เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วน 4 ตอน 40-41

ส่วนที่ 4

 

ตอนที่ 40 เป็นคนเลว

 

ชาวเผ่าทูเจวี๋ยนั้นอดทนต่อความหนาวเย็นได้มากกว่าคนต้าถัง นี่เป็นความเข้าใจที่ผิด อวิ๋นเยี่ยพบว่ามันไม่เกี่ยวข้องกับความอดทนต่อความหนาวเย็น สิ่งสำคัญกว่าอยู่ที่สภาพจิตใจของบุคคล ในสภาพอากาศเช่นนี้ชาวเผ่าทูเจวี๋ยก็แข็งตายได้เช่นกัน แต่พวกเขาแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่ใส่ใจ ในตอนเช้าเมื่อพบสหายที่ตายไปพวกเขาก็จะถอดเสื้อผ้าของสหายมาสวมใส่ จากนั้นก็นำศพที่ถูกแช่แข็งจนแข็งเหมือนก้อนอิฐกองเรียงซ้อนกันขึ้นมา รอให้คนมาขนศพพวกเขาออกไปด้านนอกค่าย


 


 


แต่คนต้าถังนั้นแตกต่างกัน หากพบสหายที่แข็งตาย พวกเขาจะแสดงความเสียใจออกมาทางสีหน้า มีบางคนจะถอดเสื้อผ้าของตัวเองสวมใส่ให้กับสหายที่ตายไป ไม่มีใครถอดเสื้อผ้าสหายมาสวมไว้ที่ตัวและจะไม่ทิ้งศพไว้ด้านนอกอย่างไม่ใส่ใจ หรือไม่ก็จะใช้ไฟเผาร่างให้เป็นขี้เถ้า หรือหากเป็นสหายสนิทก็จะหาเครื่องมือขุดหลุมขนาดใหญ่อย่างไม่คิดชีวิตท่ามกลางสภาพอากาศหนาวเย็นนี้ และฝังสหายลงไป


 


 


บอกไม่ถูกว่าใครถูกใครผิด ที่จริงแล้วก็มีเหตุผลที่อธิบายได้อยู่ ชาวทูเจวี๋ยใส่ใจความรู้สึกของคนที่มีชีวิตอยู่มากกว่า แต่คนต้าถังนั้นเคารพในศักดิ์ศรีของผู้เสียชีวิตมากกว่า


 


 


ความหนาวเหน็บนั้นมีไว้เพื่อต่อสู้ นี่เป็นประสบการณ์ของชาวเผ่าทูเจวี๋ย พวกเขาสวมเสื้อคลุมหนังสัตว์ที่ปกปิดเนื้อหนังไม่มิดชิดโดยให้คนจำนวนมากรวมตัวกันเป็นกลุ่มใหญ่ ซึ่งดูแปลกมาก ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดจะอยู่ด้านในสุด คนชราที่อ่อนแออยู่ด้านนอก เด็กและผู้หญิงถูกรวมอยู่ตรงกลาง ตำแหน่งที่ดีที่สุดมีไว้ให้ผู้ที่แข็งแกร่งและตำแหน่งรองลงมาก็มีไว้สำหรับเด็ก ผู้หญิงและผู้ชราที่อ่อนแอ ต่างก็ส่งเสียงร้องครวญครางเป็นครั้งคราวท่ามกลางหิมะที่หนาวเย็น บนใบหน้าของพวกเขาไม่ได้แสดงออกถึงความไม่ยุติธรรมเลย มีเพียงความเฉยชา คล้ายกับการก้มหน้ารับชะตาชีวิตอย่างหนึ่ง


 


 


เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการที่พวกเขาต้องเผชิญหน้ากับความเย็นมานานปี มีเพียงรักษาผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดไว้เท่านั้น เพื่อผู้ที่โชคดีมีชีวิตอยู่รอดถึงปีหน้าจะได้มีความหวัง นี่คือสัญชาตญาณของสัตว์ป่า จำได้ว่าเคยได้ยินเรื่องเล่าเรื่องหนึ่งว่ามีกวางฝูงหนึ่งถูกพรานล่าสัตว์ล้อมรอบอยู่บริเวณลำธารเล็กๆ ระหว่างร่องเขา หน้าผาทางฝั่งตรงข้ามอยู่ค่อนข้างไกลจากพวกมัน แม้แต่กวางที่แข็งแกร่งที่สุดก็ไม่สามารถกระโดดข้ามไปได้ ดูท่าทีแล้วจะต้องถูกฆ่าตายทั้งฝูง ทันใดนั้น กวางก็จับคู่โดยอัตโนมัติและจะกระโดดลงไปให้ไกลที่สุดทีละสองตัว ตัวหนึ่งอยู่สูงอีกตัวอยู่ต่ำ เมื่อถึงจุดที่กำลังจะหมดแรง กวางที่กระโดดอยู่ด้านบนได้เหยียบบนกวางตัวที่อยู่ด้านล่าง แล้วพุ่งทะยานขึ้นมาอีกครั้งและกระโดดไปถึงอีกด้านของหน้าผาได้อย่างปลอดภัย ส่วนกวางที่อยู่ด้านล่างก็ตกลงสู่ก้นเหวกระแทกอย่างแรง ด้วยวิธีนี้ฝูงกวางจึงรอดชีวิตมาได้ครึ่งหนึ่ง เชื้อสายของสายพันธุ์จึงได้สืบทอดต่อไป พรานล่าสัตว์จึงได้ผลเก็บเกี่ยวเป็นเพียงซากศพที่ตกลงไปจนเละเทะเท่านั้น


 


 


นี่คือหลักการของชาวเผ่าทูเจวี๋ย ถ้าเป็นชาวฮั่น พวกเขาจะให้คนชราและคนอ่อนแออยู่ด้านในที่สุดเท่านั้น ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดต้องอยู่ด้านนอกอย่างแน่นอน ชาวฮั่นเรียกพฤติกรรมของชาวเผ่าทูเจวี๋ยว่าพฤติกรรมสัตว์ป่า ซึ่งบางทีชาวเผ่าทูเจวี๋ยก็คงกำลังหัวเราะเยาะความคร่ำครึของชาวฮั่นอยู่เช่นกัน


 


 


ถูกและผิดนั้นมักจะอยู่ตรงกันข้ามแต่ไม่มีมาตรฐาน ตอนนี้เหอเซ่าต้องถกเถียงให้ได้ว่าเขาถูกหรือผิด เขาไม่พอใจอย่างมากกับพฤติกรรมของอวิ๋นเยี่ยที่ลากเขาออกจากกระท่อมหิมะ คิดว่าตัวเองเป็นผู้ป่วยและต้องการการดูแล ไม่ควรจะกลับไปนอนที่กระโจมอันหนาวเหน็บนั้น


 


 


เขาหน้าแดงไปทั้งหน้า ทั้งยังห่มผ้าขนสัตว์หนาๆ เวลาเดินจึงดูเหมือนนกเพนกวิน ก็อยู่ในสภาพเช่นนี้ยังจะบอกว่าเขาเป็นคนป่วยอีกหรือ ทุกคืนนอนกรนเสียงออกจมูก ทำให้อวิ๋นเยี่ยกอดหมอนโดยพูดอะไรไม่ออกจนถึงรุ่งเช้า


 


 


“รีบไสหัวไปเดี๋ยวนี้ หากเจ้ายังพักผ่อนอีกสักสองสามวันก็คงจะถึงคราวข้าป่วยหนักแล้ว เจ้าไม่รู้หรือว่าเสียงกรนของเจ้าสามารถทำให้ฟ้าดินสะเทือนได้ ข้าไม่ได้นอนหลับให้เต็มอิ่มมาสี่ห้าคืนแล้ว เจ้าสงสารข้าหน่อยได้หรือไม่”


 


 


“นอกจากนี้ กระท่อมหิมะแบบนี้เจ้าเองก็สร้างได้เช่นกันไม่ใช่หรือ วันนี้ข้าไม่ทำอาหารอะไรทั้งนั้น จะกินซุปทังปิ่งที่พ่อครัวทำ”


 


 


เหอเซ่าไม่ใช่เพื่อนร่วมห้องที่ดี เมื่อเขาหลับเขาจะนอนกรน เสียงขบฟันเป็นเรื่องธรรมดา หากพักอยู่กับเขา อวิ๋นเยี่ยรู้สึกว่าไม่รอให้คนอื่นมาทำอันตรายตัวเอง ตนก็จะม้วยชีวีไปเอง


 


 


หลี่จิ้งออกเดินทางไปห้าวันแล้ว ไม่มีข่าวคราวจากแนวหน้าเลย แม้ว่าอวิ๋นเยี่ยจะเชื่อมั่นว่าหลี่จิ้งจะกุมชัยชนะกลับมาอย่างแน่นอน แต่ในใจก็ยังวิตกกังวล


 


 


ในสภาพอากาศหนาวเย็นเช่นนี้ไม่เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับการเคลื่อนพล ถึงแม้ว่าความหนาวจัดจะขัดขวางการหลบหนีของข่านเจี๋ยลี่ แต่มันก็ขัดขวางการไล่ล่าของทัพต้าถังด้วยเช่นกัน แม่ทัพทุกคนของต้าถังรู้ดีว่าการพ่ายแพ้ของข่านเจี๋ยลี่เป็นเรื่องของเวลาเท่านั้น วิธีเดียวที่เขาจะมีชีวิตรอดก็คือการหลบหนี บนทุ่งหญ้าถ้าปล่อยให้เขาหลบหนีไปยังทะเลทรายทางเหนือเพื่อไปพึ่งพาชนเผ่าเซวียเหยียนถัวก็จะเป็นการยากที่จะไล่ล่ากวาดล้าง กลยุทธ์ทางทหารทั้งหมดของต้าถังก็จะสำเร็จเพียงครึ่งเดียว


 


 


มีแขกมาเยือน นี่เป็นเรื่องแปลกใหม่ในค่ายแห่งนี้ เมื่อมองดูคนที่แขวนประดับเพชรนิลจินดาเต็มร่างที่อยู่เบื้องหน้า อวิ๋นเยี่ยก็เกิดความคิดอยากเป็นโจรสักครั้ง ไม่ว่าอัญมณีจะล้ำค่าเพียงใดก็ไม่สามารถสกัดกั้นกลิ่นแห่งความชั่วร้ายได้ หนวดเคราที่ดกหนาบนใบหน้าเต็มไปด้วยเกล็ดหิมะ เมื่อพบหน้า เขาก็วางกล่องไม้ที่ห่อด้วยผ้าต่วนสีเหลืองในมือลง รีบทำการคารวะด้วยการหมอบกราบโดยมือเท้าทั้งสองและศีรษะติดพื้นทันที น่ารื่อมู่มองดูหัวหน้าเผ่าที่ปกติเป็นผู้ยิ่งใหญ่ แต่กลับเหมือนลูกแกะแสนเชื่องเมื่ออยู่ต่อหน้าอวิ๋นเยี่ยอย่างประหลาดใจ นางอาศัยข้ออ้างที่จะเช็ดรอยเปื้อนบนเสื้อคลุมของอวิ๋นเยี่ยเพื่อเงี่ยหูคอยแอบฟัง


 


 


ยังไม่ทันได้ตั้งตัว สร้อยลูกปัดอาเกตสีแดงสดก็แขวนอยู่บนคอของน่ารื่อมู่ อวิ๋นเยี่ยไม่แสดงท่าทีใดๆ ตอนนี้เขาเป็นเพียงสุนัขที่สูญสิ้นครอบครัว ยังไม่มีคุณสมบัติพอที่จะมอบของขวัญให้แก่ตน


 


 


คังซูมี่ แม่ทัพใหญ่ที่ข่านเจี๋ยลี่ไว้วางใจมากที่สุด เขาคนนี้ก็คือผู้ที่จับเซียวฮองเฮาและรัชทายาทหยวนเต๋อมาที่ค่ายทหารต้าถัง สิ่งที่ทหารต้าถังดูถูกที่สุดคือผู้ที่หักหลังเจ้านาย แม้ว่าคนที่เขาหักหลังจะเป็นศัตรูของต้าถัง แต่ทหารต้าถังก็เคยชินกับการใช้ดาบเหล็กสยบศัตรูและดูถูกเหยียดหยามการวางแผนให้ร้าย ดังนั้นการปฏิบัติต่อคังซูมี่นอกจากการเหยียดหยามแล้ว ก็หาได้มีแววตาท่าทางเป็นอื่นอีกไม่


 


 


“คังซูมี่ เพราะเหตุใดจึงทำให้เจ้ามาหาข้าคนที่ว่างมากที่สุดในค่ายทหารแห่งนี้ ข้าไม่ไปพบเซียวฮองเฮาแน่นอนและจะไม่พบรัชทายาทหยวนเต๋ออะไรนั่นด้วย เจ้ายอมสละทรัพย์สมบัติเพื่อขอพบ คงจะเป็นการคิดผิดแล้ว” อวิ๋นเยี่ยก็ไม่ได้รู้สึกดีกับคังซูมี่เสียเท่าไร นี่เป็นคนต่ำช้าที่น่ารังเกียจ คบค้าให้น้อยเข้าไว้จะเป็นการดีกว่า


 


 


“โหวเหยียผู้สูงศักดิ์ คังซูมี่มาที่นี่เพราะมีข่าวสำคัญเรื่องหนึ่งจะมาเรียนให้ทราบ” คังซูมี่เจตนาพูดเพียงส่วนเดียว เพื่อดึงดูดความอยากรู้อยากเห็นของอวิ๋นเยี่ย


 


 


“ถ้าหากเจ้าคิดว่าสามารถบอกข้าได้ ก็พูดมา หากว่าไม่สามารถบอกข้าได้ก็รีบไสหัวไป ข้าไม่สนใจจะมาเสียเวลาอ้อมค้อมกับเจ้า” อวิ๋นเยี่ยเกลียดคนเลวที่น่ารำคาญเช่นนี้เป็นที่สุด ชอบคิดว่าตัวเองฉลาดกว่าคนอื่น เพื่อหวังจะเอารัดเอาเปรียบให้ได้จากคำพูดตลอด


 


 


“โหวเหยียอย่าเพิ่งร้อนใจไป เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก ดังนั้นขอท่านโปรดให้เวลาแก่คังซูมี่สักครู่เพื่อค่อยๆ อธิบายด้วย”


 


 


“ถ้าเป็นเรื่องใหญ่ เจ้าควรไปหลี่จิ้งหรือจางกงจิ่น เพียงคนเดียวที่ไม่ควรมาหาก็คือข้า เรื่องใหญ่รึ เจ้าจะมีเรื่องใหญ่อะไร อีกไม่นานตัวของข่านเจี๋ยลี่หรือศีรษะของเขาก็จะปรากฏในบันทึกความสำเร็จของทหารต้าถังของเราแล้ว ยังจะมีเรื่องอะไรที่เรียกว่าเป็นเรื่องใหญ่ได้อีก”


 


 


คังซูมี่ก้มศีรษะด้วยความหวาดหวั่น ทันใดนั้นก็เงยหน้าขึ้น “ข้าไม่เชื่อว่าท่านจะไม่สนใจเรื่องตราพระราชลัญจกรของแคว้นใช่หรือไม่”


 


 


หลังจากที่พูดประโยคนี้จบ สีหน้าของหมอนี่เต็มไปด้วยรอยยิ้มมีความสุขที่เห็นผู้อื่นเป็นทุกข์เพราะถูกลากให้ติดร่างแหไปด้วย ตราพระราชลัญจกร ของน่ารังเกียจนี้ ขอเพียงเป็นข้าราชบริพาร ใครครอบครองมันก็คือผู้โชคร้าย แม้ว่าจะไม่เคยคาดหวังจะครอบครองมันเลยแม้แต่น้อย ในสายตาของฮ่องเต้แล้วก็คือผู้ต้องสงสัยไปตลอดกาล หากพลาดพลั้งชีวิตของคนทั้งครอบครัวจะสูญสิ้นไปด้วย เจ้าหมอนี่หลายวันก่อนอยากจะบอกหลี่จิ้ง หลี่จิ้งไม่ได้รอให้เขาพูดประโยคนี้ก็สั่งให้ทหารพาตัวเขาออกไป ต่อมาคิดจะไปหาจางกงจิ่น เหล่าจางไหลลื่นเหมือนปลาไหล มีหรือจะเปิดโอกาสให้เขาได้คว้าไว้ เมื่อคำนวณจากเวลาในตอนนี้แล้ว ผลงานชิ้นใหญ่ของตัวเองกลับไม่มีใครนำไปรายงานเบื้องบน ซึ่งทำให้เขากังวลอย่างมากว่าความพยายามอย่างหนักหน่วงของเขาจะสูญเปล่า เมื่อสอบถามจึงได้รู้ว่ายังมีโหวเหยียที่มีฐานะสูงอยู่ในค่ายทหารอีกท่านหนึ่ง สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือโหวเหยียท่านนี้ยังเด็กมาก ดังนั้นจึงคิดจะยืมมือโหวเหยียหนุ่มคนนี้


 


 


เป้าหมายของเขานั้นนับว่าไม่เลว และความคิดของเขานั้นก็ถือว่าถูกต้องจริงๆ ความจริงแล้วผู้ที่เหมาะสมที่สุดในค่ายทหารที่จะพูดเรื่องตราพระราชลัญจกรออกมาก็คืออวิ๋นเยี่ย เนื่องจากเขาเป็นบุคคลที่ใกล้ชิดที่สุดกับเหล่าราชนิกุล ตอนนี้ห้ามมองที่ผลงาน หากยิ่งเป็นวีรบุรุษผู้สร้างผลงานมาก เมื่อเข้าใกล้ตราพระราชลัญจกรรังแต่จะยิ่งตายเร็วขึ้น นี่เป็นสัจธรรมอย่างแท้จริง ในทางตรงข้ามหากยิ่งไม่ใช่วีรบุรุษอะไร เมื่อเข้าใกล้ของสิ่งนี้ก็จะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับมันมากนัก บางทีอาจจะได้รางวัลใหญ่ นี่คือสิ่งที่หลี่จิ้งพูดไว้กับอวิ๋นเยี่ยก่อนที่เขาจะจากไป เขาหวังว่าอวิ๋นเยี่ยจะรับเผือกร้อนชิ้นนี้ไป ใครจะรู้ว่าเหล่าเหอป่วย อวิ๋นเยี่ยจึงยุ่งอยู่กับการดูแลเหล่าเหอ จึงลืมเรื่องตราพระราชลัญจกรออกไปจากหัวสมองอย่างสิ้นเชิง จนกระทั่งวันนี้คังซูมี่มาหาถึงที่ เขาจึงนึกขึ้นได้ว่ามีเรื่องเช่นนี้อยู่ด้วย


 


 


“เหล่าหง เจ้าจำเอาไว้หรือยัง พี่น้องช่วยเจ้าบุกเบิกทางให้เจ้าได้ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ตามที่พวกเราตกลงกันไว้ คังซูมี่เป็นของข้า คนอื่นเป็นของเจ้า ห้ามเปลี่ยนใจ” ได้ยินคำพูดคังซูมี่แล้วอวิ๋นเยี่ยไม่ตื่นตระหนกแม้แต่น้อย อีกทั้งยังตะเบ็งเสียงพูดกับคนที่อยู่ด้านหลัง


 


 


หงเฉิงที่สีหน้าเต็มไปด้วยความตื่นเต้นเดินออกมาจากม่านด้านหลังอวิ๋นเยี่ย เขายิ้มอย่างเจ้าเล่ห์แล้วพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “โหวเหยีย แน่นอนอยู่แล้ว ข้าน้อยต้องการเพียงตราพระราชลัญจกรชิ้นนั้นเท่านั้นเพื่อที่จะได้นำถวายให้ฝ่าบาท สำหรับสิ่งอื่นๆ เชิญโหวเหยียจัดการได้ตามต้องการ”


 


 


แม้ว่าเขาและหลี่จิ้งจะคิดวางแผนไว้แล้ว แต่เพื่อความปลอดภัย อวิ๋นเยี่ยจึงเรียกหงเฉิงมาด้วย ให้เขาเป็นพยาน อวิ๋นเยี่ยเองก็ไม่ต้องการจะสัมผัสสิ่งที่อัปมงคลนั้น เพียงแต่มองเห็นเครื่องประดับทั้งร่างของคังซูมี่ตั้งแต่ระยะไกล อวิ๋นโหวก็รู้สึกว่าเขาไม่ควรทำงานโดยไม่ได้ค่าตอบแทน ดังนั้นจึงได้วางแผนสกปรกเตรียมกอบโกยทรัพย์สินกับหงเฉิงขึ้น


 


 


“อวิ๋นโหว หรือว่าเจ้าไม่กังวลว่าจะถูกประหารทั้งตระกูล หากข้าถวายตราพระราชลัญจกรให้กับฝ่าบาท ข้าต้องการให้ผู้ที่เกี่ยวข้องกับตระพระราชลัญจกรนี้ตายให้หมด ข้าจะกราบทูลต่อฮ่องเต้ต้าถังและบอกว่าพวกเจ้าวางแผนการร้าย” คังซูมี่สัมผัสได้ว่าสองคนนี้มีเจตนาไม่ดี ด้วยเหตุนี้จึงพูดเสียงดังเป็นการเตือน


 


 


อวิ๋นเยี่ยและหงเฉิงเหลือบมองหน้ากันแล้วหัวเราะฮ่าๆ เสียงดังขึ้น หงเฉิงหัวเราะจนน้ำตาไหลออกมา หอบอยู่เป็นนานจึงพูดกับคังซูมี่ว่า “ฝ่าบาทจะกังวลว่าข้าโลภและมักมากในกาม แต่จะไม่กังวลว่าข้าจะกบฏ เมื่อสมัยที่ฝ่าบาทยังทรงเป็นเพียงคุณชายเจ้าสำราญอยู่นั้น ข้าก็คือเด็กเลี้ยงม้าของพระองค์ เจ้าว่าฝ่าบาทจะทรงเชื่อเจ้าหรือเชื่อข้ากัน สำหรับอวิ๋นโหว เขาทะเลาะกับรัชทายาทยังไม่เป็นอะไรเลย เจ้าว่าเจ้ากล่าวหาเขาเช่นนี้จะบังเกิดผลหรือ” หลังจากพูดจบทั้งสองก็หัวเราะเสียงดังขึ้นอีกครั้ง


 


 


“ขอเพียงแค่ตราพระราชลัญจกรถูกส่งถึงพระหัตถ์ของฝ่าบาท ข้าคิดว่าฝ่าบาทก็อาจไม่สนพระทัยที่จะรู้ว่ามีสมบัติอื่นๆ อีกหรือไม่ คังซูมี่ เจ้าว่าเช่นนั้นไหม” อวิ๋นเยี่ยคิดใฝ่ฝันอยากจะเป็นคุณชายเสเพลที่ทำเรื่องชั่วร้ายทุกอย่างมานานแล้ว เพียงแต่ตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่มีโอกาส ครั้งนี้เป็นโอกาสหายากที่จะเจอคู่กรณีที่จะไม่ทำให้เขาต้องรู้สึกผิด มีหรือที่จะไม่คิดลองทำดู


 


 


คังซูมี่อยากจะไปแย่งกล่องไม้บนพื้น สุดท้ายก็ถูกหงเฉิงเตะไปอยู่ข้างๆ ด้วยฝ่าเท้าเดียว ตนเองหยิบกล่องขึ้นมาแล้ววางไว้บนโต๊ะ ก่อนจะเปิดด้วยความเคารพ ตราพระราชลัญจกรของแท้ปรากฏต่อหน้าทั้งสองคน มันหักไปหนึ่งมุมจริงดังคาด ซึ่งมันถูกใช้ทองคำสร้างเพิ่มให้สมบูรณ์ นี่คือหยกเลี่ยมทองคำที่มีชื่อเสียงโด่งดังหรือ อวิ๋นเยี่ยไม่เห็นว่าจะมีดีอะไร หยกเหอซื่อปี้ก็มีเพียงเท่านี้เอง


 


 


หงเฉิงหยิบกระดาษออกมาจากอกเสื้อหนึ่งแผ่น ด้านบนมีรอยตราประทับที่ชัดเจนอันหนึ่ง หงเฉิงยกตราพระราชลัญจกรด้วยสองมือ ค่อยๆ วางให้ตรงกับรอยตราประทับและกดลงไป ลายเส้นเข้ากันพอดี หงเฉิงปาดเหงื่อที่หน้าผาก วางตราพระราชลัญจกรกลับเข้าไปในกล่องไม้ แล้วใช้เชือกมัดมันไว้กับตัวเอง จากนั้นจึงลุกขึ้นและเดินออกไป เขาไม่ได้คิดที่จะอยู่ต่อแม้เพียงเสี้ยวนาที


 


 


คังซูมี่ผู้อวบอ้วนรีบกระโจนเข้าไปเพื่อแย่งมา จึงถูกหงเฉิงเตะอย่างแรงใส่ใบหน้าของเขาจนล้นโครมลงกับพื้น อวิ๋นเยี่ยมองแล้วใบหน้าก็กระตุก


 


 


“อวิ๋นโหวตำหนิที่ข้าเตะเขาแรงเกินไปหรือ”


 


 


“เจ้าเตะเขาข้าไม่มีความเห็นอะไรแม้แต่น้อย แต่เจ้าจะช่วยปล่อยให้ข้าถอดเอาสมบัติบนร่างเขาออกมาก่อนแล้วเจ้าค่อยเตะเขาจะได้ไหม” 

 

 


ส่วนที่ 4

 

ตอนที่ 41 ชัยชนะกับความเหนื่อยล้า

 

กองทหารม้าหนึ่งพันนายกำลังลากรถลากเลื่อนสิบตัวที่ทำขึ้นใหม่มุ่งหน้าสู่ฉางอันอย่างบ้าคลั่ง ระหว่างทางหากมีคนที่กล้าขัดขวางพวกเขา ให้ฆ่าได้ไม่มีละเว้น หากมีใครสอดแนมก็ให้ฆ่าได้โดยไม่มีละเว้น หากมีขุนนางคนไหนกล้าหน่วงเหนี่ยวทำให้ล่าช้าตามใจชอบก็ให้ฆ่าได้ไม่มีละเว้นเช่นกัน


 


 


หงเฉิงกลับมาฉางอันพร้อมกับไอสังหารเต็มกาย และได้นำจดหมายหลายฉบับของอวิ๋นเยี่ยมา พร้อมทั้งตั๋วแลกเงินของเหอเซ่าด้วย เหอเซ่าไม่อยากถูกแม่ทัพไฉเซ่าไล่ฆ่าจริงๆ ดังนั้นเขาจึงต้องรีบจัดการเรื่องหยุมหยิมเหล่านี้ให้เรียบร้อยก่อนที่กองทัพใหญ่จะกลับถึงเมืองหลวง ขอเพียงเป็นทรัพย์สินของทหารกวนจง เหอเซ่าก็จะต้องให้คนที่บ้านนำไปส่งมอบให้ทีละคนจนครบทุกคน จากนั้นรับใบลงชื่อรับจากพวกเขากลับมา การค้าครั้งนี้จึงจะถือว่าเสร็จสิ้น


 


 


หลังจากมอบสิ่งของทั้งหมดให้กับหลี่จิ้งแล้ว เหอเซ่าก็กลายเป็นคนสิ้นเนื้อประดาตัว อวิ๋นเยี่ยเองก็เป็นคนสิ้นเนื้อประดาตัว เพียงแต่เขาเพิ่งจะสร้างความมั่งคั่งจากชาวต่างแดน คังซูมี่ถูกหงเฉิงพาตัวไป ไม่รู้ว่าถูกส่งไปที่ไหน อวิ๋นเยี่ยคิดว่าถ้าใครต้องการหาคังซูมี่ ต้องไปที่ยมโลกน่าจะมีโอกาสได้เจอ


 


 


สุดปลายทางของพื้นหิมะแต่ไกลๆ มีขนสีแดงโผล่ออกมาแล้ว จากนั้นม้าเร็วคนหนึ่งของหน่วยหงหลิงที่สวมชุดเกราะเต็มยศก็ปรากฏขึ้นในทันที ขี่ม้าโซซัดโซเซเข้ามาหา ยังไม่ทันที่จะไปถึงประตูค่ายก็กระแอมด้วยเสียงแหบแห้ง ตะโกนเสียงดังว่า “ได้ชัยแล้ว ได้ชัยแล้ว! กองทัพเราฆ่าไปสามหมื่นคน ได้เชลยหนึ่งแสนคน ข่านเจี๋ยลี่กำลังหลบหนี”


 


 


มีนายทหารหยิบหมวกเหล็กที่มีพู่สีแดงสวมบนศีรษะของตนเองและรัดให้แน่นนานแล้ว จากนั้นหยิบกระบอกจดหมายหนังวัวจากร่างของทหารที่เหนื่อยล้าจนหมดแรง หลังจากให้ขุนนางทั้งสามคนตรวจสอบตราประทับที่ผนึกบนจดหมายว่าไม่มีอะไรแปลกปลอมแล้ว ทหารหกคนก็นำม้าสิบสองตัวห้อตะบึงมุ่งหน้าสู่ฉางอัน


 


 


ในค่ายทหารเละเทะวุ่นวายเหมือนรังมดที่ถูกน้ำเดือดเทลงไป ปากใหญ่ๆ ของจางกงจิ่นนั้นหุบไม่ลงเลย ในฐานะที่เป็นขุนนางใหญ่คนแรกที่เสนอให้หลี่ซื่อหมินตัดสินใจว่าจะโจมตีชาวเผ่าทูเจวี๋ยตะวันออก ตอนนี้สร้างคุณงามความดีมีความชอบมีหรือที่เขาจะไม่ดีใจ


 


 


เยี่ยมมาก ตอนนี้ชาวเผ่าทูเจวี๋ยตะวันออกตอนนี้ถูกท่านผู้บัญชาการใหญ่จู่โจมสายฟ้าแลบ เป็นเรื่องยากที่จะมีโอกาสกลับมาฟื้นตัวอีกครั้งแล้ว ซึ่งชัยชนะนี้สามารถรับประกันความสงบสุขของต้าถังได้เป็นเวลาสามสิบปี การที่เหล่าทหารได้เข้าร่วมการต่อสู้นี้ก็ไม่รู้สึกเสียชาติเกิดแล้ว อีกไม่นาน พวกเราก็จะได้กุมชัยชนะกลับบ้านแล้ว แต่น่าเสียดายที่ปล่อยให้ข่านเจี๋ยลี่หนีไปได้ ไม่เช่นนั้นการต่อสู้ครั้งนี้จะต้องเลื่องลือระบือไกลนานนับพันปี


 


 


“ท่านแม่ทัพกังวลมากไปแล้ว คราวนี้กองทัพของเราแบ่งออกเป็นห้าสายล้อมโจมตี มีหรือจะปล่อยให้ข่านเจี๋ยลี่หนีไปที่เซวียเหยียนถัวได้โดยง่ายกัน คิดว่าแม่ทัพหลี่จีจะไม่ทำให้พวกเราผิดหวังอย่างแน่นอน ตอนนี้ท่านผู้บัญชาการใหญ่ทำศึกนองเลือดมาเป็นเวลานาน เป็นช่วงเวลาที่เหนื่อยยากจนคนอ่อนเปลี้ยเพลียแรงม้าหมดแรง ทำไมพวกเราจึงไม่เคลื่อนพลไปข้างหน้าเพื่อที่จะได้ต้อนรับเหล่าทหารที่เคลื่อนทัพกลับพร้อมชัยชนะให้เร็วขึ้นอีกกันเล่า”


 


 


คำพูดนี้ไม่ต้องรอให้อวิ๋นเยี่ยพูด แน่นอนว่าจะต้องมีเหล่าแม่ทัพผู้มากประสบการณ์พูดออกมา ทุกคนต่างกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์บาดเจ็บล้มตายของเหล่าทหารที่อยู่แนวหน้า เนื่องจากม้าเร็วที่รายงานข่าวเมื่อมาถึงค่ายแล้วก็หมดสติไป อวิ๋นเยี่ยตรวจร่างกายให้เขาอย่างละเอียดแล้ว หลังจากเช็ดกายด้วยน้ำอุ่นก็นำไปห่อไว้ในผ้าห่มหนาๆ แล้วจึงให้ไปนอนพักในกระท่อมหิมะ ซึ่งเป็นสถานที่ที่อบอุ่นที่สุดในค่ายทหารแล้ว


 


 


“อวิ๋นโหว คราวนี้ต้องพึ่งพาความสามารถของท่านแล้ว หากพูดถึงวิธีการที่แปลกประหลาดอัศจรรย์ พวกข้าแม้ควบม้าตามก็ห่างจากท่านหลายขุม ตอนนี้เราอยู่ท่ามกลางสภาพอากาศหนาวเหน็บ ข้าไม่คาดหวังอื่นใด หวังเพียงว่าอวิ๋นโหวจะช่วยหาที่พักแรมที่อบอุ่นให้เหล่าทหาร น้ำซุปร้อนๆ แสนอร่อย เพื่อเป็นขวัญกำลังใจของชายชาติทหารของต้าถังเหล่านี้”


 


 


จางกงจิ่นที่น้ำตาคลอเบ้า เขาแทบไม่กล้าจินตนาการเลยว่า ทหารหนึ่งหมื่นนายที่เคลื่อนพลในวันที่อากาศหนาวเหน็บจะมีสภาพเป็นอย่างไร ตัวเองเฝ้าอยู่ในค่ายใหญ่ การมีคนแข็งตายก็เป็นเรื่องธรรมดา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเหล่าทหารที่ต้องหมอบคลานบนพื้นหิมะ


 


 


“จางกงท่านพูดอะไรของเจ้ากัน ข้าก็เป็นข้าราชสำนักของต้าถัง สิ่งเหล่านี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของหน้าที่ข้าด้วย มีหรือจะกล้าปฏิเสธ หลายวันนี้พวกเราก็ได้สร้างลากเลื่อนขึ้นมาอีกสามร้อยตัว ซึ่งสามารถเดินทางบนหิมะได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีเรื่องที่น่ายินดีว่า พวกเราพบว่ามีถ่านหินร่วนอยู่ด้านนอกของค่ายทหาร นี่สิจึงจะเป็นข่าวดี หากมีถ่านหินร่วนเหล่านี้ ข้าจึงกล้ารับประกันได้ว่าเหล่าทหารที่กลับมาจะมีแคร่อุ่นๆ นอน มีอาหารเลิศรส สำหรับเหล้าชั้นเลิศนั้น ก็ต้องดูว่าท่านแม่ทัพใหญ่จะยอมสละหรือไม่แล้ว”


 


 


อวิ๋นเยี่ยอารมณ์ดีมาก เมื่อวานนี้ทหารที่ขุดหลุมฝังศพให้พี่น้องผู้ที่ตายไป กลับขุดเจอเหมืองถ่านหิน นี่ถือเป็นเรื่องน่ายินดีเหนือความคาดหมายชัดๆ อวิ๋นเยี่ยจึงรีบยืมทหารเสริมสามร้อยนายจากจางกงจิ่นเพื่อไปขุดถ่านหินโดยเฉพาะ เพียงเวลาแค่วันเดียวก็ขุดได้กองใหญ่แล้ว เมื่อเห็นถ่านหิน อวิ๋นเยี่ยจึงนึกได้ว่า เหมืองถ่านหินแบบเปิดที่ใหญ่ที่สุดของจีนก็อยู่ในบริเวณนี้ เมื่อมาคิดดูแล้ว หลายวันที่ผ่านมา ตนเองหนาวสั่นเหมือนสุนัข ช่างเหมือนถูกประชดประชันครั้งใหญ่


 


 


ผู้ส่งสารฟื้นขึ้นแล้วเล่าเรื่องการต่อสู้ที่ยากลำบากในแนวหน้าไปหนึ่งรอบ เหล่าแม่ทัพทั้งหมดในค่ายต่างสูดหายใจเข้าลึกๆ การต่อสู้ที่ดุเดือดดำเนินต่อเนื่องเป็นเวลาสองวันเต็มๆ หากไม่เป็นเพราะข่านเจี๋ยลี่หลบหนีเสียก่อน ใครจะเป็นผู้แพ้ผู้ชนะยังคงก้ำกึ่งกันอยู่ ทหารหนึ่งหมื่นนายที่แข็งตายมากกว่าสองพันคน ผู้ที่รบจนตัวตายก็มากถึงสองพันคน ต้องบอกไว้ก่อนว่าพวกเขาล้วนเป็นทหารหาญชั้นยอดที่สุดของต้าถัง มีแม่ทัพนำทหารนั่งรถลากเลื่อนไปรับหลี่จิ้งที่สู้รบมานานจนอ่อนเปลี้ยเพลียแรง พวกเขาจำเป็นต้องพักผ่อนและปรับขบวนทัพใหม่แล้ว


 


 


อวิ๋นเยี่ยกำลังยุ่งอยู่กับการสร้างกระท่อมหิมะ จางกงจิ่นพยายามแจ้งยอดกระโจมให้เป็นยอดเสียหายอย่างไม่คิดชีวิต จะต้องให้ทหารที่มีชัยกลับมาได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ นี่คือขีดสุดที่จางกงจิ่นผู้ซึ่งโดยปกติแล้วไม่ยอมทุ่มเททำอะไรจะสามารถทำให้ได้


 


 


ถ่านหินเป็นปัญหาใหญ่ เพราะมันทำให้เกิดเขม่าดำ หากทำพลาด ทหารที่อยู่ในกระท่อมหิมะนั้นไม่ได้ตายในสนามรบ แต่จะมาตายในกระท่อมหิมะที่อบอุ่นนี้แทน ความสนุกของอวิ๋นเยี่ยก็เพิ่มมากขึ้นอีก ถึงตอนนั้นตั้งแต่ฮ่องเต้จนถึงพลทหารคงไม่มีใครยอมละเว้นเขาแน่


 


 


ในการทำสิ่งต่างๆ ก็ต้องแบกรับความเสี่ยง ตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบันล้วนไม่มีข้อยกเว้น โชคดีที่ยังมีเวลาเพียงพอ ซึ่งก็มีเวลามากพอที่อวิ๋นเยี่ยจะได้ปรับเปลี่ยนโยกย้ายทัน เขายังคงใช้วิธีเดิมในการสร้างเตาไฟและปล่องควัน ช่างเหล็กผู้เชี่ยวชาญของกองทัพใช่ว่านักดาบมือสมัครเล่นของตระกูลอวิ๋นอย่างเขาจะไปเทียบได้ มีดาบจันทร์เสี้ยวของชาวเผ่าทูเจวี๋ยจำนวนมาก ก็ไม่ต้องกลุ้มใจเรื่องที่จะไม่มีเหล็กใช้แล้ว แม่พิมพ์หล่อที่ทำจากทราย ในหนึ่งวันก็สามารถหลอมเทเตาออกมาได้สิบกว่าเตา เดิมคิดว่ามันจำเป็นที่จะต้องม้วนเป็นแผ่นเหล็กด้วย จึงบอกความกังวลใจให้หัวหน้าช่างฝีมือฟัง ใครจะคิดว่าอวิ๋นเยี่ยผู้ที่เก่งทุกอย่างจะถูกดูหมิ่นเสียแล้ว ทั้งยังถูกขับไล่ออกไปจากค่ายงานช่างอีกด้วย


 


 


ตามคำพูดของหัวหน้าช่าง “อวิ๋นโหวเป็นผู้ที่ใส่ใจต่อเรื่องสำคัญของกองทัพ เรื่องเล็กน้อยเหล่านี้ไม่กล้าให้อวิ๋นโหวต้องเป็นกังวล”


 


 


เมื่อถึงเวลาที่อวิ๋นเยี่ยต้องการเตาเหล็กนั้น เตาเหล็กสองร้อยเตาก็ถูกวางเรียงไว้อย่างเรียบร้อยบนพื้นที่ว่างของค่ายงานช่าง โดยแต่ละเตายังประกอบปล่องเหล็กสูงหนึ่งจั้งให้อีกด้วย


 


 


ในเวลานี้อวิ๋นเยี่ยรู้สึกเหมือนว่าตัวเองเป็นคนโง่ เขาจึงหยิบสมุดเล่มเล็กๆ ออกมาจากอกเสื้อ แล้วใช้ดินสอชอล์คขีดฆ่าหัวข้อการสร้างความอบอุ่นทิ้งไป ในฐานะที่เป็นผู้ดูแลเหล่าทหารผู้มีชัยนั้น จำเป็นที่จะต้องมีการวางแผนให้ดี จึงเรียกทหารเสริมมาเพื่อบอกให้พวกเขานำเตาไปติดตั้งไว้ในกระท่อมหิมะของทุกคนให้เหมือนกับการติดตั้งในกระโจมตนเอง ตอนนี้เขากังวลเพียงว่า เมื่อทุกคนผิงไฟกันขึ้นมากระท่อมหิมะจะละลายหรือไม่ พุทธองค์ทรงคุ้มครองด้วย ขอเพียงแค่พวกเขาอดทนให้ได้สามวันก็พอแล้ว ครั้นมองดูท้องฟ้าที่หม่นหมอง อวิ๋นเยี่ยก็เริ่มสบายใจขึ้นหลายส่วน


 


 


ตั้งแต่ที่พ่อครัวเรียนการนึ่งหมั่นโถวเป็นแล้ว อวิ๋นเยี่ยก็ไม่อนุญาตให้พวกทหารเรียกมันว่าขนมเปี๊ยะอะไรพวกนั้นอีก ในใจเขามีเพียงเจ้าลูกกลมๆ พวกนั้นถูกย่างด้วยไฟเท่านั้นที่เรียกว่าขนมเปี๊ยะ ของสิ่งนี้เรียกว่าหมั่นโถว หากมีไส้ด้วยก็จะเรียกว่าซาลาเปา เพียงเพื่อชื่อเรียกเท่านั้น อวิ๋นเยี่ยได้สั่งโบยทหารไปเจ็ดแปดคนแล้ว


 


 


วัวและแกะที่เหลืออยู่ก็ถูกสั่งให้เชือดทิ้งให้หมด ทั้งหมดถูกแขวนไว้บนชั้นวางที่อยู่ในที่โล่ง มันถูกเรียกว่า “ป่าเนื้อ” สำหรับ “บ่อเหล้า” มันช่างดูยากจนข้นแค้นเสียจริงๆ จางกงจิ่นมีเหล้าดีกรีแรงไม่ถึงหนึ่งร้อยไห อวิ๋นเยี่ยจึงได้กัดฟันเอาของที่ตัวเองอุ่นเอาไว้แล้วหลายครั้งออกมา ตั้งใจว่าจะใช้เหล้ารัมดีกรีแรงแทนแอลกอฮอล์และผสมน้ำเพื่อดื่มแทนเหล้า เพื่อไม่ให้เกิดปัญหา เขาดื่มก่อนประมาณสองร้อยห้าสิบมิลลิลิตร สุดท้ายปรากฏว่าเหล้ารสชาติไม่เลวและมีความเข้มข้นอยู่เล็กน้อย นอกจากความรู้สึกปวดศีรษะจนแทบระเบิดในวันรุ่งขึ้นแล้วก็ไม่มีอันตรายใดๆ ดังนั้นเขาจึงเติมน้ำเข้าไปอีกแล้วมอบให้กับจางกงจิ่นดื่ม…


 


 


เมื่อตื่นขึ้นมาบ้วนปากในตอนเช้า อวิ๋นเยี่ยพบว่าเหงือกของตัวเองมีเลือดออก นี่คืออาการของการขาดวิตามิน ตอนนี้ไม่มีวิธีที่ดีเลย นอกจากใบชาเขาไม่มีพืชชนิดอื่นที่กินได้


 


 


ข้างนอกค่ายในวันนี้ จางกงจิ่นเอามือกุมศีรษะ พยายามยืนตัวให้ตรงขึ้นอีกหน่อย เหล้าเลิศรสที่อวิ๋นเยี่ย มอบให้เมื่อคืนนี้นั้นรสชาติอร่อยจริงๆ แต่อาการปวดศีรษะในวันรุ่งขึ้นทำให้เขาลืมไม่ลงชั่วชีวิต มันสมองดูเหมือนจะแยกออกจากกะโหลกศีรษะ หากส่ายศีรษะก็ปวดมาก ก็ไม่รู้ว่าเป็นเหล้าดีชนิดไหนกัน


 


 


เสียงแตรทุ้มต่ำดังมาแต่ไกล บนที่ราบสูงที่ปกคลุมด้วยหิมะเริ่มมีคนปรากฏตัวมากขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาไม่มีการเดินเป็นขบวนทัพแล้ว คนจำนวนมากหมอบอยู่บนหลังม้าและมีทีท่าว่าหล่นลงมา ธงแม่ทัพของหลี่จิ้งผืนธงห้อยตกอย่างห่อเ**่ยว หาได้มีความเกรียงไกรของผู้กุมชัยชนะไม่แม้แต่น้อย


 


 


จำนวนทหารที่กลับมามีไม่ถึงหกพันนาย ซึ่งก็หมายความว่ามีทหารสี่พันกว่านายที่ไม่สามารถกลับมาได้อีกแล้ว ทุกคนในค่ายใหญ่ที่รอต้อนรับนั้นเงียบเชียบไร้เสียง ไม่รู้ว่าใครใช้หมัดเคาะชุดเกราะบริเวณหน้าอกอย่างแรง จนเกิดเสียง “กึงๆ” เสียงนี้นั้นดังกังวานออกไปแล้วค่อยๆ มีเสียงดัง “กึงๆ” ขึ้นอย่างพร้อมเพรียงบนทุ่งหญ้าที่ว่างเปล่า


 


 


พวกทหารกลับไปที่ค่ายโดยไม่ต้องให้ผู้อื่นช่วยพยุง ไม่ว่าฝีเท้าของพวกเขาเหนื่อยแรงเพียงใดก็ไม่เคยหยุด เมื่อมีทหารหนึ่งคนเดินผ่านประตูค่ายเข้ามาก็จะมีคนพยุงพวกเขาไปยังกระท่อมหิมะที่อบอุ่นในทันที เมื่อถอดชุดเกราะออกจากนั้นจึงถอดเสื้อผ้า เพียงแต่ขั้นตอนนี้ไม่ได้ราบรื่นเสียเท่าไร มีเท้าของคนบางคนที่ผิวหนังเกาะติดเข้ากับถุงเท้าจนดึงไม่ออก ได้แต่แช่ในน้ำอุ่นก่อนจึงจะสามารถค่อยๆ แกะออกทีละชิ้นได้


 


 


เมื่อเหล่าทหารถูกห่อเข้าไปในผ้าห่มอุ่นๆ เกือบจะทุกคนที่ถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก ก้าวเข้าสู่ห้วงความฝันในทันที


 


 


หลี่จิ้งเหวี่ยงตัวลงจากหลังม้าด้วยความยากลำบาก จางกงจิ่นเข้าสวมกอดเขาไว้แน่นโดยไม่รอให้เขาพูด พลางทุบหลังหลี่จิ้งอย่างแรง หลี่จิ้งได้แต่ยืนแข็งทื่อ หัวเราะเหอะๆ สองคำแล้วพิงอยู่ในอ้อมแขนของจางกงจิ่น ดูเหมือนว่าเสียงหัวเราะเบาๆ สองคำนั้นได้ทำให้ร่างกายเขาสูญเสียเรี่ยวแรงไปจนหมดสิ้น


 


 


ด้านข้างมีแม่ทัพหนุ่มร่างหนาเดินเข้ามาพูดกับจางกงจิ่นว่า “ท่านผู้บัญชาการใหญ่ไม่ได้หลับตาลงพักเป็นเวลาหกวันแล้ว” นี่ก็คือซูติ้งฟาง ใบหน้าทาด้วยน้ำมันวัวไว้ จึงมองไม่เห็นสีผิวของเขา เห็นแต่เพียงดวงตาสีแดงก่ำสองดวงเท่านั้น


 


 


รถลากเลื่อนตัวหนึ่งขับเข้ามาที่ค่ายอย่างดุดันไม่เกรงใจ ด้านบนกองขนสัตว์ไว้เต็มลากเลื่อน ชายวัยกลางคนคนหนึ่งที่เนื้อตัวสกปรกมอมแมมพยายามดิ้นรนโผล่ศีรษะออกจากกองขนสัตว์นั้น เพื่อบอกกับอวิ๋นเยี่ยว่า “อวิ๋นโหว ดึงข้าที ข้าลุกไม่ได้” อวิ๋นเยี่ยเพ่งมองอยู่เป็นนานจึงจำใบหน้าและนึกออกว่าเขาก็คือ ถังเจี่ยน คนคนนี้ช่างเหมือนที่ประวัติศาสตร์บันทึกไว้จริงๆ มีชีวิตรอดออกมาจากกองทหารนับหมื่นนับพันได้


 


 


จึงช่วยกันกับเหล่าจวงพยุงถังเจี่ยนออกจากลากเลื่อน ก็ได้ยินถังเจี่ยนพูดว่า “อวิ๋นโหว ส่งข้าไปที่กระโจมของเจ้าที ข้าต้องการพักผ่อนให้เต็มที่” จากนั้นก็พิงกายเหล่าจวงแล้วหลับไป


 


 


สติปัญญาของบุคคลเป็นตัวกำหนดความก้าวหน้าว่าจะไปได้ไกลเพียงไร ดังเช่นถังเจี่ยน ในขณะที่อยู่ในสภาพกำลังจะหมดแรง เขาก็ยังคงสามารถหาสถานที่ที่เหมาะสมที่สุดจากบรรดากระโจมทั้งหมดในค่ายทหารได้อย่างชัดเจน ซึ่งนี่ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะสามารถทำได้


 


 


ในวันเดียวกัน ก็เกิดเสียงฟ้าร้องจากจมูกดังไปทั้งค่าย…

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)