กระบี่จงมา 400.3-401.2
บทที่ 400.3 ของขวัญ
สังเกตเห็นว่าจูเหลี่ยนมองมาทางตน
ศึกที่สวนสิงโต นอกจากเฉินผิงอันจะใช้ทองวาดยันต์แล้ว ยังควักยันต์ระดับสูงที่ล้ำค่าออกไปอีกปึกใหญ่
เฉินผิงอันยิ้มกล่าวว่า “เรื่องราวเบื้องลึกเบื้องหลัง เมื่อไปถึงภูเขาลั่วพั่วเขตการปกครองหลงเฉวียน ถึงเวลานั้นค่อยเล่าให้เจ้ากับเผยเฉียนฟัง สรุปก็คือนี่น่าจะเป็นเหตุผลที่ข้าไม่ได้สังหารหลี่เป่าเจิน”
จูเหลี่ยนไม่ถามให้มากความอีก เขาถูมือกล่าวว่า “นายน้อย ให้โอกาสข้าได้ป้อนหมัดหน่อยไหม?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ ลุกขึ้นยืน “คราวนี้เจ้าลงมือหนักๆ หน่อย ไม่ต้องกังวลว่าข้าจะรับไหวหรือไม่ เจ้าจูเหลี่ยนไม่รู้หรอกว่าปีนั้นข้าถูกคนป้อนหมัดอย่างไร หากได้เห็นก็จะรู้ว่าตอนที่เจิ้งต้าเฟิงป้อนหมัดให้พวกเจ้าในร้านยานครมังกรเฒ่าก็ช่าง…อืม หากอิงตามคำพูดของเจ้าจูเหลี่ยนก็คือบุรุษวาดคิ้วให้สตรี วิธีการอ่อนโยนนุ่มนวล”
จูเหลี่ยนยิ้มกล่าว “ก็นั่นน่ะสิ ตอนนั้นบ่าวเฒ่าก็รู้สึกแล้วว่าไม่สาแก่ใจมากพอ เพียงแต่ว่ามีสุยโย่วเปียนอยู่ด้วย บ่าวเฒ่าจึงไม่อยากพูดอะไรมาก”
เผยเฉียนคัดตัวอักษรเสร็จแล้ว
เฉินผิงอันกล่าว “กลับไปที่ห้องตัวเอง ไม่อย่างนั้นถึงเวลานั้นเจ้าต้องตกใจมากแน่”
เผยเฉียนเอ่ยรับรอง “ไม่มีทาง!”
เฉินผิงอันหยิบยันต์ขจัดสิ่งสกปรกแผ่นหนึ่งออกมาแปะไว้ในห้องก่อน
ผลคือพอผ่านไปหนึ่งก้านธูป เผยเฉียนที่มองคนทั้งคู่ประมือกันก็เหงื่อแตกเต็มไปทั้งศีรษะ อกสั่นขวัญผวาสุดขีด ภายหลังจึงวิ่งไปตรงมุมห้อง พลิกเปิดหีบไม้ไผ่ใบนั้นของเฉินผิงอัน หยิบเอากล่องเก็บสมบัติของตนออกมา
หากนางเองก็ต้องฝึกวรยุทธ์ด้วยวิชาหมัดเช่นนี้กว่าจะได้กลายเป็นยอดฝีมือล้ำโลกตามความคิดของตน เผยเฉียนจะต้องแสร้งทำเป็นว่าวรยุทธ์ไม่มีอยู่จริง ยุทธภพในใต้หล้าอะไรที่กล่าวถึงในตำรา แค่เปิดหนังสืออ่านเอาก็พอแล้ว
ชุดคลุมอาคมจินหลี่ที่เฉินผิงอันสวมไว้บนร่างสามารถลดปัญหายุ่งยากไปได้มาก
เขากลับมานั่งข้างโต๊ะพร้อมกับจูเหลี่ยน หยิบเอาเหล้าอู้ซงกาหนึ่งที่ซื้อมาจากเมืองหลวงแคว้นชิงหลวนออกมา แล้วรินให้จูเหลี่ยนหนึ่งถ้วย
จูเหลี่ยนกระดกดื่มรวดเดียวหมด ไม่ต้องให้เฉินผิงอันรินเหล้าให้ก็หยิบกาเหล้ามาเทเหล้าใส่ถ้วยให้ตัวเองจนเต็ม
เผยเฉียนเอ่ยเตือน “พ่อครัวเฒ่าเจ้าดื่มให้น้อยๆ ลงหน่อย ดื่มเหล้ามากไปทำร้ายร่างกาย อีกอย่างเหล้าอู้ซงหนึ่งกาก็ตั้งสามตำลึงเชียวนะ”
จูเหลี่ยนเริ่มดื่มช้าลง ถามเบาๆ ว่า “คุณชายคิดจะฝ่าคอขวดเลื่อนสู่ขอบเขตหกตอนไหน?”
ในใจเฉินผิงอันตัดสินใจได้นานแล้ว เขาตอบว่า “รออีกหน่อยเถอะ มีโชควาสนาหนึ่งที่สามารถลองช่วงชิงมาได้”
เฉินผิงอันไม่ได้พูดอย่างละเอียดว่าโชควาสนาที่ว่านั้นคืออะไร เพราะถึงอย่างไรคำว่า ‘แข็งแกร่งที่สุด’ ก็เป็นมายาเลื่อนลอยยิ่งกว่าชะตาบู๊ของหนึ่งแคว้นที่สามารถจำแลงออกมาเป็นภาพปรากฎการณ์เสียอีก
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “หากจะให้ข้าไปตามพื้นที่ลับ ถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลที่ปริแตกพังทลายไปแล้วเพื่อช่วงชิงโชควาสนา แย่งสมบัติอาคม หวังว่าจะพบเจอกับเซียนหรือมรดกตกทอดรูปแบบต่างๆ ข้าไม่ค่อยกล้าเท่าใดนัก”
แต่หากจะให้อาศัยรากฐานของวิถีวรยุทธ์ที่มาจากการสั่งสมหมัดแล้วหมัดเล่า เรื่องแบบนี้เฉินผิงอันรู้สึกว่าลองทำดูก็ไม่มีปัญหา
แต่เฉินผิงอันเองก็รู้ว่าขอแค่เฉาสือยังเป็นขอบเขตห้า อย่าว่าแต่เขาเฉินผิงอันเลย ใครก็ไม่มีความหวังทั้งนั้น
ขนาดผู้เฒ่าเซียนกระบี่ใหญ่ก็ยังเคยพูดกับปากตัวเองว่า การฝึกวรยุทธ์และการอบรมบ่มเพาะตัวเองของเฉาสือทิ้งห่างจากผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเดียวกันไปมากเกินไป ทุกขอบเขตของเขาล้วนมีแต่จะเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก
ตอนนั้นหนิงเหยาไม่ใคร่จะยินยอมนัก บอกว่าต่อให้อาจารย์ของเฉาสือคืออันดับหนึ่งบนวิถีวรยุทธ์ของใต้หล้าทั้งสี่ อีกทั้งโชคชะตาบู๊ยังสามารถจำแลงออกมาเป็นรูปธรรม แต่ฟ้าดินกว้างใหญ่ ทุกวันล้วนมีเรื่องที่ไม่อาจคาดคิดเกิดขึ้นได้เสมอ เฉาสือจะเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในแต่ละขอบเขตไปทุกครั้งได้อย่างไร? หรือว่าบรรพบุรุษแต่ละรุ่นของเขาเฉาสือเป็นคนเปิดร้าน ครอบครองกิจการใหญ่เพียงลำพัง ผูกขาดโชคชะตาบู๊ของใต้หล้าไปแล้ว?
ตอนนั้นเฉินชิงตูพูดประโยคหนึ่งที่ทำให้เฉินผิงอันจดจำได้อย่างลึกซึ้ง
‘เฉาสือก็แข็งแกร่งเช่นนี้แหละ ตั้งแต่ฐานกระดูก พรสวรรค์ไปจนถึงนิสัย หรือแม้แต่โชคชะตาบู๊ก็ล้วนเป็นเช่นนี้ทั้งหมด ไม่มีเหตุผลให้ต้องพูดกันอีก’
ตอนนั้นเฉินผิงอันเพิ่งจะแพ้ให้เฉาสือสามครั้งติดต่อกัน ตัวเขาเองไม่ได้รู้สึกอะไร แต่หนิงเหยากลับโกรธไม่น้อย
เห็นหนิงเหยามีท่าทางเช่นนั้น เฉินผิงอันก็อารมณ์ดีอย่างมาก ผลคือพอหนิงเหยาเห็นเขาเป็นแบบนั้นก็ยิ่งโมโหเข้าไปใหญ่
คราวนี้จูเหลี่ยนหลุดปากพูดออกมาว่า “นายน้อยคือบุคคลที่มีโชควาสนายิ่งใหญ่เทียมฟ้า มีหรือจะเข้าไปในภูเขาสมบัติแล้วกลับมามือเปล่า ตอนนี้จะดีจะชั่วบ่าวเฒ่าก็เป็นขอบเขตร่างทอง พอจะเข้าใจพื้นที่ลับถ้ำสถิตที่เกิดขึ้นหลังจากพื้นที่มงคลถ้ำสวรรค์ปริแตกอยู่บ้าง รู้ดีว่าผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนเข้าไปไม่ได้ พอเข้าไปแล้วพื้นที่ลับจะไม่มั่นคง ง่ายที่จะปริแตก ง่ายที่จะถูกแม่น้ำแห่งกาลเวลาไร้ระเบียบเหล่านั้นห่อหุ้มเอาไว้ ร้ายแรงหน่อยก็ตบะถูกสลาย เมื่อไม่มีผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนคอยจับจ้อง อีกทั้งยังมีบ่าวเฒ่าให้การช่วยเหลือ ตอนนี้นายน้อยก็สามารถลองไปเสี่ยงดวงดูได้แล้ว คราวหน้าหากพบเจอสถานที่ทำนองนี้อีก ไม่สู้นายน้อยพาบ่าวเฒ่าไปด้วย ถึงอย่างไรพวกเราก็เป็นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัว ไม่มีปัญหาอะไร ไม่ต้องถูกสถานที่เช่นนี้พันธนาการ”
เฉินผิงอันใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก็พยักหน้ากล่าวว่า “มีเหตุผล เป็นข้าเคยชินที่จะหลีกเลี่ยงสถานที่พวกนี้ ตอนนี้ลองมานึกดูแล้วก็ควรต้องปรับเปลี่ยนความคิดในอดีตสักหน่อย”
เดิมทีพอเผยเฉียนได้ยินคำว่า ‘โชควาสนายิ่งใหญ่เทียมฟ้า’ ก็ขมวดคิ้วขนคิ้วตั้งชันทันที เพียงแต่พอได้ยินคำพูดในประโยคหลังของจูเหลี่ยน หัวคิ้วถึงได้คลายออก
จูเหลี่ยนขบคิดใคร่ครวญ
จากนั้นกาลเวลาบนเรือข้ามฟากตระกูลเซียนก็ผ่านไปอย่างเชื่องช้า
สถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งที่เป็นสถานที่แนะนำของตระกูลเซียนบนภูเขาไม่อาจสร้างท่าเรือตระกูลเซียนที่ต้องเผาผลาญเงินเทพเซียนไปอย่างไม่มีหยุดยั้งได้ ดังนั้นเรือข้ามฟากลำนี้จึงไม่สามารถ ‘จอดเทียบท่า’ แต่ก็ได้เตรียมเรือตระกูลเซียนที่สามารถล่องลอยกลางอากาศทะยานไปตามสายลมพาผู้โดยสารบนเรือข้ามฟากที่มาถึงจุดหมายไปส่งยังท่าเรือเล็กๆ บนภูเขาไว้เรียบร้อยแล้ว ตอนที่ผ่านแท่นตกปลาที่มีชื่อเสียงซึ่งตั้งอยู่บนพื้นที่ทางเหนือของแคว้นชิงหลวน คนที่ลงจากเรือมีมากเป็นพิเศษ เฉินผิงอันกับพวกเผยเฉียนจูเหลี่ยนมาที่หัวเรือ เห็นว่าระหว่างภูเขาใหญ่สูงตระหง่านสองลูกมีทะเลเมฆล่องลอยผ่านไปประหนึ่งธารน้ำไหลริน แท่นตกปลาขนาดใหญ่สองฝั่งซ้ายขวาที่ตั้งคุมเชิงกันอยู่นั้นสร้างขึ้นบนยอดเขาใหญ่ริมฝั่งทะเลเมฆ บางครั้งก็มองเห็นนกหลากสีสยายปีกโบยบินแหวกทะเลเมฆ วาดตัวเป็นเส้นโค้งแล้วผลุบจมหายไปในทะเลเมฆอีกครั้ง
เผยเฉียนมองอย่างเพลิดเพลิน เจ็บใจก็แต่ตนไม่สามารถบังคับลมเดินไปได้ ไม่อย่างนั้นเสียงสวบหนึ่งที นางก็คงพุ่งพรวดไป ใช้ไม้เท้าเดินป่าที่ถือไว้ในมือทุบตีไปบนตัวนกและปลาบินเหล่านั้น จากนั้นค่อยจับพวกมันกลับมาที่เรือ น่าจะเอาไปขายได้หลายตัง ไม่แน่ว่าวิ่งไปกลับหลายๆ รอบ นางก็อาจจะซื้อกล่องเก็บสมบัติสักใบหนึ่ง หรือแม้แต่ชั้นเก็บสมบัติก็อาจจะซื้อได้
จูเหลี่ยนคือผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตแปด แต่ตลอดทางที่ติดตามเฉินผิงอันมานี้ เขาเอาแต่เดินเท้าตลอดเวลา ไม่เคยมีประสบการณ์ทะยานลมเดินทางไกลเลยแม้แต่ครั้งเดียว
เฉินผิงอันถามอย่างประหลาดใจ “จูเหลี่ยน เจ้าไม่คิดอะไรบ้างหรือ? ไม่รู้สึกผิดต่อขอบเขตของตัวเองหรือไร?”
จูเหลี่ยนส่ายหน้ายิ้มตอบ “นายน้อย ตอนที่บ่าวเฒ่าอยู่ที่บ้านเกิดก็เอียนกับสายตาตกอกตกใจของคนรอบข้างมากพอแล้ว ไม่มีอารมณ์จะทำเรื่องไร้สาระเช่นนั้นจริงๆ”
สือโหรวที่อยู่ด้านข้างชมทัศนียภาพเงียบๆ
สำหรับความคิดที่ผิดแผกไปจากคนอื่นของจูเหลี่ยน นางไม่รู้สึกประหลาดใจเพราะเคยชินเสียแล้ว
……
ในขณะที่พวกเฉินผิงอันชมทิวทัศน์กันอยู่นั้น
เหวยเลี่ยงนั่งอยู่ข้างโต๊ะหนังสือในห้อง กำลังเขียนอะไรบางอย่าง ข้างมือวางกล่องไม้จื่อถานโบราณที่ส่งกลิ่นหอมไว้ใบหนึ่ง ด้านในบรรจุมีดตัดกระดาษที่เป็น ‘อาวุธของวิญญูชน’ ไว้จนเต็ม
เขาหยิบมีดแกะสลักไม้ไผ่เหลืองเล่มหนึ่งออกมาจากในนั้น เอามาทำเป็นที่ทับกระดาษชั่วคราว
แม้ว่าเหวยเลี่ยงจะออกจากเมืองหลวงโดยใช้เหตุผลว่าจะไปท่องเที่ยวเพื่อผ่อนคลายจิตใจ แต่อันที่จริงตลอดทางมานี้เขากลับทำเรื่องเรื่องหนึ่งอยู่ตลอดเวลา
เกี่ยวกับแคว้นชิงหลวน จะบอกว่าเรื่องใหญ่ก็ไม่ใหญ่ เรื่องเล็กก็ไม่เล็ก
เขากำลังช่วยคนผู้หนึ่งรวบรวมระดับขั้นของเซียนซือเทียบวงศ์ตระกูลในแจกันสมบัติทวีป ซึ่งจำเป็นต้องจับจุดสำคัญแล้วชี้สาระสำคัญออกมา
เหวยเลี่ยงกำหนดกรอบของเค้าโครงตั้งต้นไว้เป็นระบบเก้าขั้น
ขั้นแรก มีเพียงขอบเขตเซียนเหรินซึ่งเป็นหนึ่งในห้าขอบเขตบนของแจกันสมบัติทวีปเท่านั้นที่สามารถเลื่อนขั้นมาอยู่ในลำดับนี้ได้
ขั้นสอง ขอบเขตหยกดิบของห้าขอบเขตบน หรือเป็นผู้ที่สร้างคุณความชอบดับแคว้นให้แก่กองทัพม้าเหล็กของต้าหลีที่กรีฑาทัพลงใต้
ขั้นสาม ขอบเขตก่อกำเนิด หรือผู้ที่มีคุณความชอบเท่ากับผู้บุกเบิกพื้นที่ของหนึ่งเขต
ขั้นสี่ ขอบเขตโอสถทอง
แล้วค่อยๆ ลดระดับลงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงขั้นเก้าซึ่งเป็นขอบเขตท้ายสุด
การแบ่งอย่างละเอียดค่อนข้างซับซ้อน ไม่ได้เชื่อมโยงกับขอบเขตของผู้ฝึกลมปราณเสมอไป ต้องอิงตามคุณูปการน้อยใหญ่ของผู้ฝึกตนที่ราชสำนักต้าหลีบันทึกไว้ โดยเฉพาะระหว่างที่กองทัพของพวกเขากรีฑาทัพลงใต้ในครั้งนี้
หร่วนฉงแห่งสำนักกระบี่ของหลงเฉวียนเป็นทั้งอันดับหนึ่งในขั้นสอง แล้วก็เป็นทั้งผู้ครองอันดับสูงสุดของผังเซียนที่ในอนาคตจะถูกสกุลซ่งต้าหลีมองเป็นสมุดบันทึกคุณความชอบนี้ชั่วคราว
นอกจากนี้ก็มีสองปฐมสำนักของสำนักการทหารอย่างภูเขาเจินอู่และศาลลมหิมะ รวมไปถึงพรรคใหญ่ของผู้ฝึกกระบี่ทั้งสองแห่งอย่างสวนลมฟ้าและภูเขาตะวันเที่ยง
เลื่อนลงไปอีกก็เป็นพวกตำหนักฉางชุนของต้าหลี ภูเขาเมฆาเรือง สกุลสวี่แห่งนครลมเย็น
พวกเขาเหล่านี้ล้วนต้องได้รับเกียรติเดินเข้าสู่ผังนี้คนหรือสองคนอย่างแน่นอน อีกทั้งระดับขั้นยังไม่ต่ำด้วย
ส่วนพวกผู้ฝึกตนที่ได้รับป้ายสงบสุขปลอดภัยซึ่งทางกรมอาญาของต้าหลีมอบให้ก็ต้องได้ติดอันดับเช่นกัน
หลังจากนี้เซียนซือของแต่ละฝ่ายที่สวามิภักดิ์ต่อต้าหลีก่อน ไม่ว่ามีชาติกำเนิดเช่นไร จะเป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลหรือผู้ฝึกตนอิสระก็ล้วนสามารถเลื่อนขั้นเป็นหนึ่งในนั้นได้
ช่วงที่ผ่านมานี้เหวยเลี่ยงคอยปรับปรุงแก้ไขรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ตลอดเวลา นี่จำเป็นต้องให้คนผู้นั้นมอบข้อมูลจำนวนมากให้กับเขา ซึ่งอาจถึงขั้นเกี่ยวพันกับโชคชะตาของหนึ่งแคว้นและเรื่องวงในเกี่ยวกับความเป็นความตายของกษัตริย์
เหวยเลี่ยงวางพู่กันในมือลงบนแท่นวางพู่กัน ลุกขึ้นยืน สาวเท้าเดินช้าๆ อยู่ในห้อง
การที่เขาเต็มใจทำเรื่องนี้
หาใช่เพราะถูกบีบให้คล้อยไปตามสถานการณ์ใหญ่จึงจำเป็นต้องพึ่งพาซิ่วหู่ผู้นั้นไม่ แต่ในความเป็นจริงแล้วด้วยนิสัยของเหวยเลี่ยง หากชุยฉานไม่สามารถพูดโน้มน้าวให้ตนเชื่อถือได้ เขาเหวยเลี่ยงก็สามารถสละกิจการสองร้อยกว่าปีที่ก่อตั้งไว้ในแคว้นชิงหลวนไปก่อร่างสร้างตัวใหม่ที่ทวีปอื่น ยกตัวอย่างเช่นกุรุทวีปที่ยิ่งไร้ขื่อไร้แปมากกว่า ยกตัวอย่างเช่นใบถงทวีปที่สถานการณ์ค่อนข้างมั่นคง มีรากฐานอยู่ที่แคว้นชิงหลวนแล้วก็แค่ต้องเสียเวลาอีกหนึ่งถึงสองร้อยปีเท่านั้น
แต่ครั้งนี้ชุยฉานเดินทางมาที่แคว้นชิงหลวนด้วยตัวเอง คนแรกที่เขามาหาก็คือเขาเหวยเลี่ยง ชุยฉานกับเขาเคยพูดคุยกันอย่างเปิดอกครั้งหนึ่ง เหวยเลี่ยงที่พอรู้ทิศทางของแผนการสร้างความมั่นคงให้แก่แคว้นของราชครูต้าหลีและราชวงศ์ต้าหลีคร่าวๆ แล้วก็ตัดสินใจที่จะร่วมมือด้วย
ร่วมมือ ไม่ใช่สวามิภักดิ์
เหวยเลี่ยงไม่ได้กล้ำกลืนความไม่เป็นธรรมเพื่อรักษาหน้าทุกฝ่าย ยิ่งไม่ได้ต่อรอง ชุยฉานเองก็ไม่รู้สึกสงสัยกับสิ่งที่เขาตัดสินใจแม้แต่น้อย
จำต้องยอมรับว่าสิ่งที่ชุยฉานต้องการนั้นลึกล้ำและยาวไกลยิ่งกว่าเขาเหวยเลี่ยง ดังนั้นเหวยเลี่ยงจึงคาดหวังอย่างยิ่งว่าวันหนึ่งจะได้เห็นภาพที่ชุยฉานกล่าวถึงมาปรากฏขึ้นจริงตรงหน้าตัวเอง
“นำกฎหมายของแคว้นต้าหลีสลักลงบนป้ายศิลา ตั้งป้ายศิลาไว้บนยอดเขาสูงสุดเหนือกลุ่มขุนเขาของแจกันสมบัติทวีป!”
เหวยเลี่ยงเดินมาที่หน้าต่าง สายตาของเขาฉายประกายร้อนแรง ความฮึกเหิมพลุ่งพล่านซัดตลบอยู่ในใจ
เหนือกว่าทะเลเมฆกลิ้งหลุนๆ ที่ไหลรินอยู่ระหว่างภูเขาใหญ่สองลูกนั้นเสียอีก
ชายชาตรีควรเป็นเช่นนี้ ถึงจะไม่ผิดต่อการมีชีวิตในชาตินี้ ไม่ผิดต่อความรู้ที่มีอยู่เต็มตัว!
……
เฉินผิงอันเคยนั่งเรือข้ามฟากข้ามทวีปมาแล้วสามครั้ง รู้ดีว่าเดิมทีเรือข้ามฟาก ‘ชิงอี’ ลำนี้ก็ช้าอยู่แล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าจะอ้อมมากขนาดนี้ หลังจากจงใจจอดตามเส้นทางเดินเรือทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือและทิศเหนือของแคว้นชิงหลวนเพื่อส่งผู้โดยสารหลายกลุ่มแล้ว กว่าจะออกมาจากอาณาเขตของแคว้นชิงหลวนได้ไม่ใช่เรื่องง่าย เดิมทีนึกว่าจะเร็วกว่าเดิมสักหน่อย แต่นี่กลับแล่นๆ หยุดๆ อยู่ในอาณาบริเวณของแคว้นใต้อาณัติแห่งหนึ่งทางทิศเหนือของแคว้นอวิ๋นเซียวอีก สุดท้ายยามเที่ยงของวันนี้ก็ถึงกับจอดลอยนิ่งอยู่ในพื้นที่ขุนเขากลางของแคว้นเล็กๆ แห่งนี้ บอกว่าพรุ่งนี้ยามสนธยาถึงจะออกเดินทางต่อ ผู้โดยสารสามารถไปชมทิวทัศน์ของภูเขากลางลูกนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้มาเจอกับการเดิมพันหินที่หนึ่งปีจะมีสี่ครั้งพอดี มีโอกาสจะต้องลองเดิมพันเล็กๆ น้อยๆ ให้ได้ หากไปเจอกับโชคดีครั้งใหญ่เข้าก็ยิ่งเป็นเรื่องดี หินติดไฟของภูเขากลางในแคว้นเฉิงเทียนแห่งนี้ถูกขนานนามว่า ‘ภูเขาเมฆาเรืองน้อย’ หากลงเดิมพันได้ถูกต้อง จ่ายราคาต่ำด้วยเงินเกล็ดหิมะแค่ไม่กี่เหรียญก็สามารถเปิดมาเจอไขหินติดไฟชั้นสูงได้ ขอแค่มีขนาดใหญ่เท่ากำปั้น นั่นก็คือเรื่องดีใหญ่เทียมฟ้าที่ทำให้คนเป็นเศรษฐีในชั่วข้ามคืน เมื่อสิบปีก่อนก็มีผู้ฝึกตนอิสระคนหนึ่งใช้เงินเกล็ดหิมะที่มีเหลืออยู่แค่ยี่สิบหกเหรียญบนร่างมาซื้อหินติดไฟขนาดเท่าฐานหินที่ไม่มีใครสนใจก้อนหนึ่ง ผลกลับกลายเป็นว่าเปิดออกมาเจอไขหินติดไฟสีแดงสดประหนึ่งกองไฟที่มีมูลค่าเท่ากับเงินร้อนน้อยสามสิบเหรียญ
แน่นอนว่าหากผู้โดยสารไม่อยากลงจากเรือก็สามารถพักผ่อนบนเรือข้ามฟาก ‘ชิงอี’ ได้
เฉินผิงอันได้ยินคำอธิบายจากสาวใช้ของเรือข้ามฟากแล้วก็พูดไม่ออกไปชั่วขณะ หลังจากที่สาวใช้คนนั้นจากไป เฉินผิงอันก็เดินไปหยุดตรงหน้าต่าง มองขุนเขากลางของหนึ่งทวีปที่ห่างไปไม่ไกลลูกนั้นอย่างไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
เรียกว่าขุนเขากลาง แต่อย่าว่าจะเทียบกับภูเขาพีอวิ๋นของบ้านเกิดเลย แม้แต่ภูเขาลั่วพั่วที่เป็นของเขาเฉินผิงอันเพียงผู้เดียวลูกนั้นก็ยังยิ่งใหญ่กว่าภูเขาลูกนี้อยู่มาก
เฉินผิงอันจึงได้แต่พาคนทั้งสามลงจากเรือ รอให้เรือเล็กย้อนกลับมาพาพวกเขาไปเยือน ‘ภูเขาใหญ่’ ซึ่งเป็นขุนเขากลางของแคว้นเฉิงเทียนลูกนั้น
เฉินผิงอันใช้ก้นคิดก็ยังรู้ว่าองค์เทพของขุนเขากลางแห่งนี้คือคู่หูทำธุรกิจที่มีผลประโยชน์ร่วมกับเจ้าของเรือข้ามฟาก ‘ชิงอี’ ลำนี้
ในขณะที่พวกเฉินผิงอันรอให้เรือเล็กมารับคน พวกผู้โดยสารที่รอเรืออยู่เหมือนกันต่างก็พากันหลีกเลี่ยงออกห่างจากพวกเขาโดยไม่รู้ตัว แม้จะไม่ได้ชี้ไม้ชี้มือใส่ แต่หันไปซุบซิบกันเองกลับเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้
บทที่ 400.4 ของขวัญ
ก่อนหน้านี้หลังจากพวกคนในยุทธภพที่เสียเปรียบด้วยน้ำมือของ ‘ผู้ฝึกกระบี่หนุ่ม’ ไปเยือนถึงห้องเพื่อขอโทษแต่กลับไร้ผล พวกเขาก็รีบร้อนเผ่นลงจากเรือ ไม่กล้าอยู่ต่อให้นานกว่านั้น
แต่ละคนต่างก็มีความคิดต่างกันออกไป
เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลที่ไม่ว่าจะอายุมากหรือน้อย ส่วนใหญ่ล้วนอิจฉาเฉินผิงอันที่สามารถหล่อเลี่ยงกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตได้ถึงสองเล่ม เพียงแต่ว่าเก็บงำความรู้สึกไว้ได้ดีมาก
ผู้ฝึกตนอิสระกลับหวาดกลัวอย่างถึงที่สุด
คนมีเงินบนโลกที่หลังจากได้ยินได้ฟังมาจากคนของหลายฝ่ายที่โดยสารเรือข้ามฟากแล้ว ส่วนใหญ่ล้วนรู้สึกว่าผู้ฝึกกระบี่กำเริบเสิบสานเหมือนอย่างที่เล่าลือกันในตำนานจริงๆ
มีเพียงทางฝั่งของเรือข้ามฟากเท่านั้นที่ช่วงที่ผ่านมานี้ค่อนข้างจะพินอบพิเทาต่อกลุ่มของเฉินผิงอัน ตั้งใจเลือกสตรีหน้าตางดงามคนหนึ่งให้คอยมาเคาะประตูห้อง นำผลไม้ตระกูลเซียนสดใหม่ถาดหนึ่งมามอบให้เป็นประจำ
บนเรือข้ามฟากยังมีหอเรือนเล็กๆ แห่งหนึ่งที่งดงามสมชื่อว่า ‘เรือนไอเซียน’ ซึ่งมีไว้เพื่อให้แขกผู้มีเกียรติบางท่านที่โดยสารเรือข้ามฟากชิงอีทิ้งผลงานเอาไว้
เฉินผิงอันปฏิเสธไปอย่างละมุนละม่อม เพียงแค่บอกให้จูเหลี่ยนไปเขียนกลอนสักบทให้จบๆ เรื่องกันไป
เรือเล็กล่องลมที่ใต้ท้องเรือสลักอักขระยันต์มีประกายแสงสีทองไหลเวียนวนลอยมาหยุดอยู่ตรงตีนเขาของขุนเขากลางแห่งนั้น
ผู้มีจิตศรัทธาจริงๆ ที่มาเยือนมีไม่มาก แต่กลับมีลูกหลานชนชั้นสูงแคว้นเฉิงเทียนและเหล่าผู้กล้าในยุทธภพที่มาเยือนเพราะหวังจะเดิมพันหินค่อนข้างมาก
เพียงแต่ว่าบุคคลที่อยู่ในราชวงศ์โลกมนุษย์ซึ่งเคยชินที่จะเชิดหน้ามองฟ้าเหล่านี้ เวลาเจอกับผู้โดยสารที่เดินลงมาจากเรือเล็กแต่ละลำ เวลาเดินและพูดคุยกลับเบาเสียงลงกว่าปกติเยอะมาก
บนเรือข้ามฟากก็มีคนส่งธูปสามคนที่มาจากศาลเจ้าสามแห่งที่แตกต่างกันของภูเขากลางมารออยู่ก่อนแล้ว เพื่อแย่งชิงตัวลูกค้า อีกนิดเดียวก็เกือบจะต่อยตีกันแล้ว พ่อค้าควันธูปของศาลเทพขุนเขากลางนิสัยฉุนเฉียวมากที่สุด ส่วนพ่อค้าควันธูปของอารามเต๋ากึ่งกลางภูเขาและวัดตรงตีนเขา แม้มองดูเหมือนว่าจะยอมอ่อนข้อให้ แต่คำพูดคำจากลับเหมือนมีดอ่อนที่บินว่อนไปทั่ว สรุปก็คือคนทั้งสามต่างก็มีความถนัดในแบบของใครของมัน ทุกคนต่างก็ได้รับผลเก็บเกี่ยว ครั้งนี้พวกเขาโดยสารเรือลำเล็กมาก็เพื่อจะพาผู้โดยสารที่เต็มใจจะไปจุดธูปไหว้พระลงจากเรือไปด้วยกัน
ผู้ดูแลเรือข้ามฟากตั้งใจพาคนส่งธูปของศาลเทพภูเขาขุนเขากลางเดินมาหาพวกเฉินผิงอันแล้วเอ่ยแนะนำให้รู้จักกัน
พอชายฉกรรจ์ผู้นั้นได้ยินว่าเฉินผิงอันยังไม่มีความคิดจะเชิญธูปก็ยังมีสีหน้ายิ้มแย้ม เอ่ยถ้อยคำที่เต็มไปด้วยความเกรงอกเกรงใจประมาณว่าคุณชายเฉินเดินทางมาเยือนก็ถือว่าเป็นเกียรติของที่แห่งนี้แล้ว
รอจนสองขาของเฉินผิงอันสัมผัสพื้น พ่อค้าควันธูปที่ยังยืนอยู่ตรงราวรั้วของเรือข้ามฟากก็ถ่มน้ำลายทิ้งมาด้านนอกแรงๆ
จูเหลี่ยนยิ้มตาหยี “นายน้อยเอาอย่างไรดี? ไม่สู้ให้บ่าวเฒ่าทะยานลมกลับไปมอบฝ่ามือเป็นรางวัลให้ชายฉกรรจ์ผู้นี้หน่อยไหม?”
เฉินผิงอันโบกมือ “ไม่แน่ว่าชั่วชีวิตนี้อาจได้เจอกันแค่ครั้งนี้ครั้งเดียว ไร้บุญคุณไร้ความแค้น จะถือสาเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ไปไย”
เผยเฉียนถามอย่างใคร่รู้ “มีอะไรหรือ?”
จูเหลี่ยนยิ้มถาม “มีคนมาขี้อยู่บนหัวเจ้า รีบเงยหน้าขึ้นเร็วเข้า”
เผยเฉียนกลอกตามองบน
ตีนเขามีถนนสายยาวที่สร้างขึ้นไว้เพื่อการเดิมพันหินโดยเฉพาะ ร้านรวงน้อยใหญ่ตั้งเรียงรายอยู่หลายสิบร้าน
ด้านในและนอกร้านล้วนกองเต็มไปด้วยหินติดไฟสีเทา ขนาดเล็กสุดใหญ่แค่ฝ่ามือ ใหญ่สุดสูงเท่าตัวคน หนักถึงหมื่นกว่าจั้ง หินยักษ์เช่นนี้ส่วนใหญ่ล้วนเป็นสมบัติพิทักษ์ร้านของร้านแต่ละแห่ง การที่หินซึ่งผลิตขึ้นในขุนเขากลางของแคว้นเฉิงเทียนประเภทนี้ถูกตั้งชื่อให้ว่าหินติดไฟนั้น เป็นเพราะไขของหินติดไฟที่ระดับขั้นสูงที่สุดในตำนานมีสีแดงสดดุจเลือด เข้มข้นอย่างถึงที่สุด ไม่มีสิ่งเจือปนเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งยังเหมือนเปลวไฟที่ส่ายไหว แค่ถือไว้ในมือหนึ่งก้อนก็สามารถสยบพวกภูตผีเสนียดจัญไรได้ตามธรรมชาติ
และส่วนที่พิเศษของมันก็คือก่อนที่จะเปิดหินออก แม้แต่ผู้ฝึกตนเซียนดินก็ยังไม่อาจมองทะลุไปเห็นสีสันที่อยู่ภายในได้
เฉินผิงอันไม่สนใจเรื่องพวกนี้ เขามอบเงินให้เผยเฉียนสามคนคนละสิบเหรียญเงินเกล็ดหิมะ บอกให้พวกเขาไปเลือกหินและเปิดหินกันเอาเอง
ส่วนเขาเดินขึ้นเขาไปเพียงลำพัง คิดอยากจะไปเยือนศาลขุนเขากลางบนยอดเขาดูสักหน่อย จึงนัดหมายกับคนทั้งสามว่าจะมาพบกันในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งตรงตีนเขายามสนธยา
เผยเฉียนอึกอักอยู่เล็กน้อย ถามว่าไม่ซื้อหินได้หรือไม่
เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม บีบแก้มดำเกรียมของนาง “ถึงอย่างไรเงินเกล็ดหิมะสิบเหรียญนั่นก็เป็นของเจ้าแล้ว อยากเอาไปซื้ออะไรก็ตามใจเจ้า”
เผยเฉียนร้องอ้อหนึ่งที
รอจนเฉินผิงอันเดินไปไกล เริ่มเดินขึ้นเขาไปแล้ว
เผยเฉียนก็กระโดดเหยงด้วยความลิงโลด แสยะปากกางกรงเล็บร่ายกระบวนท่าเวทกระบี่มารคลั่งไปหนึ่งคำรบ
จูเหลี่ยนยังเดินเข้าร้านได้ไม่ถึงสองร้านก็ซื้อหินติดไฟที่ต้องชะตามาก้อนหนึ่ง พอเปิดออกดูก็ต้องขาดทุนยับเยิน
ทำเอาเผยเฉียนโมโหจนเกือบจะสู้ตายกับเขา
จูเหลี่ยนเอามือกดหัวเผยเฉียนไว้ ปล่อยให้นางแกว่งเท้าแกว่งมืออุตลุด
สือโหรวถือเงินเกล็ดหิมะสิบเหรียญไว้ในมือ นางมองอย่างละเอียด ฟังอย่างตั้งใจ เดินเข้าร้านนั้นออกร้านนี้ มักจะหยิบหินติดไฟก้อนหนึ่งขึ้นมาพิจารณาอยู่นานแล้วก็วางลง ไม่ยอมจ่ายเงินเกล็ดหิมะเหรียญหนึ่งออกไปเสียที
จูเหลี่ยนเอ่ยชื่นชม “เข้าใจใช้ชีวิตจริงๆ”
เผยเฉียนติดตามอยู่ข้างกายสือโหรว ทุกครั้งที่มองหินติดไฟขนาดเล็กใหญ่ไม่เท่ากัน นางก็นึกอยากจะเอาลูกตาไปแนบติดก้อนหินเสียให้รู้แล้วรู้รอด
ก้นถูกจูเหลี่ยนถีบอยู่หลายที แถมยังถูกจูเหลี่ยนเอ่ยเยาะเย้ยว่าในตามีแต่เงินก็แล้วไปเถิด แต่ในตามีแต่หินนี่มันจะเป็นยังไง
แต่ไม่นานจูเหลี่ยนก็รู้สึกเสียใจภายหลังที่ไม่ได้ตามเฉินผิงอันขึ้นเขาไปด้วยกัน
สตรีใหญ่สตรีน้อยอย่างสือโหรวและเผยเฉียนสองคนนี้ เวลาเดินซื้อของขึ้นมาก็ช่างมีเรี่ยวแรงและความเด็ดเดี่ยวล้นเหลือ ไม่เพียงแต่จะต้องเดินเข้าทุกร้าน ยังไล่มองหินติดไฟไปทีละก้อนๆ บวกกับที่ขอแค่มีลูกค้าซื้อหินติดไฟแล้วบอกให้ทางร้านช่วยเปิดหินให้ ขาของคนทั้งสองก็จะปักตรึงอยู่กับที่ไม่ขยับเดินหน้า ตั้งแต่ต้นจนจบมีสีหน้าเคร่งเครียดเอาจริงเอาจัง ราวกับว่าให้ความสำคัญกับผลลัพธ์ยิ่งกว่าพวกลูกค้าที่ทุ่มเงินก้อนใหญ่ซื้อหินติดไฟเสียอีก
จูเหลี่ยนเดินไม่เหนื่อย แต่เหนื่อยใจนัก
ผลคือรอจนจูเหลี่ยนเงยหน้ามองสีท้องฟ้า ก็ประมาณการณ์เอาว่าแม้แต่คุณชายเฉินก็คงลงเขามาจนใกล้จะถึงตีนเขาแล้วกระมัง
ในที่สุดสือโหรวก็ยอมซื้อหินติดไฟขนาดเท่าฝ่ามือมาก้อนหนึ่ง ตามราคาที่ทางร้านกำหนดไว้ต้องจ่ายเป็นเงินเกล็ดหิมะสองเหรียญ
ก้อนหินที่เปิดออกมากลับเป็นไขหินติดไฟสีแดงเพลิงขนาดเท่าหัวแม่มือ แม้แต่เถ้าแก่ร้านก็ยังตื่นตะลึงอย่างยิ่ง
ไม่ใช่ว่าไขหินติดไฟก้อนเล็กแค่นี้มีมูลค่าควรเมืองมากแค่ไหน แต่เป็นเพราะหินติดไฟใหญ่แค่นี้ ทว่ากลับเปิดมาเจอไขหินมากมายขนาดนี้ เป็นเรื่องที่หาได้ยากจริงๆ
สือโหรวยิ้มบางๆ ไม่คิดจะขายไขหินติดไฟสีแดงเข้มข้นก้อนนั้นต่อ
พอเดินออกมานอกร้าน เผยเฉียนก็พลันกระตุกชายแขนเสื้อสือโหรว พูดเบาๆ “พี่หญิงสือโหรว เจ้าให้ข้ายืมเงินเกล็ดหิมะแปดเหรียญได้ไหม?”
สือโหรวถามอย่างสงสัย “เจ้าไม่ได้จะซื้อก้อนหินสักหน่อย จะยืมเงินไปทำไม?”
เผยเฉียนพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าจะซื้อก้อนหินน่ะสิ!”
สือโหรวยิ่งสงสัยเข้าไปใหญ่ “เดินจนครบทุกร้านแล้ว ร้านมีมากมายขนาดนี้ เจ้าจำได้หรือว่าก้อนไหน?”
เผยเฉียนพยักหน้ารับอย่างแรง
สือโหรวจึงยิ้มแล้วมอบเงินเกล็ดหิมะแปดเหรียญที่เหลือให้เผยเฉียน
เผยเฉียนสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วสาวเท้าวิ่งห้อออกไป
สือโหรวกับจูเหลี่ยนมองหน้ากัน รีบก้าวเร็วๆ ตามไป
ไม่รู้ว่าเผยเฉียนคิดจะทำอะไรกันแน่
สุดท้ายคนทั้งสองพบว่าเผยเฉียนอยู่ในร้านขนาดใหญ่ที่มีหินติดไฟหลากหลายสีสันกองทับถมกันเป็นภูเขา นางยืนอยู่ในมุมหนึ่ง กำลัง ‘ดึง’ หินติดไฟก้อนหนึ่งออกมาอย่างเปลืองแรง หินติดไฟก้อนนี้ค่อนข้างใหญ่ สองมือของนางไม่แน่เสมอไปว่าจะโอบอุ้มมันได้ไหว
แม้ว่าคนจะมองสภาพภายในของหินติดไฟไม่ออก แต่ด้วยประวัติศาสตร์การขุดค้นที่มีมานานหลายร้อยปี สายหินหลายสายที่อยู่ในรากภูเขากลางก็มีส่วนที่ต้องพิถีพิถันเช่นกัน บวกกับที่สั่งสมประสบการณ์ในการเปิดหาไขหินมาอย่างต่อเนื่อง คนดูหินที่สายตาดีช่างสังเกตของแต่ละร้านจะมีการประมาณการณ์ไว้คร่าวๆ อาจผิดพลาดไปบ้างก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่โดยทั่วไปแล้วจะมีไม่มาก พลาดไปเล็กๆ น้อยๆ นั้นมี แต่กลับแทบไม่เคยเปิดโอกาสให้คนซื้อได้เปรียบครั้งใหญ่
ดังนั้นจึงมีหินติดไฟไม่น้อยที่แม้จะมีขนาดใหญ่ แต่ราคากลับต่ำมาก หินบางส่วนมีขนาดไม่ใหญ่ แต่กลับกลายเป็นว่ามีราคาสูง
หินติดไฟข้างเท้าของเผยเฉียนที่นั่งยองอยู่ก้อนนี้ขนาดใหญ่มาก ทว่ากลับมีราคาแค่เงินเกล็ดหิมะยี่สิบเหรียญเท่านั้น
มันวางอยู่ในร้านแห่งนี้มาหนึ่งร้อยกว่าปีแล้วโดยที่ไม่มีใครถามถึงสักคำ
เผยเฉียนเริ่มหั่นราคาต่อรองกับเถ้าแก่อย่างจริงจัง นางบอกว่านางมีแค่สิบห้าเหรียญเงินเกล็ดหิมะ เป็นเงินทั้งหมดที่นางเก็บสะสมอย่างยากลำบากมานานหลายปีแล้ว
เถ้าแก่วัยชรารู้สึกว่าแม่หนูคนนี้น่าสนใจไม่น้อย มองดูแล้วไม่เหมือนเด็กจากครอบครัวชนชั้นสูงที่มีฐานะ ตัวก็ดำเมี่ยม แต่กลับมีเงินเกล็ดหิมะถึงสิบห้าเหรียญ หากหักเป็นเงินขาวก็เท่ากับหนึ่งหมื่นห้าพันตำลึงเลยทีเดียว หากอยู่ในอำเภอหรือเขตการปกครองของแคว้นเฉิงเทียนก็ถือว่าเป็นเศรษฐีได้แล้ว
อันที่จริงเถ้าแก่วัยชราคิดว่าต่อให้อีกฝ่ายหั่นราคาเหลือแค่ห้าเหรียญหรือสิบเหรียญเงินเกล็ดหิมะ ราคานี้เขาก็ไม่ขาดทุนแล้ว ไม่อย่างนั้นหินติดไฟขนาดใหญ่ที่คนดูหินประเมินราคาให้เขาฟังเป็นการส่วนตัวว่ามีค่าแค่สิบเหรียญเงินเกล็ดหิมะก้อนนี้ก็อาจต้องวางไปอีกหนึ่งร้อยปี ร้านตกทอดไปถึงมือของหลานเขาแล้วก็ยังขายไม่ออก
แต่ผู้เฒ่าก็ยังตั้งราคาสูงเทียมฟ้ากับเผยเฉียน ส่วนเผยเฉียนก็มุ่งมั่นจะต่อราคา ต่างคนต่างวางอุบายกันประมาณครึ่งก้านธูป เถ้าแก่วัยชราอยากจะลองดูว่าเพื่อประหยัดเงินเกล็ดหิมะห้าเหรียญนั่น นังหนูผู้นี้จะคิดข้ออ้างและเหตุผลอะไรออกมาได้
สุดท้ายเถ้าแก่ผู้เฒ่าก็หัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง ยอมตกปากรับคำอีกฝ่าย ผลกลับเห็นว่าหลังจากแม่หนูตัวดำควักเอาเงินเกล็ดหิมะกองใหญ่ออกมาก็หยิบกลับไปเก็บใส่ชายแขนเสื้อตัวเองสามเหรียญ เหลือสิบห้าเหรียญมอบให้เขา
ผู้เฒ่ามุมปากกระตุก
แม่นางน้อยเจ้าไม่มีคุณธรรมสักเท่าไหร่เลยนะ
เผยเฉียนยิ้มกว้างแกล้งโง่
สือโหรวแสร้งทำเป็นไม่รู้จักเผยเฉียน
ส่วนจูเหลี่ยนยกนิ้วโป้งให้นาง “ไม่เสียแรงที่เป็นลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขา”
เถ้าแก่วัยชราไม่โกรธเคือง กลับกันยังรู้สึกว่าแม่นางน้อยที่เฉลียวฉลาดคือตัวอ่อนที่ดีของคนทำธุรกิจ จึงยิ้มถามว่า “ต้องการให้ร้านของพวกเราช่วยเปิดหินของเจ้าหรือไม่?”
เผยเฉียนพยักหน้ารับ “เปิดสิ ไม่อย่างนั้นหินหนักขนาดนี้ข้ายกไม่ไหวแน่ ตามกฎของร้านพวกเจ้า หินติดไฟที่ราคาต่ำกว่ายี่สิบเหรียญเงินเกล็ดหิมะไม่มีค่าเปิดหิน อีกอย่างหากเปิดมาเจอหินดี จะตกรางวัลให้ทางร้านหรือไม่ก็ต้องขึ้นอยู่กับความสมัครใจของคนซื้อ ถึงเวลานั้นหากข้าไม่ตกรางวัลให้ท่านผู้เฒ่า ท่านก็ห้ามโกรธนะ”
เถ้าแก่วัยชราหัวเราะชอบใจ พยักหน้าตอบตกลง
เผยเฉียนพลันบอกให้เถ้าแก่เฒ่ารอสักครู่ แล้วนางก็หันไปมองจูเหลี่ยน
จูเหลี่ยนเข้าใจความต้องการของนางได้ทันที เขาผงกศีรษะรับ “เปิดเถอะ นายน้อยไม่อยู่ มีข้าอยู่”
เผยเฉียนเอียงศีรษะ ยิ้มกว้าง หันขวับกลับมาโบกมือเป็นวงกว้างให้เถ้าแก่ผู้เฒ่า “เปิดหิน!”
จากนั้นนางก็คืนเงินเกล็ดหิมะสามเหรียญที่เหลือให้กับสือโหรว พูดเบาๆ ว่า “ยังติดเจ้าอยู่ห้าเหรียญ วันหน้าจะคืนให้เจ้านะ”
หนึ่งก้านธูปต่อมา
ถนนยาวทั้งสายที่ตั้งอยู่ตรงตีนเขาก็สั่นสะเทือนไม่หยุด
เผยเฉียนที่เดิมทีสะพายห่อสัมภาระพาดเอียงไว้บนบ่า ตอนนี้กลับมีสัมภาระหนักอึ้งเพิ่มขึ้นมาอีกใบ
เถ้าแก่วัยชราของร้านที่ยืนอยู่ด้านหลังตีอกชกตัวด้วยความเสียดายอย่างถึงที่สุด
ไขหินติดไฟที่ร้อยปียากจะพานพบสักครั้ง!
มูลค่าสามเหรียญเงินฝนธัญพืช!
จูเหลี่ยนประสานมือสองข้างสอดไว้ในชายแขนเสื้อ ยิ้มตาหยีเดินอาดๆ ตามไปด้านหลังเผยเฉียนอย่างเนิบช้า
สือโหรวรู้สึกเพียงว่าน่าเหลือเชื่อ
เฉินผิงอันเพิ่งลงจากภูเขามาถึงสุดปลายทางของถนนพอดี
เห็นเผยเฉียนที่เป็นจุดรวมสายตาของทุกคน เฉินผิงอันก็ใจสั่นสะท้าน
พอเผยเฉียนเห็นเงาร่างที่คุ้นเคยก็วิ่งตะบึงเข้าไปหาทันที วิ่งจนหอบหายใจดังฮักๆ
เฉินผิงอันยิ้มถาม “เกิดอะไรขึ้น เป็นจูเหลี่ยนหรือสือโหรวที่เก็บของดีได้?”
เผยเฉียนเอาแต่ยิ้ม
จูเหลี่ยนกับสือโหรวเดินมาหยุดอยู่ข้างกายสองอาจารย์และศิษย์ จูเหลี่ยนพูดกลั้วหัวเราะเบาๆ “นายน้อย เจ้าตัวขาดทุนผู้นี้ใช้เงินเกล็ดหิมะสิบห้าเหรียญเปิดเจอไขหินติดไฟก้อนหนึ่งที่มีมูลค่าอย่างน้อยก็สามเหรียญเงินฝนธัญพืช”
เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม ลูบหัวเผยเฉียน “เก่งขนาดนี้เชียว”
ดีใจก็ส่วนดีใจ แต่ไม่ถึงขั้นตกตะลึงหรือปิติยินดีอย่างยิ่งยวดอะไร
ดวงตาทั้งคู่ของเผยเฉียนหรี่ลงเป็นพระจันทร์เสี้ยว เอียงศีรษะ ปลดสัมภาระห่อนั้นลงมาอย่างกินแรง ยื่นมันส่งให้กับเฉินผิงอัน “อาจารย์ มอบให้ท่าน”
เฉินผิงอันยิ้มพลางโบกมือ “เจ้าเก็บไว้เองเถอะ วันหน้ารอให้เจ้าเก็บเงินซื้อชั้นวางสมบัติได้แล้ว วางไว้ในตำแหน่งที่สะดุดตาที่สุดก็ดีมากไม่ใช่หรือ ใครเห็นก็ล้วนอิจฉา แล้วก็รู้ด้วยว่าเจ้าเป็นเศรษฐีตัวน้อย”
เผยเฉียนส่ายหน้าอย่างแรง อธิบายว่า “ข้านึกออกแล้ว วันที่ข้าจับภูเขากระโดดแล้วปล่อยมันไป เดิมทีเป็นวันเกิดของอาจารย์พอดี และนี่ก็ถือเป็นของขวัญวันเกิดที่ข้ามอบให้อาจารย์”
เฉินผิงอันตกตะลึง เงียบงันไปนาน ก่อนจะวางฝ่ามือไว้บนศีรษะเล็กๆ ของเผยเฉียน ถึงขั้นยิ้มจนตาหยีอย่างที่หาได้ยาก “แบบนี้เองหรือ ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ก็รับไว้แล้วนะ?”
นี่เป็นครั้งแรกที่จูเหลี่ยนเห็นเฉินผิงอันดีใจขนาดนี้
ตอนนั้นที่เฉินผิงอันได้พบกับจางซานเฟิงและสวีหย่วนเสียอีกครั้ง แน่นอนว่าเขาเองก็ย่อมดีใจมาก แต่ไม่ใช่ความดีใจอย่างที่เฉินผิงอันเป็นอยู่ในเวลานี้
เผยเฉียนพยักหน้า เอ่ยขออภัย “แต่อาจารย์ วันที่ห้าเดือนห้าของปีหน้า ข้าคงไม่สามารถมอบของขวัญที่ดีขนาดนี้ให้ท่านได้เสมอไปนะ?”
เฉินผิงอันรับห่อสัมภาระใบนั้นมา วางใส่ไว้ในหีบไม้ไผ่ จากนั้นก็จูงมือเผยเฉียนเดินไปบนถนนด้วยกัน
เผยเฉียนเล่าภาพเหตุการณ์ที่ทุกคนเบิกตากว้างมองหินที่เปิดออกของนางให้เขาฟังอย่างอารมณ์ดี
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ รับฟังคำพูดเจื้อยแจ้วของเผยเฉียน
ภายใต้แสงอาทิตย์ที่สาดส่องมาจากทางทิศตะวันตก
แสงสว่างเสี้ยวสุดท้ายที่เหลืออยู่ของวันส่องให้เงาร่างหนึ่งเด็กหนึ่งผู้ใหญ่ยืดยาวออกไป
จูเหลี่ยนยังคงสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ สือโหรวมีสีหน้าอ่อนโยน
บทที่ 401.1 เดินทางกลับทิศเหนือ
เดิมทีคนทั้งกลุ่มคิดจะพักค้างแรมในโรงเตี๊ยมตรงตีนเขา คิดไม่ถึงว่าผู้คนที่มากมายจะทำให้โรงเตี๊ยมหลายแห่งเหลือห้องว่างแค่ห้องเดียว เฉินผิงอันไม่วางใจ กังวลว่าสือโหรวคนเดียวจะปกป้องเผยเฉียนไม่ได้ จึงได้แต่นั่งเรือบินย้อนกลับไปยังเรือข้ามฟากชิงอีที่ลอยอยู่กลางอากาศลำนั้น
จูเหลี่ยนสอบถามว่าควันธูปของศาลขุนเขากลางเป็นอย่างไร เฉินผิงอันบอกว่าไม่ได้เข้าไปจุดธูป แค่เดินวนบนยอดเขาไปรอบหนึ่ง แต่ตลอดทางที่เดินขึ้นเขาได้ผ่านวัดวาอารามหลายแห่ง มองออกว่าเพื่อแย่งชิงตัวผู้แสวงบุญจึงต้องพยายามกันอย่างเต็มที่ อารามเต๋าเชิญป้ายจารึกของขุนนางระดับสูงขั้นสามของแคว้นเฉิงเทียนมาตั้งวางไว้นอกประตู ทางวัดพุทธก็จะไปเชิญให้นักประพันธ์ผู้มีความสามารถในการเขียนพู่กันมาเขียนกรอบป้ายให้ นอกจากนี้ต่างก็ปูถนนบนภูเขาที่ทอดยาวไปยังวัดวาอารามของตัวเองให้ราบเรียบเดินสะดวก ข้างทางคือร่มต้นไม้เย็นร่มรื่น
ขุนเขาแห่งหนึ่งก็เป็นเช่นนี้ ระหว่างห้าขุนเขาของหนึ่งแคว้น การแย่งชิงควันธูปก็ยิ่งดุเดือดรุนแรง สมกับคำว่าทำทุกวิถีทาง หากไม่ได้เล่ห์ก็ต้องเอาด้วยกลอย่างแท้จริง องค์เทพของหนึ่งขุนเขามักจะเชื้อเชิญให้ผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตกลางมาสร้างกระท่อมฝึกตน ต่อให้ตัวคนไม่อยู่ อยู่แค่กระท่อมก็พอ นี่เรียกว่าต่อให้ภูเขาไม่สูง ขอแค่มีเซียนก็ศักดิ์สิทธิ์ และยังเชิญให้นักประพันธ์ปัญญาชนมาเที่ยวชมทัศนียภาพบนภูเขาตัวเอง ทิ้งบทกวีที่เขียนด้วยลายมือของพวกเขาเอาไว้ จากนั้นก็บอกให้คนไปช่วยผลักดันคลื่นลมในราชวงศ์ของโลกมนุษย์ ฯลฯ เรียกได้ว่าใช้สารพัดวิธีจริงๆ ว่ากันว่าขุนเขาใต้ของแคว้นเฉิงเทียนมีขุนนางบุ๋นที่มีชื่อเสียงท่านหนึ่งซึ่งภายหลังได้ถูกขนานนามให้เป็นบัณฑิตปาเจียว ในขณะที่เขามาหลบฝนอยู่ที่ขุนเขาใต้ได้เขียนบทกวีอันไพเราะที่ผู้คนพากันกล่าวขานถึงเอาไว้ แม้แต่รองเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษากวานหูก็ยังเลื่อมใสอย่างถึงที่สุด ถึงกับนำมารวบรวมเป็นบทรวมกวี อีกทั้งในฐานะผลงานที่สำคัญเป็นลำดับรอง เป็นเหตุให้วันนี้หลังจากผ่านไปหนึ่งร้อยปี ศาลขุนเขาเหนือก็ยังคงได้รับใบบุญจาก ‘กลิ่นอายบุ๋น’ ขุมนี้
สำหรับกิจการที่ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับกลิ่นอายเซียนเหล่านี้ เฉินผิงอันไม่ได้ชอบ แต่ก็ไม่คิดจะไปขัดขวาง
หากวันหนึ่งจะสร้างสำนักเล็กๆ แห่งหนึ่งขึ้นมาที่เขตการปกครองหลงเฉวียนอันเป็นบ้านเกิดของตนจริงๆ ไม่แน่ว่าก็ยังต้องทำตามวิธีเหล่านี้
ก่อนจะโดยสารเรือบินทะยานขึ้นฟ้า จูเหลี่ยนเอ่ยเบาๆ ว่า “คุณชาย ต้องการให้บ่าวเฒ่าแสดงฝีมือสักหน่อยไหม? เผยเฉียนได้ไขหินติดไฟก้อนนั้นมา ย่อมทำให้คนเกิดความละโมบอยากครอบครองอย่างเลี่ยงไม่ได้”
เฉินผิงอันส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม “หนึ่งคือตอนนี้พวกเราไม่ได้หาเรื่องใส่ตัว สองใช่ว่าเราจะไม่อาจรับมือกับพวกคนที่มีจิตคิดร้าย ไหนเลยจะมีเหตุผลที่คนดีต้องป้องกันขโมย ตีฆ้องร้องป่าวอยู่ทุกค่ำคืน หากมีคนบุกมาเยือนจริงๆ เจ้าจูเหลี่ยนก็แค่ต้องขจัดภัยร้ายเพื่อปวงชน”
สือโหรวเปิดปากพูดเองอย่างที่หาได้ยาก “แต่บนร่างของพวกเรามีสมบัติล้ำค่า นี่ต่างหากที่ทำให้คนเกิดความละโมบ”
เฉินผิงอันอธิบายอย่างอดทน “เจ้าคิดผิดแล้ว ข้อแรก เห็นทรัพย์สินแล้วเกิดความละโมบจึงคิดจะสังหารคนเพื่อชิงทรัพย์ เดิมทีนี่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ถูกอยู่แล้ว ข้อสอง มองดูเหมือนพวกเรามีหยกติดตัวจึงมีความผิดก่อน คนนอกอิจฉาริษยาเป็นเรื่องที่ตามมา แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับไม่ได้เป็นเช่นนี้ เป็นเพราะในใจของคนชั่วร้ายมีความคิดชั่วร้ายก่อน วันนี้เห็นไขหินติดไฟ วันพรุ่งนี้เห็นอาวุธวิเศษสมบัติอาคมอะไร วันมะรืนเห็นคนอื่นได้รับโชควาสนา ก็ล้วนสามารถกลายมาเป็นเหตุผลที่ทำให้พวกเขาเลือกเดินทางเสี่ยง ทำผิดกฎหมายได้ทั้งสิ้น”
ลำดับขั้นตอนก่อนหลังถูกยกมาพูดอย่างละเอียด เฉินผิงอันได้นำหลักการเหตุผลข้อนี้มาอธิบายแยกย่อยลงไปอีก สือโหรวจึงพยักหน้ารับ แสดงให้รู้ว่าเห็นด้วย
สุดท้ายเฉินผิงอันยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ยุทธภพมีมลพิษและควันสกปรกมากพอแล้ว พวกเราอย่าได้ตำหนิคนดีให้มากเกินไป ในชุนชิว (ชื่อหนังสือ) ตั้งเงื่อนไขด้านคุณธรรมของนักปราชญ์ไว้อย่างเข้มงวด นั่นคือความตั้งใจจริงที่ต้องผ่านความยากลำบากของปรมาจารย์มหาปราชญ์ ไม่ใช่สิ่งที่คนรุ่นหลังอย่างพวกเราสามารถยกเอามาใช้ได้ทั้งดุ้น”
จูเหลี่ยนยิ้มตาหยีถามเผยเฉียน “ฟังเข้าใจหรือไม่?”
เผยเฉียนถลึงตาใส่ “เกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย?!”
จูเหลี่ยนจุ๊ปากพูด “ในที่สุดเจ้าตัวขาดทุนก็เหยียบโชคดีขี้หมา ได้เงินก้อนใหญ่มาครองอย่างหาได้ยาก เอวคงแข็งยิ่งกว่าไม้เท้าเดินป่าอีกกระมัง”
เรือบินค่อยๆ ทะยานขึ้นกลางอากาศ
เผยเฉียนนั่งอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน ข่มกลั้นรอยยิ้มไว้อย่างยากลำบาก
จูเหลี่ยนถาม “ทำไมไม่ซื้อหินติดไฟหลายๆ ก้อนมาลอง…เดิมพันดู? ยกตัวอย่างเช่นในมือเจ้ายังมีเงินเกล็ดหิมะเหลืออีกสามเหรียญ หากไม่ได้จริงๆ ก็ให้สือโหรวขายไขหินติดไฟก้อนเล็กนั้น เอาน้อยมาเดิมพันมาก กำไรก็จะได้มากขึ้น กลายเป็นภูเขาเงินภูเขาทอง เมื่ออยู่ในพื้นที่วิเศษแห่งนี้ เจ้าก็จะไม่ร่ำรวยเป็นเศรษฐีเลยหรอกหรือ? อย่าว่าแต่ของขวัญวันเกิดที่มอบให้อาจารย์ปีนี้เลย ไม่แน่ว่าปีหน้าก็อาจจะมอบให้ได้อีกก้อนเหมือนกัน…”
เผยเฉียนชูนิ้วสองนิ้ว ใบหน้าเต็มไปด้วยความลำพองใจ
จูเหลี่ยนยิ้มบางๆ “ไหนลองว่ามาสิ ข้าล้างหูรอฟังแล้ว”
เผยเฉียนพูดเนิบช้าเลียนแบบเฉินผิงอัน “ข้อแรก ระหว่างทางที่ออกมาจากสวนสิงโต อาจารย์สอนข้าว่าวิญญูชนไม่แย่งชิงของรักของคนอื่น ดังนั้นข้าจึงไม่อาจบอกให้สือโหรวขายไขหินติดไฟของนางได้ ข้อสอง ท่องอยู่ในยุทธภพ ต้องหยุดแต่พอสมควร! เรื่องนี้อาจารย์ก็สอนไว้เหมือนกัน”
จูเหลี่ยนประสานสองมือกำเป็นหมัด “ได้รับการสั่งสอนแล้วๆ ไม่ทราบว่าจอมยุทธ์หญิงเผยอาจารย์เผยจะเปิดโรงเรียนถ่ายทอดวิชาความรู้เมื่อไหร่ ถึงเวลานั้นข้าต้องให้การสนับสนุนแน่นอน”
เผยเฉียนปล่อยหมัดแสร้งทำเป็นขู่ให้จูเหลี่ยนกลัว เห็นว่าพ่อครัวเฒ่านิ่งเฉยไม่ขยับจึงเก็บหมัดกลับมาอย่างขุ่นเคือง “พ่อครัวเฒ่า เหตุใดเจ้าถึงได้อ่อนด้อยขนาดนี้นะ?”
จูเหลี่ยนปล่อยหมัดออกไปบ้าง
ร่างของเผยเฉียนผงะหงายหลังไปในเสี้ยววินาที หลังจากหลบหมัดนั้นมาได้ก็หัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง
จูเหลี่ยนมองสบตากับเฉินผิงอัน
ถึงอย่างไรสือโหรวก็ไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวจึงไม่รู้ถึงความลี้ลับที่ซุกซ่อนอยู่ภายใน
หลังจากคนทั้งกลุ่มขึ้นมาบนเรือข้ามฟากแล้ว คงเป็นเพราะข่าวลือทำนองว่า ‘ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มคนหนึ่งที่มีกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่ม’ มีพลังสยบที่รุนแรงมากเกินไป เหนือเกินกว่าพลังล่อลวงของเงินฝนธัญพืชสามเหรียญ ดังนั้นจนกระทั่งเรือข้ามฟากขับออกจากแคว้นเฉิงเทียนก็ยังไม่มีพวกคนคิดไม่ซื่อคนใดกล้าจะลองหยั่งเชิงความสามารถของผู้ฝึกกระบี่
แต่ความช้า เส้นทางที่อ้อมไกลและการเปลี่ยนกลยุทธ์ต่างๆ มาใช้ในการหาเงินของเรือข้ามฟากลำนี้กลับทำให้เฉินผิงอันนับถืออย่างสุดจิตสุดใจเลยทีเดียว
วันนี้ตอนที่เรือข้ามฟากจอดลง กระจายเรือบินออกไปยัง ‘สะพานไม้’ ของตระกูลเซียนแห่งหนึ่ง แม้แต่เฉินผิงอันก็ยังอดด่าขันๆ ไปประโยคหนึ่งไม่ได้ว่าพวกเราขึ้นมาบนเรือโจรกันจริงๆ
ตระกูลเซียนแห่งนั้นเป็นแค่ตระกูลลำดับสามของแจกันสมบัติทวีป แต่ระหว่างยอดเขาสองลูกได้สร้างสะพานไม้ท่อนเดียวที่ยาวหลายสิบลี้เอาไว้เส้นหนึ่ง สะพานไม้แห่งนี้จะอยู่สูงกว่าทะเลเมฆตลอดทั้งปี ทัศนียภาพไม่เลว เพียงแต่การเก็บเงินก็ไม่เลอะเลือนเลยแม้แต่น้อย เดินข้ามหนึ่งรอบต้องจ่ายถึงสามเหรียญเงินเกล็ดหิมะ ว่ากันว่าปีนั้นผู้ฝึกตนอิสระห้าขอบเขตบนของท่าเรือหางผึ้งเคยมาเดินสะพานไม้แห่งนี้ แล้วก็ได้เห็นภาพที่ดวงอาทิตย์ลอยขึ้นทางทิศตะวันออกพอดี พลันบังเกิดแรงบันดาลใจ บรรลุมรรคาฝ่าขอบเขตไปได้ แล้วก็ได้เลื่อนขั้นเป็นเซียนดินโอสถทองที่นี่ และก็เพราะก้าวข้ามก้าวนั้นไปถึงสามารถใช้สถานะผู้ฝึกตนอิสระอันต่ำต้อยนำพาให้ตัวเองประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ ได้ยืนตระหง่านอย่างภาคภูมิใจอยู่บนยอดเขาของแจกันสมบัติทวีป
เฉินผิงอันยังคงควักเงินเกล็ดหิมะออกมาสิบสองเหรียญแต่โดยดี
ตอนแรกเผยเฉียนอยากจะวิ่งไปกลับสักเจ็ดแปดรอบ เพียงแต่ว่าสาวใช้อายุน้อยคนหนึ่งที่โชคดีได้ฝึกตนในตระกูลเซียนบนภูเขาได้เอ่ยเตือนทุกคนว่า สะพานไม้แห่งนี้มีข้อห้ามอยู่อย่างหนึ่ง นั่นคือไม่อาจเดินย้อนกลับมาทางเดิมได้
นี่ทำให้เผยเฉียนโมโหจนถึงกับกระทืบเท้าโดยตรง แบบนี้ก็ขาดทุนแย่น่ะสิ?!
บอกว่าเป็นสะพานไม้ท่อนเดียว แต่อันที่จริงทางกลับไม่ได้คับแคบจนเดินยาก
แต่สะพานที่ผู้ฝึกตนอิสระท่าเรือหางผึ้งมาเดินในปีนั้นกลับเป็นสะพานที่ผุพังจริงๆ
ภายหลังมีสำนักหนึ่งทุบหม้อขายเหล็ก ซ่อมแซมมันจนมีสภาพอย่างในปัจจุบัน ไม่เพียงแต่กว้างขวางมั่นคง ยังซ่อมแซมได้ประณีตงดงามอย่างถึงที่สุด
หลังจากนั้นเรือข้ามฟากก็อ้อมผ่านภาคกลางของแจกันสมบัติทวีปที่ไฟสงครามกำลังลุกลาม อ้อมไปเป็นวงใหญ่สมชื่ออย่างแท้จริง
เป็นเหตุให้ใต้ดินของอาณาบริเวณเบื้องใต้เรือข้ามฟากในตอนนี้ก็คือทางเดินมังกรเส้นที่เฉินผิงอันเคยนั่งเรือลงใต้
คราวนั้นเฉินผิงอันจากลากับจางซานเฟิงและสวีหย่วนเสีย เดินทางลงใต้เพียงลำพัง
คราวนี้ข้างกายมีเผยเฉียน จูเหลี่ยนและสือโหรว
ช่วงเวลาที่อยู่บนเรือข้ามฟากนี้ นอกจากฝึกวิชาหมัดแล้ว เฉินผิงอันยังจำต้องแบ่งเวลาครึ่งหนึ่งมาเข้าฌานมองภายใน ดึงดูดปราณวิญญาณมาหล่อเลี้ยง ‘จวนน้ำ’ แห่งนั้น
ยิ่งเดินบนเส้นทางการฝึกตนนานเท่าไหร่ เฉินผิงอันก็ยิ่งสัมผัสกับโรคร้ายที่ทิ้งไว้หลังจากเหยียบลงบนเรือสองลำของทั้งการฝึกลมปราณและการฝึกยุทธ์ได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น เขาพอจะได้ข้อสรุปคร่าวๆ อย่างหนึ่ง บนทางเส้นนี้ หลังจากเฉินผิงอันเลื่อนสู่ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเจ็ด ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตถ้ำสถิตแล้ว จะเป็นระยะทางที่ราบรื่นในช่วงเวลาสั้นๆ แต่ยิ่งขยับไปเบื้องหลัง โดยเฉพาะเมื่อหล่อหลอมสมบัติแห่งชะตาชีวิตเสร็จสิ้น สุดท้ายวันใดวันหนึ่งสร้างโอสถทองได้สำเร็จ ความขัดแย้งระหว่างสองฝ่ายก็จะยิ่งมิอาจผสานปรองดอง เป็นเหตุให้การปีนป่ายขึ้นสู่ที่สูงของวิถีวรยุทธ์ยิ่งเจอแต่อุปสรรค การเลื่อนขั้นเป็นก่อกำเนิดก็ยิ่งยากมากขึ้นไปอีก
แต่สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องในอนาคต
ตอนนั้นหมัดยังต้องปล่อย ปราณวิญญาณฟ้าดินก็ยังต้องพยายามดึงดูดมาและหล่อหลอมอย่างสุดความสามารถ
หลังจากที่เฉินผิงอันฝึกวิชาหมัดด้วยท่าเดินนิ่งหกก้าวซึ่งเป็นท่าพื้นฐานที่สุดครบหนึ่งล้านครั้งที่กำแพงเมืองปราณกระบี่แล้ว จากภูเขาห้อยหัวมาถึงใบถงทวีป แล้วก็มาถึงพื้นที่มงคลดอกบัว ต่อมาก็เป็นนครมังกรเฒ่าทางทิศใต้สุดของแจกันสมบัติทวีปที่มีราชวงศ์ต้าเฉวียน ตำหนักพยัคฆ์เขียว จนมาถึงแคว้นชิงหลวนซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้มุ่งหน้าไปยังต้าสุยที่อยู่ทางทิศเหนือ เขาก็ต่อยหมัดไปอีกเกือบสี่แสนหมัด
หลังจากที่เรือข้ามฟากชิงอีจากไปไกล
เป็นช่วงร้อนน้อย แต่กลับมีอากาศร้อนแผดเผาเหมือนร่างถูกต้มและถูกนึ่งอยู่ตลอดเวลา มีผู้เฒ่าสามคนเดินขึ้นเขามาถึงสะพานไม้ท่อนเดียวแห่งนั้น
นักท่องเที่ยวบางตา
นอกจากสตรีของสำนักบนภูเขาที่คอยเก็บเงินอยู่สองฟากฝั่งของสะพานไม้แล้ว บนสะพานไม้ก็แทบมองไม่เห็นนักท่องเที่ยวคนใด
ผู้เฒ่าร่างเล็กเตี้ย สวมชุดผ้าป่านคนหนึ่งท่าทางเผด็จการเอาแต่ใจ ตัวเล็กเตี้ยที่สุด แต่พลังอำนาจกลับเปี่ยมล้น ฝ่ามือข้างหนึ่งของเขาตบลงบนไหล่ของผู้เฒ่าคนหนึ่งที่เดินทางมาด้วยกัน “เจ้าคนแซ่สวิน มัวยืนอึ้งอยู่ทำไม รีบควักเงินเข้าสิ!”
ผู้เฒ่าแซ่สวินกำลังง่วนอยู่กับการสอบถามดรุณีน้อยว่าทัศนียภาพของที่แห่งนี้มีจุดใดที่เป็นเอกลักษณ์บ้าง พอถูกกดไหล่ก็รีบควักเงินเกล็ดหิมะเก้าเหรียญอย่างว่องไว รับหน้าที่เป็นคนจ่ายเงินราวกับเป็นลูกสมุนของอีกฝ่าย
และผู้เฒ่าที่ต้องเป็นคนจ่ายเงินผู้นี้ก็คือผู้อาวุโสสวินที่จูเหลี่ยนชอบเรียก ตอนอยู่ในร้านยาฮุยเฉินนครมังกรเฒ่า เขาเคยมอบนิยายบุรุษมากความสามารถกับโฉมสะคราญที่ในเรื่องมีฉากเทพเซียนตีกันให้จูเหลี่ยนหลายเล่ม
จูเหลี่ยนนับถือในความรู้ของผู้อาวุโสท่านนี้อย่างมาก เพราะความรู้ของเขาลึกซึ้งถึงแก่นอย่างแท้จริง
หลังจากนั้นสุยโย่วเปียนก็ไปเยือนสำนักกุยหยกในใบถงทวีปของผู้เฒ่าท่านนี้ หลังจากที่ตู้เม่าแห่งสำนักใบถงบินทะยานล้มเหลว พลังต้นกำเนิดเสียหายไปมหาศาล ตอนนี้สำนักกุยหยกจึงกลายมาเป็นผู้นำของหนึ่งทวีปที่สมศักดิ์ศรีอย่างแท้จริง
ผู้เฒ่าอีกคนที่หน้าตาธรรมดาสามัญทำท่าจะพูดแต่ก็หยุดไป คิดจะพูดเกลี้ยกล่อมสหายสนิทที่เป็นคนโผงผางผู้นี้สักหน่อยว่า ผู้อาวุโสสวินเขาข้ามทวีปตั้งใจมาเยี่ยมเยียนเจ้า ตั้งแต่ต้นจนจบเจ้ายังไม่เคยทำสีหน้าดีๆ ให้เห็น นี่หมายความว่าอย่างไร? คิดว่าผู้อาวุโสที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้คือลูกศิษย์รุ่นหลังของพรรคหมัดเทพไร้เทียมทานของเจ้าจริงๆ หรือ? แล้วนับประสาอะไรกับที่หากคราวนี้ไม่ได้ผู้อาวุโสสวินลงมือช่วยเหลือ เจ้าจะได้เศษซากร่างทองแก้วใสชิ้นที่ใหญ่ที่สุดหลังจากร่างของตู้เม่าร่วงลงสู่พื้นพสุธามาครองอย่างราบรื่นได้อย่างไร
ถอยไปพูดหมื่นก้าว ถึงอย่างไรสวินยวนก็คือผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตเซียนเหรินของใบถงทวีป ยิ่งเป็นถึงเจ้าสำนักผู้เฒ่าของสำนักกุยหยก! เจ้าเป็นแค่คนที่ขอบเขตถดถอยกลับมาอยู่ก่อกำเนิด ไปเอาความมั่นใจจากไหนมาวางอำนาจอวดเบ่งใส่ผู้อาวุโสท่านนี้ทุกวัน?
ผู้เฒ่าคนนี้ก็คือผู้ฝึกตนอิสระห้าขอบเขตบนของท่าเรือหางผึ้ง หรือก็คืออาจารย์ของเจียงอวิ้น
ดังนั้นสะพานไม้ท่อนเดียวแห่งนี้ก็คือพื้นที่มงคลที่ปีนั้นทำให้ผู้เฒ่าสร้างโอสถทองได้สำเร็จ
สาวใช้ที่เป็นแค่ผู้ฝึกตนขอบเขตสามคนนั้นมองความตื้นลึกของคนทั้งสามไม่ออก อย่าว่าแต่นางเลย ต่อให้เป็นเจ้าสำนักขอบเขตชมมหาสมุทรมายืนอยู่ที่นี่ก็คงมองไม่ออกเช่นกัน
คนหนึ่งคือขอบเขตเซียนเหริน คนหนึ่งขอบเขตหยกดิบ คนหนึ่งขอบเขตก่อกำเนิด
ใครสักคนหนึ่งแค่กระทืบเท้าหนึ่งที เกรงว่าก็คงทำให้ภูเขาลูกนี้ถล่มลงมาได้แล้ว
บทที่ 401.2 เดินทางกลับทิศเหนือ
หลังจากที่สวินยวนจ่ายเงินแล้ว ผู้เฒ่าทั้งสามคนก็เดินไปบนสะพานไม้อย่างเชื่องช้า
หากนับกันตามอายุและตบะ ล้วนเป็นสวินยวนที่สูงส่งกว่าใคร
ทว่าทวนยาวหนึ่งฉื่อของใบถงทวีปผู้นี้ เมื่ออยู่ต่อหน้าหนุ่มน้อยหน้าหยกของแจกันสมบัติทวีปกลับทำตัวแข็งข้อไม่ได้จริงๆ
ครั้งหนึ่งขณะที่ชมบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำร่วมกัน หนุ่มน้อยเป็นฝ่ายถามทวนยาวหนึ่งฉื่อด้วยตัวเองอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนว่าต่อสู้ได้ไหม หากต่อสู้ได้ก็ช่วยอะไรเขาเล็กๆ น้อยๆ สักหน่อย
สวินยวนตบอกรับรองว่าต่อให้สู้ไม่ได้ก็ไม่ถึงขั้นเป็นตัวถ่วงอย่างแน่นอน
จากนั้นเจ้าประมุขผู้เฒ่าที่เป็นผู้ฝึกลมปราณ แต่กลับตั้งชื่อให้พรรคว่าหมัดเทพไร้เทียมทานก็มอบที่อยู่หนึ่งให้สวินยวน นัดหมายกันเรียบร้อยแล้วว่าจะไปพบกันที่นั่น
สวินยวนจึงทะยานลมจากไปทันที เรียกได้ว่ารวดเร็วปานสายฟ้าแลบ
ผลคือเทียนจวินลัทธิเต๋าของสำนักโองการเทพที่เพิ่งเลื่อนสู่ขอบเขตสิบสองได้ไม่นานผู้นั้นเกิดความขัดแย้งกับผู้ฝึกตนอิสระขอบเขตหยกดิบของท่าเรือหางผึ้ง ทั้งสองฝ่ายต่างก็ต้องการครอบครองเศษซากร่างทองแก้วใสชิ้นนั้นให้จงได้ สถานการณ์จึงชะงักงันไม่อาจเดินหน้าต่อ
หากไม่เกิดข้อผิดพลาด ไม่ว่าผลสรุปสุดท้ายจะเป็นอะไร อย่างน้อยพรรคหมัดเทพไร้เทียมทานก็ต้องผูกปมแค้นไว้กับสำนักโองการเทพแล้ว
แต่พอสวินยวนปรากฏตัวก็ทำลายสถานการณ์ที่ชะงักงันนั้นทันที
พอจะถือได้ว่าทุกคนต่างก็ยินดีกันถ้วนหน้า ผู้ฝึกตนอิสระขอบเขตหยกดิบจ่ายเงินซื้อร่างทองแก้วใสชิ้นใหญ่ที่พันปียากจะพานพบสักครั้งไปจนแทบจะสิ้นเนื้อประดาตัว แต่ก็เห็นได้ชัดว่าฉีเจินเทียนจวินลัทธิเต๋าซึ่งในนามคือผู้ฝึกตนอันดับหนึ่งของแจกันสมบัติทวีปได้ยอมถอยให้ก้าวใหญ่ นอกจากจะรับเงินมาแล้ว สวินยวนยังช่วยสำนักโองการเทพพูดคุยกับหนึ่งในเจ็ดสิบสองปราชญ์ของลัทธิขงจื๊อท่านหนึ่งที่เฝ้าพิทักษ์นภากาศเหนือแจกันสมบัติทวีป ขอซากปรักของถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลโบราณไร้นามแห่งหนึ่งที่ปริแตกซึ่งร่างทองแก้วใสชิ้นนั้นหนีไปหลบซ่อนตัวอยู่ภายใน ให้เทียนจวินฉีเจินได้นำกลับสำนักไปซ่อมแซมแก้ไข หากทำได้ดี มันก็จะกลายมาเป็นพื้นที่มงคลขนาดเล็กแห่งหนึ่งของสำนักโองการเทพที่ช่วยให้ลูกศิษย์ในสำนักฝึกตนเหนื่อยยากเพียงครึ่ง แต่ได้ผลลัพธ์เป็นเท่าตัว
โดยทั่วไปแล้ว ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนจะไม่มีทางเข้าไปในเศษชิ้นส่วนถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลง่ายๆ เด็ดขาด เพราะมีแต่จะเกิดเรื่องไม่คาดฝันได้มากมาย
แล้วนับประสาอะไรกับที่ในบรรดาอริยะลัทธิขงจื๊อของใต้หล้าไพศาลก็มีอริยะปราชญ์กลุ่มหนึ่งที่ทำหน้าที่ ‘บุกเบิกที่ดินขยับขยายพื้นที่’ โดยเฉพาะ พวกเขาเหล่านี้จะไปตามหาซากปรักหักพังที่จมอยู่ใต้ก้นแม่น้ำแห่งกาลเวลาสายยาว พองมขึ้นมาแล้วก็อาจนำมาทำให้มั่นคงจนกลายเป็นหนึ่งในพื้นที่มงคลถ้ำสวรรค์แห่งใหม่ หรือไม่ก็ผสานรวมมันเข้ากับอาณาเขตของใต้หล้าไพศาล
อริยะลัทธิขงจื๊อในประวัติศาสตร์ที่ต้องตายดับอยู่ในแม่น้ำแห่งกาลเวลาด้วยสาเหตุนี้มีไม่ใช่น้อยๆ คนที่รากฐานมหามรรคาได้รับความเสียหายด้วยเหตุนี้ก็ยิ่งมีมากมายจนนับไม่ถ้วน
เพียงแต่ว่าความทุ่มเทและอันตรายที่ต้องเผชิญเหล่านี้
คนบนโลกมิอาจล่วงรู้
……
หลังจากมาเรียนต่อที่สำนักศึกษาซานหยาต้าสุย แม้ตอนแรกหลี่ไหวจะถูกคนรังแกจนแทบอยู่ไม่ได้ แต่พอฝนผ่านไปแล้วท้องฟ้าก็สดใส ภายหลังไม่เพียงแต่ไม่มีคนในสำนักศึกษามาหาเรื่องเขา ยังมีเพื่อนใหม่ที่เพิ่งได้รู้จักกันอีกสองคน เป็นคนสองคนที่มีวัยเดียวกัน คนหนึ่งคือลูกหลานตระกูลยากจนที่พรสวรรค์เลิศล้ำโดดเด่น ชื่อว่าหลิวกวาน
อีกคนหนึ่งคือลูกหลานชนชั้นสูงที่สืบทอดบรรดาศักดิ์กันมาหลายชั่วอายุคนของต้าสุย ชื่อว่าหม่าเหลียน
หลิวกวานที่มีชาติกำเนิดยากจนใจกล้าเทียมฟ้า มักจะมีความคิดและจินตนาการอันบรรเจิดเลิศล้ำอยู่เสมอ หม่าเหลียนที่ชาติกำเนิดดีที่สุดกลับมีนิสัยขี้ขลาด ไม่ว่าทำอะไรก็ไม่กล้าปล่อยมือปล่อยเท้าทำอย่างเต็มที่ จึงกลายมาเป็นลูกสมุนของพวกเขาสองคน วันๆ เอาแต่ติดสอยห้อยตามหลิวกวานกับหลี่ไหว เนื่องจากตระกูลของหม่าเหลียนคือชนชั้นสูงอันดับหนึ่งของต้าสุย อีกทั้งยังเป็นเครือญาติเกี่ยวดองผ่านการแต่งงานกับสกุลเกาแห่งเกอหยาง หม่าเหลียนก็ยิ่งเป็นหลานชายคนโต ทว่าตอนนี้กลับมามั่วสุมอยู่กับหลี่ไหวหลิวกวาน ดังนั้นจึงถูกคนวัยเดียวกันคนอื่นๆ ของสำนักศึกษาต้าสุยขับไล่ไสส่ง ถูกเรียกเหน็บแนมว่าแมลงขี้ประจบและเจ้าถุงเงิน
หลังเข้าสู่ฤดูร้อน เด็กสามคนที่เป็นเพื่อนร่วมวัยร่วมชั้นเรียนร่วมหอนอน แม้ทางสำนักศึกษาจะห้ามออกจากหอนอนยามวิกาล แต่พวกเขาก็ยังแอบออกไปรับลมที่ริมทะเลสาบ หากถูกอาจารย์จับได้จะต้องถูกอบรมสั่งสอน ถูกลงโทษให้คัดตัวอักษร หรือไม่ก็ต้องกินมะเหงก
คืนนี้หลิวกวานเป็นผู้นำ เขาเดินอาดๆ ราวกับอาจารย์ที่ออกตรวจตรายามค่ำคืนอย่างไรอย่างนั้น หลี่ไหวเหลียวซ้ายแลขวา ค่อนข้างจะระมัดระวังตัว หม่าเหลียนหน้าม่อย ไหล่ลู่คอตก เดินตามอยู่ด้านหลังหลี่ไหวอย่างระมัดระวัง
คนทั้งสามมาถึงริมทะเลสาบอย่างราบรื่น หลิวกวานถอดรองเท้าหุ้มแข้ง จุ่มสองเท้าไว้ในน้ำทะเลสาบที่เย็นน้อยๆ รู้สึกว่าในความสมบูรณ์แบบยังมีข้อบกพร่องอยู่เล็กน้อย จึงหันหน้าไปพูดกับสหายที่ทำท่าราวกับยกหินออกจากอกว่า “หม่าเหลียน อากาศร้อนขนาดนี้น่าอึดอัดจะตายไป ตระกูลหม่าของพวกเจ้าถูกเรียกขานว่าเป็นตระกูลอันดับหนึ่งในด้านการซ่อนพัดของเมืองหลวงไม่ใช่หรือ วันหน้ากลับไปเอามาสักสามด้าม ให้ข้ากับหลี่ไหวคนละด้าม เวลาทำการบ้านจะได้พัดเอาลมเย็นๆ มาให้คลายร้อนได้บ้าง”
หม่าเหลียนหน้าม่อย “พัดที่ล้ำค่าที่สุดของท่านปู่ข้า ทุกด้ามล้วนเป็นของรักของหวงของเขา เขาไม่มีทางให้ข้าหรอก”
หลิวกวานกลอกตามองบน “ถ้าอย่างนั้นก็ขโมยพัดที่ท่านปู่เจ้าไม่ค่อยเอาออกมาถือเล่นสิ หากถูกจับได้จริงๆ เขาจะถึงขั้นตีหลานชายอย่างเจ้าจนตายเลยหรือ?”
หม่าเหลียนอยากร้องไห้แต่ไร้น้ำตา
หลี่ไหวช่วยไกล่เกลี่ยสถานการณ์ “ช่างเถอะ หม่าเหลียนขี้ขลาด บนใบหน้าของเขาไม่สามารถปกปิดเรื่องใดๆ ได้เลย หากให้เขากลับบ้านไปขโมยพัดมาจริงๆ เกรงว่าแค่กลับไปถึงบ้านก็ถูกพ่อแม่ของเขาจับพิรุธได้แล้ว”
หม่าเหลียนพยักหน้ารับอย่างแรง
หลิวกวานถอนหายใจ “ช่างผิดต่อชาติกำเนิดดีๆ ของเจ้าซะจริง นี่ก็ทำไม่ได้ นั่นก็ไม่กล้าทำ หม่าเหลียนวันหน้าหากเจ้าเติบใหญ่แล้ว ข้าว่าเจ้าคงไม่ได้ดิบได้ดีสักเท่าไหร่ อย่างมากสุดก็ได้แค่กินทุนเก่า เจ้าคิดดูนะ ท่านปู่ของเจ้าคือเจ้ากรมครัวเรือนของต้าสุยเรา ดำรงยศมหาบัณฑิตของตำหนักเหวินอิง พอมาถึงรุ่นบิดาของเจ้า กลับเป็นได้แค่เจ้าเมืองที่ต้องไปรับหน้าที่อยู่นอกเมืองหลวง ท่านอาของเจ้าที่แม้จะเป็นขุนนางในเมืองหลวง แต่กลับเป็นแค่ขุนนางฝูเป่าหลางตำแหน่งเล็กจ้อยเท่าเมล็ดงา วันหน้าพอถึงคราวที่เจ้าต้องเป็นขุนนางบ้าง เกรงว่าก็คงเป็นได้แค่นายอำเภอเท่านั้น”
หม่าเหลียนทอดถอนใจเฮือกๆ ไม่ได้โต้กลับ เพราะไม่มีความกล้าที่จะทะเลาะกับหลิวกวาน ยิ่งเป็นเพราะรู้สึกว่าหลิวกวานพูดได้ถูกต้องอย่างมาก
ในบรรดาคนทั้งสาม แม้ว่าอาจารย์จะดุด่าหลิวกวานมากที่สุด แต่ขนาดคนตาบอดก็ยังมองออกว่า อันที่จริงพวกอาจารย์คาดหวังกับหลิวกวานมากที่สุด เขาหม่าเหลียนไม่สูงไม่ต่ำ ดีกว่าหลี่ไหวที่การบ้านอยู่อันดับล่างสุดตลอดหมื่นปีเล็กน้อย
หลี่ไหวตบไหล่หม่าเหลียน พูดปลอบใจว่า “เป็นนายอำเภอก็ร้ายกาจมากแล้ว ที่บ้านเกิดของข้า เมื่อก่อนตำแหน่งขุนนางที่ใหญ่ที่สุดคือผู้ตรวจการงานเตาเผาที่ไม่รู้ว่าหมวกขุนนางใหญ่แค่ไหน จนป่านนี้ถึงเพิ่งจะมีนายอำเภอ อีกอย่าง เป็นขุนนางเล็กหรือใหญ่ก็ยังเป็นเพื่อนของข้ากับหลิวกวานอยู่ดีไม่ใช่หรือ หากเป็นขุนนางน้อย ข้ากับหลิวกวานย่อมยังเห็นเจ้าเป็นสหายอย่างแน่นอน แต่หากเจ้าได้เป็นขุนนางใหญ่แล้วก็ห้ามไม่เห็นพวกเราเป็นเพื่อนเด็ดขาดเชียว”
หม่าเหลียนรีบรับรอง “ไม่มีทาง ชั่วชีวิตนี้ข้าจะต้องเห็นพวกเจ้าเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดเสมอ”
หลิวกวานหัวเราะคิกคัก “ถ้าอย่างนั้นข้ากับหลี่ไหว ใครคือเพื่อนที่ดีที่สุดของเจ้า?”
หม่าเหลียนอึ้งตะลึงไปนาน เพราะรู้สึกว่าไม่ว่าจะตอบอย่างไรตนก็ไม่ใช่เรื่องดีสำหรับตนเลย แม้เขาจะนับถือความฉลาดเฉลียวมีความสามารถ รวมไปถึงข้อที่ไม่ว่าทำเรื่องอะไรก็ล้วนตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาดราวกับผู้ใหญ่ตัวน้อยของหลิวกวาน แต่แท้จริงแล้วลึกๆ ในหัวใจ หม่าเหลียนกลับชอบที่จะอยู่กับหลี่ไหวมากกว่า เพราะหลี่ไหวพูดง่าย ไม่พูดจาเหน็บแนมเขา แล้วก็ไม่ทำให้เขารู้สึกละอายใจที่สู้ไม่ได้
หลี่ไหวยิ้มแล้วทิ้งสองเท้าจุ่มลงในน้ำ แล้วก็ต้องสูดลมหายใจดังเฮือก สะดุ้งโหยง พูดกลั้วหัวเราะฮ่าๆ “ข้าเอาที่สองก็แล้วกัน ไม่แย่งที่หนึ่งกับเจ้าหลิวกวานแล้ว ถึงอย่างไรไม่ว่าเรื่องใดเจ้าหลิวกวานก็เป็นที่หนึ่งเสมอ”
หลิวกวานกอดคอหลี่ไหว ยิ้มกล่าว “พูดเหมือนจงใจยอมให้ข้าอย่างนั้นแหละ เจ้าน่ะสู้ข้าได้หรือ”
หลี่ไหวรีบอ้อนวอน “สู้ไม่ได้ๆ หลิวกวานเจ้าจะมาแข่งขันกับคนที่ทำการบ้านได้อันดับล่างสุดไปไย เจ้ารู้สึกดีนักหรือไง?”
หม่าเหลียนแอบหัวเราะ
ถึงอย่างไรเด็กทั้งสามคนก็อยู่ในช่วงวัยที่ชีวิตไร้ทุกข์ไร้กังวล
ผลคือได้ยินเสียงตวาดของอาจารย์ท่านหนึ่งดังมาแต่ไกล หลิวกวานผลักไหล่หลี่ไหวและหม่าเหลียน “พวกเจ้าหนีไปก่อน ข้าจะถ่วงเวลาอาจารย์หันขี้เหล้าผู้นั้นเอง!”
หม่าเหลียนไม่พูดไม่จาก็ชักเท้าออกวิ่งทันที แถมยังวิ่งไปเท้าเปล่าด้วย
หลี่ไหวช่วยหยิบรองเท้าหุ้มแข้งของหม่าเหลียนมา ถามว่า “แล้วเจ้าจะทำอย่างไร?”
หลิวกวานถลึงตาใส่ “รีบหนีไปเร็วเข้า พวกเราสามคนถูกจับด้วยกัน พรุ่งนี้มีแต่จะยิ่งอเนจอนาถ จะถูกลงโทษหนักขึ้น!”
หลี่ไหวรีบสวมรองเท้าอย่างเร่งร้อน ท่าวิ่งของเขาหนักแน่นมั่นคงกว่าหม่าเหลียน ถึงอย่างไรก็เคยเดินทางจากเขตการปกครองหลงเฉวียนมาจนถึงสำนักศึกษาต้าสุย
สุดท้ายหลิวกวานแบกรับไฟโทสะของอาจารย์ผู้เฒ่าที่ผลัดเวรมาเดินตรวจตรายามค่ำคืนเพียงลำพัง หากไม่เป็นพราะอาจารย์สอบถามเนื้อหาของการบ้านแล้วหลิวกวานตอบได้ทุกข้อไม่มีตกหล่น อาจารย์ผู้เฒ่าก็คงลงโทษให้หลิวกวานยืนอยู่ริมทะเลสาบทั้งคืนแล้ว
หลิวกวานกลับมาถึงหอพัก หลี่ไหวเปิดประตูแล้วก็ถามว่า “เป็นยังไงบ้าง?”
หลิวกวานยื่นมือขวาออกมาดีดนิ้วหนึ่งที พูดอย่างลำพองใจ “ใต้หล้านี้ไม่มีปัญหาข้อใดที่ข้าหลิวกวานแก้ไขไม่ได้”
หลี่ไหวสังเกตเห็นอย่างเฉียบไว ถามว่า “เจ้าไม่ได้ถนัดซ้ายหรอกหรือ?”
หลิวกวานสบถด่าคำหนึ่งทันใด มานั่งอยู่ข้างโต๊ะ แบฝ่ามือออก ที่แท้ฝ่ามือของมือซ้ายเขาก็บวมฉึ่ง พูดอย่างขุ่นเคืองว่า “ผีขี้เหล้าหันต้องมีไฟโทสะเก็บกลั้นไว้ในใจแน่นอน หากไม่เป็นเพราะเหล้าของเมืองหลวงแพงขึ้นก็เป็นเพราะหลานชายที่ไม่เอาถ่านสองคนของเขาก่อเรื่องขึ้นมาอีก เขาเลยจงใจเอาข้ามาระบายอารมณ์ วันนี้ถึงได้ตีมือแรงเป็นพิเศษ”
หลิวกวานเป็นคนใจใหญ่ หัวถึงหมอนก็นอนหลับไปทันที ในขณะที่หลี่ไหวกับหม่าเหลียนยังเป็นกังวลว่าพรุ่งนี้อาจจะต้องเจอกับความลำบาก หลิวกวานกลับหลับฝันหวานไปแล้ว
หลิวกวานนอนอยู่บนเตียงปูเสื่อริมนอกสุด ที่นอนของหลี่ไหวติดริมกำแพง หม่าเหลียนนอนอยู่ตรงกลาง
หลี่ไหวยังไม่ง่วง อาศัยแสงจันทร์ที่สาดส่องนั่งพิงกำแพง ในมือถือหุ่นไม้หลากสีตัวหนึ่ง ปากพูดพึมพำเบาๆ
หม่าเหลียนถามเสียงค่อย “หลี่ไหว ทำไมช่วงนี้เจ้าถึงไม่ไปเล่นกับหลี่เป่าผิงเลยล่ะ?”
หลี่ไหวตอบอย่างไม่ใส่ใจ “ข้ากลัวนางมาตั้งแต่เด็กแล้ว อีกอย่าง เอาแต่ไปเล่นกับเด็กผู้หญิงคนหนึ่งเหมาะสมตรงไหน หากคนอื่นเข้าใจผิดคิดว่าข้าชอบหลี่เป่าผิง ถึงเวลานั้นผู้คนพากันซุบซิบนินทา ข้าต้องถูกหลี่เป่าผิงซ้อมจนเกือบตายแน่ๆ”
หม่าเหลียนอ้อรับหนึ่งที รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
เขารู้สึกว่าแม่นางน้อยชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงคนนั้นน่ามองมากจริงๆ
หากวันใดได้เห็นนางในสำนักศึกษาอยู่ไกลๆ เขาก็ดีใจไปได้ทั้งวัน
หม่าเหลียนเงียบไปนาน หลี่ไหวยังคงเอาแต่เขย่าหุ่นไม้หลากสีในมือตัวนั้น แสร้งทำเป็นว่าตัวเองคือแม่ทัพใหญ่ผู้บัญชาการกองทัพ เล่นสนุกไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
หม่าเหลียนรู้ว่าในหีบไม้ไผ่สีเขียวมรกตใบเล็กบรรจุสิ่งของที่หลี่ไหวชื่นชอบมากที่สุดไว้กองใหญ่
หม่าเหลียนพลันถามขึ้นว่า “หลี่ไหว เฉินผิงอันที่เจ้าชอบพูดถึงบ่อยๆ คนนั้น เจ้ามาอยู่สำนักศึกษาเกือบจะสามปีแล้ว ทำไมเขาถึงไม่เคยมาหาเจ้าเลยสักครั้ง?”
หลี่ไหวหยุดการกระทำในมือลง เหม่อลอยไปครู่หนึ่ง สุดท้ายยิ้มกล่าวว่า “เขายุ่งน่ะสิ”
หม่าเหลียนสังเกตเห็นว่าเพียงไม่นานหลี่ไหวก็ล้มตัวลงนอนบนเสื่อที่เย็นสบาย วางหุ่นไม้หลากสีไว้ข้างศีรษะ ในอดีตหลี่ไหวสามารถเล่นมันได้นานถึงเกือบครึ่งชั่วยาม วันนี้กลับผิดไปจากทุกที
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น