เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วน 4 ตอน 36-39
ส่วนที่ 4
ตอนที่ 36 หลักการของการรักษาความลับ
อวิ๋นเยี่ยพยายามยับยั้งความต้องการที่จะไปพบเซียวฮองเฮา คราวนี้ไม่ได้ต้องการชื่นชมความงาม แต่อยากเห็นหยกเหอซื่อปี้ในตำนาน ไม่รู้ว่าตราพระราชลัญจกรที่ใช้หยกเหอซื่อปี้แกะสลักจะมีพลังอัศจรรย์ตามที่เล่าในตำนานหรือไม่ หวงอี้[1]คุยโวโอ้อวดถึงมันอย่างน้ำไหลไฟดับ เด็กหนุ่มธรรมดาสองคนเพียงเพราะได้ครอบครองมันจึงกลายเป็นยอดฝีมือแห่งยุคไป หากฉันมีความสามารถอันนี้ใครจะกล้าเตะฉันอีก
ตราพระราชลัญจกรไม่มีประโยชน์อะไรต่ออวิ๋นเยี่ย ไม่ต้องคิดก็รู้ว่ามันไม่มีพลังอัศจรรย์อะไรทั้งสิ้น สิ่งที่มีพลังนั้นก็คือคน ของสิ่งนี้ถึงอยู่ในมือของอวิ๋นเยี่ยก็เหมือนขยะชิ้นหนึ่ง แต่กลับจะนำพาเคราะห์ร้ายในการฆ่าล้างทั้งตระกูลมาอย่างง่ายดาย นอกจากฮ่องเต้แล้ว ใครครอบครองล้วนแล้วแต่โชคร้าย พวกหลี่จิ้งเป็นคนฉลาดหลักแหลม ไม่มีทางที่จะเดาไม่ออกว่าของสิ่งนี้อยู่ในมือของเซียวฮองเฮา การที่ขัดขวางไม่ให้ตนเข้าไปยุ่ง บางทีอาจจะมีความกังวลในเรื่องนี้อยู่ด้วย เกรงว่าตนจะเดือดร้อนไปด้วย
หลี่จิ้งก็ยังนับว่าห่วงใยตนเป็นอย่างมากจึงไม่โกรธเขาแล้ว คราวก่อนเรื่องที่เขาเตะตนในท้องพระโรงก็จบเพียงเท่านี้
การที่จะแย่งชิงสิ่งของจากมือผู้หญิงที่น่าสงสารคนหนึ่งที่นางมีเอาไว้เพื่อปกป้องชีวิตที่ถูกพวกสารเลวเหล่านั้นข่มเหงนั้นช่างดูไม่เหมาะไม่ควรจริงๆ จึงกลืนคำพูดเหล่านั้นลงไปและเก็บความคิดนี้ไว้ในมันสมองส่วนลึกของเขา
ในขณะที่อวิ๋นเยี่ยยังคงพัวพันอยู่กับเรื่องเซียวฮองเฮาและตราพระราชลัญจกรของแคว้นฉวนอยู่นั้น ท้องฟ้าที่สว่างสดใสได้เพียงไม่กี่วันก็มีหิมะตกโปรยปรายอีกครั้ง คราวนี้ไม่มีลมมีเพียงหิมะตกลงมา หิมะก้อนโตร่วงลงบนมือของน่ารื่อมู่ที่ยื่นออกมา เพียงชั่วครู่ก็กลายเป็นคราบน้ำ
นางยืนอยู่นอกกระโจมเป็นเวลานานแล้ว บนไหล่นั้นมีหิมะขาวหนาๆ ปกคลุมอยู่ ก่อนที่นางจะถูกคนอื่นมองเป็นตุ๊กตาหิมะ อวิ๋นเยี่ยจึงพานางกลับไปที่กระโจม
ดวงตากลมโตของน่ารื่อมู่นั้นมีน้ำตาคลอ พูดกับอวิ๋นเยี่ยด้วยเสียงอึกอักในลำคอ “หิมะ…แกะ…ตาย” นางยังพูดภาษาฮั่นให้เป็นประโยคไม่ได้ ได้แต่พูดออกมาทีละคำเท่านั้น
อวิ๋นเยี่ยรู้ว่านางหมายถึงอะไร หิมะในปีนี้ตกมากเป็นพิเศษ นี่ไม่ใช่ข่าวดีสำหรับคนเลี้ยงสัตว์ในทุ่งหญ้า หญ้าบนทุ่งหญ้าถูกปกคลุมด้วยน้ำแข็งและหิมะหนา วัวและแกะต้องเขี่ยหิมะและน้ำแข็งด้านบนออกเพื่อให้ได้ต้นหญ้าบางส่วน วัวและแกะผอมๆ ไม่มีเรี่ยวแรงพอที่จะทำเช่นนี้ จึงได้แต่ต้องอดตายทั้งเป็น
น่ารื่อมู่เรียกหิมะเช่นนี้ว่ายมทูตขาว ยมทูตขาวไม่เพียงแต่กลืนกินวัวและแกะ ทั้งยังกินคนอีกด้วย การมาเยือนทุกครั้งของเขานับเป็นหายนะบนทุ่งหญ้า
ก่อนหน้านี้เมื่อเผชิญหน้ากับยมทูตขาว ผู้เฒ่าในชนเผ่าก็จะเรียกทหารมารวมตัวกัน เตรียมม้าศึกพร้อมธนู ออกล่าเหยื่อในสถานที่ที่มีชาวฮั่นและนำอาหารที่อุดมสมบูรณ์กลับมาทุกครั้ง ที่บ้านของน่ารื่อมู่มีเพียงบิดาที่ขาพิการ ดังนั้นจึงไม่ได้ส่วนแบ่งของที่ยึดมาได้นี้
สิ่งที่ยมทูตขาวหลงเหลือไว้ให้น่ารื่อมู่ก็คือความอดอยากที่ไม่มีที่สิ้นสุด
ในปีนี้เป็นไปไม่ได้แล้ว นักรบในเผ่าเหล่านั้นต่างก็ล้มตายอยู่ในพงหญ้าหมดแล้ว ทุกหนทุกแห่งเต็มไปด้วยทหารม้าของต้าถังที่กำลังห้อตะบึง พวกเขาเองก็กำลังล่าเหยื่ออยู่ ซึ่งเหยื่อก็คือคนเลี้ยงสัตว์ที่กำลังสั่นเทาหลบซ่อนอยู่ในกระโจม
เมื่อเห็นน่ารื่อมู่กำลังโศกเศร้า อวิ๋นเยี่ยก็สลัดความคิดเรื่องเซียวฮองเฮาและตราพระราชลัญจกรของแคว้นฉวนจากสมองเขาทิ้งไปทันที ในใจเขาไม่ว่าจะฮองเฮาอะไรหรือตราพระราชลัญจกรอะไรก็ไม่สามารถเทียบได้กับรอยยิ้มแสนหวานของน่ารื่อมู่ได้
ผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งที่ถูกผู้ชายแย่งกันไปมากับตราพระราชลัญจกรที่มุมหักไปมุมหนึ่ง หากนำมาเปรียบเทียบกับน่ารื่อมู่หญิงสาวผู้นี้ซึ่งมีจิตใจบริสุทธิ์เหมือนเมฆขาวแล้ว ยังถือว่าเป็นการดูหมิ่นนางเสียด้วยซ้ำ
อวิ๋นเยี่ยพบว่าความรู้สึกที่มีต่อน่ารื่อมู่นั้นเป็นความสงสารและความชื่นชมเสียมากกว่า หญิงสาวแห่งทุ่งหญ้าคนหนึ่งที่อ่อนโยนบอบบางเหมือนหญ้าป่าบนทุ่งหญ้า แต่ในเวลาเดียวกันก็เข้มแข็งดื้อดึงเหมือนหนังวัว แต่นางได้ก้าวเข้ามาในหัวใจของเขาแล้วโดยที่เขาไม่รู้ตัว
เมื่อยมทูตขาวมาแล้ว คนเลี้ยงสัตว์สามารถทำได้เพียงสิ่งเดียวเท่านั้น นั่นคือพวกเขาต้องฉวยโอกาสรีบฆ่าวัวและแกะในขณะที่พวกมันยังพอมีเนื้ออยู่บ้าง แล้วโยนทิ้งไว้ในหิมะเพื่อแช่แข็ง จากนั้นจึงค่อยๆ กินพวกมัน นี่คือเสบียงส่วนเดียวที่พวกเขามีในฤดูหนาว
กองทัพต้าถังก็กำลังทำสิ่งเดียวกัน วัวและแกะที่ยึดมาได้ถูกฆ่าตายไปทีละฝูงๆ จากนั้นจึงให้เหอเซ่านำพวกมันไปทำเป็นเนื้อแห้งแสนอร่อย พวกคนเลี้ยงสัตว์ที่ถูกจับเป็นเชลยร้องไห้ฟูมฟาย เมื่อฆ่าวัวและแกะจนหมด ก็จะถึงคราวของพวกเขาแล้ว นี่คือกฎแห่งทุ่งหญ้า การฆ่าประชากรส่วนเกินทิ้งเพื่อให้อาหารเพียงพอแก่คนที่เหลืออยู่ในการใช้ชีวิตช่วงฤดูหนาว บรรพบุรุษหลายชั่วอายุคนของชาวเผ่าทูเจวี๋ยได้ตายด้วยน้ำมือของคนเผ่าตัวเองมากกว่าตายภายใต้คมดาบของชาวต้าถังมากมายเหลือคณานับ
น่ารื่อมู่เอาศีรษะซุกไว้ในผ้าห่ม นางไม่อยากได้ยินเสียงร้องของชาวเผ่าเดียวกัน เสียงร้องไห้ที่โหยหวนนั้นทำให้หัวใจนางแทบแหลกสลาย
หงเฉิงมาหาอวิ๋นเยี่ย เขาค่อนข้างภาคภูมิใจ แต่ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงเดินกะเผลกๆ เขาเพิ่งจะเรียนสารลับใหม่ได้สำเร็จ จึงตั้งใจจูงแกะหนึ่งตัวมาขอบคุณอวิ๋นเยี่ย
“อวิ๋นโหว ข้าเหล่าหงเพิ่งจะเรียนเรื่องสารลับที่ท่านสอนได้สำเร็จ พวกเราต่างก็เป็นคนในกองทัพ เช่นนั้นข้าจะไม่พูดคำพูดเหน็บแนมที่แสดงออกถึงความใจแคบเหล่านั้นก็แล้วกัน วันนี้มาที่นี่ตั้งใจมาขอขมาที่เมื่อวานได้ล่วงเกินท่านโดยเฉพาะ ท่านดู ข้าได้ฟันตัวเองแล้วหนึ่งแผล หากอวิ๋นโหวยังไม่พอใจ เหล่าหงจะแทงตัวเองอีกดาบจนกว่าท่านจะพอใจ ดีหรือไม่”
เจ้าหมอนี่ดูไม่เหมือนจะมาขอขมาเลยสักนิด ดูเหมือนเป็นการข่มขู่เสียมากกว่า การโดนดาบเพียงหนึ่งแผลสำหรับเขาถือเป็นเรื่องธรรมดาเสมือนกินข้าว เขาก็ฟันตัวเองหนึ่งดาบแล้ว อวิ๋นเยี่ยยังจะทำอะไรได้อีก จึงได้แต่ต้องให้อภัยเขา พวกซื่อบื้อในกองทัพก็มักจะเป็นเช่นนี้ที่ทำให้การขอโทษดีๆ กลายเป็นเรื่องเลือดตกยางออกไปเสีย
เมื่อเห็นในมือเขากำ “ซัวเหวินเจี่ยจื้อ” ไว้และหนังสือถูกบีบจนยู่ยี่ยับเยิน อวิ๋นเยี่ยกลอกตาขึ้นแล้วถอนหายใจ หน่วยข่าวกรองของต้าถังไม่ควรจะมีแต่พวกที่ไร้สมองเช่นนี้สิ นับตั้งแต่ที่ ‘ซัวเหวินเจี่ยจื้อ’ ปรากฏขึ้นจนถึงปัจจุบันนี้ไม่รู้ว่าได้มีการพิมพ์แล้วกี่เล่ม สำนักศึกษาที่สอนตัวเลขอารบิกมาเกือบหนึ่งปีแล้ว หนังสือ ‘การคำนวณเบื้องต้น’ ที่ตนเรียบเรียงขึ้นมาก็ไม่รู้ว่ามีการพิมพ์ไปจำนวนเท่าไรแล้ว แต่เจ้ากลับถือหนังสือขาดๆ เล่มนี้เดินโอ้อวดไปทั่ว หากเป็นหน่วยข่าวกรองที่พอจะมีสมองสักหน่อยก็คงจะคาดเดาสารลับอันใหม่ของเจ้าได้อย่างทะลุปรุโปร่ง หลี่ซื่อหมินสอนผู้ใต้บังคับบัญชาที่ตนเองไว้เนื้อเชื่อใจมากที่สุดเช่นนี้หรือ
“อวิ๋นโหว ตอนนี้การถ่ายทอดความลับของต้าถังเราคงจะไม่มีช่องโหว่แม้แต่น้อยแล้วกระมัง” หงเฉิงยังมีหน้าถาม อวิ๋นเยี่ยอยากจะต่อยเขาจริงๆ
“เหล่าหง ตอนนี้ข้าโกรธจนไม่มีที่จะระบายแล้ว เจ้าจะต้องให้ข้าต่อยเจ้าหนักๆ สักหมัด ข้าจึงจะบอกเหตุผลให้เจ้ารู้ แต่บอกเจ้าไว้ก่อน ตอนนี้ที่ข้าโกรธไม่ใช่เรื่องเมื่อวานนี้ แต่เป็นเรื่องที่เจ้าเพิ่งจะก่อขึ้นตอนนี้ ต้าถังมีคนโง่เง่าเช่นเจ้า เป็นความอัปยศของฝ่าบาท เป็นความเศร้าใจของข้าราชสำนักเช่นพวกข้า” อวิ๋นเยี่ยกัดฟันพูดกับหงเฉิง
“เหล่าหง เจ้ารีบถอดชุดเกราะออก โดนต่อยสักหนึ่งหมัดจะได้ประโยชน์มากมาย น้องชายในตอนนั้นถูกต่อยไปหนึ่งหมัดก็ได้เคล็ดลับในการผลิตเกลือ ไม่รู้ว่าการที่เจ้าโดนหมัดนี้จะได้ประโยชน์เรื่องอะไร” ไม่รู้ว่าเฉิงฉู่มั่วโผล่มาจากที่ไหน แล้วก็พูดกับอวิ๋นเยี่ยอีกว่า “เสี่ยวเยี่ย เด็กเจ้าห้ามไม่ให้ข้าฆ่าแกะ บอกว่านางจะกินอาหารให้น้อยลงอีกนิดหน่อยเพื่อให้แกะตัวนั้นได้มีชีวิตรอด หากเป็นเช่นนี้ต่อไปพวกเราพี่น้องคงได้กินเจกันแน่”
เมื่อเหล่าหงได้ยินเฉิงฉู่มั่วพูดเช่นนี้ จึงรีบโยนชุดเกราะไปข้างๆ อย่างรวดเร็ว เปลือยร่างกายส่วนบนพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “มีกงเหยียน้อยรับประกัน ผลประโยชน์นี้ต้องขอรับไว้ ไม่เช่นนั้นท่านต่อยข้าสองหมัด จะได้ประโยชน์สองเรื่อง”
เมื่อครู่ใครบอกว่าเขาโง่กัน ให้ตายสิ ฉลาดกว่าลิงเสียอีก อวิ๋นเยี่ยโกรธจนตัวสั่นแล้ว ชี้ไปยังหงเฉิงแต่พูดกับเฉิงฉู่มั่วว่า “เจ้าหมอนี่ ทำผิดใหญ่หลวง วันนี้ต้องทำให้เขาจำให้ขึ้นใจ ฉู่มั่ว เจ้าหมัดหนัก เจ้าต่อยเขา ข้าต่อยเขาเหมือนนวดหลังให้เขามากกว่า คงไม่จดจำอะไรแน่ เจ้าลงมือ ต่อยตรงจุดที่บอบบาง”
ไม่ต้องรอให้อวิ๋นเยี่ยพูดประโยคที่สอง เฉิงฉู่มั่วก็กระโดดขึ้นมาต่อยหมัดใส่ท้องของหงเฉิง ต่อยจนหงเฉิงตัวงอ ข้อศอกของเขาก็กระแทกเข้าที่ด้านหลังของหงเฉิง ไม่รอให้หงเฉิงร้องครวญครางออกมา ก็ปล่อยทั้งหมัดและเท้าออกมาต่อเนื่องเป็นชุด จากนั้นจึงปัดมือด้วยความพึงพอใจและพูดกับหงเฉิงว่า “เหล่าหง นี่คือความสมัครใจของเจ้า ไม่ใช่ว่าข้าไร้น้ำใจ เจ้าก็ได้ยินแล้ว พี่น้องข้าพูดว่าต้องการให้เจ้าจำให้ขึ้นใจ หากไม่ลงมือหนักพี่น้องข้ากลัวว่าเจ้าจะจำไม่ได้น่ะ”
“เฉิงฉู่มั่ว เจ้าหนุ่ม จำไว้ให้ดีว่าไม่มีใครสามารถต่อยข้าโดยไม่เสียค่าชดเชยได้ แค้นนี้ข้าจะจำไว้” ไม่เสียทีที่เป็นทหารกล้าในกองทัพ ในเมื่อโดนต่อยรุนแรงถึงเพียงนี้ ก็ยังคงพูดอย่างโหดเ**้ยมอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“เจ้ายังกล้าไปหาเรื่องฉู่มั่วอีกหรือ ฉู่มั่วเจ้าออกไปก่อน คำพูดต่อไปนี้เจ้าไม่ควรฟังและห้ามฟังด้วย จึงไปนอกกระโจมแล้วไล่คนที่ไม่เกี่ยวข้องออกไป ภายในระยะสามสิบก้าวของด้านนอกกระโจม ไม่อนุญาตให้ใครเข้าใกล้” อวิ๋นเยี่ยชักสีหน้าพูดกับเฉิงฉู่มั่ว
เฉิงฉู่มั่วรู้ว่าอวิ๋นเยี่ยต้องมีคำพูดที่สำคัญมากที่จะพูดกับหงเฉิง ซึ่งมันต้องเกี่ยวข้องกับหน่วยข่าวกรองแน่นอน เขาไม่เหมาะที่จะยืนฟังอยู่ด้านข้างจริงๆ จึงพยักหน้าแล้วออกไป
หงเฉิงเองก็รู้สึกว่าอวิ๋นเยี่ยดูเหมือนจะโกรธจริงๆ จึงลุกขึ้นแต่โดยดี โค้งกายรอคำสอน
“เหล่าหง เจ้าเป็นคนในหน่วยข่าวกรอง สมควรรู้ว่าควรจะเก็บความลับอย่างไร แม้แต่ภรรยาและลูกก็ห้ามบอก แต่ตอนนี้เจ้าถือ ‘ซัวเหวินเจี่ยจื้อ’ เอาไว้ในมือ ปากก็เดินป่าวประกาศว่าเจ้าเข้าใจสารลับอันใหม่แล้ว มันหมายความว่าอย่างไรกัน ความประมาทเช่นนี้ นี่เป็นพฤติกรรมที่เจ้าทำเป็นประจำหรือ เจ้าเป็นหูเป็นตาแทนฝ่าบาท เจ้าไม่มีคุณสมบัติคู่ควรกับตำแหน่งนี้ สารลับใหม่นั้นดูซับซ้อนแต่แท้จริงแล้วเรียบง่าย ขอแค่เพียงเป็นคนที่มีมันสมองสักเล็กน้อยก็จะสามารถจับต้นชนปลายจากเบาะแสเหล่านี้ได้ การจะประติดประต่อขึ้นมานั้นง่ายยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือ เจ้าคิดว่าเพราะอะไรข้าจึงนำหนังสือที่ดูธรรมดาที่สุดมาสอนเรื่องสารลับให้พวกเจ้ากัน ก็เพราะต้องการให้เจ้ารู้ว่าหลังจากเรียนรู้เรื่องสารลับเป็นแล้ว จะรีบเปลี่ยนเป็นหนังสืออื่นๆ สารลับอันนี้ข้ารู้ สวี่จิ้งจงรู้ ซุนซือเหมี่ยวรู้ หลี่จิ้งรู้ มีคนรู้มากมายถึงเพียงนี้ ยังมีคำว่าความลับให้คุยอีกหรือ แต่เจ้าท่าทางเหมือนจะรู้สึกว่ายังมีคนรู้ไม่มากพอใช่ไหม” อวิ๋นเยี่ยขึ้นเสียงถาม
เพียงชั่วพริบตา หงเฉิงก็เหงื่อไหลดั่งสายฝน คุกเข่าข้างหนึ่ง บาดแผลที่ขาก็ปริแตกออกและเลือดเริ่มไหลลงมาจากบริเวณหัวเข่า
“อวิ๋นโหวโปรดสอนข้าด้วย อวิ๋นโหวโปรดช่วยข้าด้วย!”
“เหล่าหง หากต้องการเก็บความลับ สิ่งแรกก็คือคนรู้ยิ่งน้อยยิ่งดี เจ้ากลับไปแล้วเขียนหนังสือขึ้นเล่มหนึ่ง ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องคำนึงถึงเนื้อหา แต่จะต้องเขียนคำทั้งหมดออกมาให้ครบก็พอ จากนั้นหนังสือเล่มนี้ก็เก็บเอาไว้สื่อสารกันในหน่วยงานภายในของพวกเจ้า เมื่อเป็นเช่นนี้ก็จะไม่มีการรั่วไหลของข้อมูลเกิดขึ้นแน่นอน แน่ล่ะ ต้องบอกไว้ก่อนว่าในกรณีที่พวกเจ้าไม่มีใครทรยศกันเอง”
“อวิ๋นโหว ข้าน้อยเพียงแค่รู้หนังสือ แต่ไม่รู้ว่าจะเขียนหนังสืออย่างไร” หงเฉิงพูดอ้ำอึ้ง
“สิ่งที่ต้องการก็คือการที่เจ้าเขียนหนังสือไม่เป็น แม้กระทั่งตัวเจ้าเองก็ไม่รู้ว่าจะเขียนอะไร แล้วคนอื่นจะเดาได้อย่างไร แล้วจะถอดความสารลับของเจ้าได้อย่างไร รีบไสหัวไป! ต่อไปให้ข้าเจอเจ้าให้น้อยครั้งลงหน่อย พอเห็นคนเช่นเจ้าแล้วข้าจะอารมณ์เสียขึ้นมา ข้ายังอยากมีชีวิตอีกสองปี”
หงเฉิงสวมเสื้อผ้า ในที่สุดเขาก็เข้าใจ อวิ๋นเยี่ยไม่ต้องการที่จะเข้ามามีส่วนเกี่ยวพันกับหน่วยข่าวกรอง เขามองเห็นความโง่เขลาของตน จึงได้มอบความคิดอันยอดเยี่ยมเช่นนี้ให้แก่ตน เช่นนี้แล้วหากเกิดเรื่องข้อมูลรั่วไหลครั้งใหม่ขึ้นก็ไม่เกี่ยวข้องกับเขา
ลองนึกถึงกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดของหน่วยข่าวกรองแล้ว หงเฉิงก็สลัดความคิดที่จะดึงอวิ๋นเยี่ยเข้ามาเกี่ยวข้องกับหน่วยข่าวกรอง!!!
——
[1] หวงอี้ นักเขียนนวนิยายแนวกำลังภายในชื่อดังของจีน ผู้ประพันธ์นวนิยายเรื่องมังกรคู่สู้สิบทิศ
ส่วนที่ 4
ตอนที่ 37 ทหารต้องยึดถือคำสั่งกองทัพเป็นพื้นฐาน
หลังจากที่ไล่หงเฉิงไปแล้ว อวิ๋นเยี่ยก็เดินออกจากกระโจมไป หิมะข้างนอกก็ตกหนักขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเดินห่างออกไปสิบกว่าก้าวก็ไม่สามารถมองเห็นร่างแล้ว หิมะที่ทับถมบนพื้นหนาครึ่งฟุต เมื่อเดินตามร่องทางเล็กๆ ที่ทหารเสริมทำความสะอาดไว้ อวิ๋นเยี่ยเดินมาถึงด้านหน้าของกระโจมที่มียอดกระโจมขนาดใหญ่ จึงเห็นทหารเสริมใช้ไม้ยาวๆ ดันหิมะที่ตกค้างบนกระโจมออกเป็นระยะๆ
หิมะนี้ตกหนักเกินไป ถ้ายังคงเป็นเช่นนี้ต่อไปจะเป็นภัยคุกคามต่อกองทัพ อย่างน้อยเสบียงอาหารก็ไม่สามารถขนส่งได้ ทุกคนรู้ดีว่าการมีซุปร้อนๆ ในวันที่หิมะตกนั้นก็ถือว่าน่าพอใจเพียงใดแล้ว ตอนนี้ความพอใจเช่นนี้ลดลงเหลือครึ่งแล้ว ตอนกลางคืนไม่มีซุปร้อนๆ ให้ดื่มแล้ว
ตอนนี้มีน้ำจำนวนมากแทบจะเรียกได้ว่าไม่มีวันหมด หิมะที่ปกคลุมเต็มพื้นดินเป็นแหล่งน้ำที่ดีที่สุด แต่ทว่า จะหาเชื้อเพลิงได้จากที่ไหนกัน
พวกคนเลี้ยงสัตว์ใช้มูลวัวแห้ง ตอนนี้ในรัศมีสิบลี้ที่กองกำลังห้าหมื่นคนตั้งค่ายอยู่ เกรงว่าของที่สามารถเผาได้ล้วนถูกนำมาเผาจนหมดสิ้นตั้งนานแล้ว หากใช้มูลวัว แม้ให้วัวหนึ่งล้านตัวถ่ายพร้อมกันก็ไม่มากพอให้เป็นเชื้อเพลิงได้ ตอนนี้หิมะตกอยู่ยังไม่หนาวมากนัก เมื่อหิมะหยุดตก ความหนาวสุดขั้วหัวใจก็จะมาเยือน ตอนนี้ทุกคนจึงหวังว่าหิมะที่ตกหนักนี้จะหยุดในเร็ววัน
น่ารื่อมู่เอาแต่อุ้มลูกแกะตัวหนึ่งนั่งหลบอยู่ที่มุมกระโจมไม่ยอมออกมา เฉิงฉู่มั่วยืนอยู่ตรงนั้นทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับนางดี น่ารื่อมู่เห็นอวิ๋นเยี่ยเดินเข้ามา จึงรีบอุ้มลูกแกะวิ่งมาหาอวิ๋นเยี่ย
ดูแล้วลูกแกะในอ้อมแขนของนางอายุเพียงแค่หนึ่งเดือน ขนขาวที่อ่อนนุ่มทั้งร่างเป็นวัสดุชั้นดีสำหรับทำเสื้อขนสัตว์ น่ารื่อมู่รีบยกลูกแกะมาไว้เบื้องหน้าอวิ๋นเยี่ยแล้วพูดอะไรบางอย่างอย่างรวดเร็ว อวิ๋นเยี่ยฟังไม่เข้าใจ ทหารเสริมที่รู้จักภาษาทูเจวี๋ยบอกว่า “อวิ๋นโหว น่ารื่อมู่บอกว่านี่เป็นลูกแกะเพศเมียตัวหนึ่ง ปีหน้าจะต้องให้กำเนิดแกะจำนวนมาก ห้ามฆ่ามันทิ้ง นางยังบอกด้วยว่าคนเลี้ยงสัตว์ที่ต้องการมีชีวิตอยู่จะไม่ฆ่าลูกแกะเพศเมียอย่างเด็ดขาด”
“ฉู่มั่ว เจ้าก็เปลี่ยนไปฆ่าแกะตัวอื่นก็ได้แล้วไม่ใช่หรือ จะต้องถือสาหาความกับนางให้ได้หรือ เสียฐานะตัวเองเปล่าๆ” อวิ๋นเยี่ยกลอกตาแล้วพูดกับเฉิงฉู่มั่ว
“เสี่ยวเยี่ย เด็กเจ้าก็อารมณ์รุนแรงไปหน่อยกระมัง เอาไหล่ข้างหนึ่งมากระแทกข้า ข้าไม่ได้อยากกินแกะ เพียงแต่อยากได้หนังนั่นเท่านั้น”
อวิ๋นเยี่ยให้น่ารื่อมู่ขอโทษเฉิงฉู่มั่ว คิดไม่ถึงว่านางจะเบ้ปากแล้วไม่ยอมขยับ อุ้มลูกแกะเอียงคอมองหิมะ ข้างนอก ผ่านไปเป็นนานจึงพูดขึ้นว่า “ไม่มี…มูลวัว…เราจะตาย”
เมื่อคำพูดนี้พูดออกมา เฉิงฉู่มั่วก็ไม่ได้คิดจะเอาเรื่องกับนางอีก เขาไม่เข้าใจว่าผู้บัญชาการใหญ่กำลังรออะไรอยู่ ทำไมเขายืนยันที่จะตั้งค่ายรักษาการในทุ่งหญ้าในสภาพอากาศเช่นนี้ นี่ไม่ใช่การตัดสินใจของแม่ทัพที่ฉลาดคนหนึ่งพึงกระทำ
เขาและอวิ๋นเยี่ยเดินออกจากกระโจม เดินเล่นท่ามกลางหิมะตกหนัก หิมะสีขาวนุ่มๆ ถูกเหยียบจนเกิดเสียง เฉิงฉู่มั่วมองดูหิมะที่ทับถมอยู่บนหมวกของอวิ๋นเยี่ยและถามเขาว่า “เสี่ยวเยี่ย ตอนนี้ไม่ว่าสภาพภูมิอากาศหรือสถานที่ต่างไม่เป็นผลดีกับเรา ทำไมผู้บัญชาการใหญ่ยังคงยืนกรานความคิดตัวเอง ข่านเจี๋ยลี่ถูกโจมตีครั้งนี้ ก็ยากที่จะทำอะไรได้อีก ทำไมเราไม่กลับไปที่กองทัพเพื่อเฝ้าเมือง”
อวิ๋นเยี่ยปัดหิมะบนหมวกออก หยิบถั่วเหลืองทอดออกมาจากกระเป๋ากำมือหนึ่งแล้วส่งให้เฉิงฉู่มั่วบางส่วน จากนั้นก็โยนเข้าปากหนึ่งเม็ดแล้วเคี้ยวเสียงดังกรุบๆ มองทิวทัศน์หิมะที่อยู่รอบๆ ราวกับไม่ได้ยินคำถามของเฉิงฉู่มั่ว
“เสี่ยวเยี่ย แท้จริงแล้วเจ้ารู้อะไรกันแน่ บอกข้าไม่ได้หรือ” เขาเค้นถามอีกครั้ง
“ฉู่มั่ว เจ้ารู้หรือไม่ว่ากฎข้อแรกของทหารคืออะไร” ในที่สุดอวิ๋นเยี่ยก็พูดพลางมองเฉิงฉู่มั่วที่ดูร้อนรน
“ข้าย่อมต้องรู้แน่นอน ความกล้าหาญ นี่ก็คือกฎข้อแรกของทหาร มีเพียงความกล้าหาญไม่ขลาดกลัวเท่านั้นจึงจะมีชัยชนะในการต่อสู้อย่างนับไม่ถ้วน ทหารต้าถังเราเพราะมีเกราะที่แข็งแกร่งดาบอันคมกริบ ความกล้าหาญไม่ขลาดกลัว จึงได้กำจัดหมอกควันออกไปได้ตลอดเส้นทาง บุกเบิกแผ่นดินต้าถัง” เฉิงฉู่มั่วแต่ไหนแต่ไรมาเป็นพวกร้อนแรงอยู่เสมอ
“แต่ข้ากลับไม่คิดอย่างนั้น หากมีเพียงความกล้าหาญ แต่กองทัพกลับไร้วินัย ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถพูดถึงเรื่องเข้มแข็งได้ เรื่องเก่าก่อนที่ว่าซุนอู่ประหารสนมโปรดและเรื่องกองทัพซี่หลิ่วอิ๋ง ต่างก็แสดงให้เห็นถึงหลักเหตุผลข้อหนึ่งว่าทหารต้องยึดถือคำสั่งกองทัพเป็นพื้นฐาน ตอนนี้เจ้าอยู่ใต้บัญชาของผู้บัญชาการใหญ่ ก็ควรจะเชื่อฟังคำสั่งทางทหารของผู้บัญชาการใหญ่ มากกว่าการที่จะขุ่นเคืองอยู่ในใจ นี่เป็นข้อห้ามของผู้เป็นแม่ทัพและก็เป็นข้อห้ามสำหรับการเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของผู้อื่นด้วย จากพฤติกรรมของเจ้าในวันนี้ เจ้ายังเรียกไม่ได้ว่าเป็นทหารที่มีคุณสมบัติผ่านเกณฑ์ รุกเหมือนผาถล่มทะเลคลั่ง ล่าถอยเหมือนเขื่อนถูกน้ำพังทลาย การฝ่าฟันไปพร้อมกัน การเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันทั้งกองทัพจึงจะเป็นหนทางแห่งชัยชนะ วันนี้เจ้าลงมืออย่างหนักกับหงเฉิง ต่อมาก็ขัดคอกับน่ารื่อมู่ สิ่งเหล่านี้บ่งบอกได้ว่าจิตใจของเจ้ายังไม่สงบ ในใจเต็มไปด้วยความโกรธแค้น เพราะอะไร”
ตั้งแต่พบกันที่ซั่วฟางจนถึงตอนนี้ อวิ๋นเยี่ยยังไม่ได้พูดคุยกับเฉิงฉู่มั่วอย่างเต็มที่สักครั้งเลย เขารู้สึกเสมอว่าตอนนี้เฉิงฉู่มั่วกลายเป็นคนใจร้อน ไม่รู้ว่าความอึดอัดใจนั้นมาจากไหน
เฉิงฉู่มั่วนอนหงายยืดแขนขาอยู่บนหิมะ ดวงตาเบิกกว้างมองท้องฟ้า แม้ว่าหิมะจะตกเข้าตาก็ไม่ยอมหลับตาลง
อวิ๋นเยี่ยนอนข้างๆ เขาแต่ก็ไม่พูดอะไร นอนเป็นเพื่อนเขาอยู่อย่างนั้น ปล่อยให้หิมะขาวค่อยๆ ปกคลุมร่างของทั้งสองเหมือนกับตอนที่เฉิงฉู่มั่วนอนเป็นเพื่อนเขาอยู่บนกองหญ้าที่หล่งโย่ว
“ข้ามีพี่น้องหลายคนที่เสียชีวิตในการต่อสู้ที่เมืองซั่วฟาง แน่นอนว่าข้าแก้แค้นให้พวกเขาแล้ว ถอนรากถอนโคนเผ่าเล็กๆ ที่ทำร้ายพวกเขา นี่ไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการจะพูด ข้าอยากจะพูดว่าในตอนเช้าเรายังหยอกล้อกันอยู่เลย ข้าสัญญากับพวกเขาว่าเมื่อชนะศึกกลับไปที่ฉางอัน ข้าจะเลี้ยงอาหารเลิศรสที่เจ้าเป็นคนปรุงที่พวกเขาไม่เคยกินมาก่อน พวกเขาก็รอคอยวันนั้นเช่นกัน เพียงแต่เมื่อตกดึกพวกเขาไม่กลับมา ข้าพบพวกเขาในวันรุ่งขึ้นซึ่งทุกคนเสียชีวิตหมด แม้แต่เสื้อผ้าก็ถูกชาวเผ่าทูเจวี๋ยถอดเอาไปจนหมด บางศพยังมีร่องรอยถูกสัตว์ป่ากัดแทะ ข้าฝังพวกเขา แต่ไม่ได้ทำป้ายหลุมศพให้ ข้ารู้ว่าอยู่ที่นั่นจะไม่มีใครไปเซ่นไหว้พวกเขา ข้าดักซุ่มอยู่ที่นั่นฆ่าพวกทูเจวี๋ยที่สมควรตายไปจนหมดสิ้น แต่ข้าก็รู้สึกน้อยใจ ข้าน้อยใจแทนทหารผู้ที่เสียชีวิตในการต่อสู้เหล่านั้น พวกเขากล้าหาญถึงเพียงนั้น ไม่มีความหวาดกลัว แต่กลับต้องตายโดยที่ไม่มีใครรับรู้เหมือนกับใบไม้ในฤดูใบไม้ร่วงที่ร่วงหล่นจากต้นไม้ตามธรรมชาติ ข้าเติบโตขึ้นมาในค่ายทหารตั้งแต่เด็ก ดังนั้นข้าไม่กลัวความตาย แต่ข้ากลัวที่จะต้องตายโดยที่ไม่มีใครรับรู้เหมือนพวกเขา”
หลังจากเช็ดคราบน้ำบนใบหน้า อวิ๋นเยี่ยพูดกับเฉิงฉู่มั่วว่า “ที่แท้เจ้าอยากมีชีวิตอยู่เหมือนประทัดสินะ มันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากสักหน่อย ต้องรีบไปร่วมทำศึกกับชาวทูเจวี๋ยในวันพรุ่งนี้ เจ้าต้องถือหอกขี่ม้าบุกเข้ากองกำลังของศัตรูเพียงลำพัง หลังจากฆ่าศัตรูได้หลายคนแล้ว จากนั้นก็ถูกกลุ่มศัตรูจับเจ้าฉีกออกเป็นชิ้นๆ เช่นนี้ก็จะมีคนจดจำเจ้าได้แล้ว”
“นักรบมีไว้เพื่อต่อสู้ การตายในศึกสงครามเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ พวกเขาแม้ตายก็กำลังต่อสู้อยู่ เจ้ายังมีอะไรไม่พอใจอีก พวกเขาปฏิบัติหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมายแล้ว เจ้าควรจะรู้สึกดีใจไม่ใช่วิตกกังวลถึงเหตุการณ์ต่อจากนี้ หากเจ้ายังคงมีความคิดเช่นนี้ไปตลอด ข้าจะขอให้ท่านลุงเฉิงถอดออกจากกองทัพ แล้วให้ตำแหน่งเจ้าหน้าที่เล็กๆ ในฉางอันแก่เจ้า มีอายุจนถึงแปดสิบปีแล้วค่อยตาย ดีหรือไม่”
“เช่นนั้นให้ข้าถูกหิมะฝังเสียตั้งแต่ตอนนี้เลยดีกว่า” เฉิงฉู่มั่วพูดเสียงเบาๆ อยู่ในลำคอ
“ถ้าไม่อยากตายก็รีบลุกขึ้น หลายวันที่ผ่านมาหากไม่เจอพวกวิปริต ก็เจอพวกคนงี่เง่า ทั้งยังมีจอมซื่อบื้อเช่นเจ้าเพิ่มอีกหนึ่งคน แม้แต่อารมณ์ของตัวเองก็ไม่สามารถควบคุมได้ ใครยังจะกล้าคาดหวังให้เจ้าดูแลสามตระกูลกันอีก ลูกผู้ชายอกสามศอกกลับมีความคิดเหมือนเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ขายหน้าคนอื่นหรือไม่ คิดเรื่องที่ไร้ประโยชน์ให้น้อยลงหน่อย ตอนนี้คิดให้มากๆ ว่าจะหาฟืนให้มากขึ้นได้อย่างไรจึงจะเป็นเรื่องที่ควรทำ ข้ายังไม่อยากแข็งตายทั้งที่พวกเรายังไม่ได้กำจัดข่านเจี๋ยลี่หรอกนะ”
คุยกับเฉิงฉู่มั่วเรื่องความรู้สึกก็เท่ากับรนหาที่อึดอัดเอง เขามักจะมีความคิดแปลกๆ อยู่เสมอ ทั้งยังมักได้รับอิทธิพลจากอารมณ์อีกด้วย ไม่รู้ว่าทำไมท่านลุงเฉิงจึงให้กำเนิดเจ้าคนวิปริตที่ภายนอกดูแข็งกร้าวแต่ภายในกลับละเอียดอ่อนเช่นนี้ได้
ตัวเขาเองก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องน่าขำ จึงยืดสองขาสะบัดตัวกระโดดลุกขึ้นยืน อวิ๋นเยี่ยเอามือกุมท้องงอตัวกลิ้งไปกลิ้งมา แต่ก็ไม่ลุกขึ้นยืน สุดท้ายก็ถูกเฉิงฉู่มั่วลากให้ลุกขึ้น
เพิ่งจะต่อสู้กันเท่านั้น แต่ก็ดูย่ำแย่มาก เสื้อคุมขาวสะอาดที่สวมอยู่นั้นถูกทำจนเลอะเทอะไม่มีดี ไม่รู้ว่าต่อไปจะเล่นอะไรกันอีก
ประวัติศาสตร์ในยุคปัจจุบันนั้นไม่สามารถพูดให้เฉิงฉู่มั่วฟังได้ ตอนนี้หลี่จิ้งคงจะกำลังคิดคำนวณที่จะจู่โจมข่านเจี๋ยลี่อย่างฉับพลันไม่ทันให้ตั้งตัว ดังนั้นจึงไม่คิดที่จะถอนทหารออกไป ตอนนี้ถังเจี่ยนน่าจะกำลังหลอกล่อข่านเจี๋ยลี่อยู่ ตั้งแต่มาถึงค่ายแล้วก็ไม่เคยได้เห็นซูติ้งฟางเลย ไม่แน่ว่าตอนนี้อาจจะหมอบซ่อนอยู่ที่ซอกเขาที่ใดที่หนึ่งเพื่อซุ่มโจมตีข่านเจี๋ยลี่แล้วก็เป็นได้
อวิ๋นเยี่ยได้จำลองสถานการณ์เรื่องการเปลี่ยนแปลงทางทหารให้เฉิงฉู่มั่วดูบนแผนที่ หากพูดอย่างตรงไปตรงมาก็คือนำหลี่จิ้งและข่านเจี๋ยลี่มาเล่นเกม หากจะบอกว่าเป็นการวางแผนทางทหารก็แลดูจะประเมินสองคนนี้สูงเกินไปแล้ว เพียงแต่ดูทิศทางของแม่น้ำหวงเหอบนแผนที่แล้ว อวิ๋นเยี่ยพบว่าตนเองนั้นห่างจากเมืองฮูฮอต[1]ไม่ไกลเท่าไร
รู้สึกแอบปวดใจอยู่ลึกๆ ตัวเองเคยมีความทรงจำที่ลึกซึ้งที่สุดกับเมืองนี้ ในตอนนี้มันยังเป็นเพียงพื้นหญ้าที่ถูกหิมะปกคลุม ผู้คนบอกว่าทะเลกลายเป็นทุ่งหม่อน แต่เมื่อมาถึงอวิ๋นเยี่ยที่นี่ ทุ่งหม่อนกลับกลายเป็นทะเล ราวกับว่าเป็นการฉายภาพยนตร์ย้อนกลับวันเวลาอย่างต่อเนื่องที่เล่นวนไปวนมาอยู่ในหัวสมองของเขา
ระยะนี้น่ารื่อมู่มีงานอดิเรกเพิ่มขึ้น นั่นก็คือเก็บของต่อไปเรื่อยๆ ตั้งแต่ที่ได้เก็บลูกแกะตัวน้อยมาจากเฉิงฉู่มั่วแล้ว นางก็ไม่เคยหยุดการเดินทางที่โชคดีนี้เลย วันนี้เก็บวัวหนึ่งตัว พรุ่งนี้เก็บม้าหนึ่งตัว จนกระทั่งเจ้าของของสัตว์ที่หายไปมาหาถึงที่ อวิ๋นเยี่ยจึงได้รู้ว่าน่ารื่อมู่ได้เก็บแม้กระทั่งม้าศึกและดาบแสนหวงของจางกงจิ่นอีกด้วย
ใบหน้าของเหอเซ่าบิดเบี้ยวราวกับมะระขี้นก ชี้ไปที่วัวเจ็ดแปดตัวในกระโจมของน่ารื่อมู่ บอกว่าวัวเหล่านั้นเป็นของเขา
อวิ๋นเยี่ยโกรธมาก ผลักเหอเซ่าล้มลงบนพื้นหิมะแล้วต่อยเขาอย่างแรง ใครบอกว่าวัวเหล่านั้นเป็นของเจ้า หากเจ้าเรียกพวกมันจะขานรับหรือไม่ แน่นอนว่าต้องเป็นพวกที่น่ารื่อมู่เก็บมาจากด้านนอกกระโจม เช่นนั้นก็เป็นของนาง แม้ว่านางจะเก็บจากกระโจมของเจ้าเช่นนั้นก็คือของนาง เมื่อครู่ที่เพิ่งถูกจางกงจิ่นตอกจนหน้าหงายอย่างรุนแรง ยังหาที่ระบายไม่ได้ ก็ได้เจอพวกรนหาที่ถึงที่แล้ว
เหอเซ่าโวยวายด้วยความโกรธสุดขีด “ก็ได้ ก็ได้ มันเป็นของนาง ข้ายอมแล้ว ยังไม่พออีกหรือ”
อวิ๋นเยี่ยต่อยเหอเซ่าอยู่ตรงนี้ น่ารื่อมู่มองดูทั้งที่ยิ้มหน้าบาน รอจนอวิ๋นเยี่ยระบายอารมณ์เสร็จแล้ว ยังคล้องแขนออดอ้อนอวิ๋นเยี่ยอย่างมีความสุข ดูเหมือนว่านางจะพอใจกับผู้ชายของนางเป็นอย่างมาก
ท้องอ้วนๆ ของเหอเซ่าหายไปแล้ว ดังนั้นเมื่อต่อยเขาจึงไม่รู้สึกสนุกมือเหมือนเมื่อก่อน ใครบอกให้เขาเป็นนายอำเภออยู่ดีๆ ไม่เอา กลับจะมาเป็นพ่อค้าที่นี่ ไม่รู้หรือว่าพ่อค้าไม่มีฐานะทางสังคมในต้าถัง
เหอเซ่าเป็นห่วงอย่างมากว่าวัวหลายร้อยตัวของเขาจะถูกน่ารื่อมู่เก็บไป จึงย้ายฝูงวัวออกห่างจากกระโจมหลังแล้วปล่อยไว้ด้านนอกประตูค่ายอันแสนไกล ไม่เพียงแต่เขาเท่านั้น แต่ยังมีทหารเสริมอีกหลายคนที่พอจะมีทรัพย์สินเล็กๆ น้อยๆ อยู่ก็ไปกางกระโจมใหม่ถัดจากฝูงวัวด้วย
สองวันนี้ น่ารื่อมู่ผู้หดหู่ไม่มีของดีๆ ให้เก็บเลย จึงไม่พอใจเป็นอย่างมาก จนกระทั่งนางเก็บเด็กชาวเผ่าทูเจวี๋ยอายุสิบเอ็ดสิบสองปีได้สามคน นางจึงกลับมามีรอยยิ้มอีกครั้ง
——
[1] ฮูฮอต หรือ ชื่อจีนกลางว่า ฮูเหอเฮ่าเท่อ เป็นเมืองเอกของเขตปกครองตนเองมองโกเลียใน
ส่วนที่ 4
ตอนที่ 38 หนาวเหน็บถึงขีดสุดจึงเกิดปัญญา
ตอนนี้น่ารื่อมู่ต้องการอาหารมากมายทุกวัน ข้าวที่เต็มหม้อข้าวใบใหญ่ของกองทัพนั้นไม่เพียงพอให้นางกิน โชคดีที่แต่ไหนแต่ไรมากองกำลังของอวิ๋นเยี่ยไม่เคยห้ามคนกินอาหารเยอะ ขอเพียงเจ้าสามารถกินได้ก็จะไม่มีใครใส่ใจเจ้า เพียงแต่ห้ามกินทิ้งกินขว้างเท่านั้นเอง
เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่สะอาดสะอ้านมักจะเป็นที่รักใคร่ของผู้คน พ่อครัวมักจะยืนมองนางถือหม้อขนาดใหญ่จากไปท่ามกลางเสียงเรียก “พี่ชาย” อันแสนหวาน จากนั้นก็ส่ายศีรษะแล้วหุงข้าวใหม่อีกหนึ่งหม้อ ในกองกำลังนี้ก็ไม่ได้ขาดแคลนข้าวหนึ่งหม้อของนาง
ดูเหมือนนางมักจะหิวอยู่เสมอ ทุกครั้งที่ไปหาอวิ๋นเยี่ยก็จะมาทันเวลาตั้งโต๊ะอาหารพอดี ขณะกินอาหารนางไม่เพียงจะเอาแต่กินโดยไม่กล้ามองหน้าใครแล้ว ยังแอบหยิบขนมเปี๊ยะปิ้งใส่ในอกเสื้อนางด้วย ทำให้อวิ๋นเยี่ยเกิดความอยากรู้อยากเห็นว่า เด็กผู้หญิงคนหนึ่งจะกินของได้มากมายเช่นนั้นได้อย่างไรกัน
เมื่อมาถึงกระโจมนาง อวิ๋นเยี่ยก็เข้าใจชัดเจน น่ารื่อมู่หยิบขนมเปี๊ยะออกจากอกเสื้อของนางและหักแบ่งให้กับเด็กๆ ชาวทูเจวี๋ยอีกสิบกว่าคน พวกเขาเห็นอวิ๋นเยี่ยเข้ามา ก็เหมือนฝูงแกะที่ตกใจกลัว ทุกคนวิ่งไปซ่อนตัวอยู่หลังน่ารื่อมู่ในทันใด
หลี่จิ้งกำลังลดการแจกจ่ายเชลยศึก ในสถานการณ์ที่มีหิมะปิดถนนเช่นนี้ ถึงแม้จะไม่ค่อยดีนักแต่ก็เป็นสิ่งที่เข้าใจได้ หากไม่เป็นเพราะได้พบป่าสนเมื่อวานนี้ เกรงว่าทุกคนคงจะไม่มีอาหารร้อนๆ กินกันแล้ว ต้องบอกให้รู้ว่าเมื่อวานนี้ตอนทำอาหาร อวิ๋นเยี่ยสั่งให้รื้อรถลากเลื่อนสองคันแล้วนำไม้มาเป็นฟืน ทุกคนจึงมีอาหารร้อนๆ กิน
ไม่ต้องไปคำนึงถึงสภาพอันน่าเวทนาของค่ายเชลยศึก จากการที่ได้เห็นสภาพทาสชาวฮั่นที่น่าสังเวชซึ่งได้รับการช่วยเหลือกลับมา อวิ๋นเยี่ยก็สามารถจินตนาการได้ว่าหลี่จิ้งจะปฏิบัติต่อเชลยชาวเผ่าทูเจวี๋ยอย่างไร
อวิ๋นเยี่ยดึงตัวน่ารื่อมู่ที่ยังตื่นตระหนกอยู่ออกมาจากกระโจม พานางไปยังที่พักของทาสชาวฮั่น ซุนซือเหมี่ยวกำลังรักษาบาดแผลให้ทาสชาวฮั่นเหล่านั้น
นี่คือนรกบนดิน พวกเขาผอมเหมือนหนังหุ้มกระดูกที่เดินได้ หญิงสาวเหล่านั้นยิ่งน่าสังเวช อวัยวะเพศที่เปื่อยเน่าต้องเผยต่อสายตาสาธารณชน พวกนางดูเหมือนจะไม่รู้สึกอายเลย ปล่อยให้เหล่าทหารเสริมทายาบริเวณแผลของพวกนาง มีแต่กลิ่นเนื้อเน่าลอยตลบอบอวล
ซุนซือเหมี่ยวมองน่ารื่อมู่ด้วยหางตาเย็นชาแล้วหันศีรษะหนี ทำการฝังเข็มที่บริเวณคอเพื่อรักษาคนไข้ที่พยายามจะกินข้าว แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถกลืนลงไปได้
น่ารื่อมู่ยืนดูจนตัวสั่นและหวาดกลัวเป็นอย่างมาก นางรู้ว่าทำไมคนเหล่านี้ถึงได้มีสภาพเช่นตอนนี้ นางกลัวว่าอวิ๋นเยี่ยจะนำความโกรธมาลงที่เด็กเหล่านั้น
อวิ๋นเยี่ยจึงเรียกทหารเสริมที่รู้ภาษาทูเจวี๋ยคนหนึ่งมา แล้วบอกว่า “บอกคำพูดทุกคำของข้าให้นางฟัง” ทหารเสริมพยักหน้ารับคำ
“น่ารื่อมู่ บาดแผลทุกร่องรอยของคนเหล่านี้ที่อยู่เบื้องหน้าเจ้า ต้องให้ชาวเผ่าทูเจวี๋ยสูญสลายจึงจะสามารถชดเชยได้ นิสัยที่โหดร้ายป่าเถื่อนของชาวเผ่าทูเจวี๋ยนั้นเป็นตัวกำหนดให้เกิดการสังหารหมู่ขึ้นและไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ น่ารื่อมู่ เจ้านั้นโชคดี แต่ความโชคดีนี้ข้าหวังว่าจะอยู่กับเจ้าเท่านั้น จะไม่รับเลี้ยงชาวทูเจวี๋ยคนอื่นอีก พวกเขาถูกกำหนดไว้แล้วว่าจะต้องได้รับการลงโทษ ไม่เช่นนั้นจะไม่เป็นธรรมต่อคนเหล่านี้” พูดจบอวิ๋นเยี่ยก็เดินจากไป เขาเคยมาที่นี่สองครั้ง เขาไม่ได้มีจิตใจที่แข็งแกร่งดุจเหล็กกล้าเหมือนซุนซือเหมี่ยว ทุกครั้งที่เห็นก็เกิดความคิดอยากจะฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวทูเจวี๋ยขึ้นมา
ครั้นกลับมาถึงกระโจม น่ารื่อมู่ก็เดินก้มหน้ากลับมา นางหมอบอยู่แทบเท้าของอวิ๋นเยี่ย ไม่รู้ว่าพูดพึมพำอะไรอยู่ในปาก
อวิ๋นเยี่ยโน้มตัวลงมาแล้วลูบผมยาวของน่ารื่อมู่ ได้แต่ถอนหายใจ ความเกลียดชังนั้นฝังลึกเหลือเกิน ไม่มีทางที่จะรอมชอมได้เลย ชาวเผ่าทูเจวี๋ยมักคิดว่าขอเพียงยอมรับผิด ราชวงศ์แห่งที่ราบภาคกลางก็จะให้อภัยในความผิดพลาดของพวกเขา แต่คราวนี้ไม่มีแล้ว เพราะฮ่องเต้แห่งที่ราบภาคกลางคือหลี่ซื่อหมิน เขาเองก็มีสายเลือดของชาวเผ่าหู รู้จักนิสัยของชาวเผ่าหูดีจนเกินไป เขารู้ว่าชาวเผ่าหูหากไม่เคยผ่านพิธีบัพติศมา[1]ด้วยเลือดจะไม่ยอมจำนน มีเพียงผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดเท่านั้นที่ได้รับความเคารพในทุ่งหญ้า
อวิ๋นเยี่ยไม่เคยเปลี่ยนความคิดของเขามาโดยตลอด เขามักจะมองชาวเผ่าหูด้วยมุมมองของคนในยุคปัจจุบัน ฉากโหดร้ายเหล่านั้นอยู่ห่างไกลจากเขามากเหลือเกิน แต่คราวนี้จะได้เห็นด้วยตาของเขาเอง เขาละทิ้งความเมตตาส่วนเกินออกไป ในความเป็นจริงบนทุ่งหญ้านั้นไม่ต้องการความเมตตา
สุดท้ายแล้วอวิ๋นเยี่ยก็ไม่ได้พาเด็กเหล่านั้นกลับไปที่ค่ายเชลย เขายอมรับการกระทำของน่ารื่อมู่โดยปริยาย ไม่สนับสนุนแต่ก็ไม่คัดค้าน ความใจอ่อนนี้เกิดขึ้นกับเด็กๆ เท่านั้น เขาตัดใจทำไม่ลงจริงๆ นี่คือโรคตกค้างที่เขาพามาจากโลกยุคปัจจุบันด้วย
หลี่จิ้งดูเหมือนไม่คิดจะรอต่อไปแล้ว เขาคัดเลือกทหารที่แข็งแกร่งหนึ่งหมื่นนายซึ่งเป็นทหารม้าทั้งสิ้น เขาจะฝ่าหิมะไปยังค่ายของข่านเจี๋ยลี่ จางกงจิ่นอยู่รักษาฐาน เมื่อหลี่จิ้งประสบความสำเร็จ เขาจะนำทัพใหญ่ค่อยๆ เคลื่อนพลเข้าเขาอินซัน
อวิ๋นเยี่ยมอบขนมเปี๊ยะแห้งทั้งหมดในกองกำลังให้กับหลี่จิ้ง ทั้งยังมอบถุงมือหนังแกะที่เย็บอย่างหยาบๆ ให้ทหารหนึ่งหมื่นนายนี้ด้วย ผู้หญิงชาวฮั่นที่ถูกข่มเหงอวิ๋นเยี่ยได้รับไว้ดูแลทั้งหมด ขณะที่ทำการเย็บถุงมือนั้น แม้แต่หญิงที่อ่อนแอที่สุดก็พยายามลุกขึ้นมารีบเย็บอยู่ข้างกองไฟทั้งวันทั้งคืน
เหอเซ่ามอบเนื้อแห้งโดยแบ่งออกเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วนำไปใส่ในถุงผ้าป่านไว้ กุนเชียงก็เป็นของที่เขามอบให้ด้วย ได้รับคำชื่นชมจากหลี่จิ้งเป็นอย่างมาก อวิ๋นเยี่ยใช้หม้อขนาดใหญ่ผัดเส้น คิดจะทำเป็นผัดบะหมี่ เขาไม่เคยทำมาก่อนเพียงแค่เคยได้ยินมา ไม่สนใจแล้ว ขอเพียงผัดสุกก็พอแล้ว อย่างไรเสียที่เหล่าทหารกินกันก็คืออาหารหมูอยู่แล้ว อาหารในกองทัพนั้นรับไม่ได้จริงๆ เหนียวๆ หนืดๆ ทั้งหม้อ เมื่อเทใส่ชามก็ไม่ต่างอะไรกับน้ำมูก ทั้งยังตั้งชื่อเสียน่าฟังว่า “ทังปิ่ง[2]”
ในเมื่อทังปิ่งนี้ยังสามารถกินกันได้ จึงไม่มีเหตุผลว่าผัดบะหมี่นี้จะไม่ถูกปาก อันดับแรกใส่เนยจำนวนมากลงไปรอจนกว่าจะละลาย จากนั้นเทเส้นลงไป ใช้พลั่วผัดเส้นไปมาและสุดท้ายก็เติมเกลือป่น แล้วผัดจนเส้นเริ่มเหลืองจึงค่อยหยุด
หลี่จิ้งรีบใส่น้ำลงไปหนึ่งชามรู้สึกพอใจกับรสชาติมาก ทหารทั้งกองทัพก็เริ่มทำเสบียงสำหรับทหารหนึ่งหมื่นคนเป็นเวลายี่สิบวัน อวิ๋นเยี่ยไม่กล้าที่จะสะเพร่าแม้แต่น้อย สุ่มชิมเนื้อแห้งแม้แต่กุนเชียงก็ไม่ปล่อยผ่าน ไส้กรอกที่ถูกโยนทิ้งไปจำนวนมากทำให้เหอเซ่าเจ็บปวดรวดร้าวยิ่งนัก เพียงเพราะพบขนม้าสองสามเส้น ก็โยนไส้กรอกหลายร้อยกิโลกรัมลงที่พื้นหิมะ บอกว่าเป็นพวกของไม่ได้มาตรฐาน
หลี่จิ้งทนไม่ได้ อาหารที่เขากินบางครั้งก็มีผมและสิ่งอื่นๆ แปลกปลอมอยู่ในนั้น เมื่ออยู่ในช่วงที่ยากลำบาก หนูวิ่งอยู่ในหม้อข้าวก็ไม่ใช่ว่าไม่เคยเจอ เขานึ่งไส้กรอกหม้อใหญ่ที่ถูกอวิ๋นเยี่ยโยนทิ้งและกินด้วยความเอร็ดอร่อย ทั้งยังตะโกนเสียงดังด้วยว่าอร่อยมาก
เห็นได้ชัดว่านี่เป็นการหักหน้ากัน คางของเหอเซ่าแทบจะชี้ขึ้นท้องฟ้าแล้ว ทั้งยังถือไส้กรอกที่โดนหาว่าเสียกินจนน้ำมันไหลเยิ้มเต็มปาก ทำให้ทหารเหล่านั้นน้ำลายไหล เรื่องกฎระเบียบด้านความสะอาดของอาหารเพื่อป้องกันเชื้อโรคไม่เกิดประโยชน์ที่จะนำมาใช้ที่นี่ อวิ๋นเยี่ยจึงได้แต่มองตาปริบๆ ไปหาพวกโง่เขลาที่ฟังไม่รู้เรื่องถือไส้กรอกคนละชิ้นย่างไฟกินกัน
สักวันพวกเขาจะรู้สึกเสียใจ เมื่อถึงเวลาที่ข้าวบูดและน้ำมันเสียที่ใช้ซ้ำๆ เกลื่อนกลาดอยู่เต็มโต๊ะอาหารของพวกเขา อวิ๋นเยี่ยอยากเห็นใบหน้าที่ร้อนรนแต่จนหนทางของพวกเขามาก ตอนนี้วัสดุมีน้อยเหลือเกิน อาจพูดได้ว่าขาดแคลนเสียด้วยซ้ำ อวิ๋นเยี่ยไม่เข้าใจว่าทำไมหลี่ซื่อหมินถึงได้กำหนดราคาของข้าวไว้ที่หนึ่งโต่วราคาสามเหวิน มีเสบียงเยอะจนไม่มีที่ระบายออกเช่นนั้นเชียวหรือ
ทำไมจึงยังมีขอทานอยู่อีกมากมาย คนที่หิวโหยมากมายถึงเพียงนั้น ยุคเจินกวนที่รุ่งโรจน์เป็นเพียงภาพลวงตา ภาพลวงตาที่มีแต่ตระกูลใหญ่ที่อ้วนท้วนกับประชาชนที่ทนทุกข์
อวิ๋นเยี่ยได้ให้เหล่าผู้หญิงที่ออกเรือนแล้วทำแผ่นรองเข่าขึ้นจำนวนหนึ่ง ใช้หนังหมาป่าทำคู่หนึ่งให้หลี่จิ้งเป็นพิเศษ โรคไขข้อในบั้นปลายชีวิตของเขาทำให้เขาต้องนอนอยู่บนเตียงเป็นเวลาสิบปี
สภาพของทุ่งหญ้าหลังจากหิมะหยุดตกสามารถบรรยายได้เลยว่า เมื่อน้ำหยดจะกลายเป็นน้ำแข็งทันที หนาวเย็นเป็นอย่างมาก การกางกระโจมไม่ได้ช่วยให้เกิดประโยชน์อะไรเลย เมื่อลมเหนือพัดมาช่างหนาวเหน็บเข้ากระดูก เริ่มมีคนแข็งตายแล้ว เมื่อนอนตอนกลางคืนตื่นเช้ามาก็กลายเป็นไอศกรีม แม้เป็นเช่นนี้ก็ยังถูกคนอื่นนำไปกอดเพื่อสร้างความอบอุ่น โดยบอกว่าการอยู่เบียดๆ กันจะช่วยให้อบอุ่นขึ้น
อวิ๋นเยี่ยมองหลังมือของเขาที่บวมเหมือนซาลาเปาโดยที่ทำอะไรไม่ได้เลย มือของน่ารื่อมู่เองก็หนาวจนบวมเช่นกัน นางราวกับมองไม่เห็น ยังคงเป็นเหมือนกับนากบกวิ่งหาอาหารทุกซอกทุกมุมในค่ายทหารอย่างวุ่นวาย เพื่อนำมาเลี้ยงอีกสิบปากท้อง
หลี่จิ้งกำลังรอคอยความหนาวเหน็บ ยิ่งหนาวมากเท่าไรเขาก็ยิ่งมีโอกาสประสบความสำเร็จมากขึ้น อวิ๋นเยี่ยไม่เคยประสบกับความหนาวเย็นรุนแรงเช่นนี้มาก่อน ดูเหมือนว่าเขาจะตัวสั่นตลอดทั้งวันตั้งแต่เช้าจรดค่ำ กองไฟลุกโชนใหญ่ขึ้น คนนั่งอยู่ห่างจากกองไฟเพียงสองฉื่อ หน้าอกถูกเผาจนไขมันจะละลายออกมาแล้ว แต่แผ่นหลังยังคงหนาวเหน็บเข้ากระดูก เหมือนคำพูดที่ว่าอยู่ในสภาพครึ่งหนาวครึ่งร้อนช่างน่าหนักใจจริงๆ
เหอเซ่าผิงไฟจนไร้ความรู้สึกไปแล้ว เฉิงฉู่มั่วตั้งใจย้ายมาเพื่อดูแลเขาโดยเฉพาะ ในมุมมองของอวิ๋นเยี่ยมันใช่การดูแลเสียที่ไหน เห็นได้ชัดว่าต้องการมาหาเตาผิง เมื่อเห็นเฉิงฉู่มั่วนอนกอดเหล่าเหอ อวิ๋นเยี่ยก็อยากจะบีบคอเฉิงฉู่มั่วให้ตายเสีย
ในขณะที่นึกไม่ออกว่าจะรักษาความอบอุ่นในร่างกายได้อย่างไร เหล่าเหอจะต้องตายบนทุ่งหญ้าแน่ ครั้นมองดูที่ริมฝีปากที่แห้งแตกของเหล่าเหอ เขาอ้าปากเหมือนกับเด็กอ่อนที่อยากดื่มน้ำอีกสักนิด เพียงแต่ร่างกายที่สั่นเทาไม่หยุดทำให้อวิ๋นเยี่ยไม่ว่าอย่างไรก็กรอกน้ำเข้าปากไม่ได้ น้ำหกราดอยู่ด้านนอกมากกว่าที่เขาดื่มเข้าไปเสียอีก
คนที่เข้มแข็งเพียงไรก็ยังมีขีดจำกัด ในสมัยโบราณที่ขาดวิธีการรักษาความอบอุ่นให้ร่างกาย อุณหภูมิติดลบสามสิบองศาเซลเซียส ทำให้คนจำนวนมากต้องล้มตาย ในประวัติศาสตร์เพียงแต่บันทึกความสำเร็จของหลี่จิ้งเท่านั้น แต่กลับไม่มีบันทึกว่ามีผู้คนบาดเจ็บล้มตายจำนวนเท่าไร ราวกับว่าคนเหล่านั้นคือค่าตอบแทนที่ต้องจ่ายออกไปเพื่อชัยชนะ หมาน้อยเอามือซุกในกางเกงของเขาเพื่อทำให้อุ่นขึ้น เพราะมันเป็นสถานที่ที่อุ่นที่สุดในร่างกายแล้ว หากเป็นเมื่อก่อนจะต้องถูกคนอื่นหัวเราะเยาะแน่ แต่ตอนนี้ไม่มีใครสนุกกับมัน ผิวบนใบหน้าของเขาเปื่อยแตก ถูกความหนาวจนเป็นสีม่วงคล้ำ น้ำมูกแข็งเกาะอยู่บนริมฝีปาก พวกเขารับหน้าที่ในการตัดฟืน หลายวันนี้ไม่ว่าจะตัดมากเท่าไรก็นำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงไม่ทัน
อวิ๋นเยี่ยไม่รู้ว่าชาวเอสกิโมใช้ชีวิตอยู่ในสภาพอากาศที่หนาวจัดเช่นนี้ได้อย่างไร คิดว่าฤดูหนาวของพวกเขาจะต้องหนาวเย็นกว่าตอนนี้มากกระมัง ก่อกระท่อมหิมะหลังเล็กๆ ขึ้นมันมีประสิทธิภาพจริงๆ หรือ ไม่มีทางเลือก อวิ๋นเยี่ยได้แต่นำมาลองทำดู อย่างไรเสียก็ไม่ขาดแคลนหิมะ
เขาจึงเรียกเฉิงฉู่มั่วมา ทั้งสองใช้พลั่วค่อยๆ สร้างกระท่อมน้ำแข็งขึ้น
“เสี่ยวเยี่ย กระท่อมน้ำแข็งนี้จะอบอุ่นจริงๆ หรือ” เฉิงฉู่มั่วหนาวมากจนแม้แต่คำพูดประโยคหนึ่งก็พูดให้สมบูรณ์ไม่ได้
“เมื่อก่อนเคยฟังอาจารย์พูด ข้าก็ไม่เคยเห็นมันมาก่อน ตอนนี้พวกเราต้องอยู่ที่นี่รอให้ผู้บัญชาการใหญ่กลับมา อย่างน้อยก็ต้องอยู่ถึงสิบกว่าวัน ข้าไม่อยากจะแข็งตาย จึงลองทำดู หวังว่าอาจารย์จะไม่ได้หลอกข้า” ริมฝีปากอวิ๋นเยี่ยนั้นมีแต่น้ำแข็งเต็มไปหมด ปากไร้ความรู้สึกตั้งนานแล้ว
“ลูกพี่จะไม่หลอกพวกเราสองพี่น้องแน่ พวกเราเร่งมือเข้า จะได้อบอุ่นขึ้นอีกสักนิด” เฉิงฉู่มั่วดูเหมือนจะมีความมั่นใจในตัวลูกพี่ในตำนานมากกว่าอวิ๋นเยี่ย
หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วยาม ในขณะที่อวิ๋นเยี่ยรู้สึกว่ากำลังจะแข็งตาย ในที่สุดกระท่อมหิมะก็ถูกสร้างเสร็จ โดยสร้างประตูหันหลังให้กับสายลม ไม่รู้ว่ามันเป็นเหตุผลทางจิตวิทยาหรือว่ามีประสิทธิภาพจริงๆ ทั้งสองรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่หายไปนาน
แล้วสาดน้ำในกระท่อมหิมะอีกครั้ง มันกลายเป็นน้ำแข็งในทันที ที่จริงกระท่อมหิมะของอวิ๋นเยี่ยนั้นเรียบง่ายมาก ซึ่งก็คือเอาหิมะไปกองไว้ด้านนอกกระโจมแล้วราดน้ำเพื่อป้องกันลมหนาว เมื่อก่อกองไฟขึ้นใช้เวลาไม่นานทั้งห้องก็เริ่มอุ่นขึ้น เปลวไฟก็ไม่ได้เป็นสีส้มเหมือนข้างนอกอีกต่อไป แต่ปรากฏเป็นสีฟ้าอ่อนที่อบอุ่น
อวิ๋นเยี่ยหามเหล่าเหอเข้าไปในบ้านแล้วห่มผ้าขนสัตว์หนาๆ ให้เขา ในที่สุดเขาก็หยุดสั่นและนอนกรนจนหลับไป
——
[1] พิธีบัพติศมา หรือ ศีลล้างบาป เป็นพิธีศักดิ์สิทธิ์ในศาสนาคริสต์ ทำขึ้นเพื่อรับ “ผู้ที่เพิ่งรับเชื่อ” เข้าเป็นสมาชิกใหม่ของคริสตจักร
[2] ทังปิ่ง คือ ก๋วยเตี๋ยวน้ำของจีนในปัจจุบัน ซึ่งน้ำซุปจะมีลักษณะข้นเหนียวคล้ายราดหน้าของไทย
ส่วนที่ 4
ตอนที่ 39 เหตุผลหลัก
หลี่จิ้งออกเดินทางแล้ว อวิ๋นเยี่ยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาออกเดินทางเมื่อใด หลังจากได้นอนหลับอย่างเต็มที่ในกระท่อมหิมะอันอบอุ่น เขารู้สึกถึงความสดชื่นอย่างไม่เคยมีมาก่อน ยกเว้นความรู้สึกคันที่หลังมือจนแทบบ้า ในฤดูหนาวที่หนาวสุดขั้วเช่นนี้ไม่มีอะไรให้โอดครวญได้จริงๆ เหอเซ่ายังคงนอนอยู่ ร่างกายส่งกลิ่นเหงื่อเหม็นๆ เมื่อคืนเขาเหงื่อไหลออกมาตลอดทั้งคืน อวิ๋นเยี่ยต้องตื่นขึ้นมาหลายครั้ง เพื่อป้อนน้ำที่เติมเกลือและน้ำตาลเล็กน้อยให้เขาดื่ม
อาหารเช้าเป็นผัดบะหมี่ชามใหญ่ หลังจากเทน้ำร้อนลงไปแล้วผสมให้เหนียวหนืด เหอเซ่าก็กินไปสองชาม สามารถกินอาหารได้ก็หมายความว่าการทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกายกำลังฟื้นฟู
ที่จริงเมื่อคืนนี้เหอเซ่าก็ได้สติแล้ว เขารู้ว่าอวิ๋นเยี่ยป้อนน้ำให้เขาและก็รู้ว่าเขาวางผ้าขนหนูชื้นๆ ไว้บนหน้าผากของเขาหลายต่อหลายครั้ง ภายใต้แสงสลัวๆ สองมือของอวิ๋นเยี่ยที่เหมือนกีบเท้าหมู กลับสะท้อนแสงของเปลวไฟ เพื่อลงโทษที่หลายวันก่อนเขาต่อยตนเอง เหอเซ่าจึงตัดสินใจที่จะสลบต่อไป เพียงแต่น้ำตาที่หางตากลับกลับไหลออกมาอย่างหยุดไม่อยู่ ซึ่งทำให้อวิ๋นเยี่ยตกใจคิดว่าน้ำที่ผ้าขนหนูนั้นชุ่มเกินไปจึงบิดอีกสองครั้ง จากนั้นนำมันกลับไปไว้บนหน้าผากของเหอเซ่าอีกครั้ง
อวิ๋นเยี่ยมอบกางเกงขายาวบุผ้าฝ้ายที่นำติดตัวตลอดให้แก่เฉิงฉู่มั่ว ในฐานะที่เขาเป็นกองกำลังที่สองจึงต้องให้การสนับสนุนหลี่จิ้ง จางกงจิ่นมีคำสั่งให้แม่ทัพเหลียงเฉิงนำทหารห้าพันนายรีบมุ่งหน้าไปยังเขาอินซัน ที่นั่นอาจจะมีการเข่นฆ่ากันอย่างเอาเป็นเอาตายแล้วก็เป็นได้ ลากเลื่อนได้นำมาใช้แล้ว ม้าสำหรับขนของก็ได้นำมาใช้แล้ว บนพื้นหิมะนั้นไม่ใช่ว่ารถม้าทั่วไปจะใช้เดินทางได้ จึงเหลือทหารเสริมสิบคนไว้กับอวิ๋นเยี่ยซึ่งยังเป็นทหารที่ชราและอ่อนแอ ค่ายทหารอันใหญ่โตเหลือแต่ความว่างเปล่า
ว่างมากจนไม่มีอะไรทำ อวิ๋นเยี่ยจึงนำหม้อมาหนึ่งใบวางไว้บนเตาและต้มซุปกระดูก ทั้งยังสั่งให้พ่อครัวเฉือนเนื้อแกะเป็นชิ้นบางๆ ตั้งใจไปยังคลังเสบียงเพื่อหากระเทียมดองหนึ่งไห ขิงมีแต่ที่เป็นผงแห้งแต่ก็ดีกว่าไม่มีอะไรเลย จากนั้นก็โยนเครื่องเทศ เช่น ฮัวเจียวและกุ้ยผีที่ทอดแล้ว พริกขี้หนูลงไปในหม้อ จากนั้นตนเองก็ออกจากกระโจมไปหากงซูเจี่ย
เห็นกงซูเจี่ยแกล้งทำเป็นยุ่งวุ่นวาย อวิ๋นเยี่ยก็รู้ว่าต้องแก้ปมในใจของเขาก่อน ไม่เช่นนั้นความรู้สึกละอาย เช่นนี้อาจกลายเป็นความแค้นเข้าสักวันหนึ่ง มนุษย์เป็นสัตว์ประหลาดที่ถูกความคิดครอบงำได้อย่างประหลาด แรกเริ่มอาจจะรู้สึกละอาย รู้สึกผิด เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้าก็จะไม่กล้าเจอกับสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกละอายอีก คนที่ทำให้เขาไม่ทุกข์ใจเมื่อเวลาผ่านไปนานอีกหน่อย ความละอายเหล่านี้จะค่อยๆ เปลี่ยนเป็นไม่พอใจ หากปล่อยให้เวลาเนิ่นนานขึ้นอีก บางทีอาจจะเกิดความคิดที่จะฆ่าคุณทิ้งขึ้น มีเพียงการทำเช่นนี้เท่านั้นที่จะสามารถทำให้เขาปลดเปลื้องความในใจนี้ได้อย่างสิ้นเชิง
หากมีคนพูดขอโทษกับคุณ เช่นนั้นแล้วคุณควรต้องคอยป้องกัน เขาจะไม่แก้ไขแน่นอนและจะกล่าวขอโทษคุณไปตลอด ในเมื่อได้ขอโทษคุณครั้งหนึ่งแล้ว ขอโทษอีกครั้งจะเป็นอะไรไป ทำในสิ่งที่เคยทำย่อมดีกว่าสิ่งที่ไม่เคยชิน!
“เหลาเจี่ย เจ้ามาทางนี้ครู่หนึ่ง หลายวันนี้เจ้าเอาแต่หลบหน้าข้าทำไม ข้าไม่ใช่ตัวเชื้อโรคเสียหน่อย” อวิ๋นเยี่ยตะโกนเรียกกงซูเจี่ยเสียงดัง การสนทนาจะต้องทำอย่างเปิดเผย แสงอาทิตย์มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้ ทั้งยังสามารถใช้การรักษาจิตใจที่มืดมนได้อีกด้วย
“อวิ๋นโหว ทำไมเจ้าไม่พักผ่อน ในวันที่อากาศหนาวเย็นเช่นนี้ หากบาดเจ็บเพราะอากาศหนาวไปจะไม่ดีเอา” นี่คือคำพูดของผู้ที่ละอายใจที่ได้มาตรฐานพูดออกมา เขาเป็นห่วงคุณ ปกป้องคุณหรือแม้กระทั่งเคารพคุณก็ไม่มีปัญหา เพียงแค่ความในใจคงได้แต่พูดกับพระเจ้าเพียงคนเดียว
“เจ้ารู้สึกทรมานหรือไม่ กงซูเจี่ยผู้ภาคภูมิใจในตัวเองเรียนรู้ที่จะก้มศีรษะให้ผู้อื่นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน กงซูเจี่ยเป็นผู้สืบทอดระบบกลไกทางด้านวิศวกรรมโยธาที่ถ่ายทอดมากว่าสองพันปีที่สามารถหัวเราะเย้ยทั้งใต้หล้าได้ แม้ว่าจะอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายที่ยังคงต้องดิ้นรนไม่หยุด แต่ยอดฝีมือก็ควรจะมีเกียรติภูมิของยอดฝีมือ ไม่ว่าจะทำถูกหรือทำผิดก็มีแต่ตนเองเท่านั้นที่วิพากวิจารณ์ได้ ความคิดเห็นของคนอื่นเป็นเพียงหมอกควันที่ลอยมาผ่านเดี๋ยวก็ผ่านไปเท่านั้น สองวันก่อนนายยังโต้เถียงกับฉันเกี่ยวกับสถานะของตระกูลกงซู ต้องการมีส่วนครอบครองทรัพยากรของสำนักศึกษาให้มากขึ้นอยู่เลย ความมั่นใจเช่นนั้นไปไหนหมดแล้ว ข้าทุ่มเทแรงกายแรงใจเชิญตระกูลเจ้าให้ลงจากเขา ไม่ใช่เพื่อสอบถามเกี่ยวกับความลับที่สืบทอดกันในตระกูลของคุณ นี่เป็นความรู้ของตระกูลกงซูของคุณ เป็นทักษะที่จำเป็นอย่างเร่งด่วนสำหรับสำนักศึกษาของฉัน คุณกับฉันมีการแลกเปลี่ยนที่ยุติธรรม เปิดเผยชัดเจน คุณไม่จำเป็นต้องรู้สึกเป็นหนี้ฉัน หลายวันนี้ยังคงหลบหน้าฉันอีก นายนี่น่ารำคาญรู้ไหม
กงซูเจี่ยตื่นตระหนกด้วยความหวาดกลัวจ้องมองอวิ๋นเยี่ยอยู่เป็นเวลานาน “เจ้ามองออกแล้วหรือ”
“เจ้าเป็นบุคคลที่มีความรู้ ทั้งยังไม่ใช่พวกเขี้ยวลากดินในเมืองฉางอันที่เป็นพวกปากปราศรัยน้ำใจเชือดคอ ความคิดทั้งหมดของเจ้าได้เขียนไว้บนใบหน้าหมดแล้ว ไม่มีความสามารถดังเช่นเฒ่าสารพัดพิษพวกนั้น ก็ไม่ต้องวางมาดเคร่งขรึม ดูแล้วน่าสะอิดสะเอียน เป็นกงซูเจี่ยที่ภาคภูมิใจในตัวเองของเจ้าต่อไปไม่ดีกว่าหรือ หากข้าไม่เต็มใจจะพูดก็คือไม่บอกเจ้า แน่จริงเจ้าก็มาเอาเรื่องข้าสิ ความคิดเช่นนี้สิจึงเป็นสิ่งที่เจ้าควรมีและควรต้องมีด้วย หากตระกูลกงซูละทิ้งความภาคภูมิใจที่มีมานับพันปี ยังจะเหลืออะไรอีก เมื่อไปถึงฉางอันหากวางตนให้มีท่าทีของผู้รู้ ยิ่งเจ้าหยิ่งในศักดิ์ศรีมากเท่าไรก็ยิ่งได้รับความเคารพมากขึ้นเท่านั้น ในทางตรงกันข้ามยิ่งเจ้าอ่อนแอมากเท่าไรก็ยิ่งโดนรังแกมากเท่านั้น ทั่วทั้งฉางอันมีแต่พวกคนเลวซึ่งกลัวคนที่เข้มแข็งแต่รังแกคนที่อ่อนแออยู่เต็มไปหมด หากเจ้ายังเป็นสภาพจิตใจเช่นตอนนี้ทั้งยังคิดจะเข้าไปข้องเกี่ยวกับราชการ ช้าเร็วก็จะกลายเป็นอาหารของคนอื่น อยู่ในสำนักศึกษาอย่างสงบเสงี่ยมยังจะดีเสียกว่า”
การคุยกับคนประเภทกงซูเจี่ยจะต้องทุบประเด็นให้แตกและบดให้ละเอียดแล้วจึงพูดให้เขาฟัง พวกเขาปิดกั้นตัวเองนานเกินไปแล้ว ไม่มีประสบการณ์ในการไปมาหาสู่กับชนชั้นสูงและผู้ร่ำรวย ในฐานะที่เป็นเพื่อนกันจำเป็นต้องพูดให้เขาเข้าใจ
“ข้าจะไม่มีทางบอกเจ้าว่าจะมีตระกูลใหญ่ที่น่าหวาดกลัวมาหาเรื่องเจ้าและก็จะไม่บอกเจ้าว่าตระกูลที่อยู่ยาวนานพันปีก็มีวิธีการชั่วร้ายที่ไม่เปิดเผยให้ใครรู้เช่นกัน และก็จะไม่บอกเจ้าว่าบรรพชนเราได้ร่วมสาบานอะไรไว้ หากแน่จริงเจ้าก็มาหาเรื่องกับข้าสิ”
ใบหน้าที่โกรธจัดของกงซูเจี่ยภายใต้แสงอาทิตย์นั้นดูน่าหวาดกลัวมาก เส้นเลือดที่คอก็ปูดขึ้นมาให้เห็น
“ดีมาก เหล่าเจี่ย เจ้าเป็นเช่นนี้ถูกต้องแล้ว ข้ายังค่อนข้างกลัวอยู่ ชนชั้นสูงของฉางอันนั้นก็คนพฤติกรรมเช่นข้า กลัวคนแข็งแกร่งรังแกคนอ่อนแอก็หมายถึงตัวข้าเอง เจ้าดูสิ ตอนนี้เจ้าเอาชนะเกียรติของข้าได้แล้ว ดังนั้นจึงตั้งใจจะเลี้ยงท่านกินเนื้อแกะจุ่ม ประจบสอพลอเจ้าสักหน่อย นักเรียนในสำนักศึกษายังคงต้องพึ่งพาอาจารย์ที่มีชื่อเสียงอย่างเจ้ามาสอน เลิกคิดถึงเรื่องเหลวไหลไร้สาระน่าวุ่นวายเหล่านั้น เยี่ยถัวกินยานั่นจนมีชีวิตได้อีกไม่ถึงสองเดือน การที่ตระกูลที่น่าหวาดกลัวเช่นนั้นไปทางเหนือยากที่จะมีชีวิตรอดกลับมา แม้ว่าพวกเขาจะกลับมา เราก็อยู่ในฉางอันแล้ว เขาไม่ได้รับแรงสนับสนุนจากทุ่งหญ้า ก่อความวุ่นวายใดๆ ไม่ได้หรอก หากกล้ามาข้าจะทำให้พวกเขาตายทั้งเป็น ตอนนี้พวกเราไปกินเนื้อแกะจุ่มจึงจะเป็นเรื่องสำคัญ”
กงซูเจี่ยอาศัยความโกรธพูดในสิ่งที่เขาสามารถพูดได้และถือโอกาสอธิบายเหตุผลที่เขาไม่สามารถพูดได้มากกว่านี้โดยทางอ้อม เพียงเท่านี้ก็พอแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้ทุกคนยอมเปิดอกพูดตรงไปตรงมากับคุณ อวิ๋นเยี่ยก็รู้ว่าตนเองไม่ใช่พระเจ้าและก็ไม่ได้อยากจะแสดงความบ้าอำนาจอะไร มีใครบ้างที่ไม่มีความลับในใจ เรื่องที่เขาข้ามผ่านมิติกาลเวลามาจำเป็นต้องบอกทุกคนด้วยหรือ คนอย่างอวิ๋นเยี่ยมีจุดเด่นอยู่อย่างหนึ่งคือเขามักจะประเมินสถานการณ์เสมอ เขาคิดว่าตนเองได้รับมามากเท่าไรก็ขึ้นอยู่กับว่าเขาจ่ายค่าตอบแทนออกไปเท่าไร สำหรับรางวัลจากชื่อเสียงในการวางตัวนั้นคิดแยกต่างหาก
อวิ๋นเยี่ยกลับมาที่กระท่อมหิมะพร้อมกับกงซูเจี่ย เปิดม่านหนาๆ ขึ้น ก็เห็นเหอเซ่ากำลังนั่งจุ่มเนื้อแกะอยู่ข้างเตา ซุนซือเหมี่ยวนั่งอยู่ตรงข้าม ตอนนี้เขาก็กินเนื้อด้วยหรือ ทั้งยังกินจุ่มเนื้อกินอย่างมีความสุข น่ารื่อมู่ที่อยู่ด้านข้างใช้ตะเกียบไม่เป็นจึงคีบอะไรไม่ได้เลย กำลังออดอ้อนซุนซือเหมี่ยวอยู่หวังว่าเขาจะดูแลนางหน่อย ใครจะรู้ว่าเหล่าซุนไม่สนใจนาง นางจึงได้แต่ยืนน้ำลายไหลอยู่ตรงนั้น
เมื่อเห็นอวิ๋นเยี่ยเข้ามานางก็รีบส่งชามใบใหญ่ของตัวเองให้อวิ๋นเยี่ยทันที ชี้ไปที่หม้อและพูดภาษาต่างถิ่นไม่หยุด
อวิ๋นเยี่ยเตะเหล่าเหอไปอยู่ข้างๆ ใครให้เขาเป็นมนุษย์ที่ด้อยค่าที่สุดในตอนนี้ ตื่นมาตอนเช้ายังต้องรอให้อวิ๋นเยี่ยปรนนิบัติจึงจะกินของหนืดๆ นั่นได้ ตอนนี้เลิกหมดอาลัยตายอยากลุกขึ้นกินเนื้อแกะได้ เห็นชัดว่าจงใจแกล้งตนเองชัดๆ อวิ๋นเยี่ยรู้ว่าหมอนี่กำลังแก้แค้นเขาอยู่
“ไสหัวไป อาการป่วยยังไม่หายดี จะกินเนื้อแกะจุ่มอะไร ไม่กลัวกินแล้วตายเลยนะ”
“เจ้าวางอำนาจเกินไปแล้ว หมอเทวดาซุนยังบอกเลยว่าเนื้อแกะนั้นเหมาะที่สุดสำหรับคนที่เพิ่งหายจากอาการป่วยหนักเช่นข้า มันมีผลในการบำรุงร่างกาย เครื่องเทศที่มีรสเผ็ดในน้ำซุปสามารถขับไล่ความเย็นในร่างกายข้าได้ เป็นประโยชน์ต่อข้าอย่างมาก หากข้ากินแล้วตายก็จะไม่กล่าวโทษเจ้า” พูดจบก็เดินมาที่หม้ออีกครั้ง
กงซูเจี่ยหาตะเกียบและชามด้วยตัวเอง ทักทายกับซุนซือเหมี่ยวเล็กน้อยแล้วจุ่มตะเกียบลงในหม้อ อวิ๋นเยี่ยรีบตักชามหนึ่งให้น่ารื่อมู่ มิฉะนั้นเขาจะต้องจมกองน้ำลายตาย เห็นนางนั่งสูดลมหายใจเพราะความเผ็ดแต่ใบหน้าแลดูมีความสุข อวิ๋นเยี่ยจึงล้มเลิกความคิดที่จะสอนนางใช้ตะเกียบ
“หม้อนี้ดีไม่เลว เป็นสิ่งที่ดีที่สุดในการขับเหงื่อ หากข้าเพิ่มสมุนไพรสักสองสามอย่างลงไป ก็จะมีสรรพคุณในการเสริมสร้างบำรุงร่างกาย ตอนนี้กองทัพอีกไม่นานก็จะเคลื่อนพลกลับ คิดว่าจะต้องเกิดการบาดเจ็บล้มตายอีกมากแน่ พวกเราต้องรีบเตรียมของเหล่านี้ให้มากขึ้น ถึงตอนนั้นอย่าปล่อยให้เหล่าทหารต้องลำบากอีก” เมื่อเหล่าซุนโยนตะเกียบลงก็พูดกับอวิ๋นเยี่ย
“เรื่องนี้ผู้เยาว์ย่อมต้องทำตามอย่างแน่นอน เพียงแต่ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ท่านเริ่มกินเนื้อสัตว์ ผู้ถือศีลต้องละเว้นเนื้อสัตว์ ข้อนี้ข้ารู้ดี แต่ว่าท่านกินเจมาโดยตลอด วันนี้เมื่อเห็นท่านกินเนื้อข้าจึงค่อนข้างแปลกใจ” ปกติเหล่าซุนไม่กินเนื้อ เขาบอกว่าหากต้องการมีสุขภาพที่ดีในระยะยาว ก็ควรกินพวกเนื้อสัตว์ให้น้อยลง เขาคิดว่าเนื้อสัตว์เหล่านั้นมักจะมีสารพิษเจือปนอยู่เล็กน้อย
“ใครบอกว่าข้ากินเนื้อสัตว์ เมื่อครู่ข้ากำลังลิ้มรสยาสมุนไพรและแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับประสิทธิผลของพวกมันเท่านั้นเอง”
อวิ๋นเยี่ยมองไปที่ชิ้นเนื้อที่ลอยเดือดอยู่ในหม้อ แล้วมองไปยังริมฝีปากที่มันเยิ้มของเหล่าซุน คิดไม่ออกจริงๆว่าเนื้อแกะกับสมุนไพรเกี่ยวข้องกันอย่างไร
“เหลาเจี่ย ตั้งใจเรียนให้ดี นี่คือท่วงท่าของผู้รู้ ต่อลงไปเจ้าต้องคลุกคลีอยู่ในฉางอันก็ควรจะมีท่าทีเช่นเดียวกับนักพรตซุน คำพูดที่ท่านพูดออกมานั้นมักจะมีเหตุผลอยู่เสมอ อายุเจ้าใกล้เคียงกับนักพรตซุน แต่ประสบการณ์นั้นแม้ควบม้าก็ตามไม่ทัน”
กงซูเจี่ยที่กำลังหมกมุ่นอยู่กับการกินเนื้อได้ยกนิ้วหัวแม่มือให้ แสดงความชื่นชม ดูเหมือนว่าเขาและอวิ๋นเยี่ยจะมีมุมมองที่คล้ายกัน
เหล่าซุนส่งเสียง “ฮึ” แล้วก็สะบัดแขนเสื้อเดินจากไป ด้วยสีหน้าท่าทีที่สบประมาท เมื่อเขาเดินมาถึงปากกระโจมก็หันหลังกลับอย่างกะทันหันและพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “การบาดเจ็บล้มตายบนโลกนี้เกิดขึ้นอย่างง่ายดาย ชีวิตคนเป็นสิ่งที่มีค่าน้อยที่สุด แม้พวกเรามีสามเศียรหกกรก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้ หลายวันก่อนข้าตาบอดด้วยความโกรธ เจ้าอย่าได้รับอิทธิพลไปจากข้า อยากทำอะไรก็รีบทำมันเสีย รักษาสภาพจิตใจของเจ้าไว้อย่าให้ปีศาจภายนอกมารุกรานได้”
“ข้าจะไม่ถูกรุกรานแน่ ข้ายังคงเป็นข้า แต่ใครก็ตามที่เป็นคนก่อกรรมไว้คนคนนั้นก็ต้องเป็นผู้ชดใช้ พวกเราอภัยให้กับความผิดบาป นั่นจะเป็นอันตรายร้ายแรงที่สุดในการให้อภัย การมีจิตใจดีก็ต้องแบ่งแยกฝ่ายตรงข้ามด้วย ศาสนาพุทธมีคำกล่าวว่าเมื่อวางดาบลงย่อมสำเร็จอรหันต์ ในความคิดของข้าถือเป็นเรื่องไร้สาระอย่างแท้จริง การถือดาบฆ่าคนแล้ววางดาบและสวดมนต์ คนเช่นนี้ต่างหากที่ควรโดนแล่เนื้อเฉือนหนัง พวกโจรเสพสุขกับการปล้นสะดมทรัพย์ที่ได้มา เช่นนั้นก็ควรตระหนักถึงค่าตอบแทนที่ต้องจ่ายออกไปบ้าง ตอนนี้เป็นเวลาที่พวกเขาต้องชดใช้หนี้ ห้ามใจอ่อน ทุ่งหญ้าก็มีกฎเกณฑ์ของทุ่งหญ้า เหล็กและเลือดจึงจะสามารถทำให้พวกเขายอมศิโรราบ ข้าไม่รังเกียจที่จะปลอบใจพวกเขาหลังจากแก้แค้นแล้ว แต่ทว่าจะต้องเป็นเรื่องหลังจากที่ชดใช้หนี้จบสิ้นแล้ว แต่ถ้าหากยังคงมีสันดานเดิม บางทีการสังหารอาจจะเป็นวิธีที่ดีวิธีหนึ่ง”
สุดท้ายแล้วเหล่าซุนก็เป็นผู้ถือศีลคนหนึ่ง หลังจากความโกรธหมดไปก็เกิดความเห็นอกเห็นใจ นี่คือธรรมชาติของความเมตตากรุณาและความสูงส่งของเขา เขาพยายามฝืนเก็บความโกรธไว้ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องแสดงแง่มุมที่มีค่าที่สุดที่เป็นธรรมชาติของมนุษย์ออกมา
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น