เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วนที่ 4 ตอนที่ 27-28

ส่วนที่ 4

 

ตอนที่ 27

 

ลอบสังหาร

 


 


 


อวิ๋นเยี่ยคิดไม่ถึงว่าอาคารนี้ทั้งหมดจะใหญ่มากถึงเพียงนี้ สร้างด้วยท่อนไม้หนาขนาดท่อนแขนทั้งหมด จากนั้นจึงหุ้มด้วยหนังอูฐ หน้าต่างทั้งสี่ด้านถูกคลุมด้วยหนังที่ไม่รู้ว่าเป็นหนังของอะไร ซึ่งบางและโปร่งใส อาคารทั้งหลังสวยงามโอ่อ่า ทุกที่เต็มไปด้วยผ้าม่านหลากสีสัน ภาชนะล้ำค่านานาชนิดเลี่ยมทองฝังเงินกระจัดกระจายอยู่บนพื้น อวิ๋นเยี่ยหยิบกาเหล้าม้าเริงระบำขึ้นมาดูตรงหน้าอย่างละเอียด ทั้งสองด้านของกาเป็นรูปม้าทองคำลายนูนสูง เป็นลายกีบที่ทับซ้อนกันขึ้นมา ม้าร่ายรำอย่างสง่างาม แผงคอพลิ้วไหว สร้อยถักคล้องคอแกว่งไกว ภาพม้าเริงระบำมอบอายุที่ยั่งยืน โดดเด่นดูชีวิตมีชีวิตชีวา


 


 


ขณะที่กำลังส่งเสียงจุ๊ปากชื่นชมอยู่นั้น เสียงแหบห้าวก็ดังขึ้นมา “เหตุใดอวิ๋นโหวถึงให้ความสำคัญกับสิ่งของแต่ไม่ใส่ใจตัวบุคคล”


 


 


“ตั้งแต่พริบตาแรกที่ก้าวเข้ามาในอาคารนี้ อยากจะไม่สนใจเจ้าก็เป็นเรื่องที่เป็นไม่ได้ เพื่อที่จะให้พวกเราได้สนทนากันอย่างสบายใจ ก่อนอื่นจึงได้ชื่นชมภาชนะของที่นี่ หรือว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่แขกควรทำเช่นนั้นหรือ” อวิ๋นเยี่ยยังไม่ยอมวางกาเงินในมือลง ยังคงชื่นชมต่อไป แต่สวี่จิ้งจงกลับเริ่มเหงื่อไหลเต็มแผ่นหลัง


 


 


“โอ้ หรือว่าอวิ๋นโหวรังเกียจที่เยี่ยถัวเป็นชาวต่างเผ่า จึงไม่อยากคุยกับข้า”


 


 


“ภาษาชาวฮั่นของเจ้ายังพูดได้ดีกว่าข้าเสียอีก เมื่ออยู่ต่อหน้าเจ้า ข้ารู้สึกว่าตัวเองยิ่งเหมือนคนป่าไร้อารยธรรมมากกว่าอีก จะมีเหตุผลใดให้รังเกียจกันอีก” อวิ๋นเยี่ยพลางพูดพลางมองหาจอกเหล้าที่เข้าชุดกับกาเงินจากบนพื้น สวี่จิ้งจงดูเหมือนจะรู้สึกร้อนเล็กน้อย ดวงตามองไปที่พื้น เหงื่อก็ไหลอยู่ตลอด


 


 


“เจ้าหาจอกเหล้าไม่เจอหรอก ถูกข้าบีบจนแบนหมดแล้ว”


 


 


“ไม่รู้จักถนอมของล้ำค่า ของที่ล้ำค่าบนโลกที่มีเลอค่าเช่นนี้กลับไม่รู้จักรักษามันไว้ ช่างเป็นเรื่องที่น่าเสียดายจริงๆ ของล้ำค่าเช่นนี้ถูกทำให้เป็นของที่ใช้การไม่ได้ไปตลอดกาล ช่างเป็นเรื่องน่าเศร้าของมนุษย์เราจริงๆ”


 


 


“เหตุใดอวิ๋นโหวจึงไม่กล้ามองข้า ข้ากลายเป็นอย่างเช่นปัจจุบันนี้เกี่ยวข้องกับอวิ๋นโหวเป็นอย่างมาก ไม่รู้ว่าอวิ๋นโหวมีอะไรจะสอนข้าหรือไม่” ไม่รู้ว่าทำไมเสียงแหบห้าวจึงหายแหบแล้ว ทั้งยังมีเสน่ห์เพิ่มขึ้นหลายส่วน แต่สำเนียงแปลกๆ ให้ความรู้สึกคล้ายกับเย้ยหยันอยู่บ้าง


 


 


“ไม่ใช่ไม่กล้ามองเจ้า แต่กำลังคิดว่าเจ้าต้องประสบกับอะไรมาก่อนจึงมีสภาพเหมือนปีศาจดังปัจจุบัน”


 


 


“อวิ๋นโหวไม่รู้หรือ”


 


 


“จากภาพนั้นข้าก็รู้ว่าเจ้าไปยังสถานที่ของซีหวังหมู่มาแล้ว สระสวรรค์สวยหรือไม่”


 


 


เสียงของเยี่ยถัวดูเหมือนจะถูกเค้นออกมาจากท้อง เสียงอึกอักเหมือนมีหนังวัวชั้นหนึ่งกั้นอยู่ “เพื่อสระสวรรค์ที่เจ้าพูดถึง มือดีที่ซื่อสัตย์ที่สุดสิบหกคนของข้าตายในทุ่งหญ้าร้าง อวิ๋นโหวจะไม่ตอบอะไรข้าหน่อยหรือ” หลังจากฟังคำพูดนี้จบ สวี่จิ้งจงก็นั่งคุกเข่าลงบนพื้น ร่างกายสั่นเทาไปทั้งตัว


 


 


“วาสนาหรือทุกข์ภัยเดิมนั้นไร้ประตู ปล่อยให้คนเราไปค้นหาเอง ประการแรก ข้าไม่ได้ให้เจ้าไปที่นั่น ประการที่สองข้าไม่ได้เชิญเจ้าไปที่นั่น เจ้าได้ยินข่าวลือแล้วก็รีบไป จะโทษใครได้ เยี่ยถัว ข้ารีบเดินทางเป็นเวลาครึ่งค่อนวัน ทั้งกระหายน้ำทั้งเหนื่อย เจ้าจะไม่ให้พวกเขาจัดอาหารเครื่องดื่มหน่อยหรือ ให้แขกยืนคุยถือเป็นหลักการต้อนรับของเจ้าหรือ” อวิ๋นเยี่ยเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งแล้วว่าเยี่ยถัวก็คือตัวโชคร้ายตั้งแต่หัวจรดหางอย่างแท้จริง ไม่รู้ว่าได้ยินคำลวงของใครเข้า ตัวเองวิ่งโร่ไปยังดินแดนแห่งเทพเจ้าเอง เมื่อถูกธรรมชาติลงโทษ จึงต้องพบกับฉากจบที่น่าเศร้าเช่นนี้ ถึงตอนนี้ก็ยังคงมีความหวังอันยิ่งใหญ่เกี่ยวกับเรื่องชีวิตอมตะอีก คนโง่ที่สมองตายด้านประเภทนี้ แม้มีพลังที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ ความสามารถที่แข็งแกร่งกว่านี้ ก็ไม่น่าหวาดกลัวอะไร เมื่อเรื่องในใจปล่อยวางได้ เชื่อว่านิสัยย่อมอ่อนโยน


 


 


“จริงสิ ทำไมเจ้าจึงแขวนตัวเอง ทั้งยังใช้ห่วงเงินเจาะทะลุผิวหนังตัวเองอีก ใครเสนอความคิดให้เจ้า” อวิ๋นเยี่ยเพิ่งจะค้นพบว่าชายคนนี้เป็นพวกวิปริตอย่างแท้จริง เจาะรูจำนวนมากบนหลังของตัวเองและร้อยห่วงเงินที่ผิวหนังด้านหลัง จากนั้นใช้เชือกหนังร้อยเชื่อมกันเพื่อแขวนตัวเองขึ้นไป เขาไออย่างทรมานไม่หยุด ขากเสมหะสีดำอ่อนๆ ออกมาไม่หยุด


 


 


 “หึๆๆ สิ่งนี้ก็ได้มาจากท่านนี่ล่ะอวิ๋นโหว เพราะอะไรเจ้าไปที่สระสวรรค์โดยไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ ข้าแค่พาพี่น้องไปดูสักครั้งด้วยความยากลำบาก กลับต้องพบกับความทุกข์ทรมานอันเลวร้ายเช่นนี้ ครั้งแรกหิมะถล่ม ต่อมาคือทะเลเพลิง สงสารพี่น้องสิบหกคนของข้า บ้างก็ถูกหิมะถล่มดูดกลืนไป บ้างก็ถูกเปลวไฟเผาจนเป็นกองขี้เถ้า ข้าได้แต่พึ่งพาวิชาที่น่าหวาดกลัวของนักบวชปีศาจแห่งเทียนจู๋ มันเป็นเพราะเหตุอันใดกัน”


 


 


ในยุคปัจจุบัน พวกที่เป็นโรคมาโซคิสม์[1]พบมากที่สุดคืออินเดีย ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีนักบวชที่บำเพ็ญทุกรกริยาจำนวนมากที่ต้องการบรรเทาอาการบาดเจ็บทางจิตใจโดยใช้ความเจ็บปวดทางร่างกาย กล่าวกันว่ามันมีประสิทธิภาพมาก คิดไม่ถึงว่าจะได้พบอยู่ที่นี่คนหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขายังเป็นผู้ถูกกระทำอีกด้วย เมื่อเห็นภาพที่เจ็บปวดแสนสาหัสของเยี่ยถัวแล้ว อวิ๋นเยี่ยก็อยากจะหัวเราะ การปีนเขาในฤดูหนาวการจะเจอหิมะถล่มมันก็เป็นเรื่องธรรมดา ในยุคปัจจุบันยังมีที่ถูกฝังไปหลายคนเลย ตอนนี้สภาพแวดล้อมดีเช่นนี้ คิดว่าหิมะบนภูเขาหิมะคงจะมากกว่าในยุคปัจจุบันมากพอสมควรกระมัง คิดว่าพวกเขาคงเคลื่อนไหวรุนแรงไม่น้อย ไม่ทำให้หิมะถล่มสิจึงจะเป็นเรื่องแปลก ชื่นชมทัศนียภาพบนภูเขาเทียนซันแต่ไม่มีรถกระเช้าให้นั่ง ไม่มีคนตายก็บ้าแล้ว สำหรับภูเขาไฟ นั่นเป็นเรื่องคุณสมบัติตัวบุคคล อวิ๋นเยี่ยไม่ขอแสดงความคิดเห็น


 


 


เมื่อเห็นท่าทีที่เห็นผู้อื่นเป็นทุกข์แล้วตัวเองมีความสุขของอวิ๋นเยี่ยแล้ว เพลิงโทสะของเยี่ยถัวก็ยิ่งโหมแรง แกว่งร่างกายไปมาแต่กลับตัดสินใจไม่ได้ที่จะกำจัดอวิ๋นเยี่ย ตบมือเบาๆ ก็มีสาวใช้เข้ามา เพียงพริบตาก็เก็บกวาดอาคารที่เละเทะจนสะอาดหมดจด ก็มีหญิงที่สวมหมวกทรงกรวยอีกหลายคนยกอาหารเข้ามาในอาคารอีกครั้ง ไม่นานนักโต๊ะยาวก็เต็มไปด้วยอาหาร โดยมีเนื้อสัตว์เป็นส่วนใหญ่และมีแตงหลายชนิดที่ทนต่อการเก็บรักษา อวิ๋นเยี่ยหยิบแตงลูกหนึ่งขึ้นกัดกินโดยไม่เกรงใจแม้แต่น้อย รู้สึกสดชื่นมาก


 


 


“ดูแล้วอวิ๋นโหวจะไม่กังวลกับสถานการณ์ของตัวเองเลยแม้แต่น้อย หรือจะบอกว่าอวิ๋นโหวสามารถรับมือสถานการณ์ต่างๆ ได้ด้วยความปราดเปรื่อง ทหารม้าห้าร้อยนายของต้าถังที่อยู่ด้านหลังของเจ้า ได้กลับเมืองซั่วฟางตามคำสั่งทหารแล้ว ไม่รู้ว่าเจ้ายังมีลูกไม้อะไรอีก จึงยังพูดคุยหัวเราะเล่นในรังของข้าได้อีก” เมื่อพูดจบก็เริ่มไออีก ดูท่าแล้วเถ้าจากภูเขาไฟในปอดของเขาเหมือนจะทำให้เขาทรมานอยู่ไม่น้อย


 


 


ดูแล้วน่าขยะแขยง อวิ๋นเยี่ยดึงผ้าม่านเข้ามาเพื่อกันไม่ให้น้ำลายกระเด็นมาโดน


 


 


“เยี่ยถัว อยากดื่มเหล้าหรือไม่ เหล้าองุ่นของเจ้ารสชาติไม่เลว ดีกว่าของฉางอันมากมายนัก” หลังจากดื่มเหล้าดีในจอกทองคำแล้ว อวิ๋นเยี่ยเก็บจอกเหล้าไว้ในอกเสื้อแล้วดื่มจากปากกาเหล้าแทน


 


 


ยิ่งอวิ๋นเยี่ยไร้มารยาทเท่าไร เยี่ยถัวกลับยิ่งสงบนิ่ง ราวกับว่าเขาไม่เห็นอวิ๋นเยี่ยที่เหยียดหยามเขา น้ำเสียงก็ยิ่งอ่อนโยนลง


 


 


“เห็นสภาพปีศาจแบบข้าในตอนนี้ เจ้ายังสามารถดื่มได้อีกหรือ หากอวิ๋นโหวชอบ ก็เชิญดื่มให้มากๆ”


 


 


“ในฐานะที่เป็นเจ้าภาพงานเลี้ยง เจ้าจะไม่ดื่มเหล้าหน่อยหรือ จะให้ข้าสบายใจดื่มได้อย่างไร เจ้าถอดห่วงที่น่าขำพวกนั้นออก ข้าจะให้ยาเจ้าเม็ดหนึ่ง เจ้าไปหาหัวไชเท้านำมาคั้นน้ำแล้วดื่ม เจ้าก็สามารถดื่มเหล้าได้แล้ว ข้าดื่มคนเดียวมันไม่สนุก หากเจ้ายังต้องการสนุกให้มากกว่านี้ ข้าจะเจาะรูเล็กๆ บริเวณหลอดลมแล้วสอดท่อเข้าไป พวกเราก็สามารถดื่มได้อย่างเต็มที่แล้ว เจ้าว่าอย่างไร” อวิ๋นเยี่ยเสนอวิธีแก้ไขให้


 


 


สวี่จิ้งจงตาโตเหมือนไข่ห่าน กลั้นหายใจ ปากยังคาบแกะชิ้นหนึ่งไว้ มองอวิ๋นเยี่ยราวกับเห็นผี


 


 


เยี่ยถัวกลับหัวเราะด้วยเสียงแหบห้าว เมื่อสะบัดมือข้างกายเพียงครั้งเดียว เขาก็ลงมายืนอยู่บนพื้น จากนั้นก็มีหญิงรับใช้มาถอดห่วงเงินออกจากหลังของเขาทีละอัน


 


 


เยี่ยถัวคลุมผ้าคลุมผืนใหญ่ยืนเท้าเปล่าอยู่บนพื้นไม้ เขาสูงสองเมตร ผิวสีคล้ำที่ดูเหมือนทาด้วยน้ำมันส่องประกายเงาวับ อาการเจ็บปวดในช่วงที่ผ่านมาไม่ได้ทำให้ชายชาตรีคนนี้ล้มลงได้ ในทางตรงกันข้ามสีหน้ายังแสดงออกถึงท่าทีห้าวหาญ


 


 


อวิ๋นเยี่ยแอบถอนหายใจในใจ ปอดของเขาถูกเผาด้วยเถ้าภูเขาไฟอย่างไม่ต้องสงสัย ทำให้หายใจลำบาก จึงได้คิดใช้วิธีชะลอการหายใจของนักบวชที่บำเพ็ญทุกรกริยาเพื่อฟื้นฟูด้วยตัวเอง เมื่อผ่านไปเป็นเวลานาน บางทีเขาอาจจะหายได้ด้วยตัวเอง วิธีนี้ถึงแม้ว่าจะเจ็บปวด ดูเหมือนพวกวิปริต แต่กลับเป็นวิธีที่ดีที่สุดภายใต้สภาวะปัจจุบัน


 


 


หลังจากที่คนในกองกำลังตัวเองตายไปหกคนแล้ว อวิ๋นเยี่ยก็ไม่เคยมีความคิดที่จะปล่อยให้ฆาตกรมีชีวิตอยู่ในโลกนี้อีก หนี้เลือดต้องล้างด้วยเลือด นี่คือสัจธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่ได้เห็นทาสที่น่าสงสารเหล่านั้นตายอย่างน่าเวทนาและหมดหนทางสู้เช่นนั้นด้วยตาตนเอง เปลวไฟในใจกำลังเผาไหม้ เปลวไฟนี้เกือบจะทำให้เลือดของเขาเดือดขึ้น หากฆาตกรไม่ตาย ความโกรธก็ยากจะสงบลง


 


 


การฆ่าคนคนหนึ่งนั้นง่ายเกินไป โดยเฉพาะกับแพทย์ที่มีชื่อเสียงด้วยแล้ว ซุนซือเหมี่ยวเคยบอกว่า แม้ว่าจะเป็นฆาตกรฆ่าพ่อ เขาก็จะไม่ใช้วิชาแพทย์ฆ่าคน เขาไม่ทำ แต่อวิ๋นเยี่ยทำ การเผชิญหน้ากับปีศาจร้ายที่ชอบฆ่าคนเช่นนี้ เขาไม่รังเกียจที่จะใช้ทักษะทั้งหมดที่มีของตัวเองเพื่อฆ่าผู้คนโดยปราศจากร่องรอย อวิ๋นเยี่ยเคยทดลองแล้ว ยาจินตันที่หลี่ฉุนเฟิงปรุงขึ้นสามารถวางยาพิษให้นกตายได้หนึ่งตัว เขามอบยาขวดหนึ่งที่เรียกว่า ‘ยาละลายกระดูก’ ซึ่งตัวเองปรุงขึ้นมอบให้แก่อวิ๋นเยี่ย จึงถูกหยวนเทียนกังอบรมยกใหญ่ ยายังถูกริบคืน เขาจึงเพิ่มขนาดยาขึ้นและทำอีกครั้ง เล่ากันว่าเมื่อกินแล้วสามารถเหาะเหินได้ทันที


 


 


อวิ๋นเยี่ยเชื่ออย่างยิ่งว่าเพราะขณะที่หลี่ฉุนเฟิงปรุง ‘ยาสลายกระดูก’ ขึ้นใหม่ในห้องยาของซุนซือเหมี่ยว เขาตั้งใจใส่สยงหวง[2]เพิ่มและเพิ่มถึงสามเท่าด้วย ซึ่งสยงหวงนี้หลังจากถูกทำให้ร้อนจะกลายเป็นสารหนู ตามที่ซุนซือเหมี่ยวบอก เมื่อเขาเห็นของสิ่งนี้ก็อยากจะมรรคผลแล้ว ยังจะนำมากินอีกหรือ คนปกติคนหนึ่ง หากกินติดต่อกันเป็นเวลาหนึ่งเดือน ถ้าหากยังไม่ตาย เช่นนั้นคนคนนี้จะต้องไม่ใช่คนธรรมดา แต่เป็นเทพเซียนเท่านั้น


 


 


ในขวดใบเล็กๆ สีม่วงมียาแก้อักเสบอยู่หนึ่งเม็ด พ่อบ้านนำน้ำหัวไชเท้าชามใหญ่เข้ามา เยี่ยถัวดื่มน้ำหัวไชเท้าหมดในคราวเดียว จากนั้นจึงกินยาแก้อักเสบอย่างระมัดระวัง นั่งอยู่ตรงนั้นเป็นเวลานานจึงค่อยลืมตาขึ้น เขาพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “ตอนนี้ข้ารู้สึกดีขึ้นมาก ดีกว่าการที่แขวนตัวอยู่ตรงนั้นเสียอีก ความรู้สึกร้อนผ่าวตรงหน้าอกสลายไปมาก คาดว่าคงเป็นยาของอวิ๋นโหวที่ออกฤทธิ์แล้ว”


 


 


“ไม่เร็วเช่นนั้นหรอก เพียงเพราะความร้อนในปอดของเจ้าถูกน้ำหัวไชเท้าระงับไว้ชั่วคราวเท่านั้น ยาที่ให้เจ้าต้องใช้เวลาหนึ่งวันจึงจะออกฤทธิ์ ถึงตอนนั้นเจ้าจึงจะรู้สึกปลอดโปร่ง”


 


 


เยี่ยถัวหัวเราะฮ่าๆ เมื่อปรบมือหนึ่งที ก็มีนางรำหลายคนที่ใช้ผ้าบางคลุมหน้าเดินออกมาจากด้านหลังผ้าผ่านในทันใด ในมือไม่ได้ถือเครื่องดนตรี แต่ถือมีดสั้นคมกริบ ด้านหลังผ้าม่านมีเสียงกลองจังหวะเร่งเร้าดังขึ้น นางรำหลายคนนั้น บิดเอวขยับไหล่เริ่มเต้นรำ บริเวณสะดือมีรอยสักลวดลายเปลวเพลิง ยามขยับเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วกลับกลายเป็นดอกบัวบาน


 


 


ขณะที่กำลังนั่งชมอย่างเคลิบเคลิ้ม ด้านหลังมักจะมีคนเบียดเข้ามา แต่เมื่อหันกลับไปมองกลับเป็นหญิงเลี้ยงแกะ นางสวมเสื้อผ้าของสาวเปอร์เซีย ด้วยผิวสีคล้ำ ดวงตาทั้งสองยังกลมโต ไม่รู้ว่านางเป็นพวกไร้แกนสมองหรือเป็นพวกหัวทื่อแต่กำเนิด เมื่อครู่ยังกลัวแทบตาย เกือบจะถูกจับทำเป็นจอกเหล้า ตอนนี้กลับมายืนมองอาหารบนโต๊ะจนเริ่มน้ำลายไหล


 


 


ให้เมลอนนางชิ้นหนึ่ง ยังไม่พอใจ กินหมดภายในไม่กี่คำ ก็เบียดอวิ๋นเยี่ยให้ส่งอาหารให้นางอีก ดวงตาก็จ้องมองไก่ชิ้นใหญ่ที่มันเยิ้มอย่าวไม่ละสายตา จนแทบจะแลบลิ้นออกมาอยู่แล้ว ช่วยไม่ได้ เขาจึงต้องยกให้พร้อมจาน นางจึงจะยอมหยุดในที่สุด


 


 


อวิ๋นเยี่ยดูการเต้นรำพลางดื่มเหล้า ไม่สนใจเยี่ยถัวที่กำลังเดินลมปราณอยู่ตรงนั้น เยี่ยถัวก็ไม่พูดอะไร ก้มศีรษะครุ่นคิด ดูเหมือนอยากจะรู้ตื้นลึกหนาบางของเรื่องทั้งหมด เขายังมีคำถามมากมายที่ต้องการให้อวิ๋นเยี่ยยืนยัน แต่กลับไม่รู้ว่าอวิ๋นเยี่ยนั้นถือถ้วยเปล่าที่ไม่มีอะไรเลย และกำลังคิดว่าจะทำอย่างไรจึงเกลี้ยกล่อมให้เยี่ยถัวกิน ‘ยาสลายกระดูก’ ของหลี่ฉุนเฟิงได้


 


 


 


 


——


 


 


[1] โรคมาโซคิสม์ อาการทางจิตประเภทหนึ่ง โดยผู้ที่เป็นจะรู้สึกพึงพอใจเมื่อได้รับความเจ็บปวดหรือถูกทรมาน


 


 


[2] สยงหวง หรือ สารแร่รีลการ์ ซึ่งส่วนใหญ่ใช้ทำดินระเบิด หากนำเข้ายาก็สามารถใช้แก้พิษได้


 

 

 


ส่วนที่ 4

 

ตอนที่ 28

 

 เจ็บใจที่ตัวเองไม่ตาย

 


 


 


การเต้นรำเหล่านางรำเบื้องหน้านั้นเร่าร้อนและปลดปล่อยมาก แม้มีเพียงทำนองกลองมือประกอบก็ไม่ทำให้รู้สึกจำเจ เพียงแค่จังหวะทำนองที่เรียบง่ายไม่กี่ตัวที่ซ้ำไปซ้ำมา เคาะจังหวะที่เร็วและเบา เท้าของนางรำพลิกไปมาอยู่บนพื้นไม้ ชุดกระโปรงบานปลิวพลิ้วไหว ไม่ได้ให้ความรู้สึกบวมป่องเลยแม้แต่น้อย ราวกับผีเสื้อที่กำลังเริงระบำ


 


 


นี่คือเสื้อผ้าของราชวงศ์ถังที่ดูใกล้เคียงกับเสื้อผ้าในยุคปัจจุบันมากที่สุดเท่าที่อวิ๋นเยี่ยเคยเห็นมา ด้านหลังศีรษะของนางรำผูกโบหลากสี สีที่ต่างกัน สั้นยาวไม่เท่ากัน ร่างกายส่วนบนสวมเสื้อเอวลอย ซึ่งสามารถปกปิดได้เพียงแค่ทรวงอกที่อวบอิ่มเท่านั้น เผยให้เห็นผิวสีขาวราวกับหิมะ กางเกงที่สวมไว้ส่วนล่างของร่างกายนั้นบานใหญ่มาก แม้จับนางรำสองหรือสามคนใส่เข้าไปก็ไม่เป็นปัญหา แต่ความน่าสนใจกลับอยู่ตรงที่ข้อเท้าที่บิดเข้าอย่างรวดเร็ว ดุนให้เท้าสีขาวดั่งหิมะที่เรียวเล็กโดดเด่นขึ้น


 


 


สวี่จิ้งจงนั่งกระสับกระส่าย หลังจากได้เห็นวิธีการพูดคุยระหว่างอวิ๋นเยี่ยและเยี่ยถัวแล้ว เขารู้สึกเสียใจภายหลังอย่างยิ่งกับความจาบจ้วงของตนเอง อวิ๋นเยี่ยนั้นไม่ได้เตรียมที่จะพูดคุยดีๆ กับเยี่ยถัวมาตั้งแต่ต้นแล้ว ดูเหมือนว่าเขาต้องการกระตุ้นให้ชายร่างกำยำที่อยู่ตรงนี้โกรธมาโดยตลอด คนที่เป็นอันตรายต่อตัวเองอย่างที่สุด สวี่จิ้งจงไม่ได้คาดหวังว่าเขาจะมีความเมตตาเช่นเดียวกับพระพุทธเจ้ามาตั้งแรกแล้ว เป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ที่ตัวเองติดตามอวิ๋นเยี่ยมา อวิ๋นเยี่ยทำให้ราชาปีศาจตนนี้กลายเป็นเช่นนี้ ตอนนี้ยังไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาอีก ไม่มีคำขอโทษ ไม่ได้รู้สึกผิด เป็นเพียงการเยาะเย้ยที่ทำให้สวี่จิ้งจงรู้สึกเย็นวาบจากก้นบึ้งของหัวใจ


 


 


อวิ๋นเยี่ยยังไม่ได้สติอีกหรือว่าตนกำลังอยู่ในสถานการณ์ที่เป็นฝ่ายรอเขาลงมือ เหตุใดตัวเองจะต้องมารับเคราะห์กับเรื่องนี้ด้วย การอยู่กับอวิ๋นเยี่ยนั้นอันตรายเกินไป เขาเป็นคนบ้าชัดๆ เยี่ยถัวที่อยู่เบื้องหน้าเขาก็เป็นคนบ้าอีกคน ระหว่างคนบ้าด้วยกันอาจมีนิสัยอะไรหลายๆ อย่างที่คล้ายกัน เพียงแต่สงสารตัวเองที่เป็นคนปกติดีที่ต้องมาอยู่ตรงกลางระหว่างคนบ้า หากครั้งพ้นจากหายนะครั้งนี้ได้ จะต้องอยู่ให้ห่างจากอวิ๋นเยี่ยให้มาก ตัวเองรับมือกับคนปกติได้ไม่มีปัญหา แต่การรับมือกับคนบ้านั้นยังไม่มีความมั่นใจ การออกห่างให้ไกลก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย


 


 


เสียงกลองหยุดการเต้นจบลง อวิ๋นเยี่ยปรบมือเบาๆ ส่งเสียงปรบมืออย่างปีติยินดีเป็นที่สุดสำหรับการแสดงของศิลปิน ไม่ปรบมือให้ไม่ได้ กลุ่มหญิงสาวงดงามเช่นนี้ หากถูกเยี่ยถัวจับนึ่งแล้วยกเข้ามาก็คงไม่ดีแน่ คนวิปริตที่เอาแต่คิดเรื่องความเป็นอมตะตลอดทั้งวัน คนธรรมดาทั่วไปในสายตาเขาก็ไม่แตกต่างจากวัวและแกะสักเท่าไร อย่างไรเสียเราก็ยังคงต้องระวังไว้บ้าง อย่างน้อยก็ไม่ทำร้ายใคร มีเจ้าสารเลวตู้อวี้คนนั้นคนเดียวก็พอแล้ว ฉันไม่กล้าเจริญรอยตามเขา


 


 


เยี่ยถัวมองดูอวิ๋นเยี่ยตลอดเวลา ยิ่งดูยิ่งสับสน ไม่ว่าตัวเองจะสร้างแรงกดดันมากเพียงไหน เมื่ออยู่ต่อหน้าเขาแรงกดดันเหล่านี้ดูเหมือนจะไม่มีอยู่เลย แสดงท่าทีตลอดเวลาว่าเขาต่างหากที่เป็นเจ้าบ้าน “รูปขอมรรคผล” ที่วาดโดยจิตรกรซึ่งอยู่ข้างหลังเหล่านั้นคือประสบการณ์ในการแสวงหาความเป็นอมตะของพวกเขาที่วาดตามคำบอกกล่าวจากปากของเขาเอง น้ำสีดำเข้มของสระสวรรค์สงบนิ่งราวกับกระจก พวกเขาดูลึกลับมากถึงเพียงนี้ สิบเจ็ดคนกระโดดลิงโลดตะโกนโห่ร้องอยู่บนขอบสระสวรรค์ ฉลองการมาถึงแดนสวรรค์ของพวกเขา ยังไม่ได้พบนางฟ้าที่งดงาม ก็ทำให้เกิดสวรรค์พิโรธอย่างน่าหวาดกลัว หิมะสีขาวระหว่างชั้นฟ้าถล่มลงมาหาพวกเขา เพียงชั่วพริบตาหกคนถูกหิมะกลืนกิน ตนเองนั้นได้พึ่งพาร่างกายที่กำยำแข็งแรงล้มลุกคลุกคลานหนีออกจากหุบเขานั้น จึงได้รอดพ้นจากภัยครั้งนั้น


 


 


เมื่อหันกลับไปมองอีกครั้ง หิมะได้ปกคลุมไปทั่วสระสวรรค์และไม่หลงเหลือภาพเดิมอีกต่อไป


 


 


“อวิ๋นโหว เจ้ารู้ได้อย่างไรว่ามีสระน้ำอมฤตเช่นนี้อยู่บนภูเขาคุนหลุน ที่นั่นอย่าว่าแต่ร่องรอยของผู้คนเลย แม้แต่นกหรือสัตว์ป่าก็ไม่ใช่ว่าจะเข้าไปได้ง่ายๆ ข้าเคยไปที่นั่น รู้ว่าระหว่างทางยากลำบากเพียงไหน เจ้ากับอาจารย์ของเจ้าไปถึงได้อย่างไรกัน” ในที่สุดเยี่ยถัวก็อดไม่ได้ที่จะถามอวิ๋นเยี่ย


 


 


สวี่จิ้งจงจึงได้สังเกตเห็นภาพวาดบนผนังเหล่านั้น เมื่อได้ยินเยี่ยถัวถามขึ้นก็ถึงกับหูผึ่งตั้งใจฟัง เดิมทีเขาคิดว่าดินแดนแห่งเทพเจ้าที่อวิ๋นเยี่ยพูดถึงนั้นก็แค่ชี้บอกอย่างขอไปที เมื่อได้ยินจากปากของเยี่ยถัว ในที่สุดเขาก็รู้ว่าอวิ๋นเยี่ยไม่ได้พูดไร้สาระ แต่เคยไปจริงๆ


 


 


“พวกเจ้าทุ่มเทใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อพิสูจน์คำพูดของข้า ก็บอกพวกเจ้าแล้วว่าที่นั่นไม่มีอะไรทั้งนั้น ไม่มีเทพเซียน ไม่มีต้นผลอมตะ ไม่มีสัตว์เทพ แต่ถ้าหมาป่าก็มีอยู่ฝูงหนึ่ง พวกเจ้าคงไม่ได้ใส่ใจใช่ไหม เพียงแค่ทะเลสาบแตกๆ ทั้งน้ำก็ยังเย็นจนแทบจะเอาชีวิต หากไปช่วงฤดูร้อนหญ้าก็ไม่งอกงาม จริงสิ พวกเจ้าไปถึงสระสวรรค์แล้วจับได้หนอนหิมะสักตัวสองตัวหรือไม่ อาจารย์บอกว่ามันเป็นของอร่อยที่หายาก” อวิ๋นเยี่ยจู่ๆ ก็นึกถึงหนอนหิมะที่ไกด์นำเที่ยวพูดถึง ในเมื่อคนราชวงศ์ชิงเคยเห็นมัน เช่นนั้นก็ไม่มีเหตุผลที่คนราชวงศ์ถังจะเห็นมัน เพียงแค่คิดถึงหนอนสีแดงที่แต่ละตัวหนักหลายจินคลานอยู่เต็มพื้นหิมะ อวิ๋นเยี่ยก็ค่อนข้างตื่นเต้น ช่างดูลึกลับมาก


 


 


เยี่ยถัวเก็บอาการจนหน้าแดงแล้ว ไม่ได้มีสาเหตุจากปอด แต่เพราะด้วยความโกรธ เขาชี้ไปที่หนอนสีแดงบนภาพวาดและส่งเสียงคำรามขึ้น “ที่อวิ๋นโหวบอกว่าอาหารอร่อยหมายถึงหนอนชนิดนี้ใช่หรือไม่ อร่อยหรือไม่อร่อยข้าเยี่ยถัวไม่รู้ ข้ารู้เพียงแค่ว่าพี่น้องข้าสามคนถูกหนอนนี้กินเป็นอาหารเลิศรส “


 


 


อวิ๋นเยี่ยลุกขึ้นและดูหนอนสีแดงบนรูปภาพอย่างประหลาดใจ น่าเกลียด น่าเกลียดมากๆ ทั้งยังมีฟันด้วย บนภาพมีหนอนตัวหนึ่งที่ยาวประมาณสามเมตรอ้าปากกว้างที่เต็มไปด้วยฟันกำลังกัดศีรษะคนอยู่ ร่างของชายที่น่าสงสารคนนั้นยังถูกหนอนอีกสองตัวพัวพันอีกด้วย ปากใหญ่ๆ ได้กัดอยู่บนร่างของคนคนนั้น เพียงแค่เห็นเขี้ยวอันแหลมคมของหนอนตัวนั้นก็รู้ว่า การถูกมันกัดต้องเจ็บปวด เจ็บปวดอย่างมากแน่นอน


 


 


“นี่ เยี่ยถัว เจ้ารู้ไหมว่าภูเขาหิมะที่สูงที่สุดที่เจ้าพบนั้นชื่อว่าภูเขาอะไร มันชื่อเขาเสินซัน มันวิเศษสุดเปรียบ เจ้าพบกับหิมะถล่ม พบกับหนอนหิมะ และน่าจะได้พบกับลิงบาบูน มันเป็นลิงตัวใหญ่สายพันธุ์หนึ่งที่ดุร้ายมาก ในตอนนั้นข้าถูกลิงตัวนี้รังควาน โยนกระเป๋าเป้สะพายหลังของข้าทิ้งลงใต้หน้าผา” เมื่อมองดูเยี่ยถัวที่โกรธจัด อวิ๋นเยี่ยรู้ว่าหากไม่แต่งเรื่องหลอกคนคนนี้ในเวลานี้ รอจนเขาได้สติคืนมาเมื่อไหร่ก็จะไม่มีโอกาสอีกต่อไป ตอนนั้นที่สระสวรรค์ในซินเจียง ไม่มีโอกาสได้เห็นสัตว์ในตำนาน ไกด์นำเที่ยวบอกว่ามีลิงบาบูนทั้งยังเป็นสายพันธุ์ขนาดใหญ่ด้วย คนราชวงศ์ชิงเคยเห็นมาก่อน มันและ อวิ๋นเยี่ยวิ่งรอบสองทะเลสาบใหญ่กับหนึ่งทะเลสาบเล็กแต่ก็ไม่เห็นเจออะไรเลย จึงได้แต่หน้าด้านหน้าทนใช้จำนวนลิงบนภูเขาเอ๋อเหมยมาเหมารวม


 


 


ดูเหมือนเยี่ยถัวจะค่อนข้างเศร้าเสียใจ หยิบรูปอีกรูปออกจากกล่องแล้วคลี่ออกตรงเบื้องหน้าอวิ๋นเยี่ยและสวี่จิ้งจง พูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “ลิงที่เจ้าพบเพียงแค่โยนกระเป๋าทิ้ง พวกลิงที่ข้าเจอพวกมันกินคน เหอซังน้องชายข้าถูกลิงที่อวิ๋นโหวพูดถึงฉีกออกเป็นชิ้นๆ ทั้งเป็นแล้วถูกพวกมันแบ่งกันกิน”


 


 


หลังจากพูดเรื่องเหล่านี้จบ ดูเหมือนเขาจะหายใจไม่ทัน ออกแรงทุบหน้าอกหลายครั้งจนเกิดเสียงดังปั่กๆ หลังจากทุบหน้าอกแล้ว เขาหยิบขวดเครื่องปั้นดินเผาสีดำออกมาแล้วกรอกปากขวดดื่มเหล้าคำโต มันเป็นเหล้าดีกรีแรงประเภทหนึ่งที่นึกชื่อไม่ออก เหล้าที่เข้มข้นไหลลงไปตามหน้าอกลงสู่ด้านล่าง ดูกล้าหาญชาญชัยมาก เพียงแต่ไม่รู้ว่าดื่มลงไปได้มากเพียงใด สิ้นเปลืองจริงๆ คารวะเหล้าให้น้องชายเจ้าก็ไม่น่าจะต้องเทคารวะจนเต็มพื้นกระมัง


 


 


เยี่ยถัวเริ่มตาแดงแล้ว อย่าเพิ่งมองเรื่องที่เขาฆ่าคนนับไม่ถ้วน ไม่เห็นค่าของชีวิตมนุษย์ น้องชายเขาเสียชีวิตก็รู้สึกเจ็บปวดและร้องไห้เหมือนคนอื่น


 


 


หลังจากดื่มเหล้าหมดแล้ว ก็มีสาวใช้ถือถาดไม้ที่ละเอียดประณีต ด้านบนมีจานแบนกระเบื้องเคลือบสีขาวใบเล็กๆ ที่ใส่ยาลูกกลอนสีแดงขนาดใหญ่เท่าไข่นกพิราบซึ่งมีกลิ่นหอมชวนดมไว้เข้ามาในทันที กลิ่นเช่นนี้อวิ๋นเยี่ยค่อนข้างคุ้นเคย แต่จำไม่ได้ว่ามันคืออะไร เห็นเพียงเยี่ยถัวหนีบยาขึ้นมาดมกลิ่นอย่างเคลิบเคลิ้มจากนั้นก็กลืนมันลงไป ยาติดคอจนหน้าแดง จึงรีบดื่มเหล้าหนึ่งคำเพื่อให้ยาไหลลื่นลงไปได้


 


 


คนคนนี้เป็นเจ้าบ้านที่ไม่รู้จักเคารพแขกเลย มีของดีตนเองก็กินก่อน ใจแคบจริงๆ!


 


 


ขณะที่กำลังทอดถอนใจ ก็ได้เห็นสีหน้าของสวี่จิ้งจงที่นั่งอยู่ตรงข้ามเต็มไปด้วยความอิจฉาพร้อมประสานมือถามขึ้นว่า “ท่านเจ้าบ้านผู้ปราดเปรื่องช่างมีวาสนายิ่งนัก สามารถได้รับยาลูกกลอนชั้นเลิศของท่านเซียน เมื่อดูสีและดมกลิ่นแล้ววิเคราะห์รูปร่างก็รู้ได้ว่าผู้มีชื่อเป็นผู้ผลิตขึ้น ข้าน้อยเป็นพวกว่างงาน แต่กลับไร้วาสนาได้ครอบครองไว้ ช่างน่าอิจฉาผู้อื่นจริงๆ”


 


 


หลังจากกินยาลูกกลอนแล้ว บางทีอาจจะเป็นผลทางจิตใจ เยี่ยถัวหน้าแดงทั้งใบหน้า สติสัมปชัญญะเต็มเปี่ยม เมื่อครู่ยังเศร้าโศกกับเรื่องที่น้องชายถูกลิงจับฉีกแบ่งกันกินอยู่ ชั่วครู่เดียวดูเหมือนว่าจะลืมเรื่องนี้ไปสิ้น หัวเราะฮ่าๆ เสียงดังดูแล้วมีความสุขอย่างยิ่ง


 


 


“เยี่ยถัวเองก็มีโอกาสได้รับมอบ ‘ยารวมจิต’ จากผู้สูงส่งด้วยความบังเอิญเช่นกัน จำนวนน้อยมากใต้หล้าหายากยิ่ง ดังนั้นจึงไม่ได้แบ่งให้ท่านทั้งสอง หวังว่าจะไม่ถือสา”


 


 


“สมบัติของเทพเซียนเช่นนี้ต้องเป็นผู้ที่มีวาสนาเท่านั้นจึงจะได้ครอบครอง พวกข้านั้นไร้วาสนา แต่ก็ไม่สามารถร้องขอได้ มีโอกาสได้เห็นนับว่าเป็นวาสนาแล้ว ท่านเจ้าบ้านผู้ปราดเปรื่องอย่าได้ใส่ใจเลย” สวี่จิ้งจงรู้เสมอว่าเวลาไหนต้องพูดอะไรเพื่อเอาใจเจ้าบ้าน


 


 


อวิ๋นเยี่ยปาดเหงื่อที่ไหลเพราะความหวาดหวั่น ตัวเองยังคิดอยู่ว่าจะวางแผนหลอกให้เยี่ยถัวกินยาสลายกระดูกที่หลี่ฉุนเฟิงปรุงขึ้น ดูเหมือนว่ามันไม่จำเป็นอีกต่อไป ทั้งยังมียาที่โหดร้ายกว่ายาสลายกระดูกอีก ยาสลายกระดูกนั้นมีขนาดเท่ากับเม็ดถั่วเหลือง เท่านี้อวิ๋นเยี่ยก็รู้สึกว่าเป็นพิษร้ายแรงแล้ว ยาลูกกลอนขนาดเท่าไข่นกพิราบเม็ดนี้ ไม่รู้ว่าเยี่ยถัวจะทนรับได้นานเพียงไหน เพื่อให้มั่นใจว่าจะเป็นไปตามที่คิดไว้ อวิ๋นเยี่ยจึงตัดสินใจต้องการขอดูสักเม็ดหนึ่ง


 


 


“เยี่ยถัว ข้าเองก็ถือเป็นคนที่มีความรู้อยู่บ้างคนหนึ่ง แต่ไม่เคยเห็นสมบัติล้ำค่าของเทพเซียนที่มีกลิ่นหอมแปลกเช่นนี้มาก่อน ไม่ทราบว่านำมาให้ข้าดูสักเม็ดเพื่อเปิดหูเปิดตาได้หรือไม่”


 


 


เมื่อเยี่ยถัวได้ยินคำพูดประโยคนี้จึงยิ่งหัวเราะอย่างสะใจมากขึ้น วันนี้เขาถูกอวิ๋นเยี่ยเหยียดหยามทั้งวัน ตอนนี้ในที่สุดเขาก็สามารถเอาคืนได้ จะไม่ให้มีความสุขได้อย่างไร


 


 


สาวใช้ก็ได้นำถาดเข้ามาอีกครั้ง เพียงแค่เยี่ยถัวโบกมือ สาวใช้ก็วางไว้ตรงหน้าของอวิ๋นเยี่ยอย่างระมัดระวัง จ้องมองอวิ๋นเยี่ยราวกับป้องกันโจรขโมยก็ไม่ปาน


 


 


เมื่อยาถูกวางไว้ในมืออวิ๋นเยี่ยก็มั่นใจได้ทันทีว่า น้ำหนักที่กดทับอยู่บนมือบ่งบอกถึงปริมาณการอัดแข็งที่ไม่แตกง่ายๆ ยาลูกกลอนที่เป็นมันเงากลิ้งไปมาอยู่ภายใต้แสงที่ส่องสว่าง เปล่งประกายแวววาวของโลหะ เมื่อนิ้วมือออกแรงบีบเล็กน้อยพบว่าค่อนข้างนิ่ม เยี่ยมมาก เป็นสารตะกั่ว ยาสลายกระดูกของหลี่ฉุนเฟิงนั้นแรงระเบิดเบาเกิน ต่อให้ยาลูกกลอนของเขาสิบลูกก็ไม่สามารถเทียบของที่คนอื่นปรุงเพียงเม็ดเดียวได้ ไม่รู้ว่าเป็นสมุนไพรอะไรที่สามารถทำให้พิษของสารตะกั่วเป็นกลางได้ เมื่อก่อนตอนฉันเข้าโรงพยาบาลของสถาบันวิจัยสุขอนามัยของกรมแรงงาน ตลอดทั้งวันได้เห็นคนงานในโรงงานถลุงแร่สังกะสีและตะกั่วนำขวดนมรอกำจัดสารตะกั่วในร่างกายอยู่ไม่น้อย เดินโงนเงนอยู่ตรงระเบียงทางเดินด้วยสภาพที่น่าสังเวช ประสาอะไรกับที่ยาของเยี่ยถัวนั้นถูกห่อด้วยเมอร์โบรมิน[1]อีกชั้นหนึ่ง เป็นการป้องกันถึงสองชั้น


 


 


อวิ๋นเยี่ยเก็บยาวางกลับไว้ในกล่องด้วยความหวาดกลัว จากนั้นก็ปฏิบัติต่อเยี่ยถัวด้วยความเคารพนบนอบในทันที ผู้ที่สามารถยืนหยัดทนพิษที่ร้ายแรงอยู่ได้นานหลายวันเช่นนี้ มีคุณสมบัติพอที่จะได้รับความเคารพนบนอบจากเขา


 


 


“หนทางแห่งการเป็นเซียนนั้นช่างยากเข็ญและอันตราย พี่เยี่ยถัวไม่เกรงกลัวต่อความยากเข็ญและอันตรายเพื่อสำรวจค้นหาวิถีแห่งเซียน ช่างเป็นคนที่ยิ่งใหญ่และมากด้วยภูมิปัญญาจริงๆ น้องชายขอแสดงความนับถือจากใจ คำพูดเมื่อครู่ที่ได้ล่วงเกินไปนั้น หวังว่าพี่ชายอย่าได้ถือสา ข้าต้องขอขมาท่านด้วยแล้ว” อวิ๋นเยี่ยลุกขึ้นยืนแล้วจัดชุดให้เรียบร้อย แสดงการคารวะต่อเยี่ยถัวด้วยความนอบน้อม


 


 


สวี่จิ้งจงรู้สึกประหลาดใจมาก ในที่สุดอวิ๋นโหวก็ยอมก้มศีรษะแล้ว ซึ่งนี่เป็นข่าวดีสำหรับเขา ชีวิตน้อยๆ ก็ได้รับประกันแล้ว ที่จริงแล้วเขาดูออกว่า เยี่ยถัวนั้นให้ความเคารพต่ออวิ๋นเยี่ยมากกว่าความคิดที่จะเป็นศัตรู ขอเพียงสนทนากันอย่างถูกคอ บางทีอวิ๋นเยี่ยอาจจะแสวงหาผลประโยชน์จากเยี่ยถัวได้อยู่ไม่น้อย


 


 


เมื่อเห็นอวิ๋นเยี่ยแสดงการคารวะเขาก็ไม่สมควรที่จะนั่งต่ออีก จึงยืนสองมือไว้ข้างลำตัวและยิ้มเป็นการตอบรับ


 


 


ในงานเลี้ยงมักจะต้องมีความแข็งแกร่งอยู่เสมอ ในช่วงครึ่งแรกอวิ๋นเยี่ยแข็งเกินไป แม้ว่าเยี่ยถัวจะเป็นคนนิสัยดีเพียงไหน ก็ต้องถูกความหยิ่งในศักดิ์ศรีกระตุ้นให้เกิดความทระนงตน ตอนนี้อวิ๋นเยี่ยยอมแพ้ให้กับยาล้ำค่าในใต้หล้าที่ทำให้ตกใจ ได้ทำให้จิตใจที่ทระนงสูงส่งของเยี่ยถัวรู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก เดิมเขาเป็นหัวหน้าโจรขโมยม้าในทุ่งหญ้าร้างอันกว้างใหญ่นี้ ปกติอยู่เหนือผู้คน ข้าคือผู้ยิ่งใหญ่แต่เพียงคนเดียว การยับยั้งชั่งใจกับอวิ๋นเยี่ยก็เป็นเพราะความหวังสุดท้ายในใจที่อยากจะเป็นอมตะกำลังแผลงฤทธิ์อยู่ หากเป็นคนอื่น มีหวังได้โดนถลกหนังตัดเส้นเอ็นไปนานแล้ว


 


 


 


 


——


 


 


[1] เมอร์โบรมีนหรือชื่อสามัญที่เรียกกันทั่วไปว่า ยาแดง เป็นสารระงับเชื้อเฉพาะที่ 

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)