หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา 404-407

 บทที่ 404 บันทึกภาพที่เห็นเพียงความมืด…

โดย

Ink Stone_Fantasy

หวังเป่าเล่อยังติดตามสถานการณ์ของตระกูลจั่วจากนครอาวุธเทพใหม่ เขาได้รับข้อความเสียงจากกงเต๋าและได้ทราบว่าเฉินมู่อยู่เบื้องหลังเรื่องราวทั้งหมด!


เฉินมู่ เจ้ากล้าดีเกินไปแล้ว! นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อแข็งกร้าวขึ้นมา ก่อนหน้านี้ชายหนุ่มเพียงรู้สึกไม่ชอบขี้หน้าเฉินมู่ แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นเกลียด เขาจึงทำเพียงกดดันอีกฝ่ายจนยอมแพ้ไปเอง


แต่ตอนนี้ความรู้สึกที่ชายหนุ่มมีต่อเฉินมู่เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง เฉินมู่กล้าดีมาทำร้ายเพื่อนของตน เหมือนดังว่าได้ทิ้งหนามแหลมไว้ภายในจิตใจของเขา ต่อไปเวลาเจอหน้าเฉินมู่เมื่อไหร่ก็คงนึกถึงเหตุการณ์นี้ขึ้นมาอีกครั้ง ทางที่ดีที่สุดในการแก้ปัญหานี้คือกำจัดเจ้านั่นออกจากดาวอังคารไป!


หวังเป่าเล่อยังได้รับข้อความจากกงเต๋าแจ้งว่าจั่วอี้ฟานจะไปฝึกวิชาบนดวงจันทร์ เขาเงียบไปพักหนึ่งเมื่อได้ทราบก่อนจะถอนหายใจออกมา ชายหนุ่มไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้างภายในตระกูลจั่ว แต่ก็เดาได้ว่าจั่วอี้ฟานคงได้รับผลกระทบอย่างหนัก เขาเคารพการตัดสินใจของอีกฝ่าย อย่างไรเสียนี่ก็เป็นยุคกำเนิดวิญญาณ…แม้บนโลกจะมีกฎระเบียบมากมาย แต่หวังเป่าเล่อที่ไต่เต้ามาเป็นขุนนางระดับสามชั้นสูงก็เริ่มจะเข้าใจสิ่งที่ทางสหพันธรัฐให้ค่ามากกว่าสิ่งอื่นๆ นั่นก็คือกฎแห่งความแข็งแกร่ง


ความแข็งแกร่งที่ว่านี้หมายถึงทั้งยศถาบรรดาศักดิ์และระดับการฝึกตน ทั้งสองสิ่งนั้นมีความสัมพันธ์กัน ขาดสิ่งใดไปก็ไม่ได้อีกสิ่งหนึ่ง ใครได้สิ่งแรกมาก่อนก็ย่อมได้สิ่งหลังตามมา


ตามกฎแห่งความแข็งแกร่งแล้ว คนที่แข็งแกร่งย่อมกลืนกินคนที่อ่อนแอ เป็นกฎที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงในจักรวาลแห่งเต๋า!


ระดับการฝึกตนคือทุกสิ่ง! หวังเป่าเล่อสูดหายใจลึก เงยหน้ามองไปทางดวงจันทร์ ผ่านไปสักพักก็หันไปมองทางเขตปกครองตนเองของเฉินมู่ ดวงตาของเขาเริ่มหรี่เล็กลง ปราณมืดจางๆ ที่คนอื่นไม่สามารถสัมผัสได้ฉายแสงขึ้นในแววตาของชายหนุ่ม


อาจเป็นเรื่องบังเอิญ ทว่าจังหวะที่หวังเป่าเล่อหันไปมองทางเขตปกครองตนเอง เฉินมู่ก็พลันเงยหน้าขึ้น เขากัดฟันกรอด จ้องไปทางตึกสำนักงานของหวังเป่าเล่อ ดวงตาขึ้นสีแดงจากเส้นเลือดที่ปูดโปน ใบหน้าเต็มไปด้วยความคลุ้มคลั่ง


“หวังเป่าเล่อ!” เฉินมู่ร้องคำรามลั่น เกือบขยี้แผ่นหยกในมือจนแหลก!


แผ่นหยกในมือของชายหนุ่มเป็นสิ่งที่ได้มาจากข้อตกลงกับจั่วอี้เซียน หลังจากจัดแจงให้คนนำตัวจั่วอี้ฟานไปส่งให้ตระกูลจั่ว อีกฝ่ายก็ส่งแผ่นหยกกลับมา เขาให้คนนำแผ่นหยกฉบับจริงมาส่งให้เพื่อพิสูจน์ว่าไม่ได้ทำสำเนาสำรองเก็บไว้


แผ่นหยกนี้มีบันทึกภาพที่ฝ่ายวินัยอาณานิคมอัดภาพเหตุการณ์ในถ้ำลับของผู้ฝึกตนนอกรีต จั่วอี้เซียนส่งให้ตระกูลช่วยกู้ข้อมูลให้ความเชี่ยวชาญและทรัพยากรที่ตระกูลจั่วมีไม่สามารถกู้ข้อมูลกลับมาได้อย่างสมบูรณ์ แต่ข้อมูลส่วนใหญ่ก็ถูกกู้มาได้


เฉินมู่รีบตรวจดูทันทีที่ได้รับแผ่นหยกมา พอเปิดดูเขาก็แทบคลั่ง ช่วงแรกของบันทึกภาพนั้นฉายภาพต่างๆ ชัดเจน ชายหนุ่มหยุดหายใจเมื่อเห็นภาพใบหน้าอ้วนกลมของหวังเป่าเล่อและสีหน้าราบเรียบของหลี่หว่านเอ๋อร์ ทั้งคู่อยู่ในถ้ำลับกันเพียงลำพัง


เห็นเพียงเท่านี้เขาก็รับไม่ได้แล้ว จากนั้นภาพก็มืดไป มองอะไรไม่เห็นเลยแม้แต่นิด แต่ยังได้ยินเสียงของหวังเป่าเล่อและหลี่หว่านเอ๋อร์!


“หวังเป่าเล่อ ถอดเสื้อผ้าออกเสีย” เส้นเลือดปูดโปนขึ้นบนหน้าผากของเฉินมู่ทันทีที่เขาได้ยินประโยคดังกล่าว แทบจะเก็บงำความเดือดดาลเอาไว้ไม่ไหว เขาจำได้ว่าเป็นเสียงของหลี่หว่านเอ๋อร์


นางแพศยา เจ้าเป็นคนให้ท่าก่อนอย่างนั้นหรือ! เฉินมู่ห้ามตัวเองไม่ให้บดขยี้แผ่นหยกในมือ เขากัดฟันกรอดทนฟังต่อ ไม่นานก็ได้ยินบทสนทนาต่อไปดังขึ้น


“เจ้า…อย่าได้คิดถึงเรื่องพรรค์นั้นสิ เรายังไม่ได้ไปถึงจุดที่ต้องจัดกันสักยกก่อนตายเสียหน่อย”“แล้วอย่างไรต่อ เจ้าจะมา หรือให้ข้าไปหา ระดับการฝึกตนของข้าไม่ได้สูงเช่นเจ้า ข้าเลยมองอะไรไม่ค่อยชัดเท่าไหร่ หาเจ้าไม่เจอ ไม่รู้ว่าตอนนี้เจ้าอยู่ตรงไหน” ประโยคเหล่านี้ฟังดูไม่มีพิษไม่มีภัยอะไรเท่าไร แต่ดวงตาของเฉินมู่ก็ยังแดงก่ำ ประโยคถัดไปทำให้เขาถึงกับร้องคำรามด้วยความเดือดดาล


ประโยคนั่นก็คือ…


“ทีนี้ก็เอาเสื้อผ้ามาคลุมร่างเราไว้”


ฟังดูแล้วไม่ควรคิดอะไรมาก มิเช่นนั้นจะรู้ได้ว่าทั้งสองกำลังเปลือยกายอยู่ ส่วนคำว่า ‘ร่างเรา’ ก็หมายความว่าทั้งสองกำลังอยู่ในอ้อมกอดของกันและกัน…ชายหนุ่มคำรามออกมาด้วยความโกรธ ประโยคถัดมานี่เองที่เป็นจุดจบของทุกอย่าง


“ถ้าเจ้ายังอยากมีร่างกายครบสมบูรณ์ถึงตอนที่มีคนมาช่วยก็จงหยุดมือเสีย!” เฉินมู่ตัวสั่นระริกเมื่อได้ยินถ้อยคำของหลี่หว่านเอ๋อร์ ภาพเหตุการณ์พลันปรากฏขึ้นในหัว หวังเป่าเล่อและหลี่หว่านเอ๋อร์กำลังเปลือยกายกอดกกกันอยู่ จากนั้นชายหนุ่มก็กระทำบางสิ่งที่เกินกว่าจะรับได้ แต่หลี่หว่านเอ๋อร์ก็ดูไม่สะทกสะท้านอะไร เพียงแต่ตอบปฏิเสธไปเฉยๆ


ยังไม่หมดเพียงแค่นั้น หากเหตุการณ์ทั้งหมดจบลงเท่านี้ก็คงจะดี แต่…เนื้อหาบันทึกภาพในแผ่นหยกกลับจบลงดื้อๆ การกู้เนื้อหาทั้งหมดได้อย่างสมบูรณ์เป็นเรื่องยากมาก พวกเขาสามารถกู้ข้อมูลมาได้เพียงเท่านี้ เหตุการณ์ต่อจากนั้นมีเพียงแค่หวังเป่าเล่อและหลี่หว่านเอ๋อร์เท่านั้นที่รู้


บันทึกภาพที่สิ้นสุดเพียงเท่านั้นทิ้งให้เฉินมู่จินตนาการไปต่างๆ นานา เขาโมโหจนแทบจะระเบิด ผ่านไปครู่ใหญ่จึงสงบใจลงได้ แต่ดวงตาของชายหนุ่มนั้นยังคงคุกรุ่นไปด้วยเพลิงแค้น


เขารู้ว่าตอนที่เกิดเหตุการณ์ในบันทึกภาพ ตนและหลี่หว่านเอ๋อร์ยังไม่ได้หมั้นกัน ถึงกระนั้นก็ทำใจรับไม่ได้อยู่ดี ชายหนุ่มเข้าใจว่าทั้งคู่กอดกันเพื่อสร้างความอบอุ่น หากไม่ทำเช่นนั้นอาจจะหนาวจนแข็งตาย แต่เฉินมู่กลับคิดว่าหลี่หว่านเอ๋อร์น่าจะตายไปตั้งแต่ตอนนั้นให้จบๆ จะได้ไม่มาเป็นปัญหาให้กับตนเช่นนี้


ชายหนุ่มไม่ได้สนใจว่าหลี่หว่านเอ๋อร์จะเป็นหรือตาย เขาสนเพียงว่าเหตุการณ์เมื่อครั้งนั้นทำให้ตนต้องอับอาย!


นางแพศยาหลี่หว่านเอ๋อร์ ข้าจะหาทางทำให้เจ้าต้องทุกข์ทรมาน เจ้าไม่กลัวตายใช่ไหม เช่นนั้นข้าจะทำให้เจ้าต้องร้องขอความตายเอง! ส่วนหวังเป่าเล่อ…ไอ้ชายชู้ ระวังตัวไว้ให้ดีเถอะ ถึงข้าจะแตะต้องเจ้าไม่ได้ แต่ข้าก็ทำร้ายคนที่เจ้ารักได้ จั่วอี้ฟานเป็นแค่เหยื่อรายแรก ข้าจะจัดการคนรอบข้างของเจ้าให้หมด!


ชายหนุ่มกัดฟันกรอด เขาเงยหน้าขึ้นจ้องไปทางตึกสำนักงานของศัตรูคู่อาฆาตตาไม่กะพริบ ดวงตาของเฉินมู่และหวังเป่าเล่อเหมือนจะสบประสานกันผ่านตึกรามมากมายที่ตั้งเรียงรายกั้นทั้งสองไว้


  อีกคนที่ต้องประสบปัญหาคือหลี่หว่านเอ๋อร์ ถึงแม้นางจะรำคาญเฉินมู่ แต่การหมั้นของทั้งสองก็ผ่านการตกลงเรียบร้อยแล้ว ไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจอะไรกับเรื่องนี้อีก นางเองก็ต้องลำบากเพราะหวังเป่าเล่อ การสั่งปิดตายเขตปกครองตนเองก่อนหน้านี้ทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองแย่ลงกว่าเก่า เนื่องจากนางไปข่มขู่หวังเป่าเล่อไว้


ขณะที่สายใยความสัมพันธ์ยุ่งเหยิงที่มองไม่เห็นกำลังก่อตัวขึ้นในนครใหม่ หวังเป่าเล่อก็ถอนสายตาออกไป เขาครุ่นคิดสักพักหนึ่งก็ตัดสินใจส่งข้อความเสียงไปหาประมุขสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์เพื่อเตรียมการเผื่อรับมือกับสถานการณ์เลวร้ายที่อาจจะเกิดขึ้น ชายหนุ่มต้องการอำนาจของสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าเพื่อให้มั่นใจว่าครอบครัวของตนจะปลอดภัย


ด้วยสถานะและความสำคัญของเขาต่อสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋า ทำให้มั่นใจได้ว่าพวกเขาจะดูแลรักษาความปลอดภัยของครอบครัวตนเป็นอย่างดี ตอนแรกชายหนุ่มคิดจะส่งคนไปรับบิดามารดามาที่ดาวอังคาร แต่ที่นี่เองก็ไม่ได้ปลอดภัยเต็มที่ ประกอบกับพวกเขาไม่คุ้นชินกับสภาพแวดล้อมบนนี้ หลังจากไตร่ตรองอยู่สักพักหนึ่ง หวังเป่าเล่อก็ล้มเลิกความคิดนี้ไป


ขณะเดียวกัน ประมุขสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ก็กำลังไตร่ตรองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับจั่วอี้ฟาน พอได้เห็นความเด็ดขาดของหวังเป่าเล่อก็ทำให้เห็นจุดอ่อนของตนเอง ในฐานะผู้นำสำนัก เขายังมีความกระตือรือร้นและความเลือดร้อนอยู่ เขาสัญญากับตัวเองว่าจะไม่ให้มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นอีก ถึงเวลาแล้วที่สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์จะต้องแสดงจุดยืนที่เข้มแข็งของตนเอง


หลังจากเหตุการณ์ของจั่วอี้ฟานก็มีมาตรการป้องกันต่างๆ ออกมา หวังเป่าเล่อกลบฝังความรู้สึกที่มีต่อเฉินมู่ไว้ในใจ รู้ดีว่าตนจะต้องจัดการเรื่องนี้ตามกฎระเบียบของสหพันธรัฐ จะทำอะไรวู่วามไปไม่ได้


อีกทั้งยังตระหนักดีว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพราะระดับการฝึกตนของตนยังไม่สูงพอ หากตนอยู่ในขั้นกำเนิดแก่นใน เหตุการณ์ทั้งหมดคงจะไม่เป็นเช่นนี้


ฝึกตน! หวังเป่าเล่อสูดหายใจลึก เดินออกจากตึกสำนักงานกลับที่พักเพื่อเริ่มฝึกวิชา ชายหนุ่มสัมผัสได้ว่าตนใกล้จะบรรลุจากขั้นรากฐานตั้งมั่นชั้นปลายเป็นขั้นรากฐานตั้งมั่นชั้นสมบูรณ์แล้ว


ณ ขณะนั้น ไกลออกไปจากดาวอังคารและระบบสุริยะ ในห้วงอวกาศไร้ขอบเขต โลงศพกำลังเร่งความเร็วราวกับจะเร่งรีบฝ่าเหล่าดวงดารา ห้วงจักรวาลบิดเบี้ยวไปเมื่อโลงศพเคลื่อนตัวผ่าน มันล่องลอยไปในกาลอวกาศ น่าจะอีกหลายร้อยหลายพันปีจึงจะถึงพื้นโลก หรือไม่ก็อาจมาถึงพื้นโลกแล้ว…เมื่อหลายร้อยหลายพันปีก่อน!


  อีกด้านของห้วงอวกาศ ณ จักรวาลที่อยู่ไม่ไกลจากระบบสุริยะ ในกาลอวกาศเดียวกันนี้ มีแมงกะพรุนสีดำลอยตัวไปมาอย่างไร้ทิศทาง หากไม่มีเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้น แมงกะพรุนตัวนั้นน่าจะลอยเฉียดขอบระบบสุริยะไป…


บทที่ 405 คู่ครองของเจ้านครมีแซ่ว่าเจ้าอย่างนั้นหรือ

โดย

Ink Stone_Fantasy

หลังจากเหตุการณ์เรื่องจั่วอี้ฟานจบลง ทุกกลุ่มอำนาจการเมืองในสหพันธรัฐต่างให้ความสำคัญกับดาวรุ่งจากดาวอังคารอย่างหวังเป่าเล่อมากขึ้น พวกเขาตัดสินใจว่าจะไม่ไปทำให้ชายหนุ่มต้องขุ่นเคืองใจ


เฉินมู่วางแผนแก้แค้นไว้แล้ว แต่ทางตระกูลส่งคำเตือนที่เข้มงวดมา บอกให้ชายหนุ่มเจียมตัวในนครแห่งใหม่ และไม่ควรทำอะไรที่จะสร้างความบาดหมางขึ้น


เฉินมู่ยังคงดื้อดึง แต่เส้นสายและอำนาจของตนล้วนมีรากฐานมาจากตระกูลทั้งนั้น เขาได้แต่กล้ำกลืนฝืนทน อดคิดถึงส่วนที่หายไปของบันทึกภาพไม่ได้ ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น แต่ก็ไร้ซึ่งอำนาจจะทำอะไรได้


เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า ทุกอย่างดูสงบสุขดี การก่อสร้างนครแห่งใหม่และเขตปกครองตนเองเป็นไปอย่างราบรื่น มีการปรับปรุงเพื่อเติมจนตัวนครใกล้จะมั่นคงสมบูรณ์ ทางสหพันธรัฐและฝ่ายปกครองอาณานิคมดาวอังคารได้วางแผนขนย้ายประชากรกลุ่มใหม่มายังเขตนครแห่งใหม่


หวังเป่าเล่อตั้งใจจะเก็บตัวฝึกวิชาจนบรรลุจากขั้นรากฐานตั้งมั่นชั้นปลายไปขั้นรากฐานตั้งมั่นชั้นสมบูรณ์ แต่ก็มีเรื่องงานปกครองต่างๆ ให้ต้องจัดการมากมาย แม้จะสามารถแบ่งงานส่วนใหญ่ไปให้เหล่านายกเทศมนตรีจัดการได้ ชายหนุ่มก็ต้องเป็นคนตัดสินใจเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการขนย้ายประชากรกลุ่มใหม่อยู่ดี


สองสัปดาห์ของการถือสันโดษผ่านไป ในที่สุดหวังเป่าเล่อก็ออกจากที่พักในเช้าที่สดใสและมุ่งหน้าไปยังสำนักงานของตน เขาต้องไปจัดการแผนโครงการขนย้ายประชากรต่างๆ กับเหล่านายกเทศมนตรี นอกจากนี้จินตั้วหมิงยังส่งข้อความเสียงมาเมื่อวาน บอกว่ามีเรื่องอยากจะคุยกับชายหนุ่มหลังจากจบการประชุม


ชายหนุ่มเดินออกจากที่พักมาพบฟ้าโปร่งใส แดดอ่อนๆ ฉายแสงสาดส่อง แต่ก็มีลมเย็นพัดผ่านจนหนาวไปถึงกระดูก ฤดูหนาวกำลังจะมาเยือนดาวอังคาร


หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ถึงลมเย็นที่พัดผ่าน เขาหันมองเหล่าผู้ฝึกตนที่ประจำการในเขตที่พักคอยป้องกันตรวจตราบริเวณรอบๆ กำลังเดินมาไกลๆ ชายหนุ่มจ้องอยู่จนกระทั่งพวกเขาหันมาพบ เหล่าผู้ฝึกตนหยุดเดินและทำความเคารพเขาทันใด หวังเป่าเล่อรู้สึกเอ่อล้นในใจ


ไม่ทันไรเขาก็อาศัยบนดาวอังคารมาเกินหนึ่งปีแล้ว มีอะไรมากมายเกิดขึ้นในช่วงเวลานี้ ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาเมื่อนึกย้อนถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น


ข้าเริ่มมีอายุแล้วสินะ หวังเป่าเล่อตบพุงตัวเอง คิดในใจว่าตนย่างเข้าสู่ช่วงวัยยี่สิบแล้ว เขาได้แต่นึกเสียดายว่าเวลาช่างผ่านไปรวดเร็ว ชีวิตคนเราช่างเหมือนความฝัน…


ระหว่างที่กำลังจมอยู่กับห้วงความคิด ขณะที่ชายหนุ่มกำลังจะหยิบเรือบินออกมาที่ด้านหน้าที่พักก็สัมผัสได้ว่ามีใครบางคนกำลังจ้องมองมา เขาหันกลับไปมองด้วยสีหน้าประหลาดใจ


เบื้องหลังของเขา หรือระบุให้แน่ชัดก็คือที่พักหลังข้างๆ ประตูหน้าตำหนักเพิ่งจะเปิดออก หลี่หว่านเอ๋อร์ในเครื่องแบบเดินออกมา นางมองไปทางหวังเป่าเล่อก่อนจะขมวดคิ้ว จากนั้นก็เดินผ่านไปด้วยสีหน้าราบเรียบ


บริเวณที่หวังเป่าเล่ออาศัยอยู่นั้นเป็นเขตพำนักพิเศษของนครใหม่ที่ให้คนในตำแหน่งนายกเทศมนตรีขึ้นไปอยู่อาศัย แต่กงเต๋าและคนอื่นๆ มักจะพำนักอยู่ประจำเขตดูแลของตน ทำให้พื้นที่บริเวณนี้มักไม่ค่อยมีใคร มีเพียงหลี่หว่านเอ๋อร์เท่านั้นที่อาศัยอยู่ที่นี่หลังจากมาถึงนครใหม่


หวังเป่าเล่อกลับมาที่พักเป็นครั้งคราวเมื่อต้องการถือสันโดษหรือหลอมวัตถุเวท และนี่เป็นครั้งแรกที่ทั้งสองเจอหน้ากันที่นี่ ชายหนุ่มนิ่งอึ้งไปเมื่อได้รู้ว่าหลี่หว่านเอ๋อร์พักอยู่ข้างตำหนักที่พักของตัวเอง


หวังเป่าเล่อมองหลี่หว่านเอ๋อร์เดินผ่านไปเงียบๆ หลี่หว่านเอ๋อร์เองก็ไม่ได้พูดอะไรเช่นกัน เหมือนนางจะไม่สนใจว่าชายหนุ่มอยู่ตรงนั้นขณะที่หยิบเรือบินออกมาและเตรียมตัวขับออกไป


หวังเป่าเล่อไม่ได้ใส่ใจท่าทีของหลี่หว่านเอ๋อร์ เพราะเฉินมู่ นางจึงมาขู่เข็ญเขาถึงสองครั้ง คนทั้งคู่ไม่ได้เกลียดกัน แต่ความสัมพันธ์ของพวกเขาก็ช่างห่างเหินและเย็นชา


ความบาดหมางระหว่างกันไม่ได้หยุดหวังเป่าเล่อให้มองหลี่หว่านเอ๋อร์ด้วยแววตารู้สึกผิด เขามองไล่หลังนางเดินขึ้นเรือบินไป


ชายหนุ่มจ้องมองเรือบินลำคุ้นเคยด้วยความรู้สึกผิดที่อัดแน่นในอก เขาเคยขึ้นเรือบินลำนั้น ยังจำได้ว่าภายในตกแต่งอย่างดงาม มีเก้าอี้นุ่มสบายให้นั่ง


น่าเสียดายจริงๆ ที่ข้าไม่มีโอกาสได้นั่งบนนั้นอีกแล้ว หวังเป่าเล่อส่ายหัว กำลังจะหันหน้าไปทางอื่น แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมตนจึงหันไปจ้องแผ่นหลังของหลี่หว่านเอ๋อร์อีก


อาจเป็นเพราะเครื่องแบบที่ส่งให้รูปร่างงดงามของนางดูโดดเด่นยิ่งขึ้นไปอีก เครื่องแบบที่นางสวมใส่อยู่ปิดบังรูปโฉมอันสมบูรณ์แบบไว้มิดชิด ชายใดได้มาเห็นก็คงคุมเปลวเพลิงที่ลุกไหม้ในจิตใจไว้ไม่ได้


ความงดงามทั้งหมดนี้หลี่หว่านเอ๋อร์ถือครองไว้แต่เพียงผู้เดียว นางมีรูปโฉมสวยงามคล้ายกับหลี่อี้ แต่หลี่หว่านเอ๋อร์เหนือชั้นกว่าหลายเท่าในทุกๆ ด้าน บรรยากาศเย็นชาที่นางปล่อยออกมาทำให้นางเป็นดังกุหลาบน้ำแข็งที่มีหนามแหลมแสนอันตรายแต่ก็เย้ายวนใจ


หวังเป่าเล่อเองก็มองหลี่หว่านเอ๋อร์เช่นนั้น ชายหนุ่มเหลือบมองอีกฝ่าย สายตาของเขาจับจ้องไปยังบั้นท้ายของนางเป็นสิ่งแรกโดยสัญชาตญาณ


เขาได้แต่ถอนหายใจ จำได้ว่า…ตนเคยได้จับ ได้ลูบคลำ ช่างนุ่มนวลและเด้งมือ ทุกสิ่งนั้นยอดเยี่ยมไปหมด แต่สิ่งล้ำค่าเช่นนี้จะต้องตกเป็นของเฉินมู่ผู้น่ารังเกียจ หวังเป่าเล่อหงุดหงิดขึ้นมาเมื่อคิดว่าตนอาจไม่มีโอกาสได้สัมผัสมันอีก


ช่างเถอะๆ มีปลาอีกมากมายในน้ำ หวังเป่าเล่อผู้นี้เป็นชายผู้มีเกียรติและมีรูปโฉมงดงามที่สุดในสหพันธรัฐ นางต่างหากที่เป็นฝ่ายสูญเสีย ข้าเห็นภาพนางเศร้าโศกเสียใจไปชั่วชีวิต หวังเป่าเล่อรู้สึกว่าตนนั้นคิดถูก เขาละสายตาจากนาง หลี่หว่านเอ๋อร์เหมือนสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างจึงหันกลับมามองชายหนุ่มก่อนจะขับเรือบินทะยานออกไป


หวังเป่าเล่อเลิกคิ้ว นำเรือบินออกมาก่อนจะมุ่งหน้าไปยังสำนักงาน เขาพบหลี่หว่านเอ๋อร์อีกครั้งพร้อมกงเต๋าและคนอื่นๆ เวินไหวกับฟางจิ้งเองก็อยู่ในสำนักงานด้วยเช่นกัน มีเพียงเฉินมู่ที่ไม่มา แต่ส่งตัวแทนมาร่วมประชุมแทน


หวังเป่าเล่อไม่ได้สนใจที่จะขุดสาวราวเรื่องอะไรให้มากความ เขาไม่ใช่คนที่จะทำอะไรบุ่มบ่าม แต่เมื่อได้ลงมือแล้วจะต้องมั่นใจว่าอีกฝ่ายต้องทุกข์ระทมหรือไม่ก็หายไปจากชีวิตของตน


การตรวจสอบแผนโครงการขนย้ายประชากรเป็นไปอย่างราบรื่น เมื่อคุยกันจนได้ข้อสรุป หวังเป่าเล่อก็ส่งแผนโครงการฉบับสมบูรณ์ไปให้เจ้านคร


หลังจบการประชุม หลี่หว่านเอ๋อร์ก็รีบออกไปในทันทีด้วยสีหน้าราบเรียบ เวินไหวและฟางจิ้งพยักหน้าให้หวังเป่าเล่ออย่างไม่เต็มใจเพื่อแสดงท่าทีเป็นมิตรก่อนจะกลับออกไป


จากนั้นกงเต๋าและหลินเทียนหาวก็ออกจากที่ประชุมไป เหลือเพียงหวังเป่าเล่อและจินตั้วหมิง จินตั้วหมิงคลายปกเสื้อ ก่อนจะนั่งลงหน้าหวังเป่าเล่อ ดวงตาของเขาฉายแววลุ่มลึกขณะมองจ้องไปยังชายตรงหน้าก่อนจะหัวเราะขึ้น


“เป่าเล่อ ข้าได้ยินมาว่าเจ้ากับหลี่หว่านเอ๋อร์เคยมีอดีตบางอย่างร่วมกัน…”


“ทำไม เจ้าสนใจหลี่หว่านเอ๋อร์หรือ” หวังเป่าเล่อหันไปถลึงตามองจินตั้วหมิง ก่อนจะหยิบขนมขึ้นมากินพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่เป็นมิตร


“จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร!” จินตั้วหมิงตัวสั่นอยู่ภายในพลางรีบส่ายศีรษะ


“แม้แต่เจ้าเองก็รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ เข้าเรื่องกันดีกว่า เมื่อไหร่เจ้าจะเอาอาวุธเวทระดับเก้ามาแลกกับเจ้าลาสุดยอดเยี่ยมของข้าเสียที” หวังเป่าเล่อหยิบเรื่องนี้ขึ้นมาพูดอย่างเหลืออด ทั้งสองผ่านอะไรมาด้วยกันมากมายทำให้สนิทสนมกันจนไม่ต้องมามัววางท่า การเปลี่ยนหัวข้อพูดคุยไปมาก็ถือเป็นเรื่องปกติ


จินตั้วหมิงหงุดหงิดเมื่อหวังเป่าเล่อยกเรื่องเจ้าลามาพูดอีกครั้ง เขาเจรจาทำธุรกิจมาทั้งชีวิต แต่ข้อเสนอเรื่องเจ้าลาถือเป็นข้อผิดพลาดอันใหญ่หลวง ชายหนุ่มเลิกพูดเรื่องหลี่หว่านเอ๋อร์ก่อนจะเริ่มกระซิบกระซาบ


“เป่าเล่อ เจ้าเคยได้ยิน…เรื่องระเบิดต้านทานวิญญาณหรือไม่”


ทันทีที่จินตั้วหมิงเอ่ยถาม ดวงตาของหวังเป่าเล่อก็ฉายแสงวาบ เขาพยักหน้ารับ


“กะแล้ว ข้ารู้ว่าเจ้าต้องเคยได้ยินเรื่องระเบิดต้านทานวิญญาณเช่นกัน เป่าเล่อ เจ้ารู้หรือไม่ว่าระเบิดต้านทานวิญญาณเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่กลุ่มไตรจันทราร่วมมือกับทางสหพันธรัฐสร้างขึ้น เรามีศูนย์วิจัยคอยศึกษาและทดลองอยู่หลายแห่ง…


“ข้าอยากเชิญฝ่ายวิจัยวิญญาณของทางสหพันธรัฐให้มาตั้งศูนย์วิจัยระเบิดต้านทานวิญญาณในเขตของข้า ในนครดาวอังคารแห่งใหม่ของเรา!


“พอตั้งศูนย์วิจัยเสร็จ ชื่อเสียงของนครใหม่และสถานะของข้าในกลุ่มไตรจันทราก็จะพุ่งสูงขึ้น!” จินตั้วหมิงกระซิบบอกด้วยดวงตาเป็นประกาย เห็นได้ชัดว่าเขาเตรียมการเรื่องนี้มานานแล้ว ขาดเพียงการยินยอมจากหวังเป่าเล่อเท่านั้น


“ศูนย์วิจัยระเบิดต้านทานวิญญาณหรือ” หวังเป่าเล่อมีสีหน้าจริงจัง เขาวางขนมลง หยุดคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถามขึ้น


“จะปลอดภัยไหม”


“เรื่องความปลอดภัยไม่มีปัญหาแน่นอน ข้าขอรับรองได้ จริงๆ แล้วมีศูนย์วิจัยระเบิดต้านทานวิญญาณตั้งอยู่ที่นครหลักดาวอังคาร ถ้ามันไม่ปลอดภัยเขาคงไม่ให้สร้างที่นั่นหรอก


“นอกจากนี้ ข้าไปขุดข้อมูลมาแล้ว พบว่าผู้เชี่ยวชาญระดับสูงประจำศูนย์วิจัยระเบิดต้านทานวิญญาณของสหพันธรัฐ เจ้าผินฟาง…จะมาเยือนดาวอังคารในอีกไม่กี่วันเพื่อตรวจสอบโครงการวิจัยระเบิดต้านทานวิญญาณที่ศูนย์ดาวอังคารและแก้ไขปัญหาต่างๆ ชายผู้นี้เป็นคนสำคัญมาก เป็นคู่ครองของเจ้านครดาวอังคาร…ข้าส่งเรื่องขอไปเยี่ยมชมศูนย์และเข้าพบกับปรมาจารย์เจ้าเป็นการส่วนตัวแล้ว ถ้าเขาให้การสนับสนุนโครงการเรา พวกเราได้ตั้งศูนย์วิจัยในนครใหม่อย่างแน่นอน!”


“เจ้าผินฟาง? คู่ครองของเจ้านครมีแซ่ว่าเจ้าอย่างนั้นหรือ” หวังเป่าเล่อเอ่ยถามด้วยความสงสัย


“ใช่ ส่วนใหญ่แล้วปรมาจารย์เจ้าพำนักอยู่บนโลกเป็นหลัก พูดแล้วก็นึกได้ว่าแม้แต่ผู้นำสหพันธรัฐยังเกรงใจทั้งสองคนเลย คนหนึ่งก็ปกครองดูแลดาวอังคาร ส่วนอีกคนก็เป็นผู้เชี่ยวชาญระดับสูงด้านระเบิดต้านวิญญาณ!” จินตั้วหมิงถอนหายใจ เหลือบมองหวังเป่าเล่อก่อนจะพูดต่อ


“พวกเขามีลูกสาวคนหนึ่ง…”


บทที่ 406 เคล็ดเวทอายุวัฒนะ

โดย

Ink Stone_Fantasy

หมายความว่าอย่างไรกัน หวังเป่าเล่อนึกสงสัยขึ้นมาเล็กน้อยหลังจากสัมผัสได้ว่าสายตาของจินตั้วหมิงดูแปลกๆ ตอนแรกก็พูดปกติดี แต่จู่ๆ ก็พูดถึงเรื่องลูกสาวขึ้นมา ถ้าแค่เล่าให้ฟังเฉยๆ เขาก็คงไม่ได้คิดอะไรมาก แต่สายตาที่อีกคนมองมานั้นบ่งบอกว่ามีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่เบื้องหลังคำพูดนั่น


“หมายถึงน้องเจ้าหรือ ข้าสนิทกับนาง แต่เก็บไว้เป็นความลับ เจ้าก็รู้ว่าตระกูลของนางไม่ธรรมดา รู้ไว้แค่นี้ก็พอแล้ว” หลังจากครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง หวังเป่าเล่อก็กระแอมกระไอและพูดขึ้น


พอตอบไปเช่นนั้น จินตั้วหมิงก็ตื่นตะลึงไปพร้อมจ้องมองอีกฝ่ายอย่างไม่เชื่อสายตาตนเอง เขาลังเลใจอยู่ครู่หนึ่งจึงตัดสินใจถามออกไป


“เอ่อ…เป่าเล่อ ข้าเคยเจอลูกสาวของเจ้านครครั้งเดียวตอนยังเด็ก ได้ยินมาว่าตอนนางอายุเจ็ดขวบ ก็ถูกส่งตัวไปฝึกวิชาบนกระบี่สำริดเขียวโบราณ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่กลับมาเลย…เจ้าไปรู้จักนางได้อย่างไรกัน”


หวังเป่าเล่อนิ่งอึ้งไป พอได้ยินที่จินตั้วหมิงพูด เขาก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ตระหนักได้ว่าตนด่วนสรุปไปเอง อีกทั้งยังรู้สึกผิดอยู่หน่อยๆ ที่หลงคิดไปว่าลูกสาวของเจ้านครคือเจ้าเยี่ยเหมิง


ทั้งคู่นั้นใช้แซ่เจ้าเหมือนกัน อีกทั้งเจ้าเยี่ยเหมิงยังมีภูมิหลังลึกลับซับซ้อนคล้ายๆ กัน แม้ตอนนี้ชายหนุ่มจะเป็นขุนนางระดับสามชั้นสูงแต่ก็ยังไม่ทราบข้อมูลอะไรเกี่ยวกับนาง หวังเป่าเล่อเลี่ยงไม่ตอบคำถาม ยกเรื่องศูนย์วิจัยระเบิดต้านทานวิญญาณขึ้นมาพูดแทน


จินตั้วหมิงยังคงมองหวังเป่าเล่อด้วยแววตากังขา เขาเหมือนจะเข้าใจสถานการณ์จึงไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่ลึกๆ ข้างในกำลังตื่นเต้นและภาคภูมิใจกับทักษะการแสดงของตน คิดว่าในที่สุดก็ได้เวลาแก้แค้นที่อีกฝ่ายคอยเอาเรื่องเจ้าลามาเย้าแหย่ตนโดยไม่มีสาเหตุ เรื่องลูกสาวของเจ้านครที่ถูกส่งตัวไปบนกระบี่สำริดเขียวโบราณนั้นชายหนุ่มกุขึ้นมาเอง


ชายหนุ่มรู้ว่าถ้าพูดอะไรออกไปเยอะเข้าก็จะเผยไต๋ให้อีกฝ่ายได้รู้ จึงเลือกที่จะหยุดพูดถึงเรื่องโกหกพกลมของตนและหันมาถกเรื่องแผนการและรายละเอียดเกี่ยวกับศูนย์วิจัยระเบิดต้านทานวิญญาณแทน นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อส่องประกายเมื่อได้ฟังรายละเอียด เริ่มตระหนักถึงความสำคัญที่ศูนย์วิจัยมีต่อนครใหม่


หากมีการตั้งศูนย์วิจัยขึ้นที่นครใหม่ ทางสหพันธรัฐก็จะส่งนักวิจัยและกำลังคนมาคุ้มกันพื้นที่บริเวณนั้น ซึ่งจะทำให้นครแห่งใหม่มีความสำคัญมากขึ้นและเพิ่มประสิทธิภาพการป้องกันนครให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น นอกจากนี้ความสำคัญของนครใหม่รวมถึงอำนาจที่ขยับขยายขึ้นของหวังเป่าเล่อ ยังจะช่วยให้ชายหนุ่มได้รู้ว่าจินตั้วหมิงมีเป้าหมายอะไรในใจ แม้อีกฝ่ายจะไม่ได้บอกออกมาตรงๆ ก็ตาม


อย่างไรเสียการเมืองภายในของกลุ่มไตรจันทราก็ซับซ้อนมาก ในนั้นมีกลุ่มย่อยมากมายโดยมีผู้นำประจำแต่ละกลุ่ม แม้จินตั้วหมิงจะมีสิทธิ์ขึ้นเป็นทายาทสืบทอด แต่เขาก็ไม่ใช่ทายาทเพียงคนเดียว ไม่รู้ว่ากลุ่มไตรจันทราจะประเมินคัดเลือกผู้สืบทอดอย่างไร แต่น่าจะดูจากความสำเร็จและอำนาจที่คนผู้นั้นมี ดังนั้นจินตั้วหมิงจึงคิดวางแผนตั้งศูนย์วิจัยระเบิดต้านทานวิญญาณในเขตของตน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อตัวเขามาก


อาจกล่าวได้ว่าเรื่องนี้ได้ประโยชน์ด้วยกันทั้งสองฝ่าย เพียงเท่านี้ก็ทำให้หวังเป่าเล่อสมองแล่นแล้ว จากนั้นจินตั้วหมิงก็เชิญหวังเป่าเล่อไปนครหลักดาวอังคารด้วยกันเพื่อไปดูงานที่ศูนย์วิจัยและเข้าพบเจ้าผินฟาง


มีอะไรแปลกๆ ชอบกล จริงๆ แค่ไปดูงานกับเข้าพบ จินตั้วหมิงไปคนเดียวก็น่าจะพอแล้ว ทำไมถึงเอ่ยชวนข้าไม่หยุดเช่นนี้ หวังเป่าเล่อเริ่มคลางแคลงใจ พอหันไปเห็นรูปลักษณ์อีกฝ่าย เขาก็ได้คำตอบ


ต้องเป็นเพราะข้ามีรูปโฉมงดงามที่สุดในสหพันธรัฐเป็นแน่ แถมยังมีตำแหน่งที่สูงศักดิ์ ถือได้ว่าข้าเป็นบุคคลชั้นยอดแม้จะอายุยังน้อย ทั่วทั้งสหพันธรัฐต่างรู้จักข้า แถมข้านั้นหล่อเหลามากเสียจนจินตั้วหมิงคิดว่าถ้าพาข้าไปด้วยคงช่วยเพิ่มโอกาสที่โครงการจะผ่านการอนุมัติ เขาอยากให้ข้าไปช่วยสนับสนุน! หวังเป่าเล่อยกมือแตะคาง ก่อนจะตบบ่าจินตั้วหมิงด้วยความหลงตัวเอง เขามองอีกฝ่ายด้วยแววตาแฝงความชื่นชม อีกทั้งยังบอกเป็นนัยว่าจริงๆ ตนไม่ต้องทำก็ได้ แต่จะยอมไปด้วยเป็นกรณีพิเศษ


สายตาที่อีกฝ่ายมองมาทำให้จินตั้วหมิงรู้สึกผิดชอบกล หลังจากครุ่นคิดอยู่สักพักและแน่ใจว่าตนไม่ได้เผยไต๋อะไรออกไปเขาก็ยกยิ้มขึ้น แต่ก็ยังแอบเป็นกังวลกับสายตาที่หวังเป่าเล่อส่งให้อยู่


บ้าจริง พอเจ้าหวังเป่าเล่อได้ขึ้นเป็นเจ้าเมืองก็ดูเฉลียวฉลาดขึ้นมาก รู้จักวิธีใช้อำนาจที่มีเสียด้วย เจ้านั่นไม่น่าจะรู้ว่าทำไมข้าถึงหวังพึ่งชื่อเสียงและอำนาจของเขาใช่ไหม ต้องเป็นเช่นนั้นแน่ มากสุดก็คงรู้แค่ว่าข้าหาทางใช้ประโยชน์จากอำนาจของเขา แต่ไม่รู้ว่าด้านไหน ไม่เช่นนั้นคงไม่ทำหน้าตาแบบนั้นหรอก


คิดได้เช่นนั้น จินตั้วหมิงก็สบายใจขึ้นมาเล็กน้อย เขายิ้มอย่างเป็นมิตรให้หวังเป่าเล่อ ทั้งสองมองตากัน ตัดสินใจว่าจะเดินทางไปนครหลักดาวอังคารด้วยกัน


เรื่องนี้ต้องเก็บไว้เป็นความลับ ทั้งสองบอกรายละเอียดแค่กับกงเต๋าและหลินเทียนหาวเพื่อให้พวกเขาได้เตรียมพร้อม แต่ไม่ได้บอกหลี่หว่านเอ๋อร์ จากนั้นก็เดินทางออกจากนครไปในช่วงบ่าย


หลี่หว่านเอ๋อร์เหมือนจะไม่รู้ว่าหวังเป่าเล่อออกจากนครไป ทั่วทั้งนคร นอกจากหลินเทียนหาวและผู้ฝึกตนจากสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าจำนวนหนึ่งแล้วก็ไม่มีใครรู้เรื่องนี้


แต่เจ้าลารู้ ทันทีที่หวังเป่าเล่อออกจากนครไป เจ้าลาที่แอบอยู่หัวมุมถนนกลมกลืนกับสิ่งแวดล้อมอย่างแนบเนียนราวกับเป็นกิ้งก่าพลันเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า มันพ่นลมฮึดฮัดออกทางจมูก แกว่งหางไปมา มองบ้านหลังตรงหน้าที่ห่างไปไม่ไกลด้วยความเปรมปรีดิ์


เจ้าลามาถึงที่นี่หลังจากตามดมกลิ่นหาอาหารอยู่สองสามวัน มันสัมผัสได้ถึงภัยอันตรายบางอย่างจึงไม่ได้บุ่มบ่ามทำอะไร ตั้งใจรอให้ถึงโอกาสเหมาะๆ เพื่อจะได้วิ่งเข้าไปกัดคำใหญ่แล้วค่อยวิ่งหนีไป


เจ้าลานอนจ้องชายหนุ่มชุดฟ้าที่นั่งขัดสมาธิอยู่ภายใน เบื้องหน้าของเขามีผู้ฝึกตนวัยกลางคนสามคนกำลังนั่งคุกเข่าไม่ไหวติงด้วยสีหน้าเรียบเฉย


ชายหนุ่มชุดฟ้าหรี่ตาลงเล็กน้อย ไม่ได้สนใจผู้ฝึกตนสามคนเบื้องหน้า เขาเคาะนิ้วชี้ลงบนเข่าราวกับกำลังตกอยู่ในภวังค์ความคิด สักพักชายหนุ่มก็ยิ้มออกมา


 สหายวิญญาณเรือได้รับบาดเจ็บหนักจนเรียกสติสัมปชัญญะส่วนใหญ่กลับคืนมาไม่ได้ มีเพียงบางส่วนเท่านั้นที่เผยให้ได้รู้…มันบอกว่าสัมผัสกลิ่นอายของบุตรแห่งความมืดได้ ในนครใหม่ตอนนี้ คนที่เข้าเค้าที่สุดก็คือเจ้าเมืองหวังเป่าเล่อ


น่าขันสิ้นดี สำนักแห่งความมืดล่มสลายไปนานแล้ว การต่อสู้ครั้งก่อนก่อให้เกิดความเสียหายใหญ่หลวง ไม่มีทางที่บุตรแห่งความมืดจะปรากฏขึ้นตอนนี้! เว้นเสียแต่สหายวิญญาณเรือจะมีจิตแน่วแน่เสียจนปลดปล่อยสำนักแห่งความมืดสู่ห้วงจักรวาลเพื่อรวบรวมวิญญาณและสร้างความรุ่งโรจน์ในอดีตให้หวนคืน!


 แต่จะว่าไปวงแหวนปราณของนครนี้ก็น่าสนใจ มันสามารถรวบรวมปราณมืดได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ต้องคอยจับตาดูสถานะของหวังเป่าเล่อไว้ แต่การจะตรวจสอบให้แน่ใจก็กินพลังงานข้ามากโข อีกอย่างมีความเป็นไปได้สูงว่าหวังเป่าเล่อไม่น่าจะเป็นบุตรแห่งความมืด ดังนั้นตรวจสอบโดยตรงก็คงเปลืองแรงเปล่าๆ ชายชุดคลุมฟ้าคิดแล้วก็ถอนหายใจ ก่อนจะผุดยิ้มแสนชั่วร้ายขึ้น


ไม่ว่าเขาจะเป็นบุตรแห่งความมืดหรือไม่ ข้าก็อยากดำเนินแผนการของข้าต่อ ตรวจสอบตอนที่เขารู้ตัวแล้วก็ยังไม่ถือว่าสายไป! ลึกๆ ในใจ ชายหนุ่มชุดฟ้าไม่เชื่อว่าจะมีบุตรแห่งความมืดหลงเหลืออยู่ในจักรวาลนี้ ดังนั้นเขาจึงตั้งใจจะดำเนินการตามแผนการแรกที่วางไว้หลังออกมาจากสุสาน ซึ่งเป็นแผนการที่เขาคิดไว้หลังจากศึกษานครใหม่อย่างละเอียด


นั่นก็คือ…แทรกแซงวงแหวนปราณเป่าเล่อผู้ยิ่งใหญ่ที่สามารถรวบรวมปราณมืดได้!


หากทำสำเร็จ เขาก็จะใช้วงแหวนปราณเป่าเล่อผู้ยิ่งใหญ่เข้าควบคุมอภิมหาวงแหวนปราณดาวอังคารได้เนื่องจากทั้งสองนั้นเชื่อมกันอยู่ และเขาก็จะมีอำนาจสูงสุดในการควบคุมอภิมหาวงแหวนปราณดาวอังคารภายในนครใหม่นี้ นอกจากนี้มันยังมีประโยชน์อย่างยิ่งในช่วงวิกฤติโดยที่คนอื่นไม่สามารถตรวจสอบได้


ขั้นตอนแรกของการแทรกแซงวงแหวนปราณเป่าเล่อผู้ยิ่งใหญ่คือการแทรกแซงผู้ฝึกตนในนครใหม่ เมื่อเข้าแทรกแซงได้สำเร็จก็จะสามารถใช้ประโยชน์จากลักษณะพิเศษของอภิมหาวงแหวนปราณดาวอังคารที่คอยสูบพลังจากผู้คนในนครใหม่ให้สูบพลังที่แทรกแซงเข้ามาแทน ยิ่งสูบไปเยอะเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีอัตราความสำเร็จเพิ่มมากขึ้น


นี่เป็นช่องโหว่เพียงหนึ่งเดียวที่เขาพบหลังจากเฝ้าดูวงแหวนปราณเป่าเล่อผู้ยิ่งใหญ่!


วิธีที่ดีและรวดเร็วมีสุดคือการสร้างเคล็ดวิชา จากนั้นก็รวบรวมผู้ติดตามและผู้ศรัทธา! ชายหนุ่มชุดฟ้ายกยิ้มเล็กน้อยก่อนจะหันมองผู้ฝึกตนวัยกลางคนสีหน้าราบเรียบทั้งสามคนเบื้องหน้า


ทั้งสามคนเป็นต้นตอของการแทรกแซงที่เขาคัดเลือกมาเป็นอย่างดีตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา นอกจากนี้ยังเป็นคนกลุ่มแรกที่เขาเข้าควบคุมโดยตรง แต่ละคนมาจากเขตแดนและภูมิหลังที่ต่างกันออกไป


ขณะที่เขาจ้องมองอยู่นั้น ทั้งสามก็เหมือนจะรู้ตัวจึงเงยหน้าขึ้น ใบหน้าแข็งทื่อเริ่มผ่อนคลายลง ไฟเร่าร้อนปะทุขึ้นภายในดวงตา


“จงใช้ตำแหน่งของเจ้าเผยแพร่เคล็ดวิชาที่ข้าสอนไป!”


“เคล็ดวิชาที่ข้าสอนไปมีชื่อเรียกว่าเคล็ดเวทอายุวัฒนะ!” ชายหนุ่มชุดฟ้ากล่าวอย่างใจเย็น ผู้ฝึกตนไฟแรงทั้งสามลุกยืนขึ้นก่อนจะกุมมือทำความเคารพ


“รับทราบขอรับ ท่านราชครู!”


บทที่ 407 ศูนย์วิจัย!

โดย

Ink Stone_Fantasy

แม้ว่าในยุคกำเนิดวิญญาณนี้จะไม่ได้ขาดแคลนเคล็ดวิชา แต่เคล็ดวิชาต่างๆ ก็ถือว่ายังมีอยู่ไม่มาก หนำซ้ำกลุ่มอำนาจแต่ละกลุ่มต่างเก็บเคล็ดวิชาของตนไว้เป็นความลับไม่ให้บุคคลภายนอกรู้ ทำให้เป็นเรื่องยากที่กลุ่มย่อยเล็กๆ รวมถึงผู้ฝึกตนพเนจรซึ่งไม่ได้มาจากสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าหรือกลุ่มอำนาจหลักอื่นๆ จะเข้าถึงเคล็ดวิชาได้แม้เพียงสักวิชาหนึ่ง


ในนครใหม่นี้แม้มีผู้ฝึกตนจากกลุ่มอำนาจต่างๆ มารวมตัวกัน แต่ส่วนใหญ่มาจากกลุ่มคนร้อยล้านคนที่กระจัดกระจายกันไปหลังการขนย้ายก่อนหน้านี้ ขณะเดียวกันแม้เหล่าผู้ฝึกตนจากกลุ่มต่างๆ จะไม่ได้ขาดเคล็ดวิชา แต่ถ้ามีเคล็ดวิชาใหม่ที่ต่างไปจากวิชาอื่นๆ ก็คงไม่มีใครบอกปฏิเสธ เคล็ดเวทนี้จึงไม่น่าจะมีปัญหาอะไร


เคล็ดเวทอายุวัฒนะเริ่มเผยแพร่ออกไปด้วยเหตุผลนี้ ไม่มีใครรู้ว่าเคล็ดเวทนี้กระจายไปทั่วได้อย่างไร รู้แค่จู่ๆ ทุกคนก็เริ่มพูดถึง บางคนถึงกับเริ่มฝึกเลยด้วยซ้ำ


เคล็ดเวทอายุวัฒนะมีลักษณะเด่นเหมาะแก่การเผยแพร่ทุกประการ อย่างแรกเลยคือสามารถฝึกได้โดยง่าย อย่างที่สองคือไม่มีเงื่อนไขอะไรที่จำเป็นต่อการฝึก ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกตนหรือบุคคลธรรมดาก็สามารถฝึกได้หมด อย่างสุดท้ายคือเคล็ดวิชานี้ไม่ได้ใช้กระตุ้นพลังวิญญาณ แต่ใช้ฝึกฝนร่างกายของผู้ฝึก!


ด้วยเหตุนี้ผู้คนจึงไม่ค่อยเป็นกังวล การฝึกฝนร่างกายนั้นจะช่วยเสริมพลังกายของผู้ฝึกเพียงเท่านั้น หากมีข้อด้อยใดๆ ที่ไม่เด่นชัด ก็ไม่เป็นอันตรายเท่าการฝึกเคล็ดวิชาที่ต้องเกี่ยวข้องกับปราณวิญญาณ


นอกจากนี้ ผู้ฝึกเคล็ดเวทนี้ยังสามารถเห็นผลการฝึกได้อย่างรวดเร็ว เมื่อสำเร็จวิชาแล้วจะสัมผัสได้ทันทีว่าร่างกายของตนแข็งแกร่งขึ้นมาก อีกทั้งยังดูเปล่งปลั่งอ่อนเยาว์ลงอย่างน่าอัศจรรย์ใจ ผู้ฝึกตนหลายคนในนครอาวุธเทพใหม่ได้ลองศึกษาตัวเคล็ดเวทก่อนแล้วแต่ก็ไม่พบปัญหาใดๆ มีจุดพึงระวังเพียงหลังจากสำเร็จวิชานี้แล้ว ผู้ฝึกจะอยากอาหารมากขึ้นกว่าเดิม


แต่หลายๆ คนก็มองว่าเรื่องนี้ไม่ได้เป็นปัญหา นอกจากจะไม่ทำให้อ้วนแล้ว ยังถือว่าเป็นเรื่องที่เหมาะควรในสายตาคนส่วนใหญ่ เนื่องจากเป็นเรื่องปกติที่ต้องมีแหล่งพลังงานมาช่วยให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่า ข้อเสียนี้จึงถือว่าสอดคล้องกับกระบวนการรับและเผาผลาญพลังงาน ดังนั้นเคล็ดเวทอายุวัฒนะจึงเป็นที่แพร่หลายในทันทีโดยเฉพาะในหมู่สาวๆ


เคล็ดเวทดังกล่าวได้รับการบอกต่ออย่างรวดเร็ว ช่วงแรกนิยมกันในเขตของจินตั้วหมิงเท่านั้น แต่ก็เริ่มเผยแพร่ออกไปยังเขตของหลินเทียนหาวและเขตของกงเต๋า ซึ่งผู้ฝึกตนของกองทัพมากมายได้ลองฝึกและเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน


นอกจากนี้ยังเผยแพร่ไปยังเขตปกครองตนเองด้วย เคล็ดเวทอายุวัฒนะเรียกความสนใจจากหลี่หว่านเอ๋อร์และพวกกงเต๋าได้เป็นอย่างดี


หลี่หว่านเอ๋อร์ที่เพิ่งทราบทีหลังว่าหวังเป่าเล่อและจินตั้วหมิงเดินทางออกไปนอกนคร ด้วยความรับผิดชอบในฐานะรองเจ้าเมือง นางจึงรีบจัดประชุมศึกษาเรื่องเคล็ดเวทอายุวัฒนะทันที


ระหว่างการประชุม พวกเขาศึกษาเคล็ดเวทอายุวัฒนะอย่างละเอียด นอกจากนี้ยังส่งไปให้หลายกลุ่มอำนาจช่วยตรวจสอบด้วย แต่ทั้งสหพันธรัฐนั้นนอกจากหวังเป่าเล่อแล้วก็ไม่มีใครเคยฝึกฝนวิชาแห่งศาสตร์มืด แม้แต่หวังเป่าเล่อเองก็ไม่สามารถเข้าใจเคล็ดเวทนี้ได้อย่างถ่องแท้ เนื่องจากมีเพียงผู้ที่ฝึกฝนเท่านั้นจึงจะเข้าใจตัววิชาได้ทะลุปรุโปร่ง ดังนั้นแม้จะพบข้อเสียต่างๆ แต่โดยรวมแล้วเคล็ดเวทอายุวัฒนะก็ถือเป็นเคล็ดเวทที่ช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้ร่างกายผู้ฝึกได้จริง


แต่หลายๆ กลุ่มอำนาจหลังจากลองฝึกเคล็ดเวทดูก็ไม่ได้ผลลัพท์ชัดเจนอะไร มีเพียงบนดาวอังคารเท่านั้นที่ผู้ฝึกได้รับผลลัพธ์ที่น่าเหลือเชื่อ ขณะเดียวกันพวกหลี่หว่านเอ๋อร์ได้ตรวจสอบจนพบว่ามีเพียงคนเดียวที่เผยแพร่เคล็ดเวทอายุวัฒนะนี้ เขามีประวัติใสสะอาด ใช้ชีวิตบนดาวอังคารอย่างสงบสุขมาโดยตลอด


ชายผู้นั้นได้บอกเคล็ดเวทกับเพื่อนรักสองคน จากนั้นเคล็ดเวทก็แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วโดยสองคนนั่น การเคลื่อนไหวทุกอย่างดูปกติดี ติดแค่เพียงว่า…เคล็ดเวทกระจายไปอย่างรวดเร็วเกินไป


แม้ตัวเคล็ดเวทจะไม่ได้มีปัญหาใดๆ แต่หลี่หว่านเอ๋อร์ก็ตัดสินใจที่จะควบคุมและชะลอไม่ให้เคล็ดเวทนี้เผยแพร่ออกไปเร็วนัก ทว่านางไม่ได้ใช้อำนาจสั่งห้ามฝึก เนื่องจากตั้งใจจะดูเชิงไปสักพักก่อนจะตัดสินใจ


การชะลอการเผยแพร่ทำให้ผู้คนกระตือรือร้นที่จะฝึกเคล็ดเวทน้อยลง ถึงกระนั้นชายชุดฟ้าที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นี้ก็ไม่ได้เป็นกังวลใจและไม่ได้ออกจากที่พักของตนเลย เจ้าลาจึงยังคงเฝ้าอยู่ด้านนอกที่พักของเขา มันเองก็ไม่ได้กังวลอะไรเช่นกัน คิดว่าหากได้ลิ้มรสอาหารอันโอชะก็ถือว่าคุ้มค่ากับการรอคอย!


  ตอนนี้หวังเป่าเล่อทราบข่าวเรื่องเคล็ดเวทอายุวัฒนะแล้ว เขาได้เคล็ดเวทมาจากหลินเทียนหาว แต่เมื่อดูคร่าวๆ แล้วก็ไม่พบอะไรที่ผิดแปลก หลังจากที่มาถึงนครหลักดาวอังคารพร้อมจินตั้วหมิง ทั้งสองก็ได้ส่งคำร้องขอเยี่ยมชมศูนย์วิจัยและขอเข้าพบเจ้าผินฟาง ซึ่งก็ได้รับอนุมัติทั้งสองคำร้อง ดังนั้นชายหนุ่มที่โดนจินตั้วหมิงรบเร้าให้มาด้วยจึงเลือกเก็บเรื่องเคล็ดเวทดังกล่าวไว้พิจารณาในภายหลัง จากนั้นก็เดินทางไปยังศูนย์วิจัยที่ได้รับการคุ้มกันอย่างแน่นหนาพร้อมจินตั้วหมิง


แม้จะมีข่าวลือว่าศูนย์วิจัยตั้งอยู่บนนครหลักดาวอังคาร แต่จริงๆ แล้วมันตั้งอยู่ใต้ดิน มีการคุ้มกันอย่างแน่นหนา แม้หวังเป่าเล่อและจินตั้วหมิงจะส่งคำร้องมาแล้วก็ยังต้องผ่านการตรวจตราหลายต่อหลายรอบถึงจะผ่านวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายมาได้


หวังเป่าเล่อรู้เพียงว่าศูนย์วิจัยตั้งอยู่ใต้ดิน แต่ก็ไม่แน่ใจว่าที่นี่อยู่ใต้ตัวนครโดยตรงหรือเปล่า พื้นที่ของศูนย์วิจัยนั้นกว้างขวางมาก เมื่อทั้งสองออกจากวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายก็พบกับสิ่งที่ดูเหมือนนครขนาดย่อม มีทางเดินสร้างจากแผ่นโลหะมากมายอยู่ล้อมรอบ ปลายทางแต่ละสายเชื่อมไปยังที่โล่งกว้าง


มีนักวิจัยแต่งกายด้วยเครื่องแบบสีขาวเดินว่อนไปมาอยู่มากมาย บางครั้งก็ได้ยินเสียงกรีดร้องของอสูรดังแว่วมาจากที่แห่งใดก็ไม่ทราบได้ ทันทีที่ทั้งคู่เดินออกมาจากวงแหวนปราณ หวังเป่าเล่อก็สัมผัสได้ถึงแรงกดดันมหาศาลจากผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในหลายสิบคนที่พุ่งความสนใจมายังเขาและจินตั้วหมิง ก่อนแรงกดดันนั้นจะสลายไปหลังจากที่พวกเขาตรวจสอบทั้งสองเสร็จ


หวังเป่าเล่อสูดหายใจรับเอาปราณวิญญาณเข้าไปแค่เฮือกเดียวก็รู้สึกเหมือนว่าร่างกายเบาหวิวขึ้น พลังปราณในตัวตื่นขึ้นอย่างรวดเร็ว อีกทั้งปราณวิญญาณยังพุ่งเข้าสู่ร่างของชายหนุ่มโดยตรงโดยที่เขาไม่ต้องพยายามอะไร


หวังเป่าเล่อตื่นตะลึงไป


ปราณวิญญาณในพื้นที่นี้หนาแน่นเกินกว่าจะจินตนาการได้ หากอยู่ข้างนอกคงจะเกิดเป็นหมอกวิญญาณไปแล้ว แต่ในนี้มีวัตถุเวทที่ช่วยคัดกรองความหนาแน่นของปราณวิญญาณทำให้ไม่ก่อตัวเป็นหมอก


ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าภายในศูนย์วิจัยนี้มีชิ้นส่วนกระบี่สำริดเขียวโบราณอยู่มากมาย มิเช่นนั้นคงไม่มีปราณวิญญาณหนาแน่นถึงเพียงนี้


แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่ทำให้หวังเป่าเล่อตื่นตะลึงที่สุด สิ่งที่ทำให้ชายหนุ่มตื่นตะลึงจนแทบไม่อยากทำใจเชื่อได้ลงคือเขาสัมผัสได้ถึงพลังของอาวุธเวท อาวุธเวทที่ไม่ใช่ระดับเจ็ดหรือแปด แต่เป็นระดับเก้า ยิ่งไปกว่านั้นชายหนุ่มยังสัมผัสได้ว่ามันมีมากกว่าหนึ่งชิ้นด้วย


ที่นี่คือศูนย์วิจัยจริงหรือ ช่างหรูหรายิ่งนัก! หวังเป่าเล่อหันไปมองคนข้างๆ และพบว่าแม้แต่เศรษฐีอย่างจินตั้วหมิงยังตื่นตะลึงไปเช่นกัน เห็นได้ชัดว่านี่เป็นครั้งแรกที่อีกฝ่ายได้เข้ามายังศูนย์วิจัยระเบิดต้านทานวิญญาณ


“ยินดีต้อนรับสู่ศูนย์วิจัยระเบิดต้านทานวิญญาณ” ขณะที่ทั้งคู่ยังตื่นตะลึงไม่หาย แสงสว่างก็พลันปรากฏเบื้องหน้า แสงนั่นบีบตัวลงอย่างรวดเร็วก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นร่างมายาของหญิงสาวรูปโฉมงดงาม ความสวยของนางนั้นเหนือชั้นกว่ามนุษย์ทั่วไป นางสวมเครื่องแบบเหมือนนักวิจัยคนอื่นๆ และส่งยิ้มให้ชายหนุ่มทั้งสอง


หวังเป่าเล่อเบิกตากว้าง หัวสมองอื้ออึงไปด้วยความคิดต่างๆ ขณะที่จ้องมองร่างมายาเรืองแสงตรงหน้า


แม่นางน้อยหรือ หวังเป่าเล่ออ้าปากค้าง พยายามห้ามตัวเองไม่ให้พูดสิ่งที่คิดออกไป


ทว่าร่างมายาสังเกตเห็นสีหน้าของชายหนุ่มจึงเอียงคอมอง จินตั้วหมิงที่ยืนอยู่ข้างๆ เริ่มนึกสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น หลังจากหันมองหวังเป่าเล่อ เขาก็เอื้อมมือออกไปยังร่างมายา แต่คว้าได้เพียงอากาศธาตุ ก่อนจะกระแอมกระไอขึ้น


“เป่าเล่อ นี่มันของปลอม เป็นเทคโนโลยีสุดชาญฉลาด…เจ้าคงจะไม่สิ้นหวังถึงขนาดคิดอยากทำอะไรไม่ดีกับเทคโนโลยีสุดชาญฉลาดใช่ไหม”


หวังเป่าเล่อไม่สนใจจินตั้วหมิง ความคิดและความรู้สึกมากมายตีกันไปมาในหัว ร่างมายาเบื้องหน้าเขานั้นมีรูปโฉมเหมือนแม่นางน้อยในหน้ากากไม่ผิดเพี้ยน!


แต่ชายหนุ่มก็หน้าหนาพอ แม้จะตื่นตะลึงไป เขาก็รีบปรับอารมณ์และพยายามจัดการกับสถานการณ์กระอักกระอ่วนใจนี่ หวังเป่าเล่อแสร้งทำหน้าแดงเหมือนว่าตกหลุมรักร่างมายาตรงหน้าตั้งแต่แรกเห็น


“ข้าได้รับคำร้องที่พวกท่านทั้งสองส่งมาแล้ว ปรมาจารย์เจ้าอยู่ในห้องวิจัยหมายเลขสาม โปรดตามข้ามา” ร่างมายาไม่สนใจหวังเป่าเล่อ นางพูดขึ้นอย่างใจเย็น ก่อนจะเดินนำหน้าคนทั้งคู่ที่เดินตามหลังไม่ห่าง นางพาพวกเขาเดินไปตามทางสีทองอร่ามเข้าไปในตัวศูนย์วิจัยระเบิดต้านทานวิญญาณ


ระหว่างทางนั้น หวังเป่าเล่อยังคงรู้สึกสงสัยและตกใจเกินกว่าจะบรรยายได้ หากไม่ติดเรื่องสถานที่ เขาคงจะเข้าไปในหน้ากากนิลเพื่อถามเรื่องนี้กับแม่นางน้อยแล้ว


ชายหนุ่มใช้เวลาปรับอารมณ์อยู่พักหนึ่ง ทว่าขณะที่กำลังเดินไปตามทางเดินโลหะ จู่ๆ ชายหนุ่มก็หยุดฝีเท้าเมื่อสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง หวังเป่าเล่อมองไปยังกำแพงโลหะด้านขวามือ และพบว่ากำแพงโลหะก็เป็นภาพมายาเช่นกัน เบื้องหลังกำแพงมีสิ่งที่เหมือนตัวทดลองถูกผนึกไว้


ส่วนใหญ่เป็นศพของอสูรร้าย แต่ชายหนุ่มกลับไม่คุ้นตาเลยสักนิด มีกระทั่งศพของมังกรด้วยซ้ำ!


“นี่มัน…” หวังเป่าเล่อสูดหายใจลึก หัวใจเต้นถี่จากความตื่นตกใจ


“นี่คือศพของเหล่าอสูรร้ายล้ำค่าที่ถูกค้นพบบนโลกตั้งแต่อดีตกาล บางตนนั้นมีต้นกำเนิดจากห้วงอวกาศ บางตนก็มาจากกระบี่สำริดเขียวโบราณ” ร่างมายายิ้มพร้อมกับอธิบาย ตอนนั้นเองหวังเป่าเล่อก็สังเกตเห็นว่าบนกำแพงที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลมีแมงกะพรุนสีดำถูกผนึกไว้ มันตัวไม่ใหญ่ มีขนาดเทียบเท่าฝ่ามือ ลักษณะภายนอกเหมือนแมงกะพรุนทั่วไปทุกประการ แตกต่างเพียงแค่สีเท่านั้น


“นั่นก็เป็นอสูรโบราณหรือ” หวังเป่าเล่อชี้มือไปทางแมงกะพรุนด้วยความตื่นตะลึง


“สิ่งมีชีวิตตัวนั้นมีต้นกำเนิดมาจากห้วงอวกาศ พวกเราตั้งชื่อมันว่า ‘ธาราจอมตะกละ’ ร่างที่เห็นนั้นยังเป็นตัวอ่อน หากเติบโตเต็มที่แล้วจะมีขนาดเทียบเท่าเรือบินหนึ่งลำ อาจจะใหญ่กว่าด้วยซ้ำ การใช้งานก็คล้ายคลึงกับเรือบิน จากการวิเคราะห์พบว่ามันเคลื่อนไหวได้รวดเร็วมาก ทางสหพันธรัฐได้ตรวจสอบและพบว่ามีความเป็นไปได้ถึงร้อยละเจ็ดสิบที่สิ่งมีชีวิตจากนอกโลกจะใช้พวกมันเป็นยานพาหนะท่องมายังโลก!”


ร่างมายาอธิบายด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)