เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วน 4 ตอน 33-34
ส่วนที่ 4
ตอนที่ 33 ตงฟางซั่ว
เพิ่งจะได้ก้าวพ้นสนามรบที่วุ่นวาย ก็ต้องเผชิญหน้ากับทหารหน่วยตรวจสอบต้าถังสิบหกคน เมื่อเห็นอักษรถังบนธงใหญ่ที่โบกสะบัด ทหารม้าสิบหกคนหยุดพักอยู่บนยอดเนินหม่าปัว หนึ่งในนั้นขี่ม้าลงมาจากเนินเขามาหยุดอยู่ด้านหน้าของกองกำลัง จึงตะโกนถามเสียงดังถึงฐานะและจุดประสงค์ที่มา แววตาเต็มไปด้วยความระแวดระวัง วางมือไว้บนด้ามดาบราวกับพร้อมจะชักออกจากฝักเพื่อทำศึกได้ทุกเวลา
เหล่าจวงยืนอยู่ข้างหน้าม้า ปลายจมูกจะชี้ขึ้นฟ้าแล้ว ขุนนางของกองทัพอู่เว่ยฝ่ายซ้ายแต่ไหนแต่ไรมาก็ดูถูกพวกไม่ได้ความของกองทัพอู่เว่ยฝ่ายขวาอยู่แล้ว รังเกียจว่าบนตัวพวกเขามีกลิ่นอายแห่งความเป็นหญิงอยู่ ทุกครั้งที่ฝึกซ้อมด้วยกัน ก็จะพ่ายแพ้ให้กับกองทัพอู่เว่ยฝ่ายซ้าย ทั้งยังไม่ยอมรับความพ่ายแพ้อีก มีพฤติกรรมที่เล่นลูกไม้อย่างหน้าด้านๆ นี่เป็นเพราะอยู่ที่ชายแดน ถ้าพบกันที่ฉางอันก็อาจจะเกิดการตะลุมบอนกันขึ้นอีก
ไม่ต้องมองแล้ว เป็นคนรู้จักมักคุ้น เหล่าจวงรู้จักพวกเขา พวกเขาก็รู้จักเหล่าจวง ทะเลาะกันก็หลายครั้งแล้ว เมื่อครู่เหล่าจวงเพียงแค่รังเกียจว่าพวกเขาทำตัวให้เรื่องมากขึ้นโดยไม่จำเป็น ใบหน้าของเขาคนนี้ก็เป็นหลักฐานที่ยังมีชีวิตอยู่จากการฝ่าศึกสงคราม ยังจะต้องการหนังสือคำสั่งอะไรอีก คิดไม่ถึงว่าทหารม้าคนนั้นจะไม่ไว้หน้า ยังคงปั้นสีหน้าใส่ต้องการให้เหล่าจวงนำหนังสือคำสั่งทางทหารออกมา จึงจะยอมปล่อยพวกเขาเดินทางต่อไป
เหล่าจวงที่แต่ไรมาไม่เคยหยาบคายโกรธจนหน้าดำหน้าแดง พูดกับทหารม้าว่า “เหล่าสิง พวกเราถือได้ว่ามีมิตรภาพเพราะการต่อสู้กัน แต่ตอนนี้ยังไม่ทันถึงค่ายใหญ่ หนังสือคำสั่งจะถูกส่งมอบให้กับผู้บัญชาการใหญ่อย่างแน่นอน เจ้าประเมินตัวเองหน่อยจะดีกว่า ว่ามีคุณสมบัติพอที่จะอ่านหรือไม่ ให้ตายสิ จะว่าไปเจ้าอ่านหนังสือออกตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ทำไมข้าจึงไม่รู้”
เหล่าสิงก็หน้าแดงขึ้นในทันใด ตะคอกใส่เหล่าจวงว่า “จวงซันถิง ให้ตายสิ ตอนนี้เจ้าไม่ใช่คนของกองทัพอู่เว่ยฝ่ายซ้ายแล้ว แค่ติดตามเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมคนหนึ่ง ก็กล้ามาวางอำนาจบาตรใหญ่ในถิ่นของข้ากองทัพอู่เว่ยฝ่ายขวาแล้วหรือ”
ทันทีที่เสียงหยุดลง ขาของม้าใหญ่ตัวหนึ่งก็กระแทกเข้าที่ใบหน้าของทหารม้า ถีบจนเขาตกลงมาจากหลังม้า เฉิงฉู่มั่วกระโดดจากรถลากเลื่อนแล้วปรบมือ จวงซันถิงกดทหารม้าลงแล้วกระหน่ำต่อยตั้งนานแล้ว ทหารม้าที่อยู่บนเนินเขาส่งเสียงร้องแล้วมุ่งหน้าลงมา เหล่าทหารเสริมก็หยิบอาวุธออกมา ทั้งสองฝ่ายจึงปะทะกันขึ้น
“ใครคือผู้นำของกองทัพอู่เว่ยฝ่ายขวา” อวิ๋นเยี่ยตะโกนห้ามการลงมือของทหารเสริม เงยหน้าขึ้นถามผู้ที่เป็นหัวหน้ากอง
เมื่อหัวหน้ากองเห็นป้ายคาดเอวของอวิ๋นเยี่ยที่แขวนไว้ที่เอว ดูจากลวดลายด้านบนแล้วก็รู้ว่าท่านนี้เป็นแม่ทัพใหญ่คนหนึ่ง จึงรีบกระโดดจากม้าอย่างรวดเร็ว ประสานมือทำการกล่าวคารวะว่า “เรียนท่านแม่ทัพ ตอนนี้กองทัพอู่เว่ยฝ่ายขวาขึ้นตรงกับผู้บัญชาการใหญ่เซียงเต้า”
“เจ้าไปบอกผู้บัญชาการใหญ่ว่าหลานเถียนโหวอวิ๋นเยี่ยรับคำสั่งจากท่านผู้บัญชาการใหญ่ให้มาช่วยกองทัพหน้า ขออนุญาตกลับค่าย” หลังจากพูดจบก็กลับขึ้นไปนอนต่อบนรถลากเลื่อน
หัวหน้ากองหน้าซีดเป็นไก่ต้ม เหล่าสิงที่เพิ่งลุกขึ้นมาหน้าซีดยิ่งกว่า นิสัยเหล่าทหารมักจะป่าเถื่อนจนเคยชิน ไม่กล้าพูดเรื่องเหลวไหลไร้สาระกับหัวหน้า แต่ไม่เคยเคารพต่อเหล่าโหวเหยีย กงเหยียที่อยู่ห่างจากพวกเขาราวฟ้ากับเหวแม้แต่น้อย เมื่ออารมณ์ขึ้นก็พูดอะไรเหลวไหลไม่ยั้งคิด คำหยาบโลนต่างๆ ก็พูดกันจนเคยชิน ไม่สามารถแก้ไขได้ในเวลาอันสั้น หากไม่ได้ยินก็ย่อมไม่เป็นไร แต่หากให้ผู้บังคับบัญชาได้ยินเข้าอย่างชัดแจ้งก็ถือเป็นเรื่องใหญ่
อวิ๋นเยี่ยนั้นไม่ได้ใส่ใจเลย เฉิงฉู่มั่วก็เพียงแค่ฝากขาม้าเอาไว้ข้างหนึ่ง คำพูดที่ไม่น่าฟังมากกว่านี้พวกเขาก็เคยได้ยินมาแล้ว พวกเขาจึงไม่ถือสากับพวกทหารตัวกระจ้อยอย่างแน่นอน หนิวจิ้นต๋าถูกเรียกอย่างน่าเกลียดกว่านี้ก็ไม่เห็นว่าเขาจะทำอะไรพวกทหารตัวกระจ้อยแต่อย่างใด
“โหวเหยีย เมื่อครู่สิงต้าหนิวล่วงเกินโหวเหยียโดยไม่ได้ตั้งใจ หวังว่าโหวเหยียจะเมตตา” หัวหน้ากองคุกเข่าข้างหนึ่งร้องขอความเมตตาแทนพี่น้องของเขา
เฉิงฉู่มั่วหัวเราะฮ่าๆ แล้วกลับไปนอนต่อบนรถลากเลื่อน ไม่สนใจพวกทหารเหล่านี้ จะฆ่าหรือลงโทษก็ปล่อยให้อวิ๋นเยี่ยไปตัดสินใจเอง
“วันหนึ่งๆ เอาแต่อยู่ในค่ายไม่ยอมฝึกฝีมือ ให้ตายสิ เอาแต่ฝึกฝีปาก ปากพล่อยๆ ที่ไม่มีอะไรจะกักเก็บไว้ได้ ไม่ว่าอะไรก็โพล่งออกมาจนหมด โชคดีที่ข้าเองก็เป็นคนที่อยู่ในกองทัพ มิฉะนั้นมีหรือที่เจ้าคนปากเสียคนนี้จะยังมีชีวิตอยู่ ตบปากสิบครั้ง แรงๆ จะได้จำเอาไว้”
หัวหน้ากองดีใจมาก หมุนข้อศอกเป็นวงแล้วจึงฝากฝ่ามือไว้บนหน้าเหล่าสิง หลังจากตบปากเสร็จ หน้าของเหล่าสิงก็ดูไม่ได้แล้ว ยังวิ่งไปเก็บขาม้ามาวางไว้บนรถลากเลื่อนก่อน จึงจะควบม้ากลับไปที่ค่ายได้
หลี่จิ้งถือหนังสือคำสั่งโยกย้ายของอวิ๋นเยี่ยไว้ในมือ พลิกซ้ายพลิกขวา ไม่ว่าอย่างไรเขาก็นึกไม่ออกเลยว่าตัวเองเคยออกหนังสือคำสั่งนี้ด้วยหรือ จำได้เพียงแค่ว่าเขาไล่ให้อวิ๋นเยี่ยกลับฉางอัน ให้เขามาช่วยรบที่แนวหน้าตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
ทหารฝ่ายบันทึกเหตุการณ์ในกองทัพได้นำเอกสารที่เก็บไว้ออกมาเทียบทีละม้วน ในที่สุดก็พบบันทึกต้นฉบับดังกล่าวข้างต้นระบุไว้อย่างชัดเจนว่าผู้บัญชาการใหญ่ได้ให้อวิ๋นเยี่ยเดินทางกลับฉางอัน ไม่ได้ให้มาช่วยทำศึกที่แนวหน้าอย่างแน่นอน หนังสือคำสั่งฉบับนี้เป็นของปลอม
หลี่จิ้งตกใจมาก หนังสือปลอมฉบับนี้ปลอมแปลงได้แนบเนียนหาที่ติไม่ได้ เป็นลายมือของเขาไม่มีผิดเพี้ยน ตราประทับของผู้บัญชาการสูงสุดลอกเลียนได้อย่างแนบเนียน เขารู้ว่าลายมือและตราประทับนั้นเป็นของจริง เพียงแต่นี่เป็นการเปลี่ยนลำดับของตัวอักษร เพิ่มอักษรอีกสองสามตัวและการตัดตัวอักษรทิ้งไปอีกหลายตัวเท่านั้นเอง
ในคืนก่อนที่จะเปิดศึก เกิดเรื่องประหลาดเช่นนี้ขึ้น หลี่จิ้งเป็นกังวลอย่างมาก เขาจึงรีบส่งหน่วยส่งสารไปตรวจสอบว่าหนังสือคำสั่งทุกฉบับที่แจกจ่ายให้กับแม่ทัพแต่ละคนได้ถูกแก้ไขหรือไม่ ในช่วงสามวันแม่ทัพแต่ละสถานที่ตอบกลับมาว่าคำสั่งถูกต้องไม่มีปัญหาใดๆ หลี่จิ้งจึงค่อยได้คลายกังวลลง พิจารณาถึงปัญหาใหญ่เกี่ยวกับวิธีการส่งเอกสารทางทหารว่าจะส่งออกไปให้ปลอดภัยและแม่นยำได้อย่างไร เขารู้ดีว่าผู้ส่งสารที่ส่งจดหมายไปซั่วฟางอาจเสียชีวิตไปนานแล้ว มิฉะนั้นจะไม่เกิดเรื่องแปลกประหลาดเช่นนี้แน่ คำถามคือศัตรูเป็นใคร
อวิ๋นเยี่ยไม่ได้บอกหลี่จิ้งถึงแหล่งที่มาของหนังสือคำสั่งนี้ สวี่จิ้งจงจึงยิ่งไม่มีเวลาว่างมาทำเช่นนี้ แม้ว่าซุนซือเหมี่ยวอยากจะบอกแต่กลับถูกอวิ๋นเยี่ยห้ามไว้ เขาบอกวิธีใหม่ในการถ่ายทอดความลับ ซึ่งก็ทำให้สวี่จิ้งจงและซุนซือเหมี่ยวตกตะลึงจนพูดอะไรไม่ออกอีกครั้ง
หลี่จิ้งกำลังวิเคราะห์ว่าจะเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้ส่งสารได้อย่างไร การส่งองครักษ์จำนวนมากในคราวเดียวนั้นใช้ไม่ได้ ด้วยระยะทางที่ห่างไกล คนสิบคนกับคนร้อยคนนั้นแทบไม่แตกต่างอะไรกันเลย สารลับ จดหมายลับนั้นง่ายเกินไป ไม่สามารถส่งข้อความที่ซับซ้อนได้ อย่างนี้ก็ไม่ได้ อย่างนั้นก็ไม่ดี หลี่จิ้งพบว่าเขาไม่มีทางออกสำหรับเหตุการณ์เช่นนี้ เรื่องนี้จะต้องทำการแก้ไขโดยด่วน หากคำสั่งของผู้บังคับบัญชาขัดแย้งกับความเห็นของเหล่าแม่ทัพ พวกเขาก็จะสงสัยความถูกต้องของจดหมายนี้ และถ้าหากในกองทัพเกิดความหวาดระแวงขึ้น ยังจะทำศึกอะไรกันอีก ถึงตอนนี้ใครกันแน่ที่เป็นคนปลอมแปลงหนังสือคำสั่ง จนบัดนี้ก็ยังสืบให้รู้แจ้งไม่ได้ บัดนี้ทหารหนึ่งแสนนายของข่านเจี๋ยลี่ได้ตั้งค่ายอยู่เบื้องหน้า หากในกองทัพยังเกิดความวุ่นวายขึ้นอีก เขาแทบจะไม่กล้าจินตนาการเลยว่าจะเป็นภาพที่น่าหวาดกลัวเพียงไหน
ซุนซือเหมี่ยวมาขอเยี่ยมพบ พวกเขาเดิมก็เป็นสหายเก่าที่รู้จักกันมานานหลายปี เขาทนไม่ได้จริงๆ ที่จะให้หลี่จิ้งทุกข์ทรมาน ดังนั้นจึงมาพบเพื่อช่วยเขาแก้ปัญหา
“เหตุใดพี่ชายของข้าจึงได้เป็นทุกข์เช่นนี้” เมื่อเห็นหน้าสหายเก่าสีหน้าอ่อนล้า ซุนซือเหมี่ยวก็ทอดถอนใจรู้ทั้งรู้แต่ก็ยังจะถาม
“เป็นเรื่องเล็กน้อยในกองทัพ ข้าเป็นผู้บัญชาการใหญ่ ตอนนี้อยู่ในภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก จะถวายรายงานต่อเบื้องบนก็ไม่ได้ จะตัดศีรษะข่านเจี๋ยลี่เพื่อปลอบใจประชาเบื้องล่างก็ไม่ได้ ช่างน่าละอายยิ่งนัก” เห็นสหายเก่าเอ่ยถามหลี่จิ้งก็ไม่ได้ปิดบังแต่อย่างใด บอกกับซุนซือเหมี่ยวว่าตอนนี้ตนนั้นกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เพียงแต่ไม่ได้บอกว่าเพราะเหตุใดจึงลำบากใจ
“ที่จริงแล้วเหตุใดท่านผู้บัญชาการจึงได้วิตกกังวลข้าก็พอจะรู้อยู่บ้าง แม้ว่าข้าจะไม่สามารถช่วยแบ่งเบาแก้ปัญหาให้เจ้าได้ แต่ข้ารู้ว่าใครสามารถช่วยผู้บัญชาการแก้ปัญหาได้” ซุนซือเหมี่ยวกล่าวพลางหัวเราะฮ่าๆ ลูบเครายาวๆ ด้วยท่าทีของผู้สูงส่ง
หลี่จิงกระโดดยืนขึ้นและประสานมือคารวะ “หากท่านนักพรตสามารถแก้ไขความทุกข์ในใจข้าได้ หลี่จิ้งรู้สึกซาบซึ้งอย่างที่สุด เพียงแต่นี่เป็นเรื่องสำคัญมาก ไม่ทราบว่าบุคคลที่นักพรตจะแนะนำนั้นมีความน่าเชื่อมั่นเพียงใด” การได้รับคำตอบอย่างชัดแจ้งจากซุนซือเหมี่ยวเป็นสิ่งที่หลี่จิ้งจำเป็นต้องทำ เพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องถึงความปลอดภัยของกองทัพ เขาจะพลาดพลั้งไม่ได้
“ไปหาอวิ๋นเยี่ยเถอะ เขารู้อยู่แล้วว่าหนังสือคำสั่งนี้เป็นของปลอม เขาตั้งใจเดินทางไกลนับพันลี้มาที่กองทัพเจ้า ได้ยินว่าเพียงเพื่อมาดูความองอาจห้าวหาญของเจ้าที่บัญชากองทัพนับพันนับหมื่นให้เป็นบุญตาเสียหน่อย และถือโอกาสหากำไรเล็กน้อยเท่านั้นเอง ที่มาที่ไปของเรื่องราวทั้งหมดเขารู้โดยละเอียดและระหว่างทางก่อนที่จะมาพบเจ้า เข้าเคยได้พบกับโจรที่ปลอมแปลงเอกสารแล้ว แต่กลับไม่รู้ว่าที่แท้แล้วเขาคือใครกันแน่ ภายหลังจึงได้รู้ว่าตื่นตระหนกไปเอง” ซุนซือเหมี่ยวไม่เคยชินกับการพูดอ้อมค้อม จึงบอกเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบให้หลี่จิ้งฟังทั้งหมดโดยไม่ปิดบังอะไรเลย
หลี่จิ้งไม่ใช่เฉิงเหย่าจิน เหล่าเฉิงเชื่ออวิ๋นเยี่ยอย่างสนิทใจ แต่เมื่อมาถึงเขาก็โดนลดส่วนสัดลงไปหลายส่วน
“หนังสือคำสั่งนั้นข้าเองก็ไม่สามารถแยกแยะจริงปลอมได้ เข้ารู้ได้อย่างไร” หลี่จิ้งถามซุนซือเหมี่ยวเพื่อพิสูจน์ความจริง
ซุนซือเหมี่ยวหยิบแว่นขยายออกจากอกเสื้อแล้วมอบให้หลี่จิ้ง แล้วให้เขาลองอ่านทวนหนังสือคำสั่งฉบับนั้นอีกครั้ง
เมื่อมีวิธีการแยกแยะจริงปลอมแล้ว ความวิตกกังวลของหลี่จิ้งก็หายไปกว่าครึ่งในเวลาเพียงชั่วพริบตา หลังจากเรียนรู้วิธีการใช้แว่นขยายเป็นแล้ว ก็เห็นร่องรอยการปลอมแปลงที่ชัดเจน แล้วจึงถอนหายใจยาวๆ
เมื่ออยู่ต่อหน้าอวิ๋นเยี่ยแล้ว ผู้ที่จะว่างท่าทีเป็นผู้อาวุโสมีเพียงเฉิงเหย่าจินและหนิวจิ้นต๋าเท่านั้น หลี่จิ้งรู้ถึงข้อนี้ดี เนื่องจากอวิ๋นเยี่ยไม่ใช่ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา เขาจึงได้แต่ต้อนรับอวิ๋นเยี่ยด้วยพิธีของเจ้าบ้านต้อนรับแขก อวิ๋นเยี่ยก็ไม่ได้อยู่ดีไม่ว่าดีคิดหาเรื่อง เขารู้ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะทวงคืนที่เคยโดนหลี่จิ้งฝากรอยเท้าไว้ ศัตรูอยู่เบื้องหน้า ไม่ใช่เวลาให้เขาเล่นลูกไม้ตอนนี้
“ท่านผู้บัญชาการใหญ่ ผู้ที่ทำการปลอมแปลงเอกสารเป็นกลุ่มโจรปล้นม้ากลุ่มหนึ่ง ผู้เป็นหัวหน้าชื่อว่าเยี่ยถัว เบื้องหลังมีกองกำลังที่ไม่เล็กกลุ่มหนึ่งคอยสนับสนุน แต่ข้ายังไม่รู้ว่ามันคือใคร เพียงแต่สามารถสรุปได้ว่าพวกเขาล้วนเป็นคนที่มีความสามารถสูงส่ง ห้ามประมาทเด็ดขาด ผู้เยาว์เกือบจะถูกปลิดชีพด้วยน้ำมือของพวกเขา ขอให้ท่านผู้บัญชาการใหญ่โปรดระวังด้วย”
“เยี่ยถัวรึ มันเป็นเพียงพวกตัวกระจ้อยที่ไร้ชื่อเสียงในแคว้นคังเท่านั้นเอง ในเมื่อมันกล้าคิดจะหาเรื่องกับกองทัพของข้า ข้าจะปล่อยให้มันมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร! ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่กองทัพต้าถังเราต้องกังวลพวกโจรปล้นม้าตัวเล็กๆ รอให้ข้าจัดการปราบชาวเผ่าทูเจวี๋ยตะวันออกให้ราบคาบก่อน ข้าจะดูว่าเจ้าโจรปล้นม้าคนนี้ไปกินดีหมีดีเสือมาหรืออย่างไร”
กองทัพทั้งสองเผชิญหน้ากัน หลี่จิ้งเคยกลัวใครที่ไหน แม่ทัพผู้มีชื่อเสียงและเหล่าทหารกล้าที่เสียชีวิตด้วยน้ำมือเขามีมากเท่ากองภูเขา เขามีคุณสมบัติอย่างเต็มที่ที่จะดูถูกผู้กล้าในใต้หล้า
“เขาเป็นเพียงแค่แมลงวันตัวเล็กๆ ตามความคิดของผู้เยาว์ เขาจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่เกินสามเดือน จึงไม่ต้องสนใจเขา ข้ามีวิธีการถ่ายทอดความลับในกองทัพที่เรียบง่ายแต่มีประสิทธิภาพมาก ซึ่งดีกว่าสารลับหรือจดหมายลับอยู่มากนัก แม้แต่จดหมายรักระหว่างชายหญิงก็สามารถสื่อได้อย่างแม่นยำไร้ข้อผิดพลาด”
เพื่อเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับหลี่จิ้งให้มากขึ้น อวิ๋นเยี่ยตั้งใจพูดออกมาอย่างชัดเจนที่สุด ขวัญกำลังใจของแม่ทัพใหญ่มีแต่ต้องเพิ่มให้มากขึ้นเท่านั้นห้ามลดลงอย่างเด็ดขาด หากหลี่จิ้งสูญเสียความมั่นใจไป ทหารหนึ่งแสนคนของต้าถังก็ต้องได้เดินตามเขาเข้าสู่ประตูผีเป็นแน่
การที่เจียงไท่กงใช้เบ็ดตกปลาสร้างสารลับขึ้นมานั้นย่อมต้องมีความลึกลับซ่อนอยู่ในตัวของมัน วิธีการเข้าถึงกระบวนการในการแปลงข้อมูลของจดหมายลับ เป็นวิธีการที่คนในยุคปัจจุบันก็ยังนำมาปรับใช้ ใครกล้าที่จะดูถูกภูมิปัญญาของคนโบราณ
สีหน้าที่เคร่งเครียดของหลี่จิ้งเริ่มผ่อนคลายลงบ้างแล้ว มองอวิ๋นเยี่ยและพูดว่า “ภูมิปัญญาของเจ้าข้าไม่เคยดูถูกเลยแม้แต่น้อย ไม่เพียงแต่ข้าเท่านั้น แม้แต่ฝ่าบาทเมื่อรับสั่งถึงเจ้าก็ชมไม่ขาดปาก เพียงแต่มันดูเจ้าเล่ห์เกินไปหน่อย ดังนั้นจึงได้ให้ทุกคนคอยระวังให้มากขึ้น เจ้าไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมข้าจึงพูดเรื่องเหล่านี้ให้เจ้าฟัง ถือว่าเป็นค่าตอบแทนที่เจ้าช่วยบรรเทาโรคของธิดาแส้แดงก็แล้วกัน เจ้านั้นสามารถเทียบได้กับตงฟางซั่วในรัชสมัยฮั่นอู่ตี้แห่งราชวงศ์ฮั่น ล้วนเป็นคนฉลาดปราดเปรื่องหาคนเปรียบไม่ได้ แต่ก็น่าเสียดายที่ว่าจะสำเร็จหรือล้มเหลวก็เพราะตัวเอง เจ้านั้นเจ้าเล่ห์เกินไป จึงได้ถูกกำหนดให้ไม่ต้องทำอะไรมากมายในราชสำนัก เจ้านั้นฉลาดกว่าตงฟางซั่วหลายส่วน แต่ก็เพราะเจ้าไม่ละโมภโลภมากกับฐานะและอำนาจ มีใจคิดแค่ต้องการก่อตั้งสำนักศึกษาเพียงอย่างเดียว ใช้ความรู้ที่เจ้ามีเพื่อถ่ายทอดมอบความรู้ให้กับผู้อื่น ซึ่งก็ประจวบเหมาะเข้ากับสิ่งที่ทุกคนคาดหวังไว้ ดังนั้นเจ้าจึงเดินมาถึงปัจจุบันนี้ได้อย่างราบรื่น ข้าหวังว่าเจ้าจะสามารถสร้างสำนักศึกษาที่แต่โบราณมาไม่เคยมีมาก่อนให้ได้จริงๆ”
ส่วนที่ 4
ตอนที่ 34 สารลับที่ไม่ได้มีวิวัฒนาการเลย
ถ้าหากเป็นไปได้ก็ไม่มีใครต้องการใช้ชีวิตของตัวเองเหมือนกับปืนใหญ่ให้เป็นที่ตื่นตระหนก การร่ำรวยอย่างเงียบๆ จึงจะเป็นสิ่งที่สืบทอดกันมาของชาวจีน ตงฟางซั่ว ผู้ที่ฉลาดปราดเปรื่องที่โชคร้าย ฮ่องเต้ชอบฟังเรื่องตลกของเขา ดังนั้นเขาจึงสามารถเป็นได้เพียงนักแสดงตลกอยู่ในวังไปตลอดชีวิต
หลิวเสียได้วิพากวิจารณ์ถึงตงฟางซั่วด้วยรูปแบบทางด้านวรรณกรรมเกือบสิบชนิดที่อยู่ในตำราอักษรศาสตร์ “เหวินซินเตียวหลง[1]” เช่น “เปี้ยนเซา” “เฉวียนฟู่” “จู้เหมิง” “จ๋าเหวิน” “ลุ่นซัว” “จ้าวเช่อ” และ “ซูจี้” เป็นต้น อัจฉริยะบุคคลเช่นนี้ แต่ชั่วชีวิตของเขากลับกล่าวได้ว่าเป็นโศกนาฏกรรมชีวิต ความรู้ที่มีอย่างท่วมท้นได้กลายเป็นเพียงต้นทุนที่มีไว้เพื่อเอาอกเอาใจฮ่องเต้ ทำให้ฮ่องเต้มีความสุข
อวิ๋นเยี่ยส่ายศีรษะสลัดไล่เงาภาพที่น่าสงสารในบั้นปลายของตงฟางซั่วออกจากสมอง
หลี่จิ้งบางทีอาจจะหวังดี แต่เขาเป็นเทพสงครามที่ไม่สามารถมองสถานการณ์ให้ชัดเจนได้ การตัดสินใจใดๆ ก็มักจะช้ากว่าคนอื่นหนึ่งก้าว ซึ่งก้าวนี้ได้กำหนดให้เขาต้องใช้บั้นปลายชีวิตอย่างหวาดระแวงอยู่ในความสงสัย จะไม่ฟังคำแนะนำของเขาก็ได้ หากเป็นคำแนะนำในการศึกอวิ๋นเยี่ยไม่มีคำพูดใดๆ จะนำไปดำเนินการทันที แต่ถ้าหากเกี่ยวกับเรื่องในราชสำนักน่ะหรือ คงต้องรอก่อน ยอมเชื่อสวี่จิ้งจงก็ห้ามเชื่อคำแนะนำของเขาเพราะมันเป็นหลุมพรางขนาดใหญ่อย่างแท้จริง
แม่ทัพกองทหารม้าของกองทัพมาถึงแล้ว ในกองทัพต้าถังหากมีมติสำคัญทางทหาร คนของหน่วยข่าวกรองนั้นขาดไม่ได้ ด้านหนึ่งต้องการบอกแม่ทัพของหน่วยข่าวกรองว่ามติของเขาเกี่ยวกับเรื่องในกองทัพและมีผลดีต่อกองทัพ ประการที่สองคือการรายงานต่อฮ่องเต้ผ่านทางหน่วยข่าวกรองว่า การที่ตนเองมีเหตุผลในการเปลี่ยนแปลงนี้ ไม่ได้มีเป้าหมายอื่นแอบแฝง
คนในหน่วยสืบราชการลับ ดูก็รู้ว่าไม่ใช่คนดีอะไรนัก ปลายจมูกโค้งงอ ตารูปสามเหลี่ยม โหนกแก้มทั้งสองไม่มีเนื้อ ช่างเป็นเจ้าหน้าที่ตรวจสอบที่ได้มาตรฐานเสียจริง ดูเลวร้ายกว่าเหล่าหนิวมากนัก
แต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยนั่ง ยืนอยู่ด้านหลังหลี่จิ้งและใช้ดวงตารูปสามเหลี่ยมเหล่มองอวิ๋นเยี่ยไม่ยอมหยุด ราวกับว่าจะมองเห็นลูกเล่นอะไรบ้าง การตั้งข้อสงสัยเป็นพื้นฐานที่ดีของ หน่วยสืบราชการลับ อวิ๋นเยี่ยเข้าใจคนเหล่านี้มานานปี หนึ่งปีกว่าที่ผ่านมาหน่วยข่าวกรองนั้นได้ทุ่มเทเกี่ยวกับเรื่องของตนเองไปไม่น้อย เพียงแต่จะได้ผลลัพธ์อย่างไรก็ไม่อาจรู้ได้
“ท่านผู้บัญชาการใหญ่ ข้าน้อยตั้งใจจะมารับโทษโดยเฉพาะ เรื่องที่ท่านให้ข้าสืบให้ละเอียดเรื่องหนังสือคำสั่งถูกปลอมแปลงนั้น ข้าไม่สามารถสืบพบร่องรอยใดๆ แม้แต่น้อย ขอท่านผู้บัญชาการใหญ่โปรดลงโทษ” เพียงแค่เอ่ยปาก อวิ๋นเยี่ยก็รู้สึกดีกับคนคนนี้มากขึ้นหลายส่วนแล้ว แม้ว่าหน้าตาจะดูไม่น่าเข้าใกล้เท่าไร แต่เสียงกลับกึกก้องเหมือนระฆังใหญ่ มีความห้าวหาญของทหารอยู่บ้าง เพียงแต่ยืนอยู่ด้านหลังหลี่จิ้งขอรับโทษ ดูเหมือนเพชรฆาตมากกว่าเหมือนผู้ใต้บังคับบัญชาขอรับโทษ
“ไม่ต้องตรวจสอบแล้ว ข้ารู้ที่มาที่ไปของเหตุการณ์คราวนี้แล้ว หัวหน้าผู้ก่อการคือเยี่ยถัวซึ่งเป็นคนของแคว้นคัง ในวันหน้าต้องไปหาเขาคิดบัญชีนี้แน่ วันนี้ที่เรียกเจ้ามา เพราะมีสารลับใหม่ที่อยากให้เจ้าเป็นพยานและต้องการให้เจ้าไปดำเนินการ” หลี่จิ้งไม่ได้หันกลับไป เพียงแค่พูดธรรมดาๆ ประโยคเดียว แล้วพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “อวิ๋นโหว เจ้าเริ่มอธิบายเถอะ ข้าตั้งใจฟังอยู่ มีวิธีการยอดเยี่ยมอันใด เชิญกล่าวโดยละเอียดได้ตามสบาย”
ฐานะของแม่ทัพกองทหารม้าคนนี้เห็นได้ชัดว่ายังไม่สูงเท่าหนิวจิ้นต๋า หากหนิวจิ้นต๋าอยู่ที่นี่จะต้องมีที่นั่งให้เขา หลี่จิ้งก็ไม่กล้าปล่อยให้หนิวจิ้นต๋าเป็นองครักษ์ของเขา เมื่อเขาได้ยินคำพูดของหลี่จิ้ง ดวงตาสามเหลี่ยมนั้นก็เบิกกว้างกลมโต ดูเหมือนไม่ค่อยอยากจะไม่เชื่อ แต่หลี่จิ้งพูดแล้ว เขาจึงทำได้แค่ปิดปากและเงี่ยหูตั้งใจฟัง
“ข้าเคยได้ยินท่านสวี่พูดว่า สารลับและจดหมายลับล้วนเป็นของที่คิดค้นขึ้นด้วยวิธีการเด็กๆ ที่ประดิษฐ์ขึ้นอย่างหยาบๆ ซึ่งของเหล่านี้ได้สืบทอดกันมาเป็นเวลาหลายพันปีแล้ว แต่ทำไมแม่ทัพผู้โด่งดังของแต่ละยุคแต่ละสมัยจึงไม่คิดพัฒนาเลย ใส่จดหมายในกระบอกไม้ไผ่ เมื่อมาถึงสมัยจั้นกั๋วจึงกลายเป็นจดหมายลับ ตอนนี้เกิดเหตุการณ์ความลับรั่วไหลจึงค่อยคิดที่จะเปลี่ยนแปลง กองทัพเดิมควรจะเป็นผู้ใช้คนแรกสุดในใต้หล้านี้ที่รู้จักคิดพัฒนาวิธีการ เพราะเหตุใดจึงไม่เห็นปรากฏการณ์เช่นนี้จากพวกเจ้าบ้าง” อวิ๋นเยี่ยไม่มีคำว่าเกรงใจ กองทัพอยากได้ในสิ่งที่ตนเองต้องการโดยไม่จ่ายค่าตอบแทนนั้นไม่มีทาง ดูท่าทางผียากไร้อย่างหลี่จิ้งก็คงมีทรัพย์สินอยู่ไม่เท่าไร เขาต้องการให้หลี่จิ้งเป็นฝ่ายเอ่ยปากในที่ประชุมว่าจะให้หัวกะทิของกองทัพเข้าร่วมกับสำนักศึกษา ซึ่งก็ถือโอกาสหาทางออกให้กับนักเรียนในสำนักศึกษาอีกทางหนึ่งด้วย หากโชคดีได้เป็นหน่วยสืบราชการลับก็นับเป็นทางเลือกที่ดี
“ข้าน้อยด้อยปัญญา หน่วยข่าวกรองของข้าได้ปรับแก้จดหมายลับมานานแล้ว ต่อแต่นี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตามจะไม่ให้เกิดเหตุการณ์การปลอมแปลงเอกสารขึ้นอีกอย่างแน่นอน” เจ้านายยังไม่ได้พูดอะไรเลย เขากลับเป็นฝ่ายร้อนรน ถือเป็นสุนัขที่ดีตัวหนึ่ง
“แค่ของเล่นเด็กๆ ของพวกเจ้าหน่วยข่าวกรองน่ะหรือ ยังกล้านำออกมาเสนอว่าเป็นของดีอีก ทำให้จดหมายลับที่ดีๆ กลายเป็นเศษกระดาษอะไรก็ไม่รู้ นำจดหมายแบ่งออกเป็นสามส่วนแล้วให้คนสามคนส่งจดหมาย นี่ก็คือความลับของพวกเจ้าหรือ หน่วยข่าวกรองก็เพียงแค่เปลี่ยนจากสามคนเป็นห้าคน ด้วยการปรับเปลี่ยนเพียงแค่นี้ พวกเจ้าก็กล้าบอกว่า แม้ศัตรูจะฉลาดหลักแหลม ก็ไม่สามารถถอดรหัสได้แล้วอย่างนั้นหรือ”
หลี่จิ้งได้พูดเรื่องการเปลี่ยนแปลงระบบจดหมายลับให้อวิ๋นเยี่ยฟังแล้ว เขาเองก็ยังสงสัยว่าการเปลี่ยนจากสามคนเป็นห้าคนจะให้ผลดีสักเท่าไรกัน สุดท้ายถูกอวิ๋นเยี่ยหัวเราะใส่เสียไม่เหลือชิ้นดี เขาเขียนจดหมายหนึ่งฉบับด้วยการเขียนลงบนกระดาษห้าแผ่น หากอ่านกระดาษเพียงแผ่นเดียวล้วนแล้วแต่เป็นคำที่ไร้ความหมาย หลังจากนำมาวางปนเปกันแล้วจึงส่งให้อวิ๋นเยี่ยดู ไม่ได้บอกวิธีว่าจะอ่านจดหมายฉบับนี้อย่างไร สุดท้ายผ่านไปไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม อวิ๋นเยี่ยก็อ่านเข้าใจความหมายแฝงของจดหมายฉบับนี้ ทั้งถือโอกาสดัดแปลงความหมายให้เปลี่ยนไปด้วย ทำให้หลี่จิ้งอึ้งเป็นตอไม้
ในประเทศจีนสมัยโบราณมีผู้ที่มีสติปัญญาหลักแหลมนับไม่ถ้วน การซ่อนคำแรกในบทกวีนั้นจึงจะเรียกว่าเยี่ยม “การต้อนรับของท่านเจ้าบ้าน ทำให้ข้ารู้สึกเคารพนบนอบมาจากใจ จึงขอหยิบพู่กันเขียน สร้างชื่อเสียงโดดเด่นไม่แพ้ใคร เดียวกับไป๋เหล่า[2] ผู้เก็บตัว หญิงงามทั้งสองยังอยู่ในวัยเยาว์ นับแต่นี้ให้อยู่ที่หนานสวี[3] สายลมยามราตรีพัดผ่านทะเลสาบ” คำแรกของแต่ละประโยคก็คือคำที่ซูตงปัวกล่าวอนุญาตให้โสเภณีเลิกค้าประเวณีและแต่งงานได้[4] อวิ๋นเยี่ยที่ตลอดครึ่งชีวิตที่ผ่านมาได้ข้องเกี่ยวกับกับสิ่งเหล่านี้จนได้เรียนรู้มา มีหรือจะอ่านวิธีการเขียนอย่างคนบ้องตื้นที่สลับเพียงไม่กี่ประโยคไปมาอย่างง่ายๆ ของหลี่จิ้งไม่ออก
หน่วยข่าวกรองของกองทัพถูกอวิ๋นเยี่ยพูดจนเป็นใบ้พูดอะไรไม่ออก ผ่านไปเป็นเวลานานจึงพูดว่า “ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าจะสามารถเขียนจดหมายลับที่มีลูกเล่นแพรวพราวได้” ปฏิเสธคอเป็นเอ็นที่จะยอมรับความผิดพลาด
อวิ๋นเยี่ยพูดกับหลี่จิ้งว่า “ท่านผู้บัญชาการใหญ่ ตอนนี้ผู้เยาว์เป็นหนอนบ่อนไส้ ขอให้ท่านพูดอะไรสักประโยค ข้าจะใช้คำพูดประโยคนี้เขียนเป็นจดหมายลับ เพื่อดูว่าหน่วยข่าวกรองที่มากความสามารถจะอ่านเข้าใจได้หรือไม่ หากอ่านไม่เข้าใจก็ให้ไปขอคำสอนจากสวี่จิ้งจง ให้เขาเป็นคนอธิบายให้พวกเจ้าฟัง ข้าเดินทางเหน็ดเหนื่อยมาไกลสองพันกว่าลี้ ต้องการพักผ่อนให้เต็มที่เสียหน่อย”
เมื่อเผชิญหน้ากับความหยิ่งยโสของอวิ๋นเยี่ย หลี่จิ้งได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ พวกหน่วยข่าวสารกัดฟันจนแทบจะละเอียดอยู่แล้ว แต่ไม่สามารถทำอะไรได้ อวิ๋นเยี่ยนั้นถูกหลอกให้มาที่นี่เพราะหนังสือคำสั่งปลอมฉบับหนึ่ง ไม่ใช่ว่าได้รับคำสั่งให้มาแนวหน้าเพื่อทำงานให้กองทัพ ในเวลานี้อวิ๋นเยี่ยควรจะได้ทำงานอยู่ที่สำนักศึกษา แทนที่จะต้องทนลำบากอยู่ในดินแดนอันหนาวเหน็บแห่งนี้ นี่เป็นความผิดของพวกเขาและนี่ก็คือสาเหตุที่พวกทหารของอวิ๋นเยี่ยเมื่อมาถึงค่ายทหารก็วางท่าเที่ยวมองข้ามผู้คนไปทั่ว
“พรุ่งนี้ยามสี่กินอาหารเช้า ยามห้าเคลื่อนทัพทั้งหมด กองทหาม้าเซียวฉี[5]ให้ไปทางซ้าย พลทหารราบคุ้มกันด้านหลัง ทหารหน่วยตรวจสอบให้สังเกตุการณ์ระยะสิบห้าลี้ มีคำสั่งให้หลี่จีซุ่มโจมตีอยู่บริเวณปากทางภูเขา รอให้ศัตรูเข้ามาครึ่งหนึ่งแล้ว ให้โจมตีจากกลางขบวนเพื่อแบ่งศัตรูให้ออกเป็นสองส่วน คำสั่งผู้บัญชาการใหญ่หลี่จิ้ง มีคำสั่งเมื่อวันที่สิบหกเดือนหนึ่ง”
นี่ก็คือคำสั่งทางทหารที่หลี่จิ้งแต่งขึ้นมาในตอนนี้ อวิ๋นเยี่ยห้ามออกนอกกระโจม ต้องเขียนตอนนี้ทันที พวกเขาสองคนจ้องมองอวิ๋นเยี่ยตาไม่กระพริบเห็นเขาว่าเป็นหนอนบ่อนไส้จริงๆ
อวิ๋นเยี่ยหยิบหนังสือออกมาเล่มหนึ่งและก็ไม่สนใจทั้งสองคน อ่านหนังสืออย่างสบายอกสบายใจ ทั้งยังเขียนบางสิ่งบางอย่างลงบนกระดาษเป็นครั้งคราว ขณะที่แม่ทัพของหน่วยข่าวกรองกำลังจะระเบิดอารมณ์ อวิ๋นเยี่ยปิดหนังสือและบิดขี้เกียจ จากนั้นส่งกระดาษในมือให้หลี่จิ้ง
หลี่จิ้งหัวสมองตื้อไปหมด เขาอ่านไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจแม้แต่คำเดียว เขาบอกอย่างมาดมั่นว่ามันไม่ใช่ตัวอักษร เป็นเพียงแค่พวกสัญลักษณ์เหลวไหล ขณะที่แม่ทัพหน่วยข่าวกรองกำลังจะอาละวาด กลับได้ยินหลี่จิ้งตะโกนว่า “หงเฉิงหุบปาก หากเจ้ากล้าเอ่ยปากล่วงเกินอวิ๋นโหวแม้เพียงประโยคเดียว จะลงโทษตามกฎทหาร” จากนั้นก็ถามอวิ๋นเยี่ย “นี่ก็คือจดหมายลับฉบับใหม่ที่เจ้าเขียนขึ้นมา”
ทหารแซ่หงคนนั้นได้แต่ปิดปากสนิท จ้องมองอวิ๋นเยี่ยด้วยความโกรธ
“นี่เป็นประเภทที่ง่ายที่สุด ถ้าหากท่านต้องการระดับที่ลึกซึ้งขึ้นไปอีก สามารถส่งคนไปเรียนที่สำนักศึกษาได้ แต่ต้องบอกไว้ก่อนว่าค่าเล่าเรียนคนละหนึ่งพันก้วน ราคาเป็นธรรมอย่างที่สุด ถือโอกาสบอกพวกเจ้าด้วยว่าเมื่อข้ากลับไปยังสำนักศึกษาแล้ว วิชาการคำนวณจะสอนเรื่องเหล่านี้ด้วย เมื่อพวกเจ้าได้ของสิ่งนี้แล้วรีบๆ ทำการค้นคว้า อย่าทำให้เกิดเรื่องที่ว่าเด็กๆ ในสำนักศึกษาข้าก็สามารถนำจดหมายลับของหน่วยข่าวกรองของพวกเจ้ามาเป็นของเล่นได้ ถึงตอนนั้น แม้พระเจ้าก็ช่วยเจ้าไม่ได้”
“อวิ๋นโหว เรื่องทรัพย์สินเงินนอกเป็นของนอกกาย เพียงแต่จดหมายลับชนิดนี้จะต้องยากแก่การเรียนรู้แน่ ในกองทัพมีแต่พวกไร้ความรู้ เกรงว่าไม่ง่ายเลยที่จะให้เรียนรู้ได้” หลี่จิ้งรู้สึกว่าแม้แต่ทหารที่มีการศึกษาเช่นเขาก็ยังไม่เข้าใจ ยังจะคาดหวังให้พวกหยาบโลนไร้การศึกษาเรียนเข้าใจได้หรือ
“ผู้บัญชาการใหญ่ ท่านต้องเรียนให้เข้าใจ เกรงว่าใช้เวลาไม่ถึงสิบห้านาทีเสียด้วยซ้ำ ท่านคิดว่ามันยากเพียงใดกัน ของเล่นเหล่านี้เป็นเพียงการละเล่นอย่างหนึ่งของเหล่านักเรียนในสำนักศึกษา แน่นอนว่านี่เป็นเรื่องหลังจากที่สอนจนเป็นแล้ว”
“หากไม่มีคำสั่ง ห้ามไม่ให้เจ้าสอนสิ่งเหล่านี้ให้กับนักเรียน ข้าจะรีบส่งพิราบด่วนถวายรายงานต่อฝ่าบาท ขอพระบรมราชานุญาตห้ามไม่ให้สอนจดหมายลับนี้ในสำนักศึกษา หากฝ่าบาทไม่ทรงอนุญาต แม้ข้าหงเฉิงต้องตายหรือถูกประหารทั้งตระกูลก็จะไม่ยอมปล่อยให้เจ้าเผยแพร่ออกไป” ดวงตาของหงเฉิงแดงขึ้น ซึ่งก็มองออกว่าเขาพยายามควบคุมตัวเองไม่ให้เกิดจิตสังหารขึ้น
“การจะคุยเรื่องเหล่านี้ในตอนนี้มันยังเร็วเกินไป เจ้าควรจะรีบไปหาสวี่จิ้งจงเพื่อดูว่าเขาสามารถจับความหมายของสารลับเหล่านี้ได้หรือไม่จึงจะเป็นเรื่องที่สำคัญกว่า จะฆ่าข้าทิ้งหรือไม่กลับมาค่อยคิดเถอะ” อวิ๋นเยี่ยพูดกับหงเฉิงด้วยรอยยิ้ม เมื่อหงเฉิงได้ยินดังนี้จึงรีบร้อนวิ่งออกไป
“เหตุใดอวิ๋นโหวจึงต้องบีบคั้นหงเฉิงถึงเพียงนี้ แม้ว่ารูปลักษณ์ภายนอกเขาจะดูไม่ดี แต่ความภักดีของเขาที่มีต่อต้าถังนั้นไม่ต้องเคลือบแคลงสงสัยเลย ข้าเคยพูดว่าเจ้าคาดหวังว่าใต้หล้านี้จะมีคนที่เหมือนเจ้าอีกหลายๆ คน สารลับฉบับนี้ข้าไม่ต้องรอก็รู้ว่าสวี่จิ้งจงอ่านเข้าใจได้อย่างแน่นอน ฝีมือเรื่องการพลิกแพลงเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้ แม้ข้าจะรับหน้าที่ด้วยตัวเองก็ไม่สามารถต่อกรกับเจ้าได้ ทำไมเจ้าจึงต้องทำให้ทหารที่หยาบโลนคนหนึ่งในกองทัพต้องลำบากใจด้วย” หลี่จิ้งเข้าใจผิดแล้ว เขาคิดว่าอวิ๋นเยี่ยกำลังโกรธหงเฉิงอยู่
“ท่านผู้บัญชาการใหญ่ยกย่องข้าเกินไปแล้ว ข้าเองก็เป็นทหาร แม้ว่าจะไม่สามารถถือหอกถือดาบมาฆ่าศัตรูได้ แต่จิตใจข้าก็ไม่ต่างจากหงเฉิง ข้าเพียงแค่โกรธที่เขาไม่ดิ้นรนเท่านั้นเอง นับตั้งแต่จดหมายลับถือกำเนิดขึ้นก็เกือบสองพันปีแล้ว ราชวงศ์ผลัดเปลี่ยนไป วันเวลาค่อยๆ เลยผ่าน มีวีรบุรุษเท่าไรที่กลายเป็นกองกระดูกไปแล้ว ใครจะคิดว่า วิธีการถ่ายทอดข้อความลับทางทหารนั้นไม่ได้เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย เป็นเพราะเหตุใดกัน บรรพชนของพวกเขาคิดค้นจดหมายลับขึ้นมาก็เพื่อให้พวกเราเอาแต่ใช้ไปตามนั้นจนตายหรือ หงเฉิงนั้นนับว่าโชคดี ข้าอยู่ที่นี่ เขาจึงได้ผ่านพ้นปัญหาหนักไปได้ คราวนี้เป็นความโชคดี ครั้งต่อไปล่ะ ถึงแม้ข้าจะเป็นเหล็กทั้งร่าง จะอยู่คงทนถาวรได้นานเท่าไรกัน หากไม่นำความรู้เหล่านี้ที่ข้ามีถ่ายทอดแก่ผู้อื่นให้มากขึ้น เจ้าจะให้ลูกหลานรุ่นต่อไปหากเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้อีก แล้วก็หาทางออกอะไรไม่ได้เหมือนพวกเราหรือ ช่างเป็นคนที่วิสัยทัศน์คับแคบ หากอยู่ในสำนักศึกษาข้าจะจับเขาขังคุกใต้ดินเพื่อให้คิดทบทวนให้ดี”
คำพูดเหล่านี้ทำให้หลี่จิ้งหน้าแดงไปถึงใบหู นี่ก็คือความแตกต่างระหว่างคนยุคปัจจุบันกับคนยุคโบราณ เขาเขียนหนังสือการทหารก็ยังเก็บอย่างมิดชิด แม้กระทั่งโหวจวินจี๋อยากเรียนรู้ก็จะสอนครึ่งหนึ่งและเก็บวิชาไว้ครึ่งหนึ่ง ทั้งยังกล่าวว่าด้วยสิ่งเหล่านี้ก็สามารถผงาดในใต้หล้าได้แล้ว ถึงแม้ต่อมาโหวจวินจี๋จะก่อกบฏซึ่งพิสูจน์ได้ว่าวิสัยทัศน์ของเขาร้ายกาจเพียงใด จึงไม่ได้พัวพันมาถึงเขา แต่ในฐานะอาจารย์ พฤติกรรมเช่นนี้ของเขาถือเป็นตัวอย่างที่แย่มากสำหรับคนรุ่นหลัง ทุกคนถ่ายทอดความรู้ครึ่งหนึ่งและเก็บวิชาไว้ครึ่งหนึ่งเกิดขึ้นจากเขา ผลกระทบนี้ยังเลวร้ายยิ่งกว่าโหวจวินเจี๋ยก่อกบฏสำเร็จเสียอีก
——
[1] เหวินซินเตียวหลง หรือ The Literary Mind and the Carving of Dragons เป็นตำราทฤษฎีวรรณกรรมที่มีระบบทฤษฎี มีโครงสร้างและการวิเคราะห์อธิบายโดยละเอียด ซึ่งประพันธ์โดยหลิวเสียนักทฤษฎีวรรณกรรมในสมัยราชวงศ์หนานเฉา
[2] ไป๋เหล่า เป็นคำเรียกตัวเอง ที่ไป๋จวีอี้ กวีผู้โด่งดังสมัยถัง
[3] หนานสวี เป็นชื่อเมืองในสมัยโบราณ ปัจจุบันอยู่ในเมืองเจิ้นเจียง มณฑลเจียงซู
[4] เป็นบทกวีอักษรแปดคำที่ซูตงปัวได้อนุญาตให้หญิงโสเภณีสองคนคือ เจิ้งหรงและเกาอิ๋ง สามารถเลิกค้าประเวณีและแต่งงานได้ เนื่องจากในสมัยก่อนหากหญิงโสเภณีต้องการกลับมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ต้องได้รับการอนุญาตจากขุนนางชั้นสูง ซึ่งในตอนนั้นซูตงปัวไม่สะดวกที่จะเอ่ยปากตรงๆ จึงได้ซ่อนคำอนุญาตไว้ไนกวีบทนี้เพื่อให้ผู้ที่เกี่ยวข้องไปดำเนินการต่อ
[5] เซียวฉี เป็นชื่อตำแหน่งของกองทหารม้าในสมัยโบราณ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น