เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วน 4 ตอน 51-53

ส่วนที่ 4

 

ตอนที่ 51 วัวไม่ยอมดื่มน้ำแต่ข้าจะบังคับกดหัว

 

ฉางอันไม่เหมาะกับน่ารื่อมู่ ดอกไม้ป่าบนทุ่งหญ้าไม่สามารถมีชีวิตอยู่รอดได้ในรั้วบ้านหลังใหญ่ ที่นั่นไม่มีทุ่งหญ้า วัวและแกะที่นางคุ้นเคย มีเพียงท้องฟ้าสีฟ้าครามกับลานบ้านกว้างๆ นางเป็นคนเรียบง่ายและใจดีมีเมตตา ทั้งยังเต็มไปด้วยความป่าเถื่อน รังแต่จะค่อยๆ เ**่ยวเฉาตายอยู่ในเมืองฉางอันที่หรูหรา


 


 


นางเป็นลูกสาวของทุ่งหญ้า เกิดที่นี่ เติบโตที่นี่และคงจะต้องสิ้นลมที่นี่ ซึ่งนี่เป็นบั้นปลายที่ดีที่สุดสำหรับนาง


 


 


อวิ๋นเยี่ยได้เตรียมผืนดินอันกว้างใหญ่ที่นางจะสามารถทำตามใจตัวเองได้ไว้ให้แล้ว มีท้องฟ้าสีคราม เมฆสีขาว หญ้าสีเขียว มีวัวและแกะเป็นเพื่อน บางทีอาจจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดของนางได้


 


 


“นี่คือแผนที่การแบ่งทุ่งหญ้าของเจ้า ซึ่งก็คือเชิงเขาอินซัน มีพื้นที่ครอบคลุมรัศมีหนึ่งร้อยลี้ ที่นั่นทั้งน้ำและหญ้าอุดมสมบูรณ์ ภูมิอากาศอบอุ่น เป็นสถานที่ที่ดีที่สุดในการเลี้ยงสัตว์ เจ้าสามารถพาเด็กหนุ่มสาวพวกนั้นไปเลี้ยงสัตว์ที่นี่ได้” อวิ๋นเยี่ยหยิบเอกสารทางการออกมาจากอกเสื้อและวางไว้ด้านหน้าของน่ารื่อมู่


 


 


ฮ่วนเหนียงแปลคำพูดทีละประโยคของอวิ๋นเยี่ยให้น่ารื่อมู่ฟัง ยิ่งฟังมากเท่าไร น้ำตาบนใบหน้าของนางก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น สุดท้ายก็ไหลมารวมกันแล้วไหลลงมาจากคางแหลมๆ นั้น


 


 


ความเจ็บปวดนั้นหลีกเลี่ยงไม่ได้ อวิ๋นเยี่ยจึงได้แต่แข็งใจพูดต่อ “ตอนนี้เจ้าต้องตั้งชื่อให้เผ่าของเจ้า จากนั้นกรอกลงในเอกสารนี้ก็เป็นอันเสร็จสิ้น เอกสารเหล่านี้จะมีผลบังคับใช้ในทันที เจ้าไม่ต้องกังวลว่าชนเผ่าอื่นจะแย่งทุ่งหญ้าของเจ้า ข้าได้ไปฝากเนื้อฝากตัวกับทหารที่ประจำการที่นี่แล้ว หากพบภัยคุกคามก็ไปบอกพวกเขา จะมีคนมาจัดการให้เอง พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องลงมือเอง พวกเจ้าแค่เลี้ยงสัตว์ให้ดีก็พอแล้ว สำหรับวัวและแกะ รวมถึงม้าที่เพิ่มขึ้นมา ข้าจะส่งคนมาแลกเปลี่ยนกับเจ้าก่อนที่ฤดูหนาวทุกปีจะมาถึง โดยจะแลกด้วยใบชา เกลือ ผ้า เสบียงและแน่นอนจะมีอาวุธด้วยอีกจำนวนหนึ่ง นอกจากนี้ในเดือนสี่ของทุกปี หลังจากอากาศเริ่มอบอุ่นแล้วเจ้าต้องตัดขนแกะทั้งหมดออกมา ถ้าหากการทดสอบประสบความสำเร็จ ข้าคิดว่าแค่ขนแกะที่ตัดออกมาทุกปีก็เพียงพอที่จะเลี้ยงชนเผ่าเล็กๆ ของเจ้าได้แล้ว”


 


 


หลังจากพูดเสียยืดยาว อวิ๋นเยี่ยหยุดและรอให้ฮ่วนเหนียงอธิบายให้น่ารื่อมู่ฟัง


 


 


“เจ้าไม่ไป”! น่ารื่อมู่ไม่ได้ฟังสิ่งที่ฮ่วนเหนียงพูด กอดแขนอวิ๋นเยี่ยแล้วเขย่าอย่างแรง


 


 


“ข้า เลี้ยงแกะ เจ้า นอน” บางทีน่ารื่อมู่จะคิดว่าคนเราไม่ต้องทำอะไรเลย กินให้อิ่มแล้วนอนในกระโจมก็ถือเป็นเรื่องที่มีความสุขที่สุดในโลก ดังนั้นนางจึงไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อยที่จะเปิดราคาสูงสุดเท่าที่นางจะสามารถให้ได้


 


 


อวิ๋นเยี่ยสวมกอดน่ารื่อมู่เบาๆ พยักหน้าให้กับฮ่วนเหนียง แล้วจึงปล่อยมือจากน่ารื่อมู่เดินออกจากกระโจมไป ยังเดินไม่ถึงสองก้าวข้างหลัง เสียงร้องไห้อย่างเจ็บปวดรวดร้าวของน่ารื่อมู่ก็ดังขึ้น


 


 


ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง อวิ๋นเยี่ยก็ก้าวอีกครั้งเพื่อไปหาเหอเซ่า


 


 


เหล่าเหอจ้างทหารเสริมถึงสามร้อยนาย พวกเขากำลังยุ่งอยู่กับการเปลี่ยนลากเลื่อนให้เป็นเกวียน ไม่ต้องกังวลว่ารถจะถูกทำอย่างหยาบๆ เพราะเขามีวัวมากพอที่จะลากเกวียน แต่มีปัญหาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น วัวที่ถูกเลี้ยงอยู่บนทุ่งหญ้าลากเกวียนไม่เป็น พวกมันไร้ระเบียบและระเบียบวินัยอย่างสิ้นเชิง เมื่อพวกมันเห็นต้นหญ้าก็จะต้องขอกินสักหน่อย ประเดี๋ยวยืนนิ่งอยู่กับที่ไม่ขยับ ใช้แส้ฟาดก็ไม่ยอมขยับ ด้วยความชอกช้ำอันนี้ก็ได้ทำให้ความกระตือรือร้นในการสร้างความมั่งคั่งของเหล่าเหอนั้นเหลือเพียงความช้ำใจ


 


 


   เมื่อเห็นวัวหนุ่มตัวหนึ่งที่เขาเลี้ยงไว้จนขนเงาอ้วนพีลากจนเกวียนนั้นล้มไปด้านข้างแล้ว เขาเอามือกุมศีรษะแล้วนั่งยองๆ อยู่บนพื้น ทำอะไรไม่ถูกคิดอะไรไม่ออก ดูน่าสงสารเป็นอย่างมาก


 


 


มีสินค้ามากเกินไป รถม้าน้อยเกินไป โกดังเก็บของของเขาก็มีอยู่สี่ห้องแล้ว หิมะบนทุ่งหญ้ากำลังละลาย พื้นที่แข็งเหมือนเหล็กกลายเป็นพื้นเปียกแฉะ มีบางแห่งกลายเป็นหนองน้ำ หิมะตกหนักถึงสี่ครั้งในฤดูหนาวเพียงครั้งเดียว หลังจากหิมะละลายก็จะนำมาซึ่งแหล่งน้ำปริมาณมากสู่ทุ่งหญ้า หญ้าในปีนี้จะเติบโตอย่างอุดมสมบูรณ์อย่างแน่นอน นี่เป็นข่าวดีสำหรับคนเลี้ยงสัตว์บนทุ่งหญ้า แต่มันเป็นหายนะครั้งใหญ่สำหรับอวิ๋นเยี่ยกับเหอเซ่าที่กำลังจะเดินทางไกล


 


 


   บนทุ่งหญ้านั้นไม่มีเส้นทางการเดินทางอย่างตายตัว ขอเพียงคุณชอบก็สามารถเดินได้ตามที่คุณต้องการ หากการอนุมานก่อนออกเดินทางของคุณเป็นไปในทิศทางที่ถูกต้อง ขอเพียงปัญหาข้อนี้ได้รับการแก้ไข คุณก็จะไปถึงจุดหมายปลายทางได้เสมอ


 


 


การจะให้วัวลากรถต้องเรียนรู้ด้วยหรือ นี่คือสิ่งที่อวิ๋นเยี่ยถามซุนซือเหมี่ยว สุดท้ายถูกถังเจี่ยน สวี่จิ้งจงและซุนซือเหมี่ยวมองอย่างเหยีดหยาม


 


 


“เจอพวกที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรอีกแล้ว อีกทั้งเจอทีเดียวถึงสองคน ข้ากลับถึงฉางอัน จะต้องถามคำถามนี้กับเจ้าหมาน้อย ถ้าเขาตอบเช่นเดียวกัน เห็นทีข้าจะต้องลงมือเก็บกวาดเรื่องในบ้านให้เด็ดขาดเสียแล้ว”


 


 


ถังเจี่ยนพูดอย่างจงเกลียดจงชัง พลางมองไปที่อวิ๋นเยี่ยและเหล่าเหอสองคนราวกับมองดูกองอุจจาระสองกอง


 


 


เหล่าซุนถือเป็นผู้มีน้ำใสใจคอดีมาก จึงได้พูดเกี่ยวกับนิสัยการใช้ชีวิตของวัวให้อวิ๋นเยี่ยฟังอย่างละเอียด ตั้งแต่ที่ลูกวัวตัวเล็กๆ นี้เกิดมาก็จำเป็นจะต้องตามวัวตัวแม่อยู่ด้านหลัง เรียนรู้ทักษะการทำงานแต่ละประเภทต่างๆ เช่น การลากเกวียน ไถนา ลากโม่ ภายใต้สิ่งที่เป็นนี้ พวกมันจะค่อยๆ เกิดความเคยชินไปโดยไม่รู้ตัว หลังจากที่ลูกวัวเติบโตขึ้นก็ย่อมต้องเรียนรู้สิ่งเหล่านี้ได้เป็นเรื่องธรรมดา วัวบนทุ่งหญ้าไม่มีประสบการณ์เหล่านี้ ปกติมีนิสัยเหมือนสัตว์ป่าทั่วไป ตอนนี้เมื่อนำเกวียนผูกติดกับพวกมันย่อมต้องรู้สึกอึดอัดอย่างแน่นอน หากยอมลากเกวียนแต่โดยดีสิจึงจะเป็นเรื่องแปลก


 


 


“หลักการพวกนี้แม้แต่เด็กตัวเล็กๆ ของต้าถังก็ยังรู้ เหตุใดเจ้าถึงไม่รู้” ซุนซือเหมี่ยวรู้สึกเหลือเชื่อจริงๆ


 


 


อวิ๋นเยี่ยยังจะสามารถพูดอะไรได้ จะบอกว่าที่ตัวเองเคยเห็นมากที่สุดก็คือวัวนมที่มีลายดำและขาวอยู่บนตัวน่ะหรือ การใช้วัวลากเกวียนก็ได้เห็นเพียงไม่กี่ครั้งหลังจากที่ล้มเลิกไปกว่าสามสิบปี มีรถแทรกเตอร์ที่ปล่อยควันดำใช้กันอยู่ทั่วโลก จำเป็นต้องนั่งรถเทียมวัวที่อืดอาดเดินทางจากตะวันออกไปตะวันตกด้วยหรือ พวกคุณใช้วัวไถนาพื้นที่ประมาณหกร้อยกว่าตารางเมตร ในขณะที่คนอื่นใช้รถแทรกเตอร์ไถนาได้หลายพันตารางเมตร ในยุคนั้น วัวถูกนำมาเลี้ยงเพื่อการผลิตนมหรือฆ่าเพื่อกินเนื้อ ยกเว้นพวกผู้สูงอายุ ยังจะมีใครรู้เรื่องพวกนี้กัน


 


 


เมื่อพูดถึงประเพณีที่สืบทอด อวิ๋นเยี่ยก็นึกถึงประเพณีที่โด่งดังอีกอย่างหนึ่ง หากนำมาใช้แก้ไขปัญหาในปัจจุบันจะเป็นอะไรที่ยอดเยี่ยมเป็นที่สุดเลย จึงลากเหล่าเหอให้ลุกขึ้นจากพื้น กระซิบกระซาบอยู่ข้างหูเขาครู่หนึ่ง หลังจากที่เหอเซ่าได้ฟัง สีหน้าของเขาก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นความปีติยินดีขึ้นในพริบตา


 


 


ครั้นแล้วจึงแสยะยิ้มที่กว้างไปถึงใบหูให้พวกซุนซือเหมี่ยว สะบัดแขนเสื้อและตะโกนเรียกทหารเสริมสองสามคนให้พวกเขานำวัวตามเขาไปที่ด้านหลังกระโจม


 


 


“วัวไม่ยอมดื่มน้ำ เจ้าจะสามารถบังคับให้ดื่มน้ำได้อย่างนั้นหรือ” สวี่จิ้งจงขมวดคิ้วพูดกับอวิ๋นเยี่ย ถังเจี่ยนเองก็พยักหน้าเห็นด้วย ซุนซือเหมี่ยวเห็นวิธีการที่เปลี่ยนของไร้ค่าให้กลับมามีประโยชน์ของอวิ๋นเยี่ยมานักต่อนักแล้ว สายตาฉายแววตกใจและสงสัยแต่ก็ไม่เห็นด้วยกับคำถามของทั้งสองคน


 


 


“คำพูดโบราณพูดเอาไว้ได้ดี วัวไม่ยอมดื่มน้ำแต่จะบังคับกดหัว คำพูดนี้พูดไว้ไม่ผิด เมื่อก่อนไม่ประสบความสำเร็จเพราะแรงที่กดหัววัวไม่มากพอ หากมีแรงมากพอ ไม่ว่าวัวจะแข็งแรงเพียงใด ภายใต้การใช้กำลังควบคุมนี้แม้ไม่อยากดื่มน้ำก็ต้องดื่ม” รวมกับคำพูดที่มั่นใจอย่างเต็มที่ของอวิ๋นเยี่ย เสียงวัวร้องเสียงหลงก็ดังขึ้นจากข้างหลังกระโจม เพียงแค่ฟังเสียง ก็รู้ว่าวัวตัวนั้นกำลังเจอกับการทรมานที่โหดร้ายที่สุด


 


 


ทุกคนตกใจขึ้นพร้อมๆ กันและมาที่ด้านหลังของกระโจม เห็นเพียงแค่วัวถูกผูกติดกับโครงไม้ให้โผล่ออกมาแต่เพียงหัวเท่านั้น ทหารเสริมที่หน้าตาดุร้ายโหดเ**้ยม ในมือถือโซ่เหล็กเส้นเล็กๆ ที่ถูกเผาไฟจนร้อนแดงทั้งเส้น เล็งไปที่กระดูกอ่อนระหว่างรูจมูกทั้งสองของวัวแล้วก็จิ้มทะลุเข้าไป ขณะที่ควันขาวๆ ลอยครุกรุ่นขึ้น วัวหนุ่มตัวนั้นก็ส่งเสียงร้องโหยหวนอีกครั้ง กีบเท้าทั้งสี่ก็พยายามเตะอย่างสุดชีวิต เพราะไม่มีที่ใดจะระบายได้ จึงได้แต่หวังว่าสะบัดหัวไปมาแล้วจะเจ็บปวดน้อยลง ด้านข้างยังมีคนนำห่วงเหล็กขนาดเล็กร้อยผ่านรูเล็กๆ ที่ถูกเจาะด้วยความร้อนใส่ไว้บนจมูกของวัว


 


 


เมื่อเห็นการกระทำทรมานสัตว์ป่าเยี่ยงนี้ ซุนซือเหมี่ยวตาเบิกกว้างจนแทบจะระเบิดออก ชี้หน้าด่าเหอเซ่า “หยุดนะ! เจ้าเดรัจฉาน วัวตัวนี้ก็แค่มีพฤติกรรมไปตามธรรมชาติของมัน มันรู้เรื่องอะไร เจ้ากลับทำกับมันอย่างเ**้ยมโหดเพียงนี้ ยังมีความเป็นคนอยู่หรือไม่ มา มา มานี่ ให้ข้าร้อยห่วงไว้ที่จมูกของเจ้าบ้าง ให้เจ้าได้ลิ้มลองรสชาตินี้ดู”


 


 


“นักพรตซุน ขอท่านอย่าเพิ่งโกรธ รอดูก่อนว่าวิธีนี้จะใช้ได้ผลหรือไม่ ถ้าหากใช้ได้ผล นี่ก็จะเป็นเรื่องดีที่ควรค่าแก่การเฉลิมฉลองของเกษตรกรทั่วหล้า ถ้าใช้ไม่ได้ผล ท่านค่อยถลกหนังของเขาก็ยังไม่สาย” อวิ๋นเยี่ยเสแสร้งทำเป็นเกลี้ยกล่อมซุนซือเหมี่ยว


 


 


จิตใจของเขาทำจากเต้าหู้ ทนเห็นสิ่งมีชีวิตทั่วหล้าต้องทนทุกข์ทรมานไม่ได้ การสวมห่วงที่จมูกวัวที่ทรมานเช่นนี้หากไม่ให้เขาเห็นเข้าก็แล้วกันไป แต่เมื่อถูกเขาเห็นเข้า มีหรือจะไม่ขัดขวาง เมื่อครู่ที่บอกให้เหอเซ่าบอกให้เขาไปหาที่ไกลๆ ก่อนจึงค่อยทำเรื่องนี้ ใครจะรู้ว่าเจ้าคนไม่มีความคิดคนนี้ เพียงแค่ถึงด้านหลังกระโจมก็อดทนไม่ไหวเริ่มลงมือเลย


 


 


อวิ๋นเยี่ยไม่เกลี้ยกล่อมยังดี เมื่อเกลี้ยกล่อมจึงกลายเป็นการรนหาที่เอง ซุนซือเหมี่ยวจึงลากเขามาที่ด้านข้าง ชี้หน้าอวิ๋นเยี่ยแล้วเริ่มด่าสาดเสียเทเสียขึ้นอีกระลอกหนึ่ง “นี่ไม่ใช่ความคิดชั่วร้ายของเจ้าอีกหรือ ตอนนี้จะมาเป็นคนดีอะไร ใจคอโหดเ**้ยมอำมหิต เจ้ายังจะมีหน้าอบรมสั่งสอนลูกศิษย์ในสำนักศึกษาอีกหรือ แม้ว่าจะสามารถสอนให้ศิษย์แต่ละคนเก่งกล้าน่าอัศจรรย์ได้ แต่พวกเขาก็เป็นเพียงความหายนะ ยิ่งเก่งกล้ามากเพียงไร ภัยอันตรายยิ่งรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น”


 


 


ซุนซือเหมี่ยวมีคุณสมบัติครบถ้วนพอที่จะขึ้นเสียงถามอวิ๋นเยี่ยได้ ถังเจี่ยนนอกจากเรื่องที่ทำอะไรไม่เหมาะกับยุคสมัยแล้ว ก็ยังฝืนยกย่องให้เป็นสุภาพบุรุษที่แท้จริงได้ท่านหนึ่ง เขาจะมีสีหน้าเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองก็พอเข้าใจได้ แต่เพราะอะไรสวี่จิ้งจงจอมวายร้ายแห่งประวัติศาสตร์จึงได้วางท่าทีราวกับผู้สู่งส่งมากด้วยคุณธรรมกับเขาด้วย ยืนรวมอยู่กับซุนซือเหมี่ยวและถังเจี่ยนเสียงดังตำหนิเหอเซ่า ทั้งยังวิ่งเข้าไปข้างหน้า แก้เชือกให้วัวหนุ่ม ลูบหลังปลอบวัวด้วยสีหน้ารักใคร่และเจ็บปวด ราวกับว่าที่ถูกทรมานนั้นไม่ใช่วัวแต่เป็นภรรยาของเขา


 


 


ไม่รู้ว่าองค์กรคุ้มครองสัตว์ในยุคปัจจุบันจะกำหนดโทษของเขาหรือไม่ อย่างไรเสียข้อหาทรมานวัวก็คงหนีไม่พ้นแล้ว เหล่าซุนหยิบยาทาออกมาจากอกเสื้อและทาบนจมูกของวัวอย่างระมัดระวัง อวิ๋นเยี่ยรู้สึกว่าการทายานั้นอ่อนโยนกว่าครั้งที่แล้วที่ทาครีมให้ตัวเองเสียอีก วัวมีคุณค่ามากกว่าคนหรือ ไม่รู้ว่าคนเหล่านี้เป็นโรคอะไรกัน


 


 


ถือโอกาสที่พวกเขาสงบลงแล้ว อวิ๋นเยี่ยสั่งให้ทหารเสริมลากเกวียนมา พยายามชักแม่น้ำทั้งห้าโน้มน้าวจนซุนซือเหมี่ยวยอมให้วัวตัวนี้ลองดู


 


 


เชือกหนังวัวเส้นเล็กๆ ร้อยผ่านห่วงที่จมูกของวัวถูกทหารเสริมกำเอาไว้ในมือ เมื่อตีเบาๆ บนก้นของวัวมันก็เริ่มขยับไปข้างหน้า ทหารเสริมใช้เชือกที่อยู่ในมือควบคุมทิศทางของวัว เดินอย่างสงบเสงี่ยมวนรอบอยู่ในค่ายหนึ่งรอบ วัวตัวนี้เชื่องเป็นอย่างมาก เชื่อฟังมาก เมื่อให้เดินมันก็เดิน ให้หยุดมันก็หยุด เพียงแต่ดวงตากลมโตนั้นมีน้ำตาไหลและมีเลือดไหลออกจากรูจมูก


 


 


เมื่อมองถึงผลลัพธ์ ซุนซือเหมี่ยวถอนหายใจยาวๆ เดินโซเซกลับไปที่กระโจมของเขา ไม่ว่าอย่างไรเขาก็เข้าใจดีว่าวัวมีไว้เพื่อรับใช้ผู้คน ยิ่งเชื่อฟังมากเท่าไรก็ยิ่งดีเท่านั้น เมื่อดูจากผลลัพธ์แล้ว เขาไม่สามารถหยุดยั้งได้ ได้แต่เพียงรู้สึกเศร้าหมองใจเท่านั้น


 


 


“อวิ๋นโหว ถ้าเช่นนั้นพวกเราร่วมลงนามถวายฎีกาโดยมีเรื่องการคล้องห่วงที่จมูกวัวเป็นต้นเหตุหลัก เจ้าคิดว่าอย่างไร” ความชอบธรรมของถังเจี่ยนมลายหายไปสิ้น กลายเป็นผู้สูงส่งที่เป็นห่วงประเทศชาติและประชาชน “เพียงแค่การเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยก็ทำให้วัวหนุ่มเชื่องมากถึงเพียงนี้ เป็นเรื่องดีที่เป็นความจริง เป็นประโยชน์แห่งยุค ผลงานคงอยู่ชั่วกาล การใช้วิธีนี้ วัวที่ใช้เป็นอาหารในทุ่งหญ้าก็อาจจะเปลี่ยนเป็นวัวสำหรับไถนา ภูมิปัญญาของอวิ๋นโหวนั้นเกรงว่าข้านั้นจะเทียบไม่ติดฝุ่นเสียแล้ว”


 


 


“เรื่องดีเช่นนี้จะขาดข้าสวี่จิ้งจงได้อย่างไร ไม่เช่นนั้นให้ข้าเป็นคนจรดพู่กันเพื่อเป็นพยานกับเรื่องนี้เป็นอย่างไร” ดวงตาของสวี่จิ้งจงเปล่งประกาย เพราะเขาต้องการอยากจะมีส่วนร่วมด้วย 

 

 


ส่วนที่ 4

 

ตอนที่ 52 หนังสือรายงานของคนนอกคอก

 

“เรื่องการร่วมลงชื่อถวายฎีกาเป็นเรื่องเล็กน้อย ข้าก็ไม่รู้สึกว่ามีอะไรไม่เหมาะสม เพียงแต่มีเรื่องหนึ่งที่อยากขอคำชี้แนะจากผู้มีความรู้ของหน่วยหงหลู ตอนนี้ในราชสำนักกล่าวได้ว่ามีขุนนางพร้อมสรรพ ทั้งราชสำนักไม่มีท่านไหนที่ไม่ใช่ผู้ที่มีคุณธรรมสูงส่ง ผู้รู้ที่มีความรู้ลึกล้ำ ให้การสนับสนุนผู้เยาว์รุ่นหลังอย่างเต็มที่ เหตุใดข้าไม่เคยมีประสบการณ์ที่ได้รับความรักและการปกป้องจากเหล่าผู้อาวุโสเลย เมื่อพูดถึงเรื่องมิตรภาพส่วนตัว ทุกคนต่างตื่นเต้นดีใจกันอย่างเต็มที่ แต่เมื่อข้ากล่าวถึงเรื่องงานราชการ ผู้อาวุโสทุกคนล้วนแล้วแต่แขวนป้ายห้ามเข้าใกล้ ห่วงหน้าพะวงหลังก่อนที่จะพูดอะไร มันเป็นเพราะเหตุอันใด”


 


 


วันนี้ถังเจี่ยนมีเรื่องขอร้อง อวิ๋นเยี่ยจึงได้ใช้เรื่องการลงชื่อรับความดีความชอบมาเค้นคอถังเจี่ยน บีบบังคับให้เขาอธิบายให้ตัวเองฟังว่า เพราะอะไรขณะที่อยู่ในราชสำนัก ทุกเรื่องที่ตนเองทำจะต้องผ่านการพิจารณาหลายครั้งหลายครา ทว่าสุดท้ายกลับได้คำตอบที่คลุมเครือออกมา โดยมากก็ต้องไปพบหลี่ซื่อหมินเพื่ออธิบายให้เขาฟังอย่างละเอียด แล้วเรื่องนั้นๆ จึงจะสามารถทำต่อไปได้ ที่แท้แล้วเพราะอะไรกัน อวิ๋นเยี่ยกล้าพูดว่าตนเองไม่ได้ขัดผลประโยชน์ใคร โดยมากแล้วเป็นเรื่องที่ได้ประโยชน์ด้วยกันทั้งสองฝ่าย เพราะเหตุใดจะทำอะไรจึงได้ยากเย็นแสนเข็ญเช่นนี้


 


 


“อวิ๋นโหวไม่รู้หรือ” ถังเจี่ยนย้อนถามอวิ๋นเยี่ย


 


 


“ไม่รู้ ถึงแม้ข้าจะอายุยังน้อย แต่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับสำนักศึกษา จะต้องทำออกมาให้ได้ดีที่สุด ไม่มีอะไรให้ใครจับผิดได้”


 


 


คำพูดของอวิ๋นเยี่ยเพิ่งจะจบลง ถังเจี่ยนและสวี่จิ้งจงก็หัวเราะฮ่าๆ ดังขึ้น ซึ่งคราวนี้หัวเราะกันจนอวิ๋นเยี่ยรู้สึกงงงวยไปหมด


 


 


หลังจากหัวเราะอยู่นาน พวกเขาก็หยุด ถังเจี่ยนพูดกับสวี่จิ้งจงว่า “เหยียนจู๋ เจ้าอธิบายลู่ทางในการเป็นขุนนางให้กับโหวเหยียผู้เลอะเลือนที่มากความสามารถท่านนี้ฟังให้ละเอียดที ข้าขอหัวเราะอีกสักพักหนึ่ง มีเรื่องที่สามารถทำให้อวิ๋นเยี่ยอวิ๋นปู๋ชี่ผู้เป็นหัวโจกของสามเภทภัยแห่งฉางอันคิดไม่ตก มันช่างคุ้มค่ากับการหัวเราะให้สาแก่ใจจริงๆ”


 


 


สวี่จิ้งจงปาดน้ำตาพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า


 


 


“อวิ๋นโหว เจ้าโชคร้ายก็อยู่ที่ว่าเจ้าคิดคำนวณทุกเรื่องรอบคอบมากเกินไป ทำให้เหล่าขุนนางเบื้องบนไม่สามารถหาจุดบอดอะไรได้เลย การที่ขุนนางเบื้องบนจะอยู่เบื้องบนได้นั้นก็เพราะเขาจะต้องฉลาดกว่าเจ้า แต่หนังสือรายงานของเจ้าทำให้พวกเขารู้สึกว่า เจ้าต่างหากที่เป็นขุนนางที่อยู่เบื้องบน เพื่อที่จะกำจัดความคิดแปลกประหลาดอันนี้ทิ้ง จึงต้องค้นหาข้อผิดพลาดจากคำพูดของเจ้า แม้ว่าจะพบเพียงตัวอักษรที่เขียนผิดเพียงหนึ่งตัวก็นับว่าใช่ แต่น่าเสียดายที่เจ้าไม่ได้ให้โอกาสพวกเขาเลย การที่เจ้ามอบหนังสือรายงานให้ขุนนางเบื้องบน ก็เพื่อให้เขาช่วยแก้ไขหรือเพิ่มเติมให้เจ้าและสุดท้ายได้รับการตอบกลับ แต่หนังสือรายงานของเจ้าไม่ได้แสดงถึงการร้องขอให้พวกเขาช่วยแก้ไขเลย ซึ่งแสดงให้เห็นว่าอีกฝ่ายหนึ่งเป็นเพียงคนโง่ เพื่อที่จะไม่ให้ตนเองต้องเป็นคนโง่ พวกเขาจึงจำเป็นต้องลำบากเจ้าให้เจ้าช่วยเป็นคนโง่แทน


 


 


เมื่อตอนข้าอยู่ที่กรมโยธา ก็มักจะถูกเรียกให้ไปอ่านหนังสือรายงานที่เจ้าเขียน พูดตามตรง คำร้องขอทุกอย่างของเจ้าล้วนแล้วแต่มีเหตุผลและพิสูจน์ได้ ความคิดทุกอย่างล้วนเกินความคาดหมายของผู้คน แต่กลับเรียกได้ว่ายอดเยี่ยมมาก ทุกครั้งที่ข้าได้อ่านก็จะได้ความรู้ใหม่ๆ มักจะตบโต๊ะร้องว่าเยี่ยมอยู่เสมอ อยากจะไปสำนักศึกษาด้วยตนเองเพื่อขอเข้าเรียนเสียให้ได้ หนังสือรายงานเช่นนี้ข้าจำได้ว่ามีทั้งหมดสามเล่ม เล่มแรกคือ ‘หนังสือรายงานขออนุมัติการสร้างสถาบันวิจัยแห่งใหม่’ เล่มที่สองคือ ‘หนังสือขอเบิกจ่ายค่าแรงสำหรับการทำงาน’ เล่มที่สามคือ ‘ปริทรรศน์สำนักศึกษา’ ที่มีชื่อเสียงอันโด่งดัง


 


 


ข้าเคยอ่านหนังสือรายงานไม่ต่ำกว่าหนึ่งพันบท และหนังสือรายงานของเจ้าประทับใจข้าที่สุด เล่มแรกเจ้าอธิบายถึงความจำเป็นในการจัดตั้งสำนักศึกษาจากมุมมองสี่ด้าน ไม่ว่าจะเป็นทางทหาร การทำงาน การเกษตรกรรมและการค้า


 


 


แต่ละข้อนั้นใช้ตรรกะในการพิสูจน์ได้อย่างชัดแจ้งและทำได้จริงซึ่งทำให้ผู้อ่านไม่อาจหาข้อโต้แย้งได้ รู้สึกแค่ว่าเพียงลงชื่อและประทับตราประทับลงบนหนังสือรายงานนี้เท่านั้นเป็นอันเสร็จสิ้น ไม่จำเป็นต้องคิดพิจารณาอะไรอีก เรื่องนี้เจ้าจะต้องทำสำเร็จลุล่วงได้อย่างแน่นอน


 


 


เล่มที่สอง ‘หนังสือขอเบิกจ่ายค่าแรงสำหรับการทำงาน’ ไม่จำเป็นต้องพูด ท่านเจ้ากรมกรมโยธาได้ใช้มันเป็นต้นแบบในกรมโยธาแล้ว ตัวอักษรประหลาดๆ แต่กลับบันทึกค่าใช้จ่ายได้อย่างถูกต้องแม่นยำ ทำให้พวกเราตระหนักว่าที่แท้แล้วการคำนวณต้นทุนของโครงการหนึ่งๆ ยังสามารถทำเช่นนี้ได้ด้วย เจ้าไม่รู้ว่าท่านเจ้ากรมโยธาอ่านหนังสือรายงานของเจ้าจนเหงื่อออกเต็มหลัง หากหนังสือรายงานเหล่านี้ได้รับอนุมัติทั้งหมด กรมโยธาไม่เป็นตัวตลกสิจึงจะเป็นเรื่องแปลก เจ้าคิดว่าหนังสือรายงานเช่นนี้จะได้รับอนุมัติหรือไม่


 


 


ส่วนเล่มที่สามซึ่งก็เป็นผลงานที่เจ้าภูมิใจ มันเองก็ทำให้เหล่ามหาอำมาตย์ทั้งสามสำนักดูล้มเหลวไม่เป็นท่า เกรงว่าแม้จะเป็นฝ่าบาทก็คงจะรู้สึกเสียใจภายหลังเป็นแน่ที่ทรงตรัสประโยคอันโอ้อวดนั้นว่า วีรบุรุษผู้เก่งกล้าใต้หล้านี้ได้มารวมตัวกันอยู่ที่นี่แล้ว อย่างไรก็ตามข้าไม่กล้าพอที่จะวิพากวิจารณ์ และไม่มีความสามารถพอในการแสดงความคิดเห็น ได้ยินว่าหลังจากที่ฝ่าบาททรงทอดพระเนตรหนังสือรายงานของเจ้า พอกลับไปที่วังแล้วได้ลงโทษขันทีฝ่ายในเจ็ดแปดคน เช้าวันรุ่งขึ้นจึงมีพระราชโองการสั่งให้จัดตั้งสำนักศึกษาด้วยพระองค์เอง อีกทั้งยังทรงมีรับสั่งกับขุนนางทุกคนว่า ต่อไปหนังสือรายงานทุกฉบับจะต้องทำได้ถึงขั้นที่ว่าทุกคำกล่าวต้องมีหลักฐาน หากทั้งฉบับเป็นเพียงคำพูดน้ำท่วมทุ่งที่เอาแต่ประจบสอพลอ ยกยอปอปั้นปั้นแต่งผลงานจะต้องถูกปรับเงิน หักเสบียงและเงินเดือน ถังหงหลู! เจ้าเองก็เคยถูกหักเงินและเสบียงใช่ไหม”


 


 


ถังเจี่ยนยิ้มและพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “ข้านั้นโชคไม่ดี ข้าถวายหนังสือรายงานเพื่อเบิกเงินหลังจากที่ ‘หนังสือขอเบิกจ่ายค่าแรงสำหรับการทำงาน’ ของเจ้าได้ถูกนำส่งขึ้นไปแล้ว ใครจะรู้ว่านอกจากจะไม่ได้เงินแล้ว ตัวเองยังถูกหักเงินอีกเป็นเวลาสองเดือน เจ้าหนุ่ม นี่คือภัยพิบัติที่เจ้าก่อขึ้น ทำให้ข้าต้องถูกหัวเราะเยาะถึงครึ่งปี หนี้ก้อนนี้เจ้าจะชำระอย่างไรดี”


 


 


อวิ๋นเยี่ยเข้าใจในทันใดว่าต้นตอของปัญหาอยู่ที่นี่ จึงทำให้ตนเองกลายเป็นคนนอกคอกในราชสำนักอย่างงงงวย เหล่าขุนนางทั้งหลายต่างก็พึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน เอาตัวรอดไปวันๆ


 


 


จู่ๆ ก็มีคนน่ารังเกียจปรากฏตัวออกมากวนน้ำในสระที่เดิมใสสะอาดจนกลายเป็นน้ำขุ่นสกปรก ทำให้ทุกคนอยู่ไม่เป็นสุข แน่นอนว่าต้องหาข้อผิดพลาดของชายผู้นี้


 


 


ยังโชคดีที่ขณะที่ทุกคนกำลังรอให้อวิ๋นเยี่ยวางแผนการอันยิ่งใหญ่และยาวไกลอยู่นั้น คิดไม่ถึงว่าอวิ๋นเยี่ยจะไร้ซึ่งปณิธาน ความกล้าถดถอยหนีไปหลบอยู่ในสำนักศึกษา ทำให้พวกเขาดวงตาเกือบถลนออกจากเบ้า เมื่อคิดถึงตรงนี้อวิ๋นเยี่ยนั้นแอบภาคภูมิใจ ฉันอยู่เหนือความคาดหมายของทุกคนอยู่แล้ว มีกระดูกสุนัขท่อนหนึ่ง พวกเจ้ากลับแย่งกันอย่างไม่ลืมหูลืมตา ฉันยืนอยู่ข้างๆ กินเนื้อพลางดูเรื่องสนุก หากมีอะไรที่ขัดตาก็เข้าไปเตะทิ้ง มีอะไรไม่ดีกัน


 


 


“หึๆ ก็เพียงแค่เอกสารทางการที่มีแบบแผนตายตัวสามฉบับก็ทำให้พวกท่านราวกับเจอศัตรูตัวยง จะบอกอะไรให้ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตามต้องฟันฝ่าอุปสรรคเพื่อก้าวหน้าต่อไป พวกเจ้ากำลังนอนกินเงินเก่าที่ได้มาจากความดีความชอบ ก็ยังพอมีเวลาสองสามปี รอให้นักเรียนในสำนักศึกษาจบการศึกษาเสียก่อน หนังสือราชการงานเขียนของพวกเขานั้นจะเหมือนที่ข้าเขียนราวกับแกะออกจากแม่พิมพ์อันเดียวกันเลย ถึงเวลานั้นมันจะไม่ใช่สามฉบับ แต่จะเป็นสามสิบ สามร้อยฉบับ ถึงตอนนั้น ท่านถัง ท่านสวี่ พวกท่านจะจัดการตัวเองอย่างไร ” อวิ๋นเยี่ยพูดจบก็หัวเราะฮ่าๆ พลางเดินจากไป


 


 


“เหล่าถัง ข้าไม่เป็นไร หลังจากกลับไป ข้าจะได้บรรจุเป็นกรรมการของสำนักศึกษา อย่างมากก็ยอมลดทิฐิไปที่ห้องเรียนเพื่อฟังบรรยาย ด้วยคุณสมบัติของข้าสวี่จิ้งจง มีหรือจะเรียนไม่รู้เรื่อง เหล่าถัง เจ้ารอดูหนังสือรายงานฉบับใหม่ของข้าก็แล้วกัน” เห็นถังเจี่ยนมีท่าทีคิดหนักจึงกระตุ้นเขาสักหน่อย จากนั้นก็เอามือไพล่หลังเดินไปดูว่าเหอเซ่าสวมห่วงที่จมูกให้วัวตัวอื่นอย่างไรด้วยความสบายอกสบายใจ


 


 


เสียงร้องโหยหวนของวัวทำให้ถังเจี่ยนได้สติคืนมา เมื่อคิดถึงที่อวิ๋นเยี่ยบอกว่าภายหน้าจะมีหนังสือรายงานเช่นนี้ก่อกำเนิดขึ้นอย่างท่วมท้นมากมายนับไม่ถ้วน แต่ตัวเขาเองกลับไม่สามารถตัดสินข้อผิดพลาดในนั้นได้ ภายใต้สถานการณ์ที่เลวร้ายเช่นนี้ นอกเหนือจากลาออกจากราชการกลับบ้านเกิดแล้ว ตัวเองก็ไม่มีทางเลือกอื่น


 


 


ไม่ได้ ให้ข้าไปเรียนที่สำนักศึกษามันน่าอับอายเกินไป แต่ลูกน้อยที่ชาญฉลาดที่บ้านสามารถไปได้นี่ เขายังเป็นเด็กอยู่ เขาบ่นว่าอยากจะไปเรียนที่สำนักศึกษามานานแล้วไม่ใช่หรือ


 


 


เมื่อปมในใจได้รับการแก้ไขแล้ว เขาก็รู้สึกผ่อนคลาย แม้แต่เสียงร้องโหยหวนของวัวนั้นก็ยังไพเราะน่าฟัง


 


 


เมื่ออวิ๋นเยี่ยกลับมาถึงกระโจม ท้องฟ้าก็มืดสนิทแล้ว ที่จริงแล้วเขาหวังเป็นอย่างมากว่าน่ารื่อมู่จะยอมรับความหวังดีของเขา เมื่อครู่ก็เพียงแค่ตั้งใจหลีกเลี่ยง เพื่อปล่อยให้เกิดพื้นที่ว่างให้ฮ่วนเหนียงเกลี้ยกล่อมน่ารื่อมู่ ตอนนี้ในกระโจมมีเขาอยู่เพียงลำพัง อวิ๋นเยี่ยคิดว่าควรเข้านอนได้แล้ว ในยุคสมัยโบราณที่ปราศจากความบันเทิง เขาเกิดความเคยชินกับวัฏจักรชีวิตที่เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นทำงานและพระอาทิตย์ตกก็พักผ่อนแล้ว


 


 


ไม่รู้ว่าจะฮ่วนเหนียงไปไหนแล้ว แม้แต่น้ำล้างเท้าก็ไม่เตรียมไว้ให้ แม้ว่าจะอยู่ด้วยกันในช่วงเวลาสั้นๆ อวิ๋นเยี่ยถูกฮ่วนเหนียงตามใจจนเป็นคุณชายใหญ่ที่เมื่อข้าวป้อนมาก็อ้าปาก เสื้อผ้ายื่นมาก็กางแขนไปแล้ว


 


 


ช่วยไม่ได้ คนไม่อยู่ จึงได้แต่ทำด้วยตัวเองเท่านั้น ก่อนที่เขาจะลงมือทำ ผ้าม่านกระโจมก็ถูกเปิดขึ้น น่ารื่อมู่ที่สวมชุดงดงามสีแดงเดินเข้ามา คืนนี้นางแปลกมาก บนใบหน้าไม่มีคราบโคลนแม้แต่นิดเดียว สองมือที่ยกอ่างน้ำก็สะอาดสะอ้าน บนศีรษะก็เต็มไปด้วยเครื่องประดับเงิน ไม่รู้ว่านางไปเอามาจากไหน


 


 


วันนี้ในกระโจมไม่มีตะเกียงน้ำมัน แต่มีเทียนขนาดใหญ่สองอัน เห็นชัดๆ ว่าเป็นสีขาวแต่กลับถูกคนเคลือบด้วยแป้งสีแดง สภาพแวดล้อมผิดปกติ บรรยากาศผิดปกติ แม้แต่คนก็ดูผิดแปลกไป ขณะที่อวิ๋นเยี่ยกำลังขยับเส้นประสาทเพื่อคาดเดาว่าเพราะอะไรจึงเป็นเช่นนี้อยู่นั้น น่ารื่อมู่ก็ย่อตัวลงและวางอ่างน้ำบนพื้น ก่อนจะผลักอวิ๋นเยี่ยลงบนเตียง ถอดเสื้อ ถอดรองเท้า ถุงเท้าของอวิ๋นเยี่ยออก


 


 


สองมือของน่ารื่อมู่ค่อนข้างหยาบ นางจับเท้าอวิ๋นเยี่ยฝืนจุ่มลงไปในอ่างน้ำ น้ำในอ่างนั้นร้อนมาก อวิ๋นเยี่ยอยากดึงเท้ากลับเป็นอย่างมากแล้วตบหน้าน่ารื่อมู่สักฉาดหนึ่ง แต่เห็นว่าน่ารื่อมู่มีสีหน้าจริงจัง จึงฝืนการกระทำที่ไม่เหมาะของเท้าเพื่อดูว่านางจะทำอะไร


 


 


มือที่หยาบกร้านปัดผ่านฝ่าเท้าไป รู้สึกคันมาก น่ารื่อมู่ก็ดูแลใครไม่เป็น ดึงนิ้วเท้าแล้วออกแรงถู นี่ไม่ได้เรียกว่าเสพสุขเลย ราวกับว่ากำลังถูกทรมานชัดๆ โชคดีที่นางล้างอย่างรวดเร็ว ขณะที่เท้าของอวิ๋นเยี่ยซึ่งถูกลวกจนแดงพองยกขึ้นจากอ่างน้ำ อวิ๋นเยี่ยก็แอบคร่ำครวญว่าจะสุกอยู่แล้ว


 


 


ทุกครั้งที่ล้างเท้าเสร็จ ถ้าเป็นฮ่วนเหนียง นางจะยกอ่างน้ำออกไปแล้วทับผ้าม่านกระโจมให้เรียบร้อยเพื่อไม่ให้ลมพัดเข้ามา


 


 


คืนนี้น่ารื่อมู่เป็นคนล้างเท้าให้อวิ๋นเยี่ย ดังนั้นนางจึงไม่ออกไป ทั้งยังถึงกับเริ่มถอดเสื้อผ้าออก เมื่อคิดโยงไปถึงฉากประหลาดทั้งหมดในคืนนี้ อวิ๋นเยี่ยก็เข้าใจว่าคืนนี้เขาถูกจับแต่งงาน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าผู้บงการก็คือฮ่วนเหนียง ผู้ลงมือปฏิบัติคือน่ารื่อมู่ พวกเขาถึงกับมีเวลาทำเทียนสีแดงสองเล่มมาได้


 


 


พริบตาเดียว น่ารื่อมู่ก็เปลื้องผ้าจนเปลือยเปล่าแล้วมุดตัวเองเข้าไปในผ้าห่ม เผยให้เห็นเพียงดวงตากลมโตที่สดใสคู่หนึ่ง กะพริบตาปริบๆ ให้อวิ๋นเยี่ยไม่ยอมหยุด หรือจะบอกว่านี่คือส่งตาหวานที่เล่าลือในตำนาน


 


 


อวิ๋นเยี่ยรู้กฎระเบียบของทุ่งหญ้าดี ถ้าตอนนี้เขาขับไล่น่ารื่อมู่ออกไป พรุ่งนี้ก็รับประกันได้เลยว่านางต้องกลายเป็นศพอย่างแน่นอน ขณะที่ยังอยู่ในค่ายของอวิ๋นเยี่ย คนในเผ่าของนางไม่กล้าทำร้ายนาง ผู้ที่สามารถทำร้ายนางได้มีเพียงตัวนางเอง หญิงที่ถูกลากออกไปข้างนอกในคืนแต่งงานก็คืออูหมี่หรือก็คือหญิงที่เป็นหมัน ตามที่เล่าขานกันว่าภรรยาของเทพเจ้าทังกรีนั้นคืออูหมี่ที่งดงามที่สุดในแผ่นดิน อูหมี่คือผู้ที่ถูกปีศาจร้ายสาปให้นางไม่สามารถสืบเชื้อสายให้กับเทพเจ้าทังกรีได้ชั่วชีวิต อูหมี่จึงไปยังดินแดนแห่งความตายด้วยตัวเองและเฉือนเนื้อบนร่างกายทั้งหมดทิ้ง เหลือเพียงโครงกระดูก จากนั้นก็ใช้ส่วนที่งดงามที่สุดของหญิงพรหมจารีเก้าสิบเก้าคนที่เสียชีวิตไปแล้วมารวมกันเป็นร่างของนาง ด้วยเหตุนี้นางจึงงดงามยิ่งขึ้น จากนั้นนางกับเทพเจ้าทังกรีได้ค่อยๆ ช่วยกันรวบรวมชนเผ่าแห่งทุ่งหญ้าอันยิ่งใหญ่ขึ้นมา ดังนั้นหญิงที่เป็นหมันจึงต้องไปยังดินแดนแห่งความตายหนึ่งครั้ง หากตัวนางไม่ต้องการไป คนในเผ่าผู้ซึ่งกระตือรือร้นก็จะช่วยพานางไป


 


 


ไม่รู้ว่าน่ารื่อมู่มีความสามารถในการฟื้นคืนชีพหรือไม่ อวิ๋นเยี่ยคิดว่าความเป็นไปได้นี้น้อยมาก จึงไม่ได้ไล่น่ารื่อมู่ออกไป อวิ๋นเยี่ยจึงต้องปีนขึ้นไปบนเตียงแล้วพูดกับน่ารื่อมู่ว่า “กระเถิบเข้าข้างในหน่อย เหลือที่ว่างให้ข้าหน่อย”


 


 


ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ ได้ยินแต่เพียงเสียงลมหายใจเบาๆ ของน่ารื่อมู่เท่านั้น 

 

 


ส่วนที่ 4

 

ตอนที่ 53 ความลับของศีรษะคน

 

นางถึงกับหลับไปแล้ว น่ารื่อมู่ที่เมื่อครู่ยังกะพริบดวงตากลมโตเพื่อยั่วยวนตัวเองอยู่ตอนนี้กลับหลับสนิทไปแล้ว นี่มันอะไรกัน อวิ๋นเยี่ยเกาศีรษะแล้วมองน่ารื่อมู่ซึ่งกำลังนอนหลับฝันหวาน คิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจผู้หญิงคนนี้ มีผู้หญิงคนไหนบ้างที่ยั่วยวนเจ้าบ่าวเพียงหนึ่งนาทีในคืนวันแต่งงานแล้วหลับไป นางไม่รู้หรือว่ายังไม่ได้ทำเรื่องสำคัญอย่างอื่นอีกที่ต้องทำต่อจากนี้


 


 


อวิ๋นเยี่ยมุดเข้าไปในผ้าห่มแล้วถอนหายใจยาว หันไปมองใบหน้าที่ยังคงแดงก่ำอยู่ข้างๆ ยังไม่เรียกว่าสวย ผิวค่อนข้างคล้ำ แต่ดวงตาคู่นั้นใสสะอาดเหมือนสระน้ำในฤดูใบไม้ผลิ สามารถมองเห็นท้องฟ้าสีฟ้าครามและเมฆสีขาวจากข้างในนั้น สิ่งเดียวที่มองไม่เห็นก็คือความสับสนวุ่นวายของโลกใบนี้


 


 


อวิ๋นเยี่ยหยิบปอยผมที่อยู่ข้างหน้าผากนาง แล้วใช้ปอยผมนั้นแหย่เข้าไปในรูจมูกของนาง นางกำมือขยี้จมูกไปมา ทั้งยังดึงผ้าห่มมาห่มให้แน่นขึ้นอีก ในตอนนี้เองที่อวิ๋นเยี่ยนึกขึ้นได้ว่านางอายุเพียงสิบสี่ปี


 


 


หลายวันก่อนขณะที่อวิ๋นเยี่ยนั่งนับกาลาฮั่นที่อยู่ในอกเสื้อจึงคำนวณอายุของนางได้ กระดูกข้อต่อของแกะสิบสี่ตัวซึ่งถูกนางนำไปเล่นจนดำขลับ ด้านนอกดูเหมือนว่ามันจะถูกปกคลุมด้วยหยกเหลวสีน้ำตาลอยู่หนึ่งชั้น ในตำนานกล่าวกันว่า หยกที่ดีที่สุดจะต้องขัดด้วยมือของหญิงสาวเท่านั้น มีเพียงวิธีนี้จึงจะสามารถยกระดับคุณภาพของหยกได้ หยกชิ้นนั้นของอวิ๋นเยี่ยที่ถูกแขวนไว้บนคอของน่ารื่อมู่ในตอนนี้ ไม่รู้ว่าอีกหลายสิบปีข้างหน้ามันจะมีค่ามากกว่านี้มาหรือไม่


 


 


อวิ๋นเยี่ยตบหน้าตัวเองเบาๆ นี่มันความคิดอะไรกัน ถึงแม้ว่าตอนนี้ตนเกิดความใคร่เป็นอย่างมากก็ควรต้องตั้งสติให้ดี เช่นนั้นก็ไม่ควรจะมีความคิดประหลาดเช่นนี้ เด็กหญิงอายุสิบสี่ปีในยุคปัจจุบันกำลังทำอะไรอยู่ ไม่รู้สิ แต่ไม่ไล่ต้อนแกะทุกวันเป็นแน่ และไม่ได้เผชิญหน้ากับความตายได้ตลอดเวลาด้วย


 


 


เขาทำตัวเหมือนสัตว์ป่าไม่ลง จะลงมือทำเรื่องนั้นไม่ได้จริงๆ แม้ว่าหญิงบนทุ่งหญ้าจะแก่เกินวัย ร่างกายก็มีพัฒนาการอยู่ในระดับหนึ่ง ทุกครั้งที่เกิดความใคร่ขึ้นมา อวิ๋นเยี่ยก็จะเกิดความรู้สึกผิดบาปอย่างร้ายแรง การให้การศึกษาภายใต้แนวคิดความปรองดองในสังคมนั้นถือว่าประสบผลสำเร็จในตัวเขาเป็นอย่างมาก


 


 


น่ารื่อมู่นอนหลับอย่างเป็นสุขมาก แต่อวิ๋นเยี่ยนอนอย่างทรมานมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อน่ารื่อมู่หลับจนถึงเที่ยงคืน ขาข้างหนึ่งยื่นออกมาพาดไว้ที่ท้องของเขา จึงยิ่งเหมือนจะเอาชีวิตของอวิ๋นเยี่ย พยายามฝืนนำขาของนางซุกกลับเข้าไปในผ้าห่ม ในหัวคิดถึงซินเย่ว์อย่างสุดชีวิตเท่านั้นจึงได้ผ่านพ้นมาได้


 


 


ไม่มีเสียงไก่ขันบนทุ่งหญ้า แต่น่ารื่อมู่ก็ตื่นขึ้นมาได้ตรงเวลา ในเวลานี้ดวงดาวยังคงลอยอยู่บนท้องฟ้า อวิ๋นเยี่ยที่ขอบตาดำคล้ำไม่รู้ว่าใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความสุขของนางมาจากไหน มีเสียงดังสวบสาบ ครั้นสวมเสื้อผ้าเสร็จน่ารื่อมู่ก็หอมแก้มอวิ๋นเยี่ยเบาๆ แล้วเปิดม่านด้วยใบหน้าเปี่ยมสุข เดินออกไปประหนึ่งแม่ทัพใหญ่เพิ่งชนะศึก


 


 


เทียนสีแดงในกระโจมยังไหม้ไม่หมด กำลังส่องแสงวูบวาบจวนจะดับ ไม่รู้ว่าฮ่วนเหนียงเข้ามาเมื่อไหร่กัน นางยิ้มตาหยีแล้วถามว่า “นายท่าน เมื่อคืนนอนหลับสนิทดีหรือไม่”


 


 


อวิ๋นเยี่ยพูดด้วยความโกรธว่า “ดีบ้าอะไรกัน ข้าไม่ได้นอนทั้งคืน พวกเจ้าเล่นตลกอะไรกัน”


 


 


ฮ่วนเหนียงเอามือป้องปากด้วยความตกใจและพูดว่า “นายท่าน ท่านเองก็ควรห่วงสุขภาพของตัวเองด้วย คนหนุ่มสาวมีความต้องการมากจนไม่รู้จักหักห้ามใจเช่นนี้ไม่ดีนะ” เมื่อพูดจบก็เหล่มองบนเตียง


 


 


อวิ๋นเยี่ยกระโดดลุกขึ้นยืน เปิดผ้าห่มออก แล้วพูดกับฮ่วนเหนียงว่า “อายุปูนนี้แล้วคิดอะไรของเจ้ากัน เมื่อคืนนี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น”


 


 


เมื่อมองดูเตียงที่สะอาดสะอ้าน ฮ่วนเหนียงสงสัยมากว่า “น่ารื่อมู่บอกข้าว่าเมื่อคืนนี้นางนอนกับท่านนี่”


 


 


“ใช่ นอนกับข้า ก็เพียงแค่นอนเท่านั้น พอขึ้นเตียงนางก็นอนหลับเป็นตายจนฟ้าสาง กลางดึกยังแย่งผ้าห่มของข้าด้วย ข้าต้องนอนแช่แข็งหนาวอยู่ค่อนคืน คราวหน้าความคิดที่ไม่มีราคาเช่นนี้ก็ทำให้น้อยๆ ลงหน่อย ข้าจะได้ถูกแช่แข็งน้อยลงอีกสองครั้ง” อวิ๋นเยี่ยที่ตื่นมาในตอนเช้ารู้สึกหงุดหงิดใจเป็นอย่างยิ่ง


 


 


ฮ่วนเหนียงเบิกตาโตมองขึ้นๆ ลงๆ พิจารณาอวิ๋นเยี่ยไม่ยอมหยุด ดูเหมือนว่าจะเห็นรอยอะไรบางอย่าง


 


 


“อย่าคิดได้คิดเหลวไหล สุขภาพข้ายังแข็งแรงดี ไม่มีโรคอะไรที่บอกใครไม่ได้ เพียงแค่ไม่ต้องการทำอะไรมั่วซั่วเท่านั้น หากข้าต้องการนางจริงก็จะดำเนินการอย่างเปิดเผย การทำเช่นนี้มันหมายความว่าอย่างไร พวกเราจะกลับกันพรุ่งนี้ อย่าไปทำร้ายสาวน้อยซื่อบื้อคนนั้นเลย”


 


 


ฮ่วนเหนียงก้มหน้าลง ลังเลอยู่เป็นนานก่อนจะพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “นายท่าน ข้าไม่อยากกลับไปฉางอันแล้ว ข้าจะอยู่ที่นี่กับน่ารื่อมู่”


 


 


อวิ๋นเยี่ยหยุดมือที่ใส่เสื้อผ้าอยู่ ถามอย่างประหลาดใจว่า “ไม่ใช่ว่าเจ้าอยากกลับฉางอันมาโดยตลอดหรือ เจ้าวางใจ ในครอบครัวข้ามีแต่ผู้หญิงทั้งนั้น เจ้าต้องเข้ากันได้ดีกับพวกนางอย่างแน่นอน ใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างสงบสุขไม่ดีหรือ”


 


 


 “นายท่าน ข้าไม่มีญาติอีกแล้ว ข้าเชื่อว่าเมื่อกลับฉางอันท่านก็จะดูแลข้าอย่างดี ข้าใช้ชีวิตอยู่บนทุ่งหญ้าเป็นเวลาสามสิบปีแล้ว คุ้นเคยกับการใช้ชีวิตที่นี่แล้ว นอกจากนี้ข้าก็ชอบน่ารื่อมู่มาก อยู่กับนางข้ารู้สึกว่ามีความสุขมาก” ฮ่วนเหนียงยิ้มพูดกับอวิ๋นเยี่ย


 


 


“เจ้ากับน่ารื่อมู่เพิ่งจะอยู่ด้วยกันเพียงหนึ่งเดือน ไม่ทันไรก็ชอบนางถึงเพียงนี้แล้วหรือ”


 


 


“คนบางคนอยู่ด้วยกันเพียงสองสามวันก็เสมือนว่าอยู่ด้วยกันมาหลายปีแล้ว คนบางคนแม้ว่าจะอยู่ด้วยกันตลอดชีวิตก็ยังคงเหมือนคนแปลกหน้า ข้าเข้าใจความรู้สึกน่ารื่อมู่ดี ดังนั้นจึงหาโอกาสเช่นนี้ให้นาง ใครจะรู้ว่ายายเด็กโง่คนนี้แม้แต่โอกาสสุดท้ายนี้ก็ไม่รู้จักไขว่คว้าไว้ โหวเหยีย อย่าทอดทิ้งสาวโง่คนนี้เลย หากไม่ได้รับการสนับสนุนจากท่าน นางก็ไม่สามารถมีชีวิตอยู่บนทุ่งหญ้าได้อย่างแน่นอน” ฮ่วนเหนียงดึงชายเสื้อของอวิ๋นเยี่ยพร้อมทั้งอ้อนวอน


 


 


“ฮ่วนเหนียง เจ้าต้องคิดให้ดี ว่าสุดท้ายแล้วเจ้าจะอยู่ในทุ่งหญ้าหรือกลับฉางอัน ไม่ต้องกังวลเรื่องน่ารื่อมู่ข้าจะจัดการเรื่องนางให้เรียบร้อย เจ้าเพียงพิจารณาเรื่องตัวเองก็พอ”


 


 


 ฮ่วนเหนียงยืนอยู่ด้านหลังอวิ๋นเยี่ย จับผมขึ้นมาเกล้ามวยผมให้ สวมหมวกให้เขา แล้วจัดที่ปิดหูทั้งสองข้างให้เรียบร้อย เหลือบมองเจ้านาย “ข้าหลงรักทุ่งหญ้าแห่งนี้มานานแล้ว ชอบบรรยากาศที่อิสรเสรีของที่นี่ นายท่าน ไม่ต้องเป็นห่วงข้า องค์หญิงอยู่ที่นี่เพียงลำพังคงอ้างว้าง ข้าจะอยู่เป็นเพื่อนนาง”


 


 


“ข้าจะทิ้งข้าวของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันทั้งหมดไว้ให้เจ้า เจ้าต้องดูแลตัวเองให้ดี ถ้าหากไม่อยากอยู่ที่ทุ่งหญ้าแล้ว เมื่อถึงฤดูใบไม้ร่วงจะมีกองคาราวานมาที่นี่ เจ้าก็ตามพวกเขากลับฉางอันก็แล้วกัน”


 


 


อวิ๋นเยี่ยเคารพในการเลือกของคนอื่นเสมอ ไม่ว่าเขาจะเป็นใครก็ตาม ขอเพียงคนผู้นั้นเลือกชัดเจน อวิ๋นเยี่ยก็จะให้เขาได้สมหวัง ในมุมมองของเขา อายุขัยเฉลี่ยของผู้คนในราชวงศ์ถังมีอายุเพียงสามสิบปี หากไม่ปล่อยให้พวกเขามีชีวิตอยู่อย่าง ‘อิสระ’ เสียหน่อย ไม่เช่นนั้นชีวิตนี้จะต่างอะไรกับเครื่องดนตรีที่ถูกเคลื่อนย้ายไปมา


 


 


น่ารื่อมู่ไปเลี้ยงแกะแล้ว ได้ยินเสียงที่มีความสุขของนางตั้งแต่ไกล เสียงเพลงก็เต็มไปด้วยความสุขและความคาดหวัง


 


 


เฉิงฉู่มั่วกลับมาแล้ว หลายวันนี้เขาไล่กวาดล้างชนเผ่าเล็กๆ ที่ไม่ยอมสยบ ตามที่เขาบอก เพียงแค่กองทัพเคลื่อนพลเข้าไปก็กำจัดพวกกบฏทั้งหมดทิ้งอย่างสิ้นซาก เขากลับมาตั้งแต่เมื่อคืนนี้แล้ว ตั้งใจจะมาคุยกับอวิ๋นเยี่ย แต่สุดท้ายกลับถูกฮ่วนเหนียงห้ามไว้ โดยบอกเขาว่าคืนนี้อวิ๋นโหวไม่สะดวกรับแขกในคืนนี้


 


 


ชายที่ปกติแล้วโง่จนต้องให้อวิ๋นเยี่ยผ่ากะโหลกศีรษะของเขาออกเพื่อเติมอะไรหลายๆ อย่างเข้าไป ใครจะรู้ว่าในเรื่องนี้แล้วเขากลับเรียนรู้ได้ด้วยตนเองเพียงแค่มองแววตาของฮ่วนเหนียง จึงไปหาเหอเซ่าดื่มเหล้าด้วยความเข้าใจอย่างถ่องแท้


 


 


เมื่อตื่นเช้ามาก็เอาแต่เดินวนเวียนรอบๆ อวิ๋นเยี่ย ยังไม่พอ ยังดมกลิ่นฟุดฟิดบนตัวอวิ๋นเยี่ย แล้วหยิบเส้นผมเส้นหนึ่งจากบนเตียง อ้าปากยิ้มอย่างซื่อบื้อ หันมาหาอวิ๋นเยี่ย มีแสงเปล่งประกายภายในดวงตาที่ยิ้มจนตาหยี ซึ่งไม่เคยเป็นมาก่อน


 


 


“ทำไมดวงตาเจ้าเปล่งประกายความโง่ออกมา ไม่เจอกันหลายวัน ไปหัดเรียนรู้การเดาความคิดคนมาจากไหน” พูดกับเฉิงฉู่มั่วไม่ต้องอ้อมค้อม ถามด้วยความไม่เข้าใจไปเลยตรงๆ ก็พอ


 


 


“เสี่ยวเยี่ย เจ้าเริ่มวางแผนการตั้งแต่เนิ่นๆ เพียงนี้เลยหรือ พ่อข้าบอกข้าว่ากระต่ายมีสามรัง เป็นคนจึงควรมีห้าหรือหกรังจึงจะดี ถ้าหากมีรังที่ถูกทำลายโดยไม่ได้ตั้งใจ ก็ยังมีเหลืออีกสี่รังใช่ไหม ก็ดังคำพูดที่ว่าคนเราหากไม่มองการณ์ไกล เช่นนั้นแล้วภัยก็รออยู่เบื้องหน้า”


 


 


“คำพูดเหลวไหล กระต่ายสามรังอะไรของเจ้า ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่โอรสสวรรค์ปกครองประเทศ มีความจำเป็นต้องเตรียมตัวด้วยหรือ เฉพาะช่วงเวลาเกิดภัยพิบัติเท่านั้นจึงควรที่จะต้องเตรียมการบ้าง ข้าก็เพียงแต่สงสารน่ารื่อมู่ คนคนเดียวต้องดูแลเด็กที่กำลังจะโตเหล่านั้น ใช้ชีวิตไม่ง่ายเลย จึงได้ให้สถานที่ปักหลักใช้ชีวิตก็เท่านั้นเอง ต่อไปห้ามพูดเรื่องไร้สาระอีก” อวิ๋นเยี่ยสั่งสอนเฉิงฉู่มั่วด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมเปี่ยมด้วยคุณธรรม


 


 


“พี่ชายเข้าใจดีว่าเจ้าหาเรื่องให้หงเฉิงจากไป ตอนนี้ในกองทัพไม่มีทหารหน่วยข่าวกรอง หากจะเล่นตุกติกอะไรนิดหน่อยก็ไม่มีคนรู้ ต่อไปไม่ว่าใครจะถามอะไร พี่ชายจะบอกว่าเสี่ยวเยี่ยเขานอนกับลูกสาวคนอื่นโดยไม่ตั้งใจ จึงต้องจ่ายค่าชดเชย”


 


 


“ไสหัวไป! พวกปากสว่าง” ปากก็ด่าเฉิงฉู่มั่ว แต่ในใจกลับเป็นห่วง ตนเองทำชัดเจนเกินไปหรือไม่ เรื่องที่แม้แต่คนโง่ก็ยังมองออก มีหรือจะปิดบังถังเจี่ยนและสวี่จิ้งจงได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหลี่จิ้ง


 


 


สถานที่ดังเช่นทุ่งหญ้านี้เลวร้ายมาก เพียงแค่คิดถึงหลี่จิ้งก็มีทหารองครักษ์วิ่งเข้ามาบอกอวิ๋นเยี่ยว่า ผู้บัญชาการใหญ่มีเรื่องจะปรีกษากับอวิ๋นโหว ขอให้ไปที่กระโจมใหญ่ด้วย


 


 


หลังจากที่รีบร้อนมาถึงกระโจมใหญ่ ก็เห็นกล่องผ้าใบหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะทำงาน มีชายร่างใหญ่คนหนึ่งบาดเจ็บไปทั้งตัวยืนอยู่หน้าหลี่จิ้ง ถูกทหารองครักษ์ยืนล้อมรอบ พร้อมที่จะตัดศีรษะได้ทุกเมื่อ ชายคนนั้นดูคุ้นเคยมาก เขาก็คือซีถงที่ร้องเพลงกลางสายฝนคนนั้น เห็นเพียงเสื้อผ้าของเขาขาดวิ่น ผมกระเซิง หน้าสกปรกเปรอะเปื้อน บนไหล่และบนหลังมีเลือดไหลออกมาไม่ยอมหยุด ดูท่าว่าน่าจะผ่านการต่อสู้ที่ดุเดือดมากมาแน่


 


 


“ซีถง ทำไมจึงเป็นเจ้า เจ้าไม่รู้หรือว่าการบุกค่ายทหารต้องถูกประหาร” หลังจากที่อวิ๋นเยี่ยคารวะหลี่จิ้งแล้ว จึงรีบร้อนถามซีถง


 


 


“ข้าเป็นหนี้ชีวิตอวิ๋นโหวอยู่ ได้ยินว่าเจ้าโจรเยี่ยถัวเคยล่วงเกินอวิ๋นโหว ข้าจึงได้ตามไล่ฆ่าเยี่ยถัวเพียงลำพังเป็นระยะทางพันลี้ ในที่สุดก็ได้สังหารมันด้วยดาบข้า ตั้งใจนำศีรษะเขามาให้อวิ๋นโหวได้ดูโดยเฉพาะ” ไม่เจอกันระยะหนึ่ง ชายคนนี้ก็ยังคงเต็มไปด้วยจิตวิญญาณ ถูกฟันตั้งหลายดาบแต่ก็ยังคงมีพละกำลังเต็มเปี่ยม ความฮึกเหิมไม่น้อยไปกว่าเมื่อครั้งนั้นเลย


 


 


หลี่จิ้งพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “ชายคนนี้นำศีรษะคนมาถึงค่ายใหญ่ บอกว่าเขาได้ฆ่าโจรชั่วที่ลอบสังหารอวิ๋นโหวระหว่างทาง ข้าไม่เคยเจอเยี่ยถัวมาก่อน จึงเชิญเจ้ามาเพื่อขอให้เจ้ายืนยันเสียหน่อย”


 


 


อวิ๋นเยี่ยเปิดกล่องผ้าออก ด้านในเป็นศีรษะของเยี่ยถัวจริงๆ ขณะที่เยี่ยถัวตายนั้นเจ็บปวดมาก ใบหน้ายับย่นจนมองไม่ออกอยู่แล้ว ศีรษะนั้นถูกตัดออกอย่างรวดเร็ว พื้นผิวหน้าตัดนั้นเรียบกริบมาก ในใจอวิ๋นเยี่ยก็เกิดหวาดระแวง


 


 


จึงหันกลับไปถามซีถง “เจ้าเป็นศิษย์สำนักไหน พวกเขายังต้องการรู้อะไร”


 


 


ทันทีที่คำพูดของอวิ๋นเยี่ยจบลง องครักษ์ที่ยืนล้อมรอบอยู่ก็รีบเอาดาบวางไว้บนจุดสำคัญบนตัวของซีถง ชายคนนี้ดูเหมือนจะเป็นพวกป่าเถื่อนไม่เข้าใจโลก ขณะเผชิญหน้ากับดาบยาวที่เงาวิบวับห้าหกเล่มยังไม่กะพริบตาแม้แต่น้อย เพียงแค่อ้าปากหัวเราะเสียงดัง ราวกับว่ากำลังหัวเราะเยาะอวิ๋นเยี่ยที่ไม่เข้าใจความหวังดีของเขา


 


 


“ซีถง ช่างเถอะ ต่อหน้าข้าไม่ต้องเสแสร้งแล้ว ข้าจะบอกเจ้าสองเรื่อง ส่วนเรื่องที่สามจะบอกหลังจากที่เจ้ายอมสารภาพแล้ว ข้อแรก เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเยี่ยถัว ข้อสอง เยี่ยถัวไม่ต้องให้เจ้าฆ่า เขาก็ต้องตายอยู่แล้ว”


 


 


“ข้าลอบจู่โจมเขาจึงสามารถกำจัดเขาได้ต่างหาก !” ซีถงตะโกนเสียงดังใส่

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)