เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วน 4 ตอน 48-49

ส่วนที่ 4

 

ตอนที่ 48 แกะน้อยที่กำลังมีความรัก

 

ขณะที่กองทัพเริ่มเฉลิมฉลองชัยชนะ เสียงครึกครื้นดังกึกก้องไปทั่วค่ายทหาร ทันใดนั้นก็เกิดเสียงกรีดร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวดปานใจจะขาดดังขึ้นมาจากค่ายด้านหลัง จางเป่าเซียงรีบร้อนลนลานมาหาอวิ๋นเยี่ยที่นั่งปะปนอยู่ในกลุ่มทหารกินเนื้อคำโตอยู่


 


 


การถูกดึงตัวออกมาจากกลุ่มที่กำลังสนุกสนานย่อมเกิดความไม่พอใจเป็นธรรมดา อวิ๋นเยี่ยเหล่มองจางเป่าเซียงผู้ที่ทำอะไรไม่ถูก แล้วพูดขึ้นว่า “เหล่าจาง เจ้ามักจะขัดความสุขผู้อื่นเช่นนี้หรือ วันนี้เป็นเวลาที่ทั้งกองทัพเฉลิมฉลอง เจ้าลากข้าออกมาเพราะเหตุใดกัน”


 


 


“อวิ๋นโหว เกิดเรื่องใหญ่แล้ว จู่ๆ ข่านเจี๋ยลี่ก็รู้สึกว่าบริเวณแผลทั้งมือและเท้าร้อนเหมือนถูกไฟเผา ราวกับถูกเข็มแทง ตอนนี้เกลือกกลิ้งอยู่บนพื้น ดูท่าคงมีชีวิตอีกไม่นาน” ความมั่งมีทั้งหมดของเขานั้นเกี่ยวพันอยู่กับข่านเจี๋ยลี่ ในเวลานี้เกิดเรื่องกับข่านเจี๋ยลี่ยังน่ากลัวกว่าเกิดเรื่องกับตัวเองเสียอีก


 


 


“เพียงแค่นักโทษคนหนึ่ง ควรค่าให้เจ้าตื่นตระหนกเช่นนี้หรือ ข้าก็ดูอาการให้เขาแล้วไม่ใช่หรือไร ชายคนนี้มีสุขภาพดีไม่ตายง่ายๆ หรอก นี่เป็นปฏิกิริยาของยาตามปกติ ไม่เป็นไร หากเจ้าคิดว่าเขาร้องโวยวายเสียงดังน่ารำคาญ ก็นำผ้ามาอุดปากเขาก็สิ้นเรื่องแล้ว” เมื่อได้ยินว่าเป็นเรื่องนี้ อวิ๋นเยี่ยก็กัดขาแกะในมือกินหนึ่งคำโดยไม่สนใจไยดี


 


 


จางเป่าเซียงถูสองมือ เดินวนอย่างกระวนกระวาย ไม่มีวิธีการใดเลยหรือ หากรู้แต่แรกว่าอวิ๋นเยี่ยมีเจตนาไม่ดีกับข่านเจี๋ยลี่ ในตอนบ่ายเขาจะไม่ปล่อยให้อวิ๋นเยี่ยเข้าไปรักษาอาการแน่ ตอนนี้บาดแผลเก่ายังรักษาไม่หาย ทั้งยังได้แผลใหม่อีก เขาไม่สนใจชะตากรรมของข่านเจี๋ยลี่หลังจากกลับไปถึงเมืองหลวงแล้ว สนใจเพียงว่าข่านเจี๋ยลี่จะนำพาผลประโยชน์มาให้มากน้อยเท่าไร ข่านเจี๋ยลี่ที่ตายแล้วจะมีค่ามากกว่าเจี๋ยลี่ที่ยังมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร


 


 


อวิ๋นเยี่ยอยากเห็นว่าตอนนี้ข่านเจี๋ยลี่เป็นอย่างไรกันแน่ เขาโดนลากมาที่กระโจมด้วยท่าทีแกล้งอิดออดว่าจะปฏิเสธ ข่านเจี๋ยลี่ฉีกผ้าป่านที่พันไว้ที่มือและเท้าออกหมดแล้วและล้างบริเวณแผลด้วยน้ำสะอาด น้ำมันพริกมีหรือจะให้ล้างออกกันง่ายๆ ติดอยู่บนผิวเหมือนซึมลึกเข้ากระดูก


 


 


มือและเท้าเลือดไหลไม่หยุด ตัวเขาเองก็ไม่สนใจ เพียงแต่หวังว่าจะไหลให้มากขึ้นอีกหน่อย เพราะการที่เลือดไหลไม่หยุดเขาจึงรู้สึกดีขึ้นบ้าง คนเราเมื่อเจ็บปวดถึงที่สุดมักจะทำอะไรบางอย่างที่แปลกประหลาด เช่นข่านเจี๋ยลี่ เขาจะถูมือและเท้าบนทราย สมมติว่าถ้าโลกนี้มี “ยาแห่งความเสียใจ” จริงๆ ตอนนี้ข่านเจี๋ยลี่คงอยากกินเอาเสียมากๆ ปลิดชีพตัวเองในหนึ่งดาบตั้งแต่แรกดีกว่าต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ที่นี่


 


 


เมื่อเห็นอวิ๋นเยี่ยนั่งยองมองเขาอยู่เหนือศีรษะตนก็ส่งเสียงคำราม จะเข้าไปคว้าอวิ๋นเยี่ยไว้ อวิ๋นเยี่ยถือน่องแกะแล้วก้าวถอยหลัง โซ่ที่คอของข่านเจี๋ยลี่ก็ถูกลากจนตึง จางเป่าเซียงรีบพุ่งตัวเข้ามาแยกทั้งสองคนออกจากกันแล้วพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “โหวเหยีย ปล่อยไว้เช่นนี้ต่อไปก็ไม่ใช่วิธีที่ดี ข่านเจี๋ยลี่ต้องกลับฉางอันทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ มีเพียงข่านเจี๋ยลี่ที่ยังมีชีวิตเท่านั้นจึงจะทำให้เหล่าชนกลุ่มน้อยตามชายแดนยอมสยบและหวาดกลัว ท่านก็ปล่อยเขาชั่วคราว เมื่อถึงฉางอันแล้วท่านจะใช้ห้าม้าแยกร่างก็สุดแท้แต่ท่าน”


 


 


ไม่รู้ว่าซุนซือเหมี่ยวเดินยกน้ำเจ้าเจี่ยว[1]เข้ามาหนึ่งอ่างตั้งแต่เมื่อไหร่กัน มายืนอยู่ด้านหน้าข่านเจี๋ยลี่ เขาจุ่มสองมือลงในอ่าง เห็นเพียงคราบมันผสมกับเลือดสดลอยขึ้นมาเป็นชั้นบางๆ เขาใช้ผ้าเช็ดให้กับข่านเจี๋ยลี่ ในที่สุดข่านเจี๋ยลี่ที่ส่งเสียงร้องโหยหวนก็เงียบสงบลง


 


 


“เรื่องที่ให้เจ้าต้องทนทรมานเป็นความคิดของข้าเอง ในครั้งนี้ที่ยอมละเว้นเจ้าก็เพราะเจ้ายังมีประโยชน์อยู่ สำหรับผู้ที่เป็นวีรบุรุษ แม้จะโชคร้ายเพียงไหนคนอื่นก็ไม่สามารถดูหมิ่นดูแคลนได้ มีเพียงคนเช่นเจ้าเท่านั้นจึงจะเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุด นำไปเป็นตัวอย่างให้ชนเผ่าป่าเถื่อนเผ่าอื่นๆ ดู” อวิ๋นเยี่ยชำเลืองมองสีหน้าไร้ความรู้สึกของนักพรตแล้วยิ้มๆ เตรียมที่จะไปนั่งข้างกองไฟย่างน่องแกะในมือของเขาที่เย็นชืดหมดแล้วต่อ เรื่องนี้ซุนซือเหมี่ยวออกหน้าแบกรับไว้แล้ว อวิ๋นเยี่ยไม่จำเป็นต้องยอมรับอีก


 


 


การทรมานคนก็ไม่ใช่จุดแข็งของอวิ๋นเยี่ย ราชาคนหนึ่งที่เนื้อตัวเต็มไปด้วยฝุ่นนั้นไม่มีอะไรน่าดูเลยจริงๆ เคยเห็นตั้งแต่ในยุคคปัจจุบันแล้ว


 


 


แต่ไหนแต่ไรมาอวิ๋นเยี่ยไม่เคยต้องการเป็นคนดี เป็นคนดีนั้นเสียเปรียบเกินไป พวกโจรและพวกเอารัดเอาเปรียบทั่วหล้านี้อยู่กันอย่างเสวยสุขกันอย่างเต็มที่ด้วยการวางอำนาจบาตรใหญ่ กินอาหารเลิศรส สวมเสื้อผ้าอาภรณ์ชั้นดี คนดีได้แต่ซ่อนตัวนั่งกินซาลาเปานึ่งอยู่ที่มุมห้องที่ข้างกำแพง สวมเสื้อผ้าเก่าๆ ขาดๆ อวิ๋นเยี่ยเคยพิสูจน์แล้วขณะที่อยู่ในเมืองฉางอัน ตอนนี้ไม่ต้องการจะกลับไปเดินซ้ำรอยเดิมอีก


 


 


คนที่เดินซ้ำรอยเดิมใช่ว่าไม่มี น่ารื่อมู่คิดแค่อยากจะเลี้ยงแกะ เด็กที่กำลังโตสิบกว่าคนวันหนึ่งๆ ออกไปแต่เช้ากลับมาตอนค่ำ พวกเขามีวัวยี่สิบตัวและแกะไม่ถึงหนึ่งร้อยตัว สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่นางเก็บกลับมา รวมทั้งเด็กๆ เหล่านั้นด้วย พวกเขาจับไม้ง่ามเขี่ยหิมะก้อนใหญ่ขึ้นมาแล้วเขย่าให้ร่วน วัวและแกะก็จะสามารถเขี่ยหิมะออกได้โดยง่ายและก็ได้กินหญ้าที่อยู่ใต้หิมะ หลายวันที่ผ่านมานางไม่ได้ยุ่งวุ่นวายกับอวิ๋นเยี่ยอีก ดูเหมือนว่าความรักของนางจะจากไปไกลแล้ว


 


 


อวิ๋นเยี่ยถือว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องตลกและเล่าให้ฮ่วนเหนียงฟัง ใครจะรู้ว่านางไม่ได้หัวเราะเลยแม้แต่น้อย รอจนอวิ๋นเยี่ยหัวเราะจนพอแล้วจึงพูดว่า “โหวเหยีย ผู้หญิงบนทุ่งหญ้าก็เป็นเช่นนี้ ชีวิตสำคัญกว่าความรักอันหอมหวานเสมอ คนเลี้ยงสัตว์ที่ไม่มีวัวและแกะไม่เรียกว่าคนเลี้ยงสัตว์ เรียกว่า ข่าเค่อ ซึ่งก็คือที่ชาวฮั่นเรียกว่าพวกเกาะเขากินไปวันๆ พวกเขาเป็นคนที่ถูกรังเกียจเหยียดหยามมากที่สุดของคนเลี้ยงสัตว์ มีเพียงแต่การเลี้ยงสัตว์ให้คนอื่นแลกกับอาหาร ถ้าหากสภาพการณ์ในปีนั้นไม่ดี พวกเขาก็จะถูกฆ่าก่อนเป็นกลุ่มแรก พวกเขาไม่มีวัวและแกะได้แต่กินของคนอื่น อาหารบนทุ่งหญ้าเมื่อตายไปหนึ่งก็จะลดลงไปหนึ่ง จึงจำเป็นจะต้องมอบอาหารให้แก่นักรบที่แข็งแกร่งที่สุดและผู้หญิงที่พร้อมสืบพันธุ์ที่สุด การสงครามบนทุ่งหญ้าคราวนี้จะต้องทำให้เกิดข่าเค่อเป็นจำนวนมากแน่นอน น่ารื่อมู่ไม่ต้องการเป็นข่าเค่อ ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่จะมีการกระทำดังกล่าว นอกจากนี้ฤดูหนาวกำลังจะสิ้นสุดลงแล้ว น่ารื่อมู่จะไม่หาคนรักเพื่อที่จะมีลูกด้วยกันในเวลานี้ เพราะลูกของนางจะต้องเกิดในฤดูหนาวที่หนาวที่สุดและจะไม่รอดชีวิต”


 


 


ความจริงได้ให้บทเรียนกับอวิ๋นเยี่ยมากขึ้นอีกหนึ่งสิ่ง ความคิดที่ว่าตนเองเป็นคนเนื้อหอมเมื่อหลายวันก่อนทำให้เขาหน้าแดงไปถึงใบหู ฮ่วนเหนียงป้องปากแล้วหัวเราะเบาๆ รอยตีนกาที่หางตายิ่งเห็นชัดขึ้นเรื่อยๆ  ท่าทางของอวิ๋นเยี่ยที่หน้าแดงดูแล้วซื่อบื้อยิ่งนัก ความคิดแปลกประหลาดของชายหนุ่มที่อยากจะให้หญิงทั่วทั้งใต้หล้ามาหลงรักตัวเองเพียงคนเดียว ทำให้นางรู้สึกอบอุ่นเป็นอย่างมากและรู้สึกคุ้นเคย


 


 


อวิ๋นเยี่ยมีเพียงความรู้สึกดีๆ ให้กับน่ารื่อมู่เท่านั้น ยังไม่ถึงขั้นที่เรียกว่าความรัก ตอนนี้ได้รู้ในทันทีว่าน่ารื่อมู่ไม่ได้คิดอะไรกับเขา เพียงแต่เป็นเช่นเดียวกับแกะเพศเมีย เมื่อถึงฤดูผสมพันธุ์ก็จะเข้าใกล้แกะเพศผู้ไปตามธรรมชาติ ตัวเองช่างโชคร้ายจริงๆ ที่กลายเป็นแกะตัวผู้ที่น่ารื่อมู่ถูกใจ ฤดูหนาวเป็นฤดูที่ชาวทุ่งหญ้าจะผสมพันธุ์กัน มีเพียงตั้งครรภ์ในเวลานี้เท่านั้นจึงจะสามารถให้กำเนิดบุตรในฤดูใบไม้ร่วงที่เสบียงอาหารอุดมสมบูรณ์ที่สุด โอกาสมีชีวิตรอดจึงมีมากยิ่งขึ้น


 


 


นอกจากชนชั้นสูงเหล่านั้นแล้ว คนเลี้ยงสัตว์ธรรมดาทั่วไปจะไม่เลือกที่จะตั้งครรภ์ในฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งนั่นก็เพื่อสุขภาพของลูกหลาน พวกเขาเลือกที่จะทำเช่นเดียวกันกับสัตว์ป่า


 


 


อวิ๋นเยี่ยยังจะทำอะไรได้อีกนอกจากยักไหล่เท่านั้น เบ้ปากและหัวเราะเยาะตัวเอง แล้วไปหาถังเจี่ยนเพื่อปรึกษาว่าจะกลับเมืองหลวงเมื่อไหร่ เมื่อเห็นแผ่นหลังของเขาหายไป นางมีความสุขมาก นางโชคดีมากที่บั้นปลายชีวิตของนางได้มาเจอคนที่ดีจริงๆ รู้จักปล่อยวาง นี่สิจึงจะเป็นความรู้สึกที่คนดีจริงๆ พึงมีอยู่ ดีกว่าเจ้าสัตว์เดรัจฉานที่เห็นผู้หญิงก็กระโจนเข้าหาเป็นหมื่นเท่า


 


 


ในคลังของเหอเซ่านั้นเก็บสิ่งแปลกประหลาดไว้เต็มไปหมด มีดาบจันทร์เสี้ยวครึ่งท่อน ธนูไม้ที่ไร้สาย ถังเจี่ยนก็อยู่ในคลังกำลังควานหาไม่ยอมหยุด ยังมีสวี่จิ้งจงติดตามมาด้วย ถังเจี่ยนหาชุดดื่มเหล้ากระเบื้องเคลือบจนครบชุด ชุดขวดเหล้ากระเบื้องเคลือบทรงแปดเหลี่ยมหนึ่งชุดที่คอขวดสูงๆ และปากขวดด้านบนมีนกอินทรีบินตัวหนึ่งเกาะอยู่ ซึ่งนี่คือฝาขวดและประกอบด้วยแก้วแปดเหลี่ยมที่เหมือนกันอีกแปดใบ ดูหรูหรามาก


 


 


ถังเจี่ยนและสวี่จิ้งจงกำลังวิเคราะห์ลวดลายบนขวดเหล้า คนหนึ่งบอกว่าของสิ่งนี้น่าจะเป็นเครื่องใช้ของราชนิกุลสมัยราชวงศ์สุย อีกคนหนึ่งบอกว่าน่าจะเป็นสมัยที่ก่อนหน้าราชวงศ์สุยอีกเล็กน้อย เพราะนกอินทรีที่อยู่ตรงปากกานั้นเห็นได้ชัดว่าไม่ใช่รูปแบบของจงหยวน เป็นได้แค่เพียงสิ่งของในสมัยแคว้นเอียนหรือสมัยเป่ยเว่ย แต่จะยิ่งเหมือนสิ่งของของเซี่ยวเหวินตี้แห่งเป่ยเว่ยขณะที่แปรพระราชฐานลงใต้มากที่สุด


 


 


เหอเซ่ายืนยิ้มและคอยฟังอยู่ข้างๆ หลังจากฟังจบแล้วก็ให้ทหารเสริมห่อชุดถ้วยเหล้านี้อย่างระมัดระวังแล้ววางกลับเข้าไปในกล่องไม้ ประสานมือคารวะและพูดกับถังเจี่ยนว่า “ขอบคุณถังหงหลู[2]และท่านสวี่มากที่ได้เตือนสติ ข้าเหล่าเหอเกือบจะพลาดของดีเสียแล้ว”


 


 


ถังเจี่ยนขมวดคิ้ว มองไปที่สวี่จิ้งจงเห็นเขาไม่พูดอะไร จึงพูดกับเหอเซ่าว่า “ข้าไม่ได้ช่วยเลือกของอะไรให้เจ้า แต่กำลังเลือกให้ตัวเองอยู่ เจ้าเอาของเหล่านี้ใส่กล่องทำไมกัน ข้ายังไม่กลับเมืองหลวงเสียหน่อย หลายวันนี้คงยังอยู่พักผ่อนก่อน”


 


 


เหอเซ่ายังไม่ได้ทันพูดอะไร สวี่จิ้งจงก็โบกมือใส่ถังเจี่ยนและบอกว่า “เหล่าถัง เจ้าก็ประเมินความหน้าหนาของเถ้าแก่เหอเกินไปแล้ว อ้อยเข้าปากช้างแล้วมีหรือจะยอมคายออกมา ข้าไม่มีความคิดนี้ แล้วก็ไม่โกรธกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ ไม่เช่นนั้นข้าคงไม่มีชีวิตกลับไปถึงฉางอัน เพราะคลั่งใจตายแต่แรกแล้ว”


 


 


เหอเซ่าแสดงท่าทีสะอิดสะเอียนกับการวางตัวของสวี่จิ้งจงซึ่งที่เป็นรู้ใจของเหอเซ่า พูดกับถังเจี่ยนอย่างไม่ไว้หน้าว่า “สายตาของท่านช่างแหลมคม เช่นนี้ข้าจะรีบหาคนมาเขียนเอกสารผ่านการตรวจสอบของชุดถ้วยเหล้าชุดนี้ โดยกล่าวว่าจากการวิเคราะห์ผ่านสายตาเฉียบคมของถังหงหลู นี่เป็นของล้ำค่าในวังที่ตกทอดมาจากราชวงศ์เป่ยเว่ย”


 


 


ถังเจี่ยนอยู่ในต้าถัง อย่างน้อยก็ขึ้นชื่อว่าเป็นพวกไร้ยางอายและมีคารมคมคาย แต่กลับถูกคำพูดของเหอเซ่าทำให้สะอึกจนไม่รู้จะต่อคำอย่างไร


 


 


อารมณ์โกรธยังไม่ทันได้ปรากฏบนใบหน้า ก็กลายเป็นสีหน้ายิ้มแย้ม ประสานมือกล่าวว่า “ข้าชอบชุดถ้วยเหล้าชุดนี้จริงๆ ข้าขอซื้อขึ้นมาได้หรือไม่”


 


 


สวี่จิ้งจงยกมือปิดหน้า ทนดูต่อไปไม่ไหว


 


 


เหอเซ่ายิ้มจนเหมือนพระสังกัจจายน์ที่อ้าปากกว้าง จูงมือถังเจี่ยนแล้วพูดว่า “ท่านชอบก็ถือเป็นเรื่องที่วิเศษที่สุด ของดีก็ควรจะอยู่ในมือของคนที่คุณค่าของมัน ชุดถ้วยเหล้าชุดนี้ใช้สำหรับงานเลี้ยงถือว่าวิจิตรตระการตาเป็นที่สุด ในเมื่อพวกเราก็เป็นคนกันเอง ให้ราคาถูกที่สุดแก่ท่านสองร้อยก้วน แล้วจะรีบส่งไปยังกระโจมของท่าน”


 


 


“เจ้าบอกว่าเท่าไรนะ เมื่อครู่ข้าได้ยินไม่ชัด ” ถังเจี่ยนแคะหูแล้วถามเหอเซ่า


 


 


“สองร้อยก้วนเอง สำหรับท่านแล้วเป็นเงินเล็กน้อย คราวนี้ถ้ากลับเมืองหลวงอย่างไรท่านก็น่าจะได้เลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งแน่ เสียเงินสองร้อยก้วนซื้อชุดถ้วยเหล้าที่ตนเองชอบสักชุด มีอะไรไม่เหมาะกัน”


 


 


“ข้าจำได้ว่าเมื่อครู่เจ้าซื้อของพวกนี้มาทั้งหมดเพียงสองร้อยเหวิน ทำไมเมื่อขายข้าจึงได้กลายเป็นสองร้อยก้วนไปเล่า” ถังเจี่ยนเต้นผางดั่งฟ้าผ่า ชี้หน้าเหอเซ่าเต้นผางด่าอย่างรุนแรง


 


 


เหอเซ่ามีความสามารถในการอดทนต่อการดูถูกเหยียดหยามมานานแล้ว ยิ้มตาหยีแต่ก็ไม่ต่อปากต่อคำ ทำให้ถังเจี่ยนไม่รู้จะโต้ตอบอย่างไรดี


 


 


ขณะที่อวิ๋นเยี่ยมาถึง นักการทูตที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของต้าถังถูกเหอเซ่ายั่วโมโหจนควันออกเจ็ดทวาร ของก็ไม่ได้เป็นของตัวเอง พูดจนปากฉีกแต่เหอเซ่าก็ทำเป็นหูทวนลม ลดราคาจากสองร้อยก้วนเหลือหนึ่งร้อยแปดสิบก้วนอย่างมีความสุขและไม่ยอมลดให้อีกแล้ว


 


 


“เหล่าเหอ เจ้าทำเช่นนี้ไม่ถูก ทุกคนเป็นคนรู้จักกัน ทำไมเจ้าจึงไม่ไว้หน้ากันบ้าง มาทะเลาะกันกับเหล่าถังเพียงเพื่อเงินไม่กี่เหวินอยู่ที่นี่จนหน้าแดงไปถึงใบหู ไม่กลัวจะกลายเป็นเรื่องตลกให้พวกทหารคุยกันหรือ”


 


 


สวี่จิ้งจงพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “ข้าเองก็สนใจ ‘จู๋หลินสื่อฮั่ว’ ด้วย แต่ขอบอกก่อนว่า ข้าไม่มีเงินติดตัวแม้แต่แดงเดียว แต่หนังสือข้าก็อยากได้ เจ้าช่วยจัดการที”


 


 


เหอเซ่ารีบใช้สายตาวิงวอนมองอวิ๋นเยี่ยอย่างร้อนรน เขาหวาดกลัวต่อชายจอมล้างผลาญผู้โด่งดังคนนี้ เมื่อเขาขยับปากเพียงเล็กน้อย เงินหลายร้อยก้วนก็จะหายไปในอากาศ


 


 


 


 


——


 


 


[1] เจ้าเจียว เป็นสมุนไพรอย่างหนึ่งของจีน มีลักษณะคล้ายฝักถั่วโค้งงอเล็กน้อย ยาวประมาณ 1-4 เซนติเมตร มีคุณสมบัติในการชำระล้างสิ่งสกปรก ขับหนอง ลดบวม


 


 


[2] เหอเซ่าไม่ได้เรียกชื่อถังเจี่ยนตรงๆ แต่เป็นการเรียกแซ่และตามด้วยตำแหน่ง กล่าวคือ แซ่ถัง ตำแหน่ง หงหลู


ส่วนที่ 4

 

ตอนที่ 49 ปฏิบัติตามคำมั่นสัญญา

 

 


 


เมื่อถังเจี่ยนได้ฟังที่สวี่จิ้งจงพูด ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดจึงวางขวดในมือกลับลงไปในกล่องไม้อีกครั้งและห่ออย่างระมัดระวัง มองอีกครั้งด้วยความอาลัยอาวรณ์แล้วจึงปิดฝากล่องลง พูดกับเหอเซ่าว่า “ชั่วชีวิตข้าถังเจี่ยน ไม่เคยทำเรื่องที่ละโมบเอาทรัพย์สินของคนอื่น การกระทำทั้งหมดในวันนี้ถือเป็นความอัปยศที่สุดในชีวิตข้า ข้าเพียงแค่สร้างความดีความชอบเล็กน้อยอยู่บนทุ่งหญ้าก็ทำให้ข้ามองอนาคตไม่ชัดเจนเสียแล้ว เมื่อครู่ถึงกับเกิดความคิดสกปรกขึ้น ถังเจี่ยนต้องขอโทษต่อท่านเหอไว้ ณ ที่นี้ด้วย” เมื่อพูดจบยังคารวะเขาอีกด้วย


 


 


เหอเซ่าตกใจสะดุ้งเหมือนถูกผีหลอก กระโดดไปอยู่ข้างหลังอวิ๋นเยี่ยในอึดใจเดียว เขารู้สึกเสียขวัญจริงๆ เมื่อครู่เป็นเพียงการหยอกล้อกันอย่างหนึ่งระหว่างสหาย ไม่ว่าถังเจี่ยนจะโกรธหรือจะด่าก็ตาม เขาก็สามารถรับมือด้วยฝีปากอันแรงกล้าได้อย่างหน้าไม่ถอดสี ซึ่งนี่จะกลายเป็นเรื่องตลกระหว่างเพื่อนพ้อง ระหว่างเหล่าขุนนางด้วยกัน ใครจะใส่ใจกับเงินเพียงสองร้อยก้วน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าของชิ้นนั้นราคาไม่ถึงสองร้อยก้วน พวกเราอยู่บนทุ่งหญ้าเบื่อจนไม่รู้จะทำอะไรดี การปะทะคารมกันก็เพื่อหาเรื่องคลายเหงาให้ตนเอง แม้ว่าถังเจี่ยนจะจ่ายเหอเซ่าสองร้อยก้วนเขาก็ไม่กล้าที่จะรับไว้ ถังเจี่ยนเข้าใจดี เหอเซ่าก็เข้าใจดี อวิ๋นเยี่ยที่จะเข้ามาห้ามทัพยิ่งเข้าใจดีกว่า


 


 


ด้วยสีหน้ารู้สึกละอายใจของถังเจี่ยน ทำให้ทั้งสามคนที่เหลืออยู่ทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ ไม่ว่าจะล้อเล่นหรือหยอกล้อก็ไม่มีใครจริงจังถึงขั้นนี้ ถ้าหากล้อเล่นกันถึงขั้นนี้ก็มากเกินไปแล้ว ถังเจี่ยนก็เป็นคนที่อายุเกือบห้าสิบปีแล้ว ไม่ถึงกับไม่สามารถแยกแยะสถานการณ์ไม่ได้ เพื่อชุดถ้วยเหล้าหนึ่งชุดถึงกับต้องลดตัวเองถึงขนาดนี้


 


 


“ทั้งสามท่านอย่าได้ประหลาดใจไป เมื่อครู่ข้าเกิดความโลภขึ้นในจิตใจ ต้องการอยากได้ของหลายชุดนี้จริงๆ  นี่คือสาเหตุที่ข้าขอขมา” ถังเจี่ยนอธิบายด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆ


 


 


“ในเมื่อท่านถังชอบมันก็นำไปเถอะ เพียงแค่เครื่องเคลือบที่แตกหักเท่านั้น มันจำเป็นจะต้องเอาจริงเอาจังอย่างนั้นเลยหรือ” คำเรียกที่อวิ๋นเยี่ยเรียกเหล่าถังในตอนนี้ไม่เหมาะสมเป็นอย่างมาก เขาแสดงออกอย่างจริงจังจนทำให้ทุกคนต้องจริงจังกับเรื่องนี้


 


 


“หากในใจไม่เกิดความโลภ ข้าจะไม่ยอมปล่อยไปแน่ แต่ตอนนี้เกิดความโลภ ก็จำเป็นจะต้องกำจัดทิ้ง แม้เครื่องเคลือบชุดนี้จะมีความสวยงาม แต่มันสำคัญสู้คุณธรรมของข้าไม่ได้” ด้วยคำพูดเหล่านี้ อวิ๋นเยี่ยจึงต้องคิดตรึกตรอง เหล่าเหอฟังจนสับสนไปหมดแล้ว สวี่จิ้งจงอับอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปซุกไว้ที่ไหน”


 


 


ดวงตาทั้งสี่ประสานตากัน อวิ๋นเยี่ยเป็นฝ่ายยอมแพ้เป็นคนแรกและส่ายศีรษะเดินจากไปก่อน พวกเราเป็นคนปกติ อย่าไปสนใจคนบ้าเลย ของที่ชอบกลับไม่เอาไป เอาแต่ยืนดูจนน้ำลายไหล ของที่ไม่ชอบกลับพยายามแย่งกัน นี่คือตรรกะอะไรกัน คนราชวงศ์ถังเป็นคนบ้าที่ไม่มีใครอธิบายได้มากที่สุดในโลก


 


 


อวิ๋นเยี่ยไปเยี่ยมข่านเจี๋ยลี่ บนคอของเขามีโซ่เหล็กขนาดใหญ่รัดอยู่


 


 


จางเป่าเซียงกำลังพันผ้าไว้บนโซ่เหล็กให้เขา ก็เพราะกังวลว่าโซ่เหล็กจะทำลายผิวที่บอบบางของข่านเจี๋ยลี่ เมื่อถึงคราวที่นำตัวไปที่ถนนจูเชวี่ยมันจะดูไม่ดีที่ หากทำให้ชาวฉางอันต้องผิดหวังนั้นจะแย่เอา


 


 


เมื่อข่านเจี๋ยลี่เห็นอวิ๋นเยี่ยก็หดตัวถอยกลับโดยไม่รู้ตัว แม้ข้อมือและข้อเท้าจะไม่เจ็บปวดเท่าไรแล้ว แต่ว่าก็ยังมีของเหลวสีเหลืองอ่อนไหลออกมาอยู่ตลอดเวลา แม้ว่าเขาจะเคยฆ่าคนเป็นจำนวนมาก หรือแม้แต่ใครหลายคนที่ถูกเขาทารุณกรรมทั้งเป็นจนต้องตาย ทั้งผู้ชาย ผู้หญิง คนชราและเด็ก การทรมานคนอื่น เห็นคนอื่นทรมาน ข่านเจี๋ยลี่คิดอยู่เสมอว่านี่เป็นพลังอำนาจที่เทพเจ้าทังกรี[1]มอบให้เขา ตนเองเกิดมาเพื่อให้ศัตรูคนอื่นๆ หวาดกลัว ขอบเขตของคำว่าศัตรูของเขาครอบคลุมกว้างขวางมาก ทุกคนที่ไม่ฟังความคิดของตนเองก็คือศัตรูของเขา จึงไม่ต้องมีความเมตตาใดๆ ต่อศัตรู ฝูงหมาป่าในทุ่งหญ้ามีเมื่อใดกันที่ยอมปล่อยอาหารในปากไป ไม่ฉีกกลืนกินลงไป มีหรือจะยอมเลิกรา อย่าฉีกและกลืนคือวิธีหยุด หมาป่ามีชีวิตรอดมาได้ด้วยวิธีการเช่นนี้ พวกแกะอ้วนที่ต้องกลายเป็นอาหาร ได้แต่ต้องตำหนิที่พวกเขาไม่ยอมเชื่อฟังประสงค์ของมหาผู้นำเท่านั้นเอง


 


 


ตอนนี้ชายหนุ่มที่ดูไม่มีพิษภัยคนนี้ได้ทำให้เขาได้ลิ้มลองความเจ็บปวดแสนสาหัสที่น่ากลัวกว่าความตายแล้ว การกระทำความรุนแรงต่อผู้อื่น เมื่อเห็นคนอ่อนแอกว่าตนเองก็จะหัวเราะเยาะ ตอนนี้ตนเองต้องตกอยู่ในสภาพเดียวกัน จึงได้พบว่าคนขี้ขลาดที่เมื่อก่อนถูกตนเองหัวเราะเยาะเหล่านั้นกล้าหาญเพียงไหน


 


 


บนชุดคอกลมของอวิ๋นเยี่ยจะมีกระเป๋าสองใบอยู่เสมอเพื่อให้เขาสามารถเอามือซุกในกระเป๋าทำให้มืออุ่นได้ เขาเกลียดการเอาสองมือซุกไว้ในแขนเสื้อ เพราะดูแล้วเชยเป็นอย่างมาก ตอนนี้เฉิงฉู่มั่ว หลี่ไท่ หลี่เค่อและเหล่านักเรียนในสำนักศึกษาล้วนแล้วแต่มีชุดติดกระเป๋าเช่นนี้ทั้งนั้น หลี่เฉิงเฉียนอยากจะทำสักสองชุด จึงถูกจั่งซุนสั่งสอนเสียจนน้ำลายเต็มหน้า


 


 


ในกระเป๋าทั้งสองใบนี้ก็มักจะมีของจำพวกผลไม้แห้งอยู่เสมอ ไม่ใช่ว่าเขาตะกละ แต่เป็นเพราะไม่มีบุหรี่ให้สูบ ปากรู้สึกอยากบุหรี่จนทนไม่ไหว มักจะรู้สึกว่าขาดอะไรไปบางอย่าง ตอนนี้เขาจึงหยิบถั่วเหลืองที่ทอดแล้วซึ่งทอดโดยฮ่วนเหนียงขึ้นมากำมือหนึ่ง มันอร่อยกว่าที่เขาทอดเองมากโข เขาใส่ไว้ในมือแล้วถูไปมา เป่าเปลือกที่ถูหลุดออกมาทิ้งไป หยิบใส่ปากทั้งกำมือเคี้ยวเสียงดังกร๊วบ


 


 


จางเป่าเซียงลุกขึ้นคารวะอวิ๋นเยี่ย ก่อนจะยืนแทรกระหว่างอวิ๋นเยี่ยและข่านเจี๋ยลี่อย่างแนบเนียน กลัวว่าอวิ๋นเยี่ยจะอารมณ์เสียจนทำร้ายคนเป็นอย่างมาก


 


 


“เจี๋ยลี่ ภาษาทางการของราชวงศ์ถังเจ้าพูดได้ดีนี่ เรียนมาจากใคร” อวิ๋นเยี่ยนั่งผิงมืออยู่ข้างเตาไฟพลางถามขึ้น


 


 


“ข้าเป็นราชาแห่งทุ่งหญ้า แน่นอนอยู่แล้วว่าต้องพูดภาษาของชาวถังเป็น ไม่ต้องเรียน”


 


 


“ราชาที่มุดรูกระรอกหรือ ยังมีโซ่คล้องคอสุนัขรัดอยู่บนคอเจ้า ยังจะกล้าบอกว่าเจ้าเป็นความภาคภูมิใจของเทพเจ้าทังกรีอีกหรือ องค์หญิงอี้เฉิงสอนกระมัง” อวิ๋นเยี่ยไม่เคยเข้าใจเลยว่าทำไมราชาที่เ**้ยมโหดและดุร้ายแห่งทุ่งหญ้า ภายใต้การคุกคามของความตายกลับไม่สนใจศักดิ์ศรีของตัวเอง ยอมละทิ้งทุกสิ่งเพื่อต้องการที่จะอยู่รอดต่อไป เพราะอะไร


 


 


“ฮ่องเต้ชาวฮั่นของเจ้าก็เคยถูกสือหู่ซวนล่ามโซ่เหมือนสุนัขไม่ใช่หรือ ข้าก็แค่เลียนแบบเขามีอะไรไม่ถูกหรืออย่างไร” ตอนนี้ข่านเจี๋ยลี่ทำตัวไร้ยางอายสิ้นดี คำพูดเหล่านี้นั้นหมายความว่า เขาไม่สนใจว่าอะไรที่เรียกว่าศักดิ์ศรีของราชา ต้องการเพียงแค่มีชีวิตรอด เขาใช้เหตุการณ์ที่ตัวเองเคยประสบพบเจอมาลบหลู่ดูหมิ่นอวิ๋นเยี่ยเพื่อระบายความเจ็บปวดในใจเสียหน่อย


 


 


จางเป่าเซียงได้ยินข่านเจี๋ยลี่พูดเช่นนี้ ในใจก็แอบคิดว่าแย่แล้ว ขณะที่กำลังคิดหาวิธีเกลี้ยกล่อมอวิ๋นเยี่ย คิดไม่ถึงว่าอวิ๋นเยี่ยจะหัวเราะและพูดกับข่านเจี๋ยลี่ว่า “วันนี้ข้าว่างมากจนไม่มีอะไรทำจริงๆ จึงตั้งใจมาดูสภาพที่น่าสมเพชของเจ้าโดยเฉพาะ เจ้าพูดถูก ใครก็ตามที่ก่อกรรม ท้ายที่สุดก็ต้องชดใช้กรรม ท่าทางเจ้าคงจะยังไม่ตายง่ายๆ แล้วพวกประชาชนของเจ้าจะทำอย่างไร”


 


 


ข่านเจี๋ยลี่หัวเราะฮ่าๆ เสียงดังขึ้นมา ใบหน้าดุร้าย เขาหายใจแรงแล้วพูดว่า “เมื่อตอนที่หลี่จิ้งบุกทำลายค่าย พวกเขาไม่ได้พยายามต่อสู้อย่างสุดความสามารถ ตอนนี้ตกอยู่ในมือของพวกเจ้า จะฆ่าหรือจะปล่อยก็สุดแท้แต่ความต้องการของฮ่องเต้ต้าถังแล้ว ข้ายังเอาตัวเองไม่รอดเลย ไม่มีเวลาไปคิดถึงอนาคตของพวกเขาหรอก”


 


 


อวิ๋นเยี่ยและจางเป่าเซียงต่างมองหน้ากัน ด้วยไม่คิดเลยว่าเขาจะตอบเช่นนั้น


 


 


“ท่านข่าน ดูเหมือนข้าได้ยินมาว่าเจ้าเป็นคนแรกที่ขี่ม้าเร็วหนีเป็นคนแรก เหตุใดจึงไปตำหนิพวกเขาเล่า” ในฐานะที่จางเป่าเซียงเป็นแม่ทัพคนหนึ่ง เขาเกลียดผู้ที่หลบหนีขณะเผชิญศึกเป็นที่สุด บทบาทของข่านเจี๋ยลี่ในสงครามครั้งนี้ดูไม่ดีเอาเสียเลย


 


 


“หลังจากที่ข้าตายไปแล้ว จะไปสนใจทำไมว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีก แม้จะฟ้าถล่มดินทลายก็ไม่เกี่ยวกับข้า นี่อาจเป็นความคิดทั่วไปของผู้เป็นราชากระมัง”


 


 


วันนี้ได้รับประโยชน์มากมาย ได้เห็นความเข้มงวดในการสำรวจความประพฤติของตนเองของถังเจี่ยน ได้เห็นความคิดของผู้เป็นราชาที่เห็นแก่ตัวอย่างยิ่งของข่านเจี๋ยลี่ อวิ๋นเยี่ยเดินเล่นบนพื้นหิมะด้วยความพึงพอใจ  มาถึงสถานที่ที่องค์หญิงอี้เฉิงเผาตัวตายและพูดกับพื้นดินที่ไหม้เกรียมบริเวณนั้นว่า “ผู้หญิงที่โชคร้าย เจ้าเข้มแข็งมาชั่วชีวิตแล้วเป็นเช่นไร กลับต้องตายอย่างไร้ค่า การสละชีวิตและศักดิ์ศรีของตนเองเพื่อผู้อื่นอย่างเรื่อยเปื่อยนั้นไม่ควรกระทำ ตอนนี้ดูไปแล้วเหมือนเป็นการกระทำที่โง่เขลาที่สุด ตกดึกเจ้าอย่าได้เข้ามาในความฝันข้าเชียว ก่อแต่เรื่องวุ่นวายไม่หยุดหย่อน มันทำให้ข้าไม่ได้นอนหลับอย่างเต็มอิ่มเลย มักจะเห็นเจ้ายืนอยู่ในกองไฟและยิ้มให้ข้า เมื่อได้ยินคำพูดของข่านเจี๋ยลี่แล้ว เจ้าน่าจะตายตาหลับแล้วกระมัง แม้แต่ชื่อของเจ้าเขายังขี้เกียจที่จะเอ่ย เจ้ายังคิดว่าเขาจะซาบซึ้งใจเจ้าหรือ การรบกวนความฝันของผู้อื่นถือเป็นบาปหนานะ อย่ามารังควานข้าอีก จบแต่เพียงเท่านี้ สิ่งที่ข้าทำได้ก็ทำแล้ว ไปสู่สุขคติเถอะ! “


 


 


   การที่หาเรื่องข่านเจี๋ยลี่นั้นไม่ใช่เพราะอารมณ์ชั่ววูบของอวิ๋นเยี่ย แต่เป็นเพราะหลังจากที่องค์หญิงอี้เฉิงตายต่อหน้าต่อตาเขา เขาก็ฝันร้ายอย่างต่อเนื่อง มีหลายครั้งที่ตื่นขึ้นมากกลางดึกด้วยเหงื่อที่เปียกโชกชุดนอน ในฝันนั้น ดวงตาสดใสคู่นั้นขององค์หญิงอี้เฉิงมักจะดูเหมือนมีบางสิ่งที่ต้องการพูดกับเขา


 


 


โดยเฉพาะเช้าวันนี้ ฮ่วนเหนียงบอกเขาว่าองค์หญิงก็ชอบทานถั่วเหลืองทอดเช่นกัน พริบตานั้นอวิ๋นเยี่ยก็ขนลุกขึ้นมา ราวกับว่าหลังจากการตายขององค์หญิงอี้เฉิงแล้วตนเองจึงได้ชอบของสิ่งนี้ขึ้นมา ความเคยชินแย่ๆ ที่ชอบกินถั่วเหลืองทอดต้องแก้ไขเสีย


 


 


จึงหยิบถั่วเหลืองทอดทั้งหมดที่มีอยู่ในกระเป๋าออกมาแล้วโรยลงบนพื้นดินที่ไหม้เกรียมให้ทั่วๆ หลังจากควานค้นทั่วกระเป๋าจนไม่พบว่าเหลือถั่วเหลืองอีกแล้ว จึงค่อยถอนหายใจโล่งอก


 


 


กระท่อมหิมะตอนนี้ไม่สามารถอยู่ได้แล้ว เพียงแค่ด้านในมีการติดไฟด้านใน ภายในกระโจมก็จะมีน้ำหยดแปะๆ อย่างไรเสียนี่ก็ไม่ใช่ทุ่งหญ้าที่อยู่ขั้วโลกเหนือจริงๆ แม้ว่ากลางเดือนสองอากาศจะหนาว แต่ก็สามารถรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายของฤดูใบไม้ผลิ บนเนินเขาที่หันหน้ารับแสงอาทิตย์ตอนนี้หิมะเริ่มละลายแล้ว วัวและแกะก็ไม่ได้เกียจคร้านเหมือนช่วงก่อนหน้า กระจัดกระจายกินอาหารบนเนินเขาอย่างตะกละตะกลาม ฤดูหนาวที่ไม่ว่าจะโหดร้ายเพียงใดก็มีวันที่จะต้องผ่านไปเช่นกัน


 


 


ขณะที่อวิ๋นเยี่ยกำลังสั่งให้ทหารเสริมเก็บกวาดหิมะบนกระโจมอยู่นั้น ในที่สุดทูตของฉางอันก็มาถึง หัวหน้าหน่วยก็คือเวินเยี่ยนปั๋วน้องชายของเวินต้าหย่า เขาเป็นหวงเหมินซื่อหลาง ทั้งตระกูลเป็นผู้ที่จงรักภักดีต่อราชวงศ์ถังและตระกูลหลี่ ตั้งแต่สมัยที่หลี่หยวนออกรบเขาก็เป็นผู้ติดตาม ด้วยเหตุนี้จึงมีความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับหลี่ซื่อหมิน ดังนั้นทั้งครอบครัวของเขาจึงเลื่อนตำแหน่งอย่างรวดเร็วอย่างไม่ต้องกังวลอะไรเลย  


 


 


กลุ่มคณะทูตนั้นทำให้อวิ๋นเยี่ยรู้สึกได้แต่เพียงความหรูหรา หรูหราเป็นอย่างมาก ไม่เพียงแต่นำทรัพย์สินเงินทองมาเป็นจำนวนมาก ทั้งยังมีหญิงงามที่งามระดับแนวหน้าตั้งหลายคันรถ ขณะที่อวิ๋นเยี่ยกำลังยืนน้ำลายไหลรอให้เหล่าเวินมอบให้เขาสักคนสองคนอยู่นั้น ข่าวร้ายก็ถูกถ่ายทอดออกมา


 


 


“ขอให้หลานเถียนโหวกลับเมืองหลวงทันที อย่าได้ล่าช้า” นี่คือราชโองการที่เวินเยี่ยนปั๋วถ่ายทอดให้อวิ๋นเยี่ยฟัง ไม่ได้บอกที่มาและก็ไม่ได้บอกที่ไป เพียงแค่ประโยคเดียว กลับเมืองหลวง! ทันที! ขาดเพียงเขียนเพิ่มอีกประโยคว่าหากกลับไปช้าจะตีให้ขาหักเลย


 


 


“ท่านเวิน ปกติราชโองการของข้าจะต้องเป็นราชโองการจากฮองเฮาไม่ใช่หรือ เหตุใดครั้งนี้จึงเป็นพระราชโองการของฝ่าบาทเล่า”


 


 


เวินเยี่ยนปั๋วเป็นสุภาพบุรุษที่แท้จริง พูดกับอวิ๋นเยียด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ฝ่าบาทตรัสสั่งด้วยพระองค์เอง ข้าได้ยินมาว่าเมื่อเจ้ามีอายุครบสิบเจ็ดปีก็จะถือว่าเป็นผู้ใหญ่แล้ว ดังนั้นจึงควรอยู่ภายใต้การดูแลของฝ่าบาท ตอนนี้ไท่ซั่งหวงเที่ยวป่าวประกาศไปทั่วเมืองหลวง โดยบอกว่าเพราะเจ้าหนีหนี้การพนันของพระองค์จึงได้มาที่ทุ่งหญ้า ทั้งยังบอกว่าเจ้าน่าสงสารจึงตัดสินใจที่จะรับคืนเฉพาะเงินต้น สำหรับดอกเบี้ยนั้นก็ช่างเถอะ อย่างไรเสียเจ้าก็รีบกลับเมืองหลวงและคืนหนี้การพนันเสีย ลูกผู้ชายอกสามศอกสร้างหนี้สินมันน่าดูที่ไหนกัน”


 


 


“พี่ชายของท่านเป็นหนี้พนันข้าอยู่ห้าร้อยก้วนยังไม่ได้ใช้คืน ดูท่าคราวนี้กลับถึงเมืองหลวงแล้วต้องตามทวงหนี้ก่อน จากนั้นจึงค่อยถวายเอกสารเงินกู้ประทับตรา[2]คืนให้ไท่ซั่งหวง หากข้าน้อยโชคร้าย ครอบครัวท่านก็อย่าหวังจะได้อยู่อย่างสงบเลย”


 


 


เวินเยี่ยนปั๋วก็เกิดสีหน้าโศกเศร้าขึ้นในทันใด พูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “อวิ๋นโหวคงยังไม่รู้กระมัง พี่ชายของข้าล้มป่วยเสียชีวิตก่อนวันปีใหม่แล้ว เกรงว่าเขาคงจะไม่สามารถชำระหนี้พนันให้เจ้าได้แล้ว ตอนนี้ที่บ้านมีเพียงเด็กและคนชรา เจ้ายังคิดจะไปทวงหนี้อีกหรือ”


 


 


อวิ๋นเยี่ยตกตะลึง คนโบราณเคารพนับถือผู้ตายเป็นอย่างมาก ถึงแม้ว่าจะมีความแค้นยิ่งใหญ่ต่อกันก็ตาม โดยทั่วไปแล้วเมื่อลูกหนี้ตายหนี้ก็สูญเช่นกัน เพื่อเงินห้าร้อยก้วนก็คงจะไม่ถึงขั้นต้องขุดเวินต้าหย่าออกมาจากหลุมฝังศพเพื่อทวงหนี้


 


 


จึงคารวะเวินเยี่ยนปั๋วอย่างนอบน้อม “ข้าน้อยไม่รู้จริงๆ ว่าท่านเยี่ยนหงได้ถึงแก่อสัญกรรมแล้ว เสียมารยาทแล้ว ขอท่านโปรดอภัยด้วย”


 


 


เวินเยี่ยนปั๋วหัวเราะขึ้นและพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “ก่อนที่พี่ชายจะจากไป เขาได้บอกกับคนในครอบครัวว่าเขาได้เสพสุขกับความรุ่งโรจน์มาชั่วชีวิตของเขา ได้เป็นขุนนางอยู่เหนือผู้อื่นไม่มีอะไรให้ต้องเสียดายเลย ทุกคนในครอบครัวไม่จำเป็นต้องเสียใจ ใช้ชีวิตให้เหมือนปกติก็พอแล้ว เก็บเอาไว้ในใจดีกว่าการแกะสลักบนป้ายไม้ ทั้งยังหัวเราะพลางบอกว่าเขายินดีต้อนรับให้เจ้าไปหาเขาเพื่อทวงหนี้”


 


 


 


 


——


 


 


[1] เทพเจ้าทังกรี หรือ Tangri เนื่องจากชาวมองโกลนับถือว่า “ชางเทียน” หรือสวรรค์เป็นเทพเจ้าสูงสุด จึงมีการนับถือและเรียกว่า “ฉางเซิงเทียน” (ฟ้านิรันดร์) ซึ่งในภาษามองโกเลียเรียกว่า Mongke Tangri


 


 


[2] เอกสารเงินกู้ประทับตรา คือ การให้กู้เงินดอกเบี้ยสูง โดยการเอาเงินต้นรวมกับดอกเบี้ยสูงแล้วให้ผู้กู้ผ่อนส่งตามกำหนดเวลา แต่ละครั้งที่มีการผ่อนส่งจะมีการประทับตราทุกครั้ง

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)