กระบี่จงมา 401.3-402.2

 บทที่ 401.3 เดินทางกลับทิศเหนือ

 

อันที่จริงหลี่ไหวกำลังลืมตาโตมองแสงจันทร์นอกหน้าต่าง


หีบหนังสือไม้ไผ่เขียว รองเท้าสานหนึ่งคู่ ปิ่นหยกชิ้นหนึ่งที่สลักคำว่าไหวอิน ทำมาจากหยกสีหมึก


ของสามอย่างนี้เป็นสิ่งที่หลี่ไหวทะนุถนอมมากที่สุด


ปิ่นหยก หลี่เป่าผิงและหลินโส่วอีก็มีกันคนละหนึ่งชิ้น ตอนนั้นเฉินผิงอันมอบให้พวกเขาพร้อมกัน เพียงแต่ว่าหลี่ไหวรู้สึกว่าของคนทั้งสองล้วนสู้ของเขาไม่ได้


และยังมีตำรา ‘หน้าผาใหญ่น้ำหยุด’ ที่ซื้อจากเมืองหงจู๋ เฉินผิงอันก็เป็นคนควักเงินจ่าย


นอกจากนี้ก็ยังมีหุ่นไม้หลากสีตัวนี้ที่หลี่ไหวมักจะเอาออกมาเล่นโอ้อวดคนอื่นเสมอ มันกับกล่องไม้เฉียวหวงเป็นทรัพย์สินที่แบ่งมาจากเว่ยป้อเทพแห่งผืนดินตอนอยู่บนภูเขาฉีตุน หุ่นไม้ก็คือแม่ทัพใหญ่อันดับหนึ่งภายใต้การบัญชาการของหลี่ไหว


กระดาษแผ่นหนึ่งที่มีตัวอักษรซึ่งปีนั้นอาจารย์ฉีบอกให้พวกเขาลองคัดลอกดู เพียงแต่ว่าบางคนก็ทำหาย บางคนก็เอาเก็บไว้ในบ้านตัวเอง ถึงท้ายที่สุดก็มีเพียงเขาหลี่ไหวที่พกติดตัวมาด้วย ตอนนั้นระหว่างที่เดินทางกัน หลี่ไหวอยากจะมอบมันให้แก่เฉินผิงอันที่ดูแลเขามาตลอดทาง แต่เฉินผิงอันไม่ได้รับไว้ บอกแค่ว่าให้เขาหลี่ไหวเก็บไว้ดีๆ


จากนั้นหลี่ไหวจึงสอดมันไว้ในตำรา ‘หน้าผาใหญ่น้ำหยุด’ เล่มนั้น


และยังมีตุ๊กตาดินเหนียวที่เหมือนมีชีวิตจริงอีกหนึ่งชุด เป็นเว่ยจิ้นจากศาลลมหิมะที่มอบให้ พวกมัน ‘สูงใหญ่องอาจ’ ได้ไม่เท่าหุ่นไม้หลากสี ตุ๊กตาดินเหนียวห้าตัวสูงแค่ครึ่งนิ้ว มีทั้งจอมยุทธ์มือกระบี่ มีทั้งนักพรตเต๋าถือไม้ปัดฝุ่น มีแม่ทัพบู๊สวมเกราะ มีหญิงสาวขี่กระเรียน และยังมีชายคนตีฆ้องบอกเวลา หลี่ไหวล้วนตั้งฉายาให้กับพวกมัน และมอบตำแหน่งแม่ทัพให้กับทุกตัว


ตอนนั้นเซียนกระบี่เว่ยที่บินไปบินมายังพูดอะไรบางอย่างที่หลี่ไหวลืมไปนานแล้ว สำนักหยินหยาง เวทหุ่นเชิดสำนักโม่และพรรคมหายันต์ลัทธิเต๋าอะไรสักอย่าง แล้วก็ยังมีผู้ฝึกลมปราณขอบเขตเจ็ดแปดอะไรนั่น ตอนนั้นเขาเอาแต่เล่น ไหนเลยจะฟังเรื่องซับซ้อนวุ่นวายพวกนั้นเข้าหู ภายหลังตอนที่แนะนำคนจิ๋วดินเหนียวให้กับเพื่อนๆ ฟัง คิดอยากจะโอ้อวดถึงความล้ำค่ามีราคาของเจ้าตัวน้อยทั้งห้า แต่เค้นสมองคิดจนหัวแทบแตกก็ยังนึกคำพูดโอ้อวดออกมาไม่ได้สักคำ ในที่สุดถึงนึกเรื่องนี้ขึ้นมาได้ แต่หลี่ไหวก็ไม่ได้ไปถามหลี่เป่าผิงหรือหลินโส่วอีที่ความจำดี คิดว่าถึงอย่างไรเฉินผิงอันก็บอกแล้วว่าจะมาเยี่ยมพวกเขาที่สำนักศึกษา รอให้เขามาแล้วค่อยถามก็แล้วกัน อย่างไรซะเฉินผิงอันก็จำทุกอย่างได้อยู่แล้ว


แต่ดูเหมือนเฉินผิงอันจะลืมพวกเขาไปแล้ว


ตอนแรกยังเขียนจดหมาย ส่งภาพวาดมาให้หลี่เป่าผิง แต่ตอนหลังดูเหมือนว่าแม้แต่จดหมายก็ไม่เคยส่งมา


……


เมื่อเทียบกับหลี่ไหวและเด็กรุ่นเดียวกันสองคนที่ชอบก่อเรื่องและเอาแต่เล่นสนุกแล้ว


หลินโส่วอีได้กลายเป็นศิษย์แห่งความภาคภูมิใจที่คนของสำนักศึกษาซานหยาให้การยอมรับโดยทั่วกัน


ไม่ว่าจะเป็นการเรียนหรือการฝึกตนก็ล้วนไม่มีข้อบกพร่อง ได้รับความสำคัญจากพวกอาจารย์มากมายของสำนักศึกษา


เคยได้ติดตามเซียนซือผู้เฒ่าท่านหนึ่งที่เชี่ยวชาญเวทอสนีอย่างลึกซึ้งเดินทางท่องเที่ยวไปตามภูเขาและแม่น้ำของต้าสุย ช่วงเวลาที่ได้อยู่ในสำนักศึกษาและอยู่ข้างนอกแทบจะแบ่งกันครึ่งต่อครึ่ง


คนก่อนหน้านี้ที่ได้รับการปฏิบัติเช่นนี้เป็นถึงนักปราชญ์ของสำนักศึกษากวานหูที่หนุ่มที่สุดของต้าสุย อีกทั้งรองเจ้าขุนเขาสำนักศึกษากวานหูยังเคยบอกว่าเขาคือผู้ที่มีคุณสมบัติจะเป็นวิญญูชน


เมื่ออายุเริ่มเพิ่มมากขึ้น หลินโส่วอีก็เปลี่ยนจากเด็กหนุ่มสะโอดสะองมาเป็นคุณชายผู้สง่างาม สตรีทั้งในและนอกสำนักศึกษาที่ชื่นชมหลินโส่วอีมีเพิ่มมากขึ้นทุกวัน ดรุณีน้อยหลายคนที่มาจากตระกูลลำดับต้นๆ ของเมืองหลวงต้าสุยมาเยือนสำนักศึกษาที่สร้างอยู่บนภูเขาตงซานเล็กๆ แห่งนี้ก็เพื่อได้มองหลินโส่วอีไกลๆ สักครั้ง


บนร่างของหลินโส่วอีเริ่มค่อยๆ บ่มเพาะบุคลิกสูงส่งที่นานวันก็ยิ่งอยู่ห่างไกลจากโลกีย์ไปทุกที


เมื่อชื่อเสียงของหลินโส่วอีโด่งดังขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งยังเป็นดั่งหยกขาวที่ไร้ตำหนิ เป็นเหตุให้จำนวนครั้งที่คนมีอำนาจหลายคนในตระกูลชั้นสูงของเมืองหลวงต้าสุยได้ยินชื่อเสียงของหลินโส่วอีระหว่างที่พูดคุยกับเพื่อนร่วมงานหรือเด็กรุ่นหลังในตระกูลเพิ่มมากขึ้นทุกขณะ และทุกคนต่างก็เริ่มย้ายสายตาไปให้ความสนใจบัณฑิตหนุ่มผู้นี้ไม่มากก็น้อย


สำหรับสายตาที่จับจ้องอยู่เบื้องหลัง รวมไปถึงความเกี่ยวพันมากมายในชีวิตประจำวันเหล่านี้


หลินโส่วอีที่มีชาติกำเนิดเป็นบุตรนอกสมรสของขุนนางชั้นผู้น้อยในที่ว่าการทั้งไม่ได้รู้สึกภาคภูมิพึงพอใจ แล้วก็ไม่ได้รู้สึกเบื่อหน่ายรังเกียจ


ฝึกอบรมบ่มเพาะจิตใจก็คือการฝึกตน


หากเมื่อวานและวันนี้ยอมเผชิญกับความยากลำบากในการขัดเกลาจิตใจมากเท่าไหร่ วันพรุ่งนี้และอนาคตก็ยิ่งมีข้อบกพร่องน้อยเท่านั้น


สำหรับคลื่นมรสุมที่เกิดขึ้นในราชวงศ์ต้าสุย เนื่องจากได้มีประสบการณ์ท่องเที่ยวไปตามที่ต่างๆ หลินโส่วอีจึงได้พบเห็นและได้ยินมามาก ราชวงศ์ที่เดิมทีมีขนบธรรมเนียมและวัฒนธรรมมากที่สุดทางทิศเหนือของทวีป เวลานี้กลับเต็มไปด้วยบรรยากาศของความเศร้าโศกทุกข์ตรม


แต่หลินโส่วอีไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย


แม้แต่เรื่องที่กองทัพม้าเหล็กต้าหลีของบ้านเกิดกรีฑาทัพลงใต้ด้วยพลังอำนาจที่บุกไปทางใดทางนั้นก็พังราบเป็นหน้ากลอง เขาก็ไม่ใส่ใจเช่นกัน


นอกจากมีอาจารย์ผู้เฒ่าท่านหนึ่งของสำนักศึกษาที่ถ่ายทอดเวทอสนีให้แล้ว หลินโส่วอีเองก็ยังมุมานะตั้งใจศึกษาตำรา ‘เหนือเมฆพร่างพราว’ ที่ได้มาจากภูเขาฉีตุน


ครั้งนี้ติดตามอาจารย์ผู้เฒ่าไปที่ขุนเขาเหนือทางชายแดนของต้าสุย และยังได้ไปเยือนตระกูลเซียนแห่งหนึ่งที่มีชื่อว่าภูเขาเสินเซียว ใช้เวลานานถึงสามเดือน หลินโส่วอีเพิ่งเคยนั่งเรือบินตระกูลเซียนเป็นครั้งแรกในชีวิต นั่นก็เพื่อไปดูเมฆสายฟ้าแห่งหนึ่งในระยะประชิด ภาพเหตุการณ์นั้นยิ่งใหญ่งดงาม น่าตื่นตาตื่นใจ อาจารย์ผู้เฒ่าทะยานลมเดินทาง ออกจากเรือบินที่ส่ายโอนเอนเพื่อร่ายใช้วิชาอภินิหารจับสายฟ้า รวบรวมพวกมันมาไว้ในขวดกระเบื้องตระกูลเซียนใบหนึ่งที่เอาไว้ใช้บรรจุสายฟ้าโดยเฉพาะ มีชื่อว่าขวดฟ้าร้องตีท้อง อาจารย์ผู้เฒ่ามอบให้หลินโส่วอีเป็นของขวัญ เพื่อสะดวกให้หลินโส่วอีนำไปเก็บปราณวิญญาณหลังจากกลับไปถึงสำนักศึกษาแล้ว


คืนนี้หลินโส่วอีเดินอยู่ท่ามกลางม่านราตรีเพียงลำพัง มุ่งหน้าไปยังหอเก็บตำราเพื่ออ่านหนังสือ อาจารย์ที่อยู่เวรผลัดดึกย่อมไม่ขัดขวาง แม้ว่ากฎของสำนักศึกษาลัทธิขงจื๊อจะค่อนข้างเข้มงวด แต่กลับไม่ได้ตายตัว


ขึ้นไปบนหอตำรา จุดตะเกียงอ่านหนังสือยามค่ำคืนจนกระทั่งฟ้าสว่าง


หลังจากที่หลินโส่วอีกลายเป็นผู้ฝึกลมปราณ ขอแค่บำรุงลมปราณและจิตใจได้อย่างเหมาะสม แม้จะอดตาหลับขับตานอนอ่านหนังสือ เขาก็ไม่รู้สึกเหนื่อยล้า


หลินโส่วอีวางตำรากลับไปที่เดิม เดินมาที่หน้าต่าง เป็นช่วงเวลาที่ลมปราณขุ่นมัวท่ามกลางฟ้าดินลดลงต่ำ ลมปราณสะอาดสดชื่นกำลังลอยขึ้นบน


โลกในสายตาของผู้ฝึกลมปราณไม่เหมือนกับในสายตาของคนธรรมดา


ดวงตาของมนุษย์ธรรมดามองไม่เห็นปราณวิญญาณไหลเวียน มองไม่เห็นปราณชั่วร้ายลอยกรุ่น หรือการรวมตัวกันของปราณหยาง การกระจายตัวของปราณหยิน


เพียงแต่ว่าแม้การที่ประตูใหญ่ของถ้ำโพรงในร่างคนธรรมดาจะปิดสนิท ไม่อาจรับเอาปราณวิญญาณมาหล่อหลอม ต่ออายุขัยให้ยืนยาว แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ต้องแบกรับพายุลมกรดประเภทต่างๆ ในโลก เกิดแก่เจ็บตายล้วนให้สวรรค์เป็นผู้กำหนด


ชุยตงซานเคยท่องกลอนบทหนึ่ง


ลมสูงคลื่นเร็ว ขี่หลังคางคกเดินทางไกลหมื่นลี้ ร่างท่องอยู่ในสรวงสวรรค์ ก้มมองลมปราณขมุกขมัว เซียนผู้เมามายเขย่าต้นกุ้ย แปรเปลี่ยนเป็นลมเย็นสดชื่นในโลกมนุษย์


พอเข้ามาอยู่ในสำนักศึกษา ได้เปิดอ่านตำราเก่าคร่ำคร่าเหล่านั้น รู้ว่าเซียนบรรพกาลในตำนานสามารถไปเยือนวังตะวันวังจันทราเพื่อดื่มสุราเซียนร่วมกับทวยเทพ สามารถเมามายไปได้นับร้อยนับพันปี


หลินโส่วอีวาดฝันกับภาพเหตุการณ์เช่นนี้เป็นอย่างยิ่ง


จู่ๆ เขาก็พลันถอนหายใจ


หากมีวันนั้นจริงๆ เขาหวังว่าสตรีที่เขาอาลัยอาวรณ์มิอาจตัดใจผู้นั้นจะมาอยู่ข้างกายของตน


พอนึกถึงนาง หลินโส่วอีก็อดคลี่ยิ้มอย่างห้ามตัวเองไม่ได้


หากสตรีของเมืองหลวงแคว้นต้าสุยมาเห็นภาพนี้เข้า เกรงว่าจิตใจคงสะท้านหวั่นไหว


หลายปีมานี้บางครั้งหลินโส่วอีก็หวนนึกถึงการเดินทางในยามเป็นเด็กหนุ่มยังไม่รู้ประสา การเดินทางที่แม้จะน่าตกใจแต่ไร้อันตราย ทุกสิ่งล้วนแปลกใหม่ ได้เห็นภูตประหลาดแห่งภูเขาและหนองน้ำเป็นครั้งแรก ได้เห็นเทพแห่งผืนดินเป็นครั้งแรก ได้รับโชควาสนาในการฝึกตนเป็นครั้งแรก เข้าพักในโรงเตี๊ยมตระกูลเซียนที่มีกลิ่นอายแห่งเซียนล้อมเวียนวนเป็นครั้งแรก ได้เห็นเทพทวารบาลที่ร่างสูงใหญ่เท่ากับตัวคนเป็นครั้งแรก ได้หีบหนังสือใบเล็กและปิ่นหยกมาเป็นครั้งแรก ได้มาอยู่ในสำนักศึกษาต้าสุยที่แปลกที่แปลกทางเป็นครั้งแรก เดินทางผ่านด่านที่ยากลำบากร่วมกับเหล่าสหายที่มีศัตรูคู่แค้นร่วมกันจนมาถึงที่นี่


หลินโส่วอีรู้สึกเสียดายขึ้นมากะทันหัน


ดูเหมือนว่าหลังจากคนผู้นั้นจากไป ทุกคนก็กระจัดกระจายแยกย้ายกันไป ต่อให้ยังอยู่ในสำนักศึกษาแห่งเดียวกัน มักจะพบหน้ากันบ่อยๆ แต่จิตใจคนห่างเหินกันไปแล้ว


น้ำที่มาจากต้นน้ำอันตื้นเขินและใสสะอาดเริ่มแยกแตกสาขาออกไป บ้างมุ่งไปตะวันออก บ้างมุ่งไปตะวันตก แม้ว่าดูเหมือนจะยิ่งใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ กลายมาเป็นดั่งลำธารที่ร่าเริงอย่างหลี่ไหว เป็นดั่งแม่น้ำลำคลองที่เริ่มยิ่งใหญ่อย่างตน หรือเป็นดั่งทะเลสาบที่เลือกจะหยุดนิ่งรอคอยอย่างหลี่เป่าผิง หรือเป็นบ่อลึก สายน้ำไหลใต้ดินอย่างอวี๋ลู่กับเซี่ยเซี่ย แต่เมื่อย้อนกลับมามองอีกครั้ง ช่วงเวลาแรกเริ่มสุดในอดีต การทะเลาะเบาะแว้ง การกระทบกระทั่ง เท้าของทุกคนเปรอะเปื้อนได้ด้วยดินโคลน สวมรองเท้าสาน สะพายหีบไม้ไผ่ นอนกลางดินกินกลางทราย มีคนคอยเฝ้ายามตอนกลางคืน…


หลินโส่วอีถอนหายใจหนึ่งที


ย้อนกลับไปไม่ได้อีกแล้ว


……


ตอนแรกในหอพักของอวี๋ลู่ไม่มีเพื่อนร่วมชั้นมาอยู่อาศัยด้วย ภายหลังองค์ชายเกาเซวียนย้ายเข้ามา คนทั้งสองตัวติดกันดั่งเงา ความสัมพันธ์สนิทสนมแนบแน่น


เพียงแต่ว่าเมื่อไม่นานมานี้อวี๋ลู่ได้กลายมาเป็น ‘คนโดดเดี่ยว’ อีกครั้ง เพราะเกาเซวียนแอบออกไปจากสำนักศึกษาต้าสุยเงียบๆ เพื่อไปอยู่ที่สำนักศึกษาหลินลู่บนภูเขาพีอวิ๋นของเขตการปกครองหลงเฉวียน บอกว่าไปขอศึกษาต่อ แต่ความจริงเป็นเช่นไร คนที่เข้าใจสถานการณ์ล้วนมองออก หนีไม่พ้นไปเป็นตัวประกันก็เท่านั้น หลังจากที่สกุลซ่งต้าหลีและสกุลเกาต้าสุยลงนามเป็นพันธมิตรแห่งขุนเขาร่วมกัน นอกจากเกาเซวียนแล้ว อันที่จริงยังมีคนเฝ้าพิทักษ์ประตูของสกุลเกาเมืองหลวงต้าสุยขอบเขตสิบเอ็ด และเจียวเฒ่าของแคว้นหวงถิงที่เดิมทีลาออกจากราชการไปเก็บตัวอย่างสันโดษที่ได้กลายไปเป็นรองเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาหลินลู่ที่ต้าหลีสร้างขึ้นมาใหม่


ตอนนั้นอวี๋ลู่ไปส่งเกาเซวียนที่ตีนเขาของสำนักศึกษาเท่านั้น


เช้าตรู่วันนี้อวี๋ลู่ไปเคาะประตูเรือนพักเดี่ยวขนาดเล็กแห่งหนึ่งอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน


คนที่มาเปิดประตูคือเซี่ยเซี่ย


อวี๋ลู่มองเซี่ยเซี่ยที่ในมือถือด้ามไม้กวาด


ต่อให้ชุยตงซานจะไปจากสำนักศึกษาช่วงระยะเวลาหนึ่ง แต่ดูท่านางน่าจะยังคงทำหน้าที่เป็นสาวใช้อย่างขยันหมั่นเพียรอยู่ทุกวัน


เซี่ยเซี่ยถามหน้าเคร่ง “เจ้ามาทำไม?”


อวี๋ลู่ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “อยู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่าไม่ได้พบหน้ากันมานานมากแล้ว ก็เลยแวะมาหา”


เซี่ยเซี่ยถาม “ตอนนี้ก็ได้พบแล้ว แล้วไง?”


อวี๋ลู่กล่าวอย่างจนใจ “เข้าไปดื่มชาสักถ้วยคงไม่มากเกินไปกระมัง?”


เซี่ยเซี่ยลังเลอยู่เล็กน้อย แต่ก็ยังบอกให้อวี๋ลู่ชายหนุ่มที่เดิมทีนางควรเรียกด้วยความเคารพว่ารัชทายาทผู้นี้เข้ามาในเรือน


เรือนแห่งนี้ขนาดไม่ใหญ่ ถูกเก็บกวาดอย่างสะอาดสะอ้าน หากถึงฤดูใบไม้ร่วงที่ใบไม้ร่วงได้ง่าย หรือเป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิที่มีเศษเกสรปลิวว่อนได้ง่ายก็น่าจะค่อนข้างลำบาก


เซี่ยเซี่ยชี้ไปทางห้องหลัก ประตูห้องนั้นปิดสนิท พื้นระเบียงใต้ชายคาปูด้วยเสื่อที่ถักจากไม้ไผ่จึงเหมือนเตียงขนาดใหญ่หลังหนึ่ง อวี๋ลู่ถึงขั้นจินตนาการภาพออกเลยว่ายามค่ำคืนที่อากาศเย็นฉ่ำดุจสายน้ำ เด็กหนุ่มชุดขาวที่มีใฝแดงกลางหว่างคิ้วคนนั้นจะต้องมานอนตะแคงดูดาวอยู่ตรงนี้อย่างเกียจคร้าน


เซี่ยเซี่ยเอ่ยเตือน “ก่อนจะเดินขึ้นบันไดต้องถอดรองเท้าก่อน ไม่อย่างนั้นข้ายังต้องเช็ดพื้นตามหลังเจ้าอีกรอบ”


อวี๋ลู่จึงถอดรองเท้า นั่งลงบนพื้นไผ่เขียว น่าจะเป็นไผ่เขียวที่ผู้ฝึกลมปราณสำนักกสิกรรมของตระกูลเซียนบางแห่งในอาณาเขตของต้าสุยเป็นผู้ปลูก หากชนชั้นสูงทั่วไปของต้าสุยนำมาทำเป็นกระบอกใส่พู่กันก็ถือว่าฟุ่มเฟือยมากแล้ว หากปัญญาชนมอบให้กันจะเหมาะสมอย่างมาก หากมีเตียงหลบร้อนหรือเก้าอี้ไม้ไผ่รับลมเย็นสักตัวก็ยิ่งแสดงให้รู้ว่ามีควันธูปและทรัพย์สมบัติที่มากมหาศาล เพียงแต่ว่าเมื่อมาอยู่ในเรือนหลังนี้กลับเป็นได้แค่นี้


เซี่ยเซี่ยง่วนทำงานของตัวเองต่อไป ไม่ได้รินชาอะไรให้อวี๋ลู่ เช้าตรู่ขนาดนี้จะดื่มชาอะไร คิดว่าตนเองยังเป็นรัชทายาทสกุลหลูอยู่จริงๆ หรือ? เจ้าอวี๋ลู่ยังเทียบกับเกาเซวียนในทุกวันนี้ไม่ได้เลยด้วยซ้ำ จะดีจะชั่วสกุลเกาเกอหยางของพวกเขาก็รักษาโชคชะตาแคว้นต้าสุยเอาไว้ได้ เมื่อเทียบกับชาวบ้านสกุลหลูที่ถูกเกณฑ์ไปทำงานใช้แรงงานในภูเขาใหญ่ทางทิศตะวันตกของเขตการปกครองหลงเฉวียน ต้องตากแดดตากลม ตากฝนตากหิมะตลอดทั้งปี เดี๋ยวๆ ก็ถูกแส้โบยตี หากไม่กลายเป็นดั่งสิ่งของก็ต้องถูกภูเขาแต่ละแห่งที่สร้างจวนขึ้นใหม่ซื้อตัวไปเป็นคนงานสาวใช้แล้ว สองฝ่ายก็เรียกได้ว่าต่างกันราวฟ้ากับเหว


อวี๋ลู่ทิ้งตัวนอนหงาย ถามว่า “เซี่ยเซี่ย เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าในอนาคตอยากจะมีชีวิตอย่างไร?”

 

 

 


บทที่ 401.4 เดินทางกลับทิศเหนือ

 

เซี่ยเซี่ยนั่งอยู่ข้างโต๊ะหิน “ไม่เคยคิด”


อวี๋ลู่ที่สวมชุดลัทธิขงจื๊อของสำนักศึกษาวางสองมือทาบไว้บนหน้าท้อง “ก่อนที่คุณชายของเจ้าจะออกไปจากสำนักศึกษาได้ซ้อมข้าไปรอบหนึ่ง”


เซี่ยเซี่ยเอ่ยเย้ยหยัน “ทำไม เอาชนะเขาชุยตงซานไม่ได้ก็เลยคิดจะเอาข้ามาเป็นที่ระบายอารมณ์? ไม่เสียแรงที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเจ็ดที่แบกรับโชคชะตาบู๊ของครึ่งแคว้นเอาไว้ แต่เจ้าแน่ใจหรือว่าจะเอาชนะข้าได้เสมอไป?”


หลังจากที่นางถูกต้าหลีจับตัวมา ถูกเหนียงเนียงในวังผู้นั้นสั่งให้ฝึกกระบี่ผู้ถวายงานคนหนึ่งตรอกตรึงตะปูกักมังกรหลายตัวไว้ในช่องโพรงลมปราณที่สำคัญของนางหลายแห่ง เป็นวิธีการที่อำมหิตอย่างถึงที่สุด


ภายหลังชุยตงซานช่วยดึงตะปูกักมังกรออกให้ครึ่งหนึ่ง ตบะกลับคืนมาเป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตถ้ำสถิต ก่อนหน้าที่ชุยตงซานจะไปจากสำนักศึกษาก็ได้ดึงออกให้อีกหลายตัว ในร่างของเซี่ยเซี่ยจึงเหลือแค่ตะปูกักมังกรตัวสุดท้ายที่ตรึงอยู่หน้าประตูใหญ่ของช่องโพรงอันเป็นที่เก็บวัตถุแห่งชะตาชีวิตของนางเท่านั้น ในที่สุดนางก็ได้ย้อนกลับมาสู่ขอบเขตชมมหาสมุทรอีกครั้ง บวกกับเวทลับมากมายที่ชุยตงซานร่ายไว้ในเรือนเล็กแห่งนี้ ซึ่งการควบคุมใจกลางของค่ายกลส่วนใหญ่ เขาล้วนถ่ายทอดวิธีการเปิด ขับไล่และปิดให้แก่เซี่ยเซี่ย ด้วยเหตุนี้ขอแค่เซี่ยเซี่ยอยู่ในเรือนขนาดเล็กแห่งนี้ก็จะมีลักษณะคล้ายเหมาเสี่ยวตงที่เฝ้าบัญชาการณ์สำนักศึกษาซานหยา


อวี๋ลู่ลุกขึ้นนั่งตัวตรง ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “หากจะต้องประมือกันจริงๆ เจ้าก็ยังต้องแพ้อยู่ดี”


เซี่ยเซี่ยร้องอ้อหนึ่งที พูดด้วยสีหน้าเฉยเมยว่า “เจ้าช่างร้ายกาจจริงๆ เป็นข้าที่มองผิดไป ต้องให้ข้าเอ่ยขอโทษเจ้าด้วยหรือไม่?”


อวี๋ลู่ล้มตัวกลับลงไปนอนอีกครั้ง ใช้สองมือต่างหมอน เอ่ยอย่างปลงอนิจจังว่า “เจ้านี่นะ”


แม้ว่าจะเป็นเศษเดนของราชวงศ์สกุลหลูเหมือนกัน เดิมทีควรเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน ประคับประคองช่วยเหลือกันถึงจะถูก แต่ส่วนลึกในใจของเซี่ยเซี่ยกลับรังเกียจอวี๋ลู่ที่รู้จักพอในทุกสถานการณ์ผู้นี้มากที่สุด อีกทั้งนางยังไม่เคยปกปิดความรู้สึกนี้ไว้แม้แต่น้อย


อวี๋ลู่หลับตาลง “นอนที่นี่สบายดีจัง ขอข้างีบสักพัก”


เซี่ยเซี่ยลังเลอยู่เล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ไล่เขาไป


อันที่จริงนางสงสัยใคร่รู้เล็กน้อย เหตุใดอวี๋ลู่ถึงไม่ได้ติดตามเกาเซวียนไปสำนักศึกษาหลินลู่


อวี๋ลู่ไปอยู่ต้าหลี อย่างน้อยที่สุดก็สามารถดูแลชาวเมืองสกุลหลูที่ประหนึ่งตกอยู่ในน้ำลึกถูกแผดเผาอยู่ท่ามกลางกองไฟได้ แล้วนับประสาอะไรกับที่อันที่จริงตอนนี้ก็มีขุนนางบุ๋นแม่ทัพบู๊ของสกุลหลูไม่น้อยที่แม้จะพึ่งพาต้าหลี แต่ก็ยังถือว่าพอจะเชื่อใจได้ แม่ทัพบู๊หลายคนก็ยิ่งติดตามกองทัพม้าเหล็กของต้าหลีมุ่งหน้าลงใต้ ว่ากันว่าพวกเขาสร้างคุณความชอบได้โดดเด่นอย่างถึงที่สุด จนเริ่มกลมกลืนเข้ากับกองทัพต้าหลีได้แล้ว


ต่อให้ไม่พูดถึงเรื่องพวกนี้ ตอนนี้อวี๋ลู่ก็ถือว่าเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตโอสถทองที่อายุน้อยในสำมะโนครัวของต้าหลีแล้ว


พูดออกไปก็ทำให้คนตกใจตายได้


ฮ่องเต้สกุลซ่งต้าหลีนั้นไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น แต่มีข้อหนึ่งที่เซี่ยเซี่ยจำเป็นต้องยอมรับ นั่นคือเขาไม่ขาดความใจกว้าง


ซ่งจ่างจิ้งอ๋องเจ้าเมืองก็เป็นเช่นนี้


ไม่ว่าจะมองอย่างไร อวี๋ลู่ก็ควรไปสำนักศึกษาหลินลู่


ทว่าอวี๋ลู่กลับเลือกจะอยู่ต่อในสำนักศึกษาซานหยา


ในบรรดาคนต่างถิ่นอย่างพวกเขาที่เข้ามาในสำนักศึกษาพร้อมกันปีนั้น นอกเหนือจากในสายตาของราชสำนักต้าสุยและบุคคลระดับสูงสุดของสำนักศึกษาแล้ว ยังคงเป็นหลินโส่วอีที่เป็นตัวอ่อนในการฝึกตนที่โดดเด่นเจิดจรัสมาโดยตลอด ความสำเร็จในอนาคตก็จะสูงที่สุด หลี่เป่าผิงแม่นางน้อยชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงน่าสนใจที่สุด ไม่ว่าใครก็รังเกียจไม่ลง เซี่ยเซี่ยเป็นคนที่มีที่พึ่งแข็งแกร่งสุด พรสวรรค์ในด้านการเรียนรู้ของหลี่ไหวธรรมดาสามัญที่สุด แต่กลับไม่ควรไปมีเรื่องด้วยมากที่สุด ส่วนอวี๋ลู่นั้น เป็นคนที่ไม่สะดุดตาที่สุดมาโดยตลอด ง่ายที่จะถูกคนลืมเลือน ต่อให้หลังจากมีองค์ชายเกาเซวียนเป็นสหายก็ยังไม่มีใครรู้สึกว่าคนหนุ่มอวี๋ลู่มีค่าพอให้จับตามอง กลับกันยิ่งทำให้คนดูแคลน มองว่าเป็นคนหนุ่มที่ชอบฉกฉวยโอกาส ดีแต่เกาะขาป่ายปีนชนชั้นสูงเท่านั้น


อวี๋ลู่พลันลืมตาโพลง “คุณชายของเจ้าบอกว่า เฉินผิงอันเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตห้าที่ใกล้จะฝ่าทะลุขอบเขตแล้ว พลังในการต่อสู้ที่แท้จริงมีแต่จะยิ่งสูงขึ้น”


เซี่ยเซี่ยกล่าวอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น “ทำไม เจ้ากลัวว่าจะถูกตามทันงั้นหรือ?”


อวี๋ลู่ส่ายหน้า “ต้องถูกตามทันอยู่แล้ว”


เซี่ยเซี่ยขมวดคิ้ว “เร็วมาก?”


อวี๋ลู่พยักหน้ารับ “เร็วจนเจ้าคาดไม่ถึงเลยล่ะ”


เซี่ยเซี่ยถามอีก “ผลจากบุญคุณแห่งโชคชะตาบู๊?”


อวี๋ลู่ส่ายหน้า “ก็เพราะไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ดังนั้นข้าถึงได้รู้สึก…กลุ้มเล็กน้อย”


เซี่ยเซี่ยไร้คำพูดตอบโต้


ไม่รู้ว่าครั้งหน้าที่พบกัน เฉินผิงอันจะเป็นอย่างไร


เซี่ยเซี่ยนึกภาพไม่ออก


คงจะยังสะพายหีบไม้ไผ่ สวมรองเท้าสาน ทว่าตัวสูงขึ้นเล็กน้อยกระมัง?


……


หลี่เป่าผิงเองก็พักอยู่ในหอเพียงลำพัง


นี่คือเรื่องเดียวที่ศัตรูคู่แค้นสองคนอย่างชุยตงซานกับเหมาเสี่ยวตงไม่ได้ทะเลาะถกเถียงกัน


เพราะในหอพักมีที่นอนของคนสี่คน ตามหลักแล้วแม่นางน้อยชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงพักอยู่เพียงลำพัง ในหอพักก็ควรจะว่างเปล่า


แต่ในความเป็นจริงแล้ว นอกจากเตียงนอนของนาง เตียงที่เหลืออีกสามหลังล้วนเต็มแน่น กระดาษกองกันเป็นพะเนิน แต่ละปึกถูกวางไว้อย่างเป็นระเบียบ


ด้วยเรื่องนี้อาจารย์สอนหนังสือยังอดไปบ่นกับเจ้าขุนเขาทั้งหลายไม่ได้ แม่นางน้อยคัดหนังสือที่มากพอสำหรับการถูกลงโทษร้อยกว่าครั้งไว้เรียบร้อยแล้ว ทีนี้จะยังลงโทษนางอย่างไร?


พวกอาจารย์ที่ลาดตระเวนยามค่ำคืนก็ยิ่งไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี แทบทุกคนล้วนได้เห็นภาพที่แม่นางน้อยจุดตะเกียงคัดหนังสือทุกคืน นางตวัดพู่กันรวดเร็วราวกับบิน ออกจะขยันเกินเหตุไปบ้าง


ตอนแรกยังมีอาจารย์ผู้เฒ่าบางส่วนรู้สึกไม่เป็นธรรมแทนแม่นางน้อย เข้าใจผิดคิดว่าเพื่อนร่วมงานหลายคนที่มีหน้าที่ถ่ายทอดความรู้ให้กับแม่นางน้อยอคติกับนางเกินไป เข้มงวดกับนางมากไป พวกเขายังเคยแอบมานินทากันเป็นการส่วนตัว ผลกลับกลายเป็นว่าคำตอบทำให้คนไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี อาจารย์เหล่านั้นบอกว่านี่ก็คืองานอดิเรกของแม่นางน้อย ไม่จำเป็นต้องให้นางคัดลอกบทความอริยะปราชญ์มากมายถึงเพียงนั้น มีบางครั้งที่หลี่เป่าผิงขาดเรียนไปนั่งเหม่ออยู่บนยอดเขาตงซาน หรือไม่ก็ออกจากสำนักศึกษาไปเดินเล่น หลังจากนั้นต้องถูกลงโทษให้คัดหนังสือตามกฎของสำนักศึกษาก็จริง แต่ต้องคัดมากขนาดนี้เสียที่ไหน ปัญหาก็คือแม่นางน้อยชอบคัดหนังสือ พวกเขาจะห้ามได้อย่างไร? ลูกศิษย์คนอื่นของสำนักศึกษา โดยเฉพาะพวกคนวัยเดียวกันที่นิสัยร่าเริงซุกซน พวกอาจารย์ต้องใช้ไม้บรรทัดและไม้เรียวบีบให้พวกเขาคัดตำรา แต่แม่นางน้อยกลับดีนัก นางคัดจนได้ภูเขาหนังสือลูกหนึ่งแล้ว


ยังดีที่แม่นางน้อยที่อาจารย์ของสำนักศึกษาทุกคนต่างรู้จักผู้นี้ นอกจากจะทำให้อาจารย์มีโทสะยามที่นางโดดเรียนแล้ว ยังมีจุดที่ทำให้คนรู้สึกว่าหาได้ยาก แน่นอนว่าไม่นับรวมคำถามประหลาดพิลึกทั้งหลายที่มักจะทำให้เหล่าอาจารย์หัวโต ในหัวสมองเล็กๆ นั่น เหตุใดถึงได้บรรจุความคิดที่น่าเหลือเชื่อไว้มากมายปานนั้น เหตุใดแม่น้ำลำคลองในใต้หล้าถึงชอบบิดไปบิดมา ท่านอาจารย์ท่านรู้คำตอบไหม? เวลาฝนตกหนัก ยุงที่อยู่นอกหอพักจะถูกเม็ดฝนกระแทกจนตายหรือไม่ ท่านอาจารย์ท่านรู้หรือไม่? แต่พอท้องฟ้าสดใสแล้วข้าออกไปหาดูบนพื้นอยู่ตั้งนานกลับหาศพของยุงไม่เจอเลยสักตัว ทำไมพวกปลาในทะเลสาบดื่มน้ำไปตั้งมากมายขนาดนั้นแล้วยังไม่ท้องแตกตาย ท่านอาจารย์ท่านคงไม่รู้อีกแล้วสินะ ในตำรามีบอกไว้ไหม ข้าไปเปิดอ่านเองก็ได้…


และนอกเหนือจากที่อาจารย์ทั้งหลายซึ่งสอนหนังสือให้กับแม่นางน้อยจะปวดหัวแล้ว พวกเขายังพูดคุยสัพยอกกันเองว่า คงต้องหาเวลามารวบรวมคำถามของหลี่เป่าผิงไว้สักบทแล้วกระมัง


……


วันนี้หลี่ไหวเหมือนผีดลใจจึงไม่ได้ติดตามหลิวกวานกับหม่าเหลียนไป บอกพวกเขาว่าจะไปห้องส้วม แต่กลับไปที่ยอดเขาตงซานเพียงลำพัง


บังเอิญมาก เขาได้พบหลี่เป่าผิงที่สวมชุดกระโปรงสีแดงนั่งอยู่บนกิ่งไม้จริงดังคาด


หลี่ไหวไม่กล้าเอ่ยทักทาย เขาทำเพียงแค่ฟุบตัวลงบนโต๊ะหินของยอดเขา มองแม่นางน้อยคนนั้นที่มักจะมาปีนต้นไม้ของที่นี่บ่อยๆ อยู่ไกลๆ


หลังจากหลี่เป่าผิงเหม่อลอยเสร็จก็กอดลำต้นของต้นไม้แล้วกลิ้งตัวลงมาบนพื้นอย่างคล่องแคล่ว ชักเท้าได้ก็ออกวิ่งทันที


นางเองก็มองเห็นหลี่ไหวที่ชูมือขึ้นสูงอยู่ตรงนั้นแต่กลับพูดไม่ออกเหมือนกัน


หลี่เป่าผิงแค่ชำเลืองตามองหลี่ไหวแล้วหันหน้ากลับ วิ่งลงไปยังด้านล่างภูเขาประหนึ่งใต้ฝ่าเท้ามีสายลม


หลี่ไหวรู้สึกน้อยใจและขุ่นเคืองเล็กน้อย จึงหากิ่งไม้มาจากบนพื้นกิ่งหนึ่ง นั่งยองลงบนพื้นแล้วขีดๆ เขียนๆ


หลี่ไหวตาเป็นประกาย นึกขึ้นได้ว่าคราวก่อนตนเขียนชื่อของพ่อแม่ แล้วพวกเขาก็มาพบตนที่สำนักศึกษาจริงๆ


ถ้าอย่างนั้นหากตนเขียนชื่อของเฉินผิงอัน ก็จะได้ผลเหมือนกันมั้ย?


หลี่ไหวยิ้มกว้าง เริ่มเขียนตัวอักษรสามตัวเป็นชื่อของเฉินผิงอัน


ไม่รอให้เขาเขียนจบก็มีมือหนึ่งยื่นมาลบตัวอักษรที่อีกขีดเดียวก็จะเขียนเสร็จของเขาทิ้งไป


หลี่ไหวมึนงง มองเห็นหลี่เป่าผิงที่ไม่รู้ว่าย้อนกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่


หลี่ไหวเขียนตัวอักษรเฉินอย่างดื้อดึงอีกครั้ง หลี่เป่าผิงก็ยื่นมือมาลบมันทิ้งอีก


หากเป็นเมื่อก่อน หลี่ไหวอาจจะยอมถอยให้แล้ว แต่วันนี้เหมือนเขากินดีหมีหัวใจเสือ ต่อให้ต้องฝืนใจก็ต้องเริ่มเขียนอีกครั้ง


หลี่เป่าผิงเองก็ไม่พูดไม่จา หลี่ไหวใช้กิ่งไม้เขียน นางก็ยื่นมือออกไปลบทิ้ง


ผลคือรอจนหลี่ไหวเขียนจนกิ่งไม้กิ่งนั้นหัก แต่ก็ยังไม่สามารถเขียนอักษรตัวเฉินที่สมบูรณ์ลงบนพื้นได้สำเร็จ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสองคำว่าผิงอันที่อยู่ด้านหลังเลย


หลี่ไหวโยนกิ่งไม้ที่หักแล้วทิ้งไป เริ่มร้องไห้โฮ


หลี่เป่าผิงไม่สนใจหลี่ไหว หยิบกิ่งไม้นั้นมา ยังคงนั่งยองต่อไป วางคางที่เริ่มแหลมเล็กลงบนแขนตัวเอง เริ่มเขียนตัวอักษรสามคำว่าอาจารย์อาน้อย พอเขียนเสร็จก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ


หลี่ไหวเช็ดหน้าตัวเองลวกๆ สูดจมูกพูดว่า “หลี่เป่าผิง หากเจ้ายังกล้ารังแกข้าแบบนี้อีก เฉินผิงอันมาเมื่อไหร่ ข้าจะฟ้องเขา! ถ้าเขาโมโหขึ้นมา ไม่แน่ว่าอาจจะไม่เต็มใจเป็นอาจารย์อาน้อยของเจ้าแล้วก็ได้!”


หลี่เป่าผิงยังคงเขียนตัวอักษรสามคำว่าอาจารย์อาน้อยต่อ แต่เปลี่ยนมาใช้รูปแบบตัวอักษรอย่างใหม่ รวบรวมสมาธิจ้องพื้น แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินคำข่มขู่ของหลี่ไหว


หลี่ไหวพลันเค้นรอยยิ้มออกมา ถามอย่างระมัดระวังว่า “หลี่เป่าผิง เจ้าให้ข้าเขียนสักสามตัวสิ? ศักดิ์สิทธิ์มากเลยนะ ไม่แน่ว่าพรุ่งนี้เฉินผิงอันอาจมาถึงสำนักศึกษาของพวกเราแล้วก็ได้ ไม่โกหกเจ้าจริงๆ นะ คราวก่อนข้าคิดถึงพ่อแม่ก็เขียนแบบนี้แหละ พวกเขาสามคนล้วนมากันครบเลย เจ้าเองก็รู้นี่นา”


หลี่เป่าผิงไม่เงยหน้า แค่ยื่นกิ่งไม้ส่งให้


หลี่ไหวดีใจสุดขีด เพียงแต่ว่ากิ่งไม้บนมือเพิ่งจะขีดลงบนพื้น หลี่เป่าผิงก็ขมวดคิ้วฉับ “เขียนดีๆ!”


หลี่ไหวตกใจมือสั่น ขีดอักษรนั้นจึงบิดเบี้ยวจนแทบทนมองไม่ได้ เขาพูดเสียงสะอื้น “เจ้าทำอะไรน่ะ?!”


หลี่เป่าผิงช่วยลบตัวอักษรนั้นทิ้งไปให้


หลี่ไหวยิ้มทั้งน้ำตา เริ่มเขียนตัวอักษรเฉินอย่างตั้งใจ


หลังจากเขียนเสร็จ


หลี่เป่าผิงก็กวาดตามองรอบด้าน “คนล่ะ?”


หลี่ไหวหน้ามุ่ย “เร็วขนาดนั้นซะเมื่อไหร่”


หลี่เป่าผิงลุกขึ้นวิ่งปรู๊ดไปที่ต้นไม้ใหญ่ ยืนอยู่บนกิ่งไม้ทอดสายตามองไปไกล


หลี่ไหวกลอกตา ในใจรู้ว่าท่าไม่ดีแล้วจึงโยนกิ่งไม้ทิ้งแล้วเริ่มวิ่งหนี


เพียงแต่เขาหรือจะวิ่งได้เร็วเท่าหลี่เป่าผิง เพียงไม่นานหลี่เป่าผิงก็วิ่งตามมาทัน หลี่ไหวตกใจรีบทรุดตัวนั่งยองยกมือกุมหัว


เพียงแต่ว่าคราวนี้หลี่เป่าผิงไม่ได้ตีเขาอย่างที่หาได้ยาก นางวิ่งไปบนถนนภูเขาจนกระทั่งไปถึงหน้าประตูใหญ่ของสำนักศึกษา ไปเดินเล่นอยู่ตามตรอกน้อยใหญ่ในเมืองหลวงต้าสุย


ในขณะที่หลี่เป่าผิงท่องเที่ยวอยู่ตามถนนซอกซอยของเมืองหลวงอย่างกระตือรือร้น ส่วนหลี่ไหวที่หลังจากพ้นหายนะมาได้ก็ย้อนกลับไปที่หอพัก


ตรงประตูใหญ่ของสำนักศึกษาซานหยาต้าสุย


มีคนสี่คนที่ท่าทางเหนื่อยล้าจากการเดินทาง คนหนุ่มชุดขาวสะพายกระบี่และหีบไม้ไผ่กำลังยื่นเอกสารผ่านด่านส่งให้กับชายชราลัทธิขงจื๊อที่เฝ้าอยู่ตรงประตู


ชายชราลัทธิขงจื๊อมองอยู่นาน บนเอกสารผ่านด่านมีตราประทับของแคว้นต่างๆ ในสองทวีป ตราประทับเบียดกันแน่นขนัด ในใจของผู้เฒ่าเต็มไปด้วยความตกตะลึง เขาเงยหน้ายิ้มถาม “คุณชายเฉินท่องเที่ยวไปหลายสถานที่ขนาดนี้เชียวหรือ?”


คนหนุ่มที่มาเยือนสำนักศึกษาผงกศีรษะรับพร้อมรอยยิ้มบางๆ

 

 

 


บทที่ 402.1 อาจารย์อาน้อยกับแม่นางน้อย

 

ชายชราลัทธิขงจื๊อยื่นเอกสารผ่านด่านคืนให้กับคนหนุ่มที่ชื่อเฉินผิงอันผู้นั้น


อาจารย์แห่งสำนักศึกษาท่านนี้รู้สึกประทับใจในตัวของคนหนุ่มผู้นี้อย่างถึงที่สุด


อาจารย์ผู้เฒ่ามองเฉินผิงอันอีกครั้ง เห็นว่าเขาสะพายกระบี่ยาวและหีบหนังสือก็ยิ่งรู้สึกสบายหูสบายตา


สะพายหีบหนังสือและกระบี่ออกทัศนศึกษาไกลนับหมื่นลี้ เดิมทีก็เป็นเรื่องที่บัณฑิตอย่างพวกเราทำเป็น และทำได้ดีที่สุดอยู่แล้ว


เฉินผิงอันถาม “อาจารย์รู้จักแม่นางน้อยคนหนึ่งที่ชื่อว่าหลี่เป่าผิงหรือไม่ นางชอบสวมชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงสด”


อาจารย์ผู้เฒ่าหัวเราะฮ่าๆ “ในสำนักศึกษาของพวกเรามีใครที่ไม่รู้จักแม่หนูนี่บางเล่า อย่าว่าแต่ทั้งสำนักศึกษาเลย เกรงว่าแม้แต่เมืองหลวงต้าสุยก็ล้วนถูกแม่นางน้อยเดินจนปรุไปหมดแล้ว นางกระตือรือร้นมีพลังชีวิตเปี่ยมล้นอยู่ทุกวัน ทำเอาคนแก่ที่ใกล้จะเดินไม่ไหวอย่างพวกเราอิจฉายิ่งนัก วันนี้นางก็โดดเรียนแอบออกไปจากสำนักศึกษาอีกแล้ว หากเจ้ามาเร็วกว่านี้สักครึ่งชั่วยาม ไม่แน่ว่าอาจได้เจอกับเป่าผิงน้อยพอดี”


เฉินผิงอันถาม “นางออกไปจากสำนักศึกษาคนเดียวหรือ?”


อาจารย์ผู้เฒ่าพยักหน้ารับ “เป็นอย่างนี้ทุกครั้ง”


เห็นสีหน้าเป็นกังวลของเฉินผิงอัน อาจารย์ผู้เฒ่าก็ยิ้มพูดว่า “วางใจเถอะ แม่นางน้อยออกไปตั้งหลายครั้งแล้ว ยังไม่เคยเกิดเรื่องเลยสักครั้ง ถึงอย่างไรก็เป็นลูกศิษย์ของสำนักศึกษา แล้วนับประสาอะไรกับที่เมืองหลวงต้าสุยของพวกเราสงบสุขปลอดภัยมาโดยตลอด ขนบธรรมเนียมของผู้คนก็เรียบง่าย บวกกับที่เจ้ากรมพิธีการก็คือเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาพอดี เขามักจะมานั่งดื่มชากับเหล่ารองเจ้าขุนเขาทั้งหลายบนภูเขาตงซานแห่งนี้ ไม่มีทางเกิดเรื่องอะไรหรอก”


เฉินผิงอันถึงพอจะวางใจลงได้บ้าง


อาจารย์ผู้เฒ่าถาม “ทำไม ครั้งนี้มาเยือนสำนักศึกษาซานหยาก็เพื่อมาหาเป่าผิงน้อยหรือ? ดูจากสำมะโนครัวของเจ้าบนเอกสารผ่านด่านก็เป็นคนของเขตการปกครองหลงเฉวียนต้าหลีเหมือนกัน ไม่เพียงแต่เป็นคนบ้านเดียวกับแม่นางน้อย ยังเป็นญาติกันด้วย?”


เฉินผิงอันยิ้มตอบ “เป็นแค่คนบ้านเดียวกัน ไม่ใช่ญาติ เมื่อหลายปีก่อนข้ามาเมืองหลวงต้าสุยพร้อมกับพวกเป่าผิงน้อย เพียงแต่ว่าคราวนั้นข้าไม่ได้ขึ้นเขาเข้ามาในสำนักศึกษาพร้อมกับพวกเขา”


อาจารย์ผู้เฒ่าประหลาดใจเล็กน้อย ปีนั้นที่กลุ่มเด็กของเขตการปกครองหลงเฉวียนเข้ามาขอศึกษาต่อในสำนักศึกษา อันดับแรกก็ส่งกองทหารมากฝีมือไปรับที่ชายแดน จากนั้นก็ยิ่งเป็นฮ่องเต้ที่เสด็จมาเยือนสำนักศึกษาด้วยองค์เอง เป็นพิธีการที่ยิ่งใหญ่อย่างมาก อีกทั้งฮ่องเต้ยังปลาบปลื้มอย่างยิ่ง ประทานของให้แก่เด็กทุกคนที่มาขอศึกษาต่อ ตามหลักแล้วต่อให้คนหนุ่มจากต้าหลีที่ชื่อว่าเฉินผิงอันผู้นี้ไม่ได้เข้ามาในสำนักศึกษา ตนก็น่าจะได้เห็นเขาสักแสบสองแวบถึงจะถูก


อาจารย์ผู้เฒ่าถาม “เจ้าจะรอให้หลี่เป่าผิงกลับมาสำนักศึกษาอยู่ตรงนี้?”


เฉินผิงอันพยักหน้ารับ


แน่นอนว่าคนแรกที่เขาต้องการพบเจอในสำนักศึกษาซานหยา คือเป่าผิงน้อย


หลี่ไหว หลินโส่วอี อวี๋ลู่ เซี่ยเซี่ย เฉินผิงอันต้องไปพบอยู่แล้ว โดยเฉพาะหลี่ไหวที่อายุน้อยที่สุด


เพียงแต่พวกเขาล้วนเทียบกับแม่นางน้อยที่ชอบสวมผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ฤดูหนาวและฤดูใบไม้ผลิ มีเพียงฤดูร้อนที่สวมชุดกระโปรงสีแดงไม่ได้ เฉินผิงอันไม่เคยปฏิเสธใจที่เห็นแก่ตัวของตัวเอง เขาสนิทสนมใกล้ชิดกับเป่าผิงน้อยมากที่สุด ระหว่างเดินทางมาขอศึกษาต่อที่ต้าสุยเป็นเช่นนี้ ภายหลังตอนที่เดินทางไปเยือนภูเขาห้อยหัวเพียงลำพังก็ส่งจดหมายมาให้แค่หลี่เป่าผิงคนเดียว หลังจากนั้นก็ให้แม่นางน้อยที่เป็นผู้รับจดหมายช่วยอาจารย์อาน้อยอย่างเขานำจดหมายไปส่งต่อให้คนอื่นๆ ภาพวาดที่จิตรกรตระกูลฟ่านวาดให้บนยอดเขาของเกาะกุ้ยฮวาก็ส่งมาให้หลี่เป่าผิงหนึ่งภาพเพียงคนเดียว พวกหลี่ไหวต่างก็ไม่ได้รับ


ความใกล้ชิดห่างเหินที่แตกต่างกันเช่นนี้ หลินโส่วอี อวี๋ลู่และเซี่ยเซี่ยย่อมต้องรู้อย่างชัดเจน เพียงแต่ว่าพวกเขาไม่เคยใส่ใจก็เท่านั้น หลินโส่วอีคือหยกงามในด้านการฝึกตน อวี๋ลู่และเซี่ยเซี่ยก็ยิ่งเป็นบุคคลสำคัญของราชวงศ์สกุลหลู


ส่วนหลี่ไหวที่เก่งแต่ในผ้าห่มของตัวเองนั้น จนถึงตอนนี้ก็ยังน่าจะรู้สึกว่าไม่ว่าจะเป็นเฉินผิงอันก็ดี หรืออาเหลียงก็ช่าง ทุกคนล้วนสนิทสนมกับเขาที่สุด


อาจารย์ผู้เฒ่าโบกมือคลี่ยิ้ม “ข้าแนะนำพวกเจ้าว่าควรเอาของไปวางไว้ในหอพักแขกของสำนักศึกษาก่อนจะดีกว่า ทุกครั้งที่หลี่เป่าผิงแอบดอดออกไป ต่อให้ไปตั้งแต่เช้าตรู่ กลับมาเร็วสุดก็ยังต้องเป็นช่วงยามสนธยาแล้ว ไม่มีครั้งไหนที่เป็นข้อยกเว้น หากเจ้าจะรอนางอยู่ที่หน้าประตูนี้ อย่างน้อยก็ยังต้องรออีกสามชั่วยาม ไม่มีความจำเป็นหรอก”


เฉินผิงอันคิดแล้วก็หันหน้าไปมองพวกเผยเฉียนสามคน หากมีแค่ตนคนเดียว เขาก็ไม่ถือสาหากต้องรออยู่ที่นี่


เขาหันไปมองสุดปลายทางของถนนใหญ่แวบหนึ่ง


จูเหลี่ยนมองประเมินสิ่งปลูกสร้างของสำนักศึกษาที่อยู่ด้านหลังประตูภูเขาอยู่ตลอดเวลา สิ่งปลูกสร้างเหล่านั้นสร้างขึ้นอิงกับตัวภูเขา แม้ว่าจะเป็นการก่อสร้างใหม่ของกรมโยธาธิการต้าสุย แต่กลับตั้งใจอย่างถึงที่สุด ทำให้คนสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของความโบราณเรียบง่าย แต่กลับสง่างาม


สำนักศึกษาซานหยาที่ย้ายจากต้าหลีมาอยู่เมืองหลวงต้าสุยแห่งนี้ ในอดีตเคยเป็นหนึ่งในเจ็ดสิบสองสำนักศึกษาของลัทธิขงจื๊อในใต้หล้าไพศาล


นี่คือสำนักศึกษาลัทธิขงจื๊อแห่งแรกที่จูเหลี่ยนได้พบเห็นหลังออกมาจากพื้นที่มงคลดอกบัว


สถานที่ที่อริยะถ่ายทอดความรู้ เสียงอ่านตำราดังก้องกังวาน ชื่อเสียงระบือดังไปทั่วหล้า


ช่วงแรกเริ่มที่สำนักศึกษาซานหยาถูกสร้างขึ้นที่ต้าหลี เจ้าขุนเขาคนแรกก็เสนอให้ลำดับการศึกษา (คือขั้นตอนการเรียนรู้สี่ขั้นตอนที่จูซีเน้นย้ำ หนึ่งคือต้องมีความรู้กว้างขวาง สองซักถามเมื่อไม่เข้าใจ สามนำมาคิดใคร่ครวญพิจารณาอย่างละเอียด สี่นำความรู้มาปฏิบัติจริง) เป็นบทอธิบายความหมาย หลักๆ คือการนำความรู้มาแบ่งเป็นสี่ข้อ ซึ่งเน้นในเรื่องของการปฏิบัติจริง


ขณะที่จูเหลี่ยนทอดสายตามองประเมินสำนักศึกษา สือโหรวที่อยู่ด้านข้างไม่กล้าหอบหายใจแรงเลยแม้แต่ครั้งเดียว


แม้ว่าสือโหรวจะเข้ามาสิงอยู่ในคราบร่างเซียนเหริน สามารถต้านทานปราณแห่งความยิ่งใหญ่เที่ยงธรรมไร้รูปลักษณ์ได้ แต่ด้วยสัญชาตญาณของภูตผีวัตถุหยินก็ยังทำให้นางหวาดผวาอยู่ในใจไม่คลาย


เผยเฉียนไม่พูดไม่จา ดูเหมือนจะเคร่งเครียดยิ่งกว่าสือโหรวเสียอีก


ตอนลงจากเรือที่นครมังกรเฒ่า เผยเฉียนที่ยังตะโกนก้องอยู่ในใจว่าจะต้องไปเจอหลี่เป่าผิงดูสักหน่อย พอมาถึงประตูใหญ่เมืองหลวงต้าสุย นางกลับเริ่มใจฝ่อ


พอมาถึงหน้าประตูภูเขาของสำนักศึกษาซานหยา นางก็ยิ่งกลัดกลุ้ม


เฉินผิงอันถามด้วยรอยยิ้ม “ขอถามท่านอาจารย์ หากเข้าไปในหอพักแขกของสำนักศึกษาแล้ว พวกเราอยากจะพบเจ้าขุนเขาเหมา จะต้องให้คนไปแจ้งข่าวก่อนแล้วรอคำตอบหรือไม่?”


อาจารย์ผู้เฒ่ายิ้มกล่าว “อันที่จริงการไปแจ้งข่าวนั้นมีความหมายไม่มาก หลักๆ แล้วเป็นเพราะเจ้าขุนเขาเหมาของพวกเราไม่ชอบรับแขก หลายปีมานี้แทบจะปฏิเสธแขกและงานเลี้ยงรับรองทั้งหมด ต่อให้ใต้เท้าเจ้ากรมมาที่สำนักศึกษาก็ยังไม่แน่เสมอไปว่าจะได้พบเจ้าขุนเขาเหมา แต่คุณชายเฉินเดินทางมาไกล อีกทั้งยังเป็นคนของเขตการปกครองหลงเฉวียน คาดว่าแค่ทักทายกันก็คงได้ แม้เจ้าขุนเขาเหมาจะเข้มงวดในด้านการศึกษา แต่อันที่จริงกลับเป็นคนพูดง่าย เพียงแต่ว่าเหล่าคนมีชื่อเสียงของต้าสุยที่เดินทางมาที่นี่มักจะชอบพูดคุยเรื่องลี้ลับ ถึงได้คุยกับเจ้าขุนเขาเหมาไม่รู้เรื่อง”


เฉินผิงอันยังคงไม่ได้เดินเข้าไปในสำนักศึกษาทันที เขาถามว่า “หากข้าจำไม่ผิด ผู้ที่รับผิดชอบดูแลเรื่องความเป็นระเบียบและรักษาความปลอดภัยของเมืองหลวงต้าสุยคือที่ว่าการผู้บัญชาการทหารราบ?”


อาจารย์ผู้เฒ่าพลันกระจ่างแจ้งอยู่ในใจ ดูท่าจะยังเป็นห่วงหลี่เป่าผิง เขาจึงยิ้มตอบว่า “เป็นเช่นนี้จริง อีกทั้งบุตรชายคนเล็กของหัวหน้าขุนนางในที่ว่าการแห่งนั้น ตอนนี้ก็มาศึกษาอยู่ในสำนักศึกษาด้วย”


เฉินผิงอันโล่งอกได้อีกครั้ง


เฉินผิงอันถามถึงเรื่องหยุมหยิมเกี่ยวกับหลี่เป่าผิงอีกเล็กน้อยถึงได้บอกลาอาจารย์ผู้เฒ่า เดินเข้าไปในสำนักศึกษา


เผยเฉียนเดินด้วยฝีเท้าหนักอึ้ง โดยเฉพาะเมื่อเดินผ่านประตูมาแล้ว ระยะทางภูเขาช่วงหนึ่งเป็นเนินราบเรียบ ทำให้เวลาเดินแทบไม่ต่างจากการเดินลุยน้ำหรือลุยกองหิมะ


สำนักศึกษามีหอพักแขกที่เอาไว้รับรองญาติและผู้ปกครองของลูกศิษย์โดยเฉพาะ ปีนั้นสองสามีภรรยาหลี่เอ้อร์และบุตรสาวหลี่หลิ่วก็พักอยู่ที่เรือนพักแขกนี้


ทางสำนักศึกษาเก็บเงินเหรียญทองแดงแค่พอเป็นพิธี หอพักแขกทุกหลังเก็บเงินแค่วันละสิบเหรียญทองแดงเท่านั้น เมื่อรู้ว่าตอนนี้คนที่เข้าพักในหอมีไม่มาก เฉินผิงอันจึงจองห้องพักติดกันสี่ห้องรวด


ต่างคนต่างไปเก็บสัมภาระไว้ในห้อง แล้วเผยเฉียนก็มาคัดหนังสือที่ห้องของเฉินผิงอัน


เฉินผิงอันปลดหีบไม้ไผ่ลง แม้แต่ ‘เจี้ยนเซียน’ อาวุธกึ่งเซียนและน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่ห้อยไว้ตรงเอวก็ปลดลงมาพร้อมกันด้วย


จูเหลี่ยนมาถามว่าจะออกไปเดินดูสำนักศึกษาด้วยกันหรือไม่ เฉินผิงอันบอกว่ายังไม่ไป เผยเฉียนกำลังคัดตัวอักษรก็ยิ่งไม่มีทางสนใจจูเหลี่ยน


จูเหลี่ยนจึงไปเคาะห้องของสือโหรว สือโหรวที่ครั่นเนื้อครั่นตัวอารมณ์ไม่ใคร่จะดี จูเหลี่ยนยังมาพูดจาประหลาดที่ในความสุภาพแฝงไว้ด้วยความหยาบโลนอยู่นอกห้อง นางก็เลยตบรางวัลให้จูเหลี่ยนด้วยคำว่าไสหัวไป


จูเหลี่ยนจึงได้แต่ไปเดินเล่นในสำนักศึกษาเพียงลำพัง


……


หลี่เป่าผิงอาจจะกลายเป็นคนที่เข้าใจเมืองหลวงแห่งนี้ได้ดียิ่งกว่าชาวบ้านที่เกิดและเติบโตในเมืองหลวงเสียอีก


นางเคยไปเยือนประตูเทียนฉางทางทิศใต้ที่ถูกชาวบ้านเรียกเล่นๆ ว่าประตูธัญพืช ธัญพืชที่ส่งมาทางน้ำล้วนต้องผ่านการตรวจสอบจากขุนนางกรมครัวเรือนของที่นั่นก่อนแล้วค่อยถูกเก็บเข้าคลังเสบียง เป็นสถานที่รวบรวมธัญพืชจากทั่วสารทิศ นางเคยนั่งอยู่ที่ท่าเรือแห่งนั้นเกือบครึ่งวัน มองดูพวกขุนนางและเหล่าเสมียนทำงานกันง่วน รวมไปถึงคนแบกหามที่เหงื่อแตกท่วมตัว นางยังรู้ว่าที่นั่นมีศาลเทพจิ้งจอกที่ควันธูปโชติช่วงอยู่แห่งหนึ่ง แม้ไม่ใช่ศาลที่มาจากการสืบทอดดั้งเดิมซึ่งได้รับการยอมรับจากกรมพิธีการของทางราชสำนัก แต่ก็ไม่ใช่ศาลเถื่อน ความเป็นมาแปลกประหลาด ด้านในตั้งบูชาหางจิ้งจอกที่มีแสงแวววาวเหมือนใหม่ไว้หางหนึ่ง มีหญิงชราที่สติไม่สมประกอบคอยขายยันต์น้ำด้วยท่าทางลับๆ ล่อๆ และยังเคยได้ยินเรื่องของอาจารย์จับกระดูกที่มาจากด่านชายแดนตะวันตกของต้าสุย ผู้เฒ่าและหญิงชรามักจะทะเลาะกันเป็นประจำ

 

 

 


บทที่ 402.2 อาจารย์อาน้อยกับแม่นางน้อย

 

นางเคยไปงานวัดของวัดฉางฝู ที่นั่นมีผู้คนคลาคล่ำ นางอยากได้งูกระบอกชนิดหนึ่งที่ทำมาจากเขาวัวมาก คนมีเงินที่มาที่นี่มีเยอะ แม้แต่ข้ารับใช้ที่ติดตามเหล่าลูกหลานชนชั้นสูงซึ่งมองดูแล้วเย่อหยิ่งกว่าเจ้านายก็ยังชอบสวมเสื้อหนังชวนสู่ (หนูชนิดหนึ่ง) ย้อมดำ สวมรอยเป็นว่าสวมเสื้อคลุมหนังจิ้งจอกหนังเสือดาว


หลี่เป่าผิงยังเคยไปเตร่แถววังหลวง แล้วก็ไปนั่งอยู่ที่นั่นนานถึงครึ่งวันบ่าย ถึงได้รู้ว่าที่แท้มีคนหามเกี้ยวและหญิงทอผ้าจำนวนมาก คนเหล่านี้ไม่ใช่คนในวัง แต่ก็สามารถเข้าออกวังหลวงได้เหมือนกัน เพียงแต่ว่าต้องมีป้ายพกไว้ที่เอว ในบรรดานั้นก็มีช่างทำกระดาษมือจำนวนไม่น้อยที่หอวัฒนธรรมซึ่งเป็นผู้รวบรวม แก้ไขซ่อมแซมหนังสือประวัติศาสตร์ของแต่ละยุคสมัยจ้างมา


จากนั้นนางก็วนไปยังประตูหลังของวังหลวงที่อยู่ทางทิศเหนือ ที่นั่นเรียกว่าประตูตี้จิ่ว จำนวนครั้งที่หลี่เป่าผิงไปเยือนที่นั่นจะมากกว่า เพราะที่นั่นคึกคักมากกว่า เคยไปที่ร้านขายเครื่องเงินเบ็ดเตล็ดแห่งหนึ่ง แล้วก็เคยได้เห็นคลื่นมรสุมครั้งหนึ่ง เป็นเหตุการณ์มือปราบจับโจรอย่างดุดัน เสียงดังเอะอะเรียกสายตาผู้คน ภายหลังนางถามจากเถ้าแก่ร้านที่อยู่ใกล้กันถึงได้รู้ว่าที่แท้ร้านที่ทำการค้าสกปรก แต่กลับมีเงินทองไหลมาเทมาแห่งนั้นคือรังที่รับซื้อของโจร ของที่ขายส่วนใหญ่ล้วนเป็นของในวังที่คนในวังหลวงต้าสุยขโมยออกมาโดยการซ่อนไว้ในพวกถุงหอม แม้แต่แผ่นดีบุกที่ใช้ซ่อมแซมร่องน้ำของตำหนักก็ยังถูกขโมยมา เศษวัสดุที่เหลือจากการซ่อมแซมพระราชวังประจำปีก็ถูกพวกพ่อค้านอกวังจับจ้องตาเป็นมันเช่นกัน การรายงานของเสียหายของสูญหายจำนวนมากของฝ่ายก่อสร้างก็ยิ่งทำกำไรได้เป็นกอบเป็นกำ โดยเฉพาะฝ่ายทำเครื่องทองเครื่องหยกและฝ่ายติดประดับที่เอาของแทรกปะปนออกมานอกวัง แล้วนำมาแปรเปลี่ยนเป็นเงินทองได้อย่างง่ายดาย


ตอนนั้นหลี่เป่าผิงไม่ค่อยเข้าใจนัก อยู่ภายใต้เปลือกตาของฮ่องเต้ขนาดนี้ยังมีคนกล้าขโมยของของเชื้อพระวงศ์ออกมาได้อย่างไร เถ้าแก่ผู้เฒ่าที่สนิทสนมกับนางจึงยิ้มอธิบายว่า นี่เรียกว่าการค้าตัดหัวมีคนทำ การค้าขาดทุนไม่มีคนทำ


หลี่เป่าผิงยังไปที่สะพานซิ่วอีซึ่งห่างจากประตูตี้จิ่วไม่ไกล ที่นั่นมีทะเลสาบใหญ่ เพียงแต่ว่าถูกพวกกำแพงสูงของจวนอ๋อง จวนขุนนางชั้นสูงขวางกั้นเอาไว้ ที่ว่าการผู้บัญชาการทหารราบก็ตั้งอยู่ในตรอกแห่งหนึ่งที่มีชื่อว่าเตียวเม่า หลี่เป่าผิงกินขนมพลางเดินกลับไปกลับมาอยู่หลายเที่ยว เพราะมีเพื่อนร่วมชั้นเรียนที่นางไม่ค่อยชอบมักคุยโวว่าบิดาเขาที่ทำงานอยู่ในที่ว่าการสวมหมวกขุนนางใหญ่ที่สุด ต่อให้เขาปีนขึ้นไปบนตัวสิงโตหินของที่นั่นแล้วฉี่รดมันก็ยังไม่มีใครกล้ามายุ่ง


หลี่เป่าผิงยังไปที่ตรอกจงกวานที่อยู่ทางใต้ของเมือง คือสถานที่ที่ขันทีวัยชราและนางกำนัลผมขาวของวังหลวงมาอยู่อาศัยในช่วงบั้นปลายชีวิตหลังออกจากวัง ที่นั่นมีวัดวาอารามเยอะมาก เพียงแต่ขนาดไม่ใหญ่ พวกขันทีและนางกำนัลเหล่านั้นล้วนพากันไปทำบุญโดยไม่เสียดายเรี่ยวแรงที่เหลืออยู่ไม่มากของตัวเอง อีกทั้งยังมีความจริงใจอย่างถึงที่สุด


ดังนั้นหลี่เป่าผิงจึงมักจะเห็นคนแก่หลังค่อมมีข้ารับใช้คอยประคอง หรือไม่ก็คนแก่ถือไม้เท้าเดินเพียงลำพังไปจุดธูปที่วัดวาอารามเหล่านั้น


เดินเตร็ดเตร่อยู่หลายครั้ง หลี่เป่าผิงจึงรู้ว่าที่แท้นางกำนัลที่มีประสบการณ์มากที่สุดจะถูกเรียกขานว่าเหล่าเลาฝ่ายใน คือนางกำนัลอายุมากที่ปรนนิบัติรับใช้ฮ่องเต้ฮองเฮา นางกำนัลวัยชราที่ทุกวันมีหน้าที่หวีพระเกศาให้กับฮ่องเต้จะมีตำแหน่งสูงศักดิ์ที่สุด และยังมีบางคนที่ได้รับยศเป็น ‘ฟูเหริน’


ทางทิศตะวันตกของเมืองหลวงมีตลาดที่ใหญ่ที่สุดของต้าสุย ร้านค้าเยอะที่สุด รถม้าสัญจรขวักไขว่ ผู้คนเนืองแน่น เงินก็ไหลสะพัด หนึ่งในนั้นก็มีร้านหนังสือร้านหนึ่งที่หลี่เป่าผิงชอบไปเยือนที่สุด พวกเถ้าแก่ร้านหนังสือที่ใจกล้าหน่อยยังแอบขายหนังสือบางส่วนที่หากอิงตามกฎหมายของต้าสุยแล้วจะไม่สามารถนำออกไปจากอาณาเขตของแคว้นได้ พวกทูตของแคว้นใต้อาณัติมักจะส่งข้ารับใช้มาซื้อตำราเหล่านี้เป็นการส่วนตัว แต่หากโชคไม่ดีถูกมือปราบที่ลาดตระเวนของทางตลาดจับได้ก็จะถูกหิ้วตัวไปกินข้าวแดงที่ที่ว่าการ


ในสามปีมานี้ แม่นางน้อยที่ไม่ว่าจะสวมชุดผ้าฝ้ายบุนวมหรือชุดอาภรณ์ธรรมดาก็ล้วนเป็นสีแดงสดเคยช่วยเหลือผู้คนอยู่หลายครั้ง ไม่ว่าจะประคองผู้เฒ่าขากะเผลกไปจุดธูปไหว้พระ ช่วยปีนต้นไม้ไปเก็บว่าวมาให้เด็กที่ร้องไห้จ้าอยู่ใต้ต้นไม้


ช่วยผู้เฒ่าสวมชุดเก่าปอนเข็นรถเทียมวัวบรรจุถ่านไม้ที่ล้อจมอยู่ท่ามกลางดินหรือไม่ก็หิมะ ดูผู้เฒ่าเล่นหมากล้อมตรงหัวมุมถนน เขย่งปลายเท้าถามราคาของตกแต่งห้องหนังสือในร้านขายของโบราณหลายแห่ง นั่งบนขั้นบันไดด้านล่างสะพาน ฟังพวกคนเล่านิทานเล่าเรื่องราวต่างๆ เดินสวนไหล่กับเหล่าพ่อค้าหาบเร่ที่ร้องเรียกลูกค้าอยู่ตามตรอกน้อยใหญ่นับครั้งไม่ถ้วน และยังเคยช่วยแยกพวกเด็กๆ ที่ต่อยตีกันมะรุมมะตุ้ม…


แม่นางน้อยเคยได้ยินเสียงนกหวีดนกพิราบ (คือนกหวีดชนิดหนึ่งที่ผูกไว้ตรงหางนกพิราบ เวลาที่นกพิราบบินจะเกิดเสียงดัง) ที่ดังผ่านท้องฟ้าเหนือเมืองหลวง แม่นางน้อยเคยเห็นว่าวกระดาษงดงามที่ไหวโยน แม่นางน้อยเคยกินเกี๊ยวน้ำที่อร่อยที่สุดในใต้หล้า แม่นางน้อยเคยหลบฝนอยู่ใต้ชายคา เคยหลบแดดร้อนแรงอยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่ เคยเป่าลมใส่มือถูเข้าหากันเพื่อให้ร่างกายอุ่นขณะที่เดินอยู่ท่ามกลางลมหิมะ…


วันนี้หลี่เป่าผิงไปที่ร้านหนังสืออีกครั้ง ระหว่างทางไปร้านนางแวะกินมื้อเที่ยงที่ร้านอาหารเล็กๆ แห่งหนึ่งที่อาหารอร่อยและราคาถูก ขากลับก็เปลี่ยนมากินร้านบะหมี่ในตรอกเล็กที่สูตรการทำถ่ายทอดมาตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษ เถ้าแก่และเถ้าแก่เนี้ยะต่างก็คุ้นเคยกับนางเป็นอย่างดี มักจะบอกว่าจะคิดเงินราคาถูก หรือไม่ก็ไม่คิดเงินเลย แต่หลี่เป่าผิงกลับไม่ยอม บอกว่าเอาไว้คราวหน้าค่อยลดให้ก็ได้ แต่ว่าคราวหน้าในอีกๆ หลายครั้งต่อจากนั้น ร้านอาหารทั้งสองต่างก็ไม่เคยได้รับโอกาสนี้ นานวันเข้าจึงคิดแค่ว่าแม่นางน้อยแค่พูดไปตามมารยาท ไม่อยากให้กิจการเล็กๆ ที่เดิมทีก็ได้เงินน้อยของพวกเขาขาดเงินไม่กี่เหรียญนั้นไป แต่อันที่จริงพวกเขาอยากหัวเราะมาก มาเจอกับลูกค้าที่ทั้งน่ารักและรู้ความเช่นนี้ ต่อให้พวกเขาจะหาเงินได้ยากขนาดไหนก็ไม่มีทางถือสากับเงินเล็กๆ น้อยๆ แค่นั้น


ท่ามกลางแสงสายัณห์


เงาร่างที่พุ่งฉิวของหลี่เป่าผิงมาปรากฏตัวอยู่บนถนนใหญ่เส้นที่อยู่นอกประตูของสำนักศึกษาซานหยา


แม่นางน้อยรู้สึกว่าที่ในตำรากล่าวไว้ว่ากาลเวลาผ่านไปเร็วดุจกระสวย ดุจควบม้าขาวผ่านร่องแคบ ดูเหมือนจะไม่ค่อยถูกสักเท่าไหร่ ทำไมพอมาเกิดกับนาง เวลาถึงได้ผ่านไปอย่างเชื่องช้านัก ทำให้คนร้อนใจจะตายอยู่แล้ว?


แม่นางน้อยผู้สวมชุดกระโปรงสีแดงที่ดวงตามองไปแต่ทิศไกลเอ่ยทักทายอาจารย์ผู้เฒ่าที่เฝ้าประตูอย่างรวดเร็วแล้วก็พุ่งตัวผ่านไป


อาจารย์ผู้เฒ่าที่กำลังงีบหลับนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ จึงหันไปตะโกนกับแผ่นหลังนั้น “เป่าผิงน้อย เจ้ากลับมานี่!”


หลี่เป่าผิงหยุดชะงัก นางเหวี่ยงมือสองข้าง เท้าหนึ่งก้าวออกไป เท้าหนึ่งปักตรึงอยู่ที่เดิม หันหน้ากลับมามองอาจารย์ผู้เฒ่าที่กำลังกวักมือเรียกตนแล้วก็วิ่งถอยหลัง แถมนางยังวิ่งได้เร็วมากอีกด้วย…


หลี่เป่าผิงวิ่งกลับมาที่หน้าประตู ยืนนิ่งแล้วก็ถามว่า “อาจารย์เหลียง มีธุระอะไรหรือ?”


อาจารย์แซ่เหลียงถามอย่างใคร่รู้ “เจ้าไม่ได้เจอคนรู้จักระหว่างทางหรือ?”


หลี่เป่าผิงเบิกตากว้าง ส่ายหน้าพูด “ไม่เจอ”


อาจารย์ผู้เฒ่ายิ้มถาม “ถ้าอย่างนั้นวันนี้เจ้าไม่ได้เลี้ยวมาทางถนนป๋ายเหมาสินะ?”


หลี่เป่าผิงพยักหน้า “ใช่แล้ว ทำไมหรือ?”


อาจารย์ผู้เฒ่ายิ้มตาหยีถาม “เป่าผิง ก่อนจะตอบคำถามของเจ้า เจ้าตอบคำถามของข้าก่อน เจ้าคิดว่าความรู้ของข้ายิ่งใหญ่หรือไม่?”


หลี่เป่าผิงครุ่นคิด “น้อยกว่าเจ้าขุนเขาเหมาเล็กน้อย”


อาจารย์ผู้เฒ่าพลันสะอึกอึ้งไปกับคำตอบที่จริงใจของแม่นางน้อย


แต่หากเปลี่ยนมุมมองความคิดเสียใหม่ แม่นางน้อยเอาตนไปเปรียบเทียบกับอริยะลัทธิขงจื๊อ นี่ก็ถือว่าเป็นประโยคน่าฟังไม่ใช่หรือ?


ดังนั้นอารมณ์ของอาจารย์ผู้เฒ่าจึงไม่เลว บอกกับหลี่เป่าผิงว่ามีคนหนุ่มคนหนึ่งมาหานางที่สำนักศึกษา ก่อนหน้านี้มายืนอยู่หน้าประตูนานมาก ภายหลังเอาสัมภาระไปเก็บไว้ในหอพักแขก แล้วก็มาที่นี่อีกสองรอบ รอบสุดท้ายคือเมื่อครึ่งชั่วยามก่อน มาแล้วก็ไม่จากไปอีก


อาจารย์ผู้เฒ่ายิ้มพูด “ข้าเลยโน้มน้าวเขาว่าไม่ต้องร้อนใจไป เป่าผิงน้อยของพวกเราคุ้นเคยกับเมืองหลวงไม่ต่างจากบ้านของตัวเอง ไม่มีทางหลงทางได้แน่ แต่คนผู้นั้นก็ยังเดินกลับไปกลับมาอยู่บนถนนเส้นนี้ ภายหลังข้าก็ร้อนใจแทนเขาขึ้นมาบ้างแล้ว จึงบอกเขาว่าโดยทั่วไปแล้วเจ้าจะเลี้ยวเข้ามาทางตรอกป๋ายเหมา คาดว่าเขาน่าจะรอเจ้าอยู่ที่ตรอกนั่น พอไม่เห็นเจ้าก็เลยเดินขยับไปข้างหน้าอีกหน่อย คงคิดอยากจะพบเจ้าให้เร็วขึ้นกระมัง ดังนั้นพวกเจ้าสองคนถึงได้คลาดกัน ไม่ต้องรีบร้อน เจ้ารออยู่ที่นี่เถอะ รับรองว่าอีกไม่นานเขาก็กลับมาแล้ว”


หลี่เป่าผิงพลันหันขวับแล้ววิ่งตะบึงจากไป


อาจารย์ผู้เฒ่ากล่าวอย่างร้อนใจ “เป่าผิงน้อย เจ้าจะไปหาเขาที่ถนนป๋ายเหมาหรือ? ระวังว่าเพื่อตามหาเจ้า เขาจะออกห่างจากถนนป๋ายเหมาไปไกลแล้ว แล้วถ้าเขาไม่ได้ย้อนกลับมาที่เดิม พวกเจ้าจะไม่คลาดกันอีกหรือ? ทำไม พวกเจ้าคิดจะเล่นซ่อนหากันหรือไง?”


หลี่เป่าผิงร้อนใจเหมือนมดในกระทะร้อน เดินวนไปวนมาอยู่ที่เดิม


นี่เป็นภาพที่เหล่าอาจารย์ในสำนักศึกษาไม่เคยเห็นมาก่อน


แต่แล้วหลี่เป่าผิงที่น้ำตาคลอเจียนจะหยดก็พลันตะโกนขึ้นเสียงดังว่า “อาจารย์อาน้อย!”


เงาร่างสวมชุดขาวของคนผู้หนึ่งประหนึ่งรุ้งยาวสีขาวเส้นหนึ่งที่เลี้ยวจากถนนป๋ายเหมาเข้ามาในคลองจักษุ จากนั้นก็ใช้ความเร็วที่มากกว่าเดิมพุ่งทะยานมาถึงในเสี้ยววินาที


หลังจากที่เรือนกายที่ล่องลอยของคนหนุ่มผู้นั้นหยุดยืนนิ่งแล้ว ชายแขนเสื้อใหญ่สีขาวหิมะสองข้างของเขายังคงโบกสะบัดประหนึ่งเจ๋อเซียนผู้สง่างาม


เขามายืนอยู่ตรงหน้าแม่นางน้อยชุดแดง คลี่ยิ้มกว้างสดใส พูดเบาๆ ว่า “อาจารย์อาน้อยมาแล้ว”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)