หมอดูยอดอัจฉริยะ 402-404
ตอนที่ 402 ตะลุมพุก
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลังออกมาจากสถานีป่าไม้แล้ว หูหงเต๋อก็พาเยี่ยเทียนตรงเข้าไปยังในป่า ใบไม้ที่หล่นช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงปกคลุมพื้นดินหนาทึบ เมื่อเหยียบลงไปทำให้เกิดเสียงดัง “กรอบแกรบ” ส่งเสียงให้ได้ยินไกลภายในป่าเขาอันเงียบสงบ
ป่าทึบในเขตตะวันออกเฉียงเหนือกับป่าภูเขาเหมาซานแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ต้นไม้สูงใหญ่เสียดฟ้ากับเทือกเขาอันทอดยาวไม่รู้จบนั้นไม่มีปรากฏในภูเขาเหมาซาน ให้ความรู้สึกดิบเถื่อนทั้งยังเหมือนโลกดึกดำบรรพ์
“เหล่าหู ไหนบอกว่าห้ามล่าสัตว์แล้วไม่ใช่เหรอครับ? ทำไมถึงยังล่ากวางได้อยู่ล่ะ?” ขณะอยู่ระหว่างทางไปยังที่พักของหูหงเต๋อ เยี่ยเทียนก็เอ่ยปากชวนเขาคุย
“กฎห้ามล่าสัตว์นั่นไว้สำหรับคนที่อยู่ในเมือง คนที่ใช้ชีวิตอยู่บนเขาฉางไป๋ บ้านไหนจะไม่มีปืนล่าสัตว์สักสองกระบอก? ห้ามกันได้หรือไง?”
หูหงเต๋อส่ายหน้าแล้วว่าต่อ “ในภูเขามีกวางเยอะ แถมยังล่าสะดวก พรุ่งนี้พวกเรามาดูกันว่าจะเจอไหม แล้วฉันจะให้เธอลองกินเนื้อกวาง”
“โอเคครับ ถ้าได้เจอเสือสักตัวก็คงดี”
ในสมองของเยี่ยเทียนไม่มีความคิดเรื่องคุ้มครองสัตว์ป่า ตั้งแต่อายุแปดขวบเขาก็เริ่มออกล่าสัตว์ในเขาเหมาซานแล้ว สัตว์เล็กสัตว์น้อยจำพวกสุนัขจิ้งจอกที่เดิมเคยอยู่รอบนอกเขาเหมาซาน จึงถูกเยี่ยเทียนไล่หนีกระเจิดกระเจิงเข้าไปอยู่ในส่วนลึกของเขาเหมาซาน
“เสือมีเหลือไม่มากแล้ว จิ้งจอกต่างหากที่มีไม่น้อย เพียงแต่เจ้าพวกนั้นมันเจ้าเล่ห์กว่า เสื้อหนังจิ้งจอกไฟที่อยู่บนตัวนี่ ก็ล่ามาได้เมื่อสิบกว่าปีก่อนโน่น”
พอพูดถึงเสื้อกั๊กหนังจิ้งจอกไฟที่อยู่บนร่าง หูหงเต๋อก็ทำหน้าภูมิอกภูมิใจ เคยมีพ่อค้าขนสัตว์เห็นเข้าแล้วเสนอราคาถึงสี่แสนดอลลาร์สหรัฐ แต่เขาก็เสียดายขายไม่ลงมาตลอด
จิ้งจอกไฟเป็นสัตว์ลึกลับในโลกแห่งธรรมชาติ น้อยคนนักจะได้เห็นมันเต็มตัว จึงทำให้พวกมนุษย์รู้สึกว่าช่างลึกลับและมีรูปร่างพิสดาร
อีกทั้งจิ้งจอกไฟยังมีพละกำลังแข็งแกร่ง สามารถจุดไฟได้อย่างฉับพลัน ภายในระยะเวลาที่กำหนด ความรวดเร็วของมันนั้นสามารถเปรียบเทียบได้กับเสือชีตาห์ซึ่งวิ่งเร็วที่สุดในโลก
รอบภูเขาฉางไป๋ใครๆ ต่างก็รู้จักจิ้งจอกไฟในภูเขา แต่ไม่มีใครเคยล่ามันได้มาก่อน ในตอนนั้นที่หูหงเต๋อสามารถจับมันได้ทำให้ผู้คนฮือฮากันอย่างมาก
เยี่ยเทียนจึงพูดแกมหยอกล้อ “เหล่าหู ลัทธิลัทธิตะวันและจันทราของพวกคุณนับถือเทพจิ้งจอก ไปล่าพวกมันแบบนี้ มิน่าเล่าคุณถึงเชิญเทพจิ้งจอกมาไม่ได้”
“อะไรกัน? ผมพูดแทงใจดำเหรอ?” เยี่ยเทียนพูดประโยคนี้ออกมาแล้ว เห็นหูหงเต๋อหน้าถอดสีทันที ตัวเองเลยตกใจตามไปด้วย
“เธอพูดแทงใจดำฉันจริง ๆ แหละ”
หูหงเต๋อถอนหายใจยาวออกมาเฮือกหนึ่ง กล่าวว่า “ตั้งแต่ล่าจิ้งจอกตัวนี้ วิชาคาถาง่ายๆ พวกนั้นที่ฉันเคยใช้ได้มาก่อน ก็ใช้ไม่ได้อีกเลย ไม่อย่างนั้นคู่ชีวิตของฉัน ก็คงไม่……”
คนฝึกวรยุทธส่วนใหญ่มีนิสัยชอบประเมินฝีมือ ตอนนั้นหลังจากที่หูหงเต๋อเห็นจิ้งจอกไฟตัวนี้ ก็ไม่ทันได้คิดถึงว่าจะเกี่ยวข้องอะไรกับการอัญเชิญมหาเทพของตระกูลตน จึงทุ่มเทกำลังทั้งหมดที่มีเพื่อสังหารจิ้งจอก
ถึงแม้ว่าภายหลังจะไม่มีเหตุการณ์มหาเทพจิ้งจอกลงทัณฑ์อะไร แต่ว่า วิชาคาถาอาคมอันผิวเผินที่เขาเคยใช้ได้นั้น กลับไม่สามารถแสดงออกมาได้อีกเลย
“เอาเป็นว่าไม่พูดถึงเรื่องนี้แล้วดีกว่า รีบหาหญ้าคืนวิญญาณกันเร็วๆ เถอะ ผมว่านะเหล่าหู พืชพรรณบนเขานี้ล้วนแห้งเหี่ยวกันหมดแล้ว คุณจะยังหาหญ้าคืนวิญญาณเจออีกเหรอ?” เห็นว่าตัวเองพูดถึงเรื่องจี้ใจดำหูหงเต๋อ เยี่ยเทียนจึงรีบเปลี่ยนประเด็น
“ได้สิ ฉันจำได้ว่าตอนข้ามเขาข้างหน้าลูกนั้น ในป่าโปร่งตรงเนินเขาริมลำธารมีผักเฝือกลาขึ้นอยู่ พรุ่งนี้เช้าพวกเราไปขุดดูก็รู้เอง”
หูหงเต๋อและเยี่ยเทียนล้วนเป็นคนเดินบนเขาได้ไกล แม้ปากจะพูดไป แต่ฝีเท้าก็ไม่ช้าลงแม้แต่น้อย ครึ่งชั่วโมงหลังจากนั้นก็ปีนมาถึงครึ่งเขาลูกนั้น และก็เป็นบ้านของหูหงเต๋อ
กระท่อมไม้สามห้องสร้างจากไม้ซุงก่อขึ้นเป็นทรงสามเหลี่ยม ตรงกลางมีลานไม่ใหญ่นัก รอบด้านทั้งสี่ของกระท่อมไม้ยังมีรั้วเรียงเป็นแถว บนรั้วแขวนกระดิ่งเล็ก ๆ จำนวนหนึ่ง เอาไว้สำหรับเตือนภัยและขับไล่สัตว์ป่า
“โฮ่ง……โฮ่งๆ!”
จากเสียงสุนัขเห่า มีสุนัขขนเหลืองตัวหนึ่งกระโดดออกมาจากรั้วบ้าน ส่ายหางใส่หูหงเต๋อ แล้วจดจ้องสายตามายังเยี่ยเทียน
สุนัขมีสัญชาตญาณสามารถสัมผัสได้ถึงอันตรายยิ่งกว่ามนุษย์หลายต่อหลายเท่า สุนัขสีเหลืองตัวนี้เคยต่อสู้กับเสือและสุนัขป่าบนเขา แต่เป็นครั้งแรกที่สัมผัสได้ถึงเลือดลมอันพุ่งพล่านจากร่างกายของเยี่ยเทียน
หูหงเต๋อใช้มือลูบลงบนหัวสุนัข กล่าวว่า “เจ้าเหลือง เขาเป็นแขกที่ต้องเคารพอย่างที่สุดของเรา ทำตัวเป็นมิตร หน่อย!”
“หงิงๆ……”ราวกับสามารถฟังคำพูดของหูหงเต๋อรู้เรื่อง เจ้าเหลืองส่งเสียงครางหงิงออกมาจากปาก ใช้จมูกดมที่เท้าของเยี่ยเทียน แล้วหันร่างจากไป
“อย่าเห็นว่าเจ้าเหลืองเป็นหมาขี้เรื้อนเชียว สัตว์ป่าบนเขานี้ไม่มีตัวไหนกัดสู้มันได้หรอก”
หูหงเต๋อยิ้มพลางเปิดรั้วไม้ กล่าวว่า “เยี่ยเทียน เข้ามาสิ ฉันจะจัดแจงของกินหน่อย พวกเราดื่มกันอีกเล็กน้อย แล้วเดี๋ยวเธอก็พักในห้องของเสี่ยวเซียนซะ”
กระท่อมไม้สามห้องนี้แบ่งเป็นห้องของหูหงเต๋อและห้องของหลานสาว และยังมีอีกห้องหนึ่งเอาไว้เก็บของจิปาถะ บางครั้งเมื่อมีพรานป่าผ่านทางมาก็สามารถขอพักแรมข้างในได้
“ครับ ที่นี่ช่างเป็นธรรมชาติดั้งเดิมจริงๆ นะครับ?”
ภาพทั้งหมดตรงหน้าสายตาเยี่ยเทียนนั้น ล้วนสดใหม่มาก กระทั่งท่อนซุงใกระท่อมยังมีเปลือกไม้เหี่ยวย่นติดอยู่ เป็นงานก่อสร้างที่ให้ความรู้สึกสัมผัสยุคดึกดำบรรพ์เป็นที่สุด
พออยู่ที่นี่แล้ว เยี่ยเทียนถึงขั้นมีความรู้สึกราวกลับไปยุคสมัยโลกดึกดำบรรพ์ เมื่อหมื่นปีก่อน คนสมัยโบราณคงจะเป็นอย่างนี้ ใช้เงื่อนไขอันหยาบและเรียบง่ายต่อสู้ฝ่าฟันกับธรรมชาติอันยิ่งใหญ่
“พลังชี่ดั้งเดิมก็ไม่อ่อนด้อย มิน่าล่ะหูหงเต๋อถึงสามารถดึงนอกมาสู่ใน ฝึกวิชาของสำนักอื่นจนกลายเป็นพลังแอบซ่อนอยู่ภายในได้”
เยี่ยเทียนสูดลมหายใจลึก พลังซึ่งแยกตัวอย่างอิสระระหว่างฟ้าดินนั้นแม้ไม่เข้มข้นอย่างเรือนสี่ประสาน แต่ก็บริสุทธิ์อย่างยิ่ง ไหลรินเป็นสายเข้าสู่ในร่างกายเยี่ยเทียน ให้ความรู้สึกสดชื่นขึ้นมาอย่างฉับพลัน
ที่สำคัญ พลังชี่ดั้งเดิมแห่งฟ้าดินนั้นไม่เพียงใช้สำหรับผู้ฝึกวิชาเต๋า หากคนธรรมดาอยู่ในพื้นที่ซึ่งมีพลังชี่ดั้งเดิมอันบริสุทธิ์ ร่างกายก็จะได้รับการทะนุบำรุงทำให้ไม่เจ็บไข้ได้ป่วย
ร่างกายของหูหงเต๋อก็เป็นร่างกายของผู้ฝึกวรยุทธ์ เมื่อเติบโตอาศัยอยู่ที่นี่ อาการบาดเจ็บในร่างกายที่สะสมจากวิชาสำนักอื่นพวกนั้น ล้วนถูกพลังชี่ดั้งเดิมเหล่านี้ส่งผลให้เยียวยารักษาจนหายโดยไม่รู้ตัว
“เยี่ยเทียน มากินข้าวเถอะ วันนี้ฟ้ามืดแล้ว ไม่งั้นฉันคงเข้าป่าไปล่ามังกรบินมาสักสองสามตัวให้เธอกินแล้วล่ะ”
บ้านของหูหงเต๋อแขวนเนื้อหมูป่าและเนื้อสัตว์ตากแห้งอยู่เต็มไปหมด หลังเข้าครัวทำกับข้าวไม่กี่จานด้วยตัวเองแล้ว ก็เรียกเยี่ยเทียนให้มานั่งริมโต๊ะ
ในบ้านจุดเตาผิงไว้ ดื่มเหล้าเซาเตาจื่อหกสิบดีกรี พลางฟังเรื่องเล่าเมื่อเก้าถึงสิบปีก่อนจากหูหงเต๋อ ข้างหูได้ยินเสียงสุนัขป่าหอนดังมาจากในเขาเป็นระยะ ประสบการณ์เหล่านี้ล้วนไม่สามารถหาได้จากในเมือง
เยี่ยเทียนไม่ได้ใช้ทักษะควบคุมความแรงของเหล้า คืนนั้นจึงดื่มจนเมามายหลับสนิทเป็นพิเศษ เช้าวันต่อมาลุกขึ้นจากเตียงเปิดบานประตูไม้ ลมเย็นพัดมาปะทะใบหน้า ให้ความรู้สึกสดชื่นตื่นตัว
หูหงเต๋อกำลังเตรียมตัวอยู่ในลานบ้าน เห็นเยี่ยเทียนออกมาก็ร้องเรียก “เยี่ยเทียน ไปกันเถอะ ไปเช้าหน่อยจะได้กลับเร็วขึ้น!”
“เหล่าหู คุณเอาม้วนเชือกสีแดงไปด้วยทำไมหรือครับ?” เห็นหูหงเต๋อแบกปืนล่าสัตว์แล้ว ยังนำเอาเชือกสีแดงยัดใส่ลงในกระเป๋าสะพาย เยี่ยเทียนจึงอดสงสัยขึ้นมาไม่ได้
หูหงเต๋อยิ้มตอบ “ฉันเก็บตะลุมพุกอยู่ต้นหนึ่งบนเขา ขึ้นเขาไปครั้งนี้จะไปเด็ดออกมาให้เธอนำไปให้ท่านอาบำรุงร่างกาย”
“ตะลุมพุก? มันคืออะไรกันครับ?” เยี่ยเทียนตกตะลึง
“เป็นวิธีเรียกของพวกเราที่นี่ ก็คือโสมนั่นแหละ” หูหงเต๋อทำหน้าเสีย “เฮ้อ เมื่อปีที่แล้วฉันขายโสมสามร้อยปีไปต้นหนึ่ง รู้อย่างนี้เก็บไว้ให้ท่านอาดีกว่า โสมบนเขานี้หาได้ยากขึ้นทุกที”
“โสมภูเขาสามร้อยปีเหรอ?” เยี่ยเทียนถามขึ้น “เหล่าหู คุณขายไปเท่าไหร่ครับ?”
หูหงเต๋อสูดริมฝีปาก กล่าวว่า “สามล้าน เป็นลูกค้าเก่ามารับไป ฉันเลยไม่ได้สนใจเรื่องราคาน่ะ”
“สามล้าน?!”
เยี่ยเทียนเองก็ไม่ได้สนใจว่าหูหงเต๋ออายุกว่าหกสิบแล้ว เกือบจะด่าออกไปตรง ๆ “ผมว่านะเหล่าหู คุณคงไม่ใช่ว่าถังแตกอยู่ใช่ไหม? โสมอายุสามร้อยปีขายได้ถึงเจ็ดแปดล้านเชียวนะ สามร้อยปีต้นนี้คุณขายไปแค่สามล้านเองเหรอ?!”
ก่อนหน้านี้ตอนที่เยี่ยเทียนทะลวงชีพจรให้ถังเสวี่ยเสวี่ย ถังเหวินหย่วนแทบจะเหมาโสมภูเขาป่าจากตลาดสมุนไพรในเหอเป่ยจนเกลี้ยง ใช้จ่ายเงินไปกว่าสิบล้านหยวน ลำพังเพียงเพื่อราชาโสมร้อยปีต้นนั้น ก็จ่ายไปเกือบสิบล้าน
มาได้ยินว่าหูหงเต๋อขายโสมแก่อายุสามร้อยปีทิ้งในราคาสามล้าน เยี่ยเทียนก็ร้องขึ้นด้วยความเสียดาย ที่สำคัญ ปัจจุบันนี้อย่าว่าแต่โสมอายุสามร้อยปีเลย เพียงแค่เก้าหรือสิบปีก็หาไม่ได้แล้ว
“ฉันเองก็รู้ว่าราคานั้นมันถูกเกินไป แต่ว่าฉันเอาเงินมากขนาดนั้นไปก็ไม่มีประโยชน์นี่ อีกอย่างฝ่ายตรงข้ามก็เป็นลูกค้าเก่า ก็เลยให้เขาไป เยี่ยเทียน นายเห็นว่าโสมมีประโยชน์เหรอ?”
เยี่ยเทียนที่อยู่ตรงหน้านั้นที่จริงมีความอาวุโสกว่าหูหงเต๋อหนึ่งขั้น แม้ว่าจะพูดจาไม่เข้าหู แต่ตาแก่หูก็ไม่นึกโกรธแม้แต่น้อย ก็ใครใช้ให้ศิษย์พี่กับผู้เฒ่าของครอบครัวเขาดื่มเหล้าโลหิตสาบานเป็นพี่น้องกันล่ะ
“เหล่าหู คุณถามได้ซื่อมากเลย คุณสมบัติของโสมจะไม่มีประโยชน์กับคนฝึกวรยุทธ์ได้ยังไง?” เยี่ยเทียนพูดออกมาอย่างหงุดหงิด
“งั้นก็ได้ ตะลุมพุกต้นนั้นที่ฉันเก็บไว้ก็มีอายุถึงสองร้อยปีเหมือนกัน นายเอาไปให้ท่านอาซะ นอกจากนั้นยังมีห้าสิบกว่าปีขึ้นไปอีกหลายต้น ถ้าหากเธอสามารถใช้ได้ ฉันจะเก็บออกมาให้หมดเลย!”
คนที่มีประสบการณ์การเก็บโสม จะไม่เห็นโสมแล้วเก็บในทันที อย่างเช่นหูหงเต๋อ หลังจากที่พบโสมแล้วมักจะทำเครื่องหมายไว้ด้านข้างเสมอ รอให้ถึงเวลาใช้งานจึงค่อยไปเก็บ
“ตกลงครับ ถึงตอนนั้นผมจะขอดูเป็นประสบการณ์”
โสมคนที่เยี่ยเทียนกินเข้าไปในท้อง ว่ากันอย่างน้อยก็ปาเข้าไปถึงหนึ่งร้อยแปดสิบต้นแล้ว แต่ยังไม่เคยเห็นขั้นตอนการเก็บโสมจริง ๆ เลย พอได้ยินหูหงเต๋อว่าอย่างนี้เลยเกิดความสนใจขึ้นมา
ทั้งสองคนพูดพลางออกจากกระท่อมไม้ เจ้าเหลืองกระดิกหางนำทางอยู่ข้างหน้า เพียงไม่นานก็ข้ามยอดเขาไปแล้ว
ป่าดิบบนหลังเขาแปรเปลี่ยนเป็นทึบหนาขึ้น เมื่อเดินทางทะลุป่าต้นไป๋ฮว่าก็สามารถจินตนาการออกได้ว่า ถ้าหากเปลี่ยนเป็นยามหน้าร้อนที่ใบไม้ขึ้นหนาแน่น น่ากลัวว่าบนหัวจะไม่มีแสงอาทิตย์ส่องลงมาให้เห็น
“เยี่ยเทียน ช้าก่อน” ขณะที่เพิ่งผ่านป่าลึกมา เจ้าเหลืองก็พลันหยุดฝีเท้า อีกทั้งเยี่ยเทียนเองก็ถูกหูหงเต๋อที่อยู่ด้านหลังร้องเรียกเอาไว้
“ทำไมเหรอครับ มีโสมคนเหรอ?”
การเดินทางครั้งนี้เยี่ยเทียนเอาแต่มองซ้ายมองขวา คิดแต่จะหาโสมคน แต่ว่าเวลานี้ไม่ใช่ฤดูโสมคนออกดอก มีเพียงรากฝังอยู่ใต้ดินเท่านั้น ห่างไกลเกินกว่าที่เยี่ยเทียนจะพบเจอ
หูหงเต๋อส่ายหน้ากล่าวว่า “เปล่า ข้างหน้ามีคนขุดหลุมพรางเอาไว้”
หูหงเต๋อเดินไปข้างหน้าสองสามก้าว โน้มร่างลงเอามือควานเข้าไปในกลางกองใบไม้แห้ง ออกแรงดึงครั้งเดียว พื้นดินก็เผยให้เห็นปากหลุมอันมืดมน
……
ตอนที่ 403 พวกลักลอบล่าสัตว์
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลุมพรางนี้กว้างอย่างมากประมาณสองเมตร แต่ความลึกกลับลงไปถึงสามเมตร ปากแคบท้องกว้าง ด้านล่างเสียบไม้ไผ่เหลาแหลมไว้สิบกว่าแท่งอย่างหนาแน่น ซึ่งหากมีคนไม่ระวังตกลงไปก็จะไม่มีทางรอดชีวิต
“นี่ใครมาขุดหลุมพรางเอาไว้? ให้ตายสิ กระทั่งเครื่องหมายยังไม่ทำไว้เลยเหรอ?”
เห็นสภาพด้านล่างแล้ว เยี่ยเทียนยังอดเหงื่อไหลซึมออกมาจากหน้าผากไม่ได้ หากว่าเขาเหยียบลงไปในหลุม ก็อาจจะตกลงไปเช่นกัน แม้ว่าไม่ไผ่นั่นจะไม่ทำร้ายเขาถึงตาย แต่น่ากลัวว่าไม่อาจหลีกเลี่ยงอาการบาดเจ็บ
เพราะติดตามเจ้าถิ่นอย่างหูหงเต๋อ ก่อนหน้านี้เยี่ยเทียนจึงไม่ได้ปลดปล่อยพลังจิตเพื่อหยั่งเชิงภยันตราย เวลานี้เขาถึงได้รู้ ว่าป่าดงดิบดั้งเดิมแห่งนี้ก็แอบซ่อนจิตสังหารเอาไว้
“พวกลักลอบล่าสัตว์น่ะ นึกไม่ถึงว่าพวกมันจะมาขุดหลุมพรางถึงในนี้ พวกไม่รู้จักกลัวตาย”
หูหงเต๋อเองก็เผยสีหน้าโกรธขึ้ง ถึงแม้ว่าเขาเองก็ขึ้นเขามาล่าสัตว์เป็นบางครั้ง แต่ก็เพื่อเลี้ยงตนเองให้อิ่มท้อง ไม่เคยนำสัตว์ป่าพวกนี้ออกไปขาย ทั้งยังจำกัดจำนวนที่ล่าอย่างเข้มงวด
แต่ว่าพวกลักลอบล่าสัตว์มืออาชีพนั้นแตกต่างไป บนฟ้าออกล่ายันมังกรบิน บนพื้นล่ากวางเสือและหมีดำ สำหรับพวกเขาไม่มีสิ่งไหนที่ไม่ล่า ไม่สนใจว่าเป็นหรือตาย
เช่นหลุมพรางขนาดใหญ่นี้ที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าเยี่ยเทียนและหูหงเต๋อ ก็เอาไว้ดักพวกสัตว์ป่าขนาดใหญ่เช่นเสือหรือเสือดาว
ถ้าหากสังเกตลึกลงไปให้ละเอียดล่ะก็ จะสามารถพบได้ว่าความสั้นความยาวของไม้ไผ่พวกนี้ล้วนมีความละเอียดปราณีต สามารถแทงทะลุช่องท้องของเสือทว่าไม่ทำให้หนังและขนด้านหลังเกิดบาดแผล พวกลักลอบล่าสัตว์พวกนั้นนับว่าลงทุนลงแรงไปมากทีเดียว
“ถึงกับกล้ามาขุดหลุมพรางในเขตของฉันเชียวเรอะ? ตอนนี้ยังไม่มีเวลาจัดการพวกมัน รอให้เสี่ยวเซียนฟื้นขึ้นมาก่อน แล้วฉันจะไปคิดบัญชีกับพวกมัน!”
ผู้เป็นใหญ่บนเขาฉางไป๋ แต่ไหนแต่ไรไม่ใช่เสือตะวันออกเฉียงเหนือที่อยู่บนเขา แต่ว่าเป็นเหล่าพวกลักลอบล่าสัตว์พวกนี้ที่อาศัยรายล้อมรอบภูเขา ช่วงเวลายาวนานนับตั้งแต่ก่อนยุคปฏิรูปเศรษฐกิจจวบจนหลังปฏิรูปเศรษฐกิจ หูอวิ๋นเป้านั้นได้รับการยอมรับว่าเป็นราชาแห่งเขาฉางไป๋ ไม่มีใครกล้าท้าทายตำแหน่งของเขา
จนกระทั่งหูอวิ๋นเป้าจากไปเมื่อยุคปี 7-80 หูหงเต๋อก็มีชื่อเสียงโด่งดังบนเขาฉางไป๋ พวกพ่อค้าโสมนับพันนับหมื่นที่ล่าสัตว์และเก็บของป่าบนเขา จะมีก็เพียงหูหงเต๋อคนเดียวเท่านั้นที่กล้าเข้าไปในเขาฉางไป๋ด้วยมือเปล่า
นอกจากล่าจิ้งจอกไฟตัวนั้นแล้ว หูหงเต๋อยังเคยฆ่าเสือและเสือดาวด้วยมือเปล่า หากเอ่ยถึงชื่อเขาแล้ว ไม่มีใครที่ไม่ยกนิ้วให้
แต่ว่าหูหงเต๋อก็ยังคงยึดมั่นในหลักการมาตลอด นั่นก็คืออยู่กับป่ากินของป่า พวกลักลอบล่าสัตว์รอบๆ จะมาล่าจับสัตว์ไปกิน เขาไม่เคยว่ากล่าวอะไร ต่อให้คุณฆ่าเสือตัวหนึ่งเพื่อมาดองเหล้าดื่ม หูหงเต๋อก็จะทำเป็นว่ามองไม่เห็น
แต่ถ้าหากมีการล่าฆ่าสัตว์อย่างป่าเถื่อนเป็นระบบเพื่อค้าขายเอากำไร หูหงเต๋อกลับไม่สามารถนิ่งดูดายได้ ช่วงไม่กี่ปีผ่านมานี้มีพวกลักลอบล่าสัตว์ที่ถูกเขาจับตัวส่งให้ตำรวจป่าไม้ ว่ากันอย่างต่ำก็ถึงสิบกว่าคนแล้ว
คนพวกนี้แม้จะเกลียดหูหงเต๋อเข้ากระดูกดำ แต่ก็ไม่อาจทำอะไรได้ เมื่ออยู่บนเขาพวกเขาไม่ใช่คู่มือของหูหงเต๋อแม้แต่น้อย และด้วยสาเหตุนี้แนวเขาโดยรอบกระท่อมไม้ที่หูหงเต๋ออาศัยอยู่ จึงไม่มีการเคลื่อนไหวของพวกลักลอบล่าสัตว์เลย
แต่เมื่อวันนี้มีหลุมพรางปรากฏขึ้น ก็แปลได้ว่าคนพวกนั้นได้คืบคลานเข้ามายังเขตพื้นที่ของหูหงเต๋อ หากไม่ใช่เพราะใจนึกพะวงอยู่กับหลานสาว หูหงเต๋อจะไม่มีทางปล่อยผ่านสายตาไปแน่
“เยี่ยเทียน รอฉันสักครู่นะ ฉันจะกลบหลุมนี่ซะ!”
หูหงเต๋อคว้าพลั่วพับขนาดสั้นออกมาจากกระเป๋าสะพายด้วยสีหน้าขมึงทึง ตักดินเหนียวที่คนพวกนั้นขุดออกมาแอบซ่อนไว้ในกองหญ้าแห้งข้างเคียงถมลงไปในหลุม แม้ว่าจะไม่อาจถมจนเต็ม แต่ก็ไม่สามารถทำร้ายพวกสัตว์ป่าที่ผ่านทางมาได้อีก
การกระทำนี้ทำให้ล่าช้าไปกว่าครึ่งชั่วโมง หลังจากวุ่นวายกันเสร็จสิ้นแล้ว หูหงเต๋อก็ก้มลงมองนาฬิกาพกทองคำเงางามที่สะโพก พูดขึ้นว่า “วันนี้ไม่มีปัญญาไปเก็บโสมแล้วล่ะ เวลาเหลือน้อย เยี่ยเทียน เธอมาเดินข้างหลังฉัน เผื่อด้านหน้ายังมีหลุมพรางอีก”
“ครับ คุณเองก็ระมัดระวังด้วยล่ะ”
เยี่ยเทียนไม่อวดเก่ง ติดตามหูหงเต๋ออยู่ทางด้านหลัง แต่ว่าคราวนี้เขากลับปลดปล่อยพลังจิตออกมา เพื่อสัมผัสหาตำแหน่งที่อาจนำอันตรายมาให้เขาจากข้างหน้า
การเดินทางไปคราวนี้ ยังพบหลุมพรางเล็กใหญ่แตกต่างกันอีกสามหลุม แล้วยังมีกับดักล่าสัตว์ขนาดใหญ่อีกสิบกว่าชิ้น มีครั้งหนึ่งที่หากเยี่ยเทียนไม่รู้สึกตัวไว เจ้าเหลืองก็อาจถูกกับดักไปแล้ว
“ให้ฉันจับเจ้าพวกนี้เถอะ ไม่ให้ถลกหนังพวกมันออกมาคงไม่ได้!”
หูหงเต๋อหน้าดำคร่ำเครียด ฝ่ายตรงข้ามเจตนาอวดศักดาโดยการวางหลุมพรางไว้มากมายขนาดนี้ แสดงออกอย่างเด่นชัดว่าไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา ทำให้หูหงเต๋อผู้ถือสัจจะแห่งเขตเขาฉางไป๋แทบจะหมดสิ้นความอดทน
“เหล่าหู ควบคุมอารมณ์ไว้ครับ ไว้หาหญ้าคืนวิญญาณเจอก่อนค่อยว่ากัน โสมคนหากวันนี้ไม่สะดวกเก็บ รอให้เสี่ยวเซียนฟื้นแล้ว ผมจะมาเป็นเพื่อนคุณอีกรอบ!”
เยี่ยเทียนตบบ่าหูหงเต๋อ ในใจก็หงุดหงิดโมโห หลุมพรางที่พวกลักลอบล่าสัตว์พวกนี้วางไว้ไม่มีเครื่องหมายใด ๆ ไหนเลยจะเอาไว้ใช้กับสัตว์ป่าเพียงอย่างเดียว กระทั่งคนก็สามารถหล่นลงไปข้างในได้ นับว่าเป็นการกระทำที่โหดเหี้ยมอำมหิตเหลือเกิน
“ดี ถ้าพวกมันชอบเขาฉางไป๋ขนาดนี้ ก็ให้อยู่ที่นี่กันให้หมด”
ดวงตาของหูหงเต๋อฉายแววสังหารวาบ ไฟโทสะลุกโชนขึ้นอย่างแท้จริง คล้ายกับหูอวิ๋นเป้าผู้เป็นบิดา โดยธรรมชาติหูหงเต๋อก็ไม่ใช่คนดีมีเมตตาอยู่แล้ว ชีวิตคนในน้ำมือเขาก็เป็นเพียงแค่ผักปลา ภายในป่าลึกบนเขาสูงอย่างนี้ ทิ้งคนตายไว้ในหุบเขาสักสองสามคน ต่อให้เป็นเทพเซียนก็ควานหาไม่พบ
“อืม มีกวางโง่ตัวหนึ่งติดกับ งั้นคืนนี้พวกเราย่างเนื้อกวางกินกัน!”
ในเขตที่มีกับดักสัตว์วางอยู่ เยี่ยเทียนได้เห็นกวางป่าเป็นครั้งแรก สัตว์ชนิดนี้เหมือนกับกวาง แต่ว่าร่างเล็กกว่านิดหน่อย ทั้งเนื้อตัวเป็นสีเหลืองหญ้า เวลาที่นอนอยู่ในกองหญ้าแห้งนั้นยากจะแยกแยะได้
กวางป่าตัวนี้ถูกกับดักที่ขา หูหงเต๋อเองก็ไม่พูดพล่ามทำเพลง ยื่นมือขวาออกไปจับที่ลำคอกวางแล้วหักคอมันเสีย หลังจากแกะกับดักออกแล้วก็หิ้วมาแบกไว้บนไหล่
“ไปกันเถอะ ขืนสายกว่านี้ฟ้ามืดแล้วจะกลับไม่ได้”
เพราะมัวแต่จัดการหลุมพรางและกับดักสัตว์เหล่านั้น จึงทำให้เสียเวลาไปไม่น้อย กว่าจะไปถึงจุดที่หูหงเต๋อบอกว่ามีหญ้าคืนวิญญาณขึ้นอยู่ ก็เป็นเวลาบ่ายโมงกว่าแล้ว
พอมาถึงยังเนินเขาลูกนั้น หูหงเต๋อก็ชี้ไปยังลำธารสายหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล กล่าวว่า “เยี่ยเทียน ตรงนั้นแหละ ผักเฝือกลาชอบภูมิอากาศร้อนชื้น ทนน้ำขัง เกลียดความแห้งแล้ง ส่วนใหญ่ขึ้นตรงที่ลาดเขา พื้นหญ้าและริมลำธาร”
ลำธารสายนั้นมีความกว้างเพียงหนึ่งเมตรกว่า น้ำใสแจ๋วจนเห็นก้นลำธาร สายน้ำไหลเอื่อยเฉื่อย แต่จากที่หูหงเต๋อว่า พอถึงฤดูใบไม้ผลิปีหน้าหิมะละลายแล้ว ลำธารเล็กนี้ก็จะกลับกลายเป็นแม่น้ำสายหนึ่ง
สองฝั่งริมลำธาร ล้วนเป็นป่าต้นไป๋ฮว่าสูงใหญ่ แต่เมื่อนึกถึงฤดูใบไม้ผลิกับฤดูร้อนแล้ว ป่าไม้หนาแน่นจะปกคลุมลำธารทั้งสาย กลายเป็นพื้นที่อันดีสำหรับหญ้าคืนวิญญาณได้เติบโต
“ดินดำอุดมสมบูรณ์ ไม่ผิดแน่ ใต้ดินนี้จะต้องมีผักเฝือกลาอยู่อย่างแน่นอน!” หูหงเต๋อมาถึงริมลำธาร ก็ควักก้อนดินบนพื้นขึ้นมาดู ใบหน้าเผยให้เห็นถึงความยินดี
“เหล่าหู ขุดเลยครับ กว่าจะรีบเร่งกลับไปฟ้าก็คงมืดแล้ว อย่ามัวเสียเวลากันอยู่เลย” เยี่ยเทียนเหลือบมองท้องฟ้า พระอาทิตย์ที่อยู่บนหัวกลับถูกเมฆครึ้มก้อนใหญ่บดบังเอาไว้ อีกทั้งยังมีสายลมพัดมา
เยี่ยเทียนไม่กลัวความหนาว แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะชอบใส่เสื้อบางตัวเดียวเปียกฝน อีกทั้งเมื่อฝนเทลงมา อุณหภูมิก็จะลดลงอย่างฉับพลัน ยิ่งเมื่อบวกกับทางลื่นแฉะบนเขาแล้ว ทำให้เยี่ยเทียนไม่นึกอยากอยู่ในป่านี้นานนัก
“ตกลง!”
หูหงเต๋อรับคำหนึ่งเสียง เดินไปยังชายป่าห่างจากลำธารสิบกว่าเมตร หลังจากที่ตรวจสอบพื้นหญ้าแห้งแล้ว ก็หยิบพลั่วพับออกมาขุดลงไป
“เจอแล้ว เยี่ยเทียน เธอดูซิว่าใช่เจ้านี่หรือเปล่า? “
เพิ่งขุดไปได้ไม่กี่ที หูหงเต๋อก็ร้องออกมา หญ้าคืนวิญญาณไม่ใช่สมุนไพรหายากอะไร หากมาถูกฤดูกาลแล้ว จะสามารถพบได้ในหลายพื้นที่ของเขาฉางไป๋
” ไม่ผิดแน่ น่าจะเป็นสิ่งนี้นี่แหละครับ เหล่าหู ขุดให้เยอะอีกหน่อย!”
เยี่ยเทียนหยิบรากไม้ชิ้นใหญ่เท่าฝ่ามือ รากชนิดนี้ตรงฐานมีหูเล็กๆ สองข้าง ดูคล้ายหูลาเล็กน้อย มิน่าล่ะคนพื้นที่ถึงเรียกมันว่าผักเฝือกลา
” เหล่าหู พอแล้วครับ เท่านี้ก็พอแล้ว! “
โดยพื้นฐานแล้วหญ้าคืนวิญญาณเติบโตเป็นวงกว้าง ใช้เวลาไม่นาน หูหงเต๋อก็ขุดรากหญ้าคืนวิญญาณออกมาได้เจ็ดแปดชิ้น เยี่ยเทียนเห็นว่าได้จำนวนหนึ่งแล้ว จึงร้องเรียกให้หยุด
หูหงเต๋อนำเอารากหญ้าคืนวิญญาณเหล่านั้นใส่ลงไปในกระเป๋าสะพาย มองเยี่ยเทียนแล้วถามขึ้น “เยี่ยเทียน ของพวกนี้เอาไปใช้ยังไงเหรอ?” ”
“อบให้แห้งแล้วบดเป็นผง จากนั้นบดธูปให้ละเอียดผสมเข้าด้วยกันแล้วจุดไฟครับ”
เยี่ยเทียนมองสีท้องฟ้าแล้วพูดขึ้น “วันนี้น่ากลัวว่าจะไม่ทันแล้ว พวกเรากลับไปยังกระท่อมของคุณกันก่อนดีกว่า เตรียมงานให้เสร็จแล้วค่อยว่ากัน ภายในสามวันนี้เสี่ยวเซียนคงยังไม่น่ามีปัญหาอะไร”
หูหงเต๋อไม่คัดค้านคำพูดของเยี่ยเทียนอยู่แล้ว เขาเป็นคนในภูเขา คาดคะเนดินฟ้าอากาศได้แม่นยำกว่าเยี่ยเทียน กำลังเดาว่าอีกไม่นานเขาฉางไป๋จะได้ต้อนรับหิมะแรกของปีนี้
ตามคาด ขณะที่หูหงเต๋อกับเยี่ยเทียนเร่งรุดมาถึงกระท่อมได้ไม่นาน เกล็ดหิมะก็ล่องลอยบนท้องฟ้า หิมะบนเขาฉางไป๋นั้นแตกต่างกับที่เยี่ยเทียนเคยเห็นมา เพียงเกล็ดหิมะหนึ่งเกล็ดก็มีขนาดใหญ่เท่ากับฝ่ามือเด็ก จนเยี่ยเทียนส่งเสียงออกมาด้วยความประหลาดใจ
ด้านนอกบ้านหิมะตกหนัก แต่ด้านในบ้านกลับอบอุ่นสบาย เตาไฟส่องแสงสะท้อนจนกระท่อมกลายเป็นสีแดงทั้งหลัง ทั้งมีเสียงไม้ฟืนเผาจนแตกดังมาเป็นระยะ
หน้าเตาไฟมีกวางป่าที่ล้างและถลกหนังจนสะอาดแล้วตากอยู่ ภายในท้องถูกหูหงเต๋อยัดเครื่องปรุงลงไปไม่น้อย บนผิวเนื้อยังถูกกรีดด้วยมีดเป็นทาง มีหูหงเต๋อคอยทาด้วยน้ำมันเป็นระยะ
เพียงชั่วเวลาไม่นาน กลิ่นหอมเข้มข้นของเนื้อก็โชยไปทั่วด้านในกระท่อม หูหงเต๋อหยิบจานขึ้นมาใบหนึ่ง ตัดเนื้อบนตัวกวางที่ย่างสุกแล้วออกมาหลายชั่ง ยกมาวางหน้าเยี่ยเทียน
“ไม่เลวเลยครับ เนื้อหอมมาก!”
บนเขาเหมาซานไม่มีสัตว์มากนัก ในอดีตนอกจากนกภูเขาที่กินบ่อยๆ แล้ว อาหารป่าอย่างกวางนี่กลับไม่เคยกินมาก่อน กลืนเข้าไปลงท้องหนึ่งคำแล้วอดตะกละตะกรามอีกไม่ได้
หูหงเต๋อฝึกวิชานอกสำนักมา อย่าเห็นว่าเขาอายุถึงหกสิบกว่าแล้ว ทว่าปริมาณการกินกลับไม่น้อยไปกว่าเยี่ยเทียน เนื้อกวางป่าถลกหนังและเครื่องในออกอีกยี่สิบกว่าชั่ง จึงถูกเยี่ยเทียนและหูหงเต๋อแบ่งกันกินสองคนจนหมดสิ้น
หลังกินเสร็จแล้ว เยี่ยเทียนกับหูหงเต๋อนำเอารากหญ้าคินวิญญาณพวกนั้นวางไว้ริมเตาไฟ ตาแห้งอยู่สองสามชั่วโมงจนน้ำที่อยู่ภายในระเหยจนหมด ก็นำมาบดทีละชิ้นจนเป็นฝุ่นผง ทั้งสองวุ่นวายกันอยู่ครึ่งคืนถึงจะนับว่าทำภารกิจนี้จนเสร็จ
“ให้ตาย ประตูนี่ทำไมถึงเปิดไม่ออกล่ะเนี่ย?” เช้าตรู่วันต่อมาหลังจากลุกขึ้นจากเตียงแล้ว ขณะที่เยี่ยเทียนคิดจะออกจากกระท่อม กลับพบว่าด้านนอกมีหิมะตกหนัก จนทำให้บานประตูครึ่งหนึ่งถูกฝังด้วยหิมะ
……
ตอนที่ 404 สามบุปผารวมเหนือสุด
โดย
Ink Stone_Fantasy
“แล้วอย่างนี้จะออกไปยังไงล่ะ?”
พอดันร่องประตูออก ก็เห็นหิมะร่วงไหลเข้ามาในประตู เยี่ยเทียนถึงกับงงงัน อย่างนี้ถ้าหากหิมะตกลงมาหนักขึ้นอีกหน่อย คนที่อยู่ในบ้านจะไม่ถูกฝังทั้งเป็นเลยเหรอ?
ความกังวลเช่นนี้ของเยี่ยเทียนไม่ใช่ว่าไร้เหตุผลสักทีเดียว ในหลายๆ พื้นที่ของเขตภูเขาฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือ มีบ้านที่ถูกฝังเนื่องจากหิมะตกหนักอยู่จำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะพวกกระท่อมไม้ที่โครงสร้างบอบบางนั้น มักเกิดปรากฏการณ์หิมะถล่มทับอยู่บ่อยๆ
เมื่อเห็นหูหงเต๋อกำลังถือพลั่วตักเอาหิมะในลานบ้านออกไปไว้ด้านนอก เยี่ยเทียนก็ร้องขึ้นเสียงหลง “เหล่าหู คุณออกไปได้ยังไงน่ะครับ?”
“ทางหน้าต่างไงล่ะ เยี่ยเทียน ไม่เคยเห็นหิมะตกหนักขนาดนี้เหรอ?” หูหงเต๋อที่อยู่นอกประตูหัวเราะขึ้นเสียงดัง กึกก้องจนหิมะที่อยู่บนหลังคากระท่อมสะเทือนหล่นลงมาข้างล่างดัง “ ปุๆ”
เวลานี้บนร่างของหูหงเต๋อห่มเพียงเสื้อกั๊กจิ้งจอกไฟตัวนั้น ถึงแม้จะอายุล่วงหกสิบปีแล้ว แต่ก็ยังอกผายไหล่ผึ่ง แผ่นหลังราวพยัคฆ์เอวดุจวานร กล้ามแขนกำยำ ผิวสีดำแดงเมื่ออยู่ในพื้นที่หิมะแล้วเกิดสุนทรีย์ภาพอันแตกต่างไป
“ได้ครับ งั้นเดี๋ยวผมจะออกไปทางหน้าต่างบ้าง”
เห็นว่าหูหงเต๋อคงจะยังไม่มาเก็บกวาดฝั่งตัวเองอีกสักพัก เยี่ยเทียนจึงเลิกผ้าม่านหนาที่แขวนอยู่บนหน้าต่างไปไว้ทางอื่น จากนั้นผลักบานไม้ที่นำมาใช้ทำเป็นหน้าต่างก็ถูกเปิดออก
“สดชื่นจัง”
ลมเย็นพัดเอาเกล็ดหิมะจากหน้าต่างเข้าไปยังช่องลำคอของเยี่ยเทียน ราวกับกระตุ้นให้รูขุมขนทั่วร่างของเขาระเบิดออก พลังชี่ดั้งเดิมบริสุทธิ์แห่งฟ้าดินนี้ ไหลรินเข้าสู่ร่างกายของเขาอย่างต่อเนื่อง
ยื่นมือออกไปนอกระแนงหน้าต่างแล้วเยี่ยเทียนก็มุดตัวออกมา สองขาเหยียบจมลงไปในกองหิมะ หิมะตกหนักทั้งคืน จนท่วมเหนือหัวเข่าของเขา
“วิวสุดยอดไปเลย!”
เยี่ยเทียนเงยหน้ามองไปยังสี่ทิศรอบด้าน แล้วตกตะลึงทั้งเนื้อตัวไปชั่วขณะ ท้องฟ้าและแผ่นดินที่อยู่เบื้องหน้าเขาล้วนมีเพียงสีเดียวปกคลุมจนทั่ว นอกจากสีขาวแล้ว ก็ไม่มีสีอื่นใดกระทบดวงตาเขาอีก
สีขาวเช่นนั้น ไม่เพียงสร้างแรงกระทบต่อการมองเห็นของเยี่ยเทียน แต่ยังทำให้ภายในใจเขาสั่นสะเทือนตามไปด้วย
เยี่ยเทียนไม่เคยนึกมาก่อนเลยว่า เมื่อสีหนึ่งมีความบริสุทธิ์จนถึงระดับสูงสุด ความงดงามอลังการนั้นจะไม่สามารถบรรยายออกมาได้ อีกทั้งท่ามกลางโลกแห่งน้ำแข็งและหิมะที่ธรรมชาติมอบให้ จะเห็นได้ชัดว่ามนุษย์นั้นช่างเล็กกะจ้อยร่อยเสียเหลือเกิน
เห็นเยี่ยเทียนออกมาแล้ว หูหงเต๋อก็โยนพลั่วไปให้ ร้องว่า “เยี่ยเทียน ช่วยกันหน่อย เก็บกวาดหิมะทางนี้แล้ว พวกเราจะได้ไปโรงพยาบาลกัน!”
โครงสร้างกระท่อมของหูหงเต๋อถึงแม้จะแข็งแรงมาก แต่ก็ไม่อาจต้านทานการกดทับของหิมะจำนวนมากเป็นเวลานาน หลังจากเก็บกวาดกองหิมะบนพื้นจนสะอาดแล้ว เขาและเยี่ยเทียนก็ขึ้นไปบนหลังคาต่อ เพื่อกวาดเอาหิมะหนาเป็นชั้นลงมา
แม้ว่าบนท้องฟ้ายังคงมีเกล็ดหิมะโปรยปราย แต่ว่าหิมะก็ตกน้อยลงมาก ต่อให้ตกลงมาทั้งวันอีก ก็ไม่ก่อให้เกิดอันตรายใดๆ ต่อกระท่อมไม้
“เยี่ยเทียน ไม่รู้จริงๆ ว่าเธอฝึกวิชานี้ได้ยังไง?”
หลังจากเก็บกวาดหิมะเสร็จแล้ว หูหงเต๋อก็รีบเร่งใส่เสื้อผ้า เมื่อครู่เวลาที่เคลื่อนไหวแล้วเลือดลมไหลเวียน ทำให้ร่างกายมีเหงื่อซึมออกมาทั้งร่าง หูหงเต๋อจึงได้ไม่หวั่นเกรงต่อความหนาวเหน็บระดับลิบยี่สิบกว่าองศา แต่ว่าเวลานี้ความร้อนนั้นสลายไปจนหมด จึงไม่กล้าเปลือยกายอีกต่อไป
หันกลับไปมองเยี่ยเทียน เมื่อตอนเหงื่อออกใส่เพียงเสื้อเชิ้ตหนึ่งตัว และตอนนี้ก็ยังคงเป็นอย่างนั้น อีกทั้งบนร่างกลับไม่มีแม้แต่เหงื่อซึมออกมา ราวกับว่าอุณหภูมิที่เมื่อสาดน้ำก็กลายเป็นน้ำแข็งนี้ ไม่ส่งผลกระทบต่อเขาเลยแม้แต่น้อย
เยี่ยเทียนปล่อยพลั่วในมือลงบนพื้นโบกไม้โบกมือไม่พูดอะไร ทันใดนั้นก็ปรากฏสีแดงขึ้นบนใบหน้า ตามมาด้วยเสียงดังราวฟ้าผ่าจากช่วงอก เมื่ออ้าปากพ่นก็มีคลื่นสีขาวราวกับทางช้างเผือกพุ่งออกมาจากภายในปากของเยี่ยเทียน
คลื่นสีขาวเส้นนี้รวมเป็นกลุ่มกันไม่กระจายออก รวมตัวกันอยู่เหยือหัวเยี่ยเทียนไปในระยะสามฟุตราวกับจงใจ แล้วค่อยๆ กลับกลายเป็นดอกไม้สองดอก เกสรและกลีบดอกโปร่งใสชัดเจน
“ส…… สามบุปผารวมเหนือสุด?”
หูหงเต๋อยืนงงงันด้านข้างอยู่นาน เขารู้ว่าวิทยายุทธ์ ของเยี่ยเทียนสูงส่ง แต่ไม่คาดคิดว่าจะสูงถึงขั้นนี้ สามารถเรียกได้ว่าระดับเทพเซียนเลยทีเดียว
“เงียบหน่อยครับ!”
ได้ยินเสียงร้องของหูหงเต๋อ เยี่ยเทียนก็มองไปทางเขาอย่างไม่สบอารมณ์ จมูกปากสูดเข้าอย่างแรง กลีบดอกไม้ทั้งสองดอกนั้นพลันกลายเป็นหมอกขาวกลุ่มหนึ่ง พุ่งเข้าไปยังในจมูกเยี่ยเทียน
“พื้นที่หนาวเย็นจัดอย่างนี้ เป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับการฝึกวิชาแนวทางเต๋าออกไม่ใช่เหรอครับ?” ถึงแม้จะถูกหูหงเต๋อรบกวนกลางคัน แต่ภายในใจเยี่ยเทียนก็ยังอิ่มเอมเป็นสุข
นับตั้งแต่เข้าสู่ขั้นการฝึกหลอมปราณสู่จิต วรยุทธ์ ของเยี่ยเทียนก็ไม่พัฒนาขึ้นไปอีก แต่วันนี้ขณะกวาดพื้นได้ปิดรูขุมขนทวารทั้งร่างแล้ว กลับได้ผลดีอย่างไม่คาดคิด
การเคลื่อนไหวของเยี่ยเทียนเมื่อครู่เป็นท่วงท่าการสูดลมจากนอกสู่ใน เขาปิดรูขุมขนทั่วทั้งร่างเพื่อต้านทานความหนาวเย็น เพียงแต่อุณหภูมิติดลบหลายสิบองศานี้ยังคงส่งแรงกระตุ้นต่อเขา ทำให้ปราณอวัยวะภายในช่องท้องทั้งห้าล้วนได้รับแรงสั่นสะเทือน
อีกทั้งความรู้สึกสำนึกในธรรมชาตินั้น ก็งอกเงยขึ้นภายในส่วนลึกของจิตใจเยี่ยเทียน หลังจากที่เยี่ยเทียนปลดปล่อยพลังชี่แท้ที่วนเวียนอยู่ภายในร่างออกมาแล้ว ลมหายใจนั้นก็กลายเป็นดำและขาว เคียงข้างอย่างละฝั่ง มีรูปร่างคล้ายเคียงกับสามบุปผารวมเหนือสุดอยู่กลาย ๆ
ที่เรียกขานกันว่าสามบุปผารวมเหนือสุดนั้น หากจะให้แยกอธิบาย “สามบุปผา” นั้นเปรียบถึง “สามเฟื่องฟู” อันหมายถึงจิตวิญญาณอันเฟื่องฟูในร่างกายมนุษย์ “รวมเหนือสุด” นั้นคือการนำเอาแก่นกายและปราณมารวมกันที่จุดทวาร
แนวทางแห่งเต๋านั้นเน้นหนักที่การฝึกฝน ฝึกแก่นหลอมรวมสู่ปราณ ฝึกปราณหลอมรวมเข้าสู่จิต ฝึกจิตกลับคืนสู่ความว่าง สุดท้ายรวมเข้าเป็นหนึ่ง หมื่นสรรพสิ่งก็ไม่อาจกล้ำกราย
เมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว แก่นปราณจิตจากที่อยู่ในสถานะแยกกันก็กลับมาสู่สถานะ “รวม” กัน ราวกับกลีบดอกไม้ทองคำปรากฏขึ้นประปรายทั่วไปในอากาศ กระดูกและเนื้อส่องแสงเรืองรอง วาวโรจน์ทั่วทั้งสี่ทิศ
สามบุปผายังตรงกับขั้นทั้งสามในแนวทางแห่งเต๋า บุปผาแห่งคนคือหลอมแก่นสู่ปราณ บุปผาแห่งดินคือหลอมปราณสู่จิต กระทั่งบุปผาสวรรค์ก็ยังหมายถึงหลอมจิตสู่ความว่างเปล่า และยังเรียกได้อีกอย่างว่าเป็นบุปผาตะกั่ว บุปผาเงินและบุปผาทองคำ
แน่นอนว่า เยี่ยเทียนเพียงสามารถสร้างได้แค่บุปผาที่ยังไม่สมบูรณ์สองชนิด และกระทั่งบุปผาเงินก็ยังไม่ปรากฏออกมาอย่างเต็มที่ ยิ่งไม่อาจพูดถึงธาตุทั้งห้ารวมกันเป็นหนึ่งอะไรแบบนั้น แต่ว่าสำหรับเยี่ยเทียนแล้ว มาถึงขั้นนี้ก็นับว่าพัฒนาขึ้นอย่างมาก
เดิมทีเยี่ยเทียนเคยนึกสงสัยมาตลอด ว่าระดับขั้นหลังจากหลอมปราณสู่จิตนั้น คิดค้นขึ้นเพื่อเหล่านักปราชญ์ในสมัยโบราณหรือเปล่า? แต่ว่าจากญาณสัมผัสในวันนี้ ทำให้ในใจเขาเกิดความรู้สึกราวกับจะสัมผัสหนทางได้
“หากสามารถฝึกได้ถึงขั้นห้าธาตุรวมเป็นหนึ่ง ขณะที่จิตท่องไปภายนอก คำพูดนั้นในไซอิ๋วที่ว่า “สามบุปผารวมเหนือสุด ห้าธาตุรวมเป็นหนึ่งทะลวงหมดสิ้น” ก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล!”
เยี่ยเทียนยืนอยู่ที่เดิม ค่อยๆ หลับตาลง สัมผัสถึงญาณเมื่อครู่อย่างละเอียด หูหงเต๋อรู้ว่าตนเองรบกวนเยี่ยเทียนแล้ว ครั้งนี้จึงไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงออกมา
ในรัศมีสามเมตรรอบตัวเยี่ยเทียน กลับไม่มีเกล็ดหิมะตกลงมาเลย ราวกับมีเกราะคุ้มกันไร้รูปร่างกางอยู่ ทว่าเยี่ยเทียนที่ตอนนี้อยู่ภายในกลับไม่รู้สึกแม้แต่น้อย
ผ่านไปกว่าหนึ่งชั่วโมงเต็ม เยี่ยเทียนถึงได้สติกลับมาอีกครั้ง ใบหน้าเผยให้เห็นรอยยิ้ม คำที่กล่าวกันว่า “พบพานทางสว่าง” ในคัมภีร์ลัทธิเต๋านั้น เขาได้สัมผัสแล้วเมื่อครู่นี้ ราวกับฟ้าดินได้เปิดบานประตูกว้างให้เยี่ยเทียนอีกครั้ง
“เยี่ย……เยี่ยเทียน เมื่อครู่ฉันรบกวนให้เธอตกใจสินะ?” เห็นใบหน้าเยี่ยเทียนเผยรอยยิ้มจางๆ ออกมา หูหงเต๋อก็เอ่ยถามขึ้นอย่างระมัดระวัง
หากพูดไปว่าก่อนหน้านี้หูหงเต๋อชื่นชมเยี่ยเทียน เดิมนั้นมีสาเหตุจากโก่วซินเจีย แต่เวลานี้กลับเพิ่มความหวั่นเกรงขึ้นไปอีกเล็กน้อย เยี่ยเทียนเมื่อครู่นี้ทำให้เขารู้สึกว่าสง่างามราวกับขุนเขาอันยิ่งใหญ่ กดดันเสียจนเขาแทบหายใจไม่ออก
เยี่ยเทียนได้ยินแล้วยิ้มออกมา โบกมือกล่าวว่า “ไม่มีอะไรครับ ผมฝึกวิชายังไม่เสร็จ ถ้าหากบังคับรีดเค้นสามบุปผาล่ะก็ พลังจะย้อนกลับเข้าสู่ตัว เมื่อครู่กลับเป็นคุณที่ช่วยผมเอาไว้”
เยี่ยเทียนฝึกถึงขั้นหลอมปราณเข้าสู่จิตได้ไม่นานเท่าไหร่ แม้จะมีญาณสัมผัสได้อยู่บ้าง แต่พลังก็ยังตื้นเขินเกินไป พลังอวัยวะภายในทั้งห้าจึงยังไม่เพียงพอจะสร้างบุปผาทั้งสามได้
“เมื่อ……เมื่อครู่นี้คือสามบุปผารวมเหนือสุดจริงเหรอ?” หูหงเต๋อตกใจจนอ้าปากกว้าง แต่ว่าผู้ฝึกวิทยายุทธ์ทั่วไป ดูเหมือนจะไม่มีใครที่ไม่รู้จักชื่อนี้
“ผมเพิ่งจะแตะถึงธรณีประตูได้บ้าง ยังห่างชั้นจากสามบุปผารวมเหนือสุดอีกไกลครับ”
เยี่ยเทียนส่ายหน้า จะฝึกวิชาให้ถึงขั้นสามบุปผารวมเหนือสุดห้าธาตุรวมเป็นหนึ่ง จะต้องทำได้ถึงขั้นหัวใจซ่อนจิต ตับซ่อนวิญญาณ ม้ามซ่อนความคิด ปอดซ่อนจิตสัมผัส ไตซ่อนแก่น ซึ่งเยี่ยเทียนยังไม่สามารถฝึกได้สักอย่างเลย
“สุดยอด สุดยอดมาก!” หูหงเต๋อไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาชื่นชมเยี่ยเทียนแล้ว ใบหน้าเผยให้เห็นถึงความตกตะลึงแกมอิจฉาเสียเหลือเกิน
เห็นหูหงเต๋อว่าอย่างนั้น เยี่ยเทียนก็ยิ้มตอบ “เหล่าหู คุณไม่ต้องอิจฉาผมหรอกครับ ผมฝึกฝนวิชาของสำนักเต๋า คุณฝึกวรยุทธ์นอกรีต ต่างฝ่ายต่างมีข้อดีของตนเอง เดี๋ยวถ้าหากมีเวลาผมยังอยากขอให้คุณช่วยสอนวิชากรงเล็บเหยี่ยวบ้างเลย”
เยี่ยเทียนสังเกตเห็นสองมือของหูหงเต๋อราวกับแขนงรากต้นไม้นานแล้ว เล็บของทั้งสิบนิ้วนั้นงองุ้มเข้าไปด้านใน อันเป็นลักษณะของผู้ฝึกวิชากรงเล็บเหยี่ยวขั้นสูงสุด เวลาที่เผชิญหน้ากับศัตรู เล็บทั้งสิบนั้นจะพุ่งออกมา สามารถตัดได้ทั้งทองและเหล็ก พลังของมันเทียบเท่ากับมีดสั้นอันคมกริบเลยทีเดียว
“ถ้าอย่างนั้น เราสองคนลองประมือกันสักหน่อยไหม?”
หูหงเต๋อเองก็เป็นผู้คลั่งวรยุทธ์คนหนึ่ง นับตั้งแต่เขาเกิดมาวิทยายุทธ์ก็ไม่เคยบกพร่อง ชั่วชีวิตนี้ยังไม่เคยได้ต่อสู้กับใครได้อย่างสาแก่ใจเลยสักครั้ง พอได้ยินเยี่ยเทียนพูดแล้ว เกิดกระสันอยากลองขึ้นมาทันที
“อย่าดีกว่าครับ”
เห็นหูหงเต๋อมีท่าทางอดรนทนไม่ไหวอย่างนั้น เยี่ยเทียนก็พูดขึ้นอย่างตะขิดตะขวงใจ “เหล่าหู หลานสาวของคุณอดทนได้อย่างมากที่สุดก็สามวัน พวกเรารีบลงจากเขากันดีกว่า”
“จริงสิ จริงด้วย ฉันลืมเรื่องนี้ไปได้ยังไงกันนะ”
หูหงเต๋อตบหัวตัวเอง กล่าวว่า “รอให้อาการป่วยของเสี่ยวเซียนดีขึ้น เยี่ยเทียนต้องอยู่กับฉันที่นี่สักสองเดือน แล้วฉันจะสอนเคล็ดวิชากรงเล็บเหยี่ยวให้เธอหมดเลย ด้วยความสามารถของสำนักเธอ จะต้องออกมาเก่งกาจกว่าฉันร้อยเท่า!”
แม้ว่าลูกชายของหูหงเต๋อจะร่ำเรียนวิชาที่ถ่ายทอดกันมาในสำนักไปจำนวนหนึ่ง แต่ว่าภายหลังตัดสัมพันธ์กับเขา ท่วงท่าร้ายกาจบางท่าจึงไม่สามารถสืบทอดต่อไปได้
อีกทั้งหูเสี่ยวเซียนก็เป็นเด็กผู้หญิง ไม่เหมาะจะฝึกฝนวิชากรงเล็บเหยี่ยว สายสำนักนี้ของหูหงเต๋อจะไม่เพียงสูญเสียแค่คัมภีร์วิชา กระทั่งวิทยายุทธ์ก็จะไม่สามารถสืบทอดได้ต่อหน้าต่อตา จึงได้มีความคิดจะถ่ายทอดให้แก่เยี่ยเทียน
เยี่ยเทียนได้ยินแล้วก็ยิ้มออกมา กล่าวว่า “ไว้เสี่ยวเซียนหายแล้ว คุณตามไปเมืองหลวงกับผมดีกว่า คิดว่าศิษย์พี่จะต้องดีใจที่ได้เจอคุณแน่นอน”
“ได้ ถึงยังไงวิชานี้จะถ่ายทอดที่ไหนก็เหมือนกันนั่นแหละ!” หูหงเต๋อพยักหน้าอย่างหนักแน่น ราวกับหวังพึ่งพิงเยี่ยเทียน เกิดความกลัวว่าเขาจะไม่ยอมฝึกวิชานี้จากตน
การฝึกวิชาของเยี่ยเทียนเมื่อครู่ ทำให้เสียเวลาไปถึงสองชั่วโมง เวลานี้ยังไม่ทันได้กินข้าว หูหงเต๋อเก็บข้าวเก็บของเสร็จ ทั้งสองคนก็ย่ำหิมะหนาหนักลงจากเขาไป
……
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น