เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วน 4 ตอน 24-26

 ส่วนที่ 4

 

ตอนที่ 24

 

ชาวอาหรับ

 


 


 


หลังจากกองกำลังออกเดินทางไปได้สามวัน ก็พ้นเขตการเฝ้าระวังของเมืองซั่วฟาง หลังจากเลือกภูเขาที่เว้าเข้าหันหลังรับลมเพื่อตั้งค่ายพักแล้ว อวิ๋นเยี่ยก็เรียกหัวหน้ากองทั้งหมดมานั่งประชุมกันในกระโจมใหญ่ เมื่อทุกคนนั่งลงหมดแล้ว อวิ๋นเยี่ยหยิบป้ายคำสั่งทางทหารออกมาจากอกเสื้อและพูดกับทุกคนว่า “คราวนี้ป้ายคำสั่งของผู้บัญชาการหลี่ที่สั่งย้ายพวกเราไปยังค่ายใหญ่ของกองกำลังส่วนกลางเป็นของปลอม”


 


 


เฉิงฉู่มั่วยังคงนั่งเบื่อหน่ายด้วยท่าทีที่ไม่ระแวดระวังอะไร ซุนซือเหมี่ยวสีหน้าไร้ความรู้สึกใดๆ ราวกับว่าเป็นผู้สูงส่ง ย่อมไม่หวั่นไหวเพราะอารมณ์มานานแล้ว มีเพียงสวี่จิ้งจงเท่านั้นที่สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมาก นำหนังสือแจ้งมาอ่านอย่างละเอียด อ่านอยู่เป็นนานจึงเงยหน้าขึ้นถามอวิ๋นเยี่ยว่า “โหวเหยีย หนังสือนี้ไม่ใช่ของปลอม เป็นลายมือและตราประทับของท่านผู้บัญชาการไม่ผิดแน่ หากมีปัญหา ผู้บัญชาการไฉไม่มีทางที่จะดูไม่ออก”


 


 


ในฐานะที่เป็นขุนนางฝ่ายบุ๋น สวี่จิ้งจงมีคุณสมบัติเพียงพออย่างไม่ต้องสงสัย เขาเคยเห็นลายมือของหลี่จิ้ง  เขาคลุกคลีอยู่ในวงราชการเป็นเวลาหลายปี ความสามารถในการวิเคราะห์ตราประทับนั้นเรียกได้ว่าเชี่ยวชาญสุดหยั่งมานานแล้ว เขากล่าวว่าหนังสือแจ้งนี้เป็นของจริง ย่อมต้องไม่ใช่ของปลอมแน่ แต่น่าเสียดายที่เขาประเมินค่าวิธีการร้อยแปดพันเก้าในใต้หล้านี้ต่ำเกินไป


 


 


“เหลาสวี่ เจ้าไม่ได้พูดผิด ลายมือนั้นเป็นของหลี่จิ้งไม่ผิดแน่ ตราประทับของผู้บัญชาการก็เป็นของหลี่จิ้งไม่ผิดแน่ เพียงแต่มีบางคนนำหนังสือคำสั่งฉบับนี้ที่สั่งให้ข้ากลับเมืองหลวงมาตัดต่อ จึงกลายเป็นหนังสือคำสั่งให้ข้าไปกองกำลังส่วนกลาง” เป็นครั้งแรกที่อวิ๋นเยี่ยมีสีหน้าเคร่งขรึม


 


 


สวี่จิ้งจงหยิบหนังสือคำสั่งขึ้นมาอ่านอย่างละเอียดอีกครั้ง หลังจากผ่านไปเวลานาน เขาก็เงยหน้าขึ้นมองด้วยสีหน้าที่ยังคงงุนงงไม่เข้าใจ เขาย่อมต้องมองไม่ออกเป็นธรรมดา อวิ๋นเยี่ยหยิบแว่นขยายที่ทำจากหินคริสตัลออกจากอกเสื้อส่งให้กับเขา แสดงท่าทีให้เขาลองอ่านอีกครั้ง


 


 


สวี่จิ้งจงที่ไม่รู้อะไรจึงหยิบแว่นขยายขึ้นมา ไม่รู้ว่าจะใช้อย่างไร ขณะที่เลื่อนผ่านไปโดยไม่ตั้งใจ ก็ตกตะลึงขึ้นในทันที วางแว่นขยายไว้หน้าดวงตาเขา ดวงตาขนาดใหญ่ข้างหนึ่งก็ปรากฏต่อหน้าทุกคน ทำให้ทุกคนหัวเราะขบขันเสียงดัง


 


 


สวี่จิ้งจงรู้สึกอายเล็กน้อย รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นพวกหลังเขา หลังจากเข้าใจการใช้งานแว่นขยายแล้ว จึงใช้แว่นขยายเพื่อดูหนังสือคำสั่งอย่างละเอียด ตอนนี้กระดาษข้างต้นนั้นสามารถวิเคราะห์ได้อย่างชัดเจน เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “โหวเหยีย หนังสือนี้เป็นของปลอมจริงๆ สามารถปลอมแปลงเอกสารได้ถึงขั้นนี้นับว่าฝีมือเลิศล้ำจริงๆ” พูดจบก็ส่งหนังสือคำสั่งคืนให้อวิ๋นเยี่ย และเก็บแว่นขยายเข้าอกเสื้อตนเองอย่างแนบเนียน


 


 


ซุนซือเหมี่ยวที่ยังอารมณ์ไม่ดีนักแย่งแว่นขยายออกมาจากอกเสื้อของเขา วางมันลงในกล่องไม้ที่ปูด้วยผ้าไหมอย่างระมัดระวัง สุดท้ายจึงค่อยเก็บไว้ในอกเสื้อ สวี่จิ้งจงเอามือถูจมูก รู้สึกค่อนข้างละอายใจ เป็นครั้งแรกที่หยิบโดยไม่บอก ทั้งยังถูกจับได้เสียอีก เริ่มไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้ว


 


 


“เหลาสวี่ รอกลับไปเมืองหลวงแล้วข้าจะให้เจ้าอันหนึ่ง อันนี้เป็นของรักของหวงของนักพรตซุน ข้าเองก็ขอร้องมาค่อนวัน จึงยอมให้ข้ายืมใช้ครู่หนึ่ง” ตอนนี้อวิ๋นเยี่ยปลงตกแล้วว่าสำนักศึกษาไม่สามารถมีเพียงสุภาพบุรุษที่มีคุณธรรมเท่านั้น จำเป็นต้องมีพวกหน้าไหว้หลังหลอกอยู่บ้างเช่นกัน อย่างเช่นสวี่จิ้งจงเป็นต้น เพียงแต่การรับสมัครบุคคลเช่นนี้ควรต้องมีการเจรจาเงื่อนไขกันก่อน นั่นก็คือต้องมีความเป็นหนึ่งเดียวกับสำนักศึกษา หากไม่มีเงื่อนไขนี้และรับเข้ามาโดยไม่คิดหน้าคิดหลังรังแต่จะเป็นภัย


 


 


ได้ยินอวิ๋นเยี่ยพูดเช่นนี้แล้วสีหน้าสวี่จิ้งจงนั้นดีขึ้นมาก มีเพียงไม่กี่คนในใต้หล้านี้ที่สามารถทำให้ซุนซือเหมี่ยวไว้หน้าได้ การถูกเขาเหยียดหยามยังไม่ถึงกับเรียกว่าเสียหน้า


 


 


“โหวเหยีย ในเมื่อเจ้าพบว่าหนังสือนี้เป็นของปลอม ทำไมจึงยังเสี่ยงออกจากเมือง ผู้ที่มีฐานะสูงส่งมั่งคั่งไม่ควรเข้ามาเสี่ยงอันตราย โหวเหยียท่านวางแผนผิดพลาดแล้ว”


 


 


“ที่จริงแล้วข้าไม่ใช่คนแรกที่ค้นพบว่าหนังสือเป็นของปลอม แต่เป็นนักพรตซุน ข้าก็แค่ประหลาดใจว่าผู้บัญชาการหลี่ต้องไม่ทรมานข้าเช่นนี้แน่ แม้ว่าข้าจะทำผิดก็ตามที อย่างมากที่สุดเขาก็มีคำสั่งให้ข้ากลับฉางอัน มีอย่างที่ไหนที่จะให้ข้าเสี่ยงอันตรายเดินทางระหกระเหินนับพันลี้ ขอพูดอวดอ้างสักหน่อย หากข้าเกิดเป็นอะไรขึ้นมา หลี่จิ้งเขารับไม่ไหวแน่ ดังนั้นจึงหยิบหนังสือคำสั่งมาปรึกษากับนักพรตซุน ใครจะรู้ว่านักพรตซุนกลับได้กลิ่นของยาน้ำอย่างหนึ่งบนหนังสือคำสั่ง เมื่อใช้แว่นขยายส่องดูจึงได้เข้าใจอย่างแจ่มชัด จะว่าไปแล้วข้าต้องขอบคุณบุญคุณที่ท่านนักพรตช่วยชีวิตไว้ มิฉะนั้นพวกเราก้าวเข้าประตูผีแล้วยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น” เมื่ออวิ๋นเยี่ยพูดจบก็หันไปคารวะนักพรตซุน


 


 


“ฮึ! ข้าเตือนเจ้าตั้งแต่แรกแล้วว่าให้หลีกเลี่ยงอย่าได้เข้าไปข้องเกี่ยว ให้เก็บตัวอยู่ที่สำนักศึกษาอย่างสงบเสงี่ยมอย่าได้ทำตัวโดดเด่น เจ้าเคยเชื่อสักครั้งหรือไม่ คราวนี้ถูกคนอื่นคิดลอบกัดก็ดี จะได้ช่วยให้รู้จักจดจำขึ้นบ้าง” ใบหน้าที่ราบเรียบไร้ความรู้สึกของซุนซือเหมี่ยวในที่สุดก็แสดงออกถึงความโกรธแล้ว เริ่มเก็บอารมณ์ไม่อยู่แล้ว


 


 


 “ข้าไปหาผู้บัญชาการไฉและตรวจสอบเอกสารที่เขาได้รับ ซึ่งของเขาไม่มีปัญหา ดูเหมือนว่าคราวนี้มีคนจ้องเล่นงานข้า อาจารย์กงซูดูจากวิธีการปลอมแปลงที่ใช้แล้วพอจะเห็นเงาของตระกูลที่อยู่เบื้องหลัง พวกไม่รู้จักที่ตาย ยังคงพร่ำเพ้อถึงเรื่องชีวิตอมตะ เป็นพวกถึงตายก็ไม่แก้นิสัยจริงๆ” อวิ๋นเยี่ยดูแคลนพวกขี้ขลาดอ่อนแอที่ไม่กล้าเผชิญหน้ากับความตายเป็นอย่างมาก


 


 


“ผู้บัญชาการไฉไม่ได้เตรียมทางหนีทีไล่ไว้ด้วยหรือ กำลังของพวกเรานั้นค่อนข้างเปราะบาง” สวี่จิ้งจงเริ่มกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ของพวกเขาแล้ว


 


 


“ด้านหลังพวกเราห่างไปสามสิบลี้ยังมีทหารม้าฝีมือดีห้าร้อยนาย หากเราส่งสัญญาณและยืนหยัดให้ได้ครึ่งชั่วยาม พวกเขาก็จะมาสมทบทัน ข้าไม่เชื่อว่าตระกูลที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังสามารถฆ่ากองกำลังของพวกเราได้ภายในครึ่งชั่วยาม” เฉิงฉู่มั่วเหวี่ยงกำปั้นของเขา พูดอย่างมาดมั่น


 


 


“พวกเขาล่อข้าออกมา คิดว่าคงไม่ได้คิดฆ่าข้าแน่ ไม่เช่นนั้นไม่ว่าที่ซั่วฟางหรือฉางอันล้วนแล้วแต่มีโอกาส ภายใต้สภาพอากาศที่หนาวเหน็บเช่นนี้ ลงทุนลงแรงมากถึงเพียงนี้ คาดว่าน่าจะมีอะไรอยากพูดกับข้า แต่ไม่ต้องการให้คนอื่นรู้ถึงการดำรงอยู่ของพวกเขา ดังนั้นจึงทำตัวลับๆ ล่อๆ มาหลอกคน พวกเราแสร้งทำเป็นว่าไม่รู้ ใช้ความนิ่งรับมือความเปลี่ยนแปลงร้อยแปด ดูว่าพวกเขามีลูกเล่นอะไร ข้าเองก็อยากรู้ว่าใครกันที่สนใจในตัวข้ามากเช่นนี้”


 


 


หลังการประชุม หัวหน้าองครักษ์ของเหล่าจวงและเหล่าหนิวไปถ่ายทอดให้ทหารเสริมฟังทั้งหมด เพื่อให้พวกเขาเตรียมใจให้พร้อม กงซูเจี่ยนั้นได้วางลูกศรไว้บนรถหน้าไม้โดยเตรียมขึงเอ็นไว้สามเส้น เตรียมพร้อมยิงตลอดเวลา เมื่อเห็นทุกอย่างเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว อวิ๋นเยี่ยก็กลับไปนอนพักที่ถ้ำเล็กๆ ทหารเสริมขุดถ้ำหนึ่งแถวไปตามไหล่เขา ต่างก็ไม่ใช่ถ้ำขนาดใหญ่เพียงแต่พอจะเบียดนอนได้สองคน


 


 


ตกดึกแล้ว เมื่อหินที่ถูกเผาไหม้ค่อยๆ เย็นลงในถ้ำก็เย็นลงเรื่อยๆ เฉิงฉู่มั่วนอนไม่หลับ คลุมผ้าคลุมหนังแกะมือถือดาบ นั่งขัดสมาธิบนหนังแกะ ตะเกียงน้ำมันในถ้ำส่องแสงสลัวๆ ชุดเกราะสีดำเข้มส่องประกายความเย็นวาบที่ชวนสยอง


 


 


ความตึงเครียดตลอดคืนนั้นไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย ไม่มีใครมารบกวนเลย แม้แต่หมาป่าตัวเดียวก็ไม่มี ภายใต้ท้องฟ้าที่มืดสลัวกองกำลังก็ออกเดินทางอีกครั้ง ในเมื่อจะแสร้งทำเป็นไปรวมตัวกับหลี่จิ้ง ดังนั้นทุกอย่างจึงต้องทำให้สมจริงสมจังที่สุด แม้แต่ตัวเองก็รู้สึกว่าเสแสร้งแล้วจะหลอกคนอื่นได้อย่างไร อวิ๋นเยี่ยตัดสินใจที่จะไปพบหลี่จิ้ง ถึงตอนนั้นค่อยเอาเอกสารปลอมมาหลอกให้เขาตกใจดู เพื่อดูว่าจะหาผลประโยชน์เพิ่มเติมจากเขาได้หรือไม่ เหอเซ่ายังมีเหรียญทองแดงจำนวนมากอยู่ เขาไม่คิดที่จะส่งเหรียญทองแดงกลับฉางอัน การทำเช่นนั้นไม่ได้ทำให้ต้นทุนต่ำลงเลย


 


 


เฉิงฉู่มั่วตลอดทั้งคืนนอนหลับไม่เต็มที่แต่ก็ยังมีชีวิตชีวาเป็นอย่างมาก เขาไม่ได้นั่งบนรถลากเลื่อน แต่ขี่ม้าสองมือสวมถุงมือหนัง ถือหอกหม่าซั่วของเขาไม่ออกห่างจากอวิ๋นเยี่ย สวี่จิ้งจงเอนนอนอยู่ในเพิงอ่านหนังสือ ซึ่งเสียงนั้นค่อนข้างดังก็รู้ว่าเขาเป็นกังวล แต่โชคดีที่เขายังไม่ถึงจุดที่สูญเสียการควบคุมตัวเอง จอมวายร้ายผู้โด่งดังนับพันปีช่างไม่ธรรมดาจริงๆ ผู้ที่คิดการใหญ่ก่อเรื่องชั่วก็ล้วนแล้วแต่เป็นคนที่มีสติปัญญาและความกล้าหาญ คำพูดโบราณประโยคนี้ไม่ได้หลอกกันจริงๆ


 


 


ดวงอาทิตย์ยังไม่พ้นขอบฟ้า ปลายทางของถนนยังคงมีหมอกมืดมน จู่ๆ ก็มีกองคาราวานอูฐปรากฏอยู่ข้างหน้า กองกำลังของอวิ๋นเยี่ยรีบหยุดทันที ทหารเสริมทั้งหมดต่างก็เตรียมขึ้นลูกธนู การเดินทางครั้งนี้อวิ๋นเยี่ยได้เตรียมหน้าไม้ไว้มากมาย อย่างน้อยที่สุดทุกคนจะมีสองคัน หากเป็นการจู่โจมขนาดย่อมจะมีใครสามารถฝ่าการยิงที่ถี่ยิบเช่นนี้ได้


 


 


มีคนคนหนึ่งเดินออกมาจากกองคาราวานที่อยู่ตรงข้าม ยกมือวางราบที่หน้าอกคารวะเสียงดังว่า “เราเป็นลูกหลานของอัลเลาะห์ เป็นพ่อค้าที่ทำการค้าอยู่บนทุ่งหญ้า ท่านแม่ทัพผู้สูงศักดิ์ โปรดอนุญาตให้ข้าได้มอบของขวัญของพวกเราให้ท่านด้วย หวังว่าท่านแม่ทัพผู้สูงศักดิ์จะยินยอมให้พวกเราได้ทำการค้าบนดินแดนที่สวยงามแห่งนี้ต่อไป” เมื่อพูดจบก็มีคนมานำถาดเงินที่ประณีตสวยงามซึ่งเต็มไปด้วยเครื่องเงินฝีมือประณีตต่างๆ นานา


 


 


ม้าศึกของอวิ๋นเยี่ยหยุดอยู่ห่างออกไปยี่สิบเมตรโดยมีเฉิงฉู่มั่วอยู่ข้างๆ ชุดเกราะเหล็กทั้งร่างเสมือนเทพมารจุติบนโลก กองกำลังก็ห้อมล้อมเป็นวงกลมอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นว่าผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาเตรียมพร้อมแล้ว อวิ๋นเยี่ยมองดูดวงอาทิตย์สีแดงครึ่งวงกลมที่เพิ่งโผล่ขึ้นมา จึงถามพ่อค้าคนนั้นว่า “เจ้าแน่ใจหรือว่าเจ้าเป็นลูกหลานของอัลเลาะห์”


 


 


“ใช่ ท่านแม่ทัพ พวกเรามาถึงดินแดนที่อัลเลาะห์ประทานพรแห่งนี้จากเมดินาอันไกลโพ้น เพียงเพื่อเผยแพร่คำสอนของอัลเลาะห์ให้เป็นที่รับรู้ไปทั่ว การทำการค้าเป็นเพียงสิ่งที่ถือโอกาสทำไปด้วยเท่านั้นเอง ท่านแม่ทัพผู้สูงศักดิ์ ในกองคาราวานอูฐข้ามีเหล้าที่ดีที่สุด ทั้งยังมีสาวสวยบริสุทธิ์ชาวเปอร์เซีย ท่านแม่ทัพผู้สูงศักดิ์ นี่คือน้ำใจเล็กน้อยของพวกเรา”


 


 


อวิ๋นเยี่ยถอนหายใจ มองไปยังผู้คนเลือนรางซึ่งอยู่ด้านหลังกองคาราวานอูฐ จึงพูดกับคนที่เรียกว่าชาวอาหรับว่า “เจ้าพูดได้ดีมาก แต่ตอนนี้ได้เวลาที่พระอาทิตย์จะขึ้น เหล้าเป็นข้อห้ามหลักของมุสลิม พวกเจ้ารนหาที่ตายเอง จะมาโทษข้าไม่ได้” หลังจากพูดเรื่องพวกนี้จบ เขาจึงพูดกับเฉิงฉู่มั่วว่า “จับเป็นคนคนนี้ไว้ “


 


 


อวิ๋นเยี่ยหันศีรษะม้าวิ่งกลับมาที่กองกำลัง เฉิงฉู่มั่วกระแทกท้องม้าเบาๆ ม้าที่งามสง่าก็พุ่งไปข้างหน้าอย่างดุดัน มุ่งเข้าหาชาวอาหรับคนนั้น ด้านหลังกองคาราวานอูฐมีทหารม้าจำนวนมากโผล่ออกมา พุ่งฆ่าเข้าหากองกำลัง อาวุธของพวกเขาแปลกมาก ล้วนแล้วแต่เป็นดาบเสี้ยวจันทร์ ที่แปลกกว่านั้นคือพวกเขาไม่มีธนู


 


 


ชาวอาหรับที่หลบหนีวิ่งได้เพียงไม่กี่ก้าวก็ถูกเฉิงฉู่มั่วตามทัน หอกหม่าซั่วแทงลงไปบนหลังของเขา ชาวอาหรับคนนั้นกระอักเลือดแล้วก็ลอยขึ้น เฉิงฉู่มั่วควบม้าผ่านเข้าด้านข้าง โน้มตัวคว้าสายคาดเอวเขาไว้ แล้วจับพาดไว้บนหลังม้าขี่กลับไปหากองกำลัง


 


 


กองคาราวานอูฐของชาวอาหรับแตกกระจาย ม้าตัวใหญ่นับร้อยตัวเหมือนเหล็กไหลส่งเสียงร้องฮี้ๆ วิ่งพุ่งลงจากเนินเขาเล็กๆ


 


 


กงซูเจี่ยดึงผ้าฝ้ายบนรถหน้าไม้ออกและหันไปยังที่ที่ผู้คนเยอะที่สุด หลังจากหมุนขยับกลไกของรถหน้าไม้ เสียงเหมือนผ้าฉีกขาดก็ดังขึ้น พริบตาเดียวหน้าอกของชาวอาหรับที่พุ่งมาด้านหน้าสุดก็เกิดรูขนาดใหญ่ ร่างก็ถูกรถหน้าไม้เกี่ยวขึ้นมาจนสูงและเหวี่ยงตกลงไปทางด้านหลัง เมื่อรถยิงหน้าไม้หยุดยิงแล้ว มีชาวอาหรับสูงห้าฟุตสามคนถูกเสียบติดอยู่บนลูกดอกของรถหน้าไม้ เพียงชั่วพริบตาก็ถูกม้าศึกของกองหน้าเหยียบจนกลายเป็นเนื้อบด


 


 


ชาวอาหรับดูเหมือนจะไม่กลัวความตาย ยังคงตีม้าอย่างบ้าคลั่ง ต้องการเร่งให้ม้าเพิ่มความเร็วให้มากที่สุด ลูกดอกยักษ์สองดอกลอยออกไปอีกแล้ว แต่ละดอกก็โจมตีไปที่แนวบุกชาวอาหรับที่พุ่งนำหน้าขึ้นมาเหมือนปลายลูกศรอย่างแม่นยำ ลูกดอกยักษ์แต่ละดอกทำให้เกิดแนวเลือดในฝูงชน


 


 


ความโกลาหลของม้าศึกที่ไม่มีเจ้านายได้ช่วยขัดขวางความเร็วในการหนีของชาวอาหรับอยู่บ้าง ในเวลานี้เหล่าจวงได้มีคำสั่งให้มือหน้าไม้แถวหน้าเหนี่ยวไกหน้าไม้ เมื่อเกิดเสียงเสียดสีดังปึงลูกดอกสีดำนับร้อยก็พุ่งออกไป มันเป็นลูกศรไม่มีหางแบบพิเศษที่ทำจากเหล็กบริสุทธิ์ ซึ่งเร็วกว่าลูกดอกแบบมีหางทั่วไปมากนัก โล่หนังสัตว์ของชาวอาหรับนั้นไม่สามารถปกป้องพวกเขาได้เลย ลูกดอกปลายสามแฉกนั้นฉีกโล่หนังได้อย่างง่ายดายและฝังลึกลงไปในร่างกายของพวกเขา


 


 


ในสนามรบที่วุ่นวายอวิ๋นเยี่ยพบว่าตัวเองมีสติอย่างที่สุด ไม่รู้สึกอึดอัดใดๆ เนื่องจากอยู่ในตำแหน่งใต้ลม เมื่อลมพัดพากลิ่นคาวเลือดที่เข้มข้นผ่านมา เขากลับสูดลมหายใจเข้าอย่างดื่มด่ำ ดูเหมือนเซลล์ทุกเซลล์ในร่างกายกำลังรอต้อนรับอยู่

 

 

 


ส่วนที่ 4

 

ตอนที่ 25

 

 การละเล่นก่อนมื้ออาหาร

 


 


 


สงครามเป็นสนามสังหารที่หากไม่ใช่เจ้าตายก็คือข้าม้วย หลังจากที่ชาวอาหรับตายเต็มพื้นแล้ว พวกเขาก็เริ่มใช้ธนูแล้ว แม้ว่าจะไม่สามารถยิงถี่ยิบได้ แต่มันก็มีความแม่นยำมาก แนวป้องกันของกองกำลังก็ส่งเสียง “ฮึ” ถอนหายใจอย่างหงุดหงิดเป็นครั้งคราว บางครั้งก็มีเสียงร้องครวญครางปะปนออกมาเบาๆ เฉิงฉู่มั่วถือโล่อันใหญ่บังอวิ๋นเยี่ยไว้ได้อย่างมิดชิด โล่ใหม่ไม่มีลูกศรปักอยู่ด้านบนแม้แต่ดอกเดียว ซึ่งแตกต่างจากโล่ของเหล่าจวงที่กลายเป็นเม่นไปแล้ว การใส่เกราะป้องกันให้รถหน้าไม้นั้นถือว่าเป็นความคิดที่เฉียบแหลมมาก กงซูเจี่ยเพียงแค่มองผ่านช่องว่างที่ใช้เส้นเหล็กถักทอขึ้น ก็เห็นการเคลื่อนไหวของศัตรูอย่างชัดเจน มีทหารเสริมรูปร่างท้วมใหญ่สองคนอยู่ข้างหลังเขาเพื่อคอยใส่ลูกดอกให้ เขารับหน้าที่เพียงยิงเปิดทาง ตอนนี้ไม่สนใจศัตรูในบริเวณใกล้เคียง เพียงแค่ใช้ประโยชน์จากการยิงระยะไกลของรถหน้าไม้ไล่ฆ่ากำลังเสริมที่มาด้านหลัง อวิ๋นเยี่ยเห็นด้วยตาตนเองว่าม้าศึกตัวหนึ่งถูกลูกดอกยิงจากหน้าอกด้านหน้าทะลุไปยังทวารหนัก ล้มลงกับพื้น ออกแรงถีบได้เพียงสองครั้งแล้วก็ไม่ขยับอีกเลย


 


 


อวิ๋นเยี่ยเริ่มสบายขึ้นเรื่อยๆ ในรัศมีสองจั้งรอบกายเขาไม่มีลูกธนูอีกเลย เฉิงฉู่มั่วเองก็เบื่อมากเช่นกัน เขาส่งโล่ให้อวิ๋นเยี่ยเอาไว้ป้องกันตัว ตัวเองกลับไปที่ข้างม้าศึกเตรียมออกจู่โจมได้ตลอดเวลา หลังจากการโจมตีครั้งใหม่ของชาวอาหรับถูกทำลายลง กองกำลังของอวิ๋นเยี่ยมีเพียงทหารม้าห้าสิบนายเท่านั้น ทหารเสริมช่วยผลักรถลากเลื่อนออกและเริ่มตอบโต้


 


 


เฉิงฉู่มั่วและเหล่าจวงสองคนตะโกนโห่ร้องแล้ววิ่งเข้าใส่แนวศัตรู หอกหม่าซั่วราวกับมังกรคะนองน้ำที่ออกจากทะเล ก่อตัวเลื้อยพันฝูงทหารอย่างต่อเนื่อง ชาวอาหรับยิ่งรบยิ่งลดน้อยลง แต่ยังคงไม่ยอมจากไป ทั้งยังต่อสู้อย่างยืดเยื้อกับทหารต้าถัง


 


 


นี่เป็นสงครามที่แปลกประหลาด พวกเขาดูเหมือนจะไม่ได้มาเพื่อต่อสู้ แต่มาเพื่อรับความตาย ทหารเสริมเริ่มเคลื่อนรถลากเลื่อนมุ่งไปยังสนามรบ หัวหน้ากองของเหล่าหนิวตะโกนคำสั่งที่อวิ๋นเยี่ยฟังไม่เข้าใจ คอยควบคุมเร่งให้เหล่าทหารเสริมยิงชาวอาหรับที่เหลือทิ้งเสีย


 


 


ในที่สุดทหารเสริมก็มาถึงสนามรบ ส่งเสียงร้องตะโกน โยนธนูในมือทิ้ง เริ่มใช้ดาบและหอกยาวเพื่อจัดการกับทหารม้าที่ไม่สามารถวิ่งได้ ไม่ว่าทหารม้าจะเก่งกาจเพียงใด เมื่อวิ่งไม่ได้เช่นนั้นย่อมสู้ทหารราบไม่ได้ คนสี่ห้าคนรับมือคนคนเดียว การต่อสู้จึงสิ้นสุดลงอย่างรวดเร็ว ทหารม้าเหล่านั้นตั้งแต่ต้นจนจบไม่ได้ร้องขอชีวิตแม้แต่คำเดียว เพียงแต่ส่งเสียงร้องครวญราวกับสัตว์ป่าเท่านั้น


 


 


ซุนซือเหมี่ยวกระโดดออกมาจากด้านหลังของรถลากเลื่อน มาอยู่ด้านหน้าอวิ๋นเยี่ยและถามว่า “คนพวกนี้เป็นใครกัน พวกเคราดกหรือ”


 


 


“ดูจากเครื่องแต่งกายแล้วเป็นชาวอาหรับ แต่ข้าเชื่อว่าพวกเขาไม่ใช่ ตัวมูฮัมหมัดเองอยู่ในเมืองเมดินา คนที่ไม่เชื่อในศาสนาอิสลามเกรงว่าน่าจะถูกฆ่าตายหมดแล้ว ต้องบอกให้รู้ก่อนว่า การเผยแผ่ศาสนาของมูฮัมหมัดนั้นมือหนึ่งถือคัมภีร์อัล-กุรอาน อีกมือหนึ่งถือดาบ คล้อยตามข้าอยู่ ไม่คล้อยตามข้าตาย คนพวกนี้ที่เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นแล้วยังไม่กราบไหว้ ทั้งยังมีเหล้าชั้นเลิศอีก จะเป็นมุสลิมได้อย่างไร เจ้าว่าจริงไหม” อวิ๋นเยี่ยหันกลับมาถามคนที่ถูกเฉิงฉู่มั่วจับมา


 


 


ความเป็นจริงได้พิสูจน์ให้เห็นอีกครั้งว่าล่ามนั้นกลัวตาย ชายคนนี้ก็เช่นกัน กระโจนลงกับพื้นกอดเท้าของอวิ๋นเยี่ย จูบรองเท้าของอวิ๋นเยี่ยไม่หยุดจึงถูกเขาเตะกระเด็นออกไป


 


 


“พูดมาเสีย พวกเจ้าเป็นใคร ทำไมต้องหลอกพวกข้าด้วย”


 


 


“ท่านแม่ทัพผู้กล้าหาญและปราดเปรื่อง พวกเราเป็นแค่ทาสรับใช้ที่ถูกส่งมาเชิญท่านไปเข้าร่วมงานเลี้ยงงานหนึ่งเท่านั้น เจ้าพวกทาสที่สมควรตายเหล่านั้นเป็นเพียงการละเล่นก่อนงานเลี้ยงเท่านั้นเอง แขกของพวกเราชอบเล่นการละเล่นเล็กๆ น้อยๆ ก่อนงานเลี้ยง อับดุลลาห์ผู้ต่ำต้อยคิดว่าท่านแม่ทัพเองก็คงชอบเช่นกัน ดังนั้นจึงได้จัดให้มีการละเล่นเล็กๆ เช่นนี้ขึ้น” พวกเฉิงฉู่มั่วโกรธจัดและคิดว่าคนสารเลวที่ชื่ออับดุลลาห์กำลังพูดเหลวไหลไร้สาระ


 


 


แต่อวิ๋นเยี่ยกลับเชื่อ ชนชั้นสูงแห่งเปอร์เซียมีธรรมเนียมเช่นนี้ พวกเขาใช้ชีวิตของทาสเพื่อทำให้แขกพอใจ เพื่อไม่ให้กระทบต่ออารมณ์ของแขก พวกเขาจะตัดลิ้นของทาสทิ้งเพื่อป้องกันไม่ให้ทาสกรีดร้องก่อนที่จะตายแล้วกระทบต่ออารมณ์การดื่มเหล้าของแขก พวกเขาเชื่อว่าเหตุผลที่ขุนนางเป็นขุนนางเพราะพวกเขามีความเห็นอกเห็นใจที่สูงส่ง ดังนั้นพวกเขาจะได้รับข้อกล่าวหาทุกครั้ง ตัวอย่างเช่นครั้งนี้ พวกเขาจัดฉากข้อกล่าวหาในการหลอกลวง การหลอกลวงขุนนางคนหนึ่งก็จะต้องโทษประหารชีวิต ดังนั้นขุนนางจึงสามารถฆ่าพวกเขาได้อย่างสมเหตุสมผลโดยไม่ต้องแสดงความเห็นอกเห็นใจอันสูงส่ง


 


 


ครั้นเปิดปากของทาสคนหนึ่งดู จริงดังว่าเขาไม่มีลิ้น ทาสสามร้อยคนก็คือราคาของการเชิญอวิ๋นเยี่ยไปดื่มเหล้า


 


 


ตอนนี้อวิ๋นเยี่ยโกรธมากจนแทบระเบิดออกมา ไม่น่าแปลกใจที่กลยุทธ์การศึกของพวกเขาถึงดูไม่พลิกแพลงเสียเลย ไม่น่าแปลกใจที่ไม่มีลูกธนูยิงมาข้างกายเขาเลยแม้แต่ดอกเดียว หากตัวเองบุกเข้าไปในสนามรบคาดว่าพวกทาสเหล่านั้นคงไม่กล้าที่จะต่อต้านแน่ ให้ตายสิ ในมือเจ้าพวกนั้นคือทาส จะทำลายพวกเขาอย่างไรก็ได้ ให้ดิ้นตาย พวกที่อยู่ในมือฉันคือเพื่อนร่วมรบ ตอนนี้ตายไปหกคน เพียงเพราะแค่อยากเล่นสนุก ลูกเต่าตัวไหนกันที่ทำเช่นนี้


 


 


เมื่อมองอับดุลลาห์ที่อยู่ที่เท้า ชื่อนี้ก็คือชื่อของชาวอาหรับ ซึ่งก็หมายความว่าทาสเหล่านี้เป็นชาวอาหรับ พวกศิษย์ต่างลัทธิที่ไม่เชื่อในอัลเลาะห์ อวิ๋นเยี่ยที่หน้าเคร่งเครียดทำท่าทางตัดศีรษะต่อเหล่าจวง เหล่าจวงไม่ลังเลที่จะฟันดาบลงที่คอของอับดุลลาห์เพียงแค่ลากไปศีรษะชายคนนั้นก็หลุดกลิ้งลงมา


 


 


เดินเล่นในสนามรบมีเพียงลมหนาวพัดผ่าน จิตใจของอวิ๋นเยี่ยนั้นหนาวเหน็บอ้างว้างยิ่งกว่าสายลมเย็นนี้ ทาสที่นอนอยู่บนพื้นไม่มีชุดเกราะ มีเพียงเสื้อผ้าเรียบง่าย ผิวที่เปลือยเปล่าอยู่ด้านนอกเป็นแผลกัดเซาะบริเวณกว้าง …


 


 


ลมพัดหิมะบนพื้นขึ้นมา มีเสียงกระดิ่งของอูฐดังขึ้น เสียงที่ไพเราะและมีชีวิตชีวา อูฐสีขาวออกมาจากท้องฟ้าที่มีหิมะโปรยราวกับเอลฟ์ มันหยุดอยู่ข้างศพของอับดุลลาห์แล้วก็นอนลง ปากก็เคี้ยวเอื้องไม่หยุดราวกับกำลังพูดอยู่ มีกล่องเงินอยู่บนหลังมันซึ่งทำได้ประณีตสวยงามมาก เฉิงฉู่มั่วบิดตัวล็อกเล็กๆ ออกและพบว่าด้านในเป็นบัตรเชิญ บัตรเชิญนั้นเป็นม้วนหนังแกะสีขาว


 


 


สวี่จิ้งจงเปิดหนังแกะออกและอ่านเสียงเบาๆ “อวิ๋นโหวเดินทางไกลนับพันลี้ รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง ข้าตั้งใจย้ายถิ่นเพื่อต้อนรับทุกท่าน การทักทายก่อนหน้านี้ หวังว่าโหวเหยียจะเป็นที่พอใจ วันนี้มีเหล้าเปอร์เซียอีกทั้งสาวงามจากนานาประเทศ ร่ายรำพร้อมหิมะโปรย ร้องรำต้อนรับลมเหนือ หาความสุขที่ใดเปรียบมิได้ ข้ารอคอยร่วมกันร่ำสุรากับอวิ๋นโหว จะให้เกียรติได้หรือไม่”


 


 


สวี่จิ้งจงอ่านหนังสือบนม้วนหนังแกะจบแล้วก็มองอวิ๋นเยี่ยด้วยความตกตะลึง จากความรู้มากมายของเขา เขาไม่เคยพบกับการเชิญแขกเช่นนี้มาก่อนเลย ให้ตายสิ นี่มันเป็นพวกวิปริต เต้นรำกับหิมะต้อนรับลมเหนือท่องบทกวี นี่เป็นการบีบบังคับอย่างประเจิดประเจ้อ ถ้าไม่ไปพรุ่งนี้ต้องมีหญิงงามมากมายที่แข็งตายถูกส่งมาอย่างแน่นอน เขาเป็นใครกัน จึงได้เข้าใจข้าดีถึงเพียงนี้ รู้จุดอ่อนของข้าดีถึงเพียงนี้


 


 


หากทิ้งเรื่องการปลอมแปลงเอกสารของเขา เขาก็ทำตามพิธีรีตองของชนชั้นสูงแล้ว แม้จะเป็นพิธีรีตองของพวกเขาก็ตามที จากการที่เขาสามารถนำทาสสามร้อยคนมาล้อเล่นได้อย่างสบายอารมณ์ก็อนุมานได้ว่าในมือของเขาคงมีคนมากกว่าสามพันคน แม้แต่ข่านเจี๋ยลี่ก็ยังไม่ยิ่งใหญ่เท่าเขา ไม่ไปคงไม่ได้แล้ว หากเจ้าหมอนี่ส่งสมุนมาเล่นสนุกอีก จำนวนคนเท่าหยิบมือของตนตอนนี้ไม่เพียงพอให้เขาแคะเศษอาหารรอ แม้จะรวมกับทหารม้าอีกห้าร้อยคนที่อยู่ด้านหลังก็ยังเป็นปัญหา


 


 


ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว เปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ เขาเป็นชนชั้นสูงฉันก็เป็นชนชั้นสูง จะให้เขาดูแคลนได้อย่างไร เหล่าซุนห้ามไป เฉิงฉู่มั่วห้ามไป ได้แต่ไปพร้อมกับสวี่จิ้งจงและเหล่าจวงเท่านั้น ให้ซุนซือเหมี่ยวดูแลเฉิงฉู่มั่วให้ดี อย่าให้โรคหลงตัวเองกำเริบขึ้นได้ ตอนนี้สถานการณ์ไม่ดี แต่ได้รับมือทีละขั้น หากผิดพลาดไปแม้สักนิด ทุกคนได้จบสิ้นกันหมดแน่ พูดเหตุผลนี้ให้เฉิงฉู่มั่วฟังหลายครั้งแล้ว จึงได้รีบไล่อูฐให้ลุกขึ้นและกลับไปทางเดิม


 


 


อวิ๋นเยี่ยมุ่งหน้าตามอูฐไป เขาสวมเสื้อคลุมขนสัตว์สีดำแบบเต็มตัว สวมหมวกขนสัตว์ไว้ รองเท้าหนังกวางบุด้านในเพื่มความอุ่น ที่ปลายเชือกของชุดคลุมชั้นนอกมีไข่มุกสีดำขนาดใหญ่เท่าดวงตามังกร ก็ไม่รู้ว่าอาหญิงไปนำมาจากที่ไหน อย่างไรก็การแต่งกายของอวิ๋นเยี่ยครั้งนี้ยกระดับภาพลักษณ์ทางการเงินของตระกูลอวิ๋นให้ดูดีขึ้นหลายเท่า หากอยู่ฉางอันเป็นตายอวิ๋นเยี่ยก็ไม่ยอมสวมชุดนี้อย่างเด็ดขาด มันเหมือนข้าวต้มมัดมาก คราวก่อนลองสวมดูทำให้ซินเย่ว์หัวเราะหมอบอยู่บนเตียงจนลุกไม่ขึ้นเลย บอกว่านางเห็นเพียงแผ่นหนังและไข่มุก ส่วนตัวคนนั้นจำไม่ได้ว่าหน้าตาเป็นอย่างไร


 


 


สวี่จิ้งจงกลับดูเป็นระเบียบเรียบร้อยดี เป็นชุดขุนนางฝ่ายบุ๋นทั่วไป ด้านนอกสวมเสื้อคลุมหนังแกะสามส่วน ไม่ได้สวมเสื้อคลุมทับด้านนอกอีกครั้งเหมือนอวิ๋นเยี่ย มองดูแล้วชวนให้ดูสดชื่นปลอดโปร่ง


 


 


ด้านหลังเหล่าจวงแบกดาบยาวไว้สองเล่ม ที่เอวแขวนดาบใหญ่ไว้หนึ่งเล่ม บนหลังม้ายังมีธนูและลูกศร ทั้งสองด้านแขวนซองธนูไว้ อยากจะสวมชุดเกราะไปจนถึงซี่ฟันเลย


 


 


หลังจากขี่ม้าไปได้ไม่ถึงสองลี้ก็มีรถม้ามารอรับ อวิ๋นเยี่ยและสวี่จิ้งจงสละม้าและขึ้นรถ ลมด้านนอกเย็นหนาวเหน็บ ในรถอบอุ่นเหมือนฤดูใบไม้ผลิ มีหญิงอรชรสองนางหมอบคารวะอยู่บนพื้น เสียงเจื้อยแจ้วไม่รู้ว่าพูดอะไรอยู่ อวิ๋นเยี่ยยังไม่ทันได้พูดก็ถอดรองเท้าอวิ๋นเยี่ยออก แล้วดันเท้าเย็นๆ ของอวิ๋นเยี่ยเข้าไปในทรวงอกของนาง ร่องอกที่อิ่มเอิบถูกเท้ากดทับจนผิดรูป นิ่มๆ ลื่นๆ จนทำให้อวิ๋นเยี่ยหน้าแดงกลายเป็นกวนอูทันที


 


 


หากเปรียบเทียบกันแล้ว สวี่จิ้งจงนั้นเป็นธรรมชาติมากกว่า วางเท้าของไว้บนทรวงอกอันอบอุ่นของหญิงสาวอย่างสบายอารมณ์ ด้วยท่าทางพึงพอใจเป็นอย่างมากราวกับได้เสพยาเสพติด เมื่อมองดูก็รู้ว่าเป็นพวกแถวหน้าของบรรดาชายเจ้าชู้ เขาถึงกับใช้เท้าขยับไปมาอยู่บนทรวงอกของหญิงสาวไม่ยอมหยุด ทำให้พวกนางหัวเราะคิกคักไม่หยุด เส้นผมของหญิงสาวนั้นมีสีน้ำตาล ไม่ใช่หญิงชาวต้าถัง ด้วยความคิดอันชั่วร้ายที่จะสร้างศักดิ์ศรีให้ประเทศ อวิ๋นเยี่ยก็ขยับเท้าขึ้นลงซ้ายขวาไปมาอย่างระมัดระวัง …


 


 


“อวิ๋นโหว ขอให้ปล่อยใจให้สบาย เมื่อได้โอกาสทำตามอำเภอใจก็จงทำมันเสีย อย่าได้เป็นกังวล ข้าคิดว่าเจ้านายคนที่มาเชิญแขกนี้ไม่ได้มีเจตนาร้าย บางทีอาจจะต้องการขอร้องอวิ๋นโหว เมื่อถึงเวลาอวิ๋นโหวก็สามารถลงมือได้อย่างเต็มที่ กอบโกยผลกำไรก้อนโต แต่ขอบอกไว้ก่อนนะว่า ผู้ที่รู้เห็นย่อมต้องมีส่วนแบ่ง! “


 


 


ขณะทำสงคราม เจ้าคนนี้หมอบอยู่บนรถลากเลื่อนไม่ยอมลง ทั้งยังให้คนรับใช้ชราหมอบทับร่างเขาไว้เพื่อรับลูกธนูแทนเขา ตอนนี้รอดกลับมามีชีวิตอีกครั้ง ยังจะทำเป็นวางท่าที นี่คือธาตุแท้ของพวกที่รู้จักแต่เอาตัวรอดโดยแท้ ภายหน้าคบค้าสมาคมกับเขาต้องเพิ่มความระวังให้มากขึ้นนั้นถือว่าถูกต้องแล้ว


 


 


“เหลาสวี่ คำพูดนี้ควรเริ่มจากจุดไหนดี ตอนอยู่ที่เมืองซั่วฟางพวกเขาก็ไม่มีเจตนาดี ล่อลวงพวกเราให้มายังทุ่งหญ้ากว้างไร้ผู้คนเช่นนี้ เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีเจตนาแอบแฝง ต้องป้องกันไว้” สำหรับคำพูดของสวี่จิ้งจง อวิ๋นเยี่ยฟังไว้เพียงครึ่งเดียวหรือน้อยกว่านั้น


 


 


“ฮ่าๆ อวิ๋นโหวคิดมากไปแล้ว พวกเราไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับแผนงานทางทหารของต้าถัง กับการเคลื่อนไหวของราชสำนักในตอนนี้ก็เรียกได้ว่าตาบอดสนิท ดังนั้นพวกเราจึงไม่สามารถขายชาติได้และไม่สามารถหักหลังทหารต้าถังได้ เมื่อไม่มีสองข้อนี้แล้ว เหตุใดยังต้องกลัวอีก ตอนนี้พวกเราสองคนมีเพียงความรู้ที่มีอยู่เต็มหัว พวกเขาใช่ว่าจะสามารถแย่งไปได้ เมื่อได้พบกับเจ้าบ้านที่มีอัธยาศัยดีเช่นนี้ ไม่เสวยสุขให้เต็มที่จึงจะเรียกว่าผิดบาปนะ”


 


 


“มา สาวน้อย เท้าอบอุ่นได้ที่แล้ว ตอนนี้ช่วยทำให้มือข้าอุ่นหน่อย… “

 

 

 


ส่วนที่ 4

 

ตอนที่ 26

 

 พิธีรีตองที่น่าหวาดกลัว

 


 


 


หลังจากรถม้าผ่านแนวเนินเขาเตี้ยๆ สองเนินก็หยุดลง มีคนรับใช้หยิบม้านั่งเตี้ยๆ มาวางไว้ข้างๆ รถม้าเพื่อรอให้แขกลงจากรถ สวี่จิ้งจงวางมือลงบนไหล่ของคนรับใช้อย่างสง่างาม เหยียบลงบนม้านั่งเตี้ยๆ ลงจากรถ ราวกับร่างทั้งร่างหมดแรงอ่อนระทวย พฤติกรรมเช่นนี้ทำให้อวิ๋นเยี่ยรู้สึกขยะแขยง


 


 


ยังไม่ทันได้รอให้พ่อบ้านชาวเผ่าหูที่มาต้อนรับอวิ๋นเยี่ยได้เอ่ยปากพูด อวิ๋นเยี่ยก็ตกตะลึงกับภาพเบื้องหน้า เขาเห็นเมืองเมืองหนึ่งที่สร้างขึ้นจากอูฐ อูฐนับพันตัวนั่งคุกเข่าหมอบอยู่บนพื้น โดยใช้เชือกผูกต่อกันเป็นวงกลมขนาดใหญ่ ด้านหลังอูฐเป็นกำแพงที่สร้างขึ้นจากหนังอูฐ หนังอูฐแต่ละผืนถูกตอกติดกับท่อนซุงขนาดใหญ่ซึ่งดูแข็งแรงมาก ตั้งอยู่ในทุ่งหญ้าเช่นนี้ ก็ไม่รู้ว่าพวกเขาไปนำท่อนซุงจำนวนมากมาจากที่ใด


 


 


สวี่จิ้งจงรู้สึกสติหลุดลอยเล็กน้อย เขาอยู่ในที่ราบภาคกลางมาเป็นเวลานาน ยังไม่เคยเห็นบรรยากาศของทะเลทราย เมืองอูฐที่อยู่ตรงหน้าทำให้เขาตื่นตระหนกตกใจมาก


 


 


“แขกผู้สูงศักดิ์ นี่เป็นพระราชฐานชั่วคราวของกษัตริย์ของเรา อาจดูหยาบกระด้างไปบ้าง เทียบไม่ได้กับทิวทัศน์อันรุ่งโรจน์ของที่ราบภาคกลาง ขออย่าได้หัวเราะเยาะเลย แต่เมืองอูฐแห่งนี้ก็พอจะมีประโยชน์ในทุ่งหญ้าทะเลทรายแห่งนี้อยู่บ้าง หากใช้ในการป้องกันพายุทรายก็ถือว่าวิเศษมากเลย”


 


 


ก็ไม่รู้ว่าเจ้าของที่นี่ไปหาคนเช่นนี้มาจากที่ไหน เป็นชาวเผ่าหูแท้ๆ แต่พูดภาษาฉางอันได้ดีกว่าอวิ๋นเยี่ยเสียอีก ทั้งยังหยิบยกเรื่องราวที่เป็นเอกลักษณ์ทำให้นึกถึงทิวทัศน์อันโดดเด่นของฉางอันเป็นระยะๆ ถึงกับมีจุดชมทิวทัศน์ที่ขึ้นชื่อบางแห่งของฉางอันที่อวิ๋นเยี่ยได้ยินเป็นครั้งแรกด้วย


 


 


ฉวยโอกาสที่พ่อบ้านสั่งให้คนเตรียมเกี้ยวหาม อวิ๋นเยี่ยถามสวี่จิ้งจงว่า “อะไรคือชื่นชมทิวทัศน์เมืองท้องนา ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน เขาเป็นชาวต้าถังหรือข้าเป็นชาวต้าถังกันแน่”


 


 


“ฮ่าๆ อวิ๋นโหว ที่ว่าชมทิวทัศน์นั้นหมายถึงที่ราบเล่อโหยวหยวน เมื่อยืนอยู่บนที่ราบเล่อโหยวหยวนแล้วมองทิวทัศน์ของฉางอัน ถนนสิบสองสายจะแบ่งเมืองฉางอันออกเป็นชิ้นๆ อย่างเท่าๆ กัน ซึ่งก็เป็นระเบียบเท่ากันเหมือนกับสวนผักของชาวนา ทิวทัศน์อันโด่งดังนี้มีชื่อเสียงเทียบเคียงกับทิวทัศน์ฝนฤดูใบไม้ผลิแห่งชวีเจียงเชียวนะ! ” แต่ไหนแต่ไรมาสวี่จิ้งจงไม่เคยปล่อยให้โอกาสแสดงความรู้ของเขาหลุดลอยไป


 


 


ประเดี๋ยวเมื่อพวกเราพูดถึงเรื่องของอาหรับ ไม่เชื่อว่าเจ้าจะมีความรู้สิ่งเหล่านี้ด้วย คนซีเป่ย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนซีเป่ยที่พอจะมีความรู้เล็กน้อย มีความปรารถนาอย่างแรงกล้าในการศึกษาหาความรู้ในประวัติศาสตร์ของซีเป่ย ตั้งแต่รัฐบาลในยุคปัจจุบันเปิดหอจดหมายเหตุแล้ว มันได้กลายเป็นงานอดิเรกอย่างหนึ่งของคนเหล่านี้ในการพลิกค้นหาเหตุการณ์ในอดีตที่ถูกฝุ่นปกคลุมจากกองกระดาษเก่าๆ อวิ๋นเยี่ยโชคร้ายมาก คุณป้าผู้ดูแลหอจดหมายเหตุเตะกระสอบผ้าป่านออกมากระสอบหนึ่งด้วยความรำคาญและบอกเขาว่า สิ่งที่เขาต้องการหาอยู่ข้างใน หากอยากจะค้นหาก็ค้นเอาเอง อย่ามารบกวนเวลาดูละครรักรันทดของเธอ กำลังร้องไห้อย่างเต็มที่อยู่เลย


 


 


กระสอบของประวัติศาสตร์การวิวัฒนาการของศาสนาในซีเป่ย นี่ไม่ใช่สิ่งที่อวิ๋นเยี่ยต้องการ อยากจะนำไปเปลี่ยน เมื่อเห็นคุณป้าร้องไห้ฟูมฟายอยู่จึงหยุดความคิดนี้ไว้ เข้าคิวรออยู่เป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์เพราะไม่ต้องการให้ถูกตัดสิทธิ์ จึงได้แต่ตรวจสอบด้วยความเบื่อหน่าย คิดไม่ถึงว่ายิ่งอ่านยิ่งรู้สึกสนใจมากขึ้น อ่านอยู่ทั้งวันจนถูกไล่ออกจากหอจดหมายเหตุจึงได้ยอมเลิกรา


 


 


ชาวเผ่าหูเหล่านี้ที่จริงแล้วไม่ได้เป็นชาวอาหรับหรือพวกเปอร์เซียเสียหน่อย พวกเขาก็ไม่ใช่ชาวเผ่าทูเจวี๋ย เมื่อดูรูปลักษณ์ของพวกเขา เส้นผม สีของดวงตานั้นสามารถเป็นได้เพียง ‘เก้าสกุลแห่งเจาอู่[1]’ กล่าวกันว่าบรรพบุรุษของพวกเขาคือชาวต้าเย่ว์จือ[2] หลังจากถูกชาวเผ่าซยงหนูฆ่าล้างชนเผ่า สายเลือดของพวกเขาก็เริ่มสับสน สีผมแบบไหน สีของดวงตาเช่นไรล้วนแล้วแต่มีหมด ตามมุมมองทางพันธุกรรม การผสมพันธุ์ค่อนข้างสับสน แต่ให้ตายสิ ผู้ชายกลับรูปร่างหน้าตาดี ผู้หญิงก็หน้าตางดงาม ไม่มีเหตุผลจริงๆ


 


 


“อวิ๋นโหว ก็เพียงแค่บางส่วนของเก้าสกุลชาวเผ่าหูเลือดผสมเท่านั้นเอง ทำไมต้องประหลาดใจด้วย รูปร่างหน้าตาดีเพียงไรก็เป็นแค่ลูกผสมเท่านั้น หากท่านพาพวกนางกลับบ้านสักคนสองคน จะให้บรรพชนของท่านเอาหน้าไปไว้ไหน บางทีอาจไม่ต้องให้ท่านพูดอะไรเลยเล่าฮูหยินที่บ้านท่านก็จะส่งพวกนางไปใช้แรงงานแน่ ตอนนี้มีความสุขก็พอ”


 


 


สิ่งที่สวี่จิ้งจงกล่าวมาเป็นความจริงอย่างที่สุด เหล่าจวงที่ยืนอยู่ข้างๆ อวิ๋นเยี่ยเต็มไปด้วยสีหน้าที่ดูถูกเหยียดหยาม ไม่ว่าหญิงสาวจะสวยงามเพียงไหน เมื่อผ่านหน้าไป เขากลับไม่แม้แต่จะขยับเปลือกตาขึ้น


 


 


สายเลือดของตระกูลหลี่นั้นก็คงไม่ได้ดีไปกว่าคนเหล่านี้เสียเท่าไรกระมัง ไม่น่าแปลกใจว่าตระกูลใหญ่แห่งซานตงยินดีจะให้ลูกสาวแต่งงานกับชาวบ้านธรรมดาทั่วไป ก็ไม่ยอมให้แต่งงานกับหลี่ซื่อหมิน ความเกลียดชังที่รุนแรงของหลี่ซื่อหมินที่มีต่อตระกูลใหญ่แห่งซานตงอาจจะมีเรื่องนี้เป็นต้นเหตุกระมัง


 


 


คราวก่อนที่เห็นเกี้ยวหามคือเกี้ยวหามของหลี่หยวน เขานั่งอยู่บนนั้นให้หญิงร่างกายแข็งแรงแบก ไม่คิดว่าครั้งนี้ตัวเองจะมีโอกาสได้นั่งสิ่งนี้ด้วย คุณภาพดีกว่าของหลี่หยวนมากนัก เป็นหญิงงามของแท้แต่เรี่ยวแรงมหาศาล เพียงยกขึ้นเบาๆ อวิ๋นเยี่ยก็แทบลอยไปข้างหน้า ใช่เลย มันลอยจริงๆ ไม่รู้สึกว่าโคลงเคลงแม้แต่น้อย ไม่น่าแปลกใจที่หลี่หยวนชอบนั่งมาก


 


 


“อวิ๋นโหวอย่าได้เห็นว่าเกี้ยวหามนั้นเรียบง่าย การแบกสิ่งนี้ไม่ใช่ว่ามีเพียงกำลังมากพอก็สามารถแบกได้ ปกติจะต้องฝึกด้วยการวางน้ำเต็มชามหนึ่งใบไว้ด้านบน โดยมีเงื่อนไขว่าไม่ว่าจะขึ้นเนินเขาหรือลงบันไดห้ามให้น้ำหกออกมาแม้แต่หยดเดียว จึงจะถือว่าผ่านเกณฑ์” ตอนนี้นับว่าได้เรียนรู้เรื่องการเข้าใจจิตใจผู้อื่นของสวี่จิ้งจงแล้ว ความสามารถในการสังเกตพฤติกรรมผู้อื่นพี่ชายคนนี้ถือเป็นที่หนึ่งในใต้หล้านี้เลย


 


 


พื้นดินในเมืองอูฐเมื่อมองดูจะเห็นว่าเป็นการกระทุ้งดินให้แน่น ราบเรียบเหมือนกระจกไม่เห็นวัชพืชแม้แต่ต้นเดียว ตรงกลางใช้ไม้ก่ออาคารขึ้นสูงเหนือพื้นดินกว่าสามฟุต อาคารทั้งหลังถูกหุ้มด้วยผ้าดิ้นเงินดิ้นทอง ดูแล้วยิ่งคล้ายกับกล่องขนมสีสันละลานตระการตาดูแล้วชวนให้ตาลาย


 


 


สวี่จิ้งจงลูบหนวดที่สั้นเตียนและพูดว่า “ในตอนนั้นสือฉงและหวังข่ายแข่งกันโอ้อวดความมั่งคั่ง เคยใช้ผ้าดิ้นเงินดิ้นทองแขวนบนต้นไม้ยาวถึงห้าสิบลี้ ซึ่งได้ถูกเรียกว่าหรูหรา การที่เจ้าบ้านได้คลุมอาคารด้วยผ้านี้ก็มีผลเช่นเดียวกับการแขวนผ้าไว้บนต้นไม้ วันนี้ข้าสวี่จิ้งจงโชคดีได้เห็นความหรูหราของโลกนี้ ถือว่าได้พึ่งใบบุญของอวิ๋นโหวจริงๆ สถานที่ที่ร่ำรวยเช่นนี้หากต้องตายที่นี่ก็ตายตาหลับ”


 


 


เหล่าจวงลูบคลำอัญมณีที่ตกแต่งอยู่บนเกี้ยวหาม ก็หน้ามืดตาลายตกตะลึงเช่นกัน มีเพียงอวิ๋นเยี่ยเท่านั้นที่มองดูการตกแต่งที่เหมือนซาลาเปายัดไส้เช่นนี้แล้วเกือบหัวเราะออกมา นี่คือความหรูหราบ้าบออะไรกัน นำผ้าดิ้นเงินดิ้นทองคลุมอาคารไว้ก็ถือว่าล่ำซำแล้ว อย่าได้ให้คนรุ่นหลังได้รับรู้อย่างเด็ดขาด หากให้รู้เข้าคงต้องถูกหัวเราะเยาะจนตาย กบในกะลา! กบที่อยู่ในกะลาของกะลาใบใหญ่จริงๆ ก่อนหน้าส่งทาสไปตายเพื่อเชิญแขก ต่อมาใช้อูฐสีขาวส่งจดหมาย หญิงสาววัยเยาว์อุ่นเท้าด้วยทรวงอก เมืองอูฐและเกี้ยวหามหากทั้งหมดล้วนทำให้อวิ๋นเยี่ยประหลาดใจละก็ เช่นนี้อาคารบ้านๆ หลังนี้ที่ถูกคลุมด้วยผ้าไหมได้ทำให้อวิ๋นเยี่ยมีความมั่นใจอย่างมากขึ้นมาในทันที แม้ว่าเจ้าของจะมั่งมีเพียงใด ก็คงเป็นกบที่อยู่ในกะลาที่ค่อนข้างใหญ่เท่านั้น


 


 


แววเยาะเย้ยจางๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้า พ่อบ้านชาวเผ่าหูที่ลอบมองอยู่แอบตกใจ ร่ำรวยถึงเพียงนี้ โหวเหยียท่านนี้ยังคงรู้สึกว่าธรรมดาหรืออาจพูดได้ว่าค่อนข้างดูแคลน ไม่รู้ว่าที่ฉางอันเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างไรหลังจากที่เขาออกจากที่นั่นมานานสิบกว่าปี


 


 


อวิ๋นเยี่ยเห็นเด็กหญิงสกปรกคนหนึ่งนอนหมอบอยู่บนแผ่นไม้กระดานขนาดใหญ่ ในปากของนางคาบหนังไว้เส้นหนึ่ง สวมเสื้อผ้าที่เหมือนถุงกระสอบเพียงชิ้นเดียว ศีรษะถูกยึดติดอยู่ที่แท่นหนีบไม้ ร่างกายก็สั่นเทาอยู่ตลอดเวลา ด้านข้างยังมีชายร่างใหญ่สองคน หนึ่งในสองคนกำลังใช้หมึกดำวาดเส้นอยู่บนหน้าผากของหญิงคนนั้น อีกคนหนึ่งมือถือสิ่วเทียบขนาดบริเวณศีรษะของหญิงสาวไม่หยุด ดูเหมือนว่าต้องการจะผ่าศีรษะของหญิงสาว


 


 


“แขกผู้สูงศักดิ์ ท่านเดินทางมาจากแดนไกล เจ้านายของข้าป่วยอยู่ไม่สามารถออกมาต้อนรับได้ เพื่อชดเชยการเสียมารยาทนี้ ดังนั้นจึงต้องการใช้พิธีสูงสุดของชนเผ่าเรา ‘จอกเหล้าหญิงบริสุทธิ์’ เพื่อต้อนรับการมาเยือนของท่าน


 


 


อวิ๋นเยี่ยแทบจะอาเจียนน้ำดีออกมา สิ่งที่เริ่มปรากฏให้เห็นในยุโรปยุคกลาง จะเริ่มปรากฏขึ้นในตอนนี้เลยหรือ ในตำนานที่ว่าเหล่าชนชั้นสูงที่แก่ชราและอ่อนแอ พวกเขาจะใช้กะโหลกศีรษะของสาวบริสุทธิ์เป็นภาชนะสำหรับใส่เหล้าดื่มเพื่อยืดอายุตัวเอง กล่าวกันว่าการทำเช่นนี้สามารถยืดอายุได้ แต่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือกะโหลกศีรษะถูกนำมาจากศีรษะมนุษย์ทั้งที่ยังไม่ตาย จอกเหล้ากะโหลกศีรษะและคัมภีร์หนังมนุษย์ของทิเบต ต่างก็เป็นเรื่องเน่าเหม็นเผยแพร่ไปทั่วในยุคปัจจุบัน ได้กลายเป็นความอัปยศของมนุษยชาติที่ถูกตรึงตะปูเอาไว้บนเสาแห่งความอัปยศของประวัติศาสตร์ไปตลอดกาล


 


 


อวิ๋นเยี่ยอาเจียนไม่หยุด พยายามพูดกับเหล่าจวงว่า “ห้ามพวกเขาที” ท่ามกลางแววตาประหลาดใจของพ่อบ้านและสวี่จิ้งจง อวิ๋นเยี่ยพลิกตัวลงจากเกี้ยวหามและวิ่งไปหาหญิงสาว เขาไม่มีความกล้าพอที่จะสร้างบาปเช่นนี้จริงๆ


 


 


เหล่าจวงใช้สันดาบฟาดชายร่างใหญ่สองคนนั้นสลบไปตั้งแต่แรกแล้ว กำลังแก้เชือกให้หญิงสาว อวิ๋นเยี่ยรีบช่วยแก้ปมเชือกหนังในปากของหญิงสาว แต่ศีรษะยังถูกยึดเอาไว้อยู่ หญิงสาวคนนั้นจึงร้องไห้เสียงดัง เสียงนี้คุ้นเคยมาก เมื่อมองอย่างละเอียดแล้ว ที่แท้ก็คือหญิงเลี้ยงแกะคนนั้น


 


 


นางตกใจกลัวสุดขีด จับแขนของอวิ๋นเยี่ยไว้ไม่ยอมปล่อย สั่นเทาไปทั้งตัว ฟันสองแถวยังคงกระทบกันไม่หยุด ส่งเสียงดังกึกกักๆ ด้วยอากาศที่หนาวเหน็บแต่เหงื่อก็ไหลจนผ้าป่านบนร่างเปียกโชก อวิ๋นเยี่ยปลดเสื้อคลุมออกให้นางคลุมไว้ แย่งดาบจากมือของเหล่าจวง แล้วฟันลงที่คอของชายร่างกำยำสองคนที่นอนอยู่บนพื้นอย่างแรง เลือดสาดกระเซ็น แต่ไม่เปื้อนร่างเลยแม้แต่หยดเดียว พ่อบ้านชาวเผ่าหูได้ใช้เสื้อคลุมของตนเองกันเลือดที่พุ่งกระฉูดเอาไว้


 


 


“ข้าฆ่าคนของเจ้า เจ้าไม่โกรธหรือ” อวิ๋นเยี่ยถอนหายใจพลางถามพ่อบ้าน


 


 


“แขกผู้สูงศักดิ์ เห็นได้ชัดว่าท่านฆ่าคนเป็นครั้งแรก ท่านมีจิตใจเมตตาดั่งทูตสวรรค์ นี่คือคุณธรรม ไม่ควรต้องถูกประณาม ควรได้รับการยกย่องและเผยแพร่ไปทั่ว เจ้านายข้าได้สั่งไว้ว่าในเมืองอูฐท่านมีอำนาจเช่นเดียวกับเขา” เมื่อพูดจบก็โค้งกายคารวะเสมือนหนึ่งเป็นผู้รับใช้ แต่ความเย็นชาที่ปรากฏแววตาได้หักหลังเขาแต่แรกแล้ว


 


 


“บอกชื่อเจ้านายของเจ้าให้รู้ที พ่อบ้าน ตั้งแต่เริ่มต้นก็ได้วางกับดักข้า บังคับให้ข้ากระโดดลงไปทีละขั้น นี่เป็นหลักการต้อนรับแขกของบ้านเจ้าหรือ” มนุษย์เรามักจะเปลี่ยนแปลงไปตามสถานะที่เป็น ชีวิตที่คนคนหนึ่งอยู่เหนือคนอีกคนในช่วงหลายวันนี้ได้ฝึกให้เขากลายเป็นผู้ที่อยู่เหนือผู้อื่นท่านหนึ่งแล้ว เมื่อถามคาดคั้นผู้อื่นขึ้นมาจึงดูน่าเกรงขามขึ้นหลายส่วน


 


 


เสียงแหบห้าวดังมาจากด้านในของอาคาร


 


 


“อวิ๋นโหวอย่าได้ตำหนิ ด้วยฐานะของข้าไม่สะดวกที่จะพบคนจริงๆ เพียงเพื่อความสับสนในใจแล้วจึงจำต้องทำเช่นนี้ ตอนนี้อวิ๋นโหวให้เกียรติมาเยือน เช่นนั้นเข้ามาสนทนากันด้านในดีกว่า จะถือสาหาความกับพวกชั้นต่ำพวกนั้นไปทำไม หากอวิ๋นโหวไม่พอใจก็ฆ่าเขาได้เลย”


 


 


สวี่จิ้งจงเห็นสีหน้าอวิ๋นเยี่ยเต็มไปด้วยความโกรธ เพื่อชีวิตเล็กๆ ของเขาเองจึงตอบเสียงดังว่า “เมื่อครู่อวิ๋นโหวเพียงแค่ไม่สามารถทนดูการฆ่าได้ ทั้งหญิงคนนั้นก็เป็นสหายเก่าอวิ๋นโหวด้วย ดังนั้นจึงอาจเสียมารยาทไปบ้าง ท่านเจ้าบ้านผู้ปราดเปรื่องต้อนรับไม่ขาดตกบกพร่อง ทำให้พวกข้ารู้สึกเหมือนได้กลับบ้าน จะให้ล่วงเกินได้อีกอย่างไรกัน”


 


 


ด้านในอาคารไร้เสียง ดูเหมือนว่าไม่อยากคุยกับสวี่จิ้งจง เอวของพ่อบ้านยิ่งโค้งตัวต่ำลงอีก ผายมือแสดงการเชื้อเชิญให้ขึ้นไปชั้นบน ดูคล้ายกับว่ากำลังขอร้อง


 


 


อวิ๋นเยี่ยไม่ใช่ตู้อวี้ เขาทำพฤติกรรมที่ให้เจ้านายฆ่าคนรับใช้ไม่ได้ จึงเดินอย่างผึ่งผายก้าวขึ้นไปชั้นบน หญิงเลี้ยงแกะเดินตามติดๆ แต่กลับถูกพ่อบ้านขวางไว้ อวิ๋นเยี่ยมองหญิงเลี้ยงแกะแล้วบอกกับพ่อบ้านว่า “พานางไปอาบน้ำให้เรียบร้อย หาเสื้อผ้าที่อบอุ่นให้นางใส่ แล้วค่อยพาขึ้นมา”


 


 


ในแววตาของหญิงเลี้ยงแกะเต็มไปด้วยคำอ้อนวอน นางไม่กล้าออกห่างอวิ๋นเยี่ย กลัวว่าเมื่ออวิ๋นเยี่ยไปแล้ว คนเหล่านั้นจะใช้สิ่วมาควักศีรษะสมองตนเองอีก


 


 


อวิ๋นเยี่ยปลอบโยนเป็นเวลานานและให้เหล่าจวงไปกับนาง นางจึงเดินหนึ่งก้าวหันกลับสามครั้งถึงยอมตามพ่อบ้านออกไป


 


 


 


 


——-


 


 


[1] เก้าสกุลแห่งเจาอู่ หมายถึง เก้าสกุลหรือเก้าแซ่ที่อยู่ในอำเภอเจาอู่ (กันซูในปัจจุบัน) ได้แก่ คัง อัน เฉา สือ หมี่ เหอ หั่วสวิน อู้ตี้และสื่อ


 


 


[2] ชาวต้าเย่ว์จือ ในสมัยโบราณอ่านออกเสียงว่า รู่จือ หรือ โร่วจือ เป็นชนกลุ่มน้อยที่อาศัยอยู่ก่อนชาวเผ่าซยงหนู แต่ต่อมาได้พ่ายแพ้ให้กับชาวเผ่าซยงหนู

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)