เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วน 4 ตอน 43-45
ส่วนที่ 4
ตอนที่ 43 องค์หญิงอี้เฉิง
เช้าวันรุ่งขึ้น ผู้เป่าแตรได้เป่าแตรขนาดใหญ่และเสียงกลองศึกก็ดังขึ้นตามมาติดๆ ทุกครั้งที่เสียงดังขึ้นช่างทำให้ผู้คนรู้สึกเป็นกังวล อวิ๋นเยี่ยซุกศีรษะไว้ใต้ผ้าห่ม อยากจะทำเสมือนไม่ได้ยิน ใครจะคิดว่าจะถูกถังเจี่ยนที่พักอยู่ด้วยกันบังคับลากขึ้นมา
“เหล่าถัง เจ้าก็ละเว้นข้าสักครั้งได้หรือไม่ เมื่อวานนี้รักษาทหารจำนวนมากเช่นนั้น ข้าเหนื่อยจะตายอยู่แล้ว เจ้าให้ข้านอนต่ออีกสักพักได้ไหม” อวิ๋นเยี่ยเหมือนกำลังอ้อนวอน สภาพอากาศข้างนอกทั้งหนาวและแห้งแล้ง ลมหายใจที่สูดเข้าล้วนแต่เป็นการทรมาน ตอนเช้าเช่นนี้ ไม่รู้ว่าหลี่จิ้งเกิดคลุ้มคลั่งอะไรขึ้นมา
“หึๆ เจ้าหนุ่ม นี่เป็นฉากที่หาดูยากมาก ตั้งแต่การก่อตั้งราชวงศ์ถังเป็นต้นมา มันถูกจัดขึ้นเพียงสามครั้ง เจ้าถือว่ามีวาสนามากที่ได้เห็น ทำไมยังมัวแต่นอนขี้เกียจอยู่อีก อย่างไรเสียเจ้าก็เป็นถึงโหวเหยียคนหนึ่ง ต้องทำตัวเป็นตัวอย่าง รีบลุกขึ้นแล้วสวมเสื้อเกราะเสีย เป็นอู่โหวก็ต้องดูมีภาพลักษณ์ของโหวเหยียฝ่ายบู๊สิ”
เมื่อดื้อด้านสู้ถังเจี่ยนไม่ได้ จึงจำต้องลุกขึ้น รอจนสวมชุดเกราะเสร็จ เสียงกลองก็หยุดแล้ว
ถังเจี่ยนไม่ไว้หน้าเลยแม้แต่น้อย ค้อนปะหลับปะเหลือกพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “เสียงกลองหยุดไปนานแล้ว หากเจ้าเป็นทหารจริงๆ ศีรษะคงต้องถูกตัดเสียบไว้บนเสาธงหลายครั้งแล้ว โชคดีที่เป็นแต่ในนาม ไม่เช่นนั้นหน้าตาของทหารต้าถังคงต้องถูกเจ้าทำลายไม่มีเหลือ”
“เหล่าถัง ข้าจะเสียหน้าหรือไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย รอจนกลับถึงฉางอันก่อน ข้าจะมาสนิทกับหน่วยหงหลูซื่อของเจ้าให้มากๆ ไม่แน่ว่าอาจจะได้ทำการค้าครั้งใหญ่ด้วยกัน” อวิ๋นเยี่ยนั้นได้ฝึกหนังหน้าเอาไว้นานแล้วเพียงแค่ประเด็นนี้ยังไม่มากพอที่จะกระตุ้นให้เขารู้สึกแย่ได้
“ใต้หล้านี้ คนที่ไม่ว่าจะอ้าปากหรือหุบปากก็เอาแต่พูดเรื่องการค้าเห็นทีคงมีแต่เจ้าเพียงคนเดียว หน่วยหงหลูซื่อเป็นหน่วยงานมือสะอาด ไม่สามารถรับมือกับการข่มขู่ขูดรีดของเจ้าได้” ถังเจี่ยนก็ไม่สนใจ เขาสร้างผลงานชิ้นใหญ่ในครั้งนี้ ไม่แน่ว่าอาจจะได้ก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดด การสร้างผลงานด้านการศึกในต้าถังถือเป็นเรื่องยากที่สุด อยากจะแต่งงานมีครอบครัวหากไม่มีผลงานทางการศึกถือว่าเป็นเพียงความฝันอย่างแท้จริง ครั้งนี้ตนเองใช้ชีวิตเข้าแลกเพื่อสร้างผลงาน ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ ดังนั้นขณะคุยกับอวิ๋นเยี่ยจึงค่อนข้างปล่อยตัวตามสบายมากกว่าเดิมและระมัดระวังตัวน้อยลง
ทั้งสองคนยืนที่ประตู การตัดสินใจครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดก็คือยังคงไม่ยอมที่จะเปิดม่านตรงนั้นออก ถังเจี่ยนนั้นถูกแช่แข็งจนกลัว เขาถูกแช่แข็งจนกลัวแล้วจริงๆ ขณะที่นอนอยู่ในหลุมที่เชิงเขาอินซัน เขารู้สึกว่าตัวเองไม่ต่างอะไรจากคนตาย ถ้าเป็นไปได้ เขาอยากจะไปหนีไปยังที่รกร้างที่สุดทางตอนใต้ประเทศเดี๋ยวนี้เลย เพราะที่นั่นอบอุ่น
อวิ๋นเยี่ยปลุกปลอบความกล้า เปิดผ้าม่านออก กลั้นหายใจแล้วเดินออกจากกระท่อมหิมะ ถังเจี่ยนที่อยู่ข้างหลังก็กัดฟันแล้วเดินออกไป ทันทีที่ออกมาทั้งคู่ก็ตัวสั่นเทาพร้อมๆ กัน อวิ๋นเยี่ยถึงกับคิดอยากจะวิ่งกลับเข้าไป
นอกจากอวิ๋นเยี่ยและถังเจี่ยนแล้ว ทหารส่วนที่เหลือล้วนแล้วแต่ยืนอยู่บนหิมะอย่างพร้อมเพรียงโดยไม่พูดอะไร แม้แต่เหอเซ่าที่ยืนอยู่ด้านข้างรอดูเรื่องสนุก สวี่จิ้งจงก็พยายามยืนตัวให้ตรงขึ้นอีกโดยไม่รู้ตัว ซุนซือเหมี่ยวและกงซูเจี่ยซุกมือไว้ในแขนเสื้อ หันหน้าไปทางดวงอาทิตย์ที่ค่อยๆ โผล่ขึ้นมา ซึ่งทั้งสองดูเหมือนว่ากำลังยืนเหม่ออยู่
รถนักโทษคันหนึ่งถูกลากมา ในรถเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง ที่คอถูกรัดแน่นด้วยแผ่นไม้ล็อกคอ ทำให้สามารถแหงนหน้ามองฟ้าได้เท่านั้น
“ผู้หญิงคนนี้คือใคร” อวิ๋นเยี่ยกระซิบถามถังเจี่ยน
“องค์หญิงอี้เฉิง ธิดาของอดีตฮ่องเต้สุยเหวินตี้ สตรีผู้นี้เป็นพวกเหลวแหลกจนชิน นางแต่งงานกับข่านของเผ่าทูเจวี๋ยถึงสี่รุ่น เป็นศัตรูตัวฉกรรจ์ของต้าถังเรา หลายๆ ครั้งที่ข่านเจี๋ยลี่บุกปล้นชายแดนก็มีเงาของนางอยู่ด้วย หากนางไม่คอยยั่วยุอยู่เบื้องหลัง ข่านเจี๋ยลี่คงจะไม่บ้าคลั่งถึงเพียงนี้แน่” ในแววตาของถังเจี่ยนมีแต่ความเคียดแค้น
“หมาป่ามีหรือจะไม่กินคน เหล่าถัง นี่เจ้าจะมาเคียดแค้นอะไรกัน เพราะมีผู้หญิงคนนี้ข่านเจี๋ยลี่จึงโจมตีต้าถัง เจ้าเชื่อในคำพูดของตัวเองหรือไม่” อวิ๋นเยี่ยรำคาญที่สุดเมื่อได้ยินการนำผู้หญิงมากล่าวว่าเป็นต้นเหตุ เมื่อฮ่องเต้เลอะเลือนก็กล่าวโทษว่ามีนางสนมเป็นปีศาจ เมื่อแม่ทัพเลอะเลือนก็กล่าวโทษว่าเป็นเพราะสาวงามล่มเมือง นี่มันตรรกะอะไร
“สิ่งนี้ อย่างไรเสียผู้หญิงคนนี้ก็สมควรตาย เจ้าไม่รู้อะไร นางยังคงต่อต้านอยู่ทั้งที่กองทัพได้บุกตีค่ายของทูเจวี๋ยแตกแล้ว ถึงกับรวบรวมชาวเผ่าทูเจวี๋ยที่กระจัดกระจายมาล้อมโจมตีซูติ้งฟาง หากไม่เป็นเพราะผู้บัญชาการใหญ่ติดตามไปทันเวลา บางทีซูติ้งฟางอาจจะตายท่ามกลางความโกลาหลของกองทัพก็เป็นได้” ถังเจี่ยนค่อนข้างรู้สึกเก้อเขิน
อวิ๋นเยี่ยไม่ได้พูดอะไรกับถังเจี่ยนอีก ชะเง้อคอเพื่อดูองค์หญิงอี้เฉิงที่อยู่ในรถ เห็นเพียงผมสีขาวที่กระจัดกระจายอยู่บนใบหน้า จึงเห็นหน้านางไม่ชัด ภรรยาเช่นนี้หรือจะเป็นหญิงงามล่มเมืองที่เป็นภัยต่อแคว้น
เบื้องหน้ามีลานกว้างขนาดใหญ่อยู่ ทหารหลายคนเปิดรถนักโทษ ลากองค์หญิงอี้เฉิงออกมาแล้วโยนนางลงบนลานกว้าง นางพยายามดิ้นรนที่จะยืนขึ้น ศีรษะยังคงแหงนหน้ามองท้องฟ้า หมอกสีขาวที่หายใจออกจากปากกระหืดกระหอบ บนร่างมีเพียงหนังบางๆ ห่อหุ้มอยู่ มองออกว่านางพยายามอย่างมากที่จะรักษากิริยาท่าทีของนางไว้
“ทำไมนางต้องแหงนหน้าอยู่ตลอดเวลา แผ่นไม้ล็อกคอปลดออกมาแล้วไม่ใช่หรือ” อวิ๋นเยี่ยมักจะรู้สึกว่าท่าทางของนางค่อนข้างแปลก
“ข้าเคยอยู่ในกรมอาญามาก่อน แผ่นไม้ล็อกคอที่หนักสิบห้าจินนี้เจ้าคิดว่ามันน่าสวมนักหรือ นางไม่ใช่ไม่อยากก้มศีรษะ แต่เพราะนางไม่สามารถก้มลงมาได้ เกรงว่ากระดูกคอน่าจะเคลื่อนผิดตำแหน่งไปแล้ว ก้มศีรษะลงได้สิจึงเป็นเรื่องแปลก” ถังเจี่ยนรู้สึกค่อนข้างมีความสุขที่เห็นนางเป็นทุกข์
ร่างกายที่มีแต่หนังหุ้มกระดูก หลี่จิ้งจึงดูเหมือนหมีดำตัวใหญ่ เมื่อมาถึงลานกว้างสองมือไพล่หลังพูดกับองค์หญิงอี้เฉิงว่า “ชายชาติทหารสี่พันนายของข้าตายด้วยน้ำมือเจ้า ทุกวันนี้เมื่อคิดถึงพวกเขา ในใจข้าก็เจ็บปวดหาที่เปรียบไม่ได้ ในฐานะที่เป็นชาวฮั่น ไม่เพียงแต่ไม่ช่วยชนเผ่าของตัวเองเท่านั้น กลับยังไปสมคบคิดกับข่านเจี๋ยลี่ทำเรื่องชั่วช้า บุกปล้นชายแดนไม่หยุดหย่อน มีชาวฮั่นจำนวนเท่าไรที่ตายด้วยน้ำมือเจ้า ตอนนี้ข้าจะลงโทษหญิงชั่วช้าเช่นเจ้าอย่างเป็นทางการเพื่อเซ่นไหว้ทหารต้าถังของข้าที่ตายไป หญิงชั่ว วันนี้คือเวลาตัดศีรษะเจ้าแล้ว”
คำพูดของหลี่จิ้งเพิ่งจะจบลง เหล่าทหารที่ยืนอยู่ใต้ลานกว้างได้ตะโกนเรียกโห่ร้องพร้อมกันว่า “ประหาร! ประหาร! ประหาร!” บรรยากาศนั้นครึกครื้นมาก
ชาวจีนนั้นชอบยืนมุงดู ตั้งแต่มุงดูการทะเลาะวิวาทจนถึงมุงดูการฆ่าคน พวกเขามักจะวางตัวอยู่ในมุมมองของผู้ชม อีกทั้งยังสามารถหาเหตุผลที่จะทำให้ตนเองตื่นเต้นหรือมีความสุขจากสิ่งนั้นได้ด้วย
การที่หลี่จิ้งจะประหารผู้หญิงที่อยู่ข้างหน้านั้นชอบด้วยเหตุผล นางเป็นศัตรู อีกทั้งเพราะทำให้มีผู้เสียชีวิตอีกมากมาย เพียงแค่บอกเหตุผลข้อนี้ก็เพียงพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องหาเหตุผลอื่นมาร่วมด้วย การเพิ่มโทษหนักให้กับผู้หญิงคนหนึ่งมันช่างเป็นการสิ้นเปลืองเหตุผลจริงๆ
องค์หญิงอี้เฉิงเอียงคอหันมาจ้องมองหลี่จิ้งแล้วพูดช้าๆ ว่า “หลี่จิ้ง เจ้าเองก็เป็นข้าราชสำนักของต้าสุย วันนี้พบข้าแล้วยังไม่คุกเข่าอีกหรือ เลือดอันมีเกียรติที่สุดไหลเวียนอยู่ในร่างกายข้า ทำศึกกับคนทรยศเช่นเจ้า ข้าทำผิดตรงไหน การล่วงเกินเบื้องสูงก็คือโทษตาย เจ้าคงไม่ใช่ว่าไม่รู้กระมัง”
“ราชวงศ์สุยต้องล่มสลายลงเพราะความโหดร้ายป่าเถื่อนของพี่น้องเจ้า ตอนนี้เป็นแผ่นดินของต้าถัง เจ้าก็ไม่ใช่องค์หญิงของข้า เจ้าก่อกรรมทำเข็ญย่อมต้องรับกรรมเป็นเรื่องธรรมดา ทหาร!เตรียมลงทัณฑ์” ดูเหมือนว่าหลี่จิ้งไม่อยากจะทำสงครามน้ำลายกับนางต่อ วันนี้เป็นวันเฉลิมฉลองใหญ่ องค์หญิงอี้เฉิงก็คือของเซ่นไหว้ที่มีเกียรติที่สุด
“หลี่จิ้ง ข้าหนาวมาก ก่อกองไฟให้ข้าสักกอง ข้าอยากจะอบอุ่นร่างกายสักครั้งก่อนตาย มิฉะนั้นเมื่อไปถึงปรโลกแล้วก็จะไม่รู้ว่าอะไรคือความอบอุ่น” องค์หญิงอี้เฉิงก็ไม่ได้ต่อต้านหลี่จิ้งอีก เพียงแค่มีคำร้องขอก่อนตาย
ในต้าถัง หากคำร้องขอของนักโทษประหารไม่มากเกินไป โดยมากแล้วก็จะอนุญาตตามคำขอ ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงว่าเป็นคำขอของอดีตองค์หญิงแห่งต้าสุย แม้ว่าหลี่จิ้งจะเจ็บปวดกับการตายของผู้ใต้บังคับบัญชา แต่กลับไม่ปฏิเสธคำร้องขอข้อนี้ของนาง
กองไฟขนาดใหญ่ถูกก่อขึ้น มันเป็นของที่เตรียมไว้สำหรับการเฉลิมฉลองชัยชนะในวันนี้ มีกองไฟเช่นนี้อยู่เป็นจำนวนมาก องค์หญิงอี้เฉิงมาอยู่ข้างกองไฟและยื่นมือของนางเพื่อผิงไฟ เพียงแต่คอของนางก็ยังคงเคลื่อนที่ผิดตำแหน่งอยู่ ซึ่งทำให้นางรู้สึกไม่สบายเป็นอย่างมาก
ซุนซือเหมี่ยวเดินเข้าไปข้างหน้าและกดต้นคอของนางเบาๆ ดันนิ้วขึ้นด้านบน แล้วบิดดันไปทางซ้าย ศีรษะขององค์หญิงอี้เฉิงก็ขยับได้อย่างอิสระ นางยิ้มและคารวะซุนซือเหมี่ยว “หมอเทวดาซุน ช่างเก่งสมคำร่ำลือ”
ซุนซือเหมี่ยวถอนหายใจแล้วเดินจากไป เงาด้านหลังดูเหมือนจะแสดงออกถึงความชอกช้ำ ท่าทางการเดินที่ปกติจะเดินอย่างอกผายไหล่ผึ่งดูเหมือนจะห่อไหล่ไปสักหน่อย พวกเขาเคยรู้จักมาก่อน อวิ๋นเยี่ยเริ่มรู้สึกสนใจ หากระหว่างพวกเขามีความสัมพันธ์อะไรที่ให้ใครรู้ไม่ได้อยู่จนทำให้เหล่าซุนปล้นลานประหาร แล้วตนเองจะช่วยหรือไม่
“เหล่าถัง นักพรตซุนกับองค์หญิงคนนี้ดูเหมือนจะเคยรู้จักกันมาก่อน ถ้าหากเหล่าซุนจะปล้นลานประหาร เจ้าจะช่วยหรือไม่” เพียงประโยคเดียว ทำให้ถังเจี่ยนถึงกับสำลักจนแทบหายใจไม่ออก เขาไออยู่หลายครั้งกว่าที่จะสงบลงได้ จ้องหน้าอวิ๋นเยี่ยอย่างฉุนเฉียวและพูดว่า “ตั้งแต่ในสมัยราชวงศ์สุยแล้ว นักพรตซุนก็มักจะเข้าออกวังหลวงอยู่บ่อยๆ การรู้จักองค์หญิงอี้เฉิงก็ไม่เห็นจะแปลกอะไร เจ้าอย่าได้ใช้ความคิดสกปรกของเจ้ามามองนักพรตซุน”
หวังว่าพวกเขาจะไม่ได้มีอะไรจริงๆ ไม่เช่นนั้นถ้าหากเหล่าซุนคิดจะทำอะไรบางอย่างจริงๆ อวิ๋นเยี่ยคงได้แต่ต้องสละชีวิตเป็นเพื่อนเขาเท่านั้น ทหารมากมายเช่นนี้ เพียงแค่สองคนต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน ความเป็นไปได้ที่มากที่สุดก็คือโทษตัดศีรษะ ทำให้คนหนึ่งคนกลายเป็นสามคน
องค์หญิงอี้เฉิงยืนผิงไฟเป็นเวลานานและพูดกับหลี่จิ้งว่า “อบอุ่นจริงๆ มันทำให้ข้านึกถึงวันเวลาที่ข้าอาศัยอยู่ในวัง ในเวลานั้นข้าอายุเพียงสิบสองปี เสด็จพ่อบอกข้าว่าชาวเผ่าทูเจวี๋ยต้องการจะแต่งงานกับองค์หญิงที่เป็นราชนิกุลโดยแท้จริงสักคนหนึ่ง ถ้าหากไม่รับปาก พวกเขาจะไปที่กวนจงจับตัวหญิงหนึ่งหมื่นคนไป เพื่อไม่ให้พวกเขาก่อเรื่องเลวร้ายที่กวนจง ข้าจึงบอกเสด็จพ่อว่าข้าเต็มใจแต่งงานกับข่านของชาวเผ่าทูเจวี๋ย ข้าในตอนนั้นคิดอยู่เสมอว่าข่านแห่งทูเจวี๋ยก็คงเป็นวีรบุรุษท่านหนึ่ง บางทีข้าอาจจะทำให้เขาไม่มารุกรานจงหยวนอีกต่อไป เพราะข้าเป็นลูกสาวที่งามที่สุดของเสด็จพ่อ เมื่อไปถึงที่ทุ่งหญ้าจึงได้รู้ว่า ข่านแห่งทูเจวี๋ยเป็นชายชราที่ฟันหลุดหมดปาก ข้าอยากกลับบ้านแต่กลับไม่ได้แล้ว ได้แต่อยู่ในกระโจมที่สกปรกทั้งยังเหม็นกลิ่นสาบ ข้าอยากอาบน้ำมากแต่ท่านข่านไม่อนุญาต โดยบอกว่าผู้หญิงที่ไม่มีกลิ่นสาบแกะไม่ใช่ภรรยาของชาวเผ่าทูเจวี๋ย ดังนั้นข้าจึงไม่ได้อาบน้ำเป็นเวลานานมากแล้ว หลังจากนั้นข้าก็แต่งงานกับน้องชายของท่านข่านและลูกชายของท่านข่าน สุดท้ายก็แต่งงานกับเจี๋ยลี่ หลี่จิ้ง ตอนนี้ข้าสกปรกมาก ข้าอยากไปพบเสด็จพ่ออย่างสะอาด ได้หรือไม่” องค์หญิงอี้เฉิงมองหลี่จิ้งด้วยความหวังเต็มเปี่ยม
“ถ้าหากเจ้าต้องการอาบน้ำ จะเห็นแก่ที่เจ้าอาสามาที่เผ่าทูเจวี๋ยนี้ ข้ารับปากเจ้า” หลี่จิ้งกำลังจะให้ทหารเสริมเตรียมน้ำอาบ
“ขอบคุณท่านแม่ทัพมาก ความสกปรกบนร่างกายข้า น้ำไม่สามารถล้างออกได้ ข้าต้องการล้างมันด้วยไฟ” นางยิ้มและคารวะหลี่จิ้งอย่างนอบน้อม จากนั้นก็หันกลับแล้วกระโจนเข้าไปในกองไฟที่ลุกโชน ชักกระตุกเพียงสองครั้ง จากนั้นก็ไม่ขยับอีกเลย…
เหล่าทหารโห่ร้องกันเสียงดังด้วยความดีใจ มีเพียงสีหน้าของหลี่จิ้งเท่านั้นที่เปลี่ยนไปมา ประเดี๋ยวซีดประเดี๋ยวดำ เขาดูออกว่าองค์หญิงอี้ต้องการทำอะไร แต่ไม่คิดว่านางจะตายอย่างเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ อี้เฉิงที่อยู่ในกองไฟยังคงยิ้มให้เขา แสดงให้เห็นว่านางไม่ได้กลัวความตาย นางมีชีวิตอยู่มานานพอแล้ว และต้องการจะตายมานานแล้ว
ส่วนที่ 4
ตอนที่ 44 จิตใจคนที่ชุบด้วยทองคำ
องค์หญิงอี้เฉิงจากไปอย่างสงบ หญิงอีกนางหนึ่งที่ผมขาวโพลนทั้งศีรษะ รออยู่ด้านข้างกองไฟเพื่อที่จะเก็บเถ้ากระดูกของนาง นางเป็นเพียงหญิงรับใช้ ความผิดบาปทั้งหมดยังไม่ใช่สิ่งที่นางต้องมาแบกรับ อวิ๋นเยี่ยพินิจมองหญิงรับใช้ผู้นี้อย่างละเอียด พบว่าบนใบหน้านางไม่ได้แสดงออกถึงความเศร้าเลย มีเพียงความตื่นเต้นคล้ายกับได้เกิดใหม่
ซุนซือเหมี่ยวมอบโหลกลมที่มีหูหิ้วลายนกแก้วสีทองงามวิจิตรประณีตใบหนึ่งให้กับหญิงรับใช้ ด้านบนมีฝาแกะสลักลายดอกบัว ทำไมดูแล้วรู้สึกคุ้นเคยเช่นนี้ จนกระทั่งเปลวไฟค่อยๆ มอดดับลง เหล่าซุนช่วยหญิงรับใช้ทุบกระดูกขององค์หญิงอี้เฉิงให้ป่นเป็นผงจากนั้นใส่ลงในโหล อวิ๋นเยี่ยจึงได้พบว่าโหลเงินใบนั้นดูเหมือนจะเป็นของสะสมของตัวเองที่นำกลับมาจากเยี่ยถัวเพียงสองใบ ใบหนึ่งคือกาเหล้าม้าเริงระบำ อีกใบหนึ่งคือโหลกลมที่มีหูหิ้วลายนกแก้วสีทอง ไม่รู้ว่าเยี่ยถัวคิดเช่นไรจึงไม่ได้นำไปด้วย ทั้งหมดกลับถูกวางไว้ข้างๆ อวิ๋นเยี่ยที่กำลังสลบไสลอยู่ อวิ๋นเยี่ยตั้งใจจะนำกลับไปใส่ลูกอมเพื่อเอาใจซินเย่ว์ ตอนนี้เห็นทีจะไม่ต้องแล้ว ซินเย่ว์คงไม่อยากได้โหลที่เคยบรรจุอัฐิมาก่อนแน่
นำไปโดยไม่บอกถือเป็นพฤติกรรมเยี่ยงโจร พฤติกรรมเช่นนี้ของเหล่าซุนนั้นไม่เหมาะสม อวิ๋นเยี่ยเดินเข้าไปเอาเรื่องเหล่าซุนด้วยความโมโห
“นักพรตซุน โหลใบนี้… “
อวิ๋นเยี่ยยังไม่ทันได้พูดจบ กล้ามเนื้อใต้โหนกแก้มทั้งสองข้างของเหล่าซุนก็กระตุกไม่หยุด ถามอย่างไม่เกรงใจว่า “เจ้ามีปัญหาอย่างนั้นหรือ” ราวกับว่าเขากำลังยืนอยู่ในจุดที่พร้อมจะระเบิดได้ทุกเวลา
“ไม่มี ไม่มีปัญหาอะไรใดๆ เลย ข้าเพียงอยากจะถามว่า ต้องการสิ่งของอื่นๆ ฝังไปพร้อมกันหรือไม่ ข้ายังมี ข้ายังมีกาเหล้าอาชาร่ายรำอยู่อีกหนึ่งอัน มันสวยมากเลยทีเดียว ไม่มีสิ่งอื่นที่จะฝังเป็นสมบัติผู้ตายได้ดีกว่ามันแล้ว” นี่เป็นเพราะอวิ๋นเยี่ยมันสมองตอบสนองอย่างรวดเร็ว หากเจอพวกทื่อๆ สักหน่อย ถ้าวันนี้ยังอยากมีชีวิตอยู่รอดกลับมาก็คงได้แต่ฝันไปเสียเถอะ!
“ไสหัวไป รีบๆ ไสหัวไป เห็นพวกเดรัจฉานในกองทัพอย่างพวกเจ้าแล้วมันน่าโมโหนัก”
ความโกรธเกรี้ยวของเหล่าซุนก็เหมือนภูเขาไฟปะทุ ในที่สุดก็ระเบิดออกมา เพียงแต่แรงกระตุ้นได้รับค่อนข้างกว้าง ถึงแม้ว่าเรื่องการกำจัดองค์หญิงอี้เฉิงอวิ๋นเยี่ยจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง เพียงแต่ตอนนี้เมื่อเขาเห็นคนสวมชุดทหารก็อดไม่ได้ที่จะระบายอารมณ์ใส่
อวิ๋นเยี่ยเดินหันหลังกลับด้วยสีหน้าเอือมระอา ก็ได้ยินซุนซือเหมี่ยวพูดขึ้นอีกว่า “กลับมา” ดูเหมือนว่าเหมือนว่าเมื่อครู่เหล่าซุนยังด่าไม่สะใจ เตรียมที่จะด่าอีก อวิ๋นเยี่ยคิดว่าวันนี้จงทำตนเป็นมนุษย์ไม้ ปล่อยให้เขาว่าไป
มีคราบน้ำตาบนใบหน้าของเหล่าซุน ไม่รู้ว่าเพิ่งจะไหลออกมาเมื่อครู่หรือไม่ เขาชี้ไปที่หญิงรับใช้ข้างกายเขาและพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “จัดการเรื่องนางด้วย อย่าให้นางต้องทุกข์ทรมานอีก ให้นางได้ใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างสุขสงบปลอดภัย ทุกข์ทรมานมาทั้งชีวิต ให้นางได้เป็นคนอย่างแท้จริงสักช่วงหนึ่ง ข้าเป็นคนที่ออกบวช ข้างกายไม่สะดวกจะมีหญิงรับใช้ติดตาม”
เหล่าซุนมีความรู้สึกพิเศษอะไรกับองค์หญิงอี้เฉิงหรือไม่ ตอนนี้อวิ๋นเยี่ยไม่กล้าที่จะถามและยังไม่พร้อมที่จะถาม ซุนซือเหมี่ยวผู้ซึ่งสงบดุจขุนเขามาโดยตลอด ไม่เพียงแต่ไม่รักษาภาพพจน์ทั้งยังร้องไห้อีกด้วย กำลังจะตาย นี่ถือเป็นเรื่องใหญ่ เรื่องจัดการดูแลหญิงรับใช้ชรานั้นไม่เป็นปัญหาอะไรเลย กลับไปบอกเหล่าเหอก็เรียบร้อยแล้ว
ดูเหมือนว่าจะเข้าใจความคิดของอวิ๋นเยี่ย เหล่าซุนจึงพูดว่า “ให้นางติดตามเจ้า ดูแลเจ้า หากกล้าที่จะส่งนางไปสถานที่อื่นก็ลองดู”
“พวกเราเพิ่งจะเผาเจ้านายของนางจนตาย ท่านไม่กลัวว่านางจะเกิดโทสะขึ้นแล้ววางยาข้าอะไรทำนองนี้หรือ” นี่เป็นหายนะครั้งใหญ่ ต้องถามให้ชัดเจน
เหล่าซุนมองดูโหลเงินแล้วเหม่อลอย ส่งเสียงแผ่วเบาราวกับเสียงที่ล่องลอยมาจากสรวงสวรรค์ “เจ้าเชื่อไหมว่าข้าวางยาพิษฆ่าเจ้าได้ในตอนนี้”
คราวนี้จิตใจเริ่มสงบลงแล้ว จึงเรียกหญิงรับใช้ให้ถือเถ้ากระดูกและติดตามอวิ๋นเยี่ยไปเพื่อหากระโจมพักผ่อน เหลือเพียงซุนซือเหมี่ยวนั่งขัดสมาธิสวดมนต์ตามลำพังอยู่ข้างกองไฟ
ที่ควรตายก็ตายแล้ว ที่ควรฆ่าก็ฆ่าแล้ว ชนชั้นสูงชาวเผ่าทูเจวี๋ยที่กินจนอ้วนท้วนสมบูรณ์ถูกดาบหัวตัดตัดศีรษะลงมาทีละคนๆ มีบางคนที่เลือดจากส่วนคอนั้นพุ่งสูงได้ถึงหนึ่งจั้ง ดูเหมือนว่าจะคับแค้นใจมาก ทำให้ทหารทั้งกองทัพชื่นชมว่าการแสดงของเขาดีมาก เมื่อเห็นคนไหนที่เลือดไม่ไหลพุ่งออกมาก็จะร้องเสียดายพร้อมๆ กัน มองไปยังกองกะโหลกที่กลิ้งเกลื่อนกลาดบนพื้นราวกับกำลังมองอุจจาระสุนัข
เพชฌฆาตมีพลังมากจริงๆ ตอบรับกับความเกลียดแค้นของผู้ชม โดยตั้งใจเลือกลงดาบที่ตำแหน่งของต้นคอแทน ซึ่งหากลงดาบที่ตำแหน่งนี้จะทำให้เลือดพุ่งสูงที่สุด
เรื่องหญิงรับใช้ได้จัดการเรียบร้อยแล้ว รวมถึงมอบอาหารให้นางมากมาย ทั้งยังเลือกเสื้อคลุมหนังที่เหมาะกับขนาดตัวนางให้นางสวม
“นายท่าน ข้าน้อยต้องการอาบน้ำ ขอให้ท่านได้โปรดอนุญาตด้วย” ตอนนี้อวิ๋นเยี่ยกลัวที่จะได้ยินคำว่าอาบน้ำมาก เพิ่งจะมีคนบ้าคนหนึ่งอาบน้ำด้วยไฟจนถูกเผาเป็นเถ้ากระดูก ตอนนี้ก็มาอีกคนแล้ว จะให้เขาไม่หวาดกลัวได้อย่างไร
หญิงรับใช้มองออกว่าอวิ๋นเยี่ยนั้นวิตกกังวล จึงยิ้มแล้วพูดว่า “นายท่านไม่ต้องกังวล ข้าน้อยเพียงแต่ต้องการต้มน้ำร้อนอาบเท่านั้น ข้าไม่ได้อาบน้ำอุ่นมาสามสิบปีแล้ว”
พระเจ้า จะสกปรกเพียงไหนกัน สมควรต้องอาบ มิฉะนั้นกระโจมนี้คงไม่สามารถให้คนอยู่ได้แล้ว
“วันนี้ข้ายุ่งมากตลอดทั้งวัน กว่าจะได้กลับมาก็เป็นช่วงเย็นแล้ว กระโจมของข้าปกติจะไม่มีใครเข้ามา ข้าจะส่งทหารเสริมอีกคนเพื่อช่วยเจ้ายกน้ำ มีเตาอยู่ในที่พัก เจ้าต้มน้ำเอง ถังอาบน้ำจะมีคนนำมาให้เจ้า ค่อยๆ อาบไม่ต้องร้อนใจ” เมื่อพูดจบอวิ๋นเยี่ยก็เดินออกไป การยืนคุยกับผู้หญิงที่ไม่ได้อาบน้ำให้สะอาดมาเป็นเวลาสามสิบปีชวนให้เครียดจริงๆ จึงให้เหล่าจวงส่งถังไม้ขนาดใหญ่ไปให้นาง อวิ๋นเยี่ยยังได้มอบโหลเจ่าโต้ว[1]ให้ด้วย ซึ่งนี่เป็นของที่อาหญิงตั้งใจเตรียมไว้สำหรับอวิ๋นเยี่ยโดยเฉพาะ นางได้ใช้ผงถั่วลันเตาชั้นดีแล้วเติมเครื่องหอมจำพวกกานพลู ไม้กฤษณา และอื่นๆ สารพัดชนิด เมื่ออาบน้ำเสร็จ คนอาบก็จะมีกลิ่นเดียวกับเจ่าโต้วเลย หอมติดตัวแม้ครึ่งวันผ่านไปก็ไม่จางหาย
หญิงรับใช้ดีใจมากจนน้ำตาริน นี่เป็นสิ่งของที่มีแต่ชนชั้นสูงเท่านั้นที่ใช้กัน จึงรู้สึกว่าอวิ๋นเยี่ยดีกับนางมาก นางหารู้ไม่ว่าตั้งแต่ที่นางเข้ามา อวิ๋นเยี่ยมักจะรู้สึกว่าในกระโจมมีกลิ่นแปลกๆ จึงอยากใช้เจ่าโต้วมาดับกลิ่นเสียหน่อย
เมื่อคนถูกฆ่าหมดแล้ว ในค่ายทหารก็เตรียมตั้งหม้อ เสียงเอะอะดังไปทั่ว กองไฟทั้งหมดถูกจุดขึ้นพร้อมกัน ค่ายทหารก็อุ่นขึ้นทันที หม้อถูกแขวนไว้บนกองไฟเล็กๆ เนื้อวัวและเนื้อแกะลอยเดือดปุดๆ อยู่ในน้ำซุปสีขาวขุ่น เหล้าปั่นผสมแอลกอฮอล์ไหใหญ่ถูกวางเรียงไว้ทั่วไปหมด เมื่อดื่มเพียงหนึ่งคำก็ทำให้ยากจะลืมเลือนแต่เมื่อปวดศีรษะขึ้นมาก็ทำให้เหมือนตายทั้งเป็น
เหล่าทหารที่ถูกตัดนิ้วมือและนิ้วเท้านั้นกำลังนั่งจับกลุ่มพูดคุยสัพเพเหระกัน ผู้ที่ถูกตัดนิ้วก้อยจะถูกคนอื่นดูหมิ่น นิ้วเท้าด้วนไปสองนิ้วจึงจะถือว่าผ่านเกณฑ์ ผู้ที่เท้าขาดครึ่งเท้าถือเป็นวีรบุรุษ จนกระทั่งชายสองคนที่ไม่มีจมูกคาบเนื้อและลุกขึ้นยืนต่อหน้าทุกคน ทุกคนต่างก็เงียบลงทันที ทั้งยังพร้อมใจกันเรียกพวกเขาเป็นลูกพี่อีกด้วย
ความเป็นความตายในสนามรบถือเป็นเรื่องธรรมดา การต้องเสียอวัยวะในร่างกายเพียงบางส่วนไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรเลย เมื่อเทียบกับสหายที่แข็งตายแล้ว อย่างน้อยตนเองก็ยังสามารถดื่มเหล้ากินเนื้อสัตว์ได้ ยังจะมีอะไรไม่พอใจอีก ชัยชนะครั้งใหญ่นี้ ทุกคนต่างก็รู้ว่าจะต้องได้รับรางวัลใหญ่อย่างแน่นอน คิดไม่ถึงว่าแม้แต่ของที่เหล่าทหารยึดมาได้นั้นท่านผู้บัญชาการใหญ่ก็ยังไม่ให้แบ่ง โดยบอกว่าจะเก็บไว้ให้พวกเขาเอาไว้สู่ขอเจ้าสาวเมื่อกลับถึงกวนจง ฝ่าบาทคงไม่ทรงสนพระทัยของเล่นพวกนี้ที่พวกเจ้าแลกมาด้วยชีวิตอย่างแน่นอน
หลี่จิ้งคงไม่คิดว่าของเล่นพวกนี้ที่ฮ่องเต้ไม่สนใจ เขาเองก็มองข้าม แต่มีบางคนตาโตเปล่งประกายวาววับจ้องมองน้ำลายไหลตั้งนานแล้ว ดาบที่ฝังด้วยอัญมณีมากมาย อานม้าที่ฝังด้วยเงินเต็มไปหมด โกลนม้าชุบทองชั้นดี เหล็กปากม้าชุบทองชั้นดี กล่องเงินชุบทองชั้นดี ชนชั้นสูงแห่งทุ่งหญ้าชอบแต่สีทองเท่านั้น ดังนั้นของหลายสิ่งหลายอย่างจึงเป็นสีทองเหลืองอร่าม แล้วจะให้เหอเซ่าผู้ที่รักทรัพย์สินเงินทองดั่งชีวิตนั่งนิ่งเฉยต่อไปได้อย่างไร ในมือถือจานเงินลายปลาทองคู่ขอบมังกรชุบทองอยู่หนึ่งใบ แล้วชูสามนิ้วให้ทหารที่อยู่ตรงหน้าเขา
ได้ยินเพียงเสียงร้องครวญของทหาร “นี่เป็นของที่ข้าหามาได้ด้วยความยากลำบาก เจ้าให้ราคาแค่สามเหวิน ข้าไม่ขาย อย่างน้อยห้าเหวิน ไม่เช่นนั้นข้าจะเอากลับ”
เหอเซ่าอ้าปากค้างอยู่เป็นนาน จากนั้นรีบดึงแขนของทหารอย่างรวดเร็วแล้วพูดว่า “พี่ชาย เจ้าร้ายกาจมาก ข้ากลัวเจ้าแล้ว ห้าเหวินก็ห้าเหวิน รับเงินไว้ด้วย ได้เจอคนที่ประเมินสินค้าเป็นเข้าให้แล้ว” ทหารที่กำลังได้ใจโยนเหรียญที่อยู่ในมือช่างน้ำหนักดู ขณะที่กำลังจะออกไปกลับถูกคนคนหนึ่งจับไว้ ครั้นเงยหน้าขึ้นมองดู ที่แท้เป็นชนชั้นสูงอ่อนวัยคนหนึ่ง ชายหนุ่มผู้นี้เรียกให้เขารอครู่หนึ่งด้วยความโกรธ จากนั้นเขาก็รีบรุดไปหยุดที่เบื้องหน้าคนอ้วนที่รับซื้อถาดของตนเอง คว้าตัวชายอ้วนขึ้นแล้วต่อยเขาอย่างแรง ทหารนั้นดูจนทนไม่ไหว คิดจะเอาเงินสองเหวินที่เมื่อครู่เขาต้องการเพิ่มไปคืนให้กับชายอ้วน ใครจะรู้ว่าชายหนุ่มผู้นั้นจะเดินกลับมาแล้วพูดกับเขาว่า “ถาดดีๆ เช่นนี้เจ้าขายเพียงแค่ห้าเหวินหรือ เจ้าโง่หรือไม่”
“ข้าน้อยไม่รู้ว่ามันคืออะไร อย่างไรเสียมันไม่ใช่ทองคำ ข้าไปถามหัวหน้ากองแล้ว ขายได้ห้าเหวินก็ถือว่าดีมากแล้ว” ทหารยืนบ่นพึมพำอยู่ในปาก
“เจ้าไม่รู้อะไร ถาดที่เจ้านำมามีค่ามาก อย่างน้อยต้องได้ห้าสิบเหวิน ต้องทนทุกข์ทรมานแช่แข็งอยู่ในกองหิมะตั้งหลายวัน มีค่าเพียงห้าเหวินหรือ” ชนชั้นสูงอ่อนวัยคนนี้นับเงินสี่สิบห้าเหวินวางไว้ในมือของทหาร เมื่อให้เงินแล้วก็ไล่ตะเพิดเขาออกไป
ทหารที่ยังคงมึนงงมองดูกองเงินในมือของเขา นี่เป็นเสบียงอาหารสองตั้น[2]เชียวนะ หากใช้ประหยัดก็มากพอจะให้ใช้ได้ครึ่งปี ช่างเป็นลูกหลานของพวกมีฐานะโดยแท้จริง ทำอะไรใจปล้ำมาก แตกต่างจากเจ้าอ้วนที่ตั้งใจจะหลอกพวกเราที่เป็นทหาร
เหอเซ่าที่มีแต่ฝุ่นเต็มตัวปีนออกมาจากด้านหลังโต๊ะ ปัดฝุ่นบนตัวและพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “ซื้อเพียงแค่ห้าเหวินไม่ดีหรือ เจ้ายินดีข้าเต็มใจ ทำไมจะต้องให้ราคาจริงพวกเขาด้วย หากเขาเอาไปจำนำที่โรงรับจำนำในเมืองฉางอัน ก็ได้เพียงไม่กี่สิบเหวินเท่านั้น”
“ให้ตายสิ ในสายตาเจ้าตอนนี้มีแต่เงินเท่านั้น ไม่คิดสงสารทหารเหล่านั้นบ้างเลยหรือ จะว่าไป ถาดใบนั้นเดิมเจ้าตั้งใจจะให้ราคาเท่าไร”
“ข้าชูนิ้วมือสามนิ้ว หมายถึงสามร้อยเหวิน ใครจะรู้ว่าเขาคิดว่าเป็นสามเหวิน บังคับให้ข้าเพิ่มเป็นห้าเหวิน แล้วจะให้ข้าทำอย่างไร” เหอเซ่ายักไหล่เลียนแบบอวิ๋นเยี่ย แสร้งทำเป็นว่าข้าคือผู้บริสุทธ์
เหตุการณ์นี้แพร่กระจายไปทั่วค่ายทหาร พ่อค้าอ้วนรังแกเหล่าทหารจึงถูกอวิ๋นโหวสั่งสอนยกใหญ่ ทั้งยังช่วยทวงเงินของทหารกลับคืนมาให้ด้วย ซึ่งนี้ทำให้อวิ๋นเยี่ยได้รับการยกย่องไปทั่วค่ายทหาร แม้กระทั่งซูติ้งฟางที่นอนรักษาอาการบาดเจ็บอยู่บนแคร่ผิงไฟก็ยังยกนิ้วหัวแม่มือให้
“ได้ยินมาว่าพี่ชายเจ้าขายมีดหั่นเนื้อพร้อมฝักของชาวเผ่าหูไปถึงสองร้อยเหวิน เป็นเส้นทางทำมาหากินที่ไม่เลว แบ่งให้พี่ชายได้ทำบ้าง ต่อไปจะไม่ลืมส่วนแบ่งของเจ้าเลย”
“เส้นทางทำมาหากินอะไรกัน ก็แค่ค่ายเล็กๆ ที่อยู่ทางด้านนั้น ได้ยินว่าขอเพียงเป็นของที่พี่น้องเรายึดมาได้แต่ไม่ต้องการมัน สามารถเอาไปที่นั่นเพื่อแลกเงินได้ หากไม่ต้องการพกพาเงินก้อน ยังสามารถขอให้พวกเขานำเงินไปส่งที่บ้านได้ เพียงแต่มีค่าใช้จ่ายเล็กน้อย แต่ก็ถือว่าเป็นธรรมอยู่ เจ้าลองไปดูสิ”
ด้วยเหตุนี้ การค้าของเหอเซ่าจึงยิ่งขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ด้านหนึ่งเขาก็รับสิ่งของของทหารเอาไว้และจ่ายเงินให้พวกเขา จากนั้นก็เอาคืนเงินจากมือของพวกเขา สิ่งที่ส่งให้ทหารก็คือกระดาษแผ่นเล็กๆ หนึ่งแผ่นที่มี ลายเซ็นและตราประทับของเหอเซ่า
หลี่จิ้งตั้งใจถามเรื่องเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นพิเศษ ได้รู้ว่าเหอเซ่าต้องการเพียงส่งสมุดบัญชีกลับไปที่ฉางอันเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องลากรถบรรทุกเหรียญทองแดงหลายสิบคันวิ่งไปตามทุ่งหญ้า ที่ฉางอันจะมีคนนำเงินไปจ่ายคืนให้กับภรรยาและลูกๆ ของทหารครบทุกคนอย่างแน่นอน เขาอยากรู้มากว่าความคิดนี้ใครเป็นคนคิดขึ้นมา แต่หลังจากเห็นอวิ๋นเยี่ยก็ไม่พูดอะไรอีกเลย เพียงแต่ข่มขู่เหอเซ่าว่าถ้ากล้าตุกติกกับเงินของทหาร เขาก็ไม่รังเกียจที่จะตัดเส้นเอ็นถลกหนังเหอเซ่า
——
[1] เจ่าโต้ว เป็นสบู่อาบน้ำในสมัยโบราณ ทำขึ้นจากการบดตับอ่อนของหมูให้เหลวแล้วเติมผงถั่วและเครื่องหอมผสมลงไป จากนั้นทำให้เป็นก้อนแล้วนำไปตากให้แห้ง สามารถขจัดคราบสกปรกบนผิวหนังได้
[2] ตั้น มาตรชั่งน้ำหนักของจีนในสมัยโบราณ โดย 1 ตั้นเท่ากับประมาณ 30 กิโลกรัม (120 จิน)
ส่วนที่ 4
ตอนที่ 45 ม้าเร็วกับตราพระราชลัญจกร
เหอเซ่าเห็นเรื่องการข่มขู่เช่นนี้เป็นเรื่องธรรมดามาก ไฉเซ่าก็ทำเช่นเดียวกันนี้มาก่อน ตอนนี้เขาก็ยังอยู่ดีมีสุขอยู่ไม่ใช่หรือ ท่านเหอผู้มั่งคั่งร่ำรวยน่าเกรงขามทำการคารวะหลี่จิ้งแล้วกล่าวว่า หากเงินของทหารขาดไปแม้แต่หนึ่งเหวิน ขอให้ท่านผู้บัญชาการใหญ่ไปที่บ้านได้เลย หากมีสิ่งใดทดแทนได้ก็สามารถหยิบไปได้เลย แม้จะนำภรรยาของเขาไปก็ไม่เป็นไร จวนของจื่อเจวี๋ยก็ยังพอจะมีราคาอยู่บ้าง เชิญเอากลับไปให้หมด
หลี่จิ้งมองขึ้นลงอยู่หลายครั้งประเมินเขาอยู่ครู่หนึ่ง มองไม่ออกจริงๆ ว่าชายอ้วนที่เหม็นกลิ่นเงินทองแดงจะเป็นถึงจื่อเจวี๋ย เพียงแต่นี่ก็ทำให้เขารู้สึกโล่งอกไม่น้อย หลังจากชัยชนะแล้ว ขอเพียงเหล่าทหารไม่บ่นโอดครวญ เขาก็คร้านจะเข้าไปยุ่มย่ามถามไถ่
เมื่อมีการศึกครั้งนี้เป็นปฐมบท คิดว่าขวัญกำลังใจของทหารต้าถังและจิตใจประชาชนคงต้องมีความมั่นใจมากขึ้น เซวียเหยียนถัว ถู่อวี้หุน ทูเจวี๋ยตะวันตกก็ควรสงบเสงี่ยมลงไปบ้าง ทุ่งหญ้ากว้างได้กลายเป็นดินแดนแห่งการเลี้ยงม้าของต้าถังแล้ว ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นเพราะตนเองฟันฝ่าอุปสรรคขวากหนามช่วงชิงชัยชนะในพระหัตถ์ของพระเจ้ากลับมา เขาสูดอากาศอันหนาวเย็นของทุ่งหญ้า ม้าเร็วหงหลิงน่าจะไปถึงเมืองฉางอันแล้วกระมัง! หลี่จิ้งอดไม่ได้ที่จะคิดอย่างได้ใจ
หลี่ซื่อหมินที่อยู่ในตำหนักไท่จี๋กำลังตรวจฎีกาอยู่ พู่กันสีแดงชาดยกค้างอยู่กลางอากาศเป็นเวลานานจนกระทั่งมีหมึกสีแดงชาดไหลจากปลายพู่กันหยดลงบนฎีกา เขาจึงรู้สึกตื่นตระหนกและได้สติกลับมา มองดูรอยหยดของหมึกนั้นที่สีแดงสดเหมือนรอยเลือด จึงอดไม่ได้ที่จะกังวลเรื่องทุ่งหญ้าที่ห่างไกลออกไปนับพันลี้ ที่นั่นมีทหารหลวงแห่งแดนกวนจงที่ยอดเยี่ยมที่สุดของต้าถังถึงหนึ่งแสนคน ไม่รู้ว่าพวกเขากำลังประสบกับความทุกข์ยากเพียงใดท่ามกลางอากาศที่หนาวเหน็บ
จึงโยนพู่กันในมือลง ยืนอยู่ในท้องพระโรงที่สูงมองไปยังทิศทางของทุ่งหญ้า เขาไม่สงสัยในความสามารถของหลี่จิ้ง เขาไม่สงสัยในความจงรักภักดีของจางกงจิ่น ไฉเซ่าหมกมุ่นอยู่ในวังวนความแค้นเกินไป มิฉะนั้นให้เขาเป็นผู้บัญชาการใหญ่ ตนเองจึงจะรู้สึกมั่นใจมากที่สุด
ทันใดนั้น เขาก็หรี่ตาลง บนท้องฟ้าของป่านอกเมืองฉางอันมีอีกาฝูงใหญ่บินฉวัดเฉวียนไปมาในอากาศ ไม่ยอมหยุด รอบเมืองฉางอันนั้นมีอีกามากมาย ในฤดูหนาวหากพวกมันหิวถึงขีดสุดยังกล้าที่จะบินไปที่โต๊ะอาหารเพื่อแย่งอาหารกับผู้คน ถ้าหากพวกมันตกใจจนไม่ยอมกลับไปที่รัง แสดงให้เห็นว่ามีคนจำนวนมากใกล้เข้ามา เป็นไปได้ว่าจะเป็นทหารม้า หลี่ซื่อหมินที่ผ่านการทำศึกสงครามมามากมายก็สามารถหาข้อสรุปให้ตัวเองได้อย่างรวดเร็ว
เมื่อมองดูที่ยอดเขา คบเพลิงยังไม่ได้ถูกจุดขึ้น เขานึกสงสัยอยู่บ้างว่าใครที่ใจกล้าถึงเพียงนี้ กล้านำกองกำลังเข้าใกล้ฉางอัน เขาออกคำสั่งเพียงคำเดียว ก็มีสายลับของหน่วยข่าวกรองออกไปในทันที
จำนวนองครักษ์ในพระราชฐานชั้นในได้เพิ่มขึ้นอีกสองเท่าในบัดดล ทหารองครักษ์ประจำเมืองฉางอันก็ได้รับคำเตือน ทหารประจำหัวเมืองเพิ่มจำนวนขึ้นเป็นหนึ่งเท่าในทันที แต่ทว่าทหารม้ากองนั้นก็ยังไม่ลดความเร็วลง ทำให้เกิดฝุ่นตลบขึ้น เมื่อยืนอยู่บนกำแพงเมืองฉางอันก็จะมองเห็นได้อย่างชัดเจน
นี่เป็นเรื่องที่ยอมไม่ได้ เสียงแตรดังขึ้นเหนือท้องฟ้าเมืองฉางอัน ทหารในค่ายใหญ่เป็นเหมือนมดที่ออกจากรัง มีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างรวดเร็ว ผู้ที่อยู่นอกเมืองก็รีบเข้าประตูเมืองอย่างรวดเร็ว จากนั้นประตูก็ค่อยๆ ปิดลง
อวี้ฉือกงแม่ทัพใหญ่ผู้ดูแลคูเมืองโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ วันเวลาแห่งความสงบสุขแท้ๆ เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นเขากลับไม่รู้อะไรเลย ช่างเป็นความอัปยศในชีวิตยิ่งนัก เขาตัดสินใจแล้วว่าจะสั่งสอนเจ้าคนใจกล้ากลุ่มนี้เสียหน่อย
อวี้ฉือกงที่ยืนอยู่บนกำแพงเมืองเห็นหัวหน้าม้าเร็วของหน่วยหงหลิง หมวกชุดศึกที่มีพู่สีแดงสีสันโดดเด่นมากท่ามกลางฝุ่นที่คละคลุ้ง
“มีทหารม้าเพียงหนึ่งพันคนเท่านั้น” อวี้ฉือกงปากพูดพึมพำ จากนั้นออกคำสั่งให้เปิดประตูเมือง เขาลงจากหอคอย ขี่ม้าถือหอกออกไปหยุดอยู่หน้าประตูเมืองเพียงลำพังรอการมาถึงของม้าเร็วหน่วยหงหลิง ทหารม้าหนึ่งพันคนนั้นยังไม่อยู่ในสายตาของอวี้ฉือกง
ม้าเร็วหน่วยหงหลิงยังไม่ทันมาถึงด้านหน้าก็ตะเบ็งเสียงตะโกนว่า “เราชนะแล้ว! เราชนะแล้ว! กองทัพเราได้ชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่ที่เขาอินซันแล้ว ฆ่าทหารทูเจวี๋ยไปสองหมื่นคน จับเชลยศึกและยึดอาวุธได้นับไม่ถ้วน!” ตะโกนพลางขี่ม้าอ้อมเลยแม่ทัพอวี้ฉือกงไปราวกับว่าเขาไม่มีตัวตน
ให้ดิ้นตาย คราวนี้หลี่จิ้งได้ก้าวหน้าครั้งใหญ่แน่ เขาถึงกับกำจัดข่านเจี๋ยลี่ได้จริงๆ เขาไม่สนใจการเสียมารยาทของม้าเร็วหน่วยหงหลิง ในความเป็นจริงแล้ว ขอเพียงไม่ใช่ฮ่องเต้มาด้วยพระองค์เอง ม้าเร็วเหล่านี้สามารถเพิกเฉยต่อบุคคลที่มาได้
เขาเอาเรื่องอะไรกับม้าเร็วหน่วยหงหลิงไม่ได้ แต่ทำไมพวกงี่เง่าที่อยู่ด้านหลังเหล่านี้ก็มองเห็นว่าเขาไม่มีตัวตนด้วย ทั้งยังกล้าขี่ม้าบุกเข้าประตูเมือง เบื่อชีวิตแล้วหรืออย่างไร ขณะที่ถือหอกหม่าซั่วกำลังจะบุกเข้าไปข้างหน้า ก็เห็นว่าชายที่เป็นหัวหน้าคือเจ้าหงเฉิง เห็นได้ชัดว่าเจ้าหมอนี่ขี่ม้าห้อตะบึงมาตลอดทาง กองกำลังทหารม้าข้างหลังเขาก็เละเทะไม่เป็นขบวน นี่ไม่ใช่รูปแบบที่จะทำศึก หงเฉิงยกมือขึ้น ทหารม้าข้างหลังก็รีบเลาะตามกำแพงเมืองไปยังค่ายทหารราวกับคลื่นยักษ์ในทันที เหลือเพียงทหารม้าห้าสิบคนติดตามเขามุ่งหน้าเข้าประตู
เพียงพริบตาเดียว ท่านแม่ทัพใหญ่อวี้ฉือที่เตรียมจะแสดงแสนยานุภาพของตัวเองก็ถูกปล่อยให้ต้องยืนอย่างอ้างว้างอยู่หน้าประตูเมืองพร้อมกับฝุ่นที่ตลบอบอวลบนท้องฟ้า ม้าอูหย่า[1]ตัวหนึ่งเดินออกมาจากท่ามกลางฝุ่นละออง เสื้อคลุมสีแดงสดของแม่ทัพอวี้ฉือก็เต็มไปด้วยฝุ่นดิน ได้ยินเพียงเสียงโห่ร้องดีใจราวกับฟ้าผ่าในเมืองฉางอัน ก็อดไม่ได้ที่จะอ้าปากหัวเราะเสียงดังฮ่าๆ
เสียงโห่ร้องที่กึกก้องดังจากประตูเมืองยาวเรื่อยไปจนถึงเขตพระราชฐาน ไม่นานนัก ทหารราชองครักษ์ในเขตพระราชฐานก็ส่งเสียงโห่ร้องด้วยความดีใจเช่นกัน หลี่ซื่อหมินซึ่งสวมชุดเกราะเต็มยศนั่งอยู่บนบัลลังก์ก็วางกระบี่ในมือลงและนำมันเก็บเข้าแท่นที่วางกระบี่ ตบกระบี่เบาๆ สองครั้ง พึมพำกับตัวเอง “โอกาสในการฆ่าศัตรูด้วยมือเราเองนับวันยิ่งน้อยลงเรื่อยๆ “
จากนั้นจึงรีบมาที่หน้าประตูตำหนักไท่จี๋เพื่อรอข่าวชัยชนะ เห็นเพียงขันทีคนหนึ่งที่เข้าเวรเช้าถกชายเสื้อรีบวิ่งขึ้นบันไดมา ยังไม่ทันได้หยุดยืนนิ่งก็รีบรายงานต่อหลี่ซื่อหมินว่า “ขอแสดงความยินดีกับฝ่าบาท ขอแสดงความยินดีกับฝ่าบาท ท่านแม่ทัพหลี่จิ้งได้กำราบทหารทูเจวี๋ยที่เชิงเขาอินซันได้อย่างราบคาบแล้วพ่ะย่ะค่ะ โดยฆ่าศัตรูไปสองหมื่นคนและจับเชลยศึกพร้อมทั้งยึดทรัพย์สมบัติได้นับไม่ถ้วน”
“เราได้ยินเสียงโห่ร้องด้วยความดีใจของประชาชนแล้ว นี่เป็นเสียงที่ไพเราะที่สุดในใต้หล้านี้ เราดีใจจนแทบจะทนไม่ไหวแล้ว เรียกเหล่าขุนนางมาเฉลิมฉลองชัยชนะอันยิ่งใหญ่ที่ตำหนักไท่จี๋!” หลี่ซื่อหมินรับเอกสารราชการนั้นไว้แล้วคลี่ออกภายใต้แสงอาทิตย์ คิดอย่างละโมบว่าอยากจะกลืนกินทุกตัวอักษรลงกระเพาะให้หมดสิ้น
สนธิสัญญาพันธมิตรที่แม่น้ำเว่ยสุ่ยเป็นความอัปยศอดสูที่สุดในชีวิตของหลี่ซื่อหมิน กองทหารม้าชาวเผ่าทูเจวี่ยยกพลบุกเข้าดินแดนต้าถังอย่างเหิมเกริม ไล่เข่นฆ่าประชาชนของต้าถังอย่างโหดเ**้ยม แต่ตนเองกลับต้องเจรจาอย่างนอบน้อมยอมเป็นพันธมิตรกับเขาที่แม่น้ำเว่ยสุ่ย ทั้งยังต้องยอมมอบทรัพย์สินเงินทองมากมายนับไม่ถ้วนให้อีกด้วย ทุกครั้งที่คิดถึงเรื่องนี้ความอัปยศอดสูเป็นเสมือนงูพิษที่ค่อยๆ กัดกินหัวใจเขาทีละคำๆ
ตอนนี้ทุกอย่างได้จบสิ้นและผ่านพ้นไปแล้ว ชาวเผ่าทูเจวี๋ยตะวันออกอันทรงพลังจะไม่มีอยู่อีกต่อไป ความเคียดแค้นที่สุมอกก็มลายสลายสิ้นภายใต้แสงอาทิตย์ยามบ่าย
เขาเห็นหงเฉิงที่ทั้งตัวเต็มไปด้วยฝุ่น มีรอยยิ้มที่สั่นเป็นระลอกคลื่นในแววตา พออยู่ห่างจากเขาอีกสิบกว่าก้าวก็รีบคุกเข่าลงและเดินเข่าเข้าหา เขาไม่ได้เป็นข้าราชบริพาร เขาเป็นทาสประจำตระกูล ไม่รู้ว่ามีข่าวดีอะไรจึงทำให้เจ้าหมาน้อยตัวนี้อย่างเขาตื่นเต้นดีใจมากถึงเพียงนี้
กล่องที่ห่อด้วยผ้าต่วนสีเหลืองถูกเขายกขึ้นสูงเหนือศีรษะ หลี่ซื่อหมินไม่ได้รับผ่านมือของคนอื่น ทาสผู้ภักดีเท่าชีวิตคนนี้ เกียรติยศทั้งชีวิตผูกพันอยู่กับความเชื่อมั่นในตัวเขา หงเฉิงจะไม่ทำให้ตัวเขาต้องตกอยู่ในอันตรายอย่างแน่นอน
ผ้าต่วนสีเหลืองนั้นห่อเอาไว้หลายชั้นมาก ขณะที่หลี่ซื่อหมินเปิดฝาออก หยกโปร่งใสเปล่งประกายเจิดจรัสก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าเขา เขาหยิบตราพระราชลัญจกรขึ้น ช่างเป็นเนื้อหยกที่อบอุ่น เมื่อถือเอาไว้ในมือก็รู้สึกสบายมือ นี่ก็คือตราพระราชลัญจกรอย่างนั้นหรือ เจ้าสุนัขตัวนี้ได้มันมาจากทุ่งหญ้าอย่างนั้นหรือ
“ฝ่าบาท ตราพระราชลัญจกรนี้กระหม่อมไปตามหามาจากทุ่งหญ้าเพื่อถวายแก่พระองค์ กระหม่อมได้ทำการทดสอบแล้ว ไม่ใช่ของปลอมแน่นอน” หลี่ซื่อหมินฟังผ่านหูแต่ไม่สนใจ เขาไม่สนใจเสียหน่อยว่าตราหยกชิ้นนี้จะได้มาจากแห่งใดและก็ไม่สนใจด้วยว่าสุดท้ายแล้วจะสังเวยกี่ชีวิตเพื่อตราหยกชิ้นนี้ เขารู้แต่เพียงว่าของสิ่งนี้เดิมก็สมควรเป็นของเขามาตั้งแต่ต้นแล้ว ใครก็ตามที่ครอบครองมันไว้เท่ากับกำลังรนหาที่ตาย
“ก่อนที่กระหม่อมจะออกเดินทาง ฝ่าบาทได้ทรงประทานภาพวาดตราประทับเพื่อใช้แยกแยะของจริงแก่กระหม่อม กระหม่อมไม่ได้ทำให้พระองค์ทรงผิดหวัง หลังจากต้องลำบากเหนื่อยยากมานาน ในที่สุดกระหม่อมก็ได้ค้นพบมัน ซึ่งระหว่างนี้หลานเถียนโหวได้ช่วยเหลือกระหม่อมไว้มาก” นับว่ายังดีที่หงเฉิงยังพอมีมโนธรรมอยู่เล็กน้อย ยังจำได้ว่าอวิ๋นเยี่ยช่วยเขาหาตราตราพระราชลัญจกรเจอ ขณะที่รายงานความดีความชอบของตัวเองก็ยังถือโอกาสพูดถึงเขาด้วย แต่เขาจะไม่บอกหลี่ซื่อหมินอย่างแน่นอนว่าความยากลำบากของเขานั้นก็คือการซ่อนตัวแอบฟังอยู่ข้างหลังกระโจมอันแสนยากลำบากเพียงนี้
“อวิ๋นเยี่ย เขาไม่ได้อยู่ที่เมืองซั่วฟางหรือ หลี่จิ้งออกคำสั่งให้เขากลับฉางอันไม่ใช่หรือ เขาไปที่เขาอินซันได้อย่างไร เขากล้าขัดคำสั่งกองทัพหรือ” หลี่ซื่อหมินเริ่มรู้สึกโกรธเล็กน้อย ในฐานะที่เป็นกษัตริย์ที่มีพื้นฐานมาจากกองทัพ เขาจึงเกิดปฏิกิริยาขุ่นเคืองกับพฤติกรรมขัดคำสั่งกองทัพและกระทำการโดยพลการเป็นที่สุด
“ขอฝ่าบาทอย่าได้ทรงพิโรธ หลานเถียนโหวถูกหนังสือคำสั่งปลอมฉบับหนึ่งหลอกให้ไปยังเขาอินซัน มีคนถอดความสารลับของกองทัพเราได้ และปลอมแปลงหนังสือคำสั่ง ผู้บัญชาการใหญ่ได้ออกคำสั่งให้หลานเถียนโหวกลับเมืองหลวง เมื่อไปถึงมืออวิ๋นโหวกลับกลายเป็นคำสั่งที่ว่าให้เขาไปรายงานตัวที่ค่ายใหญ่ในเขาอินซัน ดังนั้นอวิ๋นโหวจึงไปที่เขาอินซัน”
หลี่ซื่อหมินเป็นทหารมาก่อน มีหรือจะไม่เข้าใจถึงอันตรายของสารลับที่ถูกคนอื่นถอดความได้ เขาตกใจมาก ความปลาบปลื้มที่ได้ตราพระราชลัญจกรเมื่อครู่หายสิ้นไปในทันที การจะได้ครอบครองตราพระราชลัญจกรหรือไม่นั้นไม่ได้มีผลกระทบอะไรต่อเขามากนัก แต่การที่สารลับของกองทัพถูกถอดความได้นี่จึงจะเป็นเรื่องใหญ่ที่สุด
“ทำไมหลี่จิ้งถึงยังกล้าเคลื่อนพลภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ช่างไม่ระมัดระวังเอาเสียเลย ใครกันที่อุกอาจเช่นนี้”
“กราบทูลฝ่าบาท ตามที่กระหม่อมทราบมาเป็นฝีมือของเยี่ยถัวแห่งแคว้นคังที่ทำการปลอมแปลงหนังสือคำสั่ง ดูเหมือนว่าต้องการที่จะรู้อะไรบางอย่างจากอวิ๋นโหว แต่อวิ๋นโหวไม่ได้บอก กระหม่อมจึงไม่ได้ถามต่อ แต่มีเรื่องน่ายินดีเรื่องหนึ่งที่จะต้องกราบทูล นั่นคือกระหม่อมได้เขียนสารลับชุดใหม่ขึ้นหนึ่งชุด ทหารต้าถังเราไม่ต้องกังวลกับการถูกถอดความสารลับอีกต่อไป”
เมื่อหงเฉิงคิดถึงเรื่องนี้ก็เกิดความได้ใจขึ้น คุณงามความชอบอันยิ่งใหญ่ อวิ๋นเยี่ยไม่ต้องการ หลี่จิ้งไม่กล้ารับ ทำให้เขาได้กำไรอย่างสบายๆ เพียงแต่เมื่อคิดถึงเงื่อนไขของอวิ๋นเยี่ย จิตใจของหงเฉิงก็ยังมีเลือดไหลอยู่ ห้าพันก้วนเชียวนะ เงินที่ตนเองสะสมมาค่อนชีวิตก็เปลี่ยนเป็นแซ่อวิ๋นด้วยประการนี้
หลี่ซื่อหมินก้มหน้ามองไปที่หงเฉิง แล้วมองดูตราหยกในมือ ถามหงเฉิงว่า “เจ้าเสียเงินไปกับสารลับชุดนี้เท่าไร”
หงเฉิงที่กำลังเศร้าโศกไม่แม้แต่จะคิดก็ตอบอย่างทันควัน “ห้าพันก้วน เขาเรียกห้าพันก้วน” เมื่อพูดจบก็รู้สึกว่าไม่ถูก จึงรีบหมอบราบกับพื้นสารภาพผิด
“เป็นลายมือของอวิ๋นเยี่ยจริงๆ เช่นนั้นสารลับชุดนี้ก็คงเชื่อถือได้ ทำให้เรามั่นใจได้มากกว่าที่เจ้าเขียนเองเสียอีก เพียงแต่นี่จะไม่เท่ากับว่าความลับทั้งหมดของกองทัพเราต่อไปก็ไม่สามารถรอดพ้นสายตาของเขาได้อย่างนั้นหรือ” เห็นหลี่ซื่อหมินไม่พิโรธ หงเฉิงก็รู้ว่าเรื่องนี้ก็ควรปล่อยผ่านไปอย่างคลุมเครือเช่นนี้ เมื่อได้ยินหลี่ซื่อหมินถามขึ้น จึงตั้งใจยืดอกขึ้นและพูดว่า “ขอฝ่าบาทไม่ต้องทรงกังวล กระหม่อมรับประกันว่า ความหมายของสารลับนี้นอกจากกระหม่อมแล้วไม่มีใครสามารถถอดความได้ แม้แต่อวิ๋นโหวเองก็ทำไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อเห็นหงเฉิงที่มีความมั่นใจเต็มเปี่ยม หากหลี่ซื่อหมินเป็นคนที่ไม่เข้าใจข้ารับใช้คนนี้ คงสั่งให้คนลากออกไปตัดศีรษะแล้ว ดังนั้นจึงเกิดความอยากรู้อยากเห็นมากขึ้น ถามว่า “เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้”
“กระหม่อมได้เรียนรู้วิธีการอย่างหนึ่งจากอวิ๋นโหวซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงสารลับได้ร้อยแปดพันเก้า แม้ว่าอวิ๋นโหวจะฉลาดปราดเปรื่อง แต่หากต้องการที่จะถอดความสารลับของกระหม่อม กระหม่อมขอยืนยันว่าเป็นไปไม่ได้อย่างเด็ดขาด เพราะก่อนที่จะรวมข้อมูลของสารลับชุดนี้ จะต้องมีหนังสือเล่มหนึ่งก่อน”
“บัดซบ เพียงแค่น้ำหมึกไม่กี่หยดในท้องเจ้า สามารถรอดพ้นจากสายตาของอวิ๋นเยี่ยได้หรือ นอกเหนือจากตำราปฐมวัยไม่กี่เล่มนั้นแล้ว เจ้าเคยอ่านหนังสืออีกมากมายอย่างนั้นหรือ” หลี่ซื่อหมินไม่รู้จะพูดอย่างไรดี เขาคิดว่าหงเฉิงคงต้องถูกอวิ๋นเยี่ยหลอกอีกอย่างแน่นอน
“ฝ่าบาท หนังสือเล่มนี้ยังไม่ปรากฏขึ้น กระหม่อมเตรียมจะเขียนตำราขึ้นหนึ่งเล่ม”
หลี่ซื่อหมินวิงเวียนศีรษะขึ้นในทันใด พวกซื่อบื้อที่มีความรู้เพียงน้อยนิดคิดจะเขียนหนังสือหรือ
“เจ้าคิดจะเขียนหนังสืออะไร จะเขียนอย่างไร”
——
[1] ม้าอูหย่า คือ ม้าที่มีขนดำขลับทั้งตัว มีเพียงกีบเท้าสี่เท้าที่เป็นสีขาวราวหิมะ เป็นม้าศึกประเภทหนึ่งที่มีชื่อสียง ในสมัยฉ้อปาอ๋องถือเป็นม้าศึกที่แข็งแกร่งที่สุด
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น