กระบี่จงมา 403.1-405.3

 บทที่ 403.1 อยู่ที่สำนักศึกษา

 

หลี่เป่าผิงเก็บสะสมถ้อยคำไว้มากมาย แต่พอได้พบกับเฉินผิงอันเข้าจริงๆ แต่ละคำที่มารออยู่ตรงริมฝีปากกลับถูกนางกลืนกลับลงท้องไปอีกครั้ง


เฉินผิงอันยื่นฝ่ามือออกมาวัดระดับอยู่ตรงหน้าผากของหลี่เป่าผิง “ตัวสูงขึ้นไม่น้อยเลย”


หลี่เป่าผิงกระโดดโหยง พูดหน้านิ่วคิ้วขมวด “อาจารย์อาน้อย เหตุใดท่านถึงตัวสูงเร็วกว่าข้าอีกล่ะ ตามไม่ทันแล้ว”


เฉินผิงอันช่วยเช็ดน้ำตาบนใบหน้าให้แม่นางน้อย ผลกลับกลายเป็นว่าหลี่เป่าผิงโถมตัวเข้ามาในอ้อมกอด เฉินผิงอันรู้สึกรับมือไม่ทันอยู่บ้าง ได้แต่กอดแม่นางน้อยไว้เบาๆ คลี่ยิ้มอย่างเข้าใจ ดูท่าจะยังไม่โตสักเท่าไหร่


อาจารย์ผู้เฒ่ามองเห็นภาพนี้ จะพูดอย่างไรดีล่ะ เหมือนเขากำลังชมภาพที่ทำให้คนรู้สึกสดชื่นและอบอุ่นที่สุดในใต้หล้า สายลมวสันตฤดูคู่กับต้นหยางต้นหลิ่ว ภูเขาเขียวกับสายน้ำใสสะอาด


มีกลอนบทหนึ่งเขียนไว้ได้ดี พบกันในวันชีซี (วันแห่งความรักของจีน) ที่มีลมฤดูใบไม้ร่วงและหมอกขาว ย่อมดีกว่าเป็นสามีภรรยาที่แนบชิดเพียงกายแต่ใจเหินห่าง


ดังนั้นอาจารย์ผู้เฒ่าจึงหัวเราะเบิกบานอย่างอารมณ์ดี


หนึ่งคนโตหนึ่งเด็กหญิงที่หลังจากบอกลาอาจารย์ผู้เฒ่าแล้วก็พากันเดินเข้าไปในสำนักศึกษา


หลี่เป่าผิงเหมือนนกขมิ้นตัวน้อยที่พูดเสียงดังจิ๊บๆๆ เล่าสถานการณ์ในสำนักศึกษาให้เฉินผิงอันฟังไม่หยุด


คนทั้งสองไปที่หอพักแขก เฉินผิงอันเห็นผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่คนหนึ่งยืนอยู่หน้าประตูกับเผยเฉียน เผยเฉียนอ้าปากกว้างเล็กน้อย ขยับปากเป็นคำว่า ‘เหมา’ โดยไม่ได้ออกเสียง


ท่องอยู่ในยุทธภพมานาน เฉินผิงอันจึงจะยกมือขึ้นกุมเป็นหมัดตามจิตใต้สำนึก เพียงแต่รีบเก็บลงแล้วคารวะต่อรองเจ้าขุนเขาสำนักซานหยาท่านนี้ด้วยพิธีการแบบลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อ


เหมาเสี่ยวตงพยักหน้ารับ เดินออกไปข้างหน้าหนึ่งก้าว “เฉินผิงอัน พวกเราไปคุยกันหน่อย”


ทิ้งหลี่เป่าผิงที่อายุสิบสองขวบกับเผยเฉียนที่อายุสิบเอ็ดขวบไว้หน้าประตู


คนหนึ่งสวมชุดกระโปรงสีแดง อีกคนคือถ่านดำน้อย


หลี่เป่าผิงมองเผยเฉียน เผยเฉียนไม่รู้ว่าควรจะวางมือวางเท้าอย่างไร นางก้มหน้าลง ไม่กล้ามองสบตากับอีกฝ่าย


หลี่เป่าผิงเดินวนรอบตัวเผยเฉียนหนึ่งรอบ สุดท้ายหยุดยืนอยู่ที่เดิม ถามว่า “เจ้าก็คือเผยเฉียน? อาจารย์อาน้อยเล่าให้ฟังว่าเจ้าคือลูกศิษย์ใหญ่เปิดภูเขาของเขา ได้เดินทางมาร่วมกับเขามาเป็นระยะทางไกลมากแล้ว?”


เผยเฉียนที่ไหล่ลู่คอตกพยักหน้ารับ


หลี่เป่าผิงถาม “อาจารย์อาน้อยบอกว่าเจ้ามีพรสวรรค์ในการฝึกวรยุทธ์ดีเยี่ยม แล้วก็ฉลาดมากด้วย สามารถทนรับกับความยากลำบากได้เหมือนข้าในปีนั้น แถมยังบอกว่าความคาดหวังที่ใหญ่ที่สุดของเจ้าก็คือได้ขี่ลาน้อยท่องไปในยุทธภพ?”


เผยเฉียนเงยหน้าขึ้นมองหลี่เป่าผิงแวบหนึ่ง แล้วก็ก้มหน้าลงอีกครั้งก่อนจะพยักหน้ารับ


หลี่เป่าผิงคิดแล้วก็กล่าวว่า “ก็ดี ถ้าอย่างนั้นข้าจะมอบของให้เจ้าสองชิ้น ถือเป็นของขวัญพบหน้ากัน เจ้าตามข้ามา”


เผยเฉียนกลืนน้ำลาย ไม่กล้าขยับเท้า แม้เผยเฉียนจะรู้ว่าพี่สาวตัวน้อยที่ชอบสวมชุดสีแดงผู้นี้ต้องไม่ใช่คนเลวร้ายแบบนั้นแน่นอน แต่นางก็กลัวว่าหากเดินไปถึงตรอกมืดแล้วหลี่เป่าผิงจะหันตัวกลับมาเอาถุงผ้าป่านคลุมหัวตน จากนั้นก็จับนางไปโยนทิ้งที่มุมใดมุมหนึ่งของเมืองหลวงต้าสุยนอกสำนักศึกษา


หลี่เป่าผิงหมุนตัววิ่งออกไปได้หลายก้าวแล้ว หันกลับมาเห็นว่าเผยเฉียนยังยืนนิ่งเป็นหุ่นไม้อยู่ตรงนั้นก็พูดขึ้นอย่างคนเข้าอกเข้าใจผู้อื่นเป็นอย่างดี “อาจารย์อาน้อยเล่าเรื่องของเจ้าหลายเรื่อง บอกว่าเจ้าขี้ขลาด เอาเถอะ หยิบแผ่นยันต์สีเหลืองมาแปะที่หน้าผากก่อนแล้วค่อยตามข้ามา”


เผยเฉียนรีบควักยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจออกมาแปะลงบนหน้าผาก ถึงได้มีความกล้าเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อยจนยอมเดินไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า


ฝีเท้าของหลี่เป่าผิงเร็วรี่ เพียงแต่เห็นแก่ความเร็วในการเดินของเผยเฉียนจึงได้แต่ซอยเท้าให้สั้นลง แขนสองข้างของนางเหมือนชิงช้าที่แกว่งไกว วิ่งถอยหลังกลับมาอยู่ข้างกายเผยเฉียน “เผยเฉียน เจ้าคือลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของอาจารย์อาน้อยนะ ต่อให้จะอยู่ในสถานที่ที่แปลกใหม่ไม่คุ้นเคย หวาดกลัวว่าจะเจอคนแปลกหน้าในสำนักศึกษามากแค่ไหน แต่ก็ต้องแสร้งทำเป็นว่าใจกล้ามาก อีกอย่างมีข้าอยู่ด้วย ไม่มีใครกล้ารังแกเจ้าหรอก วางใจเถอะ”


เผยเฉียนเค้นรอยยิ้มส่งไปให้ ก่อนจะหยิบยันต์ปราณหยางส่องไฟออกมายื่นส่งให้หลี่เป่าผิง ไม่เสียแรงที่เป็นหญ้ายอดกำแพง เป็นคนที่ขับเรือตามกระแสลม นางอยากจะเอาใจหลี่เป่าผิงให้ได้ก่อนค่อยว่ากัน ส่วนคำพูดอันห้าวเหิมก่อนหน้านี้ที่บอกว่าจะงัดข้อกับหลี่เป่าผิงอะไรนั่น ล้วนถูกนางโยนทิ้งไปหลังสมองไกลหนึ่งแสนแปดพันลี้แล้ว


เพียงแต่ว่ายื่นออกไปแล้ว เผยเฉียนกลับอดรู้สึกเสียใจภายหลังนิดๆ ไม่ได้ รู้สึกว่านี่จะทำให้หลี่เป่าผิงดูแคลน คิดไม่ถึงว่าหลี่เป่าผิงจะรับไปทันที แตะน้ำลายป้ายยันต์แล้วแปะลงบนหน้าผากของตัวเองอย่างแรง หัวเราะฮ่าๆ


เผยเฉียนก็หัวเราะตามไปด้วย


แม้แต่วิชาอภินิหารหมื่นจั้งของบรรพบุรุษภูเขาไท่ผิงในตอนนั้น เผยเฉียนยังมองออกอย่างทะลุปรุโปร่ง ดังนั้นนางจึงยังพอจะมองเห็นสภาพจิตใจคนบางส่วนได้ บางคนก็เป็นก้อนดำราวน้ำหมึก จิตใจดำมืด บางคนก็เป็นดั่งก้อนแป้งเปียก สลัวรางมองเห็นได้ไม่ชัดเจน ยกตัวอย่างเช่นผีสาวสือโหรวที่เหมือนกับสายลมสายฝนที่พัดกระโชกรุนแรง มีเพียงเมล็ดพันธ์สีทองเมล็ดหนึ่งที่มองเห็นได้ยากกำลังแตกหน่อให้เห็นเป็นสีเขียวนิดๆ หรือยกตัวอย่างเช่นจูเหลี่ยนที่น่าตกใจเป็นพิเศษ คือลมคาวฝนเลือด สายฟ้าตัดสลับกันแลบแปลบปลาบ แค่พอจะมองเห็นได้อย่างเลือนรางว่ามีหอชมทัศนียภาพงดงามที่โอ่อ่าโอฬารอยู่หลังหนึ่ง


แต่คนบางคนกลับ…สะอาดดุจแก้วใส ก็เหมือนกับพี่สาวน้อยชุดแดงผู้นี้ ดังนั้นเผยเฉียนจึงรู้สึกละอายใจที่ตนเองสู้อีกฝ่ายไม่ได้


หลี่เป่าผิงเห็นว่านางยังเดินได้ไม่เร็วจึงล้มเลิกความคิดที่จะวิ่งตะบึงกลับไปยังหอพักของตัวเอง เดินเล่นอย่างเชื่องช้าเป็นเต่าคลานเป็นเพื่อนเผยเฉียนพลางถามชวนคุยว่า “ได้ยินอาจารย์อาน้อยบอกว่าพวกเจ้าได้เจอกับชุยตงซานแล้ว เขารังแกเจ้าหรือไม่?”


เผยเฉียนไม่กล้าพูดความจริง ได้แต่พูดว่าก็ไม่เลว


หลี่เป่าผิงยื่นมือข้างหนึ่งออกไปทำท่าคว้าจับ ดึงเอากลับมาวางไว้ตรงปาก เป่าลมใส่ กล่าวว่า “ไอ้หมอนี่วอนหาเรื่องซะแล้ว รอให้เขากลับสำนักศึกษาเมื่อไหร่ ข้าจะช่วยระบายความแค้นแทนเจ้าเอง”


เผยเฉียนหันหน้าไปแอบมองหลี่เป่าผิงแวบหนึ่ง คราวนี้นางยอมนับถืออีกฝ่ายอย่างหมดจิตหมดใจแล้ว


นอกจากอาจารย์ นับตั้งแต่พวกเหล่าเว่ยเสี่ยวป๋ายสี่คน จนมาถึงพี่หญิงสือโหรว หรือแม้แต่ปีศาจวัวเหลืองที่เป็นเผ่าพันธ์ของวัวดินตัวนั้น มีใครบ้างที่ไม่กลัวชุยตงซาน? เผยเฉียนก็ยิ่งหวาดกลัวเขา


ในหัวใจของชุยตงซานคล้ายมีบ่อลึกดำมืดขนาดใหญ่มโหฬารอยู่บ่อหนึ่ง แต่น้ำในบ่อกลับไม่ใช่น้ำนิ่งที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของความไร้ชีวิต ด้านในมีเงาเรือนลางของเค้าโครงร่างเจียวหลงตัวหนึ่งที่เผยเฉียนเคยอ่านเจอจากในตำราและเคยเห็นจากภาพแขวนกำลังว่ายวนอย่างเชื่องช้า ทุกครั้งที่ร่างของเจียวหลงขยับเข้ามาใกล้ผิวน้ำก็จะมาพร้อมกับระลอกคลื่นที่ทำให้ใจคนเยียบเย็น แต่ยังดีที่ข้างบ่อน้ำมีตำราสีเงินสีทองหลายเล่มกองไว้เต็มไปหมด ถึงทำให้มันดูไม่อึมครึมน่าสะพรึงกลัวมากนัก ไม่อย่างนั้นเผยเฉียนหรือจะกล้าใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับชุยตงซาน


ผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่ตรงเอวห้อยไม้บรรทัดก็คือแกนกลางสำคัญตามความหมายที่แท้จริงของสำนักศึกษาซานหยา เหมาเสี่ยวตง


เหมาเสี่ยวตงพาเฉินผิงอันเดินไปยังห้องหนังสือของเขา ระหว่างทางแทบไม่ได้พูดโอภาปราศรัยใดๆ กับเฉินผิงอัน


หลังจากคนทั้งสองนั่งลงแล้ว เหมาเสี่ยวตงที่ตีหน้าเคร่งมาตลอดเวลาก็พลันคลี่ยิ้ม ลุกขึ้นยืน ถึงขนาดประสานมือคารวะเฉินผิงอัน


เฉินผิงอันรีบขยับเท้าเบี่ยงหลบ คิดว่าตัวเองไม่อาจรับพิธียิ่งใหญ่ของลัทธิขงจื๊อที่มาเยือนกะทันหันนี้ได้


เหมาเสี่ยวตงยืดตัวขึ้นแล้วก็ยิ้มกล่าวว่า “หากปีนั้นไม่ได้เจ้าช่วยปกป้องคุ้มครอง ควันธูปสายบุ๋นของสำนักศึกษาซานหยาของพวกเราก็ต้องขาดสะบั้นไปเกินครึ่งแล้ว”


เฉินผิงอันไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไร


เหมาเสี่ยวตงเอ่ยอธิบายว่า “เมื่อครู่อยู่ด้านนอก มีหูตาของคนมากมาย ไม่สะดวกจะพูดจาเป็นกันเองกับเจ้า ศิษย์น้องเล็ก ข้ารอเจ้ามานานมากแล้ว”


เฉินผิงอันยิ้มเจื่อนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง


เหมาเสี่ยวตงโบกมือเป็นวงกว้าง “คนกันเอง แค่รู้อยู่แก่ใจตัวเองก็พอแล้ว”


เฉินผิงอันนั่งลงอย่างจนใจ


เหมาเสี่ยวตงยิ้มบางๆ มองประเมินเฉินผิงอันแล้วยื่นมือออกมา “ศิษย์น้องเล็ก ขอข้าดูเอกสารผ่านด่านของเจ้าหน่อย ให้ข้าได้เปิดหูเปิดตาหน่อยเถอะ”


เฉินผิงอันลุกขึ้นยืนอีกครั้ง ยื่นเอกสารผ่านด่านส่งให้ด้วยสองมือ


เหมาเสี่ยวตงรับมาแล้วก็ยิ้มพูดว่า “ยังต้องขอบคุณศิษย์น้องเล็กที่จัดการเจ้าตะพาบน้อยชุยตงซานผู้นั้น หากเจ้าหมอนี่ไม่เป็นกังวลว่าวันใดเจ้าจะมาเยือนสำนักศึกษา เกรงว่าเขาคงพลิกค้นภูเขาตงซานและเมืองหลวงต้าสุยไปทั่วทุกซอกทุกมุมแล้ว”


เฉินผิงอันกล่าว “อันที่จริงชุยตงซานยังคงหวาดกลัวท่านอาจารย์เหวินเซิ่ง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับข้าสักเท่าไหร่”


เหมาเสี่ยวตงยื่นมือมาชี้หน้าเฉินผิงอัน “ท่าทางเช่นนี้ของศิษย์น้องเล็กช่างเหมือนกับอาจารย์ของพวกเราในปีนั้นยิ่งนัก ยิ่งสร้างวีรกรรมยิ่งใหญ่เท่าไหร่ เวลาเผชิญหน้ากับลูกศิษย์อย่างพวกเราก็ยิ่งชอบพูดจาถ่อมตัวเช่นนี้มากเท่านั้น ซะเมื่อไหร่ๆ เรื่องเล็กๆ คุณความชอบไม่ใหญ่ๆ ก็แค่ขยับปากเท่านั้น พวกเจ้าน่ะหัดประจบยกยอให้น้อยๆ ลงน้อย ราวกับว่าอาจารย์ทำเรื่องใหญ่ที่มีบุญคุณต่ออาณาประชาราษฎร์มากมายอย่างนั้นแหละ อาจารย์อย่างข้าเถียงชนะคนอื่นได้ ไม่ใช่ศาสดาพุทธมรรคาจารย์เต๋าสักหน่อย พวกเจ้าจะตื่นเต้นขนาดนี้ไปไย ทำไม หรือพวกเจ้ารู้สึกมาตั้งแต่แรกแล้วว่าอาจารย์ไม่มีทางชนะ พอชนะแล้วถึงได้รู้สึกตะลึงระคนดีใจ เจ้าเหมาเสี่ยวตงยิ้มกว้างจนเกินพอดี ออกไป ไปรับโทษท่องตำราอยู่ในลานบ้านเหมือนจั่วโย่ว อืม จำไว้ว่าตอนที่จั่วโยวปีนกำแพงออกไป อย่าลืมเตือนเขาว่าให้ซื้ออาหารมื้อดึกมาฝากเสี่ยวฉีสักชุด ตอนนี้เสี่ยวฉีกำลังโต จำไว้ว่าอย่าเป็นอาหารที่มันเลี่ยนเกินไป ได้กลิ่นตอนกลางคืนแล้วจะทำให้คนนอนไม่หลับเอาได้…”


เหมาเสี่ยวตงเล่าเรื่องเก่านานปีของอาจารย์ตัวเองพลางหัวเราะอย่างอารมณ์ดีไปด้วย


เฉินผิงอันรู้สึกหัวโตขึ้นมาทันใด


ทำไมถึงรู้สึกว่าอีกฝ่ายเป็นคนคุยยากยิ่งกว่าชุยตงซานเสียอีก?


เฉินผิงอันถาม “ได้ยินอาจารย์เหลียงที่อยู่หน้าประตูบอกว่าหลินโส่วอีได้ดิบได้ดีอย่างมาก ไม่ต้องเป็นห่วง แต่หลี่ไหวดูเหมือนว่าจะทำการบ้านได้ไม่ค่อยดีมาโดยตลอด ถ้าอย่างนั้นหลี่ไหวจะรู้สึกว่าการเรียนเป็นเรื่องที่เหน็ดเหนื่อยเกินไปหรือไม่?”


เหมาเสี่ยวตงยิ้มบางๆ ตอบว่า “ด้วยนิสัยสนุกสนานเฮฮาดั่งลูกกระต่ายน้อยของหลี่ไหวนั่น ต่อให้ฟ้าถล่มลงมาเขาก็ยังนอนหมอบกับพื้นเล่นหุ่นไม้ตุ๊กตาจิ๋วได้ ไม่แน่ว่ายังอาจจะรู้สึกดีใจที่ในที่สุดวันนี้ก็ไม่ต้องไปนั่งฟังพวกอาจารย์พร่ำพูดพร่ำสอนแล้วก็ได้ เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงหลี่ไหว ต่อให้การบ้านจะอยู่ลำดับล่างสุดทุกครั้ง แต่ก็ไม่เคยเห็นว่าเขาจะกินดื่มได้น้อยลง คราวก่อนพ่อแม่และพี่สาวเขาก็มาเยี่ยมที่สำนักศึกษา ทิ้งเงินไว้ให้เขาจำนวนหนึ่ง แต่เขากลับไม่ได้ใช้เงินส่งเดช เพียงแต่ว่ามีครั้งหนึ่งอาจารย์ที่อยู่เวรตอนกลางคืนจับได้คาหนังคาเขา ตอนนั้นเขากับสหายร่วมห้องสองคนกำลังดื่มน้ำต่างเหล้าพลางแทะน่องไก่ หลังจากถูกลงโทษให้ออกไปยืนรับไม้เรียว หลี่ไหวยังเรอดังเอิ้ก อาจารย์ถามเขาว่าไม้เรียวอร่อยหรือน่องไก่อร่อยกว่ากัน เจ้าเดาดูสิว่าหลี่ไหวจะตอบอย่างไร?”


เฉินผิงอันกลั้นยิ้ม “หากโดนไม้เรียวแล้วสามารถกินน่องไก่ได้ ถ้าอย่างนั้นไม้เรียวก็อร่อยเหมือนกัน แต่ข้าคาดว่าหลังจากพูดประโยคนี้จบ หลี่ไหวคงกินไม้เรียวจนอิ่ม”


เหมาเสี่ยวตงยกนิ้วโป้งให้ “ไม่เสียแรงที่เป็นอาจารย์อาน้อยที่คุ้มครองพวกเขามาส่งตลอดทาง ยังคงเป็นเจ้าที่เข้าใจหลี่ไหวดีที่สุด”


จากนั้นเหมาเสี่ยวตงก็ยิ้มกล่าว “แม้ว่าหลี่ไหวจะหัวช้าในด้านการเรียน แต่อันที่จริงเขาไม่ใช่คนโง่ คนวัยเดียวกันหลายคนดีแต่ท่องตำรา ทว่าขอแค่หลี่ไหวอ่านเข้าหัว ความรู้นั้นก็จะกลายเป็นของตัวเขาเองทันที ดังนั้นอันที่จริงแล้วพวกอาจารย์จึงประทับใจหลี่ไหวอย่างมาก ทุกครั้งแม้จะทำการบ้านได้อันดับท้ายสุดก็ไม่เคยว่ากล่าวตำหนิเขา”


เฉินผิงอันถามหยั่งเชิง “ต้องบอกให้หลี่ไหวมุมานะอ่านตำราให้มาก ห้ามแอบขี้เกียจเด็ดขาด หลักการเหล่านี้คงยังต้องพูดกันอยู่บ้าง”


สายตาของเหมาเสี่ยวตงฉายแววชื่นชม “สมควรเป็นเช่นนี้ ตอนนั้นหลี่เอ้อร์เพิ่งไปอาละวาดที่วังหลวงมารอบหนึ่ง แต่ละคนอกสั่นขวัญผวา หนึ่งเพราะพวกอาจารย์ค่อนข้างชอบหลี่ไหว สองเพราะกังวลว่าหลี่เอ้อร์จะปกป้องบุตรชายมากเกินไป จึงมีระยะเวลาช่วงหนึ่งที่ไม่กล้าพูดจารุนแรงใส่เขาแม้แต่คำเดียว ดังนั้นข้าจึงตำหนิพวกอาจารย์ทั้งหลายไปรอบหนึ่ง หลังจากนั้นเป็นต้นมาพวกเขาก็เริ่มกลับมาเข้าร่องเข้ารอยอีกครั้ง ส่วนที่ควรตีก็ตี ส่วนที่ควรสั่งสอนก็สั่งสอน นี่ต่างหากถึงจะเป็นสภาพที่อาจารย์และลูกศิษย์สมควรมี”


เฉินผิงอันถาม “หลังจากมรสุมครั้งนั้นผ่านไป มีภัยแฝงอะไรที่พวกเด็กๆ อย่างหลี่ไหวตระหนักไม่ถึงบ้างหรือไม่?”


เหมาเสี่ยวตงยิ้ม “มีข้าอยู่ หรือต่อให้แย่ที่สุดก็ยังมีเจ้าคนที่มีความคิดชั่วร้ายเต็มท้องอย่างชุยตงซานผู้นั้นคอยจับจ้อง ไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น เรื่องแบบนี้เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แล้วก็ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของมารยาทในการเรียนรู้ เป็นหลักเหตุผลของการอ่านตำรา ไม่จำเป็นต้องใส่ใจมากเกินไป”


เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งที “ปล่อยและเก็บได้ดังใจปรารถนา ไม่เดินไปบนทางที่สุดโต่ง เพียงแต่ว่าเจ้าขุนเขาเหมาคงต้องค่อนข้างเหนื่อยใจแล้ว”


เหมาเสี่ยวตงทำสีหน้าไม่พอใจ “เรียกว่าศิษย์พี่เหมาสักคำมันยากขนาดนี้เชียวหรือ? ทำไม หรือเป็นเพราะรู้สึกว่าข้าเหมาเสี่ยวตงอยู่ห่างชั้นจากฉีจิ้งชุน จั่วโย่วมากเกินไป หรือแม้แต่ชุยฉานและชุยตงซานก็ยังสู้ไม่ได้ ดังนั้นก็เลยไม่เต็มใจจะเรียกข้าว่าศิษย์พี่เหมาสักคำ?”


เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่ใช่อย่างนั้น ขอเจ้าขุนเขาเหมาโปรดอภัยให้ด้วย”


เรื่องที่เกี่ยวพันกับสายบุ๋น เฉินผิงอันไม่อาจทำตัวเกรงอกเกรงใจหรือตอบรับอย่างขอไปทีได้


มองดูเหมือนเหมาเสี่ยวตงจะไม่พอใจ แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับแอบพยักหน้าอยู่กับตัวเอง


หากเป็นคนหนุ่มที่พออริยะในสำนักศึกษาซานหยาอย่างตนกระตือรือร้นรับรอง แต่พอตีหน้าเคร่งบึ้งตึงใส่ก็เปลี่ยนความคิด


จะเรียกตนว่าศิษย์พี่เหมา แน่นอนว่าย่อมมีคุณสมบัติ แต่หากจะเป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของอาจารย์ เป็นศิษย์น้องเล็กของฉีจิ้งชุนและจั่วโย่ว กลับยังไม่แน่เสมอไป


เห็นเพียงเล็กน้อยก็อนุมานได้เป็นวงกว้าง


สายตาเพียงน้อยนิดแค่นี้ เหมาเสี่ยวตงยังพอมีอยู่บ้าง


ตอนนั้นลูกศิษย์ของเหวินเซิ่ง ในบรรดาลูกศิษย์ผู้สืบทอดทั้งสี่คน ชุยฉานลูกศิษย์คนแรกมีความรู้กว้างขวางและมีความสามารถมากที่สุด ฉีจิ้งชุนมีความรู้ที่ลึกซึ้งและถูกต้องมากที่สุด จั่วโย่วที่เลื่อมใสในคำว่า ‘มหามรรคาต้องเดินด้วยตัวเอง’ ประสบความสำเร็จในช่วงที่อายุมากแล้ว ตบะสูงส่งที่สุด และยังมีเจ้าคนหนึ่งที่มองดูเหมือนนิสัยโง่เขลา เป็นโล้เป็นพายได้ช้าที่สุด แต่กลับเป็นลูกศิษย์ที่อาจารย์รักและเอ็นดูมากที่สุดเว้นจากฉีจิ้งชุนในปีนั้น ในความเป็นจริงแล้วตอนที่พ่ายแพ้ในศึกตรีจตุ สายของเหวินเซิ่งที่ในอดีตเป็นดั่งดวงตะวันกลางนภาก็ค่อยๆ เงียบหายไป นอกจาก ‘จั่วโย่วคอยอยู่ข้างกายอาจารย์’ (ประโยคภาษาจีนคือจั่วโย่วเซี่ยงปั้นเซียนเซิงจั่วโย่ว มีจั่วโย่วสองคำ คำแรกหมายถึงตัวละครจั่วโย่ว อีกคำหนึ่งหมายถึงการอยู่เคียงข้าง) ที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วหล้าแล้ว ยังมีคนผู้นี้ที่คอยติดตามอาจารย์อยู่ตลอดเวลา คอยอยู่เคียงข้างอาจารย์ที่สุดท้ายแล้วก็ขังตัวเองอยู่ในสวนป่ากงเต๋อหลินมาตั้งแต่ต้นจนจบ เพียงแต่ว่าไม่รู้ทำไม ดูเหมือนตอนนั้นศิษย์พี่รองจั่วโย่วก็คล้ายจะแยกกันเดินไปคนละทางกับศิษย์พี่สี่แล้ว


และในบรรดาลูกศิษย์กลุ่มที่ได้รับการบันทึกชื่อนี้ คนอย่างเขาเหมาเสี่ยวตงก็ไม่ถือว่าโดดเด่นเท่าใดนัก


นี่แสดงให้เห็นว่าปีนั้นสายของเหวินเซิ่งเป็นที่จับจ้องของผู้คนมากมาย โชคชะตาบุ๋นส่องสว่างพร่างพราวมากแค่ไหน

 

 

 


บทที่ 403.2 อยู่ที่สำนักศึกษา

 

เหมาเสี่ยวตงรู้สึกเสียดายเล็กน้อย ความสง่างามมักถูกสายลมและสายฝนพัดพาไปเสมอ


หลีจิ้งชุนออกจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางมาสร้างสำนักศึกษาซานหยาที่แจกันสมบัติทวีป คนนอกบอกว่าฉีจิ้งชุนคิดจะงัดข้อและสยบกำราบชุยฉานอดีตศิษย์พี่ใหญ่ที่หลอกลวงอาจารย์ลบล้างบรรพบุรุษ แต่เหมาเสี่ยวตงรู้ดีว่าไม่ใช่แบบนั้น


จั่วโย่วก็ยิ่งตัดสินใจได้อย่างเฉียบขาด หนีห่างจากโลกมนุษย์ไปไกล ออกทะเลไปเยี่ยมเยียนเซียนเพียงลำพัง


เจ้าคนโง่เง่าดื้อรั้นที่เคยมีคำเล่าลือบอกว่าเป็นคนเดียวที่สามารถวิ่งไล่ให้อาเหลียงเตลิดไปทั่วถนนได้ก็ยิ่งเงียบหายไร้ข่าวคราวไปร้อยกว่าปีแล้ว


เหมาเสี่ยวตงหยุดความคิดที่วุ่นวายทั้งหลายลง สุดท้ายเส้นสายตาไปหยุดอยู่บนร่างของคนหนุ่มตรงหน้า


ตอนนี้อาจารย์รับเขาไว้เป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายที่สืบทอดสายบุ๋น


ในระยะเวลาเกือบสามปีหลังจากที่เฉินผิงอันเดินทางผ่านสำนักศึกษาแต่ไม่ยอมเข้ามา เหมาเสี่ยวตงทั้งสงสัยใคร่รู้ แล้วก็ทั้งเป็นกังวล สงสัยว่าอาจารย์จะรับเมล็ดพันธ์บัณฑิตแบบใดมา แล้วก็กังวลว่าคนหนุ่มที่มีชาติกำเนิดมาจากถ้ำสวรรค์หลีจูและถูกฉีจิ้งชุนฝากความหวังไว้มากผู้นี้จะทำให้คนผิดหวัง


เพียงแต่เมื่อเหมาเสี่ยวตงใช้วิชาอภินิหารของอริยะลัทธิขงจื๊อนั่งบัญชาการณ์สำนักศึกษามองทุกคำพูดและทุกการกระทำของเฉินผิงอันอยู่ไกลๆ


เขาก็ทั้งไร้ซึ่งความตื่นตะลึง แล้วก็ไม่มีความผิดหวังเลยแม้แต่น้อย


เพียงแค่รู้สึกว่าลูกหลานคนยากจนที่มีชื่อว่าเฉินผิงอันผู้นี้ต่างหากถึงจะเป็นลูกศิษย์ที่อาจารย์จะรับตัวไว้ ถึงจะเป็นศิษย์น้องเล็กที่ฉีจิ้งชุนเต็มใจรับไว้แทนอาจารย์ แบบนี้จึงจะถูกต้อง


หลังจากนั้นเฉินผิงอันก็ซักถามอย่างละเอียดว่าการฝึกตนและการเรียนของหลินโส่วอีจะมีส่วนที่ขัดแย้งกันเองหรือไม่


ถามว่าเมื่อเกาเซวียนเป็นสหายกับอวี๋ลู่แล้ว มิตรภาพนั้นจะไม่บริสุทธิ์พอหรือไม่


หลังจากเซี่ยเซี่ยกลายเป็นสาวใช้ของชุยตงซาน สภาพจิตใจจะเกิดปัญหาหรือเปล่า


เหมาเสี่ยวตงไล่ตอบไปทีละคำถาม บางครั้งก็พลิกเปิดเอกสารผ่านด่านฉบับนั้น


พอรู้ทุกอย่างคร่าวๆ แล้ว เฉินผิงอันถึงรู้สึกโล่งอกได้อย่างแท้จริง


สุดท้ายเหมาเสี่ยวตงยิ้มถามว่า “เรื่องของตัวเอง เรื่องของคนอื่น เจ้าล้วนคิดมากขนาดนี้ ไม่เหนื่อยหรือ?”


เฉินผิงอันส่ายหน้าตอบอย่างจริงใจ “ไม่เหนื่อยเลยสักนิด”


เหมาเสี่ยวตงพยักหน้ารับ เอ่ยเบาๆ ว่า “อันที่จริงการศึกษาหาความรู้และการเรียนวรยุทธ์ฝึกวิชากระบี่ก็คือหลักการเดียวกัน ล้วนจำเป็นต้องเตรียมตัวให้พร้อมอยู่เสมอ เมื่อวิญญูชนพบเจอกับยุคที่การปกครองชัดเจนโปร่งใส สามารถแสดงปณิธานอันแรงกล้าของตน พยายามทำอย่างเต็มที่เพื่อให้ได้มาซึ่งอุดมการณ์อันยิ่งใหญ่ เมื่อพบเจอกับยุคที่การปกครองดำมืด ใต้หล้าวุ่นวาย ก็ให้ทำเหมือนเจียวหลงที่ยืดได้หดได้ ซ่อนตัวอยู่ในมุมที่ไม่มีใครรู้ เป็นเหตุให้พอเกิดความคิดอันแปลกใหม่ ความคิดอันมหัศจรรย์จึงเหมือนมีสีสันอันงดงามพร่างพราวหล่นลงมาจากนอกฟ้า คนบนโลกไม่เคยเห็นไม่เคยรู้จัก”


เฉินผิงอันรู้สึกว่าประโยคนี้ออกจะยิ่งใหญ่เกินไป เขาจึงรู้สึกกระวนกระวายเล็กน้อย


เหมาเสี่ยวตงพลันกดเสียงลงต่ำถามว่า “อาจารย์เคยพูดถึงข้าไหม?”


เฉินผิงอันทำท่าจะพูดแล้วก็หยุดไป แต่สุดท้ายก็ยอมตอบไปตามตรงว่า “ดูเหมือนจะ…ไม่เคยพูดถึง”


เหมาเสี่ยวตงตบเข่าฉาด พูดอย่างขุ่นเคือง “ใต้หล้านี้มีอาจารย์ที่ลำเอียงขนาดนี้ได้อย่างไร?!”


เหมาเสี่ยวตงยังคงไม่ยอมแพ้ ถามอีกว่า “เจ้าลองคิดดูให้ดีอีกครั้งสิ มีตรงไหนที่พลาดไปหรือไม่?”


เฉินผิงอันส่ายหน้าอย่างเด็ดเดี่ยว


เหมาเสี่ยวตงลูบหนวดยิ้ม พูดอย่างมาดมั่นว่า “คิดดูแล้วต้องเป็นเพราะในใจอาจารย์มีลูกศิษย์ แน่นอนว่าไม่จำเป็นต้องเอามาพูดถึงบ่อยๆ”


เฉินผิงอันมั่นใจแล้ว


เจ้าขุนเขาเหมาตรงหน้าผู้นี้ต้องเป็นลูกศิษย์ที่อาจารย์ผู้เฒ่าเหวินเซิ่งสอนมาเองกับมืออย่างแน่นอน


……


คงเป็นเพราะรู้สึกว่าหลี่เป่าผิงค่อนข้างพูดง่าย เผยเฉียนจึงเดินเร็วมากขึ้นเรื่อยๆ ฝีเท้าก็ยิ่งแผ่วเบาขึ้นทุกที


เพียงแต่พอมาถึงหอพักของหลี่เป่าผิง มองเห็นตำราที่ถูกคัดปึกแล้วปึกเล่าบนเตียงเหล่านั้น เผยเฉียนก็เกือบจะลงไปนั่งคุกเข่าโขกหัวให้หลี่เป่าผิงแล้ว


มิน่าเล่าเมื่อครู่นี้เผยเฉียนปลุกความกล้าโอ้อวดตัวเองไปเล็กน้อย บอกว่าตนคัดตัวอักษรทุกวัน หลี่เป่าผิงก็แค่ร้องอ้อรับทีเดียว แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรต่ออีก ตอนแรกเผยเฉียนรู้สึกว่าในที่สุดตนก็พอจะทวงคืนความเสียเปรียบกลับมาได้เล็กน้อย แล้วก็ยังอดลำพองใจนิดๆ ไม่ได้ เอวก็ยืดขึ้นตรงได้อีกนิด


หลี่เป่าผิงรินชาให้เผยเฉียนถ้วยหนึ่ง บอกให้เผยเฉียนหาที่นั่งได้ตามสบาย


ส่วนนางปีนขึ้นไปบนเตียง ยกหีบไม้ไผ่ใบเล็กที่วางพิงไว้กับหัวเตียงมาไว้บนโต๊ะ หยิบเอาดาบแคบ ‘ยันต์มงคล’ และน้ำเต้าสีเงินลูกเล็กที่อาเหลียงมอบให้นางออกมา


หลี่เป่าผิงกล่าว “ยกให้เจ้า”


เผยเฉียนมองดาบแคบและน้ำเต้าลูกเล็ก ตอนนี้นางพอจะดูของออกบ้างแล้ว จึงเงยหน้ามองเผยเฉียน ถามประโยคที่ไม่มีความจำเป็น “แพงมากๆๆ เลยใช่ไหม?”


หลี่เป่าผิงไม่ได้จงใจจะปิดบัง ตอบไปตามที่ตัวเองรู้อย่างหมดเปลือก “อาเหลียงเคยพูดกับข้าเป็นการส่วนตัวว่า ยันต์มงคลเล่มนี้ ระดับขั้นธรรมดา เป็นอาวุธกึ่งเซียนอะไรสักอย่างนี่แหละ แต่น้ำเต้าเล็กที่หลอกเอามาจากเว่ยจิ้นเซียนกระบี่จากศาลลมหิมะต่างหากที่ถือว่าดี เป็นหนึ่งในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่เจ็ดลูกที่ออกลูกบนเถาน้ำเต้าเส้นที่มรรคาจารย์เต๋าปลูกเองกับมือระหว่างที่สร้างกระท่อมฝึกตนในปีนั้น หากผู้ฝึกกระบี่บนโลกใช้เจ้าสิ่งนี้มาบำรุงให้ความอบอุ่นแก่กระบี่บินจะค่อนข้างร้ายกาจ เผยเฉียนเจ้าเริ่มเรียนกระบี่แล้วไม่ใช่หรือ ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็เอามันไปใช้เถอะ”


เผยเฉียนลิ้นพันกันไปหมด พูดอย่างมึนงงว่า “แต่ข้าเพิ่งจะเริ่มฝึกกระบี่ ฝึกได้งูๆ ปลาๆ เท่านั้น ยิ่งไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตอะไรนั่น ข้าค่อนข้างโง่ ชีวิตนี้อาจจะฟูมฟักมันออกมาไม่ได้…”


หลี่เป่าผิงถามตรงประเด็น “ยันต์มงคลกับน้ำเต้าลูกเล็กนี่ เจ้าชอบหรือไม่?”


เผยเฉียนพยักหน้ารับอย่างขลาดๆ


หลี่เป่าผิงเกาหัว ทอดถอนใจอยู่ในใจหนึ่งที


เหตุใดอาจารย์อาน้อยถึงได้หาลูกศิษย์ที่ทึ่มทื่ออย่างนี้มาได้นะ


เผยเฉียนยิ่งกระวนกระวายใจ หางตาเหลือบไปเห็นภูเขาหนังสือบนเตียง แล้วก็หันมามองดาบแคบและน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่สีเงินบนโต๊ะอีกครั้ง


เผยเฉียนพลันเกิดความคิดดีๆ จึงพูดเสียงเบาว่า “พี่หญิงเป่าผิง ของขวัญที่ล้ำค่าขนาดนี้ ข้าไม่กล้ารับเอาไว้ อาจารย์ต้องด่าข้าแน่”


หลี่เป่าผิงกะพริบตาปริบๆ “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็บอกกับอาจารย์ว่าข้าให้เจ้ายืมสิ หนึ่งปีสิบปีก็คือยืม ร้อยปีพันปีก็คือยืมเหมือนกัน ถึงอย่างไรข้าก็ไม่คิดจะทวงคืน ส่วนเจ้าก็แค่พาพวกมันไปท่องยุทธภพให้สบายใจ แค่นี้ก็จบเรื่องแล้วไม่ใช่หรือ?”


เผยเฉียนไหล่ลู่คอตก “จริงด้วย”


หลี่เป่าผิงเปลี่ยนที่นั่ง มานั่งบนม้านั่งตัวยาวข้างกายเผยเฉียน พูดปลอบใจว่า “อย่าคิดว่าตัวเองโง่ เจ้าอายุยังน้อยนี่นา อาจารย์อาน้อยเล่าให้ฟังว่าเจ้าเด็กกว่าข้าตั้งขวบหนึ่ง”


เผยเฉียนฟังแล้วก็รู้สึกเหมือนว่าจะมีเหตุผลอย่างมาก จึงรีบเงยหน้าขึ้นคลี่ยิ้ม สองมือวางพาดไปบนโต๊ะ ถามอย่างระมัดระวัง “พี่หญิงเป่าผิง ขอข้าลูบคลำพวกมันได้ไหม?”


หลี่เป่าผิงลุกพรวดขึ้นยืน ทำเอาเผยเฉียนตกใจสะดุ้งโหยง หลี่เป่าผิงใช้สายตาบอกเป็นนัยแก่เผยเฉียนว่าไม่ต้องตื่นเต้น หลังจากนั้นก็บอกให้เผยเฉียนดูให้ดี


ผลคือเผยเฉียนเห็นว่าหลี่เป่าผิงชักดาบออกจากฝัก สองมือถือดาบ สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง เงื้อดาบฟันฉับไปยังน้ำเต้าลูกนั้น


เผยเฉียนที่มองอยู่ถึงกับตาค้าง


ดาบนี้ของหลี่เป่าผิงค่อนข้างจะเผด็จการ ผลคือน้ำเต้าเล็กมีแสงเปล่งวาบแล้วพุ่งเข้าใส่เผยเฉียนพอดี เผยเฉียนจึงยกมือปัดตบมันตามจิตใต้สำนึก


น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่สีเงินส่งเสียงดังเพี๊ยะ ไปกระแทกบนหน้าหลี่เป่าผิงแทน


เสียงตุ้บดังหนึ่งครั้ง


น้ำเต้าร่วงหล่นลงพื้น


หลี่เป่าผิงที่ยืนตะลึงเริ่มเลือดกำเดาไหล


เผยเฉียนรู้สึกว่าตนต้องตายแน่ๆ


ตอนนี้ในมือหลี่เป่าผิงยังถือยันต์มงคลอยู่เลยนะ มีความเป็นไปได้มากว่าอีกเดี๋ยวนางคงฟันมาที่หัวของตนกระมัง?


คาดไม่ถึงว่าหลี่เป่าผิงจะแค่ยกมือขึ้น ใช้ฝ่ามือปาดเลือดทิ้งลวกๆ เก็บยันต์มงคลกลับเข้าฝักอย่างคุ้นเคย เขย่งปลายเท้าเบาๆ เอื้อมไปหยิบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่มาไว้ในฝ่ามือ แล้วเอาวางลงบนโต๊ะ


พอนั่งลงเรียบร้อย หลี่เป่าผิงก็หัวเราะกับเผยเฉียนอย่างอารมณ์ดี “เผยเฉียน เมื่อครู่นี้ตอนที่เจ้าสกัดขวางและตบทิ้ง งดงามอย่างมาก มีมาดของชาวยุทธแล้ว! ไม่เลวๆ ไม่เสียแรงที่เป็นลูกศิษย์ของอาจารย์อาน้อยข้า”


เผยเฉียนหน้าม่อย ชี้ไปที่จมูกของหลี่เป่าผิง พูดอย่างทึ่มทื่อว่า “พี่หญิงเป่าผิง เลือดยังไหลอยู่เลย”


หลี่เป่าผิงเอามือปาดอีกครั้ง มองฝ่ามือตัวเอง ดูเหมือนว่าเลือดจะยังไหลอยู่จริงๆ นางจึงลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าเป็นธรรมชาติ วิ่งไปข้างเตียง ดึงกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากกองกระดาษเซวียนจื่อ ฉีกเป็นสองแผ่นแล้วขยำเป็นก้อนกลม เงยหน้าขึ้น ยัดกระดาษใส่จมูก ก่อนจะกลับมานั่งข้างกายเผยเฉียน เผยเฉียนหน้าซีดขาว ทำเอาหลี่เป่าผิงที่มองอยู่มึนงง อะไรกัน ทำไมถึงได้รู้สึกว่าน้ำเต้าลูกเล็กกระแทกลงบนหน้านังหนูนี่แทนตนเล่า? แต่ต่อให้กระแทกโดนหน้าอย่างจังก็ไม่เจ็บสักหน่อย หลี่เป่าผิงจึงจับคางตัวเองพลางมองประเมินเผยเฉียนน้อยตัวดำเมี่ยมอย่างละเอียด รู้สึกว่าความคิดของลูกศิษย์อาจารย์อาน้อยคนนี้ค่อนข้างจะพิลึก แม้แต่นางหลี่เป่าผิงก็ยังตามความคิดไม่ทัน ไม่เสียแรงที่เป็นลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของอาจารย์อาน้อย ยังพอจะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวอยู่บ้าง!


เผยเฉียนข่มกลั้นความเสียดาย หยิบน้ำเต้าลูกเล็กหนังสีเหลืองที่ตัวเองรักออกมาจากชายแขนเสื้ออย่างอืดอาด วางไว้บนโต๊ะแล้วผลักไปให้หลี่เป่าผิงเบาๆ “พี่หญิงเป่าผิง มอบให้เจ้า ถือซะว่าเป็นของชดใช้ที่ข้าให้เจ้า”


หลี่เป่าผิงโมโหเล็กน้อย เผยเฉียนผู้นี้ไยทำตัวห่างเหินนัก นางจึงถลึงตาพูดว่า “เก็บไปเลยนะ!”


เผยเฉียนจึงเก็บน้ำเต้าลูกเล็กกลับมาใส่ในชายแขนเสื้อด้วยความเร็วดุจสายฟ้าแลบแต่โดยดี


……


ออกมาจากห้องหนังสือของเหมาเสี่ยวตงแล้ว แสงสุดท้ายกำลังจะหมดลง พลบค่ำใกล้มาเยือน เฉินผิงอันจึงไปหาหลี่ไหวที่น่าจะกำลังเรียนหนังสืออยู่


นอกหน้าต่างของห้องเรียน เฉินผิงอันมองปราดเดียวก็เห็นหลี่ไหวที่ยกหนังสือในมือตั้งสูง ส่วนตัวเขาที่อยู่ด้านหลังหนังสือกำลังงีบหลับ หัวสัปหงกเหมือนไก่จิกเมล็ดข้าวเปลือก


ข้างกายซ้ายขวาของหลี่ไหวมีคนวัยเดียวกันนั่งอยู่สองคน คนหนึ่งที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวาเป็นคนประเภทนั่งไม่ติดที่ กำลังเหลียวซ้ายแลขวา เขามองเห็นเฉินผิงอันตั้งนานแล้ว จึงกำลังใช้ตาน้อยจ้องตาใหญ่อยู่กับเฉินผิงอัน


ส่วนเด็กอีกคนหนึ่งนั่งตัวตรงอย่างสำรวม ตั้งใจฟังอาจารย์สอนมากเป็นพิเศษ


หลิวกวานเห็นว่าคนหนุ่มชุดขาวผู้นั้นคลี่ยิ้มมองมาทางตนอยู่ตลอดเวลาก็รู้ว่าคนหนุ่มที่อายุไม่มากผู้นี้ต้องไม่ใช่อาจารย์ในโรงเรียนแน่นอน จึงแอบทำมือท้าทายด้วยการใช้หมัดทุบฝ่ามือ


ผลกลับถูกอาจารย์ที่กำลังสอนอยู่ตวาดใส่อย่างดุดัน “หลิวกวาน!”


หลิวกวานขยับตัวนั่งตรงแต่โดยดี


หลี่ไหวที่กำลังหลับฝันหวานตกใจจนขวัญบิน หลังจากสะดุ้งตื่นแล้วก็วางหนังสือลง มองไปรอบด้านอย่างมึนงง


อาจารย์ตะโกนก้องทันที “แล้วยังมีเจ้าอีก หลี่ไหว! พวกเจ้าสองคนคืนนี้คัดบท ‘เชวี่ยนเซวี๋ยเพียน’ ห้ารอบ! แล้วก็ห้ามให้หม่าเหลียนช่วยด้วย!”


บทเรียนจบลงแล้ว อาจารย์เดินหน้าเคร่งออกมาจากห้อง


ผงกศีรษะทักทายเฉินผิงอันที่เขาสังเกตเห็นมานานแล้ว


เฉินผิงอันจึงคารวะกลับคืน


เดินออกมาจากห้องเรียนที่ดังจอแจไปด้วยเสียงเบิกบานใจ หลี่ไหวพลันเบิกตากว้าง ทำสีหน้าไม่อยากเชื่อ “เฉินผิงอัน!”


เฉินผิงอันยิ้มพลางโบกมือเบาๆ


หลี่ไหวยิ้มกว้าง แล้วจู่ๆ ก็ตวาดเบาๆ ว่า “เฉินผิงอัน จงรับหมัดไร้ศัตรูของปรมาจารย์ใหญ่หลี่ซะเถอะ!”


จากนั้นหลี่ไหวก็เดินนิ่งหกก้าวอย่างส่งเดชเข้าหาเฉินผิงอัน แล้วก็ถูกเฉินผิงอันใช้ฝ่ามือดันศีรษะเอาไว้


หลี่ไหวดีดดิ้นอยู่นาน ในที่สุดก็ยอมหยุดลง ถามเฉินผิงอันด้วยตาแดงๆ ว่า “เฉินผิงอัน ทำไมเจ้าถึงเพิ่งมาเอาป่านนี้ พี่สาวข้าจากไปตั้งนานแล้ว ไม่อย่างนั้นหากเจ้าได้พบหน้านาง ข้าจะช่วยจับคู่ให้พวกเจ้า พวกเจ้าส่งสายตาให้กัน แล้วค่อยใช้เวลากระหนุงกระหนิงกัน ยืนชมจันทร์ใต้ต้นหลิ่วในสำนักศึกษาของพวกเราด้วยกัน ป่านนี้ข้าก็เรียกเจ้าว่าพี่เขยได้แล้ว”


เฉินผิงอันไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี


หลี่ไหวคว้าแขนเฉินผิงอันมากอด หันตัวไปยิ้มพูดกับหลิวกวานและหม่าเหลียน “เขาก็คือเฉินผิงอัน เฉินผิงอันคนที่มอบตำราและถักรองเท้าสานให้ข้าผู้นั้น! ข้าบอกแล้วไงว่าเขาต้องกลับมาหาข้าที่สำนักศึกษาแน่นอน เป็นไงล่ะ ทีนี้เชื่อหรือยัง?”


หลิวกวานกลอกตามองบน


ที่แท้เจ้าหมอนี่ก็คือเฉินผิงอันที่หลี่ไหวพร่ำพูดถึงจนพวกเขาหูแทบแฉะ


หม่าเหลียนรีบคารวะเฉินผิงอัน


หลี่ไหวหัวเราะอย่างกำเริบเสิบสาน แต่แล้วจู่ๆ ก็หยุดเสียงหัวเราะ “ไปพบหลี่เป่าผิงหรือยัง?”


เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “มาถึงสำนักศึกษาก็ไปพบเป่าผิงน้อยก่อนแล้ว”


หลี่ไหวพยักหน้ารับอย่างแรง “อีกเดี๋ยวพวกเราไปหาหลี่เป่าผิงด้วยกัน นางต้องขอบคุณข้า เป็นข้าที่เชิญเจ้ามาสำนักศึกษา ตอนนั้นนางอยู่บนยอดเขายังคิดจะซ้อมข้า ฮ่าๆ เป็นแค่แม่นางน้อยตัวเล็กๆ จะวิ่งไวเท่าข้าได้หรือ? น่าขันจริงๆ ทุกวันนี้ข้าหลี่ไหวฝึกวิชาเทพประสบความสำเร็จ ก้าวเดินว่องไวราวกับบิน ทะยานบนชายคาเดินบนกำแพง…”


เฉินผิงอันกระแอมหนึ่งที


หลี่ไหวพลันสังเกตเห็นสีหน้ามีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่นของหลิวกวาน และท่าทางอึกๆ อักๆ ของหม่าเหลียน เขาจึงหันหน้ากลับไปช้าๆ มองเห็นว่าด้านหลังตัวเองคือหลี่เป่าผิงและเด็กหญิงข้างกายนางที่ตัวดำราวกับถ่าน แค่มองนางหลี่ไหวก็รู้สึกถูกชะตาทันที เพราะเหมือนเฉินผิงอันตอนที่เพิ่งได้รู้จักกันอย่างมาก


หลี่เป่าผิงยกสองแขนกอดอก หัวเราะเสียงเย็น “หลี่ไหว ข้าต่อให้เจ้าวิ่งไปก่อนร้อยก้าว จะไปหลบบนต้นไม้ บนหลังคาหรือในห้องส้วมก็ตามใจเจ้า”


หลี่ไหวกล่าวอย่างขลาดๆ “หลี่เป่าผิง เห็นแก่ที่เฉินผิงอันมาเยือนสำนักศึกษาจริงๆ พวกเราก็ถือซะว่าเจ๊ากันดีไหม?”


หลี่เป่าผิงยิ้มตอบ “เจ๊ากัน?”


หลี่ไหวคิดแล้วก็ตอบว่า “ก็ได้ ถ้าอย่างนั้นก็ถือว่าข้าเป็นฝ่ายพ่ายแพ้?”


หลี่เป่าผิงเห็นแก่อาจารย์อาน้อย ครั้งนี้จึงไม่ถือสาหลี่ไหวอีก


หลี่ไหวเห็นว่าหลี่เป่าผิงไม่เหมือนจะจัดการตนก็ฮึกเหิมขึ้นมาโดยพลัน เขย่าแขนเฉินผิงอัน พูดอย่างลิงโลด “ตอนนี้เจ้าพักอยู่ที่ไหน จะไปนั่งในหอของข้าก่อนไหม?”


เผยเฉียนตาเป็นประกาย หลี่ไหวผู้นี้คือคนบนเส้นทางเดียวกัน!


คนทั้งกลุ่มจึงพากันไปยังหอพักชั่วคราวของเฉินผิงอัน


อันที่จริงหม่าเหลียนอยากจะตามหลี่ไหวไปด้วย แต่กลับถูกหลิวกวานลากให้ไปกินข้าวด้วยกัน


จูเหลี่ยนยังคงออกไปเที่ยวไม่กลับมา


สือโหรวอยู่ในห้องพักของตัวเองไม่ออกมาพบหน้าใคร


เมื่อมาอยู่ในสำนักศึกษาของลัทธิขงจื๊อ


ไม่ว่าเจ้าจะเป็นวัตถุหยินเซียนดินสมชื่อแค่ไหน แต่ใครเล่าจะกล้าทำตัวโอ้อวดในสถานที่แบบนี้?


สือโหรวรู้สึกว่าทุกครั้งที่หายใจล้วนเป็นการดูหมิ่นสำนักศึกษา จึงรู้สึกละอายใจและกริ่งเกรงอย่างยิ่งยวด


นี่ก็คือใต้หล้าไพศาล


เฉินผิงอัน หลี่เป่าผิง เผยเฉียน หลี่ไหว


พวกเขาสี่คนนั่งล้อมโต๊ะหนึ่งได้พอดี กำลังกินอาหารที่ทางสำนักศึกษาจัดเตรียมไว้ให้กับแขกที่มาเข้าพักร่วมกัน


หลี่ไหวที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับเฉินผิงอันเสียงดังที่สุด ถึงอย่างไรขอแค่มีเฉินผิงอันอยู่ข้างกาย แม้แต่หลี่เป่าผิงเขาก็ไม่ต้องกลัว


หลี่ไหวถาม “เฉินผิงอัน กินข้าวเสร็จแล้วให้ข้าพาเจ้าไปหาหลินโส่วอีไหม? ทุกวันนี้เจ้าหมอนั่นพบหน้าได้ยากมากเลยล่ะ มีชีวิตสุขสำราญยิ่งนัก มักจะออกไปเที่ยวเล่นนอกสำนักศึกษาบ่อยๆ ข้าอิจฉาจะตายอยู่แล้ว”


เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ตอนนี้เป็นช่วงยามซวี (หนึ่งทุ่มถึงสามทุ่ม) พอดี คือช่วงเวลาที่ผู้ฝึกลมปราณค่อนข้างให้ความสำคัญ ทางที่ดีที่สุดไม่ควรไปรบกวนเขา รอให้ผ่านยามซวีไปก่อนค่อยไปหา ไม่ต้องให้เจ้านำทาง ข้าจะไปหาหลินโส่วอีเอง”

 

 

 


บทที่ 403.3 อยู่ที่สำนักศึกษา

 

การฝึกตนบนมหามรรคาต้องจู้จี้จุกจิกในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ


กฎบางอย่างของการฝึกตน ไม่ว่าจะเอาไปวางไว้ที่ไหนในสี่สมุทรก็ล้วนถูกต้องแม่นยำ


ยกตัวอย่างเช่นหนึ่งวันเน้นย้ำในสี่ช่วงเวลา ไม่อาจเพิกเฉยเกียจคร้าน ยามจื่อฟ้าดินสว่างแจ่มใส เหมาะกับการมองพลังชีวิตจากภายใน ใช้สะพานแห่งความเป็นอมตะสื่อสารกับฟ้าดินขนาดเล็กในร่างและฟ้าดินขนาดใหญ่นอกร่าง ยามอิ๋นเหมาะแก่การหล่อเลี้ยงลมปราณ โคจรลมปราณมาบำรุงช่องโพรงและเส้นชีพจร ยามอู่ใช้ไฟหยางมาหล่อหลอมลมปราณให้กลายเป็นของเหลว ยามซวีหล่อหลอมของเหลวให้เป็นพลังจิต ค่อยๆ สั่งสมอยู่ใน ‘จวน’ สำคัญที่ซุกซ่อนอยู่ตามช่องโพรงแห่งชะตาชีวิตไปทีละนิด สั่งสมจนแตกหน่อเกิดเป็นรากฐานของมหามรรคา


นอกจากสี่ช่วงเวลาของหนึ่งวันแล้ว แต่ละเดือนแต่ละปีก็มีจุดที่ต้องพิถีพิถันแตกต่างกันไป


รากฐานมหามรรคาล้วนเป็นการใช้ความสามารถในภายหลังมาขัดเกลาซ่อมแซมความสามารถก่อนกำเนิด ใช้วิธีการหลังกำเนิดที่คล้ายคลึงกับการใช้น้ำเช็ดกระจก ทำให้ค่อยๆ แจ่มชัดขึ้นทีละนิด สุดท้ายจึงกลายเป็นแก้วใสไร้มลทินอย่างในตำนาน


กุญแจสำคัญที่สุดก็คือการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ ทั้งหลาย ขอแค่ก้าวข้ามธรณีประตูของการฝึกตนไปได้ เริ่มเดินขึ้นเขา เพียงเกียจคร้านหนึ่งวันก็จะรับรู้ได้ถึงสิ่งที่ตนเองพลาดไปในหนึ่งวัน ดังนั้นผู้ที่ฝึกตนจึงมิอาจเกียจคร้านได้เลย


หากเข้าใจความลี้ลับที่ซุกซ่อนอยู่นี้ กฎเกณ์หลายอย่างที่เกิดการวิวัฒนาการเปลี่ยนแปลงเพราะสาเหตุนี้ ซึ่งเดิมทีมองดูเหมือนมีไอเมฆไอหมอกล้อมเวียนวนก็จะพลันเปิดกว้างกระจ่างแจ้ง ยกตัวอย่างเช่นกษัตริย์ในราชวงศ์โลกมนุษย์ที่ไม่สามารถฝึกตนได้ถึงห้าขอบเขตกลาง หรือยกตัวอย่างเช่นเหตุใดผู้ฝึกตนถึงได้ค่อยๆ หนีห่างไปจากโลกมนุษย์ ไม่ยินดีถูกห่อหุ้มไว้ด้วยฝุ่นผงแห่งโลกีย์ แต่ต้องไปฝึกตนอยู่ในถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลที่มีปราณวิญญาณเปี่ยมล้น ลงจากเขามาฝึกตนหาประสบการณ์ ย้อนกลับเข้ามาในโลกมนุษย์ก็แค่เพื่อขัดเกลาสภาพจิตใจของตัวเอง แล้วเหตุใดหลังจากผู้ฝึกตนเลื่อนสู่ขอบเขตบินทะยานแล้วกลับไม่ยินดีออกจากภูเขา บุกเข้าไปกลืนกินปราณวิญญาณและโชคชะตาของสถานที่แห่งอื่นโดยพลการ


ชุยตงซานเคยยิ้มพูดว่า มีผู้ฝึกลมปราณที่แสวงหาความเป็นอมตะไม่เสื่อมสลาย ยิ่งตบะสูงส่งมากเท่าไหร่ คนที่ไม่เต็มใจจะใช้เหตุผลกฎเกณฑ์ก็ยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น และเรื่องที่ไม่พิถีพิถันก็จะยิ่งมากตามไปด้วย โลกมนุษย์ที่อยู่ด้านล่างภูเขาจะเริ่มสั่นคลอน ก็เหมือนกับม้านั่งที่เบ้าและเดือยเริ่มคลายตัว


ในฐานะที่เหล่าอริยะของลัทธิขงจื๊อเป็นผู้นำแห่งใต้หล้าไพศาล การซ่อมแซมชดเชยจึงค่อนข้างจะยากลำบาก


หากพูดแค่เรื่อง ‘การสั่งสอนอบรมทางบ้าน’ เหล่านักพรตเต๋าจมูกวัวในใต้หล้ามืดสลัวนับว่าเปลืองแรงกายแรงใจน้อยที่สุด ขอแค่ผู้ฝึกตนใหญ่ใจกล้ามากไป ไม่ถูกใจเมื่อไหร่ สิบสองชั้นห้านครของป๋ายอวี้จิงแห่งนั้นก็จะมีเซียนที่ได้รับคำสั่งจาก ‘เจ้าหอ’ บางท่านของสามลัทธิบินทะยานออกไป ตบคนผู้นั้นให้ตายด้วยฝ่ามือเดียว แต่ก็มีผู้ฝึกตนใหญ่บางส่วนที่หนีพ้นหายนะมาได้ไปตีกลองร้องทุกข์อยู่บนหอฟ้าแห่งใดแห่งหนึ่งของใต้หล้าแห่งนั้น ในประวัติศาสตร์มีเพียงเจ้าลัทธิใหญ่สวมกวานเต๋าดอกพุดตานซึ่งเป็นลูกศิษย์ใหญ่ของมรรคาจารย์เต๋าเท่านั้นที่มักจะฟังคำร้องทุกข์ของผู้คนเป็นประจำและช่วยพวกเขาให้หลุดพ้น อย่างน้อยก็สามารถลดโทษให้เบาลง หรือบางครั้งก็ถึงขั้นละเว้นโทษไปโดยตรง กลับกลายเป็นว่าบันทึกกล่าวโทษและลงโทษเซียนของป๋ายอวี้จิงอย่างหนักแทน


หากลู่เฉินลูกศิษย์คนเล็กของมรรคาจารย์เต๋าเป็นผู้ตัดสินใจก็ต้องดูที่อารมณ์ของเจ้าลัทธิคนนี้แล้ว หากอารมณ์ดี ทุกเรื่องก็พูดง่าย ไม่แน่ว่าอาจกลายเป็นโชควาสนาครั้งหนึ่ง หากอารมณ์ไม่ดีก็มีความเป็นไปได้ว่าจะถูกเพิ่มโทษทัณฑ์เป็นเท่าตัว


หากมาถึงคราวที่เต๋าเหล่าเอ้อร์เฝ้าบัญชาการณ์ป๋ายอวี้จิง


ก็ไม่มีทางมีคนมาตีกลองร้องทุกข์แล้ว


เพราะว่าต้องถูกเต๋าเหล่าเอ้อร์ลงมือสังหารโดยตรง จิตวิญญาณที่เหลืออยู่ มีความเป็นไปได้เกินครึ่งว่าจะโดนกระชากเข้าไปไว้ในฝ่ามือของเขา และที่นั่นก็คือ ‘แดนชำระบ่อสายฟ้า’ ที่บริสุทธิ์ที่สุดในฟ้าดิน


ฟ้าดินกว้างใหญ่


คนธรรมดาใช้เวลาหมดไปทั้งชีวิต ต่อให้จะชื่นชอบการท่องเที่ยวมากแค่ไหนก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะสามารถท่องเที่ยวไปตามพื้นที่ของหนึ่งแคว้นได้ทั่ว และต่อให้กลายเป็นผู้ฝึกตนไปแล้วก็ยังไม่กล้าพูดว่าจะท่องไปได้ทั่วพื้นที่ของทวีปแห่งหนึ่ง หรือหากโชคดีได้เลื่อนขั้นเป็นเทพเซียนห้าขอบเขตบนที่อยู่บนยอดเขาก็ยังไม่กล้าพูดว่าตัวเองสามารถเดินท่องไปทั่วทุกใต้หล้าได้เช่นกัน


ตอนที่หลี่เป่าผิงกินข้าว นางไม่ค่อยชอบพูดคุย


เผยเฉียนนั้นไม่กล้าพูด


ดังนั้นจึงมีเสียงของหลี่ไหวดังจ้อไม่หยุดอยู่คนเดียว หลี่เป่าผิงถลึงตามองหลี่ไหวอยู่หลายครั้ง เรื่องราวในสำนักศึกษาหลายเรื่องล้วนถูกหลี่ไหวเล่าไปหมดแล้ว นางยังจะมีอะไรเล่าให้อาจารย์อาน้อยฟังอีก


หลี่ไหวโคลงศีรษะ ยังคงท้าทายหลี่เป่าผิงอย่างไม่รู้จักกลัวตาย นี่เรียกว่าไหแตกแล้วก็ทุบให้แหลกเสียเลย ถึงอย่างไรในอนาคตก็ต้องถูกหลี่เป่าผิงคิดบัญชีย้อนหลังอยู่แล้ว


เฉินผิงอันพูดไม่มาก ยังคงเคี้ยวข้าวช้าๆ อย่างละเอียดเหมือนในอดีต ส่วนใหญ่คือคอยคีบอาหารให้เด็กทั้งสามมากกว่า


หลี่ไหวพลันถามขึ้นว่า “เฉินผิงอัน ทำไมเจ้าถึงเปลี่ยนการแต่งกายแล้วล่ะ รองเท้าแตะก็ไม่สวมแล้ว ระวังว่าเปลี่ยนจากฟุ่มเฟือยมาเป็นประหยัดนั้นยาก…”


ไม่รอให้หลี่ไหวพูดจบ เขาก็งอตัวร้องโอดโอยเสียก่อน


หลี่เป่าผิงกับเผยเฉียนพร้อมใจกันกระทืบเท้าหลี่ไหวคนละทีอยู่ใต้โต๊ะ


เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “อันที่จริงก็เคยคิดมาก่อนว่าตอนที่เข้ามาในสำนักศึกษาจะเปลี่ยนมาสวมเสื้อผ้าและรองเท้าฟางเหมือนเมื่อก่อน แต่กลัวว่าพวกเจ้าจะอับอาย ตอนนี้ที่แต่งตัวแบบนี้ก็เพราะเดินทางอยู่ในยุทธภพต้องระมัดระวังให้มาก บวกกับที่เมื่อแต่งกายแบบนี้สามารถช่วยในการฝึกตน ดังนั้นข้าจึงสวมชุดคลุมอาคมจินหลี่บนร่างตัวนี้มานานจนชินแล้ว แต่หากให้สวมชุดที่เมื่อก่อนเคยสวมก็ไม่รู้สึกว่าไม่สบายตรงไหน”


หลี่ไหวแสยะยิ้ม “ตอนนั้นที่อยู่นอกห้องเรียน ข้าเกือบจะจำเจ้าไม่ได้แล้ว เฉินผิงอันเจ้าตัวสูงขึ้นเยอะมาก แล้วก็ไม่ได้ดำทะมึนเหมือนเมื่อก่อน ข้าเห็นแล้วไม่ชินตาเลย”


เฉินผิงอันเอ่ยสัพยอก “แต่เจ้าหลี่ไหวกลับไม่เปลี่ยนไปเลย แค่อ่านหนังสือก็ง่วงแล้ว?”


หลี่ไหวทอดถอนใจ “เฉินผิงอัน เจ้าไม่รู้หรอกว่าตอนนี้ข้าเรียนหนังสือเหนื่อยยากแค่ไหน เหนื่อยยิ่งกว่าตอนที่พวกเราเดินทางกันเสียอีก โดยเฉพาะตอนที่พวกอาจารย์สอนหนังสือแล้วต้องอั้นฉี่ อั้นจนเกือบจะทำให้คนตายได้เลยล่ะ”


หลี่เป่าผิงใช้นิ้วมือเคาะลงบนโต๊ะ บอกเป็นนัยให้หลี่ไหวระวังคำพูด


หลี่ไหวกล่าวอย่างหงุดหงิด “น่ารำคาญ มีกฎเกณฑ์มากยิ่งกว่าพวกอาจารย์เสียอีก”


ทุกคนกินอิ่มกันพอสมควรแล้ว และบนโต๊ะก็แทบไม่เหลืออาหารอะไรอีก


เฉินผิงอันกล่าวว่า “อีกเดี๋ยวข้ายังต้องไปหาเจ้าขุนเขาเหมาอีกรอบ มีธุระสำคัญต้องคุยกัน หลังจากนั้นจะไปหาหลินโส่วอีกับอวี๋ลู่และเซี่ยเซี่ย พวกเจ้าไปเดินเล่นกันเองเถอะ จำไว้ว่าอย่าให้ละเมิดกฎห้ามออกจากที่พักยามราตรีของสำนักศึกษา”


หลี่ไหวถาม “เฉินผิงอัน เจ้าจะอยู่ที่สำนักศึกษากี่ปี?”


หลี่เป่าผิงหลุดหัวเราะอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน


เผยเฉียนหน้าเจื่อน ท่าทางกล้าๆ กลัวๆ


เฉินผิงอันหัวเราะอย่างฉุนๆ “ไม่อยู่นานนักหรอก แต่ก็ไม่ใช่ว่าอยู่แค่ไม่กี่วันแล้วก็ไป”


หลี่ไหวร้องอ้อหนึ่งที ในขณะที่หลี่เป่าผิงและเผยเฉียนช่วยกันเก็บถ้วยเก็บตะเกียบก็ถามขึ้นว่า “เฉินผิงอัน ทำไมเจ้าไม่อยู่ต่อเพื่อเรียนหนังสือในสำนักศึกษาล่ะ วันหน้าพวกเรากลับไปที่เขตการปกครองหลงเฉวียนด้วยกันก็ดีจะตายไป ทำไม ท่องเที่ยวอยู่ข้างนอกนานแล้ว จิตใจก็ทะเยอทะยานแล้วใช่ไหม ต่อให้เจ้าไม่เห็นแก่หลี่เป่าผิง แต่ในสำนักศึกษาก็ยังมีข้าหลี่ไหวอยู่นี่นา พวกเราเป็นพี่น้องเป็นสหายรักที่เคยร่วมทุกข์ร่วมความยากลำบากด้วยกันมา ไม่แน่ว่าวันหน้าข้าอาจจะยังได้เรียกเจ้าว่าพี่เขย เจ้าจะใจดำทิ้งน้องภรรยาตัวน้อยอย่างข้าไว้ในสำนักศึกษาได้ลงคอหรือ? เจ้าเองก็รู้ดีว่าปีนั้นอาเหลียงอยากจะเป็นพี่เขยของข้า ข้ายังไม่ยอมรับปากเลย!”


เฉินผิงอันกล่าวอย่างระอาใจ “คำพูดแบบนี้ เจ้าอย่าเอาไปพูดต่อหน้าหลินโส่วอีกับต่งสุ่ยจิงเชียว”


หลี่ไหวถอนหายใจหนักๆ “เจ้าสองคนนี้ คนหนึ่งคือน้ำเต้าตันที่ไม่รู้จักพูดอะไรอย่างตรงไปตรงมา อีกคนหนึ่งก็ทึ่มทื่อเป็นตอไม้ ข้าว่าไม่มีหวังหรอก พี่สาวข้าไม่น่าจะชอบพวกเขาได้ ส่วนท่านแม่ข้าชอบหลินโส่วอีมากกว่าเล็กน้อย ท่านพ่อข้าชอบต่งสุ่ยจิ่งมากกว่า แต่ครอบครัวข้าเป็นอย่างไร คำพูดของข้าหลี่ไหวได้ผลดีที่สุด แม้แต่พี่สาวข้าก็ยังต้องเชื่อฟังข้า เฉินผิงอัน พวกเรามาปรึกษากันหน่อย ขอแค่เจ้าอยู่เป็นเพื่อนข้าในสำนักศึกษาหนึ่งปี ก็ได้ ครึ่งปีก็ได้ เจ้าก็จะเป็นพี่เขยข้า! สินสอดทองหมั้นกะผายลมอะไรนั่นก็ไม่เอา!”


เฉินผิงอันด่ายิ้มๆ “ไสหัวไปเลย!”


หลี่ไหวตบโต๊ะ “เฉินผิงอัน พูดกับน้องภรรยาให้ดีหน่อย! วันหน้าอย่าหาว่าข้าไม่เตือนล่ะ!”


หลี่เป่าผิงตบผัวะหนึ่งที หลี่ไหวทำคอย่น ท่าทางดุดันหายวับไปทันใด


หลี่ไหวฉวยโอกาสตอนที่หลี่เป่าผิงกับเผยเฉียนยกจานชามไปไว้ที่ห้องครัวนอกหอพักขยับมานั่งข้างกายเฉินผิงอัน นอนฟุบตัวบนโต๊ะ พูดเสียงค่อยว่า “เฉินผิงอัน ตอนนี้พี่สาวข้าหน้าตางดงามนักล่ะ ไม่โกหกเจ้าจริงๆ นะ”


เฉินผิงอันลูบศีรษะของเจ้าตัวน้อย “ไม่ต้องให้เจ้าเชื่อมสะพานเป็นพ่อสื่อให้จริงๆ ข้ามีแม่นางที่ชอบอยู่แล้ว”


หลี่ไหวสีหน้าหม่นหมอง


เฉินผิงอันพูดเบาๆ “ไม่เป็นพี่เขยของเจ้า ใช่ว่าจะไม่เป็นเพื่อนเจ้าด้วยสักหน่อย”


หลี่ไหวกล่าวอย่างมีแรงแต่ไร้กำลัง “แต่ข้ากลัวนี่นา คราวนี้จากไปทีก็นานถึงสามปี คราวหน้าล่ะ จากไปแล้วจะไม่ผ่านไปอีกสามปีห้าปีเลยหรือ? มีเพื่อนที่ไหนเป็นแบบเจ้าบ้าง ตอนที่ข้าถูกคนในสำนักศึกษารังแก เจ้าก็ไม่อยู่ด้วย”


เฉินผิงอันพูดไม่ออก


หากอิงตามแผนการที่เขาวางไว้ในใจ คราวนี้ไม่ใช่แค่สามปีห้าปีแล้วจะได้พบกันใหม่จริงๆ


เขาเตรียมจะไปที่เขตการปกครองหลงเฉวียนและทะเลสาบเจี่ยนหู พอผ่านแคว้นไฉ่อีแคว้นซูสุ่ยแล้วก็จะขึ้นเหนือต่อ เหนือยิ่งกว่าราชวงศ์ต้าหลีที่อยู่ทางเหนือสุดของแจกันสมบัติทวีปซะอีก


หลี่ไหวสูดจมูก เงยหน้าขึ้นยิ้ม “ช่างเถอะ พวกเราต่างก็เป็นผู้ใหญ่กันแล้ว มัวร่ำรี้ร่ำไรแบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่อง เรื่องของพรุ่งนี้ก็ค่อยว่ากันพรุ่งนี้!”


เฉินผิงอันตบศีรษะหลี่ไหวเบาๆ “ดูเหมือนเผยเฉียนจะยังกลัวเป่าผิงอยู่เล็กน้อย ช่วงเวลานี้เจ้าก็อยู่เล่นกับเผยเฉียนบ่อยๆ ได้”


หลี่ไหวหัวเราะคิกทันที “เจ้าถ่านดำน้อยนั่นน่ะหรือ ไม่มีปัญหา กลัวหลี่เป่าผิงแล้วน่าอายตรงไหน ข้าเองก็กลัวเหมือนกัน ใครกลัวคนนั้นต่างหากถึงจะเป็นวีรบุรุษชายชาตรี!”


สามารถเอาเรื่องที่น่าอายมาพูดอย่างสมเหตุสมผลและเปี่ยมไปด้วยความฮึกเหิมเช่นนี้ เกรงว่าก็คงมีแต่หลี่ไหวเท่านั้นที่ทำได้


หลังจากนั้นเฉินผิงอันก็ไปที่ห้องหนังสือของเหมาเสี่ยวตงอีกครั้ง


เริ่มพูดคุยปรึกษาเรื่องการหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตชิ้นที่สอง


เหมาเสี่ยวตงได้รับจดหมายลับฉบับนั้นจากชุยตงซานแล้ว เขาถึงขนาดคิดทุกอย่างไว้รอบคอบยิ่งกว่าเจ้าเรื่องอย่างเฉินผิงอันเสียอีก


เกี่ยวกับวัตถุดิบวิเศษที่จำเป็นในการหล่อหลอมหัวใจบุ๋นสีทองดวงนั้น เขาได้ซื้อของมาเตรียมไว้เจ็ดแปดส่วนแล้ว บางส่วนยังส่งมาไม่ถึงสำนักศึกษา แต่ก่อนจะเข้าช่วงฤดูใบไม้ผลิต้องรวบรวมได้ครบไม่ขาดสักชิ้นแน่นอน


เฉินผิงอันบอกว่าอาจต้องคืนเงินให้ภายหลัง


เหมาเสี่ยวตงไม่ได้อิดออด บอกว่าจะคิดเงินตามราคาตลาด ให้เฉินผิงอันพยายามคืนเงินให้ครบภายในยี่สิบปี


เพราะเป็นการหลอมหัวใจบุ๋นสีทองที่พิเศษอย่างถึงที่สุดมาทำเป็นหนึ่งในวัตถุแห่งชะตาชีวิตห้าธาตุ เหมาเสี่ยวตงนอกจากจะพินิจพิเคราะห์หัวใจบุ๋นดวงที่เฉินผิงอันเอาออกมาจากวัตถุฟางชุ่นอย่างละเอียดแล้ว อันที่จริงก่อนหน้านี้เขาก็เคยได้ทำความเข้าใจกับประวัติศาสตร์แคว้นไฉ่อีและอักขรานุกรมท้องถิ่นที่ศาลเทพอภิบาลเมืองตั้งอยู่ สุดท้ายก็วิเคราะห์ได้ว่าเสิ่นเวินที่เปลี่ยนจากขุนนางบุ๋นเป็นเทพผู้นั้นได้ใช้ควันธูปที่บริสุทธิ์และปราณแห่งความเที่ยงธรรม และมีความเป็นไปได้อย่างถึงที่สุดว่ายังต้องใช้อิทธิพลของตราประทับที่เทียนซือใหญ่หล่อหลอมด้วยตัวเองกับใช้วิชาอสนีมาปลุกเสกร่วม สุดท้ายถึงกลายมาเป็นหัวใจบุ๋นร่างทองดวงนี้ นี่ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายดายเลย


ดังนั้นเหมาเสี่ยวตงจึงวางแผนว่าจะพาเฉินผิงอันไปเยือนสถานที่อย่างศาลบุ๋นของเมืองหลวงต้าสุยเป็นการส่วนตัวสักรอบหนึ่งก่อน


แต่สถานที่สุดท้ายที่ใช้หล่อหลอม แน่นอนว่ายังต้องเป็นสำนักศึกษาซานหยาที่เขาสามารถควบคุมโชคชะตาได้แห่งนี้


คนทั้งสองพูดคุยเรื่องรายละเอียดกันอย่างต่อเนื่อง


เหมาเสี่ยวตงยิ่งรู้สึกปลาบปลื้ม


ต่อให้เป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกับรากฐานการฝึกตนที่สุดท้ายจะตัดสินว่าความสำเร็จสูงหรือต่ำ เฉินผิงอันก็ยังคงไม่รีบไม่ร้อน สภาพจิตใจประดุจบ่อโบราณไร้ระลอกคลื่น ทำให้เหมาเสี่ยวตงพึงพอใจอย่างมาก


การพูดคุยหลายอย่างที่มองดูเหมือนเป็นเรื่องสัพเพเหระ คำตอบของเฉินผิงอัน รวมไปถึงการที่เขาเป็นฝ่ายถามถึงข้อสงสัยในตำราบางอย่างด้วยตัวเองก่อน เหมาเสี่ยวตงไม่ได้รู้สึกตื่นตะลึง แต่กลับรู้สึกถึงความแน่วแน่ที่แสดงให้เห็นถึงปณิธานที่เด็ดเดี่ยวได้อย่างรางๆ


แค่นี้ก็เพียงพอมากแล้ว!


โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเฉินผิงอันมองสีท้องฟ้าแล้วบอกว่าจะไปพบหลินโส่วอี อวี๋ลู่และเซี่ยเซี่ยสักหน่อย ไม่คิดจะพูดถึง ‘เรื่องเป็นการเป็นงาน’ ที่ใหญ่ยิ่งกว่าฟ้าให้เสร็จรวดเดียวจบ เหมาเสี่ยวตงก็คลี่ยิ้มตอบรับอีกฝ่าย


หลังจากเฉินผิงอันจากไปพร้อมกับความรู้สึกเกรงใจ


ผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่ที่ผู้อื่นมองว่าคร่ำครึเข้มงวดนั่งอยู่ในห้องหนังสือเพียงลำพัง น้ำตาอาบนองใบหน้าอย่างไม่อาจห้ามตัวเองได้ แต่ปากกลับคลี่ยิ้มปลาบปลื้ม


ในสายตาของเหมาเสี่ยวตง ต่อให้มีชุยตงซานที่แม่งมีพรสวรรค์เลิศล้ำสักสิบคนก็ยังเทียบกับเฉินผิงอันคนเดียวไม่ได้เลย!


……


ไม่มีหลี่เป่าผิงอยู่ข้างกาย


เผยเฉียนพลันเหมือนคนที่ไร้พันธนาการ เปี่ยมไปด้วยพลังห้าวเหิมมีชีวิตชีวา


พอไปถึงหอพักของหลี่ไหว เพิ่งนั่งได้ไม่นานเท่าไหร่ ไม่เพียงแต่หลี่ไหวเท่านั้น แม้แต่หลิวกวานและหม่าเหลียนก็ยังเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง คอยหันมามองหน้ากันเอง


ตรงเอวของเผยเฉียนห้อยดาบไม้ไผ่และกระบี่ไม้ไผ่เอาไว้แล้ว นางนั่งอยู่บนเก้าอี้ยาว เผชิญหน้ากับคนสามคนที่นั่งเรียงกันอยู่


นางกำลังเล่าประสบการณ์ในยุทธภพของตัวเองให้พวกเขาฟัง


เปิดฉากมาก็มีพลังสยบอย่างยิ่ง “พวกเจ้าคงจะมองออกว่า ในฐานะที่ข้าเผยเฉียนเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ จึงเป็นชาวยุทธ์ที่โหดเหี้ยมเลือดเย็นมากคนหนึ่ง! ภูตผีปีศาจตามภูเขาและหนองน้ำที่ถูกข้าฆ่าตายหรือไม่ก็สยบกำราบได้นั้น มีมากมายจนนับไม่ถ้วน”


หอยทากที่ถูกวิชากระบี่มารคลั่งของนางสังหาร คางคกบนทางภูเขาที่โดนนางเตะกระเด็น หรือแม้แต่สุนัขพันธ์พื้นบ้านที่ถูกนางกดหัวเอาไว้ ภูเขากระโดดที่ถูกนางจับได้ ล้วนเป็นภูตผีปีศาจในอนาคตที่นางจินตนาการเอาไว้


หลิวกวานที่เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งยกน้ำรินชาให้นางดื่ม


หม่าเหลียนก็รีบฉวยจังหวะที่จอมยุทธ์หญิงเผยดื่มน้ำไปหยิบเมล็ดแตงและขนมออกมาให้นางกิน


หลี่ไหวโอบหุ่นไม้หลากสีตัวนั้นไว้ในอ้อมอก แกล้งยิ้มโง่ๆ แต่ลึกๆ ในใจกลับรู้สึกว่านังหนูตัวดำผู้นี้นิสัยไม่เหมือนหน้าตาเลย ขี้โม้ยิ่งกว่าตนกับอาเหลียงเสียอีก! ถือว่าตนได้มาเจอกับคู่ต่อสู้แล้ว!


……


หลังจากเฉินผิงอันเดินออกมาจากที่พักของเหมาเสี่ยวตงก็เห็นว่าหลี่เป่าผิงมายืนรอตนอยู่ตรงหน้าประตู แถมยังสะพายหีบไม้ไผ่ใบเล็กมาด้วย


เขาไม่ประหลาดใจแม้แต่น้อย


ครั้งแรกที่เฉินผิงอันออกจากบ้านเกิด เดินทางไปสู่โลกที่อยู่ภายนอกถ้ำสวรรค์หลีจู แน่นอนว่าย่อมต้องเป็นครั้งที่เฉินผิงอันคุ้มครองพวกหลี่เป่าผิงมาขอศึกษาต่อที่สำนักศึกษาต้าสุย


ในทางกลับกันแม่นางน้อยเองก็ออกท่องยุทธภพเป็นเพื่อนอาจารย์อาน้อยเหมือนกันไม่ใช่หรือ?


ระยะทางช่วงแรกเริ่มสุดที่มีเพียงคนสองคนคอยอยู่เคียงข้างกัน ช่วงเวลาที่เดินทางผ่านภูเขาเขียวและน้ำใส พวกเขาใกล้ชิดสนิทสนมกันมากเป็นพิเศษ


เฉินผิงอันไม่ได้รีบร้อน เขาย่อตัวลง ยิ้มถามว่า “เป่าผิง หลายปีมานี้มีใครในสำนักศึกษาแกล้งเจ้าหรือไม่?”


หลี่เป่าผิงตั้งใจคิด ก่อนจะส่ายหน้า “อาจารย์อาน้อย ไม่มีหรอก”


เฉินผิงอันเกาหัว ถึงกับรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย


ในทะเลสาบหัวใจพลันมีเสียงของเหมาเสี่ยวตงดังขึ้น


เฉินผิงอันหน้าไม่เปลี่ยนสี ฟังจบแล้วก็ยืดตัวขึ้น จูงมือหลี่เป่าผิง มองออกไปยังทัศนียภาพยามค่ำคืนของเมืองหลวงนอกภูเขาตงซานของสำนักศึกษา


หนึ่งคนโตหนึ่งเด็กพากันเดินลงจากภูเขา


“อาจารย์อาน้อย เมื่อครู่นี้ข้าคัดตำราไว้ห้าฉบับแล้ว เอามาเก็บแยกไว้ในหีบหนังสือเพื่อรอมอบให้กับอาจารย์ห้าท่าน แต่นั่นเป็นแค่ส่วนที่ต้องคัดหลังจากโดดเรียนหนึ่งเดือนเท่านั้น ในหอพักของข้ายังมีอยู่อีกเยอะเลยล่ะ อาจารย์อาน้อยท่านไม่ต้องเป็นห่วง”


“พวกอาจารย์ไม่โกรธหรือ?”


“พวกอาจารย์ไม่โกรธหรอก ชินแล้วล่ะ ก็แค่บอกให้ข้าวิ่งช้าลงหน่อยเวลายกตำราที่คัดไปส่ง”


“พวกอาจารย์ดีมากเลยนะ”


“อืม ดีมาก แต่ความรู้สู้อาจารย์ฉีไม่ได้”


“ทำไมล่ะ?”


“อาจารย์ฉีมีความรู้ยิ่งใหญ่ที่สุด อาจารย์อาน้อยเป็นคนดีที่สุด ไม่มีคำว่าทำไมแล้ว”


“ฮ่า มีเหตุผล”

 

 

 


บทที่ 404.1 เยี่ยมเยือน

 

เฉินผิงอันไปยังเรือนพักที่ชุยตงซานได้ครอบครองเพียงลำพังก่อน ตอนที่อยู่หน้าประตู หลี่เป่าผิงถามว่าตอนกลางคืนให้เผยเฉียนมานอนกับนางได้หรือไม่ เฉินผิงอันบอกว่าขอแค่เผยเฉียนยอมตอบรับก็พอ


หลี่เป่าผิงยังถามอีกว่าสามารถมอบดาบแคบยันต์มงคลและน้ำเต้าเล็กสีเงินให้เผยเฉียน หรือไม่ก็อาจให้เผยเฉียนยืมได้หรือไม่ ตอนที่เผยเฉียนออกมาท่องยุทธภพจะได้มีบารมีน่าเกรงขามสักหน่อย


เฉินผิงอันยิ้มพูดว่า ตอนนี้ยังไม่ต้องมอบของขวัญล้ำค่าขนาดนี้ให้เผยเฉียน สัมภาระที่เผยเฉียนจะพกไปยามออกท่องยุทธภพในวันหน้า ทุกสิ่งที่จำเป็น เขาที่เป็นอาจารย์ล้วนต้องเตรียมไว้ให้เรียบร้อย แล้วนับประสาอะไรกับที่การออกท่องยุทธภพในครั้งแรกไม่ควรให้สะดุดตาเกินไปนัก พาหนะเป็นแค่ลาตัวเล็กก็ดีมากแล้ว ส่วนดาบก็มีดาบที่ลักษณะคล้ายคลึงกับยันต์มงคล ชื่อว่าหยุดหิมะ กระบี่ก็คือกระบี่ชือซิน ซึ่งต่างก็ถือว่าไม่เลว


หลี่เป่าผิงรู้สึกเสียดายเล็กน้อย


โบกมือลาอาจารย์อาน้อยแล้วก็สะพายหีบไม้ไผ่สีเขียวมรกตใบเล็กพุ่งทะยานจากไป


ไม่รอให้เฉินผิงอันเคาะประตู เซี่ยเซี่ยก็มาเปิดประตูด้วยตัวเองเบาๆ


เฉินผิงอันยิ้มถาม “คงไม่มีอะไรไม่สะดวกกระมัง?”


เซี่ยเซี่ยส่ายหน้า ขยับตัวเบี่ยงหลบให้


สำหรับเฉินผิงอัน นางมีความประทับใจที่ดีกว่าอวี๋ลู่อยู่มาก


อีกอย่างก็เพราะเฉินผิงอันคืออาจารย์ของ ‘คุณชายตนเอง’ เซี่ยเซี่ยไม่กล้าเพิกเฉย ไม่อย่างนั้นสุดท้ายแล้วคนที่ต้องลำบากก็ยังคงเป็นนาง


มองประเมินเฉินผิงอันอย่างโจ่งแจ้งอยู่สองสามที เซี่ยเซี่ยก็กล่าวว่า “เคยได้ยินแค่ว่าหญิงสาวเปลี่ยนตอนอายุสิบแปด เหตุใดเจ้าถึงเปลี่ยนไปมากมายขนาดนี้?”


เฉินผิงอันเข้ามาในเรือนพัก เซี่ยเซี่ยลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยังปิดประตูลง ขณะเดียวกันก็รู้สึกเย้ยหยันตัวเองเล็กน้อย ด้วยหน้าตาอัปลักษณ์อย่างที่แทบทนมองไม่ได้ของตนทุกวันนี้ ต่อให้เฉินผิงอันเสียสติกระเดือกได้ลงคอก็ถือว่าเป็นความสามารถของเขาแล้ว


แล้วนับประสาอะไรกับที่เฉินผิงอันเป็นคนแบบใด เซี่ยเซี่ยรู้ชัดเจนดีที่สุด นางไม่เคยรู้สึกว่าพวกเขาสองฝ่ายคือคนบนเส้นทางเดียวกัน ยิ่งไม่มีทางเรียกได้ว่าในใจรู้สึกเลื่อมใสสนิทสนมตั้งแต่ครั้งแรกที่พบกัน แต่ก็ไม่รังเกียจ เพียงแค่นี้เท่านั้น


ก็เหมือนกับคนบนโลกมองวิธีการเขียนพู่กัน จะหลงรักตัวอักษรฉ่าวซูที่ปล่อยความเป็นตัวเองได้อย่างเต็มคราบ หรือชื่นชอบตัวอักษรข่ายซู่ที่เป็นระเบียบเรียบร้อย ก็เป็นแค่ความสนใจของใครของมันเท่านั้น ไม่มีการแบ่งสูงต่ำ


เมื่อเทียบกับอวี๋ลู่ที่ไม่ได้รับความสำคัญแล้ว เซี่ยเซี่ยเกรงใจและใจกว้างกับเฉินผิงอันกว่ามาก นางเป็นฝ่ายชี้ไปที่ระเบียงไม้ไผ่เขียวนอกห้องหลักแห่งนั้นด้วยตัวเองแล้วกล่าวว่า “ไม่ต้องถอดรองเท้า นั่นเป็นไผ่มรกตของตระกูลเซียนที่ผลิตขึ้นเป็นพิเศษที่ชิงเซียวตู้ของต้าสุย ฤดูหนาวอบอุ่นฤดูร้อนเย็นสบาย เหมาะแก่การให้ผู้ฝึกตนมานั่งเข้าฌาน ก่อนที่คุณชายจะจากไปได้บอกให้ข้านำความไปบอกแก่หลินโส่วอีว่าสามารถมาฝึกวิชาอสนีที่นี่ได้ เพียงแต่ข้ารู้สึกว่าหลินโส่วอีน่าจะไม่ยอมตอบรับ ก็เลยไม่ได้ไปหาเรื่องใส่ตัว”


เฉินผิงอันยังคงถอดรองเท้าหุ้มแข้งที่เผยเฉียนแอบซื้อมาให้จากเมืองหูเอ๋อร์ แล้วสุดท้ายนำมามอบให้เขา


นั่งขัดสมาธิบนพื้นที่ปูด้วยไผ่มรกตช่างสบายจริงๆ เฉินผิงอันบิดข้อมือเล็กน้อย หยิบเอาเหล้าเซียนบ่อน้ำไหหนึ่งที่ซื้อจากท่าเรือหางผึ้งออกมาจากวัตถุจื่อชื่อ ถามว่า “ดื่มไหม? เป็นแค่เหล้าหมักของพวกชาวบ้านร้านตลาดเท่านั้น”


เซี่ยเซี่ยที่นั่งเอียงๆ อยู่บนบันไดห่างไปไม่ไกลพยักหน้ารับ


เฉินผิงอันจึงโยนกาเหล้าไปให้นางเบาๆ


เซี่ยเซี่ยรับกาเหล้ามา เปิดออกแล้วดม “ไม่เลวเลยนี่นา ไม่เสียแรงที่เป็นของที่เอาออกมาจากวัตถุฟางชุ่น”


เซี่ยเซี่ยไม่ได้รีบร้อนดื่ม ยิ้มถามว่า “ชุดคลุมบนร่างเจ้าตัวนี้คงเป็นชุดคลุมอาคมกระมัง? เพราะว่าอยู่ในเรือนหลังนี้ ข้าจึงสัมผัสได้ถึงการโคจรของปราณวิญญาณเล็กๆ น้อยๆ จากมัน”


เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ชุดคลุมมีชื่อว่าจินหลี่ ข้าบังเอิญได้มาตอนอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่งที่เรียกว่าร่องเจียวหลงระหว่างเดินทางไปภูเขาห้อยหัว”


เซี่ยเซี่ยหันหน้ามา มองไปทางประตูเรือนด้วยสีหน้าซับซ้อน พึมพำเบาๆ ว่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็โชคไม่เลวเลยจริงๆ”


เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งที ปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมาดื่มเหล้าหนึ่งอึก


เซี่ยเซี่ยยิ้มกล่าว “ดื่มเหล้าเป็นแล้วจริงๆ หรือนี่ ออกจากบ้านไปท่องยุทธภพในครั้งนี้นับว่าไม่เสียเที่ยว”


เฉินผิงอันแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน ยื่นมือออกไปลูบพื้นไม้ไผ่ ปราณวิญญาณเล็กละเอียดไหลริน แม้จะเทียบไม่ได้กับปราณวิญญาณที่มีอยู่ในจวนตระกูลเซียนหรือถ้ำสวรรค์ แต่ก็ถือว่าเปี่ยมล้นยิ่งกว่าห้องระดับเยี่ยมที่สุดในโรงเตี๊ยมตระกูลเซียนของราชวงศ์โลกมนุษย์มากแล้ว


รอบด้านเงียบสงบ


เซี่ยเซี่ยพึมพำกับตัวเองว่า “แสงดาวส่องสว่างสี่ทิศ อยู่ท่ามกลางแม่น้ำสีเงิน (เปรียบเปรยถึงทางช้างเผือก) จะดับร้อนได้หรือไม่? กระท่อมตระกูลเซียนช่างเย็นสบาย”


เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “เป็นบทกลอนที่กวีท่านใดของราชวงศ์สกุลหลูพวกเจ้าเขียนไว้หรือ?”


เซี่ยเซี่ยส่ายหน้าช้าๆ “เมื่อนานมากมาแล้ว เป็นค่ำคืนหนึ่งที่คล้ายๆ กับคืนนี้นี่แหละ อาจารย์ของข้าท่องประโยคนี้ออกมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย นางบอกว่าถ้อยคำที่ ‘พัฒนามาจากบทกวี’ เป็นแค่วิถีเล็กๆ อย่างหนึ่งเท่านั้น เหมือนกับการเขียนพู่กันและการเล่นหมากล้อม ไม่มีค่าพอให้พูดถึง”


เฉินผิงอันกล่าว “ตอนที่อยู่เรือนหลิงจือของภูเขาห้อยหัว เดิมทีข้าเตรียมของขวัญไว้ให้เจ้าและหลินโส่วอีคนละชิ้น ของขวัญของเจ้า ตอนนั้นข้าเข้าใจผิดคิดว่าเป็นแค่เสื้อเกราะน้ำค้างหวานผุพังที่ไม่สามารถซ่อมแซมแก้ไขได้ชิ้นหนึ่ง จึงซื้อมาในราคาที่ถูกมาก ภายหลังถึงได้รู้ว่ามันคือหนึ่งในเสื้อเกราะบรรพบุรุษแปดชิ้นของเสื้อเกราะเทพรับน้ำค้าง ก็เลยบอกให้เพื่อนคนหนึ่งช่วยซ่อมให้ เมื่อครั้งที่เจอกับชุยตงซานที่แคว้นชิงหลวน เกี่ยวกับเรื่องนี้ ชุยตงซานบอกว่าไม่ต้องมอบของที่ราคาแพงขนาดนี้ให้เจ้า พวกเราไม่ได้สนิทกันถึงขนาดนั้น ไม่แน่ว่าอาจจะยังถูกเจ้าเข้าใจผิดคิดว่าข้ามีเจตนาอย่างอื่นก็เป็นได้ ข้ารู้สึกว่ามีเหตุผลมาก เลยคิดว่าควรจะเก็บเอาไว้ก่อน วันใดที่พวกเรากลายเป็นเพื่อนกันจริงๆ แล้วค่อยมอบให้เจ้าก็ยังไม่สาย ดังนั้นวันนี้จึงมอบสิ่งนี้ให้เจ้าก่อน รับไป”


เซี่ยเซี่ยหันหน้ามา ยื่นมือออกมารับหยกมันแพะขนาดเล็กที่สลักกลึงอย่างประณีตและงดงาม นั่นก็คือหยกวัวขาวคาบหลิงจือ


เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “คือของรางวัลเล็กๆ ที่ทางเรือนหลิงจือของภูเขาห้อยหัวมอบให้ อย่าได้รังเกียจ”


เซี่ยเซี่ยยิ้มรับ “เจ้ากำลังบอกข้าเป็นนัยๆ ว่า ขอแค่กลายเป็นเพื่อนของเจ้าเฉินผิงอันก็จะได้รับอาวุธสำคัญของสำนักการทหารที่มีมูลค่าควรเมืองชิ้นหนึ่งหรือ?”


เฉินผิงอันเพียงคลี่ยิ้ม ไม่เอ่ยอะไร


เซี่ยเซี่ยกำชิ้นหยกที่ให้ความรู้สึกถึงเนื้อวัสดุที่ละเอียดอุ่น เรียบลื่น พูดพึมพำกับตัวเองว่า “เจ้าไม่ใช่คนแบบนั้น”


เฉินผิงอันชูน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ขึ้นสูง กลั้นยิ้มพูดว่า “ขอบคุณนะ” (ขอบคุณออกเสียงว่าเซี่ยเซี่ย)


เซี่ยเซี่ยชำเลืองตามองเฉินผิงอัน “โอ้โห จากไปแค่ไม่กี่ปีก็หัดเล่นลิ้นเป็นแล้วหรือ? สมกับคำว่าไม่พบสามวันกลายเป็นอื่นจริงๆ”


เฉินผิงอันรัดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ไว้ตรงเอวให้เรียบร้อย สอดสองมือประสานกันอยู่ในชายแขนเสื้อ กล่าวอย่างปลงอนิจจังว่า “คราวนั้นที่หลี่ไหวถูกคนนอกรังแก เจ้า หลินโส่วอีและอวี๋ลู่ล้วนมีน้ำใจอย่างมาก ข้าได้ยินแล้วก็รู้สึกดีใจมากจริงๆ ดังนั้นพอข้าได้ยินว่าเสื้อเกราะชิ้นนั้นเป็นเสื้อเกราะน้ำค้างหวานซีเยว่ ใช่ว่าอยากจะโอ้อวดอะไรกับเจ้า แต่เป็นเพราะหวังว่าจะมีวันนั้น วันที่ข้าจะได้กลายเป็นเพื่อนกับเจ้าเซี่ยเซี่ยจริงๆ อันที่จริงข้าเองก็มีใจที่เห็นแก่ตัวอยู่เหมือนกัน ต่อให้พวกเราเป็นเพื่อนกันไม่ได้ ข้าก็หวังว่าเจ้าจะเป็นเพื่อนกับเป่าผิงน้อยและหลี่ไหว กลายเป็นเพื่อนรักของพวกเขา วันหน้าอยู่ในสำนักศึกษาก็ช่วยดูแลพวกเขาให้มากๆ หน่อย”


และยังมีเหตุผลอีกข้อหนึ่งที่เฉินผิงอันไม่ได้พูดออกมา


ไม่ว่าจะมีกลอุบายมากน้อยแค่ไหน ถึงอย่างไรตอนนี้เฉินผิงอันก็เป็นอาจารย์ของชุยตงซานในนาม เขาจึงอาจจะกลายเป็นผู้ต้องสงสัยว่าอบรมสั่งสอนอีกฝ่ายได้ไม่ดี


ชุยตงซานรับเซี่ยเซี่ยเป็นสาวใช้ประจำตัว ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ล้วนเป็นการทำร้ายผู้มีพรสวรรค์ในการฝึกตนที่เป็นคนของอดีตราชวงศ์สกุลหลูอย่างเซี่ยเซี่ยผู้นี้


เพียงแต่เรื่องราวในโลกนั้นซับซ้อน หลายครั้งที่ความต้องการของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมองดูเหมือนเป็นความปรารถนาดี แต่กลับกลายเป็นว่าจะทำให้เรื่องเลวร้ายลง


บาดแผลของคนอื่นไม่ไปแตะต้องก็ไม่มีปัญหา


แต่หากเปิดมันออก เลือดสดก็ไหลนอง


เฉินผิงอันนั่งสวมรองเท้าหุ้มแข้งบนขั้นบันไดด้านล่าง


เซี่ยเซี่ยเอ่ยเบาๆ “ข้าไม่ไปส่งแล้ว”


เฉินผิงอันโบกมือ “ไม่ต้องหรอก”


เฉินผิงอันจากไปแล้ว เซี่ยเซี่ยก็ปิดปากหัวเราะคิกอย่างไร้สาเหตุ


ไม่รู้ทำไม นางถึงรู้สึกว่าคนผู้นั้นเหมือนแมวที่แอบดอดมากินของคาว ย่องกลับเข้าบ้านกลางดึกย่อมหนีไม่พ้นจะถูกแม่เสือที่บ้านออกฤทธิ์ออกเดชใส่


แน่นอนว่านี่เป็นเพียงความคิดพิลึกพิลั่นของเซี่ยเซี่ยเท่านั้น


จิตใจของสตรีประหนึ่งเข็มที่จมอยู่ก้นมหาสมุทร (เปรียบเปรยว่าจิตใจของผู้หญิงเปลี่ยนแปลงง่าย ยากเกินกว่าจะคาดเดา)


บอกได้แค่ว่าตอนนี้เซี่ยเซี่ยอารมณ์ดีไม่น้อย


เซี่ยเซี่ยยกมือขึ้น ชูหยกวัวขาวคาบหลิงจือชิ้นนั้นขึ้นสูง


สวยจริงๆ


……


เฉินผิงอันออกไปจากพื้นที่ฮวงจุ้ยพิเศษที่มีเพียงหนึ่งเดียวในสำนักศึกษาแห่งนี้ อวี๋ลู่อาศัยอยู่ในหอพักเพียงลำพัง แม้ว่าเวลานี้ในห้องจะดับไฟแล้ว แต่เฉินผิงอันก็ยังเคาะประตูอย่างไม่มีความลังเล


เพียงไม่นานอวี๋ลู่ก็ลุกขึ้นเหยียบรองเท้าลวกๆ เดินมาเปิดประตู ยิ้มกล่าวว่า “แขกที่หาได้ยากๆ”


อวี๋ลู่หันตัวไปจุดตะเกียงก่อน เฉินผิงอันช่วยปิดประตูลงให้ คนทั้งสองนั่งอยู่ตรงข้ามกัน


ในห้องของอวี๋ลู่นอกจากสิ่งของที่ทางหอพักจัดเตรียมไว้ให้ลูกศิษย์ของสำนักศึกษามาตั้งแต่แรกแล้วก็ไม่มีของอย่างอื่นอีกแม้แต่ชิ้นเดียว


นี่ก็คืออวี๋ลู่


ราวกับว่าในใจไม่เคยห่วงพะวงถึงสิ่งใด


ในฐานะรัชทายาทของราชวงศ์ใหญ่ หลังจากแคว้นล่มสลายแล้ว เขาก็ยังคงไม่แก่งแย่งชิงดีกับคนบนโลก ต่อให้เผชิญหน้ากับชุยตงซานที่เป็นหนึ่งในตัวการสำคัญก็ยังไม่มีความเกลียดแค้นเข้ากระดูกดำอย่างเซี่ยเซี่ย


ในข้อนี้ อวี๋ลู่ค่อนข้างคล้ายคลึงกับคนคลั่งวรยุทธ์จูเหลี่ยนที่มีชาติกำเนิดมาจากตระกูลชนชั้นสูง


ปีนั้นระหว่างทางที่เฉินผิงอันเดินทางมายังสำนักศึกษาต้าสุย ส่วนใหญ่แล้วเป็นเขากับอวี๋ลู่สองคนที่ผลัดกันเฝ้ายามตอนกลางคืน คนหนึ่งครึ่งคืนแรก อีกคนหนึ่งครึ่งคืนหลัง หากคนที่เฝ้าครึ่งคืนแรกไม่รู้สึกง่วงก็จะมานั่งอยู่ข้างกองไฟ แต่อันที่จริงกลับไม่มีเรื่องอะไรให้คุยกันมากนัก มักจะเป็นเฉินผิงอันที่ฝึกยืนนิ่งเจี้ยนหลูหรือไม่ก็เดินนิ่งหกก้าว หากเป็นยืนนิ่ง อวี๋ลู่ก็จะนั่งเหม่ออยู่กับตัวเอง หากเป็นเดินนิ่ง อวี๋ลู่ก็จะมองอยู่พักหนึ่ง


อวี๋ลู่ไม่ดื่มเหล้า


เฉินผิงอันเองก็ไม่ได้ดื่มเหล้า


มอบตำราเทพเซียน ‘จารึกภูเขาและทะเล’ ที่ซื้อจากภูเขาห้อยหัวเช่นเดียวกันให้แก่อวี๋ลู่


อวี๋ลู่กล่าวขอบคุณอย่างเป็นธรรมชาติ บอกว่าเขายากจน ไม่มีของขวัญมอบกลับคืนให้ ได้แต่เดินไปส่งเฉินผิงอันที่หน้าหอพักเท่านั้น


หลังจากเฉินผิงอันจากไป


อวี๋ลู่ก็ปิดประตูลงเบาๆ


เขาหลับตา ‘เดินเตร่’ อยู่ในห้องที่มืดสนิทจนมองไม่เห็นนิ้วทั้งห้าของตัวเองต่อไป หมัดสองข้างหนึ่งกำหนึ่งคลาย ทำอย่างนี้ซ้ำไปซ้ำมา


ในขณะที่อวี๋ลู่ฝึกวิชาหมัด เซี่ยเซี่ยที่นั่งอยู่บนระเบียงไผ่มรกตก็กำลังมุมานะฝึกตนเช่นกัน


……


พอหลินโส่วอีได้พบหน้าเฉินผิงอัน เขาก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไร


อันที่จริงเขารู้มาก่อนแล้วว่าเฉินผิงอันมาที่สำนักศึกษา เพียงแต่หลังจากลังเลอยู่ชั่วขณะก็ไม่คิดจะไปหาเฉินผิงอันที่หอพัก


เฉินผิงอันมอบตำราวิชาอสนีของลัทธิเต๋าฉบับไม่สมบูรณ์ที่ซื้อมาจากเรือนหลิงจือให้หลินโส่วอี ซึ่งตอนนั้นทางเรือนหลิงจือเขียนคำอธิบายเอาไว้ว่า ‘มีเล่มเดียวบนโลก น่าเสียดายที่ขาดไปหลายสิบหน้า หาไม่แล้วมีเงินมากเท่าใดก็ไม่อาจซื้อได้’


หลินโส่วอีไม่ได้ปฏิเสธ


เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เซี่ยเซี่ยฝากข้ามาบอกเจ้าว่า หากไม่ถือสา ขอให้เจ้าไปฝึกตนที่เรือนของนาง”


หลินโส่วอีคิดแล้วก็พยักหน้ารับ “ตกลง ขอแค่ตอนกลางวันข้ามีเวลาว่างก็จะไป”


เฉินผิงอันไม่ได้รั้งรออยู่นาน นั่งก้นยังไม่ทันร้อน อยู่ไม่ถึงครึ่งก้านธูปก็เตรียมจะบอกลาจากไป ก่อนจะมาเปิดประตู เห็นได้ชัดว่าหลินโส่วอีกำลังนั่งบนเบาะรองใบหนึ่งเพื่อฝึกวิชาเข้าฌานทำสมาธิ


หลินโส่วอีพลันยิ้มถามว่า “เฉินผิงอัน รู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าถึงยอมรับของขวัญที่ล้ำค่าขนาดนี้เอาไว้?”


เฉินผิงอันหยุดเดิน หันกลับมาถาม “หมายความว่าไง?”


หลินโส่วอีที่ไม่เคยรั้งใครไว้ในหอพักของตัวเองเดินมาหยุดอยู่ข้างโต๊ะ รินน้ำชาสองถ้วยรับรองแขกอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน เฉินผิงอันจึงหันตัวกลับมานั่งลงอีกครั้ง


หลินโส่วอีที่กลายเป็นคุณชายหนุ่มผู้สง่างามเงียบงันไปครู่หนึ่งถึงกล่าวว่า “ข้ารู้ว่าในภายภาคหน้าตัวเองต้องตอบแทนเจ้ากลับคืนด้วยของที่ล้ำค่ายิ่งกว่าได้แน่นอน”


เฉินผิงอันจึงยิ้มพลางพยักหน้ารับ


ไม่เปลี่ยนไปเลยจริงๆ เจ้าหมอนี่ยังคงมีนิสัยเย็นชาอยู่เช่นเดิม


หลินโส่วอีหันไปมองหีบไม้ไผ่แวบหนึ่ง ยกมุมปากตวัดขึ้นเป็นรอยยิ้ม “อีกอย่างก็คือ มีเรื่องหนึ่งที่ข้าซาบซึ้งใจในตัวเจ้ามาก เจ้าลองเดาดูสิว่าเป็นเรื่องอะไร”


เจ้าทำท่าทางถึงขนาดนี้แล้ว ยังต้องเดาอะไรอีก เฉินผิงอันตอบอย่างระอาใจ “ก็เรื่องที่มอบหีบไม้ไผ่ใบหนึ่งให้เจ้าไม่ใช่หรือ แม้ว่าปีนั้นข้าจะใช้ไม้ไผ่ที่เติบโตหลังถูกย้ายจากภูเขาชิงเสินมาปลูกบนภูเขาฉีตุนมาทำหีบไม้ไผ่ แต่บอกตามตรงว่ามันเทียบกับตำราวิชาอสนีของลัทธิเต๋าเล่มนี้ไม่ได้แน่นอน”


หลินโส่วอีส่ายหน้าพร้อมอมยิ้มบางๆ “เดาใหม่”


เฉินผิงอันย้อนนึกถึงความทรงจำในการเดินทางครั้งนั้นแล้วถามหยั่งเชิง “เมื่อครั้งที่ไปพักในโรงเตี๊ยม?”


หลินโส่วอียังคงส่ายหน้า หัวเราะร่าเสียงดัง ก่อนจะลุกขึ้นยืนเป็นการไล่คน พูดหยอกล้อว่า “อย่าอาศัยว่าเอาของขวัญมามอบให้ข้าแล้วจะถ่วงเวลาการฝึกตนของข้าได้”


เฉินผิงอันเดินออกมาจากหอพักของอีกฝ่ายด้วยความมึนงง


ได้พบกับคนทั้งสามแล้ว เขาก็ยังไม่ได้เดินย้อนกลับไปทางเดิม


การส่งมอบของขวัญเสร็จเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ครึ่งชั่วยาม เฉินผิงอันเดินอ้อมไปไกลกว่าเดิมเล็กน้อย เดินไปตามมุมที่เงียบสงบของสำนักศึกษา


ตอนที่เดินผ่านหอพัก เฉินผิงอันก็เห็นว่าหลี่ไหววิ่งเข้ามาหาเขาด้วยท่าทางลับๆ ล่อๆ เพียงลำพัง


เห็นหน้าเฉินผิงอันแล้ว หลี่ไหวก็เพิ่มความเร็วฝีเท้า พูดอย่างเร่งร้อนว่า “เฉินผิงอัน ข้าจะมาถามคำถามเจ้าข้อหนึ่ง ไม่อย่างนั้นข้านอนไม่หลับแน่”


เฉินผิงอันยิ้ม “เกี่ยวกับเผยเฉียน? ถามมาสิ”


หลี่ไหวพูดเสียงเบา “ตอนแรกข้ารู้สึกว่าเผยเฉียนแค่คุยโว แต่ข้ายิ่งฟังกลับยิ่งรู้สึกว่าเผยเฉียนร้ายกาจมาก เฉินผิงอัน เจ้าช่วยบอกความจริงแบบที่ควักใจมาพูดกับข้าสักคำ เผยเฉียนเป็นองค์หญิงที่พลัดพรากมาอยู่ในหมู่ชาวบ้านจริงหรือ?”


เฉินผิงอันจินตนาการได้เลยว่าตอนที่เผยเฉียนพูดเรื่องเหลวไหลพวกนี้ นางต้องตีหน้าเคร่ง แต่ในใจแอบหัวเราะสนุกสนาน ไม่แน่ว่าอาจจะหัวเราะเยาะหลี่ไหวสามคนที่ยอมเชื่อนางว่าเป็นคนโง่อีกด้วย


อย่าว่าแต่หลี่ไหวเลย ตอนนั้นแม้แต่มือปราบสามคนของเมืองหูเอ๋อร์ริมชายแดนต้าเฉวียนที่มีประสบการณ์โชกโชนก็ยังถูกเผยเฉียนที่พูดจาส่งเดชหลอกให้ตกอกตกใจ หลี่ไหว หลิวกวาน หม่าเหลียนสามคนเป็นแค่เด็กตัวสูงเท่าก้น ไม่หลงกลนางสิถึงจะแปลก


เพียงแต่การเล่นสนุกอย่างไร้เดียงสาระหว่างเด็กๆ เช่นนี้ เฉินผิงอันไม่คิดจะขัดอารมณ์ ไม่มีทางเปิดโปงคำคุยโวของเผยเฉียนต่อหน้าหลี่ไหว

 

 

 


บทที่ 404.2 เยี่ยมเยือน

 

เฉินผิงอันตบไหล่หลี่ไหว “ไปเดาเอาเองสิ”


หลี่ไหวพยักหน้ารับอย่างแรง พูดอย่างคนกระจ่างแจ้ง “ถ้าอย่างนั้นข้าก็เข้าใจแล้ว!”


เฉินผิงอันยิ้มถาม “เจ้าเข้าใจอะไร?”


หลี่ไหวยกสองแขนกอดอก ใช้มือหนึ่งลูบคลำปลายคาง “มิน่าเล่าเจ้าถ่านดำน้อยผู้นี้ถึงทำสีหน้ารังเกียจตอนมองหุ่นไม้หลากสีของข้า ไม่ได้การ พรุ่งนี้ข้าต้องเอาทรัพย์สมบัติมาประชันกับนางสักหน่อย การประมือระหว่างยอดฝีมือ ชนะกันที่พลังอำนาจอันน่าเกรงขาม! ถึงเวลานั้นมาดูกันว่าใครจะมีสมบัติมากกว่ากัน! เป็นองค์หญิงแล้วอย่างไร ก็ยังเป็นแค่เด็กน้อยตัวดำเป็นถ่านคนหนึ่งไม่ใช่หรือ จะร้ายกาจสักแค่ไหนกันเชียว จุ๊ๆ อายุน้อยๆ แค่นี้ก็หัดห้อยดาบไม้ไผ่กระบี่ไม้ไผ่แล้ว คิดจะขู่ใครกัน…ใช่แล้ว เฉินผิงอัน องค์หญิงชอบกินอะไร?”


เฉินผิงอันเอามือกดศีรษะหลี่ไหวแล้วจับเขาหมุนตัวหันไปทางหอพักเบาๆ “รีบกลับไปนอนได้แล้ว”


หลี่ไหวได้ถามคำถามแล้วก็ให้พึงพอใจจึงหมุนตัววิ่งกลับไปที่หอพักของตัวเอง


ผ่านไปได้ไม่นาน เสียงตวาดอย่างขุ่นเคืองก็ดังแว่วมาจากที่ไกลๆ


ไม่ต้องคิดก็รู้ได้ว่าหลี่ไหวต้องถูกอาจารย์ที่ออกมาลาดตระเวนยามค่ำคืนจับได้แน่นอน


เฉินผิงอันกำลังจะไปช่วยหลี่ไหว แต่ไม่นานก็เห็นว่าหลี่ไหวเดินอาดๆ มาพร้อมกับจูเหลี่ยนที่อยู่ข้างกาย


ที่แท้จูเหลี่ยนได้หาข้ออ้าง บอกว่าเป็นญาติห่างๆ กับหลี่ไหว ดึกมากแล้วเขาไม่รู้ทาง จึงขอให้หลี่ไหวช่วยพากลับไปที่หอพัก


หลี่ไหวยกนิ้วโป้ง พูดกับเฉินผิงอันว่า “พี่ใหญ่จูท่านนี้มีน้ำใจจริงๆ! เฉินผิงอัน เจ้ามีพ่อบ้านแบบนี้ก็ช่างโชคดีนัก”


จากนั้นหลี่ไหวก็หันมายิ้มให้ผู้เฒ่าหลังค่อม “พี่ใหญ่จู วันหน้าหากเฉินผิงอันปฏิบัติกับเจ้าไม่ดีก็มาหาข้าหลี่ไหว ข้าหลี่ไหวจะช่วยทวงความยุติธรรมคืนให้เจ้าเอง”


ไม่ว่าจะมองซ้ายหรือมองขวา จูเหลี่ยนก็รู้สึกว่าเจ้าหนูที่ชื่อหลี่ไหวท่าทางแข็งแรงน่าเอ็นดูผู้นี้ไม่เหมือนคนที่จะเรียนหนังสือเก่งเลยจริงๆ


เจิ้งต้าเฟิง หลี่เอ้อร์ หลี่เป่าเจิน หลี่เป่าผิง


คือบุคคลจากถ้ำสวรรค์หลีจูที่ไม่ใช่พวกพิลึกพิลั่นซึ่งนับว่าหาได้ยาก


จูเหลี่ยนรู้สึกว่าตัวเองต้องทะนุถนอมช่วงเวลานี้ไว้ให้มาก ดังนั้นจึงพลันรู้สึกถูกชะตากับเจ้าหลี่ไหวตัวน้อยผู้นี้ขึ้นมา สีหน้าของเขาจึงยิ่งเมตตาปราณี


เดี๋ยวนะ ทำไมหลี่ไหวผู้นี้ถึงหน้าตาคล้ายคลึงกับผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสิบที่มาเยือนนครมังกรเฒ่าผู้นั้นนักนะ หลี่ไหว หลี่เอ้อร์ แซ่หลี่เหมือนกัน คงไม่ใช่คนครอบครัวเดียวกันหรอกกระมัง?


มีเพียงผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวอย่างตนเท่านั้นถึงจะรู้ได้ถึงความน่ากลัวของปรมาจารย์ใหญ่ขอบเขตปลายทางท่านหนึ่งได้ดีที่สุด


ต่อให้จูเหลี่ยนจะภาคภูมิใจในพรสวรรค์การฝึกวรยุทธ์ของตัวเองมากแค่ไหนก็ยังกล้าพูดแค่ว่า หากตนเกิดและเติบโตมาในใต้หล้าไพศาล ภายใต้สถานการณ์ที่พรสวรรค์ไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิม ในช่วงที่มีชีวิตอยู่หากคิดจะเลื่อนเป็นขอบเขตยอดเขาขอบเขตที่เก้านั้นไม่ยาก แต่ขอบเขตสิบกลับไม่มีหวัง


จูเหลี่ยนหันหน้าไปมองเฉินผิงอันด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม


เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม


จูเหลี่ยนโมโหเกือบตาย ยกเท้าถีบก้นหลี่ไหวเบาๆ “ดึกดื่นค่ำคืนยังมาเดินเตร็ดเตร่เหมือนผีเร่ร่อนอยู่ได้ รีบไสหัวกลับไปเลย”


หลี่ไหวตกใจสะดุ้งโหยง พอวิ่งไปแล้วถึงได้ชี้หน้าจูเหลี่ยนจากที่ไกลๆ “ช่วยข้าครั้งหนึ่ง เตะข้าหนึ่งครั้ง บุญคุณความแค้นของพวกเรานับว่าหายกันแล้ว พรุ่งนี้หากยังมาพบเจอกันบนทางแคบในสำนักศึกษาอีก ใครวิ่งได้เร็วคนนั้นก็เป็นนายท่านใหญ่!”


จูเหลี่ยนทำท่ายกเท้าขึ้นถีบ


เพียงไม่นานหลี่ไหวก็หายวับไปไม่เหลือเงา


ทางฝั่งหอพักของหลี่เป่าผิง


หลี่เป่าผิงและเผยเฉียนนั่งคัดตัวอักษรบนโต๊ะเดียวกันโดยนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกัน


คนหนึ่งตวัดพู่กันเร็วราวกับบิน


อีกคนหนึ่งเชื่องช้าเป็นเต่าคลาน


ทุกครั้งที่หลี่เป่าผิงคัดเสร็จหนึ่งแผ่นก็จะตะโกนว่า ‘เจ้าไปได้’ จากนั้นก็วางพู่กันลง บิดข้อมือ ขยับมามองทางฝั่งของเผยเฉียน


เผยเฉียนเงียบงันไม่พูดไม่จา เหงื่อแตกท่วมเต็มศีรษะ


……


ในเขตการปกครองหลิวโจวซึ่งตั้งอยู่ติดกับเมืองหลวงต้าสุย จวนตระกูลไช่ที่เพิ่งย้ายมาอยู่ได้ไม่นานมีแขกสูงศักดิ์ที่ ‘วัยวุฒิสูงอย่างที่สุด’ ท่านหนึ่งมาเยือน


เขาก็คือชุยตงซานที่ช่วงชิงฉายา ‘บรรพบุรุษตระกูลไช่’ มาให้กับตนโดยอาศัยสมบัติอาคมที่มีมากมายดารดาษในวัตถุจื่อชื่อจากศึกในสำนักศึกษาซานหยา


ดึกดื่นค่ำคืน เด็กหนุ่มชุดขาวมาทุบประตูจวนตระกูลไช่อย่างแรง ปากก็ตะโกนก้องเสียงดังว่า “ไช่เอ๋อร์น้อย ไช่เอ๋อร์น้อย รีบมาเปิดประตูเร็วเข้า!”


เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาที่มีใฝแดงกลางหว่างคิ้วยังมีชายฉกรรจ์ร่างเล็กเตี้ยแต่แข็งแรงกำยำติดตามมาด้านหลัง ข้างกายชายฉกรรจ์ยังมีวัวสีเหลืองอีกหนึ่งตัว


เทพเซียนผู้เฒ่าที่เป็นผู้ถวายการรับใช้ต้าสุยซึ่งเคยไปปักหลักอยู่ใกล้กับสำนักศึกษาเดินหน้าเขียวออกมาจากห้องลับ ทะยานตัวขึ้นจากลานบ้านพรวดเดียวก็มาอยู่บนถนนด้านนอกประตูใหญ่จวนตัวเอง “เจ้าคนแซ่ชุย เจ้ามาทำอะไร?!”


ปีนั้นกลางอากาศเหนือ ‘ภูเขาตงซานน้อย’ ที่ชาวบ้านเมืองหลวงต้าสุยเรียกกันติดปาก ชุยตงซานกับไช่จิงเสินเคยมีการประมือระหว่างเทพเซียนที่ยิ่งใหญ่ตระการตา


ชุยตงซานที่คว้าชัยชนะจนมีชื่อเสียงโด่งดังเหมือนจัดงานเลี้ยงฉลองดอกไม้ไฟโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายให้กับชาวบ้านครั้งใหญ่ คืนนั้นไม่รู้ว่ามีคนมากมายเท่าไหร่ในเมืองหลวงที่เงยหน้ามองไปทางภูเขาตงหัวของสำนักศึกษาด้วยอารมณ์สดชื่นรื่นรมย์


เนื่องจากตระกูลไช่มีบรรพบุรุษเซียนดินก่อกำเนิดคนหนึ่งเป็นดั่งเสาเทพค้ำยันมหาสมุทร เดิมทีจึงเปี่ยมไปด้วยบารมีอำนาจในเมืองหลวง แต่ผลกลับกลายเป็นว่าต้องย้ายออกจากเมืองไป ทิ้งไว้เพียงลูกหลานในตระกูลคนหนึ่งที่เป็นขุนนางอยู่ในเมืองหลวงให้เฝ้าบ้านที่มีขนาดใหญ่ไม่แพ้จวนของอ๋องหรือโหว


ชุยตงซานหัวเราะฮ่าๆ “จิงเสิน เกรงใจกันขนาดนี้เชียว ถึงขนาดออกมาต้อนรับด้วยตัวเองเลยหรือ? ไปๆๆ รีบเข้าไปนั่งในบ้านของพวกเรากันเถอะ เข้าเมืองมาค่อนข้างดึก แถมยังเป็นช่วงห้ามเข้าออกเคหะสถานยามวิกาล ข้าหิวจะตายอยู่แล้ว เจ้ารีบไปสั่งให้คนทำอาหารมื้อดึกมาให้ข้าที พวกเราปู่หลานจะได้พูดคุยกันดีๆ”


ไช่จิงเสินหน้าดำทะมึน “ที่นี่ไม่ต้อนรับเจ้า”


ชุยตงซานพลันเต้นผาง ยื่นนิ้วมาชี้หน้าไช่จิงเสินพลางผรุสวาท “เจ้าหลานเต่าไม่รู้จักบรรพบุรุษ ให้หน้าเจ้าแต่เจ้าไม่ยอมรับใช่ไหม? มาๆๆ พวกเรามาสู้กันอีกสักที คราวนี้หากเจ้าสามารถต้านรับสมบัติอาคมห้าสิบชิ้นของข้าได้ ก็เปลี่ยนมาเป็นข้าที่ต้องเรียกเจ้าว่าบรรพบุรุษ หากเจ้าต้านทานไม่ไหว พรุ่งนี้เช้าเจ้าก็ต้องขี่ม้าไปบนถนน ตะโกนบอกว่าตัวเองคือหลานคนดีของข้าชุยตงซานหนึ่งพันรอบ!”


ไช่จิงเสินเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันพูด “ลูกผู้ชายฆ่าได้หยามไม่ได้ หากคืนนี้เจ้าไม่สังหารข้า ก็อย่าหวังว่าจะได้เหยียบเข้ามาในบ้านตระกูลไช่ของข้าแม้แต่ครึ่งก้าว!”


ร่างของชุยตงซานพุ่งวูบออกไป ใช้วิชาย่อพื้นที่ให้เล็กลง มองดูเหมือนวิชาย่อพื้นที่ทั่วไป แต่อันที่จริงกลับแตกต่างจากสายของลัทธิเต๋าทั่วไปอยู่มาก ชุยตงซานพุ่งตัววูบกลับมาอีกครั้ง กลับมายืนอยู่ที่เดิม “ว่าไง? เจ้าจะปาดคอตัวเองฆ่าตัวตายไหม? เจ้าที่เป็นหลานไม่กตัญญู ข้าที่เป็นบรรพบุรุษจะไม่ยอมรับเจ้าเป็นหลานก็ไม่ได้ ดังนั้นข้าจะให้เจ้ายืมสมบัติอาคมที่คมกริบหลายๆ ชิ้น เจ้าจะได้ไม่ต้องพูดว่าไม่มีอาวุธที่เหมาะมือในการฆ่าตัวตาย…”


เจ้าหมอนี่พูดจ้อไม่จบไม่สิ้นสักที


ผู้เฒ่าร่างกำยำโมโหจนลมปราณในจุดตันเถียนถาโถมเป็นลูกคลื่นซัดตลบอบอวล ดั่งลมพัดกระพือไฟให้โหมแรง พลังอำนาจพลันทะยานเพิ่มพูน


ชุยตงซานหุบยิ้มฉับ หรี่ตาลง พูดด้วยน้ำเสียงอึมครึมว่า “เจ้าตะพาบน้อย เจ้าคงรู้สึกว่าศึกบนภูเขาตงหัว ข้าผู้เป็นบรรพบุรุษได้เปรียบด้านชัยภูมิเพราะอยู่ในสำนักศึกษา ดังนั้นเจ้าเลยแพ้อย่างไม่เป็นธรรม ใช่ไหม?”


ทะเลสาบหัวใจของไช่จิงเสินสั่นสะเทือนไม่หยุด และในเสี้ยวนาทีที่ศึกใหญ่ตัดสินเป็นตายกำลังจะปะทุขึ้นนั้น เขาพลันค้นพบด้วยความตะลึงพรึงเพริดว่าในดวงตาคู่นั้นของชุยตงซาน ตาดำของเขาเป็นแนวตั้ง อีกทั้งยังเปล่งประกายแสงสีทองบาดตา


ไช่จิงเสินเหมือนถูกเจียวหลงบรรพกาลที่ชอบก่อลมสร้างมรสุมจับจ้อง


เย็นวาบไปทั้งสันหลัง


ไช่จิงเสินรีบเก็บท่าทางดุดันน่าเกรงขามทั้งหมดลงไปทันที ผายฝ่ามือข้างหนึ่ง พูดเสียงหนัก “เชิญ!”


ผู้เฒ่าคนเฝ้าประตูที่แอบมองลอดร่องประตู จากตอนแรกที่ยังงัวเงีย มาจนถึงมือเย็นเท้าเย็นเฉียบ แล้วก็จนบัดนี้ที่รู้สึกเหมือนสูญเสียบิดารีบเปิดประตูด้วยอาการตัวสั่นงันงก


ชุยตงซานเดินอาดๆ ก้าวข้ามธรณีประตูไปก่อน


ไช่จิงเสินตามมาด้านหลังติดๆ


เว่ยเซี่ยนและวัวเหลืองตัวนั้นก็เดินตามเข้ามาในจวนของตระกูลไช่


พอคนเฝ้าประตูปิดประตูบ้านลงแล้ว ในใจก็ทอดถอนใจไม่หยุด กว่าจะหลบพ้นมารแห่งหายนะผู้นี้มาได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ท่านบรรพบุรุษแสดงฝีมืออันน่ายำเกรง ช่วยให้ใต้เท้าผู้ว่าฯ ปราบปรามปีศาจลำคลองเจ้าเล่ห์ที่ออกอาละวาดตัวหนึ่งได้ ถึงกอบกู้บารมีมาให้กับตระกูลไช่ได้ใหม่อีกครั้ง แต่นี่เพิ่งจะอยู่อย่างสงบสุขได้แค่ไม่กี่วันก็เอาอีกแล้ว สมกับคำว่าผู้มาเยือนไม่มีเจตนาดี ผู้มีเจตนาดีไม่มาเยือนจริงๆ หวังเพียงว่าหลังจากนี้จะเป็นการปรองดองที่ก่อให้เกิดโชคลาภ อย่าได้มีเรื่องมีราวอะไรอีกเลย


ชุยตงซานพร่ำพูดว่าต้องการอาหารมื้อดึก จำเป็นต้องแสดงให้เห็นถึงความจริงใจ ไช่จิงเสินก็ทน บอกให้นำสุราที่แพงที่สุดของเขตการปกครองมาให้ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวแซ่เว่ยผู้นั้นไหหนึ่ง ก็ยังทน แม้แต่ปีศาจวัวเหลืองตัวเล็กๆ ที่เป็นแค่ขอบเขตประตูมังกรก็ยังต้องการเรือนพักส่วนตัวแห่งหนึ่งในจวนตระกูลไช่แห่งนี้ ไช่จิงเสินไม่ไหวจะทน…แต่ก็ต้องทน


ไช่จิงเสินโบกมือไล่สาวใช้สองคนของจวนที่สีหน้าเต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้ เมื่อไม่มีคนนอกอยู่ด้วยจึงเปิดปากถามว่า “เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่? รีบๆ พูดมาเถอะ!”


ชุยตงซานยกเท้าข้างหนึ่งเหยียบบนเก้าอี้ มือข้างหนึ่งถือกาเหล้า อีกมือหนึ่งจ้วงตะเกียบรัวเร็วราวกับบิน ทั้งดื่มสุราและสวาปามอาหารเลิศรสไปพร้อมกันโดยไม่ให้เสียเวลา พูดเสียงอู้อี้ตอบว่า “จะดีจะชั่วเจ้าอยู่ในเมืองหลวงต้าสุยก็เป็นงูเจ้าถิ่นมาร้อยกว่าปี ไหนลองบอกข้ามาหน่อยสิ เจ้าคนโง่ที่วางแผนลอบสังหารครั้งนั้น ใครมันอยู่เบื้องหลังกันแน่ ถังจวงซานแม่ทัพทหารม้าจู่โจม เถาจิ้วรองเจ้ากรมกลาโหมฝ่ายขวา เหมียวเริ่นแม่ทัพหลงหนิว คนพวกนี้ไม่ต้องให้เจ้าบอก ข้าก็รู้ แต่เจ้าและข้าต่างก็รู้กันดีอยู่แก่ใจว่าคนพวกนี้ไม่ใช่พวกผู้อาวุโสใหญ่ในราชสำนักและบนภูเขาของต้าสุยที่อยู่เบื้องหลังการวางแผนเรื่องนี้อย่างแท้จริง เจ้ารู้จักกี่คนก็บอกมาให้หมด ลองพูดมาสิ”


หนังตาไช่จิงเสินกระตุกเบาๆ


ชุยตงซานโยนน่องเป็ดที่หมักด้วยน้ำจิ้มสูตรพิเศษจนมีรสชาติอร่อยอย่างถึงที่สุดชิ้นหนึ่งทิ้ง เลียนิ้วตัวเอง ชำเลืองตามองไช่จิงเสิน ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ทุกครั้งที่เจ้าพูดชื่อคนเบื้องหลังที่มีความเกี่ยวพันกับเรื่องนี้หนึ่งคน ข้าอนุญาตให้เจ้าพูดชื่อของคนคนหนึ่งที่ไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรเลยมาเพิ่มอีกคน จะเป็นศัตรูคู่อาฆาตบนภูเขาที่มีความแค้นต่อกันมานาน หรือจะเป็นพวกเชื้อพระวงศ์สกุลเกาที่เจ้าแค่รู้สึกไม่ถูกชะตาก็ได้”


ชุยตงซานเรอดังเอิ้ก “ก่อนที่ข้าจะกินอาหารมื้อดึกมื้อนี้อิ่ม วิธีการนี้จะยังใช้ได้ผล แต่หากกินอิ่มแล้ว ตระกูลไช่ของพวกเจ้าก็จะไม่มีโอกาสนี้อีก เจ้าอาจจะยังไม่รู้ว่า ลูกหลานสกุลไช่ที่เจ้าทิ้งไว้ในเมืองหลวงผู้นั้น อืม หรือก็คือเมล็ดพันธ์บัณฑิตตระกูลไช่ที่ทำงานอยู่ในกั๋วจื่อเจียน เขาก็เป็นแค่หนึ่งในพลทหารเล็กๆ คนหนึ่งเท่านั้น ก็เป็นบัณฑิตนี่นะ ไม่อยากจะมองเห็นต้าสุยต้องตกต่ำคาตาตัวเอง จึงไม่ยอมก้มหัวให้กับคนเถื่อนต้าหลี เรื่องนี้สามารถเข้าใจได้ สกุลเกาเลี้ยงดูคนมีความสามารถมานานหลายร้อยปี แค่คนคนเดียวต้องตายเพื่อตอบแทนบ้านเมืองก็ไม่น่าเสียดาย และข้าก็ยิ่งรู้สึกชื่นชม เพียงแต่ว่าความเข้าใจและการชื่นชมไม่อาจเอามากินแทนข้าวได้ เพราะฉะนั้นไช่จิงเสิน เจ้าคิดดูเอาเองแล้วกันว่าต้องทำอย่างไร”


แล้วชุยตงซานก็เริ่มก้มหน้าก้มตาสวาปามอีกครั้ง


ไช่จิงเสินถามเสียงทุ้มหนัก “ข้าต้องการรู้เรื่องหนึ่งก่อน ไช่เฟิงมีส่วนเกี่ยวพันกับเรื่องนี้อย่างลึกซึ้งจริงหรือไม่?!”


ชุยตงซานเอ่ยเย้ยหยัน “มาดแห่งนักประพันธ์และปณิธานอันยิ่งใหญ่ของไช่เฟิง ยังต้องให้ข้ามาพูดให้เปลืองน้ำลายอีกหรือ? คิดว่าข้าผู้อาวุโสเป็นบรรพบุรุษของตระกูลไช่เจ้าจริงๆ หรือไง?”


สีหน้าของไช่จิงเสินเต็มไปด้วยความเจ็บปวด


อย่าเห็นว่าเขาคือเซียนดินก่อกำเนิดที่มีคุณสมบัติมากพอจะมองอ๋องและโหวด้วยสายตาดูแคลน คือผู้ถวายการรับใช้ใหญ่ของตระกูลเซียนที่มีน้อยจนนับนิ้วได้


แต่การปกป้องคุ้มครองตระกูลคือเรื่องที่คนเป็นบรรพบุรุษต้องทำซึ่งถือเป็นธรรมชาติของมนุษย์ บรรพบุรุษที่ตายไปได้แต่อาศัยผลบุญในปรโลกที่ลี้ลับมหัศจรรย์ คนที่ฝึกตนอย่างไช่จิงเสินนี้ แน่นอนว่าต้องกะประมาณให้พอเหมาะพอดี ทั้งไม่เป็นอุปสรรคต่อการฝึกตนของตัวเอง แล้วก็ต้องประคับประคองสนับสนุนเหล่าต้นกล้าที่ดีที่มีโอกาสว่าจะย้อนกลับมาหล่อเลี้ยงดูแลวงศ์ตระกูลด้วย ส่วนข้อที่ว่าพวกลูกหลานคนรุ่นหลังจะเดินไปบนเส้นทางบุ๋นบู๊อันยิ่งใหญ่หรือเดินไปบนเส้นทางการฝึกตน การสร้างเกียรติยศและชื่อเสียง นำพาความรุ่งโรจน์มาสู่วงศ์ตระกูลก็ล้วนเป็นหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบอยู่แล้ว


ในช่วงระยะเวลาร้อยกว่าปีมานี้ ตระกูลไช่มีผู้ฝึกลมปราณที่ตบะไม่สูงไม่ต่ำปรากฏขึ้นคนเดียว ต่อให้ได้รับคำชี้แนะไขข้อข้องใจจากไช่จิงเสินรวมไปถึงมีเงินเทพเซียนก้อนใหญ่ให้ใช้ไม่ขาด แต่ตอนนี้ก็ยังหยุดชะงักอยู่ที่ขอบเขตถ้ำสถิต อีกทั้งเส้นทางในอนาคตมีจำกัดจำเขี่ยนัก


ดังนั้นไช่จิงเสินจึงฝากความหวังไว้ที่ไช่เฟิงซึ่งสอบติดเป็นปั้งเหยี่ยนมากกว่า ถึงขั้นที่ว่าการเลื่อนขั้นในวงการขุนนางของไช่เฟิงในอีกห้าหกปีให้หลัง คำยกย่องสรรเสริญว่าเหวินเจิน (เป็นบรรดาศักดิ์ที่สูงที่สุด หมายถึงผู้ที่มีความสามารถด้านวรรณกรรมและซื่อสัตย์จงรักภักดี) ที่ฮ่องเต้จะประทานให้หลังจากเขาตายไป จากนั้นจิตหยินของเขาก็จะแสดงอิทธิฤทธิ์ศักดิ์สิทธิ์อยู่ในสถานที่ใดสถานที่หนึ่ง ต่อมาก็ถูกราชสำนักต้าสุยแต่งตั้งให้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำศาลเทพอภิบาลเมืองในอำเภอ และเมื่อผ่านการดำเนินการไปอีกร้อยกว่าปีก็ค่อยๆ ได้ยกระดับขึ้นเป็นเทพอภิบาลเมืองของเขตการปกครอง ไช่จิงเสินล้วนเตรียมการไว้เรียบร้อยแล้ว ขอแค่ไช่เฟิงทำตามขั้นตอนที่เขาวางไว้ก็จะสามารถเดินไปถึงตำแหน่งสูงอย่างการเป็นเทพอภิบาลเมืองของเขตการปกครองแห่งหนึ่ง และนี่ก็สุดความสามารถที่เซียนดินก่อกำเนิดท่านหนึ่งจะทำได้แล้ว หลังจากนั้นก็ได้แต่ต้องให้ตัวไช่เฟิงไปช่วงชิงโชควาสนาบนมหามรรคาที่มากกว่านั้นด้วยตัวเอง


ลมและน้ำ (หรือก็คือฮวงจุ้ย) หมุนเวียนผลัดเปลี่ยน สามสิบปีก่อนอยู่ทางตะวันออกของแม่น้ำ สามสิบปีหลังอยู่ทางตะวันตกของแม่น้ำ คนธรรมดายากที่จะคว้าจับเอาไว้ได้ หากพลาดไปครั้งหนึ่งก็อาจจะไม่มีโอกาสอีกตลอดชีวิต แต่ผู้ฝึกลมปราณนั้นไม่เหมือนกัน ขอแค่มีชีวิตอยู่ได้นานมากพอ สักวันหนึ่งลมและน้ำต้องไหลเข้าหาบ้านของตัวเอง เมื่อถึงเวลานั้นก็สามารถใช้วิชาลับตระกูลเซียนพยายามกักเก็บมันไว้ในบ้านของตน สั่งสมรากฐานไว้อย่างต่อเนื่องเหมือนที่คนธรรมดาสั่งสมแก้วแหวนเงินทองเป็นทรัพย์สมบัติ และนั่นก็จะทำให้มีคนจิ๋วควันธูปคนแล้วคนเล่าก่อกำเนิดขึ้นมา


ไม่ว่าอย่างไรไช่จิงเสินก็คิดไม่ถึงเลยว่าไช่เฟิงผู้นี้จะไม่ต้องการอนาคตที่ยาวไกล ดันเลือกจะเข้ามามีส่วนร่วมกับแผนการนี้ลับหลังตนและคนทั้งตระกูลราวกับน้ำเข้าสมองอย่างไรอย่างนั้น


ชุยตงซานวางตะเกียบลงเบาๆ

 

 

 


บทที่ 405.1 จิตใจใฝ่หา

 

ชุยตงซานวางตะเกียบคู่นั้นลงอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะก้มหน้าจัดวางตะเกียบทั้งสองให้เป็นระเบียบ เงยหน้าแล้วยิ้มกล่าวว่า “ดูท่าเจ้าคงมั่นใจแล้วว่าข้าไม่มีทางเปิดฉากสังหารเจ้าที่นี่?”


ชุยตงซานตบมือหัวเราะร่า ลุกขึ้นยืนช้าๆ “เจ้าเดิมพันถูกแล้ว ข้าไม่มีทางสังหารคนพร่ำเพื่อตามแต่ใจตัวเอง ถึงอย่างไรข้าก็ยังต้องกลับไปที่สำนักศึกษา ช่างเถิด ลูกหลานก็มีโชคของลูกหลาน ข้าที่เป็นบรรพบุรุษคงช่วยพวกเจ้าได้แค่นี้”


ไช่จิงเสินกลับผายมือบอกเป็นนัยให้ชุยตงซานนั่งกลับลงไป ถามว่า “เจ้าจะพิสูจน์อย่างไรว่าคำพูดของตัวเองจะใช้ได้ผล ใช้ได้ผลในราชสำนักต้าสุยก็จะใช้ได้ผลในราชสำนักต้าหลีเหมือนกัน?”


ชุยตงซานเอนหลังพิงเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน ยื่นมือมาลูบและหมุนจอนผมตัวเองเล่น “พิสูจน์ได้ยาก”


ไช่จิงเสินจึงได้แต่ถอยให้อีกก้าว พูดเสียงหนักอย่างลังเล “ถ้าอย่างนั้นเจ้าจะดึงไช่เฟิงออกมาอย่างไร อีกทั้งต้องไม่ทิ้งโรคร้ายไว้ภายหลัง ไม่ส่งผลกระทบต่ออนาคตของเขาในภายภาคหน้าด้วย? ข้าจำเป็นต้องเตือนเจ้าข้อหนึ่ง ห้ามไม่ให้ไช่เฟิงหันอาวุธเข้าห้ำหั่นพวกกันเองเด็ดขาด ขายเพื่อนเพื่อหวังความก้าวหน้าจะเป็นอุปสรรคขัดขวางปิดตายเส้นทางแห่งการถูกแต่งตั้งเป็นเทพที่ถูกต้องของไช่เฟิง ในอนาคตอีกร้อยปีพันปี ไช่เฟิงจะต้องผูกติดอยู่กับโชคชะตาบุ๋น ฮวงจุ้ยและชะตาของแคว้นต้าสุย ทำเรื่องเลวร้ายเช่นนี้ ได้รับเกียรติยศตอนมีชีวิตอยู่นั้นไม่ยาก แต่ตายไปแล้วกลับจะถูกควันธูปของต้าสุยผลักไส”


ชุยตงซานยิ้มบางๆ “คนบนภูเขาย่อมต้องมีแผนการอันมหัศจรรย์เป็นของตัวเอง วางใจเถอะ ข้ารับรองว่าในขณะที่ไช่เฟิงยังมีชีวิตอยู่จะมีตำแหน่งขุนนางสูงถึงเจ้ากรมของหกกรม เว้นจากกรมพิธีการ ตำแหน่งนี้สำคัญเกินไป ข้าผู้อาวุโสไม่ใช่ฮ่องเต้ต้าหลี และพอตายไปแล้ว ในร้อยปีเขาจะได้เป็นเทพอภิบาลเมืองของเขตการปกครองใหญ่แห่งหนึ่ง เว้นจากสถานที่มังกรผงาดอย่างเกอหยางของสกุลเกา ตกลงไหม?”


ไช่จิงเสินถามหยั่งเชิง “ถ้าอย่างนั้นทางเลือกและชื่อเสียงของตระกูลไช่ข้าล่ะ?”


ชุยตงซานยิ้มกล่าว “ถึงเวลานั้นข้าจะให้เจ้าและตระกูลไช่ร่วมมือแสดงแผนทรมานตัวเอง ไม่ว่าใครก็ต้องยกนิ้วโป้งให้เจ้าไช่จิงเสิน ในหนังสือประวัติศาสตร์ของรุ่นหลังก็จะมีแต่ชื่อเสียงที่ดีงาม”


ไช่จิงเสินทำท่าจะพูดแต่ก็หยุดไป


ชุยตงซานหลุดหัวเราะพรืด “จะให้ข้าลงนามสัญญาภูเขาแม่น้ำของพวกเซียนดินกับเจ้า? ไช่จิงเสิน ข้าแนะนำเจ้าว่าอย่าทำเรื่องที่เกินความจำเป็นจะดีกว่า”


ไช่จิงเสินนึกถึงภาพดวงตาสีทองตั้งตรงคู่นั้น ในใจก็พลันหวาดผวา แม้การที่ตนกับตระกูลไช่ต้องตกอยู่ในกำมือของผู้อื่นจะทำให้ในใจรู้สึกอัดอั้นคับแค้น แต่เมื่อเทียบกับผลลัพธ์ที่เลวร้ายจนมิอาจรับได้ไหว เนื่องจากไช่เฟิงคนเดียวกระชากคนทั้งตระกูลให้ร่วงลงไปในหุบเหวลึกหมื่นจั้ง หรืออาจถึงขั้นเดือดร้อนการฝึกตนของบรรพบุรุษอย่างเขา ความอัดอั้นตันใจเล็กๆ น้อยๆ แค่นี้ก็ไม่ได้เกินจะทนสักเท่าไหร่


ในเมื่อกลายมาเป็นพันธมิตรกันชั่วคราว


ไช่จิงเสินจึงคิดจะแสดงความจริงใจของตัวเองออกมาบ้าง “ปีนั้นท่านชุยอยู่ในสำนักศึกษาแล้วถูกคนใช้ด้ายสีทองลอบสังหาร ก่อนจะใช้ยันต์ตัวตายตัวแทนหนีพ้นหายนะไปได้ ท่านชุยไม่อยากรู้เลยหรือว่าใครเป็นผู้บงการอยู่เบื้องหลัง? หรือจะบอกว่าเจ้าคิดว่าเป็นคนกลุ่มเดียวกัน?”


ชุยตงซานชำเลืองตามองไช่จิงเสิน


ไช่จิงเสินถูกอีกฝ่ายมองจนเริ่มไม่เป็นตัวของตัวเอง ไม่เข้าใจว่าตัวเองพูดผิดตรงไหน


ชุยตงซานลุกขึ้นยืน หิ้วเหล้าหมักที่เก็บซ่อนไว้ใต้ดินมานานซึ่งยังไม่เปิดผนึกกานั้นขึ้นมา “ปีนั้นข้าอยู่ในสำนักศึกษารู้สึกอุดอู้จนแทบจะไปแขวนคอตายอยู่บนยอดเขาแล้ว กว่าจะรอคอยให้เกิดเรื่องน่าสนใจขึ้นมาได้ไม่ใช่เรื่องง่าย เจ้าเห็นหรือไม่ว่าหลังจากนั้นข้าทำอย่างไร? รออยู่นานแล้ว ไม่เห็นพวกเขาแอบมาลอบสังหารต่อสักที ข้าก็ได้แต่เป็นฝ่ายวิ่งไปยืดคอให้อีกฝ่ายตัดที่ชิงเซียวตู้ ผลกลับกลายเป็นว่าก็ยังไม่มีใครกล้าลงมือ ข้าเลยได้แต่ขนเอาไม้ไผ่มรกตของชิงเซียวตู้หลายคันรถมาปูพื้นที่สำนักศึกษา เป็นเงินเท่าไหร่ ข้าก็จ่ายไปเท่านั้น ทำไมต้องทำอย่างนั้น? ก็ข้าซาบซึ้งใจที่พวกเขามาช่วยแก้เบื่อให้ข้า เพื่อรับมือกับการลอบสังหารครั้งที่สอง ข้าต้องวางแผนหาทางหนีทีไล่ไว้ตั้งมากมาย แม้ว่าจะไม่มีโอกาสได้นำออกมาใช้ แต่ระหว่างที่ต้องใช้สมองคิดแผนการก็ช่วยฆ่าเวลาที่น่าเบื่อหน่ายไปได้บ้าง”


ชุยตงซานเดินวนอ้อมโต๊ะมาตบไหล่ไช่จิงเสิน “เสี่ยวไช่ เจ้ายังอายุน้อยเกินไป ไม่รู้จักนิสัยของข้า วันหน้าอยู่ด้วยกันนานวันเข้า เจ้าก็จะค้นพบเองว่าตัวเองมีบรรพบุรุษที่ดี มีเวลาว่างก็ลองไปดูที่หลุมศพบรรพบุรุษของตระกูลเจ้าดูสิ รับรองว่าต้องมีควันเขียวลอยขึ้นมาแน่นอน หากช่วงนี้บรรพบุรุษตระกูลไช่มาเข้าฝันเจ้า น้ำตานองหน้าด้วยความซาบซึ้งใจในบุญคุณของข้า เจ้าก็บอกพวกเขาไปว่าไม่ต้องขอบคุณข้า ทำความดีช่วยเหลือผู้อื่นเป็นรากฐานในการศึกษาหาความรู้ของข้าคนนี้มาโดยตลอด”


ไช่จิงเสินตีหน้าเคร่ง แสร้งทำเป็นว่าไม่ได้ยิน


ปีศาจวัวเหลืองที่เป็นเผ่าพันธุ์วัวดินตัวนั้นไปพักผ่อนที่ ‘คอกวัว’ นานแล้ว


แต่เว่ยเซี่ยนกลับนั่งอยู่บนโต๊ะเดียวกับชุยตงซานและไช่จิงเสินตลอดเวลา ไม่พูดคำใด เอาแต่ดื่มเหล้าอย่างเดียว


เว่ยเซี่ยนเดินตามชุยตงซานกลับไปยังที่พัก


คนทั้งสองนั่งลงเรียบร้อยแล้ว ชุยตงซานก็ใช้กระบี่บินสีทองเล่มนั้นวาดบ่อสายฟ้าสกัดกั้นการลอบสังเกตการณ์ของไช่จิงเสิน


ชุยตงซานเตะรองเท้าหุ้มแข้งทิ้ง นั่งขัดสมาธิบนเก้าอี้ ยิ้มถามว่า “เจ้าช่วยใช้สองสามประโยคมาเป็นข้อสรุปแบบตอกปิดฝาโลงแก่ข้าที”


เว่ยเซี่ยนเอ่ยเนิบช้า “นกบินสูงตายเพราะอาหาร ปลาในน้ำลึกตายเพราะเหยื่อล่อ”


ในสายตาของเว่ยเซี่ยน พวกคนอย่างไช่จิงเสินเป็นพวกลังเลเอาแน่เอานอนไม่ได้ ไม่มีค่าพอให้พูดถึง


ภายใต้สถานการณ์ใหญ่ดุจน้ำป่าไหลซัดสาดถาโถม ต่อให้เป็นเซียนดินก่อกำเนิดคนหนึ่งก็ยังไม่ต่างจากตั๊กแตนที่พยายามขวางหน้ารถอยู่ดี


ก่อนจะเข้ามาในเขตการปกครอง ชุยตงซานได้ให้เว่ยเซี่ยนอ่านรายงานลับเรื่องวงในเกี่ยวกับต้าสุยจำนวนมาก เรื่องแผนการลับของไช่เฟิงในเมืองหลวง เมื่อเปรียบเทียบกับความลับที่ไช่ชิงเสินผู้ถวายงานรับใช้สกุลเกาซุกซ่อนเอาไว้แล้วก็เป็นแค่เรื่องเล็กเท่านั้น


ปีนั้นสกุลเกาต้าสุยสามารถร่วมมือกับราชวงศ์สกุลหลูกดข่มการลุกผงาดของต้าหลีที่มีทั้งราชครูชุยฉานและสำนักศึกษาซานหยาเอาไว้ได้นานหลายสิบปี


ไม่ใช่เรื่องง่ายดายเพียงแค่ว่าฮ่องเต้สกุลเกาต้าสุยเป็นคนมองการณ์ไกลเท่านั้น


ตอนนั้นต้าหลีมียอดฝีมือสายหนึ่งของลัทธิเต๋าและสกุลลู่สำนักหยินหยางช่วยกันสร้างหอที่เลียนแบบป๋ายอวี้จิง ปีนั้นต้าสุยและสกุลหลูก็มีเงาของผู้ฝึกตนใหญ่จากเมธีร้อยสำนักหลบซ่อนตัวอยู่เบื้องหลังคอยให้คำชี้แนะ


ไช่จิงเสินก็คือหมากตัวหนึ่งที่ฝังไว้ค่อนข้างลึก และขณะเดียวกันก็เป็นหมากที่ค่อนข้างสำคัญ


อย่าเห็นว่าคืนนี้ไช่จิงเสินมีท่าทางขลาดกลัว สถานการณ์ทั้งหมดล้วนอยู่ในกำมือของชุยตงซาน ในความเป็นจริงแล้วแม้แต่การ ‘ลาออกจากตำแหน่งด้วยความไม่พอใจ’ ย้ายบ้านออกจากเมืองหลวงเพราะดูเหมือนไม่อาจยอมรับความอัปยศของไช่จิงเสินก่อนหน้านี้ ก็น่าจะมียอดฝีมือคอยให้คำแนะนำอยู่เช่นกัน


ตอนนี้ต้าหลีกับต้าสุยลงนามเป็นพันธมิตรแห่งขุนเขาที่มีระดับขั้นสูงสุด ฝั่งหนึ่งใช้ภูเขาตงหัวอันเป็นที่ตั้งของสำนักศึกษาซานหยา จุดศูนย์รวมของเส้นทางมังกรกลิ่นอายราชัน ส่วนอีกฝั่งหนึ่งก็ใช้ภูเขาพีอวิ๋นที่เป็นขุนเขาเหนือแห่งใหม่ล่าสุดของราชวงศ์เป็นสถานที่ลงนามสัญญาป่าวประกาศแก่ฟ้าดิน มองดูเหมือนทุกคนต่างปิติยินดี ต้าสุยไม่ต้องปะทะกับกองทัพม้าเหล็กของต้าหลีจังๆ ช่วงชิงช่วงเวลาอันดีที่สามารถหยุดพักรักษาตัวได้นานร้อยกว่าปี ก็แค่ต้องยกแคว้นใต้อาณัติอย่างพวกแคว้นหวงถิงให้แก่ต้าหลี ส่วนต้าหลีก็สามารถรักษากำลังเอาไว้บุกลงใต้ได้อย่างเต็มที่ เข่นฆ่าทุกอย่างที่ขวางหน้าให้พังราบเป็นหน้ากลองไปจนถึงชายแดนของราชวงศ์จูอิ๋ง


แต่เบื้องหลังความเงียบสงบปลอดภัยนั้น สกุลซ่งต้าหลีและสกุลเกาต้าสุยย่อมต้องมีความคิดแตกต่างกันไป


โดยเฉพาะหลังจากที่ซ่งเจิ้งฉุนฮ่องเต้ต้าหลีตายไปแล้ว ต่อให้ทางศูนย์กลางของต้าหลียังเก็บเป็นความลับไม่แพร่งพรายออกมา แต่เชื่อว่าทางฝั่งของต้าสุยนี้ ไม่แน่ว่าอาจจะพอสัมผัสได้ ถึงได้ทำท่าเหมือนอยากจะลงมือเต็มแก่


แม้ว่าตอนนี้กองทัพม้าเหล็กต้าหลีจะบุกตะลุยไปเบื้องหน้าดุจผ่าลำไม้ไผ่ ควบรวมแผ่นดินครึ่งหนึ่งของแจกันสมบัติทวีปเอาไว้ เพียงแต่ว่าสถานการณ์ยังไม่มั่นคงนัก หากเรือนหลังของต้าหลีและต้าสุยเกิดไฟไหม้ขึ้นมาพร้อมกัน บวกกับที่สำนักศึกษากวานหูและทางฝั่งของราชวงศ์จูอิ๋งออกฤทธิ์ออกเดชกะทันหัน สถานการณ์หมากล้อมที่มองดูเหมือนดำเนินไปในทิศทางที่ดีของต้าหลีก็จะถูกสังหารมังกรใหญ่ (ศัพท์ทางหมากล้อม หมายถึงหมากถูกกินไปแถบใหญ่) ในชั่วพริบตา เมื่อถึงเวลานั้นกองทัพม้าเหล็กต้าหลีเหยียบย่ำอาณาเขตแถบทิศเหนือจนพังราบ แต่ในสายตาของยอดฝีมือที่อยู่เบื้องหลังซึ่งถอยออกมาดูสถานการณ์แล้วค่อยจู่โจมจนกระทั่งได้รับชัยชนะ ทุกจุดล้วนเป็นเนื้อติดมันชิ้นใหญ่ที่สามารถส่งเข้าปากได้อย่างถูกต้องเหมาะสม


ชุยตงซานบอกกับเว่ยเซี่ยนอย่างตรงไปตรงมาว่าการลงมือของเขาไม่มีจุดหมายที่แน่นอน ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปตามวันเวลา จะเรียกหามา จะสยบสังหาร หรือจะนำมาทำเป็นเหยื่อล่อก็อยู่แค่ว่าไช่จิงเสินจะรับมืออย่างไร


เว่ยเซี่ยนไม่กล้าพูดว่าชุยตงซานต้องเอาชนะบุคคลบนยอดเขาที่อยู่เบื้องหลังเหล่านั้นได้แน่นอน


แต่ไช่จิงเสินคนเดียวย่อมไม่คนามือ มีแต่จะถูกชุยตงซานเอามากุมเล่นในฝ่ามือเท่านั้น


ดังนั้นเว่ยเซี่ยนถึงได้กล่าวว่านกและปลาตายเพราะละโมบในอาหาร


ชุยตงซานส่ายหน้า เขายื่นสองนิ้วออกมาประกบกันแล้วเขียนคำหกคำอยู่กลางอากาศ


พยัคฆ์ย่อตัวหมอบเพื่อโจมตี แมวเสือดาวห่อตัวเพื่อล่าเหยื่อ (เปรียบเปรยว่าคนใจกว้างและมีปณิธานยอมข่มกลั้นความอัปยศชั่วคราวก็เพื่อสั่งสมกำลังไว้รอแสดงความมุ่งมาดปรารถนาออกมาในอนาคต)


เว่ยเซี่ยนขมวดคิ้ว “ต้าสุยคิดจะทำลายสัญญาพันธมิตรแล้วยอมทุ่มหมดหน้าตักก็เพราะคิดอยากจะเข้ามาแทนที่ต้าหลีน่ะหรือ?”


ชุยตงซานหัวเราะฮ่าๆ แล้วชี้ไปที่ตัวเอง


เว่ยเซี่ยนอึ้งตะลึง ก่อนกุมหมัดคารวะ “ราชครูมองการณ์ไกลล้ำลึก หาใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะเทียบเคียงได้”


ชุยตงซานบ่นอย่างไม่พอใจนิดๆ “วันหน้าเจ้าเรียกข้าว่าท่านชุยก็แล้วกัน เรียกว่าราชครูอย่างนั้นอย่างนี้ รู้สึกเหมือนเจ้าที่เป็นฮ่องเต้บุกเบิกแคว้นหนันเยวี่ยนกำลังเอาเปรียบข้าอย่างนั้นแหละ”


เว่ยเซี่ยนทอดถอนใจ “แคว้นหนันเยวี่ยนเล็กๆ ก็เทียบได้แค่เขตการปกครองเล็กๆ แห่งหนึ่งของต้าหลีเท่านั้น ตอนนั้นก็เคยมีเจ๋อเซียนปรากฎตัวแล้วทิ้งถ้อยคำบางอย่างเอาไว้เช่นกัน ดังนั้นข้าถึงได้สั่งให้คนของแคว้นหนันเยวี่ยนไปซ่อนตัวอยู่ตามหุบเขา ไม่ก็ออกทะเลไปเยี่ยมเยือนเซียน แต่พอได้มาเยือนใต้หล้าไพศาลอย่างแท้จริงกลับยังคงจินตนาการความยิ่งใหญ่ของฟ้าดินแห่งนี้ไม่ออกเลย”


ชุยตงซานยิ้มกล่าว “ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางมีบัณฑิตคนหนึ่งที่ร้ายกาจมากเคยกล่าวอย่างปลงอนิจจังว่า ยัดเมล็ดพันธ์ผักเล็กๆ หนึ่งเมล็ดเข้าไปในแผ่นดินก็พอดี (มาจากประโยคเดิมว่ายัดเมล็ดพันธ์ผักเล็กๆ หนึ่งเมล็ดเข้าไปในเขาพระสุเมรก็พอดี เปรียบเปรยถึงพระธรรมที่ยิ่งใหญ่ไร้ที่สิ้นสุด และยังสามารถบรรยายได้ถึงกวีนิพนธ์ที่เปลี่ยนแปลงได้หลากหลาย แสดงให้เห็นถึงความคิดอันโดดเด่น) วันหน้าหากมีโอกาสจะพาเจ้าไปพบเขา ถึงเวลานั้นเจ้าค่อยทอดถอนใจในความเป็นกบใต้บ่อของตัวเองก็จะเหมาะสมกับกาลเทศะพอดี”


ชุยตงซานเอาสองมือจับที่วางแขนของเก้าอี้แล้วโยกตัว เก้าอี้จึงเริ่ม ‘ออกเดิน’ มองเหมือนว่าชุยตงซานกำลังขี่ม้าที่กระเด้งกระดอน เป็นภาพที่ชวนขบขันอย่างถึงที่สุด


เพียงแต่ช่วงที่ผ่านมาเว่ยเซี่ยนได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับชุยตงซานจึงเคยชินเสียแล้ว สำหรับในเรื่องเช่นนี้ เว่ยเซี่ยนและอวี๋ลู่ต่างก็ปรับตัวได้เร็วกว่าเซี่ยเซี่ยมากนัก


นี่คงเป็นจิตใจที่กว้างขวางของคนเป็นกษัตริย์และรัชทายาทกระมัง


ชุยตงซานเอ่ยเนิบช้า “เคยบอกคำตอบแก่เจ้าไปแล้ว ถึงอย่างไรคนที่อยู่เบื้องหลังต้าสุยกับต้าหลีต่างก็กำลังแข่งขันกันเรื่องแผนรับมือในภายหลัง ทหารตัวเล็กๆ อย่างไช่เฟิงจะเป็นหรือตาย รวมไปถึงพวกคนอย่างไช่จิงเสินจะยอมสวามิภักดิ์หรือไม่ ล้วนไม่อาจก่อคลื่นลมอะไรได้ และการที่ข้ารั้งรออยู่ในเขตการปกครอง ไม่ได้กลับสำนักศึกษาที่เมืองหลวง อันที่จริงก็ไม่ได้ซับซ้อนอย่างที่เจ้าคิด อาจารย์ของข้าเอ็นดูเป่าผิงน้อยที่สุด เหมาเสี่ยวตงเป็นพวกเก็บคำพูดไม่อยู่ จะต้องบอกเขาถึงแผนการลับที่ไม่มีเกียรตินี้ของต้าสุยอย่างแน่นอน หากเวลานี้ข้าทะเล่อทะล่าโผล่ไป ย่อมต้องถูกอาจารย์พาลโมโหใส่ ด่าว่าข้าไม่รู้จักทำเรื่องที่ถูกที่ควรเป็นแน่”


“และหากข้าพูดเรื่องงานใหญ่ของแผ่นดินกับอาจารย์ก็จะยิ่งถูกเขาเกลียดขี้หน้า ไม่แน่ว่าอาจไม่ได้เป็นอาจารย์และลูกศิษย์กันอีกเลย แต่งานก็ยังต้องทำ จะให้ข้าเอาแต่พูดว่าอาจารย์ท่านโปรดวางใจ เด็กๆ กลุ่มของหลี่เป่าผิงหลี่ไหวนี้ต้องไม่เป็นอะไรแน่ ความรู้ของอาจารย์ในทุกวันนี้ยิ่งมีแนวโน้มว่าจะสมบูรณ์แบบมากขึ้นเรื่อยๆ จากลำดับขั้นตอนในช่วงแรกเริ่มสุด มาถึงดีเลวอันเป็นจุดหมายในช่วงท้ายสุด รวมไปถึงการเลือกเส้นทางเดินระหว่างนั้น ล้วนมีเค้าโครงให้เห็นคร่าวๆ แล้ว หากข้าเอาถ้อยคำเรื่องความดีความชอบที่ฟังเหมือนคำพูดของพ่อค้าหน้าเลือดมาใช้รับมือกับเขา จะต้องเปลืองแรงอย่างมาก”


“ดังนั้นจึงไม่สู้มาหลบอยู่ที่นี่ ทำความดีลบล้างความผิด เอาผลลัพธ์ที่จับต้องได้จริงออกมาให้เห็น ช่วยตัดขาดความเชื่อมโยงบางอย่าง แล้วค่อยไปรับผิดที่สำนักศึกษา อย่างมากก็แค่ถูกซ้อมรอบหนึ่ง ถึงอย่างไรก็ดีกว่าปล่อยให้อาจารย์เกิดปมในใจ แบบนั้นข้าต้องจบเห่แน่ หากถูกเขาหมายหัวว่าข้ามีจิตคิดไม่ซื่อ ต่อให้เป็นเทพเซียนก็ยากจะช่วยได้ แม้ซิ่วไฉเฒ่าจะออกหน้าช่วยขอร้องให้ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะได้ผล”

 

 

 


บทที่ 405.2 จิตใจใฝ่หา

 

เว่ยเซี่ยนครุ่นคิด ทำท่าจะพูดอะไรบางอย่าง


ชุยตงซานที่พาเก้าอี้เดินไปถึงหน้าต่างแล้วโบกมือทั้งที่ยังหันหลังให้เว่ยเซี่ยน “ตอนนี้เจ้าเว่ยเซี่ยนยังไม่มีคุณสมบัติจะถกเรื่องปัญหาความขัดแย้งระหว่างข้ากับอาจารย์ ดังนั้นจงดูให้มาก พูดให้น้อย”


ชุยตงซานพึมพำเบาๆ “อู๋ยวนเจ้าเมืองเขตการปกครองหลงเฉวียน เว่ยหลี่แห่งแคว้นหวงถิง หลิ่วชิงเฟิงแห่งแคว้นชิงหลวน เหวยเลี่ยงผู้บัญชาการณ์ใหญ่ และยังมีเจ้าเว่ยเซี่ยน ล้วนเป็น…ต้นกล้าที่ดีที่พวกเราหมายตา ซึ่งเจ้าและเหวยเลี่ยงมีจุดเริ่มต้นสูงที่สุด แต่ในอนาคตจะเป็นอย่างไร ยังต้องอาศัยความสามารถของพวกเจ้าเอง ไม่ต้องไปพูดถึงเหวยเลี่ยง เขาเหมือนนกกระเรียนป่าที่บินอยู่บนท้องนภาอย่างเดียวดาย ไม่ถือว่าเป็นหมากตามความหมายที่แท้จริง เป็นแค่การช่วยเหลือกันและกันบนมหามรรคา แต่อู๋ยวนกับหลิ่วชิงเฟิงคือคนที่ข้าปลูกฝังอบรมมาอย่างตั้งใจ ส่วนเจ้ากับเว่ยหลี่คือคนที่ข้าเลือก วันหน้าพวกเจ้าสี่คนจะต้องขึ้นไปต่อสู้บนเวทีให้กับพวกเรา”


คำพูดของเขาค่อนข้างจะคลุมเครือชวนให้สับสน เว่ยเซี่ยนได้แต่จดจำไว้ในใจเงียบๆ


ชุยตงซานพลันยกมือตบที่เท้าแขนเก้าอี้ “สือโหรวโง่เง่าผู้นั้น เกรงว่าจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่าถ้อยคำในกระดาษที่ยัดไว้ในถุงผ้าแพรเป็นคำที่ออกมาจากใจจริงของข้า แต่ละคำดุจกลั่นออกมาจากหยาดเลือดและน้ำตา คือประสบการณ์ที่ล้ำค่ามากที่สุดของคนผู้หนึ่งที่เคยอาบน้ำร้อนมาก่อน ครั้งหน้าที่พบกันในสำนักศึกษา หากนางยังไม่รู้จักพัฒนาตัวเองก็คอยดูเถอะว่าข้าจะจัดการนางอย่างไร! หึ คราบร่างเซียนตู้เม่าร่างนั้นไม่ต้องกินถ่ายหรือหลับนอน นางถึงได้ข่มกลั้นความสะอิดสะเอียนในใจเอาไว้ได้ ถึงเวลานั้นข้าจะบอกให้นางทั้งกินทั้งดื่ม ทั้งถ่ายทั้งอาบน้ำ ทำทุกอย่างให้ครบหลายๆ รอบ! ต้องให้นางรู้ซะบ้างว่าแบบไหนจึงจะเรียกว่าลูกผู้ชายตัวจริง!”


เว่ยเซี่ยนบอกลาจากไป


ชุยตงซานสะบัดชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง สลายตราผนึกบ่อสายฟ้าที่เป็นวงแสงสีทองวงนั้นออก


เว่ยเซี่ยนรู้สึกเคารพเลื่อมใสและยำเกรงคนผู้นี้จากใจจริง


เลื่อมใสเพราะไม่ถึงร้อยปีต้าหลีก็สามารถเปลี่ยนจากแคว้นใต้อาณัติเล็กๆ แห่งหนึ่งของราชวงศ์สกุลหลูมามีสภาพการณ์อย่างในทุกวันนี้ได้ นั่นล้วนเป็นเพราะอาศัยสี่คำว่าปั้นน้ำเป็นตัว


แต่เรื่องพวกนี้ยังไม่มากพอให้เว่ยเซี่ยนรู้สึกเคารพยำเกรงราชครูท่านนั้น ในขณะที่คนผู้นี้ต่อสู้รวบรวมแผ่นดินก็ได้ทุ่มเทพยายามอย่างเต็มที่เพื่อปกป้องพิทักษ์แผ่นดิน


เว่ยเซี่ยนรู้สึกว่านี่ต่างหากถึงจะเป็นการประลองหมากล้อมที่แท้จริง


หลังจากเว่ยเซี่ยนจากไปแล้ว ชุยตงซานก็สะบัดข้อมือหนึ่งครั้งบังคับคว้าเหล้ากาที่อยู่บนโต๊ะมากระดกดื่มคำเล็กๆ


ระหว่างการเดินทางท่องเที่ยวที่ลุ่มๆ ดอนๆ เขาได้พบเห็นผู้คนและเรื่องราวมามากมาย อ่านตำรามากกว่าเดิม ได้เห็นทิวทัศน์ของภูเขาและแม่น้ำนับไม่ถ้วน


ในศึกตรีจตุที่น่าประหวั่นพรั่นพรึงของปีนั้น เคยมีขุนนางบุ๋นคนหนึ่งที่ไม่ว่าจะเป็นหรือตายก็ล้วนไม่สะดุดตาใคร เขาได้เอ่ยประโยคหนึ่งที่เกรงว่าคงไม่มีใครเก็บไปใส่ใจ แต่กลับทำให้ชุยตงซานรู้สึกประทับใจและจดจำได้จนถึงทุกวันนี้


‘ฟ้าดินเป็นผู้กำหนด มีเกิดก็ต้องมีตาย พืชหญ้าใบไม้ร่วงใบไม้ผลิ มีรุ่งโรจน์ก็ต้องมีโรยรา นี่ก็คือสัจธรรมแห่งธรรมชาติ! ผู้ฝึกลมปราณที่ละเมิดกฎเกณฑ์ เหยียบย่ำชีวิตผู้คน เทพเซียนบนภูเขาที่มองชาวบ้านเป็นดั่งมดตัวเล็กอย่างพวกเจ้า จะแตกต่างจากเผ่าปีศาจตรงไหน?!’


ชุยตงซานใช้สองนิ้วคีบกาเหล้า เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ปากก็พึมพำไปด้วย เสียงของเขาแผ่วเบาราวกับเสียงยุง ดังขาดๆ หายๆ “ข้าเคยเป็นเจ๋อเซียน ดื่มน้ำพุเหล้าหมักของสรวงสวรรค์ เล่นหมากล้อมอยู่ท่ามกลางชั้นเมฆหลากสีของนครจักรพรรดิขาว…ข้าเห็นทัศนียภาพสองฝากฝั่งกลางลำน้ำที่คลื่นซัดสาดรุนแรง มิอาจสบอารมณ์…ไร้เงินติดกาย นอนกลางดินกินกลางทราย กินลมเย็นจนอิ่มท้อง จุดตะเกียงดื่มสุรา ต้านลมพายุต้านสายฟ้า…อาจารย์เมามายศีรษะส่ายโคลงเคลง ชูจอกขึ้นสูง ถามสวรรค์ใจคนอะไรที่มาก่อน เด็กรับใช้มิได้ตอบกลับ ก้มหน้าหลับไป ได้ยินเพียงเสียงแมลงรอบกำแพงดังระงม ประหนึ่งทอดถอนใจไปพร้อมข้า…อาจารย์ถอดเสื้อคลุมให้เด็กรับใช้ แต่กลับสะดุดล้มลงในห้องเก่าโทรม ทอดกายบนพื้น เสียงกรนดั่งเสียงฟ้าผ่า หลับฝันนิทราไป…”


ชุยตงซานพลันยื่นมือมาเกาแก้ม “น่าเบื่อจริง เปลี่ยนใหม่ เปลี่ยนเป็นอะไรดีล่ะ? อืม รู้แล้ว!”


แล้วเขาก็เริ่มคลอเพลงพื้นบ้านไม่รู้ชื่อขึ้นมา “คางคกตัวหนึ่งอ้าปากกว้าง คางคกสองตัวมีสี่ขา กระโดดลงน้ำดังจ๋อม คางคกไม่กินน้ำ ยุคแห่งสันติ คางคกไม่กินน้ำ ยุคแห่งสันติ…”


……


จวนตระกูลไช่ที่เมืองหลวง


รถม้านำพาเหล่าชนชั้นสูงและผู้มีความสามารถมารวมตัวกันอย่างเงียบเชียบ


ไช่เฟิงที่ตอนนี้รับตำแหน่งขุนนางปั้งเหยี่ยนของกั๋วจื่อเจียนถือว่าเป็นบุคคลที่มีความสามารถโดดเด่นมากแล้ว


คิดไม่ถึงว่าคืนนี้ ในบรรดาคนเจ็ดแปดคนที่มารวมตัวกัน ไช่เฟิงจะเป็นเพียงแค่คนที่มีตำแหน่งขุนนางต่ำที่สุด


กัวซินรองเจ้ากรมพิธีการฝ่ายซ้าย เถาจิ้วรองเจ้ากรมกลาโหมฝ่ายขวา เหมียวเริ่นแม่ทัพหลงหนิวผู้สร้างคุณความชอบในการบุกเบิกแคว้น รองผู้บัญชาการณ์ซ่งซ่านแห่งที่ว่าการพลทหารราบผู้ทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยของเมืองหลวง…


ส่วนใหญ่ล้วนเป็นขุนนางในวัยหนุ่มฉกรรจ์ของเมืองหลวงต้าสุย อายุไม่มาก คนที่อายุมากอย่างเถาจิ้วก็ยังแค่สี่สิบห้าปีเท่านั้น


ไช่เฟิงคือคนหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาที่มีเรือนกายสูงใหญ่ บุคลิกองอาจห้าวหาญ ต่อให้เผชิญหน้ากับขุนนางชั้นสูงก็ยังมีมาดน่าเกรงขามไม่เป็นรองใคร


นี่มาจากทั้งความภาคภูมิใจในความรู้ความสามารถของตัวเอง แล้วก็เกี่ยวพันกับแซ่วงศ์ตระกูลของเขาด้วย ต่อให้ไช่จิงเสินผู้เป็นบรรพบุรุษของตระกูลไช่จะกลายเป็นตัวตลกของผู้อื่นมากแค่ไหน แต่นั่นก็เป็นถึงเทพเซียนก่อกำเนิดที่ปกป้องคุ้มครองเมืองหลวงต้าสุยมานานหลายปี


ทุกคนบ้างดื่มชา บ้างดื่มสุรา แผนการถูกวางไว้เรียบร้อยแล้ว มีความเป็นไปได้มากว่าทิศทางการดำเนินไปของสถานการณ์ในอนาคตของต้าสุย หรือแม้แต่สถานการณ์ของตลอดทั้งแจกันสมบัติทวีปในอนาคตก็ล้วนถูกตัดสินที่จวนไช่ในคืนนี้แล้ว


ห้าวันต่อจากนี้จะเป็นวันที่ฮ่องเต้ทรงจัดให้มีงานเลี้ยงฉลองเชียนโซ่วเหยียน (หรืองานเลี้ยงผู้เฒ่านับพัน คืองานเลี้ยงที่เชิญคนชรานับพันมาร่วมงานเพื่อร่วมเฉลิมฉลอง ผู้ริเริ่มคือคังซีฮ่องเต้) ก่อนหรือหลังงานเลี้ยงนี้ล้วนลงมือได้ทั้งสิ้น!


ไช่เฟิงลุกขึ้นยืนพูดเสียงดังกังวาน “ตรากตรำเล่าเรียนตำราอริยะปราชญ์ พิทักษ์แผ่นดิน ไม่ให้ชาวประชาถูกรังแก ปกป้องบ้านเมือง ไม่ให้ถูกคนต่างถิ่นรุกรานดูหมิ่น บัณฑิตอย่างเรายอมสละชีวิตเพื่อความชอบธรรม ซึ่งก็คือช่วงเวลานี้!”


จ้วงหยวนคนใหม่ที่ยังอยู่ในสำนักฮั่นหลินลุกพรวดขึ้นยืน ขว้างจอกเหล้าในมือลงพื้นจนแตกกระจายเป็นเศษเล็กเศษน้อย กล่าวเสียงทุ้มหนัก “บุตรไม่มีบิดาสองคน ขุนนางไม่มีกษัตริย์สองพระองค์ ยินดีเป็นหยกแตก แต่ไม่ยอมเป็นกระเบื้องสมบูรณ์! สามสิบหกแม่ทัพผู้ก่อตั้งแคว้นต้าสุยของพวกเรา เกินครึ่งล้วนมีชาติกำเนิดมาจากลัทธิขงจื๊อ!”


อารมณ์ทุกคนพลุ่งพล่าน ฮึกเหิมห้าวหาญถึงขีดสุด


บางคนชูแขนร้องตะโกน “ขอสาบานว่าต้องสังหารปีศาจบุ๋นเหมาเสี่ยวตงให้จงได้!”


บางคนหลั่งน้ำตาด้วยความเศร้าอาดูร ยกฝ่ามือตบที่เท้าแขนเก้าอี้หนักๆ อยู่หลายครั้ง “ต้าสุยของพวกเราจะยอมคุกเข่าก้มหัวให้คนป่าเถื่อนสกุลซ่งได้อย่างไร ยกอาณาเขตให้เพื่อขอปรองดอง พ่ายแพ้ตั้งแต่ยังไม่ทันได้รบ คือความอัปยศอย่างใหญ่หลวง!”


ทุกคนทยอยกันแยกย้ายจากไป


ไช่เฟิงไม่ได้ไปส่งใคร ไม่อย่างนั้นจะสะดุดตาเกินไป


แม้จะบอกว่าซ่งซ่านจัดการไว้เรียบร้อยแล้ว บริเวณใกล้เคียงกับตระกูลไช่ที่ใช้กฎห้ามเข้าออกยามวิกาลถูกเก็บกวาดจนสะอาดเอี่ยม มีแต่ทหารคนสนิทของรองผู้บัญชาการที่ว่าการพลทหารราบท่านนี้เฝ้าเอาไว้ แต่ก็ยังต้องระวังไว้ก่อนเป็นดี


ไช่เฟิงนั่งอยู่ในห้องโถงเลี้ยงรับรองที่เงียบเหงาเพียงลำพัง ในห้องยังอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของสุรา


สายตาของไช่เฟิงฉายประกายร้อนแรง


กอบกู้คลื่นยักษ์ที่ทรุดตัวลงแล้วให้กลับคืนมาผงาดอีกครั้ง นอกจากข้าไช่เฟิงแล้วยังจะมีใครทำได้อีก?!


เหมียวเริ่นและจางไต้จ้วงหยวนคนใหม่นั่งรถม้าคันเดียวกันจากไป


เหมียวเริ่นมองคนหนุ่มที่มีสีหน้าผ่อนคลายเป็นธรรมชาติ ในใจก็ให้ดูแคลนตัวเอง ตนถึงขนาดสุขุมได้ไม่เท่าเด็กรุ่นหลังที่มีอายุเพียงยี่สิบปีเลยด้วยซ้ำ ไม่เสียแรงที่อีกฝ่ายถูกเรียกขานว่าคนหนุ่มผู้มีคุณสมบัติจะเป็นเสนาบดี เขา หลี่ฉางอิงว่าที่วิญญูชนของสำนักศึกษาซานหยาในอนาคต ฉู่ต้งแห่งหนานซี บวกกับไช่เฟิงอีกคน ถูกขนานนามให้เป็นสี่จิตวิญญาณแห่งเมืองหลวง คือรุ่นคนหนุ่มที่มีความสามารถของต้าสุย นอกจากนี้ยังมีสี่ผู้นำซึ่งมีพานหยวนฉุนที่เป็นบุตรชายของพานเม่าเจินแม่ทัพใหญ่ผู้ล่วงลับรวมอยู่ด้วย แต่คนเหล่านี้ล้วนเป็นเมล็ดพันธ์ลูกหลานของขุนพล หลังจากที่พานหยวนฉุนที่มีอายุน้อยสุดออกจากสำนักศึกษาไปเข้าร่วมกองทัพที่ชายแดน สี่ผู้นำก็ล้วนอยู่ในกองทัพทั้งหมด


สี่จิตวิญญาณสี่ผู้นำนี้ รวมกันทั้งสิ้นแปดคน ผู้ที่เป็นลูกหลานของชนชั้นสูงหรือขุนนางผู้มีคุณูปการก็ได้แก่ฉู่ต้ง พานหยวนฉุน มีทั้งหมดสี่คน ส่วนผู้ที่เป็นลูกหลานตระกูลคนยากจนก็มีสี่คนเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่นจางไต้ที่อยู่ตรงหน้าและหลี่ฉางอิง


เหมียวเริ่นรู้ว่าลำพังแค่คนหนุ่มที่มีเส้นทางอนาคตยาวไกลราบรื่นราวกับปูด้วยผ้าแพรซึ่งถูกลากเข้ามามีส่วนกับแผนการครั้งนี้ก็มีมากถึงสามคนแล้ว


ด้วยเหตุนี้เหมียวเริ่นจึงรู้สึกว่าสิ่งศักดิ์ทั้งหมดในต้าสุยจะต้องปกป้องให้พวกเขาทำเรื่องใหญ่ประสบความสำเร็จ


เหมียวเริ่นเลิกผ้าม่านรถม้าขึ้น มองไปข้างนอกแวบหนึ่ง สีท้องฟ้าดำมืดมากแล้ว ยังอยู่ห่างไกลเกินกว่าที่ฟ้าจะสว่าง


……


ระหว่างที่เดินทางกลับ เฉินผิงอันยังคงครุ่นคิดเรื่องที่หลินโส่วอีพูดถึง แต่คิดไปคิดมาก็ไม่รู้สึกว่าตัวเองมีวีรกรรมยิ่งใหญ่อะไรที่มีค่ามากพอจะทำให้หลินโส่วอีซาบซึ้งใจ


หากจะบอกว่าเป็นหลี่เป่าผิงกับหลี่ไหวที่คิดถึงเขาตลอดเวลา เฉินผิงอันจะไม่แปลกใจเลยแม้แต่น้อย ก็ทั้งสองยังเป็นเด็กนี่นะ


แต่หลินโส่วอีกลับไม่เหมือนกัน น่าจะเป็นเพราะเขามีความรู้สึกที่ค่อนข้างเฉียบไว เป็นคนที่จิตใจละเอียดอ่อนและมีความคิดเป็นตัวของตัวเองอย่างยิ่ง อีกทั้งปณิธานยังสูงส่งยาวไกล ดังนั้นระหว่างทางที่เดินทางมาขอศึกษาต่อถึงได้ก้าวเดินไปบนเส้นทางของการฝึกตนก่อนใคร เรื่องนี้เฉินผิงอันไม่รู้สึกประหลาดใจ


จูเหลี่ยนอาศัยลางสังหรณ์ของตัวเอง ไม่ได้ตรงดิ่งไปที่หอพักของตัวเอง แต่ตามเฉินผิงอันเข้ามาในห้องแล้วถามเบาๆ ว่า “มีเรื่องหรือ?”


นายบ่าวในนามสองคนนี้เคยร่วมศึกใหญ่ที่ตัดสินเป็นตายกันมาหลายครั้ง ความรู้ใจจึงถูกบ่มเพาะขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ


เฉินผิงอันไม่ได้ปิดบังจูเหลี่ยน หลังจากรินเหล้าสองถ้วยแล้วก็พยักหน้ารับ “เจ้าขุนเขาเหมาบอกข้าว่าช่วงนี้มีคนในเมืองหลวงต้าสุยคิดเล่นงานสำนักศึกษา หวังจะอาศัยช่วงเวลาสำคัญที่ฮ่องเต้ต้าสุยจะจัดงานเลี้ยงเชียนโซ่วเหยียน มีทูตของต้าหลีเข้าร่วมงานเลี้ยง หากเกิดปัญหาขึ้นที่สำนักศึกษาก็สามารถยุยงให้ชาวบ้านของสองแคว้นเกิดความเดือดดาล จากนั้นก็ทำลายของสมดุลของทั้งสองฝ่ายลง ไม่แน่ว่าอาจถึงขั้นก่อให้เกิดสงครามใหญ่ที่ชายแดน สองปีมานี้เดิมทีคนทั่วทั้งราชสำนักต้าสุยก็สะกดกลั้นไฟแค้นที่ฮ่องเต้สกุลเกาเป็นฝ่ายก้มหัวให้กับต้าหลีซึ่งพวกเขามองว่าเป็นคนเถื่อนก่อนอยู่แล้ว จากขุนนางบุ๋นแม่ทัพบู๊ที่รู้สึกได้รับความอัปยศเป็นเท่าตัว ไปจนถึงวงการวรรณกรรมที่แค้นเคืองต่อความไม่เป็นธรรม กระทั่งพวกชาวบ้านที่งุนงงสงสัยไม่เข้าใจ ขอแค่มีโอกาสปรากฏขึ้นมาก็ต้อง…”


จูเหลี่ยนรับคำพูดต่อ “ประกายไฟลุกลามอย่างรวดเร็วจนไม่อาจยับยั้งได้ทัน ต้าสุยจะไม่มีทางให้เดินย้อนกลับ ต่อให้เป็นฮ่องเต้สกุลเกาก็ต้องถูกบีบให้ทำลายพันธมิตรแห่งขุนเขาลง”


เฉินผิงอันกล่าวอย่างเฉยเมย “เรื่องใหญ่ในราชสำนักประเภทนี้ ขอแค่ได้ในสิ่งที่ปรารถนาก็ไม่มีอะไรให้ต้องขุ่นเคืองใจ ข้าเข้าใจดี ดังนั้นข้าจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว ไม่อยู่ในตำแหน่งก็ไม่เข้าใจงานในหน้าที่ หลักการเดียวกับที่พวกเราท่องอยู่ในยุทธภพแล้วต้องรับผิดชอบความเป็นความตายของตัวเอง เพียงแต่ว่าเมื่อเกี่ยวพันมาถึงพวกเป่าผิง…”


เฉินผิงอันกระดกเหล้าในถ้วยดื่มรวดเดียวหมด แล้วก็ไม่เอ่ยอะไรอีก


จูเหลี่ยนตกตะลึงเล็กน้อย


ช่างเป็นปราณสังหารที่รุนแรงนัก


ในทะเลสาบหัวใจพลันมีคลื่นแห่งความอำมหิตโถมตัว


จูเหลี่ยนขยับปากทำท่าจะพูด แต่ก็ไม่ได้พูด


เฉินผิงอันเอ่ยด้วยสีหน้าเฉยชา “ข้ารู้”


เฉินผิงอันรินสุราอีกถ้วย “ยิ่งฝึกวิชากระบี่ก็ยิ่งได้รับอิทธิพลจากภาพในปีนั้นที่เว่ยจิ้นใช้หนึ่งกระบี่ฟันม่านราตรีให้ปริแตก และภาพที่จั่วโย่วเปิดฉากสังหารสี่ทิศในร่องเจียวหลง ข้าคนนี้เป็นคนขี้ขลาด ไม่กล้าทำอะไรตามใจตัวเองมากที่สุด แต่ภายหลังถูกเรือกลืนกระบี่ของตู้เม่าแทงทะลุท้อง ต่อมาก็ยังได้เจอกับศัตรูคู่อาฆาตอย่างหลี่เป่าเจิน ยิ่งนานวันข้าก็ยิ่งเข้าใจว่า สภาพจิตใจของตัวเองเกิดปัญหาแล้ว ถึงขั้นเป็นไปได้ว่าจะมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตของข้าถูกทุบแตกตอนยังเป็นเด็ก สรุปก็คือนี่เป็นปัญหาอย่างมาก”


จูเหลี่ยนกล่าวอย่างเป็นกังวล “ถ้าอย่างนั้นนายน้อยจะจัดการอย่างไร? ดูเหมือนว่านี่จะเกี่ยวพันไปถึงปมในใจ…หรือควรจะพูดอีกอย่างหนึ่งว่าจิตมารของผู้ฝึกตน?”


เฉินผิงอันยกถ้วยเหล้าขึ้นชนกับของจูเหลี่ยน ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “อ่านตำราให้มาก”


เห็นจูเหลี่ยนมีสีหน้าเหลือเชื่อ เฉินผิงอันก็ยิ้มฝืด “ไม่ได้ล้อเจ้าเล่นหรอกนะ”


จูเหลี่ยนดื่มเหล้าหนึ่งอึก โคลงศีรษะไปมา


หากนี่ไม่ได้เรียกว่าล้อเล่น ใต้หล้านี้จะยังมีเรื่องล้อเล่นอีกหรือ?


เฉินผิงอันพูดเบาๆ “ก่อนที่ข้าจะมาถึงสำนักศึกษาที่ตั้งอยู่บนภูเขาตงหัวแห่งนี้ อันที่จริงก็ได้เริ่มลองอ่านตำราอริยะปราชญ์ที่มีความลึกซึ้งแล้ว ตอนอยู่แคว้นชิงหลวน ทำไมข้าถึงต้องอ่านตำราของสำนักนิติธรรม? นั่นก็เพราะข้าค้นพบว่าหากอ่านแค่ตำราลัทธิขงจื๊ออย่างเดียวก็คล้ายว่าจะไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ดั้งเดิมบางอย่างที่พูดไม่ออกบอกไม่ถูกของข้า ได้ผลไม่มากพอ พอชุยตงซานแนะนำ ข้าถึงได้คิดจะนำบทความของลัทธิขงจื๊อมาพิสูจน์เปรียบเทียบกับความรู้อันเป็นพื้นฐานของสำนักนิติธรรม ภายหลังมาลองย้อนนึกดูก็เห็นว่ามีส่วนที่เป็นประโยชน์อยู่บ้างจริงๆ รอจนมาถึงสำนักศึกษา เห็นตัวอักษรที่สลักไว้บนไม้บรรทัดที่เจ้าขุนเขาเหมาห้อยไว้ตรงเอว สติปัญญาของข้าถึงพลันเปิดโล่ง รู้สึกว่าเดินมาถูกทางแล้ว เพียงแต่ว่าก่อนหน้านี้ยังรู้สึกมึนงง ได้แต่เดินไปโดยอาศัยสัญชาตญาณของตัวเอง ทว่าจะต้องเดินไปทางไหน ในใจกลับไม่มีความมั่นใจเลย เจ้าอาจจะไม่รู้ว่า สิ่งที่ข้าเฉินผิงอันกลัวมากที่สุดก็คือการที่…”


เฉินผิงอันเริ่มใคร่ครวญหาคำพูด

 

 

 


บทที่ 405.3 จิตใจใฝ่หา

 

จูเหลี่ยนถามหยั่งเชิง “ชักกระบี่มองรอบกายใจเลื่อนลอย”


เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “มีความหมายนี้อยู่เล็กน้อย ขอแค่ข้ามองเห็นว่า…มีคนยืนอยู่ห่างไปไกล หรือยืนอยู่ในจุดสูง ต่อให้จะสูงหรือไกลแค่ไหน ข้าก็ไม่กลัว”


เฉินผิงอันใช้ปลายนิ้วเขียนตัวอักษรลงบนโต๊ะเบาๆ พูดเนิบช้าว่า “อริยะกล่าวว่า ทำตามใจปรารถนา ไม่ก้าวล้ำกฎเกณฑ์ นี่ก็คือการให้ยาที่ถูกกับโรค”


จูเหลี่ยนถือถ้วยเหล้าค้างไว้ รู้สึกว่าจะดื่มก็ไม่ใช่ ไม่ดื่มก็ไม่ควร


เฉินผิงอันหัวเราะเสียงดัง “ดื่มเหล้ายังต้องการเหตุผลอีกหรือ? มา!”


คนทั้งสองดื่มเหล้าในถ้วยจนหมด


เฉินผิงอันคิดว่าในเมื่อการฝึกประสบการณ์ การผ่านศึกใหญ่ตัดสินเป็นตายของผู้ฝึกยุทธ์สามารถบำรุงตบะได้ดีที่สุด ถ้าเช่นนั้นการที่ตนเป็นผู้ฝึกลมปราณแล้วใช้สิ่งนี้มาขัดเกลาจิตใจของตัวเอง หาความสุขในความทุกข์ มองมันเป็นแท่นสังหารมังกรในด้านการฝึกตน ทำไมจะทำไม่ได้?


ก็เหมือนกับตอนนั้นที่อยู่บนเรือบินข้ามฟากเหนือขุนเขากลางแคว้นเฉิงเทียนแล้วจูเหลี่ยนปล่อยหมัดใส่เผยเฉียน แต่เผยเฉียนหลบพ้นไปได้


สือโหรวไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวจึงไม่รู้ว่าการที่เผยเฉียนอาศัย ‘สัญชาตญาณ’ หลบพ้นหมัดของขอบเขตสี่มาได้นั้นมหัศจรรย์ที่ตรงใด


จูเหลี่ยนเองก็เนื่องจากไม่ใช่ผู้ฝึกตน จึงไม่เข้าใจถึงความน่าหวาดกลัวของการที่พวกเซียนดินมองจิตมารเป็นดั่งศัตรูคู่อาฆาต ดังนั้นจึงไม่เข้าใจว่าขอบเขตที่เฉินผิงอันแสวงหานั้นสูงมากเท่าไหร่


ดื่มเหล้ากันไปแล้ว


จูเหลี่ยนก็เริ่มทบทวนเหตุการณ์ด้วยความเคยชิน “ได้ยินสือโหรวบอกว่า คราวก่อนตอนอยู่บนหัวกำแพงของสวนสิงโต นายน้อยเกือบจะต่อสู้กับหลิ่วป๋อฉีสตรีจากเรือนซือเตาผู้นั้นแล้ว เกือบจะชักกระบี่ยาวที่อยู่ด้านหลังออกมา แต่สือโหรวที่อยู่ด้านหลังท่าน เห็นว่าต่อให้นายน้อยจะแค่กุมด้ามกระบี่ แต่ฝ่ามือกลับถูกเผาไหม้จนได้รับบาดเจ็บ? สุดท้ายจึงได้แต่หดมือกลับเข้าไปในชายแขนเสื้อ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้หลิ่วป๋อฉีค้นพบความจริง?”


เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ช่วยไม่ได้ อาวุธกึ่งเซียนก็ปรนนิบัติยากเช่นนี้แหละ”


ใบหน้าของจูเหลี่ยนเผยความคลางแคลงใจ


เฉินผิงอันเคยเล่าศึกระหว่างเขากับติงอิงในพื้นที่มงคลดอกบัวให้ฟังอย่างละเอียด ถือเป็นการทบทวนกระดานหมากล้อมระหว่างนายบ่าวสองคน


เฉินผิงอันจึงต้องอธิบาย “กระบี่ ‘ปราณยาว’ ที่เคยเล่าให้เจ้าฟังก่อนหน้านี้ แม้ว่าจะมีระดับขั้นสูงกว่า แต่กลับถูกเซียนกระบี่ใหญ่ผู้เฒ่าท่านนั้นทำลายตราผนึกส่วนมากไปแล้ว ไม่อย่างนั้นต่อให้ตายข้าก็ชักกระบี่ออกจากฝักไม่ได้ ส่วนกระบี่ ‘เจี้ยนเซียน’ ที่ตระกูลฝูของนครมังกรเฒ่ามอบให้เป็นของชดใช้เล่มนี้ ด้านหนึ่งก็เพราะพวกเขาอยากจะรอชมเรื่องสนุก รู้ดีว่าเมื่อมอบให้ข้าแล้ว ในช่วงระยะเวลาที่ยาวนานมากช่วงหนึ่ง อาวุธกึ่งเซียนชิ้นนี้จะเป็นได้เพียงซี่โครงไก่ อีกอย่างก็สอดคล้องกับกฎเกณฑ์ พวกเขาช่วยคลายตราผนึกทั้งหมดให้แล้วก็หมายความว่ากระบี่เจี้ยนเซียนเล่มนี้เป็นเหมือนบ้านหลังหนึ่งที่ไม่มีกุญแจไขประตูใหญ่ เมื่อมาอยู่ในมือของข้าเฉินผิงอัน ข้าสามารถใช้ได้ แต่หากไม่ทันระวังปล่อยให้ไปตกอยู่ในมือของคนอื่น คนผู้นั้นก็สามารถเข้าออกเรือนแห่งนี้ได้โดยอิสระเช่นกัน สรุปก็คือนี่เป็นการกระทำที่แฝงไว้ด้วยเจตนาร้าย”


เฉินผิงอันยื่นมือออกมาคว้าจับ บังคับกระบี่เซียนที่วางอยู่บนเตียงให้เข้ามาอยู่ในมือ “ข้าใช้วิธีหลอมเล็กสืบเสาะสาวเส้นใยตราผนึกเวทลับพวกนั้นอยู่ตลอดเวลา แต่ก้าวหน้าอย่างเชื่องช้า คงต้องรอให้ข้าเลื่อนสู่ขอบเขตเจ็ดของวิถีวรยุทธ์เสียก่อนถึงจะสามารถทำลายตราผนึกทุกอย่างแล้วนำมาใช้ได้อย่างคล่องมือเหมือนมันเป็นแขนของตัวเอง ตอนนี้หากชักกระบี่ออกจากฝัก สังหารศัตรูพันคนตัวเองเสียหายแปดร้อย หากไม่ถึงที่สุดจริงๆ ทางที่ดีที่สุดก็ไม่ควรใช้มัน”


จูเหลี่ยนพลันกระจ่างแจ้ง ดื่มเหล้าหนึ่งคำ จากนั้นก็เอ่ยเนิบช้าว่า “หลี่เป่าผิง หลี่ไหว หลินโส่วอี อวี๋ลู่ เซี่ยเซี่ย คนทั้งห้าล้วนมาจากต้าหลี ลอบฆ่าอวี๋ลู่มีความหมายไม่มากนัก เซี่ยเซี่ยเปิดเผยตัวตนอย่างชัดเจนว่านางเป็นแค่ชาวบ้านที่หลงเหลืออยู่ของสกุลหลู แม้ว่าจะเคยเป็นผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนในตระกูลเซียนใหญ่อันดับหนึ่งของสกุลหลู แต่สถานะนี้ของนางก็ได้ตัดสินแล้วว่าน้ำหนักของเซี่ยเซี่ยไม่มากพอ ส่วนสามคนแรกล้วนมาจากถ้ำสวรรค์หลีจู และยิ่งเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดที่ในอดีตอาจารย์ฉีเคยตั้งใจอบรมสั่งสอน ซึ่งเป่าผิงน้อยกับหลี่ไหวมีสถานะดีที่สุด คนหนึ่งบรรพบุรุษในตระกูลคือก่อกำเนิดที่ได้เป็นผู้ถวายงานรับใช้ต้าหลีแล้ว ส่วนอีกคนหนึ่งบิดาก็เป็นถึงปรมาจารย์ใหญ่ขอบเขตปลายทาง ไม่ว่าเกิดปัญหาขึ้นกับใคร ต้าหลีย่อมไม่มีทางยอมเลิกราง่ายๆ แน่ คนหนึ่งคือไม่ยอม อีกคนหนึ่งคือไม่กล้า”


เฉินผิงอันไม่ได้บอกกับจูเหลี่ยนเรื่องหลี่ซีเซิ่ง ดังนั้นจูเหลี่ยนจึงมอบคำว่า ‘ไม่กล้า’ ให้แก่หลี่ไหวที่บิดาคือหลี่เอ้อร์


ปีนั้นตอนที่หลี่ซีเซิ่งอยู่ในตรอกหนีผิงได้ใช้ตบะของผู้ฝึกลมปราณขอบเขตหกมาคุมเชิงกับผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเก้าที่เป็นตัวอ่อนกระบี่ก่อนกำเนิด เขาสามารถป้องกันได้อย่างรัดกุมรอบคอบ ไม่ตกเป็นรองเลยแม้แต่น้อย


หลังจากนั้นก็วาดยันต์บนเรือนไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่ว อักษรแต่ละตัวหนักนับพันชั่ง ถึงขนาดทำให้ภูเขาลั่วพั่วทั้งลูกลดระดับลงต่ำ


อันที่จริงเรื่องเหล่านี้ล้วนไม่สำคัญ


สำหรับเฉินผิงอันแล้ว


ความปลอดภัยของหลี่เป่าผิงสำคัญที่สุด


เฉินผิงอันรินเหล้าให้จูเหลี่ยนอีกหนึ่งถ้วย “ทำไมถึงได้รู้สึกว่าเจ้าติดตามข้าก็ไม่เคยมีวันเวลาที่สงบสุขเลยสักวัน?”


จูเหลี่ยนดื่มเหล้าอึกใหญ่ เช็ดมุมปากแล้วยิ้มพูดว่า “นายน้อยหากท่านได้เข้าไปในพื้นที่มงคลดอกบัวเร็วสักหน่อย ได้เจอกับบ่าวเฒ่าในช่วงเวลาที่รุ่งเรืองที่สุดจะไม่มีทางพูดแบบนี้แน่นอน เป็นๆ ตายๆ ล้วนเป็นเวลาแค่ชั่วลัดนิ้วมือเสมอ”


เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ตอนนั้นที่ข้าเอาชนะติงอิงได้ก็เป็นเพราะว่าตัวเขาประมาทเองด้วย หากเจอกับปรมาจารย์ที่ไม่มีความพิถีพิถันอย่างเจ้า เกรงว่าคนที่ตายคงต้องเป็นข้า”


จูเหลี่ยนรีบดื่มเหล้าที่อยู่ในถ้วยให้หมด แล้วยื่นถ้วยเหล้าออกมาด้วยรอยยิ้มขัดเขิน “อาศัยคำพูดประโยคนี้ของนายน้อย บ่าวเฒ่าก็จะดื่มลงโทษตัวเองอีกหนึ่งถ้วย”


เฉินผิงอันรินเหล้าให้จูเหลี่ยนถ้วยหนึ่งจริงๆ เขากล่าวอย่างสะท้อนใจว่า “หวังว่าเจ้าและข้าสองคน ไม่ว่าจะเป็นสิบปีหรือร้อยปีให้หลังก็จะยังมีโอกาสได้ดื่มเหล้าร่วมกันเช่นนี้”


จูเหลี่ยนยิ้มกว้าง “เรื่องนี้จะยากตรงไหน?”


คืนนี้เฉินผิงอันดื่มเหล้าไม่น้อย ถือว่าเยอะกว่าเวลาปกติมากแล้ว


หลังจากคนทั้งสองแยกย้ายกัน เฉินผิงอันก็ไปที่ห้องหนังสือของเหมาเสี่ยวตง พูดคุยเรื่องการหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิต ต่อให้พูดคุยละเอียดยิบแค่ไหนก็ไม่มากเกินไป


ท่ามกลางม่านราตรี


เฉินผิงอันเดินอยู่เพียงลำพัง


……


ก่อนที่จะดับตะเกียงในห้อง


เผยเฉียนพูดอย่างเขินอายว่า “พี่หญิงเป่าผิง ข้านอนไม่ค่อยนิ่งนะ”


หลี่เป่าผิงคิดแล้วก็เดินตรงไปยังภูเขาตำราลูกเล็กที่ยึดครองพื้นที่ของเตียงหลังหนึ่ง แล้วย้ายพวกมันไปวางไว้บนภูเขาตำราอีกลูกหนึ่ง


คนทั้งสองนอนในผ้าห่มของใครของมัน หลี่เป่าผิงนอนตัวตรง หลังพูดสองคำว่า ‘นอนเถอะ’ พริบตาเดียวก็หลับไป


เผยเฉียนพลิกตัวไปด้านข้างอย่างระมัดระวัง ดึกมากแล้วกว่าจะสะลึมสะลือหลับไป


ตอนตื่นมาเช้าวันที่สองนางก็พบว่าตัวเองถูกห่อหุ้มอยู่ในผ้าห่มที่เก็บชายเรียบร้อยจนอบอุ่นเหมือนบะจ่างลูกหนึ่ง เผยเฉียนหันหน้าไปมอง เตียงของหลี่เป่าผิงถูกเก็บอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยจนดูเกินจริง เหมือนก้อนเต้าหู้ที่ถูกมีดตัดอย่างไรอย่างนั้น พอเผยเฉียนนึกถึงทุกครั้งที่ตัวเองเก็บเตียงอย่างลวกๆ ก็ให้ละอายใจนิดๆ แต่จากนั้นก็นอนหลับต่ออย่างสุขสบาย ต้องเก็บแรงไว้ให้ดี วันนี้ถึงจะได้ไปหลอกเจ้าหลี่ไหวคนทึ่ม และเจ้าสองคนนั้นที่ซื่อบื้อยิ่งกว่าหลี่ไหว


ส่วนเรื่องที่คิดจะงัดข้อกับหลี่เป่าผิงนั้น เผยเฉียนคิดว่ารอให้เมื่อไหร่ที่ตัวเองโตเท่าหลี่เป่าผิงแล้วค่อยว่ากัน ถึงอย่างไรตนก็อายุยังน้อย แพ้ให้หลี่เป่าผิงก็ไม่น่าอาย


ปีหน้าตนก็จะอายุสิบสองปีแล้ว หลี่เป่าผิงอายุสิบสาม ก็ยังแก่กว่านางหนึ่งปี เผยเฉียนไม่สนใจแล้ว ปีหน้าปีแล้วปีเหล่า ปีหน้ามีตั้งมากมาย แค่นี้ก็ไม่เลวแล้ว


หลี่เป่าผิงที่หลังจากตื่นนอนก็ไปหาเฉินผิงอันตั้งแต่เช้าตรู่ ในหอพักแขกไม่มีคน นางจึงวิ่งห้อไปยังเรือนของเจ้าขุนเขาเหมา


นางไปรออยู่หน้าประตูเรือน


ในฐานะอริยะลัทธิขงจื๊อผู้เฝ้าบัญชาการณ์สำนักศึกษา ขอแค่ยินดีก็สามารถมองเห็นภาพเหตุการณ์ทั้งหมดในสำนักศึกษาได้อย่างชัดเจนประหนึ่งมองแสงไฟในถ้ำมืดมิด ดังนั้นเหมาเสี่ยวตงจึงจำต้องบอกกับเฉินผิงอันว่าหลี่เป่าผิงมารออยู่ข้างนอก


เฉินผิงอันออกมาจากห้องหนังสือ เดินไปรับหลี่เป่าผิงกลับมาในห้องหนังสือด้วยกัน ระหว่างทางก็บอกนางด้วยว่าวันนี้คงไปเที่ยวชมเมืองหลวงต้าสุยไม่ได้แล้ว


หลี่เป่าผิงรู้ว่าอย่างน้อยที่สุดเฉินผิงอันก็จะอยู่ในสำนักศึกษาประมาณหนึ่งเดือนจึงไม่รีบร้อน คิดว่าวันนี้จะลองไปเดินเล่นในบางสถานที่ที่ไม่เคยไปมาก่อน ไม่อย่างนั้นก็พาเผยเฉียนไปเที่ยวด้วยกันก่อน แต่เฉินผิงอันก็เสนออีกว่าวันนี้พาเผยเฉียนเที่ยวในสำนักศึกษาให้ทั่วก่อน อย่างเช่นไปเยือนสถานที่ที่มีชื่อเสียงของภูเขาตงหัวอย่างโถงนักปราชญ์ หอเก็บตำราและศาลานกบิน ฯลฯ หลี่เป่าผิงรู้สึกว่าทำแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ไม่ทันเดินไปถึงห้องหนังสือก็วิ่งปรู๊ดจากไปอีกครั้ง บอกว่าจะกลับไปกินข้าวเช้าเป็นเพื่อนเผยเฉียน


เหมาเสี่ยวตงยิ้มกล่าว “ทั้งกังวลว่าหากออกไปข้างนอกจะเกิดเหตุลอบฆ่า แล้วก็ทนเห็นหลี่เป่าผิงผิดหวังไม่ได้ รู้สึกว่ายุ่งยากมากเลยใช่ไหม?”


เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “รู้สึกลังเลใจอยู่มาก”


เหมาเสี่ยวตงถาม “ไม่อยากถามหน่อยหรือว่า ข้ารู้หรือไม่ว่าเป็นชนชั้นสูงในต้าสุยคนใดบ้างที่วางแผนทำเรื่องครั้งนี้?”


เฉินผิงอันส่ายหน้า “ต่อให้ที่นี่จะเป็นสำนักศึกษา แต่ถึงอย่างไรก็ยังอยู่บนแผ่นดินของแคว้นต้าสุย”


“ตอนนี้เรื่องเร่งด่วนที่ต้องทำ ยังคงเป็นเรื่องการหลอมวัตถุของเจ้า”


เหมาเสี่ยวตงโบกมือ “ปากของชุยตงซานมีแต่อาจม แต่มีคำพูดอยู่ประโยคหนึ่งที่เหมือนคำพูดของคนอยู่บ้าง รากฐานในการหยัดยืนของสำนักศึกษาเรา ไม่ว่าจะเป็นขนบธรรมเนียมประจำตระกูลหรือการศึกษาหาความรู้ก็ล้วนอยู่ที่คำว่าปฏิบัติคำเดียว”


เหมาเสี่ยวตงลุกขึ้นยืน สาวเท้าเดินเนิบช้า “ลัทธิพุทธกล่าวไว้ว่า ไม่อาจวางทิฐิ ชีวิตนี้ก็มีแต่ความทุกข์ หากไร้ทุกข์ก็คืออิสระเสรีอย่างหนึ่ง ลัทธิเต๋าแสวงหาความบริสุทธิ์และสงบสุข ความทุกข์ยากเป็นดั่งเรือบินที่ล่องอยู่กลางอากาศ หลบเลี่ยงจากโลกมนุษย์ไปนานแล้ว และนั่นก็คือความเสรีที่แท้จริง มีเพียงลัทธิขงจื๊อของพวกเราเท่านั้นที่สอนให้เดินหน้าเข้าหาความทุกข์ยาก มนุษย์ที่มีชีวิตอยู่บนโลกย่อมพบเจอความทุกข์ ไม่หลบหนีไม่หลีกเลี่ยง บนเส้นทางที่เดินไป ตำราอริยะปราชญ์ทั้งหลายประหนึ่งโคมไฟดวงแล้วดวงเล่าที่ช่วยชี้ทางสว่างให้แก่คนเดิน”


เฉินผิงอันอดพูดขึ้นเบาๆ ไม่ได้ว่า “ที่ใดมีสัจธรรม แม้มีกองทัพนับพันนับหมื่นขวางกั้น ข้าก็ต้องมุ่งหน้าต่อไป”


เหมาเสี่ยวตงหยุดเดิน ทอดถอนใจอย่างเห็นด้วย “คือหลักการนี้แหละ!”


……


เพียงแค่สองชั่วยาม หลี่เป่าผิงก็พาเผยเฉียนวิ่งเที่ยวไปทั่วสำนักศึกษาครบแล้วหนึ่งรอบ หากไม่เป็นเพราะต้องคอยอธิบายให้เผยเฉียนฟังด้วยความอดทน หลี่เป่าผิงใช้เวลาแค่ชั่วยามเดียวก็เดินได้ทั่วแล้ว


สุดท้ายหลี่เป่าผิงยังพาไปที่ต้นไม้ใหญ่สูงเสียดฟ้าบนยอดเขาตงซานแห่งนั้น เด็กหญิงทั้งสองป่ายปีนต้นไม้ไล่ตามกันไป หลังจากพาเผยเฉียนขึ้นไปยืนมองทิศไกลบนที่สูงแล้วก็ชี้นิ้วออกไปพลางอธิบายให้เผยเฉียนฟังว่าในเมืองหลวงของต้าสุยมีของกินอะไรอร่อยและมีที่เที่ยวใดที่สนุกบ้าง ราวกับว่ากำลังนับสมบัติในบ้านตัวเอง ท่าทางมีชีวิตชีวาเช่นนั้นประหนึ่ง…ตลอดทั้งเมืองหลวงต้าสุยก็คือสวนหลังบ้านของนางเอง


เผยเฉียนแอบมองหลี่เป่าผิงแวบหนึ่ง


นางนึกภาพออกเลยว่า ตลอดหลายปีมานี้พี่หญิงเป่าผิงที่ชอบสวมชุดกระโปรงหรือไม่ก็ชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงสดคนนี้มักจะชอบมายืนรออาจารย์อาน้อยอยู่ที่นี่


คนทั้งสองนั่งอยู่บนกิ่งไม้ด้วยกัน หลี่เป่าผิงควักผ้าเช็ดสีแดงผืนหนึ่งออกมา เปิดห่อผ้าก็เห็นว่าเป็นขนมแป้งข้าวเหนียวสองชิ้น คนทั้งสองแบ่งกันกินคนละชิ้น


เผยเฉียนบอกว่าตอนบ่ายนางเดินเที่ยวคนเดียวก็ได้


หลี่เป่าผิงจึงพยักหน้าตอบรับ บอกว่าตอนบ่ายมีอาจารย์ผู้เฒ่าต่างถิ่นท่านหนึ่งที่มีชื่อเสียงมาก แต่ว่ากันว่าคำพูดคำจาของเขาใหญ่โตยิ่งกว่าชื่อเสียงเสียอีก เขาจะมาสอนหนังสือที่สำนักศึกษา เป็นวิชาการให้คำอรรถาธิบายความหมายคำศัพท์โบราณในตำราลัทธิขงจื๊อ ในเมื่อวันนี้อาจารย์อาน้อยมีธุระต้องทำ ไม่ไปเที่ยวเล่นในเมืองหลวง ถ้าอย่างนั้นนางก็อยากจะไปฟังอาจารย์ผู้เฒ่าที่เดินทางไกลมาจากทิศใต้สอนหนังสือดูสักหน่อย อยากรู้ว่าเขาจะมีความรู้อย่างที่ล่ำลือกันจริงหรือไม่


เผยเฉียนที่ไม่รู้ว่าอรรถาธิบายคำศัพท์โบราณคืออะไรถามอย่างขลาดๆ “พี่หญิงเป่าผิง เจ้าจะฟังเข้าใจหรือ?”


หลี่เป่าผิงพยักหน้ารับ แต่แล้วก็ส่ายหนน้า “อันที่จริงในตำราที่ข้าคัดก็มีอธิบายเอาไว้แล้ว เพียงแต่ว่าข้ามีคำถามมากมายที่คิดแล้วก็ไม่เข้าใจ พวกอาจารย์ในสำนักศึกษาต่างก็เกลี้ยกล่อมข้าว่าอย่าได้ทะเยอทะยานเกินตัวนัก บอกว่าหากเป็นหลี่ฉางอิงของสำนักศึกษาเป็นผู้ถามก็ยังพอทำเนา ตอนนี้ต่อให้พวกเขาอธิบายให้ข้าฟัง ข้าก็ฟังไม่รู้เรื่อง แต่ข้าก็ยังไม่ค่อยเข้าใจนัก ขนาดพูดยังไม่เคยพูด แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าข้าต้องฟังไม่เข้าใจ ช่างเถิด พวกเขาเป็นอาจารย์ ข้าไม่ควรพูดแบบนี้ คำพูดเหล่านี้ก็ได้แต่เก็บกลั้นไว้ในท้องเท่านั้น แต่ก็มีอาจารย์บางส่วนที่เบี่ยงประเด็นไปพูดเรื่องอื่น สรุปก็คือไม่มีใครเหมือนอาจารย์ฉีที่ต้องหาคำตอบมาให้ข้าได้ทุกครั้ง แล้วก็ไม่เหมือนอาจารย์อาน้อยที่ถ้ารู้ก็บอก ไม่รู้ก็บอกข้าตรงๆ ว่าเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ดังนั้นข้าจึงชอบออกไปเที่ยวเล่นนอกสำนักศึกษาบ่อยๆ เจ้าคงไม่รู้ว่าอดีตเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาแห่งนี้ของพวกเราก็คืออาจารย์ฉีที่สอนวิชาชั้นประถมให้ข้า หลี่ไหวและหลินโส่วอี เขาเป็นคนพูดว่าความรู้ทั้งหมดล้วนอยู่ที่คำว่า ‘ปฏิบัติ’ คำนี้มีความหมายสองชั้น หนึ่งคือการออกเดินทาง (คำว่าปฏิบัติ 行 แปลได้อีกความหมายหนึ่งว่าเดิน) หมื่นลี้เพื่อเพิ่มพูนความรู้ สองคือบูรณาการ ใช้ความรู้มาอบรมบ่มเพาะขนบธรรมเนียมแห่งวงศ์ตระกูลและปกครองใต้หล้าให้สงบสุข ตอนนี้ข้าอายุยังน้อยจึงได้แต่เดินให้มาก”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)