได้ยินคุณปู่บอกแล้วละ ถ้าไม่ใช่เพราะนาย ป่านนี้ฉันก็คงไม่รอดแล้วละ”
“เฮ้ จะมาคำนับกันทำไมเล่า?” เยี่ยเทียนเกาศีรษะ แล้วหันไปตะโกนพูดกับหูหงเต๋อ “เหล่าหู ผมตั้งใจจะมากินข้าวนะ รีบไปยกกับข้าวมาตั้งโต๊ะเสียสิ!”
“ได้เลยคร้าบ รอประเดี๋ยวนะท่าน จะไปลำเลียงมาเดี๋ยวนี้แหละ!”
เสียงตะโกนของเยี่ยเทียนนี้ และการตอบรับอย่างกับบริกรของหูหงเต๋อ ทำให้ทุกคนต่างหัวเราะออกมาดังลั่นห้อง บรรยากาศภายในห้องที่ตอนแรกค่อนข้างตึงเครียดนั้นก็ผ่อนคลายลงทันที
เมื่อผ่านไปราวๆ เจ็ดแปดนาที หูหงเต๋อก็หิ้วหม้อแขวนใบหนึ่งเดินเข้ามาในห้องรับแขก แล้วเรียกเยี่ยเทียนไปนั่งในห้องอาหารที่อยู่ติดกับห้องรับแขก “เยี่ยเทียน นี่คือซุปมังกรบินตุ๋นโสมคน ฝีมือของฉันนี่รับรองว่าคุณกินแล้วต้องอร่อยจนแทบจะเคี้ยวลิ้นตัวเองกลืนลงไปด้วยเลยละ!”
“หอมจังเลยเหล่าหู ฝีมือไม่เลวเลยนี่นา!”
เยี่ยเทียนยังไม่ทันได้เริ่มกิน ลำพังแค่เห็นน้ำซุปสีขาวข้นและได้กลิ่นหอมเตะจมูก ท้องก็เริ่มร้อง “จ๊อกๆ” ขึ้นมาแล้ว เขาใช้ช้อนตักซุปเข้าปากไปคำหนึ่ง แล้วที่ปลายลิ้นก็สัมผัสได้ถึงรสชาติสดหวานอย่างหนึ่งที่ยังไม่เคยได้ลิ้มลองมาก่อนเลย
“เยี่ยเทียน ซุปนี่น่ะใช้ซุปไก่ตัวเมียเป็นหัวซุป แล้วก็ใส่เห็ดสดจากในป่า นี่ถ้าไปอยู่ในสมัยโบราณละก็ ต่อให้เป็นฮ่องเต้ก็ไม่ได้กินหรอก” พอได้ยินเยี่ยเทียนชื่นชมฝีมือของตัวเอง หูหงเต๋อก็ยิ้มออกมาจนแก้มแทบปริ
ซุปหม้อนี้หูหงเต๋อตั้งอกตั้งใจทำจริงๆ เขาไม่รู้ว่าเยี่ยเทียนจะตื่นมาตอนไหน จึงตุ๋นซุปไก่ตัวเมียไว้หม้อหนึ่ง พอเยี่ยเทียนบอกว่าจะมาเมื่อไร ก็ค่อยใส่มังกรบินลงหม้อไป
นอกจากนี้ โสมคนครึ่งต้นที่อยู่ในซุปนั้น หูหงเต๋อก็กึ่งขอกึ่งแย่งมาจากไอ้เป๋ซุน และเป็นโสมแก่ที่มีอายุถึงหนึ่งร้อยกว่าปีแล้ว ถ้าเอาไปขายข้างนอก อย่างน้อยๆ ก็คงได้อยู่หลายล้าน
“พ่อ ต่อไปพ่อล่ามังกรบินให้น้อยๆ หน่อยจะดีกว่านะครับ เดี๋ยวนี้รัฐเขาเริ่มเอาจริงกับการอนุรักษ์สัตว์ป่ามากขึ้นเรื่อยๆ แล้วนะ” หูต้าจวินที่อยู่ในห้องรับแขกได้ยินทั้งสองคุยกัน จึงอดพูดขึ้นมาไม่ได้
“เหลวไหล ข้าเอามากินเอง ไม่ได้เอาไปขายนี่หว่า? เมื่อวานแกก็เพิ่งจะกินท่าทางอร่อยอยู่เลยไม่ใช่เรอะ?” หูหงเต๋อถลึงตาด่ากลับไป จนหูต้าจวินต้องหุบปากลงด้วยสีหน้าเขินอาย
หลังจากกินเนื้อมังกรบินไปหนึ่งคำ ก็เป็นอย่างที่หูหงเต๋อพูดมาจริงๆ เยี่ยเทียนแทบจะเคี้ยวลิ้นตัวเองกลืนลงไปด้วยเลย จึงอดพูดไม่ได้ว่า “เนื้อนี่สดอร่อยจริงๆ เลยนะ เหล่าหู ไว้เราไปล่าในป่ามากันอีกหลายๆ ตัวนะ ผมต้องเอาไปฝากศิษย์พี่กับคนที่บ้านบ้างแล้วละ!”
เยี่ยเทียนเป็นคนประเภทเดียวกับหูหงเต๋อ ก็คือไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดิน ไม่ได้มีเรื่องการอนุรักษ์สัตว์อะไรนั่นอยู่ในใจเลยสักนิด กฎที่คนในยุทธภพคล้อยตามกันก็มีแต่กฎปลาใหญ่กินปลาเล็ก ผู้เข้มแข็งอยู่รอดเท่านั้น
“ดีเลย เราสองปู่นี่นิสัยเหมือนกันจริงๆ”
คำพูดของเยี่ยเทียนทำให้หูหงเต๋อยิ้มแย้มอย่างชอบใจ แต่แล้วก็ทำหน้านิ่วไปทันที “เยี่ยเทียน คุณ…คุณคนเดียวแหละที่เป็นปู่ เรื่องอย่างนี้มันต้องพูดกันให้ชัดเจน”
พอหูหงเต๋อพูดอย่างนั้น ทุกคนก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา ตาเฒ่าคนนี้ถึงนิสัยจะไม่ได้ดีเท่าไรนัก อ้าปากทีไรเป็นต้องด่าทอคนอื่น แต่ก็เป็นคนที่น่ารักจริงๆ
“คุณปู่คะ หนูก็อยากกินด้วย!” พวกสาวๆ อย่างหูเสี่ยวเซียนและอวี๋ชิงหย่าก็รี่เข้ามาตั้งแต่ตอนไหนไม่ทราบ แล้วมองไปที่หม้อใบนั้นตาละห้อย
รสชาติของมังกรบินนั้นไม่ใช่ว่าคนธรรมดาจะต้านทานได้ หูต้าจวินถึงปากจะพูดอยู่ว่าต้องอนุรักษ์สัตว์ป่า แต่ขนาดนั่งอยู่ในห้องรับแขก เขาก็ยังอดเหลือบมองไปทางห้องอาหารเป็นระยะไม่ได้เลย
หูหงเต๋อขึงตาใส่หลานสาวอย่างขุ่นเคือง “เมื่อวานพวกเธอก็กินไปแล้วไม่ใช่รึไง? เยี่ยเทียนเขาช่วยรักษาหลานจนเสียพลังชี่ไป ปู่ก็ต้องบำรุงเขาดีๆ สิ!”
“ใช่ พวกเธอไม่ต้องมาแย่งเลย ถ้าอยากกินอีกสองสามวันก็ไปขึ้นเขากับฉันแล้วกันนะ”
เยี่ยเทียนไม่รู้หรอกว่าอะไรคือความเกรงใจ คราวนี้เขาหิวจนไส้กิ่วมาตั้งแต่ตื่นนอนแล้ว และก็ไม่สนว่าซุปจะร้อนขนาดไหน หยิบช้อนซุปคันใหญ่ส่งซุปลงท้องไปคำแล้วคำเล่า เพียงไม่นานซุปทั้งหม้อก็หายไปจนมองเห็นก้นหม้อ
“ผีอดตายมาเกิดแท้ๆ เลย!” อวี๋ชิงหย่าค้อนใส่เยี่ยเทียนอย่างขุ่นเคือง ที่จริงเธอก็อยากจะซดซุปมังกรบินอีกสักหน่อยเหมือนกัน เพราะได้ยินมาว่าผู้หญิงกินแล้วจะช่วยให้สวยขึ้น
“ฮ่าๆ ถ้าไม่กินละก็สงสัยได้อดตายจริงๆ แล้วละ!”
เวลาอยู่ต่อหน้าอวี๋ชิงหย่า เยี่ยเทียนก็หนังหน้าหนามาแต่ไหนแต่ไร เขาหัวเราะฮ่าๆ แล้วมองไปทางหูหงเต๋อ “เหล่าหู เราไปหาที่คุยกันเถอะ”
พอมาถึงถิ่นฉางไป๋แห่งนี้แล้ว อยู่ดีๆ ก็ต้องไปประวิชากับคนอื่น เยี่ยเทียนจึงต้องอยากรู้เป็นธรรมดาว่า นี่มันเรื่องอะไรกันแน่?
และตามหลักในยุทธภพนั้น ในเมื่อผูกความแค้นกับผู้อื่นไปแล้ว ก็จะต้องคลายปมนั้นลงให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นการจับมือไกล่เกลี่ยหรือสู้กันให้ตายไปข้างหนึ่งก็ตามที สุดท้ายก็จะต้องขีดเส้นยุติบทนี้ลงให้ได้
ตอนที่ 411 แค้นนี้ต้องสะสาง
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลังจากได้ฟังคำของเยี่ยเทียนแล้ว หูหงเต๋อก็ลุกขึ้นยืน กวักมือไปทางหลานสาว กล่าวว่า “เสี่ยวเซียน เธอตามฉันมา”
ผู้อยู่ในเหตุการณ์ก็คือหูเสี่ยวเซียน ถึงแม้หูหงเต๋อจะเข้าใจเรื่องราวความเป็นมาทั้งหมดแล้ว แต่เพราะว่าเคารพเยี่ยเทียน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดนั้นให้หูเสี่ยวเซียนเป็นคนเล่าจะเหมาะกว่า
หลังจากเข้ามาในห้องหนังสือ หูหงเต๋อก็เชิญเยี่ยเทียนนั่งบนโซฟา ตัวเขาเองเดินไปปิดประตู กล่าวว่า “เสี่ยวเซียน ไหนเธอลองเล่าเรื่องที่ได้เจอเมื่อไม่กี่วันก่อนให้เยี่ยเทียนฟังซิ”
หูเสี่ยวเซียนทำท่านึกซักพัก กล่าวว่า “ฉันก็ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น อยู่ดีๆ ก็เป็นลมล้มพับไป แต่ก่อนหน้านั้น ฉันเคยไปที่เทือกเขาเป่ยลู่มานั่นมาก่อน…”
ตามที่หูเสี่ยวเซียนกำลังเล่านั้น ความเป็นมาของเรื่องที่เกิดขึ้นก็ประติดประต่ออย่างชัดเจนขึ้นในสมองของเยี่ยเทียน
เดิมทีสถานีเตรียมจะให้หูเสี่ยวเซียนเป็นผู้ประกาศข่าวของช่อง ด้วยนิสัยของหูเสี่ยวเซียนนั้นร่าเริง ตัวเองอยากไปเป็นนักข่าว
แต่ว่าเมืองฉางไป๋ภูมิประเทศเป็นเทือกเขาฉางไป๋ซาน แต่ละปีนอกจากทำการซื้อขายโสมแล้ว มักจะไม่ค่อยมีข่าวอะไรที่น่าติดตามเท่าไหร่ หูเสี่ยวเซียนก็เป็นคนนิสัยดื้อรั้น มักจะอยากทำผลงานอะไรออกมาให้เป็นชิ้นเป็นอัน
ดังนั้นเมื่อวันก่อน หูเสี่ยวเซียนเจอคนรู้จักที่อาศัยอยู่ที่ฟาร์มของคุณตาทางนั้น ได้ยินเขาเล่าว่าตอนนี้มีการล่าสัตว์ที่เป็นสัตว์สงวนของประเทศค่อนข้างระบาดหนัก ดังนั้นหูเสี่ยวเซียนก็เกิดความอยากรู้ขึ้นมา
ตามหูหงเต๋อมาตั้งแต่เด็กอย่างหูเสี่ยวเซียนถึงแม้จะไม่ได้เรียนวิชากรงเล็บพยัคฆ์ของตระกูล แต่วิชาป้องกันตัวพื้นฐานก็พอมีอยู่บ้าง บวกับความคุ้นเคยในภูมิประเทศของเทือกเขาฉางไป๋ซาน หูเสี่ยวเซียนก็โทรไปบอกสถานีเอาไว้ ตัวเองจึงรีบไปที่เทือกเขาฉางไป๋ซานเป่ยลู่คนเดียว
แต่การลักลอบล่าสัตว์นี้แน่นอนว่าเป็นการแอบลักลอบ แน่นอนว่าจะต้องไม่ใช่ตอนที่สว่างโร่ให้คนเห็นได้อย่างง่ายดาย เธอจึงได้แต่ไปลอยชายอยู่ที่หมู่บ้านเล็กๆ ข้างเทือกเขาฉางไป๋ซานอยู่ตลอดช่วงเช้า แต่หูเสี่ยวเซียนก็ไม่ได้ข่าวอะไรที่น่าติดตามแม้แต่น้อย
หูเสี่ยวเทียนที่คอตกเศร้าโศกกำลังเตรียมถอนตัวกลับเมืองนั้น พอดีกลับได้เจอ “เพื่อนเก่า” ของคุณตา หลังจากพูดคุยไม่กี่ประโยค คนนั้นบอกว่าเขารู้เรื่องการลักลอบล่าสัตว์ ดังนั้นหูเสี่ยวเซียนก็ไม่ได้ระแวดระวังตัวเองอีกตามชายผู้นั้นไปยังที่บ้านของเขา
“เพื่อนเก่า” คนนั้น ก็คือเมิ่งเซียจื่อนั่นเอง หูหงเต๋อมีความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยดีกับเมิ่งเซียจื่อ แต่เรื่องนี้เขาไม่เคยบอกกับลูกหลานเอาไว้ ก็ดูได้จากการที่หูเสี่ยวเซียนนับถือเมิ่งเซียจื่อเป็นผู้อาวุธโส
ในตอนกลางวันของวันนั้นหูเสี่ยวเซียนก็รับประทานอาหารที่บ้านของเมิ่งเซียจื่อ แต่ทว่าในตอนที่เธอถามถึงพวกลักลอบล่าสัตว์นั้นเอง เมิ่งเซียจื่อกลับอึกอักไม่ยอมบอกเพิ่มเติม
ต่อมาถูกหูเสี่ยวเซียนถามจนโมโห เมิ่งเซียจื่อพลันบอกว่าเขาสามารถเต้นเข้าทรงได้ นี่เป็นศาตร์แขนงหนึ่งของชาวบ้าน สามารถให้หูเสี่ยวเซียนทำข่าวนำไปออกได้ หูเสี่ยวเซียนคิดดูแล้วก็เห็นด้วย จึงได้ให้เมิ่งเซียจื่อเต้นมาตอนหนึ่ง เธออยากเห็นว่าภาพที่ออกมานั้นใช้ได้หรือไม่
เมิ่งเซียจื่อก็ตกปากรับคำ ก็หยิบเอาไม้ไผ่ที่มีผ้าผูกไว้พาดไว้ที่ประตู จากนั้นก็หยิบกลองที่ทำมือที่ทำจากหนังแกะกระโดดร้องรำขึ้นมา
ถึงแม้หูเสี่ยวเซียนเคยเห็นคนเต้นเข้าทรง แต่ท่วงทำนองการร้องสไตล์เก่าแก่โบราณของเมิ่งเซียจื่อนั้นทำให้เธอฟังอย่างออกรสออกชาติ โดยเฉพาะในตอนที่เมิ่งเซียจื่ออัญเชิญเทพลงประทับนั้น หูเสี่ยวเซียนก็รู้สึกทั่วทั้งร่างเย็นเฉียบขึ้นมา
ในตอนนั้นหูเสี่ยวเซียนนึกว่าเป็นเพราะความกลัวจึงทำให้เกิดปฏิกิริยาเช่นนั้น ก็เลยไม่ได้ใส่ใจ กลับพูดคุยถึงการเต้นเข้าทรงกับเมิ่งเซียจื่ออย่างตื่นตาตื่นใจ จนกระทั่งบ่ายสองกว่าจึงได้เดินทางกลับสถานี
แต่ทว่าในตอนที่หูเสี่ยวเซียนถึงประตูสถานีนั้นเอง พลันรู้สึกหัวหนักอึ้ง ร่างกายสูญเสียการรับรู้ไป สำหรับว่าในหลายวันมานี้เกิดอะไรขึ้นนั้น ล้วนแต่ได้รับการบอกเล่าจากปากของพ่อแม่ทั้งนั้น
“คุณตา เมิ่ง…คุณตาเมิ่งเป็นคนไม่ดีจริง ๆ เหรอคะ”
จนถึงตอนนี้ หูเสี่ยวเซียนก็ยังไม่อยากจะเชื่อว่าที่เธอหมดสติไปเป็นเพราะเมิ่งเซียจื่อ เพราะตั้งแต่เด็กเห็นเมิ่งเซียจื่อ คนนั้นมักจะปรากฏสีหน้าเหมือนผู้ใหญ่ที่มีเมตตาและใจดีออกมาตลอด
หูหงเต๋อไม่อยากให้หลานสาวรู้ว่าเมิ่งเซียจื่อทำเรื่องเลวทรามอะไรไว้บ้าง โบกมือกล่าวว่า “เธออายุยังน้อย ยังมีบางเรื่องที่ยังไม่รู้ พอแล้ว เธอออกไปคุยกับเพื่อนก่อนไป ตามีเรื่องจะคุยกับเยี่ยเทียนหน่อย”
“ลับลับล่อล่อ หนูก็ไม่อยากฟังหรอก” หูเสี่ยวเซียนทำหน้าทะเล้นใส่คุณตา กระฟัดกระเฟียดออกไปจากห้องหนังสือ
หลังจากรอจนหูเสี่ยวเซียนเดินออกไปแล้ว สีหน้าของเยี่ยเทียนก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้นมา กล่าวว่า “เหล่าหู พูดถึงเมิ่งเซียจื่อคนนี้หน่อยเถอะ วิชาของเขาสืบทอดมาจากสำนักไหนกัน”
“ตาของเมิ่งเซียจื่อเคยเป็นฮ่องเต้ชนเผ่าเชมันในสมัยตอนปลายราชวงศ์ ฟังจากพ่อเล่าว่า วิชาที่สืบทอดของพวกเขาคือมนต์ดำเชมัน ตอนฉันยังเด็กเคยเห็นคุณตาของเขาเต้นเข้าทรง
แต่บิดาของเมิ่งเซียจื่อกลับเหมือนว่าจะไม่ได้เรียนพวกนี้ ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเมิ่งเซียจือไปเรียนมาจากที่ไหน น่าจะเป็นการสืบสานจากในตระกูลเหลือไว้ให้ แล้วเมิ่งเซียจื่อศึกษาคิดค้นออกมาเอง”
ในตอนที่พ่อของเมิ่งเซียจื่อยังอยู่นั้น ทั้งสองคนไปมาหาสู่กันบ่อยครั้ง ดังนั้นจึงจะเห็นได้จากว่ารู้เรื่องราวของครอบครัวนั้นเป็นอย่างดี หลังจากเมิ่งผู้พ่อถูกยิงเสียชีวิต ความสัมพันธ์ของทั้งสองตระกูลจึงได้เริ่มแย่ลง
หลังจากได้ฟังหูหงเต๋อเล่าแล้ว เยี่ยเทียนก็กล่าวอย่างมั่นใจว่า “วิชาของเขานั้นแปลกมาก ฉันไม่รู้ว่าเขายืมใช้พลังของอะไร แต่แน่นอนว่าไม่ใช่พลังธาตุจากธรรมชาติแน่นอน หรือว่าบนโลกนี้จะมีเทพมารอยู่จริงกัน”
ไอพลังบนร่างกายของเยี่ยเทียนนั้นเป็นผลพวงมาจากการฝึกฝนอย่างหนักของตัวเอง เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมีวิธีลัดที่ไม่ต้องลงแรงแบบนี้มาก่อน และเมื่อวันก่อนพลังที่ประทะกับเขาสายนั้น ก็เป็นไอพลังที่เยี่ยเทียนไม่เคยพบเจอมาก่อน
“จะมีเทพมารอะไรที่ไหนกันเล่า”
หูหงเต๋อที่อาศัยอยู่บนเทือกเขามาทั้งชีวิตกลับไม่เห็นด้วยกับคำพูดของเยี่ยเทียนนัก “ในตอนที่ฉันยังเป็นเด็กก็เคยเห็นพ่อเชิญองค์เทพลงประทับ ในตอนแรกสั่นราวกับเป็นคนบ้า แต่ทว่าหลังจากลงประทับแล้วก็ไม่ต่างอะไรจากปกติ หากว่าเป็นมารล่ะก็ ฉันก็ต้องมองออกแล้วล่ะ”
หูหงเต๋อในตอนเด็กนั้นไม่ยอมฝึกวิชาของลัทธิเต๋ารื่อเยว่ นั่นก็เพราะว่าในตอนอัญเชิญเทพลงประทับนั้นดูไม่น่าเชื่อถือ คนหนุ่มสาวจึงรู้สึกอับอายขายหน้า ในตอนนี้รู้สึกเสียใจก็ไม่ทันกาลเสียแล้ว
“หรือว่าโลกนี้จะมีธาตุที่ไม่เหมือนกัน ใช่แล้ว ต้องเป็นแบบนี้แน่!”
หลังจากเยี่ยเทียนคิดจนหัวแทบแตกแล้ว พลันก็ปรากฏแสงที่ปลายอุโมงค์ เขาฝึกฝนอยู่คือวิชาฝึกจิตของลิทธิเต๋า ใช้พลังจากฟ้าดินคือหยินและหยางสองพลัง แต่นี่เป็นเพียงหลักการเดียวของลัทธิเต๋านี้
ความศรัทธาคือพลังของศาสนาพุทธ ให้ลูกศิษย์นับหมื่นนับพันนับถือในตัวคนคนเดียว ก็สามารถสร้างพระพุทธรูปทองคำให้เป็นผลออกมาได้ นี่เป็นความเชื่อที่แตกต่างกับลัทธิเต๋าสิ้นเชิง
และชาวตะวันตกเชื่อในพระเยซูคริสต์ อิสลามเชื่อในพระอัลเลาะห์ ศาสนาต่างๆเหล่านี้แล้วแตกต่างจากลัทธิเต๋า แต่ก็ไม่เป็นปัญหาในการเผยแพร่ศาสนา คิดไปก็เหมือนกับมีจุดที่เป็นปริศนาเหมือนกัน
ลัทธิเชมันเกิดขึ้นมาค่อนข้างนาน เดิมทีกินพื้นที่ตะวันออกเฉียงเหนือสามมลฑลรวมถึงเน่ยเหมิงกู่ที่เป็นพื้นที่ที่ลัทธิแผ่ขยายไปมากที่สุด แต่ต่อมาถูกศาสนาพุทธทิเบตเข้ามาทดแทน
แต่นี่ก็ไม่สามารถลบล้างการมีอยู่ของลัทธิเชมันได้ ยังมีสถานที่ลึกลับโบราณที่เป็นที่ตั้งสำนักที่ไม่เปิดเผยให้ชาวโลกได้รับรู้เท่านั้น
ก็เหมือนกับที่ก่อนหน้าเยี่ยเทียนได้พบเจอวิชามนต์ดำจากแอฟริกา พลังมนต์สาปแช่งที่น่ากลัวนั้น ถึงแม้เขาจะสามารถลบล้างได้แต่ก็ไม่รู้ได้ถึงความลึกลับของมัน
เยี่ยเทียนใคร่คิดซักครู่ เงยหน้าขึ้นมาทางหูหงเต๋อกล่าวว่า “เหล่าหู ลัทธิชามันนี้ยังมีผู้สืบทอดอยู่อีกมั๊ย”
ลัทธิเชมันในสมัยก่อนถือเป็นลัทธิระดับประเทศของชิงเหยียน ถึงแม้ตอนนี้จะล่มสลายไปแล้ว แต่เยี่ยเทียนเชื่อว่าผู้สืบทอดคนอื่นยังอยู่ นี่เขาอยากจะรู้เรื่องเมิ่งเซียจื่อว่ามีพรรคพวกอยู่หรือไม่ให้กระจ่าง
หูหงเต๋อส่ายหัว กล่าวว่า “ฉันรู้จักคนที่เต้นเข้าทรงก็หลายคน แต่ว่ามีแต่เมิ่งเซียจือที่ค่อนข้างมีของ คนอื่นนั้นเป็นพวกหลอกลวงหากินไปวันวัน!”
ชื่อเรียกเป็นทางการของการเต้นเข้าทรงก็คือระบำเชมัน แต่ว่าแถบตะวันออกเฉียงเหนือนั้นคนที่เต้นเป็นมีเยอะแยะไป หูหงเต๋อรู้จักอย่างน้อยสุดก็แปดสิบถึงร้อยคน แต่ที่สามารถเชิญองค์เทพลงมาประทับได้ ที่เขารู้จัก ก็เห็นจะมีแต่เมิ่งเซียจื่อคนเดียว
“เฮ้อ ยุทธภพฉีเหมินใกล้จะถึงการอวสานแล้วเหรอ”
หลังจากได้ฟังคำของหูหงเต๋อ ในใจของเยี่ยเทียนก็เบาใจลงไปได้ แต่ก็รู้สึกใจหาย ผู้สืบทอดวิชาโบราณล้วนถูกทำให้สูญหายกันไปหมด ทำให้เขารู้สึกโดดเดี่ยวขาดเพื่อนขึ้นมา
“เหล่าหู เมิ่งเซียจื่อปฏิบัติกับคนอื่นเป็นยังไงบ้าง” เยี่ยเทียนกล่าวถามขึ้นอย่างหนักใจ ฉีเหมินสาบสูญ เขาจึงไม่อยากจะกระทำการเด็ดขาดลงไป
“เมิ่งเซียจื่อปฏิบัติกับคนอื่นเหรอ”
หูหงเต๋อปล่อยลมจากจมูกมาพรืดหนึ่ง กล่าวว่า “หากว่าไม่เห็นกับหน้าพ่อของเขา ฉันเก็บเขาไปนานแล้ว แม่เอ้ย ไอ้แก่ลูกหมานี่ทั้งฆ่าคนปล้นของ มีอะไรที่มันไม่ทำบ้าง”
หูหงเต๋อในตอนสามสิบปีก่อนที่บิดาของเขาเพิ่งเสียไปยังไม่รู้จักกับเมิ่งเซียจื่อนั้น ก็เคยอยู่ที่ฉางไป๋ซาน เห็นกับตาว่าเมิ่งเซียจื่อฆ่านักท่องเที่ยวประจำ เห็นตลอดกระบวนการปล้นนั้น
บรรพบุรุษของหูหงเต๋อและเมิ่งเซียจื่อล้วนแล้วแต่ทำอาชีพปล้นฆ่าชิงชองพวกนี้ ในตอนที่หูหงเต๋อยังเด็กก็โตมาจากรังโจร บวกกับว่าเขาไม่รู้จักพวกนักท่องเที่ยวพวกนั้น ตอนนั้นได้เตือนเมิ่งเซียจื่อไปไม่กี่ประโยค ก็ไม่ได้สนใจเรื่องนี้อีก
แต่ว่าต่อมาอีกยี่สิบปี ภูเขาฉางไป๋ซานมักจะมีข่าวคนถูกฆ่าอยู่บ่อยครั้ง หนึ่งในนั้นเป็นพวกคนที่หูหงเต๋อรู้จักอยู่
ในตอนนั้นหูหงเต๋อก็สงสัยเมิ่งเซียจื่อ มีครั้งหนึ่งเขาสะกดรอยตามเมิ่งเซียจื่อเข้าไปในภูเขา ก็ได้พบว่าเขาฆ่านักท่องเที่ยวอีกครั้ง แต่ครั้งนี้หูหงเต๋อโมโหมาก เกือบจะวางมวยกับเมิ่งเซียจื่อ
หลังจากเรื่องนั้นมา เมิ่งเซียจื่อก็ค่อนข้างสันโดษ แต่ทั้งสองตระกูลก็ไม่ติดต่อกันนับแต่นั้น หูเสี่ยวเซียนเคยเจอเมิ่งเซียจื่อในตอนที่ยังเป็นเด็กไม่กี่ครั้งท้านั้น ดังนั้นจึงไม่ทราบบุญคุณความแค้นของตาและเขา
เพียงแต่แม้แต่หูหงเต๋อก็ไม่รู้ว่า เมิ่งเซียจื่อที่เกลียดเขานั้น เพราะหลังจากเมื่อตอนเด็กเสียพ่อไปแล้ว ตระกูลหูตัดขาดความสัมพันธ์ไปมาระหว่างกันกับเขา
หลังจากเล่าเรื่องราวการจบบุญคุณความแค้นกับเมิ่งเซียจื่อแล้ว หูหงเต๋อกล่าวว่า “เยี่ยเทียน เมิ่งเซียจื่อคนนี้เป็นคนใจแคบ มีแค้นต้องชำระ ก่อนหน้านั้นเขาเป็นฝ่ายเสียหาย เขาจะต้องไม่ลามือแน่นอน”
“เหล่าหู คิดว่ายังไง ทำไมถึงได้มาใจแคบกับฉันขึ้นมา”
ได้ฟังหูหงเต๋อประโยคนี้ สีหน้าของเยี่ยเทียนก็กึ่งยิ้มกึ่งไม่ยิ้ม “ฉันสะบัดก้นกลับปักกิ่งแล้วนะ เมิ่งเซียจื่ออย่างสะสางก็คงได้แต่มาหานาย เกี่ยวอะไรกับฉันด้วยเล่า”
“เหอๆ เยี่ยเทีน ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น” หูหงเต๋อถูกเยี่ยเทียนตอกกลับจนหน้าแดง ได้เห็นการใช้วิชาของเยี่ยเทียนแล้ว ตัวเขาเองก็วางใจลงไปได้มาก
ตอนที่ 412 เข้าสู่ภูเขา
โดย
Ink Stone_Fantasy
“หมายความแบบนั้นก็ไม่เป็นไร”
เยี่ยเทียนหัวเราะโบกไม้โบกมือ กล่าวว่า “คนที่จิตใจไม่ดี ฉันช่วยนายกำจัดก็ไม่เป็นไร นายรู้ว่าเขาอยู่ไหนใช่มั๊ย”
เยี่ยเทียนไม่ใช่คนใจบุญสุนทานอะไร คนที่ตายด้วยน้ำมือเขา เกรงว่าจะมากกว่าหูหงเต๋อและเมิ่งเซียจื่อรวมกันเสียอีก เมิ่งเซียจื่อรนหาที่ตาย เยี่ยเทียนไม่รังเกียจที่จะเป็นคนส่งเขาไป
สำหรับเคล็ดวิชาลับนั้น ตอนนี้ฉีเหมินก็แทบไม่เหลือใครแล้ว ผู้สืบทอดที่สูญหายไปมีไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ ก็ไม่ได้เสียดายแค่สายนี้
“เมิ่งเซียจื่อจะกล้าอยู่ที่บ้านได้ยังไงกัน หลีเข้าไปในภูเขาตั้งนานแล้ว!”
ในวันที่หลานสาวของเขาฟื้นขึ้นมา หูหงเต๋อก็รีบพุ่งไปที่บ้านของเมิ่งเซียจื่อ แต่ที่นั้นว่างเปล่าคนหนีไปนานแล้ว นอกจากป้ายนำวิญญาณที่เขียนชื่อของหูเสี่ยวเซียนแล้ว หูหงเต๋อก็ไม่พบอะไรอีก
เยี่ยเทียนขมวดคิ้ว เทือกเขาฉางไป๋ซานทอดยาวเป็นพันกิโลเมตร แค่ลำพังยอดเขาที่อยู่สูงกว่า 2500 เมตรก็มีเป็นสิบยอด และยังมีบางยอดอยู่ฝั่งเกาหลีเหนือ หากเมิ่งเซียจื่อคิดอยากจะหลบซ่อนจริงๆ ล่ะก็ ตัวเขาเองไม่มีทางหาเขาเจอ
หูหงเต๋อหัวเราะแค่นๆ ออกมา กล่าวว่า “เยี่ยเทียน เรื่องนี้ไม่ต้องถึงมือเธอหรอก เมิ่งเซียจื่อเป็นวิชา ฉันเหล่าหูก็ไม่ได้โตมาโดยไม่มีวิชาติดตัว หากปะทะกันขึ้นมาไม่รู้ว่าใครจะอยู่จะไปแหนะ”
เยี่ยเทียนพยักหน้า กล่าวว่า “ผมทำลายวิชาของเขา คิดแล้วตอนนี้เขาก็คงอยู่ไม่สุข นายไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวเขาเลย แค่กันไม่ให้เขาทำร้ายคนบริสุทธิ์ที่ไม่รู้เรื่องก็พอ”
หูหงเต๋อเลือดลมสูบฉีด วิชาเรียกนำวิญญาณของเมิ่งเซียจื่อไม่ได้ผลกับเขาเท่าไหร่ แต่ถึงแม้เมิ่งเซียจื่อจะอัญเชิญเทพประทับร่าง ก็ไม่แน่ว่าจะต่อกรกับคนที่มีมรยุทธ์ระดับพลังซ่อนเร้นได้
ยิ่งไปกว่านั้นเมิ่งเซียจื่อเคยถูกเยี่ยเทียนทำลายวิชาได้ อายุขัยนี้ก็คงเหลืออยู่แค่ครึ่งเดียวแล้ว ยิ่งไม่น่ากลัวเข้าไปอีก
“อีกประเดี๋ยวพอฉันไปแล้วจะให้ยันต์เสี่ยวเซียนไว้พกติดตัว รับประกันได้ว่าเธอจะไม่ถูกอวิชาครอบงำอีก”
เยี่ยเทียนตบมือพลางลุกขึ้นยืน กล่าวว่า “หิมะหยุดตกแล้ว เหล่าหู พวกเราเข้าไปในภูเขากันเถอะ จะว่าไปรสชาติของนกบ่นนั่นก็ไม่เลว!”
เยี่ยเทียนกินอะไรปกติจะแค่เพียงให้ตัวเองอิ่มเท่านั้น แต่วันนั้นหลังจากลองน้ำแกงนกบ่นแล้ว ถึงได้รู้ว่าอะไรคือคำว่าเลิศรส เมื่อก่อนที่เคยกินเป่าฮื้อ หูฉลามนั่นเป็นอาหารขยะไปเลย
“ได้ ฉันนำทางให้นายไกลหน่อย เดินข้ามยอดเขาไปสามยอดมีป่าเก่าแก่อยู่ที่นั่นมีนกบ่นไม่น้อย รับรองว่านายอิ่มท้องแน่!”
หูหงเต๋อฉีกยิ้มออกมา คำพูดนี้ของเขาหากดังไปเข้าหูของหน่วยพิทักษ์สัตว์แล้วล่ะก็ แม้แต่สอบปากคำก็คงไม่ต้องสอบแล้ว ตัดสินจำคุกหลายปีได้เลย
ต้องทราบก่อนว่า มังกรบินนั้นชื่อทางวิทยาศาสตร์คือนกบ่น เป็นสัตว์สงวนลำดับที่หนึ่งของประเทศ ถึงแม้จะอยู่ที่ภูเขาฉางไป๋ซานและต้าซิ่งอันหลิง แต่ก็มีน้อยมากจนแทบสูญพันธ์ ระดับความสำคัญไม่ด้อยไปกว่าเสือเบงกอล
“เยี่ยเทียน ไปฉางไป๋ซาน พวกเราก็จะไปด้วย!”
“ได้ ฉันพาพวกเธอไป บนภูเขามีอะไรให้เล่นสนุกๆ มากมายเลยล่ะ!”
เยี่ยเทียนจะออกไปกล่าวแบบนี้ หยูชิงหย่าและเว่ยหรงหรงก็พลันตื่นเต้นไปด้วย หูเสี่ยวเซียนก็โวยวายว่าจะนำทางให้พวกเขา เธอป่วยครานี้ ก็ทำให้หัวหน้าแผนกตกใจไม่น้อย รีบให้เธอหยุดยาวสามเดือน
“เฮ้อ พวกคุณล้วนได้ไปเที่ยว แต่ฉันยังต้องทำงาน!” ในบรรดาสาวๆ ก็มีเฉียนเสี่ยวจิ้งที่ไม่มีเวลา พอได้ยินว่าจะไปฉางไป๋ซาน พลันก็หน้างอขึ้นมา
“เสี่ยวจิ้ง เธอวางใจได้ ฉันจะเป็นไกด์นำทางเป็นอย่างดี” หูเสี่ยวเซียนก็เป็นคนที่พอหายเจ็บก็หาเรื่องใส่ตัว ตอนนี้ในหัวเต็มไปด้วยภาพการไปปั้นหิมะเล่นสงครามหิมะกันแล้ว
“เหลวไหล บนภูเขานั่นมีอะไรน่าสนุกกัน อากาศเย็นขนาดนี้เที่ยวซนไปทั่วได้ยังไง เสี่ยวเซียน อาการป่วยของเธอยังไม่หายดีนะ” ได้ยินเสียตะโกนของลูกสาว หูต้าจวินก็ไม่สบายใจ หากไม่เป็นเพราะเข้าไปในฉางไป๋ซานหาข่าว จะประสบกับเรื่องอะไรพวกนี้ได้ยังไง
“คุณตา” หูเสี่ยวเซียนกลัวพ่อ แต่เธอรู้ว่า ในบ้านของเธอนั้น อะไรที่เป็นของแก้กัน
แน่นอนว่า พอเสียงของหูเสี่ยวเซียนตะโกนออกมา หูหงเต๋อก็ถลึงตาขึ้นมา “ฉางไป๋ซานมีอะไรเหรอ นายเองฉันก็เลี้ยงให้โตมาที่ฉางไป๋ซาน เสี่ยวเซียน ไปกับตา!”
“ได้ พวกเธอก็ระวังตัว พ่อ ดูแลพวกเธอให้ดี!” หูเทียนจวินส่ายหัวอย่างไม่มีทางสู้ พ่อของเขาคนนี้ขึ้นชื่อเรื่องไม่มีเหตุผล หากตัดสินใจแล้ว ใครจะว่าอะไรก็ไม่ฟัง
“รู้แล้วน่า เสี่ยวเซียนตั้งแต่เด็กก็ติดตามฉันมาตลอด ก็ไม่เห็นว่าจะมีปัญหาอะไร นี่แค่ไปทำงานไม่กี่วัน ก็เกิดเรื่อง เป็นเพราะพวกนายดูแลไม่ดี!”
หูหงเต๋อกล่าวตอบลูกชายไปอย่างรำคาญ และแว้งต่อยไปหมัดหนึ่ง ทำให้หูเทียนจวินโมโหจนเดินเข้าไปในห้องหนังสือ มีพ่อที่เป็นแรร์ไอเทมขนาดนี้ เขาไม่มีแรงโมโหแล้ว
แต่ว่าถึงแม้จะโมโห หูเทียนจวินก็รียกรถของตัวเองให้ไปส่งพ่อและลูกสาว หลายวันมานี้หิมะตกจนจับเป็นน้ำแข็ง ขับรถบนถนนแบบนี้ อันตรายกว่าขับตอนหิมะตกอีก
ทางพื้นที่ตะวันออกเฉียงเหนือนี่ในหน้าหนาวมืดเร็ว ในตอนที่เยี่ยเทียนมาถึงบ้านของหูเสี่ยวเซียนก็เป็นตอนบ่ายแล้ว เมื่อไปถึงศูนย์วิจัยพันธ์พืชก็มืดสนิทแล้ว
หูหงเต๋อก็ไม่ใช่คนที่ไม่รู้จักลิมิต เขารู้ดีว่าพวกสาวๆ ไม่เหมือนเขากับเยี่ยเทียน เดินมืดๆ ขึ้นเขานั้นอันตรายมาก ในตอนนั้นจึงได้พักอยู่ที่ศูนย์วิจัยพันธ์พืชนั่น
ในตอนที่หูเสี่ยวเซียนเรียนอยู่ชั้นประถมก็เรียนอยู่ที่ศูนย์วิจัยพันธ์พืชกับเพื่อน ดังนั้นพนักงานที่ศูนย์วิจัยพันธ์พืชล้วนให้เธอเป็นความภูมิใจของลานป่าแห่งนี้ แล้วจะยังมีเด็กฮว๋าชิงอีกสองคน ทั้งลานป่าก็ครึกครื้นขึ้นมา
พอทำความสะอาดสนามกีฬาที่ศูนย์วิจัยพันธ์พืชเสร็จ ก็ได้จัดงานเลี้ยงรอบกองไฟที่ครึกครื้นขึ้นมา ถึงแม้ไม่ได้รสชาติดีเท่ากับนกบ่น แต่เนื้อหมู เนื้อแกะที่ย่างจนกรอบเหลืองก็ทำให้ทุกคนกินกันอย่างราบคาบ
เช้าวันที่สอง หยูชิงหย่าก็ออกจากศูนย์วิจัยพันธ์พืช ปีนถนนบนเขาอยู่ชั่วโมงกว่า ในที่สุดก็มาถึงกระท่อมไม้ของหูหงเต๋อ คนที่ออกมาต้อนรับพวกเขากลับเป็นสุนัขตัวนั้น
“สวยมาก ราวกับนิยายเลย!”
เห็นวิวหิมะตกเต็มภูเขา หยูชิงหย่าและเว่ยหรงหรงล้วนแล้วแต่เหมือนกับเยี่ยเทียนเมื่อก่อน ทั้งสองต่างตกตะลึง โลกที่เต็มไปด้วยหิมะทำให้คนรู้สึกตกตะลึง เดี๋ยวจะหาที่ที่ฮวงจุ้ยดี ๆ แล้วก็จะสร้างกระท่อมไม้หลายหลัง อีกหน่อยพวกเราก็มาพักที่นี่กันเป็นยังไง”
“ได้ อย่าไปยืนหวานกันอยู่นั่นเลย เห็นพวกเราเป็นอากาศธาตุเหรอไง” หูเสี่ยวเซียนและเว่ยหรงหรงทำท่าอยากจะอ้วกขึ้นมา ดึงหยูชิงหย่าไปเล่นหิมะ
“พูดความจริงทำไมไม่มีใครฟังล่ะ”
เยี่ยเทียนหัวเราะแกนแกนโครงหัว ตั้งแต่ที่เขารู้สึกว่าอากาศเย็นเยือกนี้ช่วยในประสามการรับรู้ของเขา เยี่ยเทียนก็เกิดความคิดที่จะอาศัยอยู่ที่ฉางไป๋ซานขึ้นมาพักหนึ่ง
“ภูเขาฉางไป๋ซานถูกขนานนามว่าเป็นภูเขาที่สองเทือกเขามาบรรจบกัน หากว่าสามารถหาชีพจรมังกรสร้างค่ายกล ต่อให้เป็นเรื่อนที่ประสานที่ปักกิ่งก็ไม่สู้ที่นี่…” ในใจของเยี่ยเทียนชั่งน้ำหนัก คิดว่าความคิดนี้ของตัวเองไม่เลว
“ปึก!” ก้อนหิมะก้อนหนึ่งลอยมากระทบกับศรีษะของเยี่ยเทียนที่กำลังใช้ความคิด เงยหน้าขึ้นไปมอง ก็เห็นหยูชิงหย่ากำลังหัวเราะอย่างทะเล้นมาทางตัวเอง
“ได้ กล้าลอบโจมตีฉัน รับลูกกระสุนฉันให้ดี!” เห็นสาวๆ เล่นสนุกมีความสุข เยี่ยเทียนจิตใจก็กลับเป็นเด็กอีกครั้ง ปั้นหิมะบนเขาเป็นก้อนได้ก็โยนออกไป
แต่ที่เยี่ยเทียนไม่รู้ก็คือ หูหงเต๋อตาแก่นั้นก็พลันเข้ามาร่วมด้วย เยี่ยเทียนที่ถูกทำให้ไม่สบอารมณ์ก็ถูกลูกบอกหิมะที่แฝงพลังเอาไว้สามลูกจนต้องกลับเข้ากระท่อมไป
คืนนั้นสามสาวพักกันอยู่ที่ในห้องของหูเสี่ยวเซียน เยี่ยเทียนกลับต้องมานอนที่ห้องเก็บของ ห้องที่ไม่มีเตาผิงหนาวเหน็บจนผิดปกติ นอกจากเยี่ยเทียนแล้วใครก็อยู่ไม่ได้
แต่นี่ก็ทำให้เยี่ยเทียนได้ผ่อนคลาย เขากลัวจริงๆ ว่าตอนที่ตัวเองเข้าป่าไปเก็บโสมกับเหล่าหู สาวๆ พวกนี้ตามเข้าไปด้วย นั่นเรื่องใหญ่แน่
อยู่ที่เมืองหนึ่งวัน วันที่สองตอนเช้าเยี่ยเทียนและหูหงเต๋อก็กลับมาที่ฉางไป๋ซาน เยี่ยเทียนกินโสมไปไม่น้อย แต่ยังไม่เคยได้เก็บโสมสดมาก่อน ดังนั้นการไปที่ป่าในครั้งนี้ก็มีความคาดหวังอยู่บ้าง
“เหล่าหู พกอะไรเยอะแยะทำไมกัน” เห็นหูหงเต๋อเอาเหล้า เตาและหม้อเหล็กห่อเป็นก้อนยัดใส่กระเป๋า เยี่ยเทียนก็รออย่างรำคาญขึ้นมาบ้าง
หูหงเต๋อส่ายหัว สีหน้าเคร่งขรึมกล่าวว่า “เยี่ยเทียน พวกเราเข้าไปในเขารอบนี้ ไม่แน่ว่าอาจจะต้องอยู่สิบกว่าวันหรือครึ่งเดือน ไม่เตรียมของให้พร้อมนั่นไม่ได้!”
สำหรับคนเก็บโสมแล้ว ภูเขาฉางไป๋ซานในหน้าหนาวนั้นเป็นเขตต้องห้าม มีเพียงหูหงเต๋อคนนี้ทีกล้าเข้าไปในเขตภูเขาฉางไป๋ซานตอนหน้าหนาว
แต่แม้แต่แขกประจำอย่างหูหงเต๋อ ก็ไม่กล้าที่จะประมาทแม้แต่น้อย อยู่ในป่าดงพงไพรที่กว้างสุดลูกหูลูกตาแห่งนี้ ความประมาทแม้เพียงนิดเดียว ทำให้เสียชิวิตได้
“นายสะพายปืน กระเป๋าอันนั้นมาให้ฉันแบกแล้วกัน” ไม่ง่ายที่จะรอหูหงเต๋อเก็บของเสร็จ เยี่ยเทียนก็เอากระเป๋าที่สูงเกือบเอวยกขึ้นมา
“เยี่ยเทียน หากว่านายเป็นคนเก็บโสมที่ฉางไป๋ซานนี่ แน่นอนว่าต้องแบบนี้!”
เห็นกระเป๋าที่หนักเกือบร้อยโลอยู่ในมือของเยี่ยเทียนเบาราวไม่มีของ หูหงเต๋อก็อดไม่ได้ที่ชูนิ้วโป้งขึ้นมา คนเก็บโสมต้องการคนที่แข็งแรง
“ฉันไม่อยากแย่งอาชีพนาย เหล่าหู ไป เข้าไปในภูเขากัน!” ถูกหูหงเต๋อคนตรงประจบเข้าซึ่งหน้า เยี่ยเทียนก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา เสียงหัวเราะกระเทือนไปถึงต้นไม้ที่มีหิมะด้านบนร่วงตกลงมากันเกรียวกราว
ภาพเทือกเขาฉางไป๋ซานสำหรับหูหงเต๋อแล้วก็เหมือนกับสวนดอกไม้หลังบ้านไม่แตกต่างกันเท่าไหร่
แต่เยี่ยเทียนนั้นเป็นคนที่ความสามารถสูงและมีความกล้า ในสภาพแวดล้อมที่โหดร้ายขนาดไหนไม่ใช่ปัญหา ทั้งสองคนก้าวเดินอย่างรวดเร็ว เมื่อถึงตอนกลางวันก็เลยบริเวณที่เก็บดอกแอสเตอร์ไปแล้ว
สถานที่นี้ห่างจากภูเขาฉางไป๋ซานอีกสองยอดเขา ก็จะถึงบริเวณที่ลึกของเทือกเขาฉางไป๋ซานแล้ว นอกจากคนที่มีประสบการณ์เก็บโสมแล้วก็ถือว่าเป็นเขตต้องห้ามสำหรับคนทั่วไป
“รอก่อน เยี่ยเทียน ตรงนี้มีโสมป่าอายุห้าสิบปีอยู่ต้นหนึ่ง” ในตอนที่เดินผ่านป่ารกไปนั้น หงหูเต๋อพลันหยุดเดินยืนอยู่กับที่
ตอนที่ 413 เก็บโสม (1)
โดย
Ink Stone_Fantasy
“นี่คือโสมเหรอ”
เยี่ยเทียนตะลึงงั้นไป นี่เป็นตีนเขา เต็มไปด้วยต้นหน้าเตี้ยๆ สถานที่เปิดโล่งเป็นอย่างมาก หากว่ามีต้นโสมจริงก็คงถูกคนเด็ดไปตั้งนานแล้ว
“ใช่ เป็นที่นี่แหละ” หูหงเต๋อพยักหน้า กล่าวอย่างมั่นใจว่า “ปีก่อนฉันเจอ ต้นนี้รอบปีไม่พอ เลยทิ้งเอาไว้”
“บริเวณนี้ห่างจากด้านนอกเพียงสองยอดเขา มีคนเจอไม่เก็บไปแล้วเหรอ”
เยี่ยเทียนสอบถามอย่างนึกสงสัยอยู่ในใจ และตัวเขาเองคิดมาตลอดว่าโสมนั้นอยู่บนหน้าผาสูงชัน คิดไม่ถึงว่าจะมาเจอต้นโสมป่าง่ายๆ แบบนี้
ต้องทราบก่อนว่า เยี่ยเทียนตอนที่อยู่ในร้านยาในตลาดที่เหอเป่ยนั้น ต้นโสมป่าต้นหนึ่งนั้นยากที่จะพบได้จริงๆ อย่าว่าแต่ต้นโสมร้อยปีเลย แค่อายุสิบปีก็ถูกพวกร้านรวงทำเป็นสมบัติล้ำค่าของร้าน
หลังจากได้ฟังคำของเยี่ยเทียน หูหงเต๋อสีหน้าก็แสดงความภูมิใจออกมา กล่าวว่า “พวกเพื่อนร่วมวงการรู้ดีว่าสถานที่นี้เป็นพื้นที่ของฉัน พวกเขาต่อให้เดินมาถึงที่นี่ ก็จะไม่แตะต้องไม้ซักผ้าที่ฉันเก็บเอาไว้!”
“ขุดเขา มันคืออะไร” เยี่ยเทียนได้ยินคำที่ตัวเองไม่เข้าใจอีกแล้ว
“ขุดโสมป่า นั่นก็คือขุดเขา พวกนั้นกลัวว่าเข้าไปในเขาแล้วจะเกิดเรื่อง ดังนั้นจึงมาเป็นพวกเจ็ดแปดคน โดยหนึ่งในนั้นเป็นคนนำทาง เรียกว่าต้นทาง…”
ในตอนหงหูเต๋อยังหนุ่มนั้น เขาก็เคยเข้ามาขุดเขา ต่อมาตัวเขาเองก็จับต้นชนปลายได้ประสบการณ์ขุดโสมในหน้าหนาว จึงได้เปลี่ยนเป็นเข้าภูเขามาคนเดียว ดังนั้นสำหรับการขุดเขาแล้ว เขามีความเข้าใจเป็นอย่างมาก
การกระทำของคนขุดเขาแต่ละอย่าง ในสายตาคนนอกเต็มไปด้วยความแปลกใหม่ แต่ว่าการกระทำพวกนี้ กลับมีประโยชน์ที่ใช้ได้จริงอยู่
ก่อนขุดเขา คนขุดจะต้องถากทางให้โล่ง ใช้ท่อนไม้ถางหญ้าให้เตียน เดิมหาไปตามตีนเขาขึ้นไปถึงเนิน นี่เรียกว่า “ย่ำเขา” อีกวิธีหนึ่งคือ “ถอนเขา” ก็คือการที่หลายคนแบ่งกันออกปูพรมหา ใช้การตีแท่งไม้เป็นการส่งสัญญาณ
แต่ไม่ว่าวิธีไหน จะต้องห้ามพูดจา ยิ่งกว่านั้นคือห้ามทาน ตามการเล่าขนาของคนขุดเขา หากว่าทำให้คนที่สวมผ้าเตี่ยวแดงตกใจ โสมก็จะวิ่งหนีไป
แต่หลักการจริงๆแล้วก็คือเพราะการหาโสมนั้นจะต้องใช้สมาธิ การพูดคุย กินอาหารเป็นการรบกวนสมาธิ แล้วยัง หากโหวกเหวกเสียงดังบนภูเขา มักจะเกิดเสียงสะท้อนทำให้หลงทาง
ใครเจอต้นโสม จะรีบเอาท่อนไม้เสียบปักบนพื้น ใช้เส้นสีแดงที่พันเงินโบราณพันด้านบนของโสม และด้านล่างปูผ้าสีแดงรองไว้ ตามคำบอกเล่า ต้นโสมเด็กมีความสามรถในการกระโดดจากพื้นดิน หากมัดด้ายแดงไว้ก็จะหนีไม่ได้
จริงๆแล้ว การพันด้ายแดงก็เพื่อให้สะดุดตา เพราะต้นโสมโตในแถบหญ้าวัชพืช หากไม่ระวังเหยีบเละ จึงได้พันด้านแดงไว้ สีแดงและเขียวตัดดัน ทำให้มองเห็นได้ง่าย
สำหรับการเอาผ้าแดงปูพื้น ก็เพื่อว่ารองรัลเมล็ดของต้นโสมที่ตกหล่นได้ง่าย ของนี่ก็มีมูลค่ามาก เป็นยาที่ช่วยให้มีบุตรได้ง่าย ทำทั้งหมดนี้แล้ว หากมีโชคเจอต้นโสมแล้วก็ตะโกนว่า “ท่อนไม้!”
จากนั้นพวกที่มาก็จะถาม “เป็นของอะไร” กล่าวตอบ “ห้าใบ!” เมื่อทั้งหมดได้ฟังก็จะกล่าวว่า “รีบจัดการ!” เร็ว ก็หมายถึงรีบ จัดการ ก็คือได้ตามที่ต้องการ นี่เป็นศัพท์เฉพาะของพื้นที่ฉางไป๋ซานแถบนี้
“ฉันได้ยินแบบนี้แล้วรู้สึกว่าเหมือนเป็นรหัสลับของพวกโจรภูเขา อะไรคือห้าใบกัน” เยี่ยเทียนรู้สึกสงสัยมองไปที่หงหูเต๋ออย่างสงสัย หัวเราะกล่าวว่า “เหล่าหู นี่คงไม่ได้เป็นคำพูดของโลกมืดที่นายเรียนตอนอยู่บนหุบเขาหรอกนะ”
“เฮ้ย นายไม่ใช่ว่าเคยซื้อโสมเหรอ ทำไมแม้แต่ระดับของโสมถึงไม่เข้าใจ ” หูหงเต๋อคนไม่สนเหตุผลเจอกับเยี่ยเทียนก็หมดหนทาง ได้แต่อดทนอธิบายลักษณะพิเศษของโสมให้เยี่ยเทียนฟัง
เดิมที โสมที่โตเองในป่าเมื่อโตได้ 1-5 ปีพ้นพื้นดินออกมาจากเป็นต้นที่มีสองใบ เรียกว่า “ซานฮวา” 5-10 ปี จะโตออกมาเป็นต้นเต็มวัยมีใบห้าใบซ้อนกันออกมา เรียกว่า “ฝ่ามือ”
แต่หลังจากอายุได้ 10-20 ปีแล้วนั้น ต้นโสมถึงจะโตเท่าสองฝ่ามือและใบซ้อน คนขุดเขาเรียกว่า “กุญแจประตูเขา” หากเจอต้นเล็กแล้วก็จะมั่นใจได้แน่ว่าจะต้องมีเบาแสะของต้นโสมแบบกันอีกมาก รอบด้านนั้นอาจจะมี “ท่อนไม้” อยู่เยอะมากมาย
ต้นโสมที่อายุ 30 ปี จะโตประมาณสามฝ่ามือมีใบซ้อนกัน เรียกว่า “โคมไฟ” หาก 50 ปีเรียกว่า “สี่ใบ” โสมที่ออกใบซ้อนได้สี่ใบนั้นอายุ 50-80 ปีทั้งนั้น
หากโตมีลักษณะห้าฝ่ามือนั้นก็คือที่หูหงเต๋อกล่าวเมื่อซักครู่ “ห้าใบ” นั้นแหละ
โสมห้าใบนั้นอายุมากกว่า 80 ปี ที่ฉางไป๋ซานแห่งนี้หาได้ยากแล้ว คนขุดเขาจะเรียกว่า “หนึ่งกอง” หากมองให้ดีจะเห็นต้นโสมเล็กๆ น้อยๆ ขึ้นอยู่โดยรอบ เป็นรุ่นลูกหลานอายุ 60 -70 ปี และก็มีรุ่นเหลน 30-40 ปีขึ้นอยู่ด้วย
สำหรับ “หกใบ” นั้น อายุของโสมมากกว่า 100 ปีขึ้นไป เป็นของหายาก เรียกว่าเป็นสมบัติของประเทศ คนขุดเขาเรียกว่า “หนึ่งบริเวณ” ความหมายก็คือหากเห็นโสมแก่ขนาดนี้ เนินเขาทั้งแถบก็จะมีรุ่นหลานอยู่เต็มไปหมดเหมือนเป็นตระกูลตระกูลหนึ่ง
ตอนนี้คนที่เก็บต้นโสมมาติดต่อกันสามารถขึ้นมาถึงบริเวณหน้าผาชันของภูเขาได้ ก็ไม่มีหกใบให้เห็นแม้แต่น้อย นี่เป็นโสมที่เรียกได้ว่าระดับสูงสุดในยุคปัจจุบันแล้ว อย่างในตำนานที่ว่ามีเจ็ดใบ แม้แต่หงหูเต๋อก็ไม่เคยเห็นมาก่อน
“เหล่าหู นายว่านี่มีอายุ 50 ปี นั่นไม่เรียกว่าสี่ใบเหรอ” เยี่ยเทียนเรียนรู้ได้เร็ว รีบกล่าวต่อ “รีบบอกมา ให้ฉันได้ดูว่าสี่ใบเป็นยังไง”
“ฉันจะบอกว่า นี่มันหน้าหนาวจะมีใบที่ไหนล่ะ” โสมกับหมีดำเหมือนกัน หน้าหนาวจำศีล!” หงหูเต๋อไม่รู้ว่าที่ตัวเองพาเยี่ยนเทียนมาในเขานี่ด้วยผิดหรือถูก เจ้าเด็กคนนี้ความรู้เกี่ยวกับโสมไม่มีแม้แต่น้อย
โสมป่าทุกปีรอบการโตจะสั้นมาก ในหนึ่งปีเดือน 6 7 และ 8 นั้นจะโตได้ดีที่สุด กลางเดือน 9 มีหิมะแรก จนถึงกลางเดือน 5 หมดหิมะ จำศีลยาวนานราว 240 วัน
รอบการโตสั้นแบบนี้ ทำให้โสมป่าแต่ละปีมีน้ำหนักเพิ่มราว 1 กรัม โดยประมาณ หากเจอกับปีสภาพอากาศไม่ดี กลับจะกลายเป็นคายน้ำหดลงไปอีก ที่คือเหตุผลที่ทำไมโสมป่าถึงได้มีมูลค่ามากอีกเหตุผลหนึ่ง
เยี่ยเทียนเมื่อไม่ฟังว่าไม่เจอสี่ใบแล้ว ก็รู้สึกหายตตื่นเต้น กล่าวว่า “พอแล้ว ขุดเอาต้นที่ห้าสิบปีนี่ออกมาก่อนไป เค้าว่ากันว่าเอาโสมป่ามาต้มซุบนั้นหอมมาก!”
หูหงเต๋รู้สึกสงสัยกล่าวว่า “เยี่ยเทียน สี่ใบนี่ยังสามารถโตได้อีก ไม่งั้น ฉันพานายไปขุดต้นหกใบดีมั๊ย นั่นก็น่าจะขุดออกมาได้แล้ว”
“อย่าว่ากันนะ เหล่าหู ต่อให้มันสามารถโตเป็นต้นห้าใบได้ จะว่าไปแล้วนายยังอยู่ได้กี่ปีกันล่ะ ของพวกนี้นายไม่ขุดออกมาก็ถูกคนอื่นขุดไปอยู่ดี!”
หลังจากได้ฟังหูหงเต๋อแล้ว เยี่ยเทียนก็ส่ายหัว คิดว่าในตอนนั้นที่เขาอยู่ที่ตลาดยาแม้แต่ต้นโสมอายุสามสิบปียังไม่มีปัญญาซื้อ ตรงหน้าเขานี้มีอายุ 50 ปี เยี่ยเทียนจะปล่อยไปได้ยังไง
“ได้ นายอยากให้ขุดเราก็จะขุด!”
หงหูเต๋อหัวเราะแค่นๆ ยังดีที่เยี่ยเทียนไม่รู้จักการแยกโสม มิเช่นนั้นหากเขามาขุดโสม นั่นต้องเป็นคราวซวยครั้งใหญ่ของเขาฉางไป๋ซานแน่นอน หรือบางทีโสม เขากวางกำมะหยี่และมาร์เทินของมีค่าสามอย่างที่ฉางไป๋ซานที่หนึ่งในนั้นก็คือโสม คงจะต้องสูญพันธ์เป็นแน่แท้
โสมอายุ 50 ปี อยู่ในสภาพที่ขุดได้แล้ว หูหงเต๋อก็ไม่ได้อิดออด ในตอนนั้นก็นั่งคุกเข่าลงกวาดหิมะด้านหน้าออกไป
“นี่คือที่นายเก็บเอาไว้เหรอ” เยี่ยเทียนเห็นที่พื้นหิมะมีตำแหน่งหัวของต้นไม้แห่งโผล่ออกมา มีด้ายแดงมัดอยู่ บนด้ายแดงนั้นยังมีเงินทองแดงแขวนอยู่
“ใช่ ด้านบนนี้มีสัญลักษณ์ของฉันอยู่ คนที่เห็นจะรู้ว่าต้องเก็บเอาไว้ให้ฉัน”
หูหงเต๋อเอาด้ายแดงออกมาส่งให้เยี่ยเทียน เยี่ยเทียนหยิบมาดู ชื่อที่อยู่บนเหรียญทองแดงนี้ถูกเลือนไปแล้ว จากนั้นใช้มีดแกะสลักบนเหรียญให้เป็นตัวอักษร “หู”
ตอนที่เก็บต้นสนไม่ใช่ว่าจะต้องผูกเอาไว้ที่ต้นสนเหรอ นายเอาเชือกผูกไว้ที่ต้นไม้ทำไม” เยี่ยเทียนเริ่มไม่เข้าใจ
“หน้าหนาวนี้ใบต้นของโสมจะเหี่ยวแห้ง ฉันจะไปหาที่ไหนมาให้ล่ะ” หูหงเต๋อปวดหัวกับคำถามของเยี่ยเทียนมาก ความรู้ที่เด็กแปดขวบบนฉางไป๋ซานรู้โดยทั่วกัน เยี่ยเทียนกลับไม่เข้าใจ
“อ้อ งั้นทำตามที่นายบอก โสมนี่ก็อยู่ใกล้ๆ นี้แหละนะ”
ได้ฟังหงหูเต๋อกล่าวแบบนี้ เยี่ยเทียนก็เข้าใจขึ้นมา พลันในใจก็สั่นไหว ปล่อยพลังเทพออกมา ต้นโสมนี้เป็นแท่งที่รวมเอาพลังดีของแผ่นดินไว้ บางทีตัวเขาเองอาจจะสัมผัสได้
“อืม นับว่าหาจนเจอ” เมื่อซักครู่ปล่อยพลัง เยี่ยเทียนก็รู้สึกว่าห่างจากเท้าซ้ายเขาไปประมาณสามสิบเซ็นใต้พื้น มีหลิงชี่ห่ออยู่รอบๆ
“เหล่าหู โสมอยู่ตรงนี้” เยี่ยเทียนี้ไปตรงที่ผืนนั้น
“หือ นายรู้ได้ยังไง” หูหงเต๋อกล่าวจบก็ชะงักไป ยื่นมือออกไปที่กระเป๋าที่เยี่ยเทียนสะพายอยู่ หยิบถุงบุหรี่เก่าของเขาออกมา
“ฉันบอกไปนายก็เรียนไม่ได้อยู่ดี เหล่าหู รอก่อนเถอะ ฉันจะหาเจ็ดใบออกมาให้นายดู!”
พบว่าพลังเทพมีประโยชน์อย่างนี้ เยี่ยเทียนก็ดีใจเป็นอย่างมาก ถึงแม้ว่าพลังภายในเขาจะอ่อน พลังแทพสามารถสัมผัสของภายในระยะประมาณสิบเมตรเท่านั้น แต่หากว่าโชคดี ไม่แน่ว่าอาจจะหาโสมแก่ระดับสุดยอดเจอก็ได้
“ในโลกนี้มีเจ็ดใบที่ไหนกัน” หงหูเต๋อส่ายหัว จุดบุหรี่ขึ้นสูบ
“หากว่าฉันโชคดีเจอเข้าหล่ะ” เยี่ยเทียนผลักหงหูเต๋อ “ตอนนี้จะมาสูบบุหรี่อะไรอยู่ล่ะ รีบลุกขึ้นเราจะได้ไปหาหกใบกัน!”
“ไม่สูบบุหรี่ฉันเกรงว่าจะมือสั่น รอให้ฉันสูบให้หมดซองนี้ก่อนแล้วค่อยขุดขึ้นมา!”
คนขุดเขาก่อนการขุดโสม มักจะสูบบุหรี่หนึ่งซอง นี่เป็นการปล่อยวางความตื่นเต้นในใจ ต้องทราบก่อนว่า หากไม่ระวังไปโดยผิวเปลือก หรือว่าขุดรากต้นโสมขาด น้ำของโสมก็จะออกมา ราคาก็จะลดลงอย่างมาก
หูหงเต๋อตอนหนุ่มก็เป็นคนขุดเขามาก่อน ถึงแม้ว่าต่อมาจะออกมาทำตัวคนเดียว แต่ความคุ้นเคยนี้กลับติดมาด้วย และในตอนหน้าร้อนขุดโสมแมลงเยอะมาก การสูบบุหรี่ก็เป็นการไล่แมลงได้
“เหล่าหู หากว่านายกลัวมือสั่น ให้ฉันทำเถอะงั้น” ภายใต้พลังเทพของเยี่ยเทียน รากของต้นโสมล้วนแต่ปรากฏในสมองของเยี่ยเทียน เขามั่นใจว่าจะไม่ทำให้รากใดรากหนึ่งกระทบกระเทือน
“อย่าน่า เยี่ยเทียน นี่ไม่ได้เรื่องล้อเล่น”
หงหูเต๋อถูกเยี่ยเทียนทำให้ตกใจจนกระโดดขึ้นมาจากพื้น เกือบจะทำบุหรี่ตก โสมป่าอายุ 50 ปีนี้เห็นได้ยากแล้ว หากเอาออกไปขายอย่างน้อยได้ล้านแปด หากว่าถูกเยี่ยเทียนทำให้เสียหายไปนั่นน่าเสียดายขนาดหนัก
ปฏิกิริยาของหูหงเต๋อกลับทำให้เยี่ยเทียนไม่พอใจ กล่าวว่า “เหล่าหู ไม่เชื่อฉันใช่มั๊ย หากว่าเกิดความเสียหายอะไร ฉันจะจ่ายค่าโสมต้นนี้ให้นาย!”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น