เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วน 4 ตอน 30-32
ส่วนที่ 4
ตอนที่ 30
กลับคืน
เฉิงฉู่มั่ววิ่งอยู่บนทุ่งหญ้าเป็นเวลาสามวันเต็มๆ ม้าศึกร่างใหญ่หายใจหอบและเดินบนพื้นหิมะอย่างยากลำบาก บางครั้งก็เดินโงนเงน หลังจากเดินผ่านสันเขาเล็กๆ ม้าก็คุกเข่าลงกับพื้นไม่ยอมก้าวต่อไปข้างหน้าแม้แต่ก้าวเดียว ดวงตาของม้าตัวใหญ่น้ำตาไหลออกมา เฉิงฉู่มั่วลงจากหลังม้า สะพายย่ามหนังขึ้นแล้วเดินมุ่งหน้าต่อไป เขารู้ว่าม้าตัวนี้ใช้การไม่ได้แล้ว
เมื่อตอนที่เขาจากกองกำลังมา เขานำม้ามาสามตัว นี่คือตัวสุดท้าย ลมหนาวบนทุ่งหญ้าได้ทำให้แก้มของเขาปริแตกมีเลือดออก เป็นเช่นเดียวกับพ่อของเขาที่มีหนวดเคราสั้นๆ อยู่เต็มใบหน้า ดวงตาเต็มไปด้วยเส้นเลือดแดง ไม่รู้ว่าผ้าโปร่งสีดำที่คลุมศีรษะปลิวหายไปไหนมานานแล้ว เขาคุกเข่าบนหิมะ คว้าหิมะกำมือหนึ่งใส่เข้าปากที่เขียวคล้ำ ดูดน้ำจากข้างในก้อนหิมะอย่างยากลำบาก จากนั้นก็ปั้นหิมะอีกสองลูกแล้วนำมาประคบตา ในที่สุดดวงตาที่ปูดบวมก็รู้สึกสบายขึ้นเล็กน้อย
เขาคิดถึงวิธีที่อวิ๋นเยี่ยสอนเขา ให้ตัดแผ่นหนังชิ้นหนึ่งออกจากย่ามหนัง กรีดให้เป็นเส้นทั้งสองข้าง แล้วผูกมันไว้กับดวงตา เงยหน้าขึ้นมองดูดวงอาทิตย์ที่สดใสบนท้องฟ้า ไม่รู้สึกอบอุ่นเลยแม้แต่น้อย เหล่าองครักษ์ได้พลัดหลงกันตั้งแต่เมื่อวานนี้ เฉิงฉู่มั่วรู้ทางกลับไปที่ค่าย แต่เขากลับไม่ต้องการกลับไป อย่างน้อยก่อนจะได้พบอวิ๋นเยี่ยเขาก็ไม่ต้องการกลับไป ในย่ามหนังยังมีอาหารเหลืออยู่อีกส่วนหนึ่ง เขาได้กลิ่นหอมอันเย้ายวนของพวกมันทะลุผ่านย่ามหนัง
เขาหยิบมันออกมาหลายครั้งแล้วก็เก็บกลับเข้าไปใหม่ เขาไม่กล้ากินเพราะกลัวว่าหลังจากพบพี่น้องแล้วสถานการณ์ของเขาจะเลวร้ายยิ่งกว่าตัวเอง ขนมเปี๊ยะแห้งห่อนี้ถือเป็นอาหารที่เอาไว้ช่วยชีวิต
ในช่วงสามวันที่ผ่านมาเขาเกือบจะเดินทางไปทั่วทุกที่ในระยะสิบลี้นี้แล้ว ไม่มีข่าวอวิ๋นเยี่ยเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นเขาจึงเดินเข้าไปในแนวเทือกเขาที่ทอดยาวนี้ เขาสงบนิ่งมากและไม่มีความร้อนรนเลย เขาเชื่อว่าตอนนี้ อวิ๋นเยี่ยกำลังต่อสู้อยู่ เพียงแต่เขาไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหนเท่านั้นเอง
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เขาคว้าหอกหม่าซั่วแล้วยืนขึ้น สะพายย่ามหนัง แล้วมุ่งหน้าต่อไป มีหมาป่าตัวหนึ่งอยู่ที่ช่องแคบบริเวณหุบเขากำลังจ้องมองเฉิงฉู่มั่ว เฉิงฉู่มั่วก็จ้องมองมันเช่นกัน หมาป่าไม่คิดจะถอยหนี เฉิงฉู่มั่วเองก็ไม่คิดจะถอยหนี ดังนั้นจึงเกิดการต่อสู้กันขึ้นอย่างรวดเร็ว หมาป่านั้นไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเฉิงฉู่มั่ว ลำคอถูกหอกหม่าซั่วแทงฉีกขาด เลือดอุ่นๆ ไหลไม่หยุด เฉิงฉู่มั่วคลานเข้าไปแล้วอ้าปากดื่มเลือดที่ยังอุ่นๆ อยู่ เขาไม่ได้กินอาหารร้อนๆ มาเป็นเวลาสามวันแล้ว ทุ่งหญ้าที่เลวร้ายแห่งนี้นั้นเนื้อก็ไม่ขาด สิ่งเดียวที่ขาดหายไปก็คือเชื้อเพลิง ไม่นานนักศพของหมาป่าก็เย็นแข็ง เฉิงฉู่มั่วไม่สามารถแบกร่างหมาป่าไปได้ ในเวลาไม่นานสายลมที่หนาวเย็นก็ทำให้ร่างหมาป่าแข็งยิ่งกว่าก้อนอิฐเสียอีก
ดวงอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำและเกิดลมพายุอีกครั้ง เริ่มด้วยก้อนหิมะเล็กๆ บนพื้นค่อยๆ กลิ้งตัวแล้วกลายเป็นมังกรหิมะสีขาวอย่างรวดเร็ว มังกรหิมะสีขาวนับพันนับหมื่นรวมตัวกัน แล้วก็กลายเป็นพายุหิมะทั่วทั้งท้องฟ้า เฉิงฉู่มัวรีบหาสถานที่หลบภัยจากลมพายุ ไม่เช่นนั้นเขาจะถูกพายุหิมะแช่แข็งจนกลายเป็นตุ๊กตาหิมะ
หลังจากเดินอ้อมพ้นตีนเขาแล้ว เขาเห็นอาคารหลังหนึ่ง รอบๆ นั้นเงียบสงบ ไม่มีใครอยู่แม้แต่คนเดียว มีอาคารนี้ที่ตั้งโดดเด่นอยู่บนพื้นที่ราบ เขาหมอบดูอยู่บนพื้นหิมะเป็นเวลานาน ไม่มีใครสักคนจริงๆ ได้ยินเพียงเสียงเสียดสีกันของเชือกที่ถูกสายลมพัดผ่าน
อาคารนี้ค้ำยันไว้ด้วยเสาขนาดใหญ่ ไม่มีบันได ห่างจากพื้นเพียงหนึ่งจั้ง เฉิงฉู่มั่วเดินวนรอบอาคารหนึ่งรอบแต่ก็หาทางขึ้นไม่เจอ เขาจึงวางย่ามหนังลงแล้ววิ่งซอยเท้าถี่ๆ บนพื้นที่ราบ ก่อนจะย่อตัวกระโดดขึ้น จึงเกาะพื้นที่ว่างบนอาคารได้ เมื่อออกแรงช่วงเอวและหน้าท้องก็ปีนขึ้นไปบนอาคารสำเร็จ ครั้นใช้ดาบฟันกลอนประตู เขาก็ได้เห็นห้องขนาดใหญ่ที่ว่างเปล่า มีเพียงผ้าม่านหลายชั้น เมื่อเปิดผ้าม่านขึ้น เขาก็เห็นอวิ๋นเยี่ยนอนหลับอย่างมีความสุขร่างอยู่ใต้ผ้าห่มหนังสัตว์หนาๆ ดูเหมือนว่าเขากำลังนอนกรนอยู่ ในมุมหนึ่งของกำแพงมีสวี่จิ้งจงและเหล่าจวงนอนพิงอยู่ พวกเขานั้นไม่ได้รับการต้อนรับที่ดีเช่นอวิ๋นเยี่ย มีแผ่นหนังขาดๆ ไม่กี่ผืนคลุมอยู่และปล่อยให้พวกเขาสั่นเทาอยู่ตรงนั้น
หลังจากสำรวจลมหายใจของพวกเขา แน่ใจว่าพวกเขากำลังนอนหลับ แต่ไม่ว่าเฉิงฉู่มั่วปลุกอย่างไรพวกเขาก็ปลุกไม่ตื่น เขาถึงกับเตะที่บั้นท้ายของสวี่จิ้งจงไปหลายที แต่หมอนั่นก็ยังคงนอนเหมือนหมูที่ตายแล้ว
เฉิงฉู่มั่วไม่สนใจสภาพแวดล้อมอันแปลกประหลาดตรงหน้าแม้แต่น้อยนิด พี่น้องปลอดภัย เพียงแต่ว่าเขานอนไม่ยอมตื่นเท่านั้นเอง มีซุนซือเหมี่ยวอยู่ นี่เป็นปัญหาเล็กๆ เขาใช้ท่อนไม้ของอาคารนี้มาก่อกองไฟอยู่บริเวณที่ราบด้านนอก รอจนไฟลุกโชนแล้วจากนั้นจึงใส่หิมะลงไปจำนวนหนึ่ง ทันใดนั้นควันหนาทึบก็ลอยขึ้นไปตามลม แม้ว่ามันจะไม่สูง ยังไม่ทันลอยพ้นหุบเขาก็ถูกลมพัดกระจายไปก่อน แต่ก็ไม่เป็นไร พวกซุนซือเหมี่ยวต้องหาเจออย่างแน่นอน
เมื่อกลับเข้าในอาคาร มองดูอวิ๋นเยี่ยนอนกรนคร่อกๆ เฉิงฉู่มั่วก็รู้สึกไม่ยุติธรรมอย่างยิ่ง เขาวิ่งตะลอนไปทั่วทั้งป่าเขา สภาพน่าสังเวชกว่าสุนัขเสียอีก ทำไมอวิ๋นเยี่ยจึงได้นอนหลับอย่างสบายอยู่ในกองผ้าห่มหนังสัตว์รอให้ตัวเองมาช่วย นี่ยังมีความยุติธรรมอีกหรือ
ไม่ได้ๆ ข้าจะแข็งตายอยู่แล้ว ต้องนอนพักสักหน่อย จึงเปิดผ้าห่มหนังสัตว์บนตัวอวิ๋นเยี่ยออก ความแค้นก็ยิ่งทวีคูณมากขึ้น ถึงกับยังมีผู้หญิงอยู่ด้วย ผู้หญิงคนนั้นกอดอวิ๋นเยี่ยไว้แน่น ซุกศีรษะของนางไว้ใต้แขนอวิ๋นเยี่ย นอนหลับด้วยใบหน้าฝันหวาน
เฉิงฉู่มั่วร้องไห้แล้วจริงๆ น้ำตาไหลไปถูกแผลที่ปริแตก เจ็บจนใบหน้าชักกระตุก เขารีบเช็ดน้ำตาให้แห้ง ให้ดิ้นตายสิ แม้กระทั่งร้องไห้ก็ยังไม่ได้ ไม่สนใจแล้ว เขาเข้าไปนอนอีกด้านหนึ่งของอวิ๋นเยี่ย เมื่อได้ความอบอุ่นจากผ้าห่มขนสัตว์ ก็นอนหาวหวอดๆ ความกังวลในสามวันที่ผ่านมาได้หายไปในพริบตา ขณะที่กำลังจะเข้าสู่ความฝัน เขาก็ได้ยินเสียงใหญ่ๆ ของเขาเหอเซ่า ในใจก็รู้สึกปล่อยวางแล้วจึงผล็อยหลับไป …
เพียงแค่ ‘ผงสำราญพันวัน’ เท่านั้นเอง สำหรับซุนซือเหมี่ยวแล้วไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร นำดอกจูอวี๋แสบร้อนบดเป็นผงป้ายไว้ที่ปลายจมูกของทุกคนคนละนิด หลังจากจามหลายครั้งทุกคนก็ตื่นขึ้น เพียงแต่เป็นใครกันที่มียาหายากเช่นนี้อยู่ในมือ ตัวเองที่ค้นคว้ายาชาก็ขาดตัวยาหลักชนิดนี้ ค้นหาทั่ววังหลวงก็หาไม่เจอ ไม่คิดว่าจะพบยาชนิดนี้ในพื้นที่รกร้างเช่นนี้ ทำให้ซุนซือเหมี่ยวเต็มไปด้วยความกังวลเกี่ยวกับเส้นทางในวันข้างหน้าของอวิ๋นเยี่ย
อวิ๋นเยี่ยตื่นขึ้นมา ใบหน้ามีแต่รอยยิ้ม ราวกับว่าเขาได้ตื่นขึ้นมาจากฝันจริงๆ เมื่อตรวจสอบสภาพของสวี่จิ้งจงและเหล่าจวง พวกเขาทั้งสองป่วยเป็นไข้และกำลังไข้ขึ้นไม่ได้สติ หลังจากให้พวกเขากินข้าวต้มชามใหญ่แล้วก็นอนหลับไปอีก
เฉิงฉู่มั่วแคะจมูกอย่างแรง ผงจูอวี๋ทำให้เขาอึดอัดมาก
“นักพรตซุน ข้าไม่ได้โดนผงสำราญพันวันเสียหน่อย ทำไมท่านต้องเอาผงจูอวี๋มาป้ายให้ข้าด้วย จมูกข้าทรมานจะตายอยู่แล้ว”
“เจ้าเป็นคนมาตามหาคน เมื่อหาคนเจอแล้วไม่ได้หลบไปด้านข้างเพื่อเฝ้าระวัง ตัวเองกลับลงไปนอนหลับเหมือนหมู คราวนี้เป็นผงจูอวี๋ ครั้งต่อไปข้าจะใช้ยาสลายใจ” ซุนซือเหมี่ยวตอบอย่างอารมณ์ไม่ดีนัก เมื่อเขาขึ้นมาในอาคาร เห็นหลายคนนอนหมดสติไม่รู้เรื่อง ก็รู้สึกตกตะลึงมาก หลังจากแตะชีพจรก็พบว่าเพราะสูดผงสำราญพันวันจึงหลับไป ของสิ่งนี้ปกติแล้วใช้เพื่อรักษาอาการนอนไม่หลับ ฝันบ่อย ทั้งยังเป็นของล้ำค่าในการฝึกลมปราณ ปกติผงสำราญพันวันจะทำให้คนนอนหลับได้ดีและจะตื่นขึ้นมาเองภายในหนึ่งวัน คิดไม่ถึงว่าฤทธิของผงสำราญพันวันของที่นี่นั้นจะรุนแรงเช่นนี้ สามารถออกฤทธิ์ยาวนานถึงสามวัน มันช่างน่าอัศจรรย์จริงๆ
“อวิ๋นโหว รู้หรือไม่ว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นใคร” เหอเซ่าเป็นกังวลมากที่สุดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ศัตรูที่อยู่ในที่แจ้งนั้นไม่น่ากลัว แต่ที่น่ากลัวคือศัตรูที่ไม่เปิดเผยตัว
“พวกเจ้ามีใครเคยได้ยินชื่อเยี่ยถัวคนคนนี้บ้าง เขาก็คือคนที่ล่อให้พวกเราออกจากเมืองซั่วฟาง” อวิ๋นเยี่ยถามเหล่าทหารหลวงที่ประจำการในพื้นที่แถบเมืองซั่วฟางเป็นประจำ
“เรียนโหวเหยีย ข้าน้อยรู้” ทหารหลวงที่สูงวัยคนหนึ่งตอบอวิ๋นเยี่ย
“เจ้ารู้หรือ รีบเล่ามาฟัง”
“โหวเหยีย ข้าน้อยก็ได้ยินมาจากกองคาราวานแห่งซีอวี้ เยี่ยถัวคนนี้เป็นโจรปล้นม้า ไม่มีเรื่องชั่วร้ายใดที่เขาไม่ทำ เป็นใหญ่อยู่ในดินแดนซีอวี้มาเป็นเวลาสิบปีแล้ว กล่าวกันว่าเขาสูงสามจั้ง ขี่อูฐสีขาวตัวใหญ่ อาหารทุกมื้อเขาต้องกินลูกวัวหนึ่งตัว เขามีลูกน้องยี่สิบคน แต่ละคนล้วนเป็นปีศาจร้าย หลังจากปล้นฆ่าแล้วพวกเขายังคว้านหัวใจของคนในกองคาราวานมาย่างไฟกินด้วย
และก็มีเรื่องเล่าอีกอย่างหนึ่งว่าเขาเป็นเจ้าชายแห่งแคว้นคัง ราชาคนก่อนเห็นว่าเขาเกิดมาก็สามารถพูดได้ เกรงว่าเขาจะเป็นปีศาจ จึงจับเขาโยนเข้าไปในภูเขาปล่อยให้สัตว์ป่ากิน คิดไม่ถึงว่าสัตว์ร้ายไม่เพียงแต่ไม่กินเขา ทั้งยังให้นมเขาอีก เมื่อเขาโตขึ้น เขาก็โยนพ่อของเขาเข้าไปในภูเขาให้สัตว์ป่ากิน จากนั้นให้น้องชายของขึ้นเป็นราชาองค์ใหม่ ที่จริงแล้วเขาคือผู้กุมอำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในแคว้นคัง ข้าน้อยก็รู้เพียงเท่านี้”
อย่างน้อยอวิ๋นเยี่ยก็รู้เรื่องเรื่องหนึ่งจากเรื่องเล่าไร้สาระนี้ว่า เยี่ยถัวเป็นคนที่ไม่มีความชั่วใดที่ไม่ทำและเป็นคนที่มีความสามารถมากคนหนึ่ง มิฉะนั้นเขาคงจะไม่สามารถเป็นหัวหน้าโจรปล้นม้าได้และเป็นไท่ซั่งหวงของแคว้นคังไม่ได้ ทั้งยังเป็นคนประเภทที่กุมอำนาจที่แท้จริงเอาไว้ในมืออีกด้วย ฐานะทั้งสองนี้ล้วนแล้วแต่ต้องการกำลังสนับสนุนอยู่เบื้องหลังที่แข็งแกร่งมาก
โชคดีที่เขาใกล้จะตายแล้ว ครั้งสุดท้ายที่อวิ๋นเยี่ยพบเยี่ยถัว เงาแห่งความตายได้ปกคลุมเขานานแล้ว ไม่ต้องมีใครลงมือเขาก็จะฆ่าตัวเอง เมื่อคิดว่าเขากินยาลูกกลอนพิษ อวิ๋นเยี่ยก็ขนลุกซู่ขึ้นทั้งแผ่นหลัง
กงซูเจี่ยกำลังปรับแต่งรถหน้าไม้จึงไม่ได้เข้าร่วมในการสนทนาของอวิ๋นเยี่ย ตั้งแต่ที่อวิ๋นเยี่ยพูดถึงเยี่ยถัวเขาก็ไม่พูดอะไรเลย เขาจะต้องรู้มากกว่านี้แน่ อวิ๋นเยี่ยแอบคาดเดาอยู่ในใจ
กองกำลังทหารกำลังวุ่นวายกันอยู่บนทุ่งหญ้าเป็นเวลาหลายวัน แน่นอนว่าต้องพักผ่อนให้เต็มที่สักหน่อย เท้าของเฉิงฉู่มั่วถูกความหนาวจนบาดเจ็บ ซุนซือเหมี่ยวใช้ยาน้ำทานิ้วเท้าสีดำหลายๆ นิ้วอย่างระมัดระวัง ใช้เข็มเงินเขี่ยผิวหนังด้านบนขึ้น น้ำหนองสีเหลืองก็ไหลออกมา เขาถึงกับไม่รู้ด้วยซ้ำว่ารองเท้าของเขาขาดเป็นรูใหญ่ จนกระทั่งล้างเท้าเพื่อจะเข้านอนในตอนกลางคืน จึงพบว่านิ้วเท้าทั้งสามนั้นกลายเป็นสีดำ เมื่อเขาเห็นอวิ๋นเยี่ยค่อนข้างเศร้าจึงพูดว่า “ไม่เป็นอะไรมาก นักพรตซุนบอกว่าพักรักษาประมาณสิบกว่าวันถึงครึ่งเดือนก็จะหายเป็นปกติ อย่างมากที่สุดก็เล็บหลุดหมด ตอนนี้ชาๆ ไม่รู้สึกเจ็บเลยแม้แต่น้อย”
อวิ๋นเยี่ยยังไม่ทันได้พูดอะไร เหล่าซุนก็หัวเราะฮ่าๆ และพูดว่า “ตอนนี้ไม่เจ็บ แต่เมื่อตกกลางคืนมันจะคันปางตายเหมือนมีมดหลายร้อยตัวกัดเนื้อของเจ้าเลย ลองคิดถึงสภาพแล้ว ข้ายังกลัวเลย”
เฉิงฉู่มั่วไม่กลัวความเจ็บปวด แต่เขากลัวอาการคันยุบยิบ ร่างกายที่แข็งดุจเหล็กเมื่อถูกจับช่วงซี่โครงเขาจะไม่กล้าขัดขืน เพราะกลัวว่าคนอื่นจะจั๊กจี้เขา หากเขาถูกจั๊กจี้จะน้ำมูกน้ำตาไหลร่างอ่อนยวบหมือนเส้นก๋วยเตี๋ยว
เมื่อได้ยินซุนซือเหมี่ยวพูดเช่นนี้ สีหน้าเฉิงฉู่มั่วก็เปลี่ยนไปอย่างมาก จับมืออวิ๋นเยี่ยไว้ไม่ยอมปล่อย ต้องการให้เขาคิดหาวิธีที่ทำให้ไม่คัน
หญิงเลี้ยงแกะน่ารื่อมู่ได้ฟังจากองครักษ์ก็วิ่งออกไปเก็บมูลม้าจำนวนมากกลับมาให้เฉิงฉู่มั่วถูเท้า
จึงถูกซุนซือเหมี่ยวด่าแล้วไล่ออกไป ให้เฉิงฉู่มั่วอดทนไว้ บอกว่าไม่มีวิธีที่ดีในการหยุดอาการคัน
แล้วก็เป็นจริงดังที่เหล่าซุนบอก ยังไม่ถึงกลางดึก เท้าของเฉิงฉู่มั่วก็คันจนสุดจะทน เขานอนตบผ้าห่มตะโกนเสียงดังอยู่บนเตียง แต่เขาไม่สามารถงอขอขาขึ้นเกาได้ ซุนซือเหมี่ยวมัดเขาไว้บนเตียงไม้ ขยับไม่ได้แล้ว
เขาสาบานอย่างแรงกล้าว่าจะให้องครักษ์ช่วยเขาตัดนิ้วเท้าทั้งสามนั้นทิ้ง เขาไม่เอาแล้ว อวิ๋นเยี่ยไม่รู้จะทำอย่างไร จึงได้แต่ใช้น้ำเกลือถูบริเวณบาดแผลให้เขาเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าจะได้ผลดี เฉิงฉู่มั่วไม่ร้องตะโกนอีก เพียงชั่วครู่ก็นอนหลับไป
ส่วนที่ 4
ตอนที่ 31
วันปีใหม่ของคนทั้งสองที่อยู่ต่างแดน
เนื่องจากมีผู้ป่วยการเดินทางของอวิ๋นเยี่ยจึงจำเป็นต้องชะลอตัวลง เมื่อมีอาคารนี้มันก็เป็นที่พักที่ปลอดภัยที่สุดในการกำบังลมบนทุ่งหญ้า หลังจากเหน็ดเหนื่อยตะลุยอยู่บนทุ่งหญ้ามาหลายวัน ในที่สุดก็ได้พักผ่อน เรื่องที่กังวลใจก็สามารถปล่อยวางลงได้ชั่วคราว กองกำลังทั้งกองกำลังเสพสุขกับช่วงเวลาที่สุขสงบอันแสนสั้นนี้
เลียนแบบเยี่ยถัวสร้างเมืองแห่งรถลากเลื่อนขึ้นบ้าง ม้าก็ปล่อยไว้ที่ชั้นล่างของอาคาร ทหารยามยืนบนระเบียงของอาคารเฝ้าสังเกตการณ์ระยะไกล ที่นี่ไม่มีชาวเผ่าทูเจวี๋ยแล้ว พ่อแม่และน้องชายของน่ารื่อมู่ถูกชนชั้นสูงของชาวทูเจวี๋ยจับตัวไปจากทุ่งหญ้าแห่งนี้ ถอยกลับไปที่เชิงเขาอินซันอันแสนไกล เตรียมพร้อมที่จะเปิดศึกแลกชีวิตกับกองทัพอันยิ่งใหญ่ของต้าถัง
อวิ๋นเยี่ยรู้ว่าจะไม่มีฉากสังหารหมู่ของสองกองทัพอย่างแน่นอน หลังจากหมอกหนาผ่านไป ชาวทูเจวี๋ยตะวันออกจะไม่ปรากฏในบันทึกประวัติศาสตร์อีกต่อไป
ในฐานะที่เป็นทูต ถังเจี่ยนเป็นคนต่ำช้าน่ารังเกียจ เขามาที่ค่ายของข่านเจี๋ยลี่โดยมีเป้าหมายแอบแฝง มาเพื่อถ่ายทอดข่าวดีเกี่ยวกับการที่ต้าถังเตรียมจะเป็นพันธมิตรที่ดีต่อชาวทูเจวี๋ยตะวันออก ข่านเจี๋ยลี่จอมโง่เมื่อได้ยินข่าวดีนี้ ก็ไม่อยากหนีตายอีกแล้ว เขาอาลัยอาวรณ์ที่จะทิ้งทุ่งหญ้าที่สวยงามภายใต้เขาอินซันแห่งนี้ ยิ่งอาลัยอาวรณ์ที่จะละทิ้งความหวังในการปล้นชิงพลเรือนของต้าถังได้ทุกเวลา เขาประเมินความทะเยอทะยานของหลี่ซื่อหมินผิดไปและก็ประเมินความเจ้าเล่ห์ของหลี่จิ้งผิดไปด้วยเช่นกัน
ถังเจี่ยนรู้สึกว่าชีวิตของเขาหนึ่งชีวิตแลกเปลี่ยนกับการล่มสลายของทูเจวี๋ยตะวันออกได้ช่างคุ้มค่ามาก คนบ้าคนนี้ไม่สนใจชีวิตของเขา เห็นตัวเองเป็นตัวประกันเพื่อขัดขวางการหนีตายของข่านเจี๋ยลี่ที่กำลังจะดำเนินต่อ การเจรจายังคงดำเนินต่อไป เหล่าชนชั้นสูงของชาวทูเจวี๋ยยังคงเย่อหยิ่งทระนง พูดจากำเริบเสิบสาน พวกเขาเชื่อว่าราชวงศ์ถังไม่มีกำลังที่จะบุกมายังเขาอินซันแล้ว หากชาวเผ่าทูเจวี๋ยที่ยิ่งใหญ่ดุดันอดทนจนรอดพ้นจากฤดูหนาวอันโหดร้ายนี้ได้ หลังจากที่รอจนถึงฤดูใบไม้ร่วงมาศึกกลับมาแข็งแรงอีกครั้ง ชาวถังที่อ่อนน้อมเหมือนลูกแกะก็สามารถถูกพวกเขาช่วงชิงปล้นฆ่าวางเพลิงได้ตามอำเภอใจอีกครั้ง พวกเขากลั่นแกล้งถังเจี่ยนอย่างสะใจ อยากจะเห็นนักการทูตแห่งต้าถังตัวสั่นเทาเหมือนนกกระทาเพราะถูกดาบจันทร์เสี้ยวของเขาข่มขู่
ถังเจี่ยนนั้นกำลังตัวสั่น ดูเหมือนว่าเขาจะรู้สึกได้ถึงฝีเท้าของกองทัพม้าเหล็กที่เหยียบทุกอย่างละเอียด เขาหวังว่าม้าเหล็กเหล่านี้จะเหยียบลงบนศพของเขา แล้วฉีกชาวทูเจวี๋ยตะวันออกออกเป็นชิ้นๆ ทุกครั้งที่คิดถึงว่าชื่อของตัวเองจะปรากฏเป็นเกียรติโดดเด่นอยู่ในประวัติศาสตร์ เขาก็อยากจะร้องเพลง อยากจะเต้นรำ…
แผนการชั่วร้ายเริ่มหมักเน่าอยู่ภายใต้แสงแดดที่ส่องสว่างและสุกงอม เพียงแต่ไม่รู้ว่าใครจะสามารถดื่มเหล้าชั้นเลิศที่มีดีกรีแรงถ้วยนี้ได้ บรรยากาศก็เต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งแผนการอันเลวร้ายนั้น อวิ๋นเยี่ยได้กลิ่นแล้ว เขามองดูน่ารื่อมู่ที่ยังร้องเพลงอยู่ด้วยสายตาที่สงสารเวทนา ไม่รู้ว่าพ่อแม่และน้องชายของนางจะมีชีวิตรอดหรือไม่
จะเป็นการดีที่สุดหากนางได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขตลอดไป ลืมความโหดเ**้ยมของทุ่งหญ้า อวิ๋นเยี่ยไม่สามารถลืมแววตาที่เห็นตัวเองปรากฏตัวขึ้นก็กระโดดลิงโลดดีใจได้ แม้ว่าตัวนางจะต้องเผชิญหน้ากับการสังหารที่โหดร้ายที่สุดก็ตาม
การเดินทางไปยังทุ่งหญ้าครั้งนี้อวิ๋นเยี่ยได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์มากมาย อิสรภาพและความอิสระของซีถง ความใสซื่อบริสุทธิ์ของน่ารื่อมู่ ความดึงดันของเสวียนจั้ง ต่างก็ได้ประทับความทรงจำอย่างลึกซึ้งไว้ในชีวิตของเขา
เฉิงฉู่มั่วที่เดินกะเผลกได้ก่อกองไฟขนาดใหญ่ขึ้น เปลวไฟสีส้มแดงพุ่งสูงอยู่ในอากาศ เหล่าทหารเสริมทุบหน้าอกร้องเพลงออกเดินทัพ “โอรสสวรรค์บัญชาข้า ให้มุ่งหน้าสู่ซั่วฟางเพื่อปกป้อง แลดูน่าเกรงขามดังกึกก้อง ให้พวกพ้องนำพาชัยกลับมา ก่อนหน้านี้ที่ข้าได้ไป คือวันในฤดูที่ฟ้าเจิดจ้า แต่ครั้งนี้เมื่อข้าได้กลับมา ทั่วพื้นหญ้ามีแต่หิมะขาว ชาติกำลังประสบกับทุกข์ภัย หรือมีใครไม่อยากพักยาว แต่ก็หวั่นต่อกองทัพที่ส่งข่าว เหล่าแมลงต่างร้องเสียงยาว ตั๊กแตนขายาวๆ กระโดดบนกอหญ้า”
เพลงกลอนหนึ่งท่อน เหล้าหนึ่งจอก คนที่ร่ายรำเป็นก็ลุกขึ้นร่ายรำตั้งแต่ตอนที่เพลงขึ้นตั้งนานแล้ว วันนี้เป็นวันปีใหม่ เป็นวันที่ละทิ้งวันเก่าๆ ต้อนรับวันใหม่ๆ อวิ๋นเยี่ยตั้งใจงดเว้นกฎเป็นพิเศษ นอกจากกำหนดจำนวนปริมาณเหล้าแล้ว ที่เหลือก็ปล่อยให้พวกเขาสนุกได้อย่างเต็มที่ เหอเซ่าเองก็หายากที่จะใจกว้างสักครั้ง มอบของกินออกมามากมาย
น่ารื่อมู่หัวเราะอย่างเบิกบานเป็นที่สุด นางเรียนภาษาฮั่นได้หนึ่งประโยคแล้ว ไม่รู้ว่าปีศาจไร้คุณธรรมตนไหนสอนนาง ไม่ว่าพบใครก็เรียกพี่ชาย แต่ละคนที่ได้ยินนางเรียกเช่นนี้ก็หัวเราะหน้าบาน หลังจากเหอเซ่าถูกเรียกเช่นนี้ ก็หยิบปิ่นปักผมอันหนึ่งออกจากอกเสื้อมอบให้น่ารื่อมู่ ขณะที่เห็นว่านางกำลังจะเรียกซุนซือเหมี่ยวว่าพี่ชาย อวิ๋นเยี่ยรีบดึงนางออกมาอย่างรวดเร็ว นางจึงหมอบลงที่หน้าขาอวิ๋นเยี่ย เงยหน้าขึ้น ตะโกนเสียงฟังชัด “พี่ชาย”
หยกของอวิ๋นเยี่ยถูกนางใช้เชือกหนังที่น่าเกลียดเส้นหนึ่งแขวนไว้ที่คอ กลายเป็นสีกุหลาบแดงภายใต้แสงของเปลวไฟที่ส่องสะท้อน คอเสื้อของหญิงสาวถูกอวิ๋นเยี่ยที่ดึงตัวออกมาเมื่อครู่เปิดกว้างขึ้น จนเกือบจะเห็นทรวงอกขาวๆ บางทีอาจเพราะยังเยาว์วัย จึงไม่อิ่มเอิบ อวิ๋นเยี่ยหันหน้าหนีและช่วยนางดึงคอเสื้อให้ดี แต่กลับทำให้หญิงสาวหัวเราะเสียงดังขึ้น ผู้หญิงแห่งทุ่งหญ้ามักจะร้อนแรงเสมอ ร้อนแรงเหมือนไฟ…
ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว ดวงดาวที่ส่องประกายกว่าในยุคปัจจุบันมากนัก หลังจากอวิ๋นเยี่ยตรวจสอบทหารเวรเสร็จแล้ว ก็ยืนอยู่บนอาคารอยากลองดูเมืองฉางอัน แต่โชคไม่ดีที่ถูกภูเขาที่ห่างไกลบังไว้ มองไม่เห็นท่านย่า มองไม่เห็นอาหญิง ไม่รู้ว่าพวกเสี่ยวยาตอนนี้มีความสุขหรือไม่
ฤดูหนาวของกวนจงทุกอย่างจะไม่ค่อยเติบโต ในเมืองฉางอันยังคงมีผู้คนหนาแน่น ดวงอาทิตย์กำลังจะพ้นขอบฟ้า เสียงฆ้องระวังภัยก็กำลังจะดังขึ้น ชาวเผ่าหูกำลังตะโกนโหวกเหวกขายสินค้า หญิงชาวเผ่าหูที่เย้ายวนต่างก็เทเหล้าใส่ในน้ำเต้าและกอดไว้ที่อก ให้แขกเลือกได้ตามใจชอบ เนินอกใหญ่ๆ กึ่งเปลือยถูกลมเย็นพัดจนเริ่มมีสีม่วง ก็มีแขกผู้ใจดีช่วยพวกนางอบอุ่นด้วยมือของเขา หญิงชาวเผ่าหูก็หัวเราะระริกระรี้หลบซ้ายหลีกขวา แต่ก็ยังมีมือบางคนที่ได้สมปรารถนา
รถคันเล็กที่คลุมด้วยผ้าม่านสีฟ้าอ่อนแล่นมาช้าๆ หญิงชาวเผ่าหูไม่มีเวลาสนใจมือสกปรกของแขกพวกนั้น วิ่งไปหยุดอยู่หน้ารถม้าและตะโกนว่าเหล้าของนางนั้นดีที่สุดและราคาถูกที่สุด หวังว่าแขกที่อยู่ในรถม้าจะหยุดพักสักครู่ องครักษ์ที่อยู่ข้างรถม้าได้ดึงหญิงชาวเผ่าหูไปด้านข้าง จากนั้นจึงหันไปเตะอันธพาลที่จะฉวยโอกาสฉกฉวยของมีค่าไปจนล้มหัวคะมำ อันธพาลกำลังจะด่า แต่บังเอิญเห็นลวดลายเมฆลายขนนกบนรถม้า จึงรีบหยุดปากทันทีและเดินมุดเข้าไปด้านหลังของฝูงชน
อาหญิงอวิ๋นนั่งโบกผ้าเช็ดหน้าอยู่ในรถม้าด้วยอาการเบื่อหน่าย เตาผิงขนาดเล็กในรถนั้นร้อนเกินไป สาวใช้กำลังยุ่งอยู่กับการดูแลอีกคนหนึ่งกินอาหาร ปากเล็กๆ ที่อ้าและหุบมีเปลือกของผลไม้เปลือกแข็ง[1]ก็แตกออก ร้ายกาจกว่ากระรอกเสียอีก
“เสี่ยวยา เจ้าโตเป็นผู้หญิงเต็มวัยแล้ว ไม่ควรกินเม็ดลูกท้อเช่นนี้อีก เจ้าเพิ่งจะเปลี่ยนฟันไป ระวังจะฟันหักอีก หากฟันหลอจะไปหาสามีได้อย่างไร” อาหญิงทนไม่ได้กับเสียงที่เสี่ยวยาส่งเสียงออกมา จึงเอ่ยปากห้าม
“ไม่เป็นไร หากฟันหักไป พี่ชายจะทำให้แน่” หลังจากพูดจบก็กัดเม็ดลูกท้ออีกเม็ดแล้วปอกเปลือกหยิบเนื้ออย่างงุ่มง่าม
ในสายตาของนางไม่มีอะไรที่พี่ชายทำไม่ได้ เรื่องเล็กๆ อย่างเรื่องฟันหักนั้นไม่เป็นปัญหาเลย อาหญิงจึงได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ นี่ก็คือนางมารร้ายของตระกูล ถูกพี่ชายตามใจจนเสียนิสัยแล้ว ไม่ว่าทำอะไรก็ทำตามอารมณ์ เพียงแต่ยังมีจิตใจดีมีเมตตา ยกเว้นแต่เรื่องรังแกคนอื่น แม้รังของนกบนหลังคาบ้านก็หนีไม่พ้นเงื้อมมือนาง
ตอนนี้วั่งไฉเห็นนางก็จะเดินหนีออกไป นางเอาถุงเงินใต้คอของวั่งไฉออกมาและแจกจ่ายให้กับเด็กๆ ในหมู่บ้านไปซื้อขนมกิน ทำให้วั่งไฉต้องอดดื่มเหล้าเป็นเวลาสองวันจนร้องไม่หยุด มีแต่คนขับรถม้าที่ฟันหลอของที่บ้านเลี้ยงวั่งไฉดื่มเหล้าหมักหนึ่งกะละมัง จึงถือว่าได้ปลอบใจจิตใจที่บอบช้ำของวั่งไฉ
ท่านย่าทนนางไม่ไหว บ่นว่านางอยู่บ้านแล้วทำให้วุ่นวาย ในตอนเช้าจึงได้ให้อาหญิงที่จะกลับฉางอันพาไปด้วย ที่บ้านจึงค่อยเงียบสงบลงบ้าง
วันนี้ทำธุระหลายสิ่งหลายอย่าง รถม้าที่คลุมด้วยผ้าสีฟ้าอ่อนด้านหลังมีรถม้าติดตามมาเป็นขบวนยาว สิ่งเหล่านี้เป็นของที่ซื้อให้กับครอบครัวในปีใหม่ อายุเพิ่มทุกปี แต่ฐานะที่บ้านกลับเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ ปีก่อนยังคงกังวลเกี่ยวกับมื้ออาหารของวันพรุ่งนี้ แต่วันนี้กลับมีเสื้อผ้าสวยงามใส่ มีคนล้อมหน้าล้อมหลัง อาหญิงมองฝูงชนที่วิ่งอยู่ด้านนอกรถ ความรู้สึกที่ตนอยู่เหนือกว่าผู้อื่นก็เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ ตระกูลที่มีผู้ชายดูแลเป็นผู้นำนั้นต่างกันจริงๆ แม้ว่าจะมีอายุเพียงสิบหกปี ไม่สิ หลังจากปีใหม่ก็อายุสิบเจ็ดปีแล้ว ได้ทำให้ตระกูลที่เกือบจะพังทลายลงอย่างสิ้นเชิงกลับพลิกฟื้นขึ้นมาได้ ทั้งยังทำให้มีชีวิตอยู่อย่างมีศักดิ์ศรีเป็นที่เกรงขามไปทั่ว ได้แต่หวังว่าพระพุทธเจ้าจะทรงเมตตา ปกป้องคุ้มครองเขาที่อยู่ในทุ่งหญ้าให้ปลอดภัย
เมื่อคิดถึงงานเลี้ยงกลางวันในวันนี้ ท่าทีของหญิงมีฐานะเหล่านั้นช่างน่าขำ ตัวเองเป็นเพียงหญิงที่ถูกสามีหย่าเท่านั้นเอง พวกหญิงมีฐานะที่ใจแคบเหล่านั้นเหมือนกับว่าจะความจำเสื่อม ปฏิบัติต่อนางดีเป็นที่สุด เพียงเพราะต้องการน้ำหอมขวดเล็กๆ หนึ่งขวดเท่านั้น เช่นนี้ก็ถือเป็นผู้หญิงที่มีชาติตระกูลของต้าถังอย่างนั้นหรือ ก็แค่ฝูงหนอนที่น่าสงสารเท่านั้นเอง เพื่อทำให้สามีพอใจสามารถทำได้ทุกอย่าง ตลอดทั้งวันก็รู้จักแต่แต่งหน้าทาแป้ง ยั่วยวนพวกผู้ชาย ลืมหน้าที่ที่สำคัญที่สุดของผู้หญิงซึ่งก็คือการอบรมสั่งสอนลูก หากไม่มีผู้ชายแล้วเห็นทีพวกนางคงจะได้อดตายกระมัง
สิ่งที่น่ารำคาญที่สุดของอาหญิงก็คือการทนฟังเสียงฆ้องเวรยามกลางคืน ต้องเคาะถึงแปดร้อยรอบไม่รู้จักจบสิ้น ตอนนี้ก็ดังอยู่ ทุกครั้งที่เสียงกลองดังขึ้นราวกับว่าจะเร่งรีบให้คนกลับไปเร็วๆ อาหญิงอุดหูไว้ ใช้เท้าถีบประตูรถให้คนขับรถม้ารีบๆ ออกจากเมือง ตระกูลอวิ๋นมีบ้านอยู่ในฉางอัน แต่ไม่มีใครชอบอยู่ในเมืองเลยสักคน แม้ว่าเร่งเดินทางยามค่ำคืนพวกเขาก็จะต้องกลับไปที่ที่ดินพระราชทาน อาหญิงรู้สึกว่าเตียงที่นั่นนอนแล้วจึงจะสบายที่สุด
เสี่ยวยานอนหลับไปแล้ว สาวใช้กอดเสี่ยวยาไว้ในอ้อมแขน กลัวว่าจะทับถูกนาง คุณหนูตัวน้อยหลับไปแล้วจึงดูมีความเงียบสงบขึ้นบ้าง
การเดินทางยามค่ำคืนไม่ได้มีแต่พวกนาง แต่ยังมีนักศึกษาและอาจารย์มากมายของสำนักศึกษาอีกด้วย รถม้าของตระกูลอวิ๋นนั้นกว้างใหญ่ เมื่อเห็นภรรยาและลูกของเหล่าอาจารย์ในสำนักศึกษาจึงได้หยุดรถและให้โดยสารมาด้วย ต้องบอกให้รู้ว่ารถเกวียนเทียมวัวเมื่อเดินทางจนครบห้าสิบลี้นั้นฟ้าก็สว่างแล้ว สำหรับอาจารย์ก็กระโดดขึ้นรถม้าที่ลากของคันไหนก็ได้ พูดคุยกับคนขับรถม้าเป็นครั้งคราวอย่างอิสรเสรี สำหรับรถเทียมวัวก็ให้คนรับใช้รีบขับกลับไป บางครั้งก็มีศิษย์ที่ขี้เกียจแอบกระโดดเกาะรถไปด้วย หัวถึงพื้นก็หลับสนิท จนกระทั่งถึงสำนักศึกษาจึงถูกปลุกให้ตื่นขึ้น
ท่านย่ายังไม่เข้านอน กำลังนั่งตรวจบัญชี ตระกูลเหอรีบส่งเงินเหรียญทองแดงสองพันก้วนมาให้ก่อนวันปีใหม่ ทั้งยังมีจดหมายของหลานชาย หลังจากอ่านจดหมายจึงได้รู้ว่า หลานชายได้ทำการค้าเล็กๆ กับตระกูลเหอและตระกูลเหอเป็นผู้ออกหน้า ตอนนี้พวกเขาได้ส่งกำไรครั้งแรกมาให้ ไม่มีข้อผิดพลาดใดๆ ดูท่าทีแล้วยังสามารถคบค้ากับตระกูลเหอต่อไปได้
เตาเผาปูนซีเมนต์ได้ถูกทางการยึดไปแล้ว ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็ไม่สามารถเผาปูนซีเมนต์ออกมาได้ พวกช่างฝีมือทำงานอย่างขอไปที อัตราส่วนของดินเหนียวและปูนเม็ด ไม่เคยผสมให้เหมาะสมเลย เผาเสียครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งยังไม่รู้จักจำ พวกโง่เขลาเหล่านั้นยังได้เป็นขุนนาง ช่างน่าขายหน้าเสียจริง ทั้งยังกล้าแบกหน้ามาขอช่างฝีมือ ถึงที่หมู่บ้านอีก หมู่บ้านตระกูลอวิ๋นไม่มีช่างฝีมือ อะไรทั้งนั้น พวกเขาล้วนแล้วแต่เป็นเกษตรกร เมื่อว่างงานจากการทำนา ก็มาช่วยที่บ้านเจ้าของที่ดินเผาปูนซีเมนต์ไม่กี่เตาเพื่อนำไปสร้างบ้านตัวเอง ไม่ใช่ช่างฝีมือเสียหน่อย หากเจ้าแน่จริงก็แก้ข้อมูลเปลี่ยนให้ชาวนาในหมู่บ้านกลายเป็นช่างฝีมือดูสิ ตระกูลอวิ๋นไม่ใช่จะให้ใครมากดขี่ได้ง่ายๆ มานานแล้ว
แม้แต่ฝ่าบาทที่ต้องการเตาเผาปูนซีเมนต์ก็ยังต้องจ่ายเงินและเสบียงด้วยเช่นกัน การที่พวกเจ้าทำพลาดก็เป็นเรื่องของพวกเจ้า สูตรลับได้ส่งมอบให้กับทางการไปนานแล้ว เมื่อตอนส่งมอบเตาเผาปูนซีเมนต์ เสี่ยวไท่ก็ใส่ส่วนผสมที่ตามสูตรลับด้วยตนเอง ซึ่งก็สามารถเผาปูนซีเมนต์ที่มีคุณภาพออกมาได้ ยังกล้ามาพูดอีกว่าตระกูลอวิ๋นให้สูตรลับมั่วๆ ไม่ต้องให้ตระกูลอวิ๋นลงมือ เสี่ยวไท่ก็ฉีกปากของพวกเขาไม่เป็นชิ้นดีเอง
ในที่สุดเสี่ยวเค่อก็สามารถสร้างอาคารทั้งหมดได้สำเร็จก่อนที่หิมะรอบแรกจะตกลงมา ส่วนที่เหลือคือการตบแต่งภายในอาคาร ได้ยินมาว่ามีครอบครัวหนึ่งเดินทางมาสำนักศึกษา ซึ่งป็นลูกหลานของท่านหลู่ปัน ได้ยินว่าเก่งกาจมาก ไม่รู้ว่าหลานชายไปหาบุคคลที่เก่งกาจเช่นนี้มาจากที่ไหน
เมื่อนึกถึงหลานชาย ท่านย่าก็รีบไปคุกเข่าด้านหน้าพระพุทธรูปและสวดอ้อนวอน ขอให้พระพุทธองค์ปกป้องคุ้มครองให้หลานชายกลับบ้านอย่างปลอดภัย
——
[1] ผลไม้เปลือกแข็ง หมายถึง ผลของพืชบางประเภทที่มีเปลือกแข็งต้องกะเทาะเปลือกออกจึงทานผลข้างในได้ เช่น ผลเกาลัด
ส่วนที่ 4
ตอนที่ 32
การทำสงครามเป็นพฤติกรรมการบังคับให้ศัตรูทำตามวัตถุประสงค์ของพวกเราที่ต้องใช้ความรุนแรงประเภทหนึ่ง—คาร์ล ฟอน เคลาเซวิทซ์[1] อวิ๋นเยี่ยรู้จักคำพูดประโยคนี้มาตั้งนานแล้ว ทั้งยังเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง
ยิ่งเข้าใกล้หลี่จิ้ง ศพของชาวเผ่าทูเจวี๋ยในพงหญ้ายิ่งมากขึ้น พวกเขาโดยมากจะสวมแต่เสื้อหนังแกะที่ขาดวิ่นและนอนอย่างโดดเดี่ยวหรือนอนกองรวมกันเป็นกลุ่มอยู่ตรงนั้น หิมะไม่ได้กลบศพของพวกเขา เพียงแต่สวมเสื้อคลุมด้านนอกที่เงาระยิบระยับให้พวกเขาอีกชั้นหนึ่ง
ทหารเสริมในกองกำลังยิ่งเกิดความดีใจเพิ่มมากขึ้น ขอเพียงแค่เห็นศพใหม่เพิ่มขึ้นหนึ่งศพก็จะหยุดพักเพื่อถกเถียงกันว่าเขาถูกฆ่าตายอย่างไร ดาบนี้ใช้กำลังมากเพียงใด รอยหอกนี้ถูกแทงเข้าจากมุมใด อ๊การฆ่าเช่นนี้ค่อนข้างเดายากเสียหน่อยแล้ว ศีรษะถูกระเบิดออกเพราะถูกทุบจนเละใช่ไหม จะต้องเป็นการกระทำของทหารที่โหดมาก พละกำลังนี้ ความแม่นยำนี้ พวกข้าเหล่าพลทหารคงได้แต่มองยากที่จะทำได้
ท่าทางของน่ารื่อมู่ดูแปลกๆ เมื่อเห็นศพหนึ่งศพก็วิ่งเข้าไปแล้วก็พูดภาษาต่างด้าวอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ใช้ถ่านไม้วาดเส้นดำๆ หนึ่งเส้นไว้บนใบหน้าเล็กๆ ของตัวเอง ไม่ถึงครึ่งวัน ใบหน้าเล็กๆ ของนางก็กลายเป็นสีดำเขลอะไปทั้งหน้า ซากศพนั้นมากมายก่ายกองจริงๆ อวิ๋นเยี่ยคิดว่า แม้นางจะวาดรอยดำทั่วทั้งร่างจนกลายเป็นสาวแอฟริกา ก็ไม่สามารถแสดงออกถึงความทุกข์โศกของนางได้หมด
ชาวเผ่าทูเจวี๋ยมีประเพณีที่ว่าจะต้องใช้มีดกรีดที่หน้าของตนเองเพื่อเป็นการไว้ทุกข์ให้ผู้ตาย น่ารื่อมู่เพียงใช้ถ่านไม้ก็แสดงให้เห็นว่ามีวิวัฒนาการขึ้นมากแล้ว หรือบางทีอาจเพราะการตายของชาวเผ่าทูเจวี๋ยเหล่านี้ยังไม่ได้ทำให้นางสะเทือนใจถึงขั้นรุนแรง เพียงแต่ถือโอกาสแสดงความเสียใจด้วยเท่านั้นเอง
จนกระทั่งถึงมื้ออาหารค่ำ น่ารื่อมู่ก็ยังคงไม่ได้กลับมารื่นเริงเหมือนเช่นเคย ปกติแล้วเมื่ออาหารค่ำปรุงเสร็จ น่ารื่อมู่ก็จะเหมือนลูกสุนัขที่คอยไปเดินวนเวียนอยู่รอบๆ หม้อ ในมือก็ถือชามข้ามใบใหญ่ๆ รออย่างใจจดจ่อให้พ่อครัวตักอาหารรสเลิศให้นางให้เต็มชาม
แต่วันนี้กลับไม่เป็น นางนั่งคุดคู้ร้องไห้หลบอยู่ในมุมที่มืดมิดที่สุด พ่อครัวอ้วนยกชามข้าวพูนๆ มาให้นาง ด้านบนยังราดด้วยน้ำแกงเนื้อที่น่ารื่อมู่ชอบกินที่สุดด้วย มีหางแกะที่นุ่มๆ มันๆ กองอยู่ด้านบนสุด หากเป็นปกตินางจะต้องดีใจจนเรียกพี่ชายพ่อครัวอ้วนแล้ว
เมื่อมองดูใบหน้าเล็กๆ ของน่ารื่อมู่ที่กำลังร้องไห้หน้าบวม พ่อครัวอ้วนก็ถึงกับถอนหายใจด้วยความเศร้า กร่นด่าโลกแห่งการฆ่านี้ จากนั้นก็วางชามข้าวไว้ข้างๆ น่ารื่อมู่แล้วจากไป น่ารื่อมู่กอดชามข้าวไว้แล้วใช้ช้อนตักข้าวคำโตๆ กินไปพลางน้ำตาไหลรินไปพลาง…
อวิ๋นเยี่ยรู้ดีว่า ถ้าต้าถังต้องการพัฒนาอย่างมั่นคง ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องมีสภาพแวดล้อมนอกด่านที่ปลอดภัย ทุกวันนี้ทุกคนที่รบราฆ่าฟันกันอยู่ภายนอกล้วนแล้วแต่เป็นชายชาวฮั่นที่เป็นคนดี น่ารื่อมู่นั้นเห็นแต่เฉพาะศพของชาวเผ่าทูเจวี๋ย ไม่เคยเห็นธงขาวที่โบกสะบัดอยู่บนสุสานของชาวฮั่น คนที่นอนอยู่ในหลุมศพอันหนาวเหน็บก็คือคนที่เฝ้าคิดถึงเช่นกันกระมัง
การมาทุ่งหญ้าครั้งนี้ ถ้าจะกล่าวว่าอวิ๋นเยี่ยมาเพื่อออกศึกนั้น ควรจะกล่าวว่ามาเพื่อพิสูจน์ความจริงในประวัติศาสตร์เสียมากกว่า ในยุคสมัยที่รุ่งโรจน์นี้ ม้าที่งามสง่าที่ควบอย่างคึกคะนอง เหล่าทหารที่แข็งแกร่งอาจปลุกความตื่นเต้นเร้าใจที่หายไปนานของเขาให้ตื่นขึ้นได้
ผู้คนไม่สามารถอยู่ได้โดยปราศจากความรู้สึก ไม่มีเป้าหมาย มีเพียงการทุ่มเทความสนใจทั้งหมดกับเฉพาะสิ่งที่พวกเขาต้องการทำจึงจะลืมความเจ็บปวดในใจได้ ตอนนี้น่ารื่อมู่ต้องการเพียงกำจัดชามข้าวเท่านั้น อวิ๋นเยี่ยนั้นหวังว่ากองทัพของต้าถังจะสามารถมุ่งหน้าต่อไป และสู้สุดกำลังกำจัดขวากหนามให้สิ้น
จะว่าไปก็เป็นเรื่องน่าขำ ในสถานการณ์ที่ทุกคนมีคุณสมบัติเท่าเทียมกัน ข้าวหนึ่งชามและความกล้าหาญทหารต้าถังนั้นเทียบเท่ากัน
เหอเซ่านำเหล่าทหารเสริมทำตัวเหมือนหมาป่ากินเนื้อเน่าบนทุ่งหญ้า พวกเขาเก็บรวบรวมม้าที่ถูกทับตายทั้งหมดและตัดเฉพาะสี่ขาของม้า ส่วนอื่นๆ ก็โยนทิ้งไว้บนทุ่งหญ้าที่รกร้างปล่อยให้สัตว์ป่ากลืนกินตามใจชอบ
บนรถลากเลื่อนมีขาม้ากองไว้เป็นเนินสูงซึ่งทั้งหมดถูกตัดออกมาโดยการใช้เลื่อย เมื่ออวิ๋นเยี่ยเห็นฉากนี้แล้ว มีความรู้สึกแปลกๆ อย่างหนึ่งที่พูดไม่ออกจริงๆ ค่อนข้างน่าสังเวช ทั้งรู้สึกน่าเศร้า ทั้งยังน่าขยะแขยงอีกด้วย
ไม่สามารถตำหนิเหอเซ่าได้ นี่คือสิ่งที่อวิ๋นเยี่ยบอกเหอเซ่าเองเมื่อตอนก่อนออกเดินทาง สิ่งที่สามารถใช้ได้ก็ให้นำมาใช้ให้เกิดประโยชน์มากที่สุดก็คือวิธีการที่ใช้กันเป็นประจำในยุคปัจจุบัน หมูหนึ่งตัวสามารถใช้ประโยชน์จากขนหมูไปจนถึงอุจจาระ ไม่ว่าส่วนไหนของร่างกายก็มีค่าในการนำไปใช้ ล้วนแล้วแต่สร้างผลกำไรได้ทั้งสิ้น เพียงแต่ไม่ได้คำนึงถึงความเต็มใจของหมูเท่านั้นเอง ถ้าหากทหารในกองทัพต้าถังกินคน อวิ๋นเยี่ยเชื่อว่าเหอเซ่าจะไม่ลังเลที่จะเลื่อยขาของศพเหล่านั้นแล้วนำมาทำเป็นไส้กรอกแสนอร่อย
ตั้งแต่นั้นมา อวิ๋นเยี่ยก็ไม่เคยกินไส้กรอกที่เหอเซ่าทำอีกเลย ถึงแม้ว่ามันจะอร่อยไร้ที่เปรียบก็ตามที
สวี่จิ้งจงตื่นขึ้นจากการหลับใหลและไม่พูดอะไรเลยเป็นเวลาสองวันแล้ว ในวันที่สาม เขาให้คนรับใช้ชราเชิญอวิ๋นเยี่ยมาหาเขา เขามีอะไรอยากจะบอก
“อวิ๋นโหว ข้าคิดเสมอว่าคำพูดที่พูดในท้องพระโรงมีแต่คำโกหก จึงไม่เคยคิดใส่ใจ เพียงแค่ค่อนข้างรู้สึกน่าขำ คิดว่าขุนนางฝ่ายบู๊และฝ่ายบุ๋นทั้งราชสำนักล้วนแล้วแต่เป็นพวกโง่เขลา คำกล่าวเกี่ยวกับวิถีแห่งเซียนเป็นเพียงสิ่งที่มองไม่เห็นจับต้องไม่ได้ กลับยังมีคนต้องการไปพิสูจน์ข้อเท็จจริงจริงๆ และผลของการพิสูจน์ทำให้ข้าประหลาดใจ เพียงแค่แอบมองดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก็ต้องประสบอุทกภัยและอัคคีภัย อันตรายต่างๆ นานา วีรบุรุษดังเช่นเยี่ยถัวคนนี้ก็ถูกทรมานจนเกือบเอาชีวิตไปโยนทิ้ง ตอนนี้มีชีวิตอยู่ก็เหมือนตายทั้งเป็น อวิ๋นโหว ได้โปรดเห็นแก่ที่เราเป็นพวกเดียวกัน บอกความจริงกับข้าด้วย โลกนี้มีเทพเจ้าจริงๆ หรือ” ในฤดูหนาวเดียวป่วยหนักติดต่อกันสองครั้ง ทำให้สวี่จิ้งจงดูแก่ชราขึ้นมาก สองวันนี้ก็ครุ่นคิดอย่างหนัก จรผมสองข้างนั้นมีผมสีขาวแซมขึ้นเล็กน้อย
“ไม่มีพระเจ้าในโลกนี้ ประสบการณ์แปลกประหลาดของข้ากล่าวได้ว่าใต้หล้านี้พบได้น้อยมาก ข้าก็ไม่เคยเห็นเทพเซียน สระเหยาฉือเป็นเพียงทะเลสาบแห่งหนึ่งเท่านั้น เยี่ยถัวเป็นเพียงผู้ที่โชคร้าย ไม่มีอะไรทำถึงได้ไปสระสวรรค์อะไรกันในช่วงฤดูหนาว ถ้าหากไปในช่วงฤดูร้อนรับประกันว่าจะไม่มีเรื่องโชคร้ายเช่นนี้แน่นอน โจวมู่อ๋องนั่งรถม้าแปดตัวลากไปพบกับเจ้าแม่ซีหวังหมู่ก็เพียงเพื่อความคิดสกปรกที่เกิดขึ้นชั่วครู่เท่านั้น แม่มดพบเซียงอ๋องก็เป็นเพียงฝันเปียกเท่านั้น เจ้ายังไม่เคยฝันประเภทนี้หรือว่าข้าไม่เคยฝันเช่นนี้มาก่อน เพียงแต่มันเกิดขึ้นกับบุคคลที่มีสถานะพิเศษ สถานที่ที่พิเศษ ดังนั้นมันจึงกลายเป็นตำนาน ถ้าหากเจ้าอยู่ที่เขื่อนซันเสียต้าป้า[2]แล้วฝันเปียก หากไปบอกผู้อื่นรังแต่จะทำให้กลายเป็นเรื่องตลก แต่สำหรับฉู่เซียงอ่องและโจวมู่อ๋องนั้นแตกต่างกัน พวกเขาเป็นกษัตริย์ดังนั้นทุกคนจึงค่อนข้างเชื่ออย่างหน้ามืดตามัว เชื่อว่าทุกสิ่งที่กษัตริย์พบในความฝันนั้นเป็นเรื่องจริง”
“พระเจ้ามีที่มาเช่นนี้หรือ เพียงแค่การกระทำเล็กๆ โดยไม่ได้ตั้งใจของบุคคลสำคัญ จะถูกนำมาขยายความจนถึงขั้นนี้เชียวหรือ” สวี่จิ้งจงรู้สึกค่อนข้างผิดหวังและค่อนข้างโล่งใจ
“ชาวต้าถังนับล้านคนของเรา เจ้าสามารถหาตัวอย่างที่เคยเห็นเทพเซียนในสภาพที่ยังมีสติดีพร้อมได้สักคนหรือไม่ เหลาสวี่ คราวนี้กลับไป หากเจ้าไม่ต้องการกลับไปที่ราชสำนัก ข้าจะถวายฎีกาขอให้ฝ่าบาททรงอนุญาตให้เจ้าเป็นคณะกรรมการอยู่ในสำนักศึกษา” อวิ๋นเยี่ยพูดสิ่งที่เขาตัดสินใจหลังพิจารณาแล้วออกมา
สวี่จิ้งจงลุกพรวดพราดขึ้นจากเตียงเล็กๆ มองอวิ๋นเยี่ยแล้วพูดว่า “อวิ๋นโหว ถ้าหากข้าจำไม่ผิดละก็ เจ้าคัดค้านเป็นอย่างยิ่งกับการที่จะให้ข้าอยู่ในสำนักศึกษา ทำไมตอนนี้ถึงได้ทุ่มเทแนะนำให้ข้าได้อยู่ต่อ ทั้งยังให้เป็นคณะกรรมการด้วย นี่ควรจะเป็นตำแหน่งของเจ้า อวิ๋นโหว บอกข้าทีว่าเพราะเหตุใด”
การสนทนากันอย่างชัดถ้อยชัดคำเช่นนี้อาจเป็นไปได้ว่า ตั้งแต่สวี่จิ้งจงเข้ารับราชการมาไม่เคยใช้มาก่อนเลย
“เหลาสวี่ ไม่ว่าผู้อื่นจะคิดอย่างไร ข้าไม่รู้ ข้าเพียงแต่ต้องการพูดความคิดของตัวเองเท่านั้น สำนักศึกษาเป็นสถานที่ในอุดมคติของข้า ข้าจะไม่ปล่อยให้มันได้รับอันตรายแม้เพียงเล็กน้อย สาเหตุที่ข้าสนใจเจ้าก็คือความสามารถของเข้า ตอนนี้สำนักศึกษากำลังอยู่ในช่วงระหว่างการเริ่มดำเนินการ มีเรื่องต่างๆ นานาที่ต้องให้รับผิดชอบ ข้าเชื่อว่าในภายหน้ามันจะต้องรุ่งโรจน์อีกนับพันปี สวี่จิ้งจง เจ้าเป็นผู้ที่มีความสามารถ มีความทะเยอทะยานและมีวิธีการ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งจำเป็นที่สุดสำหรับสำนักศึกษาในขณะนี้ ถ้าหากบุคลากรของสำนักศึกษามีแต่คนเถรตรงเช่นอาจารย์หลี่กัง มันจะไม่ใช่วาสนาของสำนักศึกษาแต่เป็นหายนะ” อวิ๋นเยี่ยพูดตามความจริง คราวนี้ไม่มีการปกปิดต่อสวี่จิ้งจงแม้แต่น้อย เปิดเผยทุกอย่าง
เขารู้สึกอึกอักเขินอายเล็กน้อย แน่นอนล่ะ ไม่ว่าเป็นใคร หากถูกผู้อื่นเรียกชื่อพร้อมนามสกุลแล้วบอกว่าเป็นคนเลวต่ำช้า อารมณ์ที่แสดงออกบนใบหน้าย่อมยอดเยี่ยมเกินบรรยาย หากเป็นผู้ที่ใจคอคับแคบอาจจะแอบไปทักทายคนในครอบครัวเจ้าลับหลัง สวี่จิ้งจงเพียงแต่อึกอักเขินอายเล็กน้อย ถือได้ว่าเป็นบุคลากรชั้นเลิศของพวกต่ำช้าจริงๆ ซึ่งนี่เป็นบุคคลากรที่สำนักศึกษาต้องการอย่างเร่งด่วน ซึ่งจะต้องพึ่งพาคนเช่นนี้เพื่อคานอำนาจสถานการณ์ความเป็นกลางของสำนักศึกษา
“อย่าคิดว่าข้ากำลังด่าเจ้า ข้าเองก็เป็นคนเช่นนี้ ดังนั้นพวกเราจึงเป็นคนประเภทเดียวกัน เจ้าเคยได้ยินแคว้นจวินจื่อหรือไม่”
สวี่จิ้งจิงคิดจนสมองแตกก็คิดเรื่องเช่นนี้ไม่ออก จึงได้แต่ส่ายศีรษะ เขาไม่ชอบการคิดคำนวณที่เปลี่ยนเรื่องอย่างฉับพลันของอวิ๋นเยี่ยเอาเสียมากๆ
“เล่ากันว่าในสมัยโบราณ มีประเทศหนึ่งเรียกว่าแคว้นจวินจื่อ แคว้นจวินจื่อคือประเทศของ ‘ชาวประชาที่มีวัฒนธรรมและความสุข’ ที่มี ‘การผ่อนปรนไม่แก่งแย่ง’ ประตูเมืองเขียนไว้ประโยคหนึ่งว่า ‘การคิดดีทำดีเป็นขุมทรัพย์ ‘ ‘ผู้นำแห่งแคว้นนั้นได้ประกาศอย่างชัดเจน หากประชาชนส่งทรัพย์สมบัติอันล้ำค่าให้แก่รัฐ นอกจากจะทำลายทิ้งแล้วยังจะต้องโดนโทษทัณฑ์ด้วย “เสนาบดีของที่นี่นั้น ‘ถ่อมตนอัธยาศัยดี’ นิสัยเป็นกันเองและ ‘ไม่มีนิสัยวางอำนาจของเหล่าขุนนาง’ ทำให้ผู้คนรู้สึกน่าเคารพและน่านับถือ ชาวบ้านของแคว้นนี้ให้เกียรติซึ่งกันและกัน ‘ทุกคนมีสิทธิเท่าเทียม ไม่ว่าคนรวยหรือคนจน ประพฤติตนและพูดจาทั้งสุภาพและมีมารยาท’ ‘ชาวนายอมสละที่นาได้ คนเดินเท้ายอมหลีกทางได้’ ผู้ขายพยายามหากำไรน้อย ขายสินค้าชั้นดี ผู้ซื้อพยายามจ่ายราคาสูง ซื้อเพียงสินค้าธรรมดาทั่วไป ต่างผ่อนปรนให้กันและกัน”
ดวงตาของสวี่จิ้งจงม้วนเป็นขดยากันยุงแล้ว เพียงแต่สุดท้ายแล้วก็เป็นจอมชั่วร้ายแห่งยุค จึงรีบถากถางกลับทันที “ความสามารถในการแต่งเรื่องไปตามน้ำของอวิ๋นโหว ข้าเหลาสวี่ขอชื่นชมจากใจจริงๆ เพียงคำเดียวที่ข้องเกี่ยวกับสมัยโบราณทำให้ไม่สามารถพิสูจน์ข้อเท็จจริงได้ เพียงแต่มีช่องโหว่เล็กน้อยเท่านั้น ประโยคที่ว่า “การคิดดีทำดีเป็นขุมทรัพย์” เป็นประโยคที่อยู่ในบทกวี “หลี่จี้-ต้าเสวีย” ทั้งประโยคความว่า แคว้นฉู่หาได้มีสมบัติล้ำค่าไม่ มีเพียงแต่การคิดดีทำดีเป็นขุมทรัพย์ ” ท่านบอกว่าแคว้นจวินจื่อโบราณจะต้องเกิดอยู่หลังประโยคนี้ เหตุการณ์ที่โดดเด่นของสมัยชุนชิวจั้นกั๋วมีมากมายดุจขนวัว ข้าเหลาสวี่ก็ถือเป็นผู้ที่มีความรู้กว้างขวางคนหนึ่ง เหตุใดจึงไม่เคยได้ยินเรื่องนี้ คราวหน้าหากท่านอยากหลอกเหลาสวี่ ก็ขอให้ท่านใช้ความรู้ที่ศึกษาอย่างแท้จริงออกมา เช่นนี้แล้วข้าจะได้ยินดีให้หลอกด้วยความเต็มใจ”
ทันทีที่คำพูดจบลง ทั้งคู่ก็กุมท้องหัวเราะลั่น
“การเล่าเรื่องนี้ให้เจ้าฟังไม่ได้มีไว้เพื่อให้เจ้าจับผิด แต่เพื่อบอกเจ้าว่า ประเทศในอุดมคติเช่นนี้ นอกจากการล่มสลายแล้วจะไม่มีเส้นทางที่สองที่จะให้เดิน เจ้าเห็นด้วยไหม” อวิ๋นเยี่ยรอให้สวี่จิ้งจงหัวเราะจนพอแล้ว จึงค่อยถามเขาต่อ
สีหน้าของสวี่จิ้งจงนั้นกล่าวได้ว่ามีชีวิตชีวาเต็มเปี่ยม เขาไม่อยากจะขีดเส้นให้ตัวเองเข้าไปอยู่ในกลุ่มของคนชั่วเลย แต่เขาก็รู้ว่าโดยธาตุแท้ของเขาก็ไม่สามารถเป็นสุภาพบุรุษได้จริงๆ จึงได้แต่ยอมรับโดยปริยาย อย่างไรเสียข้างๆ ก็ยังมีโหวเหยียอยู่เป็นจำพวกเดียวกัน เรื่องที่ยอมรับเองว่าเป็นคนต่ำช้า แม้ฆ่าให้ตายก็ห้ามให้มีบุคคลที่สามรู้อย่างเด็ดขาด
“ถูกต้อง คำพูดนี้มีเหตุผล หากแคว้นจวินจื่อมีศัตรูนอกด่าน การถูกทำลายนั้นเป็นเรื่องที่แน่นอนอย่างที่สุด คำนำของตำราพิชัยยุทธ์ก็ได้กล่าวไว้ การใช้ทหารสำคัญอยู่ที่การเปลี่ยนแปลงร้อยแปด จู่โจมโดยคาดไม่ถึง หากต้องการชนะการต่อสู้ก็ไม่สามารถเป็นสุภาพบุรุษได้ การทำศึกอย่างเมตตาธรรมของซ่งเซียงกงก็ได้พิสูจน์คำกล่าวนี้ให้เห็นแล้ว” สวี่จิ้งจงไม่ได้กล่าวอ้างเรื่อยเปื่อย ตัวอย่างที่หยิบยกมานั้นมีเอกสารอ้างอิงให้สืบค้นได้ ซึ่งแตกต่างจากตัวอย่างของอวิ๋นเยี่ย ไม่มีทางที่จะพิสูจน์ข้อเท็จจริงได้เลย
“สำหรับประเด็นนี้ พวกเราได้เห็นพ้องต้องกันแล้ว ท่านยังคิดว่าสำนักศึกษาไม่ต้องการคนที่มีประสบการณ์ทางโลกสูงเพื่อช่วยบริหารควบคุมหรือ” อวิ๋นเยี่ยยิ้มตาหยีมองสวี่จิ้งจง
สวี่จิ้งจงรู้สึกเพียงว่าวิญญาณกำลังจะออกจากร่าง เมื่ออยู่ต่อหน้าอวิ๋นเยี่ย เขารู้สึกสยองพองเกล้าอย่างที่สุด
——
[1] คาร์ล ฟอน เคลาเซวิทซ์ เป็นพลเอกชาวเยอรมันและนักทฤษฎีทางทหารชาวเยอรมัน (ปรัสเซีย) ผู้เน้นย้ำแง่มุมทาง “จิตใจ” และการเมืองของสงคราม
[2] เขื่อนซันเสียต้าป้า หรือ เขื่อนสามหุบเขา หรือ เขื่อนสามผา เป็นเขื่อนอเนกประสงค์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกของประเทศจีน ลักษณะของเขื่อนเป็นแบบเขื่อนคอนกรีตถ่วงน้ำหนักกั้นขวางแม่น้ำฉางเจียงหรือแม่น้ำแยงซี
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น