เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วน 4 ตอน 46-47

ส่วนที่ 4

 

ตอนที่ 46 ข่านเจี๋ยลี่ในถ้ำกระรอกมาร์มอต

 

 หงเฉิงอธิบายกฎพื้นฐานของสารลับให้กับฮ่องเต้ฟังอย่างภาคภูมิใจ ก่อนที่เขาจะพูดจบ หลี่ซื่อหมินก็เข้าใจว่าสารลับที่หงเฉิงพยายามอธิบายว่าคืออะไรแล้ว ตำราของลัทธิขงจื้อนั้นโดยทั่วไปมีข้อพิสูจน์ให้เห็น สำหรับหนังสือที่หงเฉิงเขียนน่ะหรือ น่าจะใช้การได้ อย่างน้อยตัวเขาเองที่คุ้นเคยกับหงเฉิงเช่นนี้ ยังไม่รู้ว่าเขาจะเขียนของเล่นอะไรออกมา เจ้าหนุ่มหัวดี ตอนนี้ไม่ว่าทำอะไรก็จะดึงตัวเองออกจากปัญหา คิดง่ายไปหรือเปล่า รอให้เจ้ากลับถึงเมืองหลวงเสียก่อนเจ้าจะได้รู้ว่าฐานันดรศักดิ์เจวี๋ยเหยียกับเงินเดือนของเราไม่ใช่ว่าจะได้รับกันง่ายๆ อยากจะเก็บตัวอยู่ในสำนักศึกษาอย่างเงียบสงบรึ ฝันไปเถอะ!


 


 


“หงเฉิง เจ้าตั้งใจเขียนหนังสือให้ดีๆ เขียนเสร็จแล้ว เราจะมีรางวัลใหญ่ให้เจ้า อ้อ ให้รางวัลเจ้าห้าร้อยก้วนก็แล้วกัน”


 


 


เมื่อเห็นหงเฉิงค่อนข้างผิดหวัง จึงพูดขึ้นอีกว่า “เงินห้าพันก้วนก้อนโตเช่นนี้ ตอนนี้เจ้านายเจ้ายังไม่สามารถจ่ายได้ ถึงแม้จะให้ได้ เจ้าก็คงไม่กล้าที่จะรับมัน ไม่เช่นนั้นคงต้องถูกขุนนางฝ่ายทัดทานคำพูดด่าจนตายแน่ เฮ้อ อวิ๋นเยี่ยเป็นใครกัน เจ้าคิดจะทำการค้ากับเขาเพื่อหวังผลประโยชน์ รอชาติหน้าเสียเถอะ เขารู้ว่าหากบอกวิธีนี้กับเราเขาก็ไม่ได้ผลประโยชน์อย่างแน่นอน มีแต่จะต้องบอกผ่านคนโง่เช่นเจ้าเขาจึงจะได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ เพราะอะไรพวกเจ้าแต่ละคนจึงพยายามอยากจะทำการค้ากับเขานัก ถูกหลอกแล้วก็ยังกระหยิ่มยิ้มย่อง เราไม่เชื่อว่าถ้าเจ้าไม่รับไว้แล้วเขาจะกล้าไม่มอบวิธีที่ดีเช่นนี้ให้กับเราอย่างนั้นหรือ เด็กดีๆ คนหนึ่งตอนนี้กลายเป็นอะไรไปแล้ว ไม่รู้ว่าฮองเฮาสอนอย่างไรของนาง”


 


 


“นี่ฝ่าบาทกำลังกล่าวโทษหม่อมฉันที่สั่งสอนไม่เป็นใช่หรือไม่เพคะ” จั่งซุนที่แต่งองค์เต็มยศทำให้ดูกิริยาท่วงท่าสง่างามยิ่งนัก บางทีอาจเป็นเพราะเพิ่งจะมีประสูติกาล รูปร่างจึงอวบใหญ่กว่าแต่ก่อน ทั้งยังตั้งใจแต้มจุดแดงไว้ระหว่างคิ้ว กำลังนั่งหัวเราะหยอกล้อฮ่องเต้อยู่ด้านข้าง


 


 


“ฮองเฮา เจ้ามาดูว่านี่คืออะไร” หลี่ซื่อหมินพูดจบแล้วก็วางตราพระราชลัญจกรบนฝ่ามือให้ฮองเฮาดู


 


 


จั่งซุนตาโตเบิกกว้างอ้าปากค้าง ชี้ที่ตราพระราชลัญจกรในมือของหลี่ซื่อหมินพลางถามด้วยความประหลาดใจว่า “หรือว่านี่ก็คือตราพระราชลัญจกรอย่างนั้นหรือ”


 


 


หลี่ซื่อหมินยิ้มพลางพยักหน้า จั่งซุนรีบจัดแต่งองค์ใหม่ให้เรียบร้อยในทันใดและกราบไหว้อย่างนบนอบ “หม่อมฉันขอแสดงความยินดีต่อฝ่าบาทและไพร่ฟ้า” ในเวลานั้นเหล่าราชองครักษ์ที่ยืนอยู่ที่ประตูวัง นางกำนัลขันทีทุกคนต่างก็ก้มลงกราบและกล่าวพร้อมเพรียงกันว่า “พวกกระหม่อมขอแสดงความยินดีต่อฝ่าบาทและไพร่ฟ้า”


 


 


หลี่ซื่อหมินนำตราพระราชลัญจกรในมือเก็บลงในกล่องอีกครั้งและขมวดคิ้ว เขาไม่ชอบกล่องที่เรียบง่ายนี้ จึงหยิบตราหยกออกมาอีกครั้งและมอบให้กับฮองเฮา ให้นางช่วยหากล่องที่เหมาะสมมาเก็บสมบัติแสนรักชิ้นนี้โดยเฉพาะ


 


 


ข่าวชัยชนะเสมือนมีเท้างอกออกมามันได้แพร่สะพัดไปทั่วเมืองฉางอันในเวลาอันรวดเร็ว ชาวเผ่าหูในเมืองเริ่มถ่อมตัวมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ชาวฮั่นเริ่มเย่อหยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ นี่คือปฏิกิริยาลูกโซ่ที่เกิดจากชัยชนะครั้งนี้ ในยุคสมัยของการพิชิตและการถูกพิชิตเช่นนี้ การทำศึกได้ชัยชนะกลับมาอย่างยิ่งใหญ่นั้นมีประโยชน์มากกว่าการแต่งบทกวีและศึกษาวัฒนธรรมมากมายนัก


 


 


ขุนนางฝ่ายบุ๋นกำลังหยิบพู่กันเขียนบทความสรรเสริญ เหล่าทหารเริ่มร้องเพลงศึก แม้แต่หอเอี้ยนไหลโหลวก็ติดป้ายลดราคาเหล้าครึ่งราคาอย่างเงียบๆ ด้วย…


 


 


วันนี้เข้านอกออกในได้ตามสบาย


 


 


ในวันดีของการเฉลิมฉลองทั่วหล้า จางเป่าเซียงรองผู้บัญชาการของเขตต้าถงเต้ากำลังค้นหาข่านเจี๋ยลี่อยู่ในทุ่งหญ้า ลมหนาวที่หนาวสุดขั้วได้ทำให้แขนขาของเขาชาจนไร้ความรู้สึก มีเพียงเปลวไฟที่ยังลุกไหม้อยู่ในอกเท่านั้น ข่านเจี๋ยลี่ที่พ่ายศึกที่เขาอินซันล้มลุกคลุกคลานหนีร่นไปทางทิศตะวันตก หายไปอย่างไร้ร่องรอยในทุ่งหญ้าแห่งนี้ มีทหารม้าของต้าถังลาดตระเวนไปทั่วทุกแห่งหน จางเป่าเซียงไม่เชื่อว่าข่านเจี๋ยลี่ที่ไม่มีองครักษ์จะหนีออกจากทุ่งหญ้าแห่งนี้ได้


 


 


บนทุ่งหญ้าที่มองไม่เห็นที่สิ้นสุด ม้าศึกของข่านเจี๋ยลี่นั้นหมดสิ้นเรี่ยวแรงแล้วและล้มลงอยู่บนพื้นหญ้า หลายวันที่ผ่านมานี้ ม้าตัวนี้ได้กลายเป็นกาน้ำและถุงเสบียงของเขา เพียงแค่เห็นร่องรอยมีดที่อยู่บนตัวม้าเต็มไปหมดก็จะรู้ได้ว่าม้าศึกตัวนี้ต้องเจอกับอะไรในหลายวันนี้ ข่านเจี๋ยลี่ได้อาศัยเลือดม้าศึกตัวนี้ในการเอาชีวิตรอดในเจ็ดวันนี้ มาจนถึงตอนนี้ที่พึ่งสุดท้ายก็ได้ล้มลงบนทุ่งหญ้า เขาดึงขาซ้ายของตัวเองออกจากใต้ตัวม้าศึกแล้วรีบเฉือนเนื้อบนขาของม้าอย่างรวดเร็ว เขาต้องอาศัยช่วงที่เนื้อของม้ายังมีอุณหภูมิอุ่นอยู่รีบกินอย่างรวดเร็ว เพราะหากลมหนาวพัดผ่าน ไม่นานนักก็จะแช่แข็งเนื้อจนแข็งเหมือนก้อนหิน


 


 


ม้าศึกยังไม่ตาย เพียงแค่ไม่มีแรงเท่านั้นเอง ศีรษะส่ายไปมาสองครั้งแล้วก็หลับตาลง ข่านเจี๋ยลี่รีบนำเนื้อม้าที่เปื้อนเลือดสดใส่เข้าปากและเคี้ยว ดาบเล็กของเขาคมมากจนสามารถตัดเนื้อม้าเป็นเส้นๆ เพื่อให้เขากินได้อย่างง่ายดายมาก เขาไม่สนใจรสชาติของเนื้อและเลือดเหล่านี้ รู้เพียงว่าหากไม่กินจะต้องตาย แล้วคนจะเข้าไปในรูเล็กๆ นี้ได้อย่างไร นี่คือถ้ำกระรอกมอร์มอตในทุ่งหญ้า สัตว์จำพวกตระกูลสัตว์ฟันแทะที่มีขนาดใหญ่กว่าหนูหนึ่งเท่าตัวเท่านั้น ชื่นชอบการขุดหลุมมากที่สุด พวกมันมักจะขุดหลุมจำนวนมากเพื่อหลบสายตาของนกเหยี่ยวนักล่าบนท้องฟ้า ซึ่งนี่ก็ถือเป็นการให้ที่หลบภัยตามธรรมชาติแก่สัตว์ตัวเล็กๆ อย่างอื่นด้วย เช่น สัตว์เล็กๆ จำพวกกระต่าย ตอนนี้ข่านเจี๋ยลี่คงต้องหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเขาจะกลายเป็นสัตว์ตัวเล็กเช่นเดียวกับกระรอกมอร์มอตหรือกระต่าย น่าเสียดายที่หลายปีมานี้เขาอยู่ดีกินดีมากเกินไป ทำให้ร่างกายที่ครั้งหนึ่งของเขาเคยกำยำแข็งแรงเปลี่ยนเป็นร่างที่เต็มไปด้วยไขมัน


 


 


ไม่มีที่กำบัง มีเพียงรูกระรอกที่อยู่เบื้องหน้า ข่านเจี๋ยลี่ที่เคยจองหองอวดดีเมื่อในอดีตนั้นในใจเริ่มหดหู่เศร้าหมอง เขาอยากจะหันกลับมาต่อสู้กับทหารม้าที่สมควรตายของต้าถังให้รู้แล้วรู้รอด เพราะอย่างน้อยที่สุดก็จะไม่ทำให้ชื่อของข่านเสื่อมเสีย ดาบจันทร์เสี้ยวยังคงคมกริบ เพียงแต่คนนั้นเปลี่ยนจากหินผาเป็นดินโคลนเสียแล้ว


 


 


เขาพยายามที่จะมุดเข้าไปในหลุม คิดเพียงแต่ว่าจะหลบหลีกทหารต้าถังอย่างไร แต่ไม่ได้คิดถึงวิธีการว่าจะออกมาอย่างไรหลังจากเข้าไปแล้ว ในถ้ำนั้นมืดมากดูเหมือนจะมีดวงตาเปล่งประกายสีเขียวคู่หนึ่งจ้องมองตัวเองอยู่ ทั้งร่างกายขยับไม่ได้ ดินโคลนราวกับมีชีวิตจับเขาตรึงแน่นอยู่ในหลุม


 


 


ดวงตาที่เปล่งประกายสีเขียวคู่นั้นเป็นของกระรอกมอร์มอต เขาเคยกินเจ้าตัวเช่นนี้มานับไม่ถ้วน เนื้อมีรสชาติโอชะ หนังคุณภาพสูง เขายังมีเสื้อคลุมตัวหนึ่งที่ตัดเย็บจากหนังของกระรอกมอร์มอตอยู่ด้วยซึ่งมันอุ่นมาก ตอนนี้เขาทำให้กระรอกมอร์มอตตื่นขึ้นจากที่จำศีล เจ้าสัตว์ประเภทนี้ไม่ใช่แค่กินหญ้าหรอกหรือ ทำไมตอนนี้จึงเริ่มกัดฉีกหน้าผากของตนเองแล้ว


 


 


ข่านเจี๋ยลี่หมดหวังแล้ว เขาไม่อยากจะถูกกระรอกมอร์มอตกัดกินทั้งเป็นในถ้ำมืดนี้จริงๆ เขาตะโกนเสียงดัง แต่โชคไม่ดีที่เสียงไม่สามารถดังขึ้นไปสู่พื้นดินได้ เพียงแต่ทำให้กระรอกมอร์มอตถอยหนีไปชั่วคราวเท่านั้น


 


 


จางเป่าเซียงค้นหาทุ่งหญ้าแห่งนี้จนทั่วแต่กลับไม่พบข่านเจี๋ยลี่แม้แต่เงา ศพม้าศึกของข่านเจี๋ยลี่ที่ตายไปยังอุ่นๆ อยู่ เลือดบนต้นขายังไม่แข็งตัว ร่องรอยทั้งหมดนี้ชี้ให้เห็นว่าข่านเจี๋ยลี่ต้องอยู่ภายในระยะสามลี้เป็นแน่ แปลกจริงๆ ที่ทหารใต้บังคับบัญชาของเขาสามพันคนกลับหาตัวไม่พบ หากอยู่ในป่าทึบบนภูเขาก็พอที่จะเข้าใจได้ แต่ตอนนี้อยู่ในทุ่งหญ้า ไม่จำเป็นต้องยืนอยู่บนม้าก็สามารถมองเห็นดินแดนในระยะสามลี้ได้ ข่านเจี๋ยลี่ เจ้าอยู่ไหน


 


 


เป็นไปไม่ได้ที่จะขึ้นฟ้า เช่นนั้นก็เหลือเพียงแค่มุดดินแล้ว “ค้นหาถ้ำ เนินดินทั้งหมดที่มีอย่าปล่อยเบาะแสใดๆ ไป แม้ว่าจะต้องขุดหลุมลึกก็ต้องนำตัวข่านเจี๋ยลี่ออกมาให้ได้” ฝ่ามือของจางเป่าเซียงเต็มไปด้วยเหงื่อ คนของหลี่จียังคงอยู่ห่างออกไปอีกสี่สิบลี้ เขาไม่ต้องการให้ผลงานชิ้นใหญ่นี้ไปตกอยู่ในมือของผู้อื่น


 


 


บนทุ่งหญ้ามีเพียงชั้นหิมะบางๆ ปกคลุมอยู่ หิมะที่ตกหนักเมื่อหลายวันก่อนดูเหมือนจะไม่ได้แพร่กระจายมาถึงที่นี่ อย่างไรเสียที่นี่ก็เป็นดินแดนที่ห่างไกลหลายพันลี้ ห่างจากถูอวี้หุนไม่ถึงห้าร้อยลี้ ความสัมพันธ์ระหว่างต้าถังกับถูอวี้หุนนั้นไม่ค่อยดีสักเท่าไร หากปล่อยให้ข่านเจี๋ยลี่หนีไปได้ ความรุ่งโรจน์แห่งชัยชนะที่เขา อินซันก็จะลดลงครึ่งหนึ่ง จางเป่าเซียงเข้าใจดี หลี่จีก็เข้าใจดีเช่นกัน


 


 


ช่วงเวลากลางวันของทุ่งหญ้าในฤดูหนาวนั้นสั้นมาก ยามโหย่ว[1]พระอาทิตย์ก็ตกดินแล้ว ผืนหญ้าทั้งหมดเริ่มมืดดำสนิท การจะจับชาวทุ่งหญ้าอย่างข่านเจี๋ยลี่ที่เกิดและโตมากับทุ่งหญ้าจึงยิ่งเป็นเรื่องยากแล้ว ตอนนี้เหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วยามกว่าๆ ก่อนที่พระอาทิตย์ตกดิน


 


 


ภายใต้แสงอาทิตย์ที่ส่องสว่าง ไม่มีอะไรสามารถปกปิดร่องรอยได้ เหยี่ยวหัวดำที่บินวนอยู่บนท้องฟ้า กระรอกมอร์มอตที่กำลังมองซ้ายขวาอยู่บนเนินเขา ทุกตัวล้วนอยู่ในเป้าสายตาของจางเป่าเซียง แต่ไม่มีข่านเจี๋ยลี่ หรือจะบอกว่าเขาเป็นเหมือนเทพนิยายของชาวเผ่าทูเจวี๋ยที่สามารถกลายร่างเป็นนกเหยี่ยวได้


 


 


จางเป่าเซียงก็เติบโตขึ้นมาบนทุ่งหญ้าเช่นกัน เพราะเขาคุ้นเคยกับสภาพภูมิประเทศของทุ่งหญ้า จึงได้รับการแต่งตั้งจากฮ่องเต้แห่งราชวงศ์ถัง การที่ตนเองซงเป็นเพียงขุนนางฝ่ายตุลาการได้รับการแต่งตั้งเช่นนี้เรียกได้ว่าเฟื่องฟูในช่วงพริบตา เพียงแต่ตำแหน่งขุนนางที่โดดเด่นมีชื่อเสียงก็จำเป็นต้องใช้ผลงานทางการศึกที่โดดเด่นมีชื่อเสียงมาค้ำจุนไว้ การจับข่านเจี๋ยลี่ได้ เท่ากับสามารถตอบสนองพระมหากรุณาธิคุณของฝ่าบาทที่ค้ำชูอุปถัมภ์ได้อย่างแน่นอน


 


 


เหยี่ยวหัวดำที่อยู่บนศีรษะยังคงบินฉวันเฉวียนอยู่ กระรอกมอร์มอตที่ร้อนรนก็ยังคงไม่ยอมกลับเข้าหลุม จู่ๆ จางเป่าเซียงก็หัวเราะเสียงดังขึ้น นำลูกน้องไปโอบล้อมเนินเขาเตี้ยๆ นั้น กระรอกมอร์มอตตกใจจนวิ่งหนีไป  วิ่งไปได้ไม่ไกลก็ถูกเหยี่ยวหัวดำบนท้องฟ้าจับและลากขึ้นท้องฟ้าไป


 


 


เมื่อเห็นเหตุการณ์เช่นนี้แล้ว จางเป่าเซียงยิ่งหัวเราะอย่างมีความสุขมากขึ้น เขามาที่หลุมของกระรอกมอร์มอตแล้วมองเข้าไปข้างใน นี่เป็นหลุมที่เพิ่งขุดใหม่ๆ เมื่อตอนเยาว์วัยเขาเคยจับกระรอกมอร์มอต น้ำมันบนตัวกระรอกมอร์มอตเป็นยาชั้นดีในการใช้รักษาแผลไฟลวกหรือแผลไหม้ได้ หากใช้ดื่มสามารถละลายลิ่มเลือดและห้ามเลือดได้ การใช้ภายนอกสามารถรักษาโรคข้ออักเสบได้ ของล้ำค่าที่ใช้ในการรักษาชีวิตชนิดนี้มีแรงดึงดูดต่อจางเป่าเซียงผู้มีชาติกำเนิดค่อนข้างแร้นแค้น เขาเดินอ้อมเนินเขาครึ่งหนึ่งมาที่ด้านหลังของเนินเขา ก็พบหลุมอีกหลุมหนึ่ง ครั้นเห็นรอยดาบที่ฟันอยู่ หัวใจแทบจะหลุดออกมาจากหน้าอก ไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ ว่าสวรรค์จะเมตตาตนเองถึงเพียงนี้


 


 


 


 


——


 


 


เหล่าลูกน้องก็ได้ขุดหลุมเก่าของกระรอกมอร์มอตอย่างรวดเร็ว ทหารทุกคนไม่ได้ร้องโห่ด้วยความดีใจขึ้น แต่กลับหัวเราะเสียงดังขึ้นก่อน ข่านเจี๋ยลี่ผู้สูงส่ง โหดเ**้ยม อยู่เหนือผู้อื่นเมื่อครั้งอดีตติดอยู่ในรูหนูขยับไม่ได้ หน้าผากเต็มไปด้วยรอยเลือดที่ถูกกระรอกมอร์มอตกัดแทะ


 


 


จางเป่าเซียงนำตัวข่านเจี๋ยลี่ออกจากหลุมด้วยตนเอง สิ่งแรกเลยที่ทำก์คือเอาเชือกมัดปากเขา จับข่านเจี๋ยลี่มัดอย่างแน่นหนา นำม้าที่ไม่มีคนขี่มาสองตัว ใช้หอกยาวทำเป็นคานหามเสียบลอดเชือกที่มัดมือและเท้า แล้วผูกเอาไว้ตรงกลางระหว่างม้าสองตัวให้แน่น จางเป่าเซียงไม่คาดหวังที่จะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดอะไรขึ้นอีก


 


 


บนทุ่งหญ้ามีกลุ่มควันดำลอยขึ้น และตามติดด้วยควันสัญญาณขึ้นมาทีละระลอกๆ จากทุ่งหญ้า ควันสัญญาณนี้เป็นสัญญาณที่ได้ตกลงกันไว้แต่แรกแล้ว ไม่ได้หมายความว่ามีการบุกรุกจากศัตรู แต่มันหมายถึงข่านเจี๋ยลี่ถูกจับเป็นได้แล้ว เขาต้องเดินทางผ่านทุ่งหญ้า ผ่านทะเลทราย ข้ามภูเขาสูง ข้ามแม่น้ำ ระยะทางหลายหมื่นลี้ ในเวลานี้ใช้เวลาเพียงครึ่งวันก็กลับถึงฉางอันได้แล้ว หอคอยไฟสัญญาณแจ้งเหตุที่หลงโส่วหยวนได้เห็นควันสัญญาณจากบนเขาหลีซันลอยขึ้นแต่ไกลๆ ฟืนที่เปียกชื้นที่เตรียมไว้ถูกราดด้วยน้ำมัน คบไฟอันหนึ่งถูกโยนลงไปในกองฟื้นนั้น ชั่วพริบตาก็เกิดเป็นควันสีดำหนาขึ้นมา


 


 


งานเลี้ยงในตำหนักไท่จี๋ถูกราชองครักษ์เข้าแทรก “กราบทูลฝ่าบาท ไฟสัญญาณแจ้งเหตุของหลงโส่วหยวนถูกจุดขึ้นแล้วพะย่ะค่ะ!”


 


 


หลี่ซื่อหมินโยนไหเหล้าทองคำลงแล้วเดินมาที่ด้านหน้าตำหนัก ภายใต้ดวงจันทร์ที่อยู่ไกลลิบกลุ่มควันสีดำก็ลอยขึ้นเป็นเส้นตรงจากหอคอยไฟสัญญาณ


 


 


กวักมือเรียกขันทีพูดเสียงดังว่า “มานี่ เปลี่ยนเป็นถ้วยซัง[2]ใบใหญ่ให้เรา” ถ้วยซังที่รินเหล้าจนเต็มถูกหลี่ซื่อหมินยกขึ้นสูง น้ำตาอาบสองแก้มซึ่งไม่สามารถปกปิดความห้าวหาญในใจของเขาได้ “ทุกท่าน ข่านเจี๋ยลี่ถูกจับได้แล้ว สงครามกับทูเจวี๋ยสิ้นสุดลงแล้ว มา เราขอดื่มกับทุกท่าน ไม่เมาไม่กลับ ยินดีกับชัยชนะ”


 


 


ในห้องโถงมีแต่เสียงสะท้อนของการยินดีกับชัยชนะ หลี่หยวนได้ยินมาแต่ไกล จึงมองดูควันสัญญาณที่อยู่ข้างนอก มุมปากยกขึ้น “บางทีข้าก็ควรจะไปฉลองด้วยเช่นกัน”


 


 


 


 


——


 


 


[1] ยามโหย่ว คือช่วงเวลาตั้งแต่ 17.00 – 18.59 น.


 


 


[2] ซัง เป็นภาชนะสำหรับใส่เหล้าในสมัยโบราณ มีลักษณะคล้ายชามก้นแบน 

 

 


ส่วนที่ 4

 

ตอนที่ 47 การทดลองประสิทธิภาพของยา

 

คนในครอบครัวของหลี่ซื่อหมินล้วนแล้วแต่เป็นผู้เชี่ยวชาญในการแสดง แต่ก็มีหลายๆ ฉากที่ต้องเซ็นเซอร์ด้วย ได้ยินเหอเซ่าเล่าว่าหลังจากหลี่ซื่อหมินฆ่าพี่ฆ่าน้องแล้วก็ขอให้หลี่หยวนยกโทษให้ วิธีการที่ใช้ขอขมาก็คือการดูดหัวนมของหลี่หยวน เมื่อได้ยินเช่นนี้ อวิ๋นเยี่ยพลันขนลุกซู่ไปทั้งตัว รีบปิดปากของเหอเซ่าไว้แล้วบอกเขาว่าอย่าพูดต่ออีก ใครจะรู้ว่าเหอเซ่าปัดมืออวิ๋นเยี่ยออกแล้วพูดว่า “เจ้าเป็นห่วงเรื่องอะไร เรื่องเหล่านี้มีอยู่ในบันทึกชีวิตประจำวันของฝ่าบาทและจะถูกรวบรวมไว้ในหนังสือประวัติศาสตร์เพื่อถ่ายทอดสู่คนรุ่นหลัง ช้าเร็วทุกคนก็จะได้รับรู้กันหมด เจ้าปิดปากข้าทำไมกัน”


 


 


“เรื่องเหล่านี้สามารถพูดพร่ำเพรื่อได้อย่างไรกัน” อวิ๋นเยี่ยมองเหอเซ่าที่รื่นเริงสนุกสนานด้วยความปวดเศียรเวียนเกล้า


 


 


“ไต้ซือฝ่าหลินต่อว่าหาว่าเขาเป็นลูกหลานของชาวเผ่าหูต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ นอกจากนี้เขายังกล่าวว่า บรรพบุรุษของเขาสวมรอยเป็นลูกหลานของตระกูลหลี่ จึงได้มีความรุ่งเรืองของตระกูลหลี่แห่งกวนหล่งเกิดขึ้น แม้ว่าฝ่าบาทจะทรงกริ้วเป็นอย่างมาก แต่ก็ไม่ได้สั่งประหารไต้ซือฝ่าหลินไม่ใช่หรือ ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่คนในต้าถังหากพูดนินทาคนอื่นเพียงไม่กี่ประโยคก็ต้องถูกฆ่า” เหอเซ่ารู้สึกงงงวยกับความระมัดระวังของอวิ๋นเยี่ยเป็นอย่างมาก


 


 


“แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่เจ้ากำลังนินทาฮ่องเต้ ทั้งยังบอกว่าคุกเข่าดูดนมไท่ซั่งหวงนี่มันก็มากเกินไปกระมัง” ไม่เชื่อ อวิ๋นเยี่ยคิดว่านี่เป็นเพราะเหอเซ่าเมาแล้วจึงพูดไร้สาระ


 


 


“จะหลอกเจ้าทำไม เรื่องนี้ยังได้รับการยกย่องว่าเป็นแบบอย่างของความกตัญญูอีกด้วย ด้วยนิสัยระแวดระวังของเจ้าข้อนี้ เหมือนชายชาตรีชาวต้าถังเราตรงไหนกัน” เหอเซ่าเมาแล้วจริงๆ เหล้าปั่นเช่นนี้ ดื่มแล้วคล้ายเหล้า ดมแล้วเหมือนเหล้า เพียงแต่เมื่อดื่มเข้าไปแล้วมันไม่ใช่เหล้า แต่กลายเป็นเหล้าพิษชนิดหนึ่งที่ทำให้ปวดศีรษะและทรมาน


 


 


เมื่อมองดูเหอเซ่าที่นอนกรนล้มพับอยู่บนพื้น อวิ๋นเยี่ยจึงถอนหายใจและลากเขากลับไปที่เตียง ตนเองนั่งข้างๆ เตาย่างถั่วเหลือง ไม่รู้ว่ามันกลายเป็นนิสัยตั้งแต่เมื่อไหร่ หากอยากจะพิจารณาอะไรสักอย่าง จะต้องมีกิจกรรมบางอย่างให้มือได้ขยับ


 


 


บันทึกประวัติศาสตร์ระบุไว้ว่า หลังจากชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ครั้งนี้ หลี่ซื่อหมินและหลี่หยวนก็ปรับความเข้าใจกันได้ กล่าวกันว่าสองพ่อลูกคนหนึ่งนั้นเล่นผีผาอีกคนหนึ่งร่ายรำ ระหว่างพ่อลูกมีความสุขเข้ากันได้เป็นอย่างดี ไม่รู้ว่าในใจคิดเช่นนี้จริงหรือ หรือเพื่อความมั่นคงของราชวงศ์ถังจึงได้สร้างภาพทางการเมือง


 


 


ถั่วเหลืองกำลังส่งเสียงดังเปรี๊ยะๆ อวิ๋นเยี่ยก็กำลังเคี้ยวกรุบๆ ที่แท้ในโลกนี้ก็มีเรื่องน่าสนใจเช่นนี้ด้วย ถ้าหากนำเรื่องเสแสร้งของพวกเขามาสร้างเป็นมรสุมความสัมพันธ์ขึ้นจริง เช่นนั้นจะเป็นฉากแบบไหนกัน อวิ๋นเยี่ยคิดว่าน่าจะลองดูเสียหน่อย


 


 


เขานัดกับเฉิงฉู่มั่วไว้ว่าจะไปดูข่านเจี๋ยลี่ จางเป่าเซียงจะหามเขากลับมาในวันนี้ ทำไมจึงถูกหามกลับมาเล่า ที่แท้แล้วชายคนนี้เก่งในการขุดหลุม ร้ายกาจกว่ากระรอกมอร์มอตเสียอีก จางเป่าเซียงได้ลากตัวเขาออกมาจากหลุมของกระรอกมอร์มอต โดยห้ามให้เขาเอาเท้าแตะพื้น หากให้เท้าเขาแตะพื้นไม่แน่ว่าตัวเขาอาจขุดหลุมแล้วหนีไป


 


 


เมื่อได้ยินคำถกเถียงกันของเหล่าทหาร อวิ๋นเยี่ยรู้สึกว่าข่านเจี๋ยลี่เก่งกว่าถู่สิงซุนเสียอีก มีความสามารถเช่นนี้ยังถูกจางเป่าเซียงจับตัวได้อีก เห็นได้ชัดว่าเป็นการป่าวประกาศที่เกินจริงไม่ใช่หรือ เฉิงฉู่มั่วไม่พอใจเป็นอย่างมากกับเรื่องที่ว่าคนอื่นเหวี่ยงแหเพียงครั้งเดียวก็ได้ปลาตัวใหญ่มามากมาย แต่ตัวเองกลับจับได้แต่ปลาซิวปลาสร้อย อวิ๋นเยี่ยกลับดีใจมาก อย่างไรเสียความดีความชอบแบ่งออกเท่าๆ กัน ทุกคนมีส่วนร่วม เพียงแต่หัวหน้าก็จะได้ความดีมากกว่าคนอื่นนิดหน่อยเท่านั้นเอง จางเป่าเซียงถูกรางวัลที่หนึ่งยังไม่ยอมแบ่งให้พวกเราได้ความดีความชอบบ้างหรือ


 


 


บุคคลสำคัญนั้นมีไว้เพื่อหลอกให้ทุกคนมีความสุข ในยุคปัจจุบันก็มีกษัตริย์พระองค์หนึ่งในทะเลทรายเมื่อประเทศถูกทำลาย ส่วนตัวเขาหนีเข้าไปซ่อนในบ้านชาวบ้าน สุดท้ายก็ถูกจับได้เช่นกัน ถูกจับอ้าปากและตรวจฟันจนทำให้ทั้งโลกต้องร้องตกตะลึงไปตามๆ กัน บุคคลสำคัญก็แค่นี้เองไม่ใช่หรือ


 


 


ปากของจางเป่าเซียงบานจนจะไปถึงรูหูของเขาแล้ว เมื่อคืนเขาไม่ได้นอนทั้งคืนเพราะกังวลว่าข่านเจี๋ยลี่จะหนีไป ความสุขของบั้นปลายชีวิตที่เหลือของตัวเขาก็ขึ้นอยู่กับข่านเจี๋ยลี่แล้ว จนกระทั่งลูกน้องที่มุ่งหน้าไปค่ายใหญ่รายงานสถานการณ์ได้พาหลี่จีกลับมายังค่ายชั่วคราวนั้น เขาจึงค่อยรู้สึกโล่งใจ


 


 


ลูกน้องของเขานั้นดีทุกอย่าง เสียเพียงอย่างเดียวคือมักจะชอบคุยโม้โอ้อวด ซึ่งเขาก็ค่อนข้างรู้สึกไม่ค่อยดีสักเท่าไร เพียงแต่ตอนนี้เขาจะไม่เปิดเผยอะไรออกมาทั้งนั้น


 


 


 ข่านเจี๋ยลี่ถูกหามเข้ามาด้วยหอกยาวสองอัน มือและเท้าถูกมัดอย่างแน่นหนา ผิวหนังบนข้อมือและข้อเท้าถลอกหายไปตั้งนานแล้ว เชือกได้เสียดสีเซาะลึกเข้าไปในเนื้อซึ่งทำให้เขาส่งเสียงร้องโหยหวนเป็นระยะๆ  น้ำมูกและน้ำตาเจิ่งนองเต็มใบหน้า ร้องไห้อย่างเศร้าสลดมาก


 


 


มองไม่ออกถึงความเป็นชายผู้แข็งแกร่งเห็นความตายเป็นเรื่องธรรมดาเหมือนในตำนานเลย ช่างทำให้รู้สึกเศร้าใจจริงๆ เบื้องหน้าท่านนี้เป็นแค่โจรป่าคนหนึ่ง เขามีคุณสมบัติอะไรที่จะทำพันธสัญญาพันธมิตรกับหลี่ซื่อหมินที่แม่น้ำเว่ยสุ่ย ชายชาตรีบนทุ่งหญ้าไม่เกรงกลัวความตายไม่ใช่หรือ เหตุใดเมื่อมาถึงรุ่นข่านเจี๋ยลี่ ทุกสิ่งอย่างกลับเปลี่ยนไป


 


 


เรื่องการขุดหลุมของกระรอกนั้นเป็นความจริง จางเป่าเซียงขุดเอาเขาออกมาจากหลุมกระรอกจริงๆ ถ้าเหล่าจางไม่พบความผิดปกติของกระรอกมอร์มอต เขาจะต้องติดอยู่ในหลุมกระรอกจนกระหายน้ำตายทั้งเป็นหรือไม่ก็อาจจะถูกกระรอกมอร์มอตจับกิน กระรอกมอร์มอตที่จำศีลในฤดูหนาวก็กินเนื้อหรือ


 


 


ข่านเจี๋ยลี่ไม่มีความกล้าหาญเหมือนองค์หญิงอี้เฉิงแม้แต่น้อย ภรรยาของเขาตายอยู่ในกองไฟ จนกระทั่งตายก็ไม่มีเสียงร้องโหยหวนแม้แต่น้อย สตรีเช่นนี้แต่งงานกับชายที่รักตัวกลัวตายเช่นนี้หรือ


 


 


“ถุย!” อวิ๋นเยี่ยถ่มน้ำลายใส่หน้าข่านเจี๋ยลี่ แต่เขากลับไม่คิดที่จะหลบ ใช้ใบหน้าของตนเองมารับน้ำลาย คนเลวเช่นนี้แม้หั่นเป็นร้อยชิ้นก็ไม่มีทางหายแค้นได้ สมมติว่าเขาเห็นว่าความตายเป็นเรื่องธรรมดา พ่ายแพ้และถูกจับในสนามรบ ไม่ว่าอย่างไรอวิ๋นเยี่ยก็จะไม่หยาบคายเช่นนี้ จะปฏิบัติต่อเขาตามมารยาท เคารพเขาในฐานะวีรบุรุษคนหนึ่ง


 


 


แม้ไม่มีที่ระบายอารมณ์ หลี่จิ้งก็ไม่อนุญาตให้ทุกคนลงดาบที่เขา บอกว่าจะควบคุมตัวกลับเมืองหลวง เตรียมที่จะแสดงความน่าเกรงขามอีกครั้งบนถนนจูเชวี่ย ได้ยินเช่นนี้สีหน้าทุกคนจึงค่อยดูดีขึ้นบ้าง บางทีอาจจะได้รางวัลมากกว่าเดิมอีกด้วย


 


 


จางเป่าเซียงช่างน่ารำคาญนัก พูดแต่เรื่องกระรอกมอร์มอตไม่ยอมเลิก ทำให้อวิ๋นเยี่ยโกรธจัด


 


 


“ท่านแม่ทัพจางคุ้นเคยกับกระรอกมอร์มอตถึงเพียงนี้ เชื่อว่าจะจับกระรอกมอร์มอตได้อย่างไรคงจะต้องมีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม ตอนนี้ในกองทัพมีผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก ได้ยินว่าน้ำมันของกระรอกมอร์มอตนั้นเป็นยาชั้นเลิศในการรักษาบาดแผล เช่นนั้นอยากจะรบกวนแม่ทัพจางจับกลับมาสักหลายพันตัวเพื่อกลับมาสกัดน้ำมันเพื่อใช้รักษาให้กับเหล่าทหารที่บาดเจ็บ ท่านว่าดีหรือไม่”


 


 


อวิ๋นเยี่ยไม่ค่อยชอบชายคนนี้ที่ช่วยข่านเจี๋ยลี่ออกมา เจ้าปล่อยให้เขาอยู่เป็นเพื่อนกระรอกในหลุมกระรอกมอร์มอตไม่ดีหรือ ทำไมจะต้องขุดเขาออกมาให้ได้ ทำให้คนเห็นแล้วน่าขยะแขยง ในเมื่อเจ้าชอบขุดหลุมนัก เช่นนั้นก็ช่วยไปขุดให้มากๆ หน่อย


 


 


ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งขุนนางหรือฐานันดรศักดิ์นั้นล้วนแต่ห่างไกลจากอวิ๋นเยี่ยเป็นอย่างมาก เมื่อได้รับการสั่งการที่คำสั่งก็ไม่ใช่ คำขอก็ไม่เชิง เขาจึงหันไปมองหลี่จีด้วยสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก หวังว่าหลี่จีจะช่วยขอร้องแทนตัวเองสักหน่อย ตอนนี้เป็นฤดูหนาว กระรอกมาร์มอตกำลังจำศีลซ่อนตัวอยู่ในหลุมไม่ปรากฏออกมาให้เห็น แล้วจะให้เขาไปตามจับนับพันตัวมาจากที่ไหนกัน


 


 


 “อวิ๋นโหว ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่อากาศหนาวเย็น กระรอกมอร์มอตก็ไม่ได้มีน้ำมันมากพอที่จะให้ท่านสกัดได้ รอให้ถึงฤดูใบไม้ร่วงก่อนดีหรือไม่ ในช่วงนั้นเป็นเวลาที่กระรอกมอร์มอตอ้วนพี ถึงตอนนั้นข้าจะมอบให้ท่านหลายๆ โอ่งเลยดีหรือไม่” หลี่จีช่วยออกหน้าแทนจางเป่าเซียง อวิ๋นเยี่ยจึงได้แต่ยิ้มและตอบรับเท่านั้น


 


 


อวิ๋นเยี่ยกลับมาที่กระโจมด้วยความไม่พอใจ กระโจนตัวลงบนเตียง จ้องมองยอดกระโจมอย่างเหม่อลอย เขายอมรับว่าการตายขององค์หญิงอี้เฉิงมีผลกระทบต่อความรู้สึกเขาจริงๆ หวังอย่างยิ่งว่าสามีของนางจะไม่มีความหวาดกลัว ตายอย่างสมศักดิ์ศรีของราชา นี่จึงจะทำให้เขายอมรับได้ว่านี่คือวีรบุรุษในความคิดเขา ใครจะรู้ว่า… ช่างเถอะ อย่าพูดถึงเลย


 


 


ฮ่วนเหนียงถอดรองเท้าให้เขา นึกว่าอวิ๋นเยี่ยที่หลับตาอยู่นอนหลับไปแล้ว จึงห่มผ้าห่มให้เขาและกำลังเตรียมจะออกไปอย่างเงียบๆ


 


 


“ข่านเจี๋ยลี่ถูกจับแล้ว เจ้าจะไปดูเขาเสียหน่อยไหม” อวิ๋นเยี่ยถามฮ่วนเหนียง


 


 


เมื่อถามจบ ดูเหมือนว่าฮ่วนเหนียงเกิดความหวาดกลัว สั่นเทาไปทั้งตัว นางกอดเท้าอวิ๋นเยี่ยแล้วพูดว่า “อย่าให้ข้าไปเจอปีศาจตนนั้นเลย นายท่าน โปรดสงสารข้าเถิด อย่าให้ข้าไปเจอปีศาจตนนั้นเลย”


 


 


อวิ๋นเยี่ยไม่ได้ถามอีก เพียงแค่ปลอบใจนาง “ข้าจะไม่ให้เจ้าไปพบเขาอีกและเขาก็จะไม่มาหาเจ้า ข้าจะไปตีขาเขาให้หัก” ฮ่วนเหนียงพูดกับอวิ๋นเยี่ยพลางร้องไห้ “หลายวันนี้ที่มีนายท่านอยู่ ถือว่าเป็นวันเวลาที่เงียบสงบที่สุดในรอบสามสิบปีของข้า ข้าชอบที่จะมีชีวิตอยู่เช่นนี้ต่อไป ทุกวันดูแลเรื่องอาหารการกินเสื้อผ้าอาภรณ์ให้นายท่าน เวลาที่เหลือข้าสามารถปักผ้าและตัดเสื้อผ้าสองชุด เมื่อก่อนวันเวลาเช่นนี้ได้แต่ปรากฎอยู่ในฝันของข้าเท่านั้น “


 


 


“ขอเพียงเจ้าชอบ เจ้าก็จะได้ใช้ชีวิตเช่นนี้ต่อไป ไม่มีใครกล้าขัดขวางเจ้า เจ้าพักอยู่ในกระโจมให้สบาย อยากทำอะไรก็ทำ ข้าจะออกไปเดินเล่นเสียหน่อย” อวิ๋นเยี่ยสวมรองเท้าและเสื้อคลุมตัวใหญ่ ก่อนจะถือกล่องยาเดินออกไป


 


 


อวิ๋นเยี่ยมาหาซุนซือเหมี่ยวที่กระโจมแล้วพูดกับเขาว่า “มียาที่สามารถทำให้คนรู้สึกเจ็บปวดราวกับตายทั้งเป็นแต่ไม่ถึงตายหรือไม่”


 


 


“มี เจ้าเองก็มี พริกขี้หนูนั้นสามารถใช้ได้ผลตามที่เจ้าต้องการ แต่ระหว่างปรุงเจ้าต้องระวัง อย่าลืมเพิ่มลงไปในยาจินชวงเย่าเล็กน้อยก็พอแล้ว ต้องวิจัยอย่างละเอียดมากมันจึงจะไม่ถูกใครจับได้” เหล่าซุนดูเหมือนจะไม่รู้ว่าเขากำลังพูดอะไรอยู่ ในมือก็ยังคงหั่นยาสมุนไพรต่อไป สมุนไพรไป๋จู๋[1]ท่อนใหญ่ท่อนเล็กก็ถูกเขาหั่นออกมาเป็นชิ้นที่ได้ขนาดแทบจะเท่ากันทุกชิ้น


 


 


“เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าจะจัดการกับใคร”


 


 


“นอกจากข่านเจี๋ยลี่แล้ว ข้ายังนึกไม่ออกว่าใครเป็นคนมาหาเรื่องเจ้า ตอนบ่ายเจ้าหาเรื่องระบายใส่จางเป่าเซียง ข้าบังเอิญเดินผ่านมา คำพูดของเจ้าปกปิดรังสีแห่งการฆ่าเอาไว้ไม่อยู่แล้ว ต่อมาเจ้าก็เงียบสงบลง ตอนนี้เกรงว่าคงเป็นเพราะสิ่งที่ฮ่วนเหนียงต้องประสบพบเจอ จึงทำให้เจ้าไม่สามารถควบคุมตัวเองได้กระมัง ให้เขาต้องทนทุกข์ทรมานได้ แต่อย่าฆ่าเขา”


 


 


คนเราเมื่อมีอายุแล้วก็จะกลายเป็นพวกเจ้าเล่ห์เพทุบาย ซุนซือเหมี่ยวในตอนนี้ยังไม่ถือว่ามีอายุมากนัก ผมดกดำทั้งศีรษะ จอนผมยาวพลิ้วไหว เป็นพี่ชายรูปงามวัยกลางคนแต่จิตใจช่างอำมหิตจริงๆ ถึงขั้นคิดจะใช้พริกขี้หนูมารักษาข่านเจี๋ยลี่ อวิ๋นเยี่ยชอบแนวคิดสร้างสรรค์อันนี้จริงๆ


 


 


”ข้ามียาขี้ผึ้งที่เคี่ยวมาจากดอกมั่นถัวหลัว[2]อยู่เล็กน้อย โรยลงไปเล็กน้อยก็จะทำไม่รู้สึกเจ็บปวด เพียงแต่มีผลเพียงหนึ่งชั่วยาม เจ้าคิดว่ามันมีประโยชน์หรือไม่” เหล่าซุนใช้น้ำเสียงถ่อมตนถกปัญหาการแพทย์ ขอคำปรึกษาจากอวิ๋นเยี่ย


 


 


“ข้าคิดว่ายาทั้งหมดที่ยังไม่ได้รับทดสอบ ไม่สามารถเรียกว่ายาได้ วันนี้ข้าจะทำการทดลองกับผู้ป่วยดู คิดว่าผู้ป่วยก็คงไม่มีความเห็นใดๆ เพื่อทดสอบประสิทธิภาพยา ข้าจะเพิ่มปริมาณตัวนำยาให้มากขึ้นไปอีก เพื่อทดสอบประสิทธิภาพยาสมุนไพรที่แท้จริงของนักพรตซุน” หลังจากพูดจบ ก็ผงกศีรษะให้กับนักพรตซุนอย่างสุภาพแล้วจากไป


 


 


ข่านเจี๋ยลี่ที่ผมกระเซิงหน้าสกปรกเปรอะเปื้อนกำลังถือน่องแกะเคี้ยวอยู่ จางเป่าเซียงที่เป็นถึงรองผู้บัญชาการของหน่วยต้าถงเต้ากำลังถือเหล้าหนึ่งกาคอยรินให้กับข่านเจี๋ยลี่ เขากลัวว่าข่านเจี๋ยลี่จะตายไป ดังนั้นเรื่องดื่มกินเขาจึงดูแลอย่างดีมาก


 


 


อวิ๋นเยี่ยนำกล่องยาเดินเข้ากระโจมมาและบอกให้เจี๋ยลี่เปิดบริเวณที่เป็นแผลออก เขาไม่อยากเข้าใกล้คนมีกลิ่นกายเหม็น จางเป่าเซียงรีบกุลีกุจอช่วยข่านเจี๋ยลี่ถกแขนเสื้อขึ้น อวิ๋นเยี่ยเห็นเขาเนื้อตัวสกปรกเปรอะเปื้อนจึงรู้สึกอยากอาเจียน อดทนใส่ยาจนเสร็จก็รีบร้อนจากไป


 


 


“ท่านข่านรู้หรือไม่ว่าชายหนุ่มที่เข้ามาเมื่อครู่เป็นใคร” จางเป่าเซียงพูดกับข่านเจี๋ยลี่


 


 


“หมอที่อยู่ในกองทัพของพวกเจ้าหรือ ฝีมือไม่เลว บาดแผลของข้าไม่รู้สึกเจ็บปวดเลยแม้แต่น้อย”


 


 


“แน่นอนอยู่แล้ว เขาเป็นหนึ่งในสองคนที่ฝีมือแพทย์สูงส่งที่สุดในต้าถังเรา แต่เป็นโหวเจวี๋ยท่านหนึ่ง”


 


 


“เขาเป็นใคร ภายหน้าข้าต้องไปคารวะถึงบ้านอย่างแน่นอน”


 


 


“พวกเจ้ารู้จักแน่ เขาคือหลานเถียนโหวอวิ๋นเยี่ย”


 


 


 


 


——


 


 


[1] สมุนไพรไป๋จู๋ เป็นยาสมุนไพรจีนที่เอาไว้ใช้รักษาอาการโรคกระเพาะ อาหารไม่ย่อย


 


 


[2] ดอกมั่นถัวหลัว หรือ ดอกลำโพงม่วง วงกลีบดอกเป็นรูปหลอด สีขาวหรือสีม่วงซีด ผลเป็นกระเปาะทรงกลม ผิวมีหนามสั้น หรือผิวเรียบ ทุกส่วนของพืชมีสารอัลคาลอยด์ชนิดโทรเพนในระดับอันตราย

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)