เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วน 4 ตอน 14-23

ส่วนที่ 4

 

ตอนที่ 14

 

กองกำลังหนุน

 


 


 


ตอนนี้วันหนึ่งๆ สวี่จิ้งจงไม่ค่อยพูดอะไรนัก และมักจะไม่พูดอะไรเลยทั้งวัน การที่เขาต้องมาเมืองซั่วฟางนั้นเป็นการฉุกละหุกมาก นอกเหนือจากเสื้อผ้าสองสามชุดแล้ว ก็ไม่มีของติดตัวอะไรมาอีก เขาอยากอ่านหนังสือและอยากอ่านมาก แต่ทว่าทั้งเมืองซั่วฟางมีแต่ทหารเต็มไปหมด แน่นอนว่ามีหนังสือไม่มากนักที่จะสามารถให้เขายืมอ่านฆ่าเวลาได้ โชคดีที่คนรับใช้ชราของเขาได้หยิบหนังสือประวัติศาสตร์เล่มหนึ่งเก็บไว้ที่อกเสื้อก่อนที่จะเดินทางมาเมืองซั่วฟาง นี่เป็นงานอดิเรกเพียงอย่างเดียวของคนรับใช้ชรา หนังสือเก่าที่มุมหนังสือม้วนงอขึ้นมา สวี่จิ้งจงนั่งอยู่ด้านหน้าหน้าต่างแล้วอ่านอย่างสนุกสนาน


 


 


ในค่ายทหารเขาไม่มีเพื่อนสักเท่าไร และไม่ได้สนิทสนมอะไรกับเหล่าแม่ทัพนายพัน ไฉเซ่าดูถูกเขา เหล่าหนิวไม่สนใจเขา เซวียว่านเช่ออยากจะต่อยเขาอยู่เสมอ ดังนั้นเขาจึงไม่ค่อยออกไปข้างนอก หลังจากที่หิมะตกรอบแรกผ่านไปแล้ว อวิ๋นเยี่ยบอกว่าโรคระบาดนั้นไม่มีนัยสำคัญ เขาจึงว่างงานอย่างแท้จริง


 


 


หิมะนอกหน้าต่างค่อยๆ ร่วงโปรยปรายลงมา หิมะเก่ายังไม่ละลายก็มีหิมะใหม่เพิ่มทับ หากอยู่ที่ฉางอันสภาพอากาศแบบนี้คงจะมีเรื่องดีๆ มากมายให้เขาได้เลือกทำ สามารถดื่มสุราร่ายบทกวี ถ้าหากแย่ไปกว่านั้นก็สามารถนั่งจิบเหล้าเพียงลำพังได้ ในใจนั่งรำลึกถึงช่วงวัยเยาว์ของตัวเองที่ต้องปล่อยล่วงเลยไปอย่างเป็นทุกข์


 


 


ตอนนี้มีเพียงหิมะ ไม่มีเหล้า ในมือมีเพียงหนังสือประวัติศาสตร์เก่าๆ ขาดๆ เล่มหนึ่ง เขาพบว่าการว่างงานไม่ทำอะไรเลยจะก็สามารถฆ่าคนทั้งเป็นได้เช่นกัน ทั้งยังเป็นวิธีการตายที่เจ็บปวดที่สุด สวี่จิ้งจงรู้สึกว่าตัวเองใกล้จะเน่าเปื่อยแล้ว


 


 


คนรับใช้คนชราผลักประตูเข้ามาอย่างเงียบๆ ในมือถือถาดไม้เคลือบแลกเกอร์สีแดง บนถาดไม่ใช่เนื้อวัวและเนื้อแพะที่ทำให้เขาต้องอาเจียนอีก แต่เป็นก๋วยเตี๋ยวร้อนๆ ชามใหญ่ที่เต็มไปด้วยต้นอ่อนกระเทียมสีเขียว กลิ่นหอมชวนดม ทำให้อยากอาหารเป็นอย่างมาก


 


 


ยกชามขึ้นเริ่มกินโดยไม่พูดอะไร จนกระทั่งกินกระเทียมชิ้นเล็กๆ ชิ้นสุดท้ายแล้ว สวี่จิ้งจงจึงถามคนรับใช้ชราว่านำอาหารอร่อยเช่นนี้กลับมาจากไหนกัน


 


 


คนรับใช้ชราชี้ไปที่ลานบ้านข้างๆ บอกว่าอวิ๋นโหวสั่งให้คนส่งมาให้และยังเหล้ากาเล็กๆ หนึ่งกาและหนังสืออีกจำนวนหนึ่ง


 


 


ล้วนแล้วแต่เป็นตำราเรียนของสำนักศึกษา สวี่จิ้งจงต้องพยายามอ่านทำความเข้าใจเป็นอย่างมาก เพียงแค่อ่านหน้าแรกๆ ไม่กี่หน้า เขาก็รู้ว่าตัวเองยังต้องศึกษาบทนำก่อนหน้านี้อย่างจริงจัง จึงจะสามารถเข้าใจสัญลักษณ์และตัวเลขแปลกๆ เหล่านั้นได้


 


 


 


 


แต่ไหนแต่ไรมาเขาเป็นคนขยันศึกษาเล่าเรียน เมื่อพบกับสถานการณ์เช่นนี้จึงทำให้เขาดีใจเป็นบ้าเป็นหลัง  ในที่สุดก็มีสิ่งที่สามารถทำได้แล้ว ทั้งยังเป็นเรื่องที่ตัวเองเต็มใจที่จะทำอีกด้วย จึงยกกาเหล้าขึ้นมาแล้วดื่มอย่างเอร็ดอร่อย ลิ้มรสเหล้าที่กำลังไหลอยู่ในปาก ประสาทสัมผัสทั้งห้าดูเหมือนจะเริ่มตื่นตัวขึ้น กลับมามีชีวิตชีวาพร้อมกันอีกครั้ง


 


 


“เจ้าหนุ่ม ทำไมเจ้ายังต้องสนใจคนคนนั้นด้วย บอกเจ้าแล้วไม่ใช่หรือเขาไม่ใช่คนดี” ซุนซือเหมี่ยวหนีบบะหมี่คำโตกินพลางถามพลาง


 


 


“คนที่รู้น่าเบื่ออย่างที่สุดแต่แล้วทันใดนั้นกลับมีบางสิ่งที่ทำให้เขาไม่รู้สึกเบื่อเกิดขึ้น ท่านว่าเขาจะมองสิ่งนี้อย่างไร” อวิ๋นเยี่ยค่อยๆ ดึงแป้งบนมือของเขาจากก้อนหนึ่งดึงออกเป็นเส้นเล็กๆ หลายร้อยเส้น จากนั้นโยนลงในหม้อใบใหญ่ที่อยู่ข้างๆ แล้วจึงตอบคำถามของเหล่าซุน


 


 


“หากมองจากประสบการณ์เก่า แม้ว่าปกติจะเป็นสิ่งของที่ไร้ค่าเพียงไหน ตอนนี้ก็กลายเป็นของล้ำค่าที่ยากจะวางมือ”


 


 


“บางทีท่านอาจไม่รู้ว่าฟิสิกส์มีคุณลักษณะพิเศษที่ประหลาดอยู่อย่างหนึ่ง ซึ่งก็คือความปรารถนาใคร่รู้ของนักพัฒนา แต่ถ้าหากคนคนหนึ่งยิ่งรู้มากเท่าไรเขาก็รู้สึกว่าตัวเองยิ่งไม่มีความรู้มากเท่านั้น เมื่อแก้ปัญหาได้หนึ่งข้อก็จะมีคำถามใหม่นับไม่ถ้วนรออยู่ ทำให้คนเรายากจะถอนตัวโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับสวี่จิ้งจงซึ่งเป็นคนที่มีความสามารถสูง เมื่อทดสอบย่อมได้คำตอบ”


 


 


เหล่าหนิววางชามข้าวลงบนโต๊ะและพูดกับไฉเซ่าที่กำลังกินอย่างเอร็ดอร่อยอยู่ว่า “เจ้าดูสิ เมืองฉางอันไม่ใช่สถานที่ที่ดีเลย เด็กดีๆ คนหนึ่งไม่ถึงหนึ่งปีเรียนรู้จนกลายเป็นอะไรไปแล้ว หากรู้แต่แรกว่าจะเป็นเช่นนี้ ตอนนั้นข้าไม่ควรส่งเขาไปที่ฉางอันให้เขาอยู่หล่งโย่วต่อก็จะไม่เกิดเรื่องน่ารังเกียจเช่นนี้ขึ้น”


 


 


หลังจากดื่มน้ำซุปชามใหญ่ ไฉเซ่าพูดกับเหล่าหนิวด้วยความหงุดหงิดใจว่า “เด็กแบบนี้ มีหรือที่เมืองหล่งโย่วเล็กๆ จะรั้งเขาไว้ได้ ภายในเวลาหนึ่งปีก็สร้างชื่ออันโด่งดังได้แล้ว ท่านคิดว่าสามเภทภัยแห่งฉางอันเป็นแค่ฉายาลอยๆ หรือ ใครจะก่อเภทภัยให้ใครก็ยังไม่แน่นะ กินข้าวอย่างสบายใจ พูดให้น้อยลงอีกนิด ข้าขออีกชาม”


 


 


ในวันที่หิมะตกหนักบะหมี่เนื้อวัวชามใหญ่ใส่น้ำพริกเผาและโรยด้วยกระเทียม แม้เป็นเทพเจ้าก็ไม่ยอมแลกอย่างแน่นอน


 


 


วันนี้มีแขกนักทานมากมายทั้งยังฐานะค่อนข้างสูงส่ง เหล่าเหอถือชามเปล่ายืนมองบะหมี่ที่เดือดปุดๆ อยู่ในหม้อตาปริบๆ รอเพิ่มอีกชาม เขาไม่มีโอกาสได้นั่งร่วมโต๊ะ ได้แค่นั่งยองๆ อยู่ที่ธรณีประตู ซึ่งดูท่าทางน่าสงสาร ไม่มีทางเลือก เหล่าหนิวอยากกินก๋วยเตี๋ยว ทั้งยังต้องการกินที่อร่อยกว่าครั้งก่อนที่เขากินที่หล่งโย่วอีก เขาเรียกทหารระดับสูงทุกคนในกองทัพที่ไม่ได้เข้าเวรมาทั้งหมดซึ่งมีสิบกว่าคน ซึ่งมีโหวเหยียสามท่านและยังมีผู้ที่ใหญ่กว่าโหวเหยียอย่างซุนซือเหมี่ยวอีกหนึ่งคน ด้วยตำแหน่งเซี่ยนหนานของเหล่าเหอจึงไม่ค่อยเหมาะที่จะไปร่วมโต๊ะด้วย


 


 


ก๋วยเตี๋ยวเนื้อวัวนั้นแตกต่างจากก๋วยเตี๋ยวประเภทอื่น จำเป็นที่จะต้องเพิ่มขี้เถ้าเพื่อทำให้แป้งก้อนโตถ้าสามารถถูกดึงออกเป็นเส้นแบบต่างๆ ได้ พ่อครัวในกองทัพยังไม่สามารถทำได้ อวิ๋นเยี่ยต้องทำด้วยตัวเอง ซึ่งในนี้มีความพิถีพิถันอยู่อย่างหนึ่ง โดยเน้นน้ำแกงที่ใส ผักใบเขียว พริกสีแดงสด ก๋วยเตี๋ยวเนื้อวัวของแท้เป็นก๋วยเตี๋ยวที่อร่อยมากที่สุดอย่างหนึ่ง ในยุคปัจจุบันเป็นตัวเลือกแรกสำหรับอาหารเช้าของชาวเมืองหลานโจว ไม่ว่าจะเป็นฤดูร้อนหรือฤดูหนาว การนั่งยองๆ กินบะหมี่ชามใหญ่อยู่ริมถนนเหมือนจะเป็นฉากปกติฉากหนึ่งของหลานโจว เป็นเรื่องน่าเสียดายที่ว่าเมื่ออาหารรสเลิศนี้ต้องสูญเสียรสชาติดั้งเดิมไปเมื่อเผยแพร่เข้าแถบซีเป่ย[1]และเมื่อยิ่งห่างจากซีเป่ยมากเท่าไร ก็ยิ่งไม่อร่อยมากขึ้นเท่านั้น เมื่อออกเดินทางไปทำงานที่กวางโจว ไม่เคยชินกับการกินข้าวทั้งยังต้องฝืนกินซาลาเปาที่หวานเลี่ยนหลายๆ แบบจนแทบตายทั้งเป็น ไม่ใช่ง่ายเลยที่ได้เจอร้านหนึ่งที่เขียนว่าก๋วยเตี๋ยวเนื้อวัวของแท้ซึ่งเสมือนได้พบผู้ช่วยชีวิต จึงรีบเดินเข้าไปในร้านแล้วตะโกนว่า “ขอเส้นเล็กสองชาม” ใครจะรู้ว่าพนักงานในร้านไม่เข้าใจว่าอะไรคือเส้นเล็ก จึงเริ่มรู้สึกไม่ค่อยดีเลย เมื่อฟังสำเนียงของพนักงานซึ่งเป็นคนตงเป่ย[2]อีกครั้งก็เริ่มรู้สึกหมดหวัง ด้วยความคาดหวังครั้งสุดท้ายว่าจะโชคดีจึงสั่งก๋วยเตี๋ยวหนึ่งชาม มันมีลักษณะเด่นของคนตงเป่ยจริงๆ ด้วย เส้นเยอะ เนื้อเยอะและชามขนาดใหญ่ เพียงแต่มีใครเคยได้ยินบ้างว่าก๋วยเตี๋ยวเนื้อวัวใช้ลวกเส้นแล้วจุ่มน้ำเย็นกัน ก๋วยเตี๋ยวชามมหึมากินเพียงแค่คำเดียวก็รีบออกจากร้านไป ทั้งยังไม่กล้าที่จะบอกว่าไม่กินแล้ว เพียงแค่บอกว่าปวดปัสสาวะ เจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อวัวสูตรคนตงเป่ยที่ใจดียังชี้ทางไปห้องสุขาให้อีกด้วย ตั้งแต่นั้นมานอกเหนือจากก๋วยเตี๋ยวของกานซู อวิ๋นเยี่ยก็ไม่ยอมกินก๋วยเตี๋ยวที่บอกว่าเป็นก๋วยเตี๋ยวเนื้อวัวของแท้อีกเลย เพราะกลัวเสียใจ


 


 


หลังจากนำเสนอก๋วยเตี๋ยวเนื้อวัววิชาสุดวิเศษแล้ว ก็เป็นจริงดังคาด ไม่ว่าจะเป็นน้องเขยฮ่องเต้หรือโหวเหยียแต่ละตำแหน่ง แล้วก็ปั๋วเจวี๋ยอะไรนั่นต่างก็กินกันจนหาตัวจับไม่ได้แล้ว นั่งถอนหายใจอยู่บนม้านั่งไม่สามารถลุกขึ้นยืนได้ เหล่าเซวียฝืนกินบะหมี่เส้นสุดท้ายอย่างทรมาน จากนั้นก็นั่งเหม่ออยู่บนม้านั่ง เห็นได้ชัดว่ากินจนจุกแล้ว


 


 


เหล่าหนิวหัวเราะตาหยีพลางแคะฟัน มองอวิ๋นเยี่ยด้วยสายตาที่ประหลาดๆ ดูค่อนข้างเป็นการปลอบใจแต่ก็แฝงไว้ด้วยความรู้สึกที่ว่าเจ็บใจที่เขาไม่เอาไหน


 


 


อวิ๋นเยี่ยรู้ว่าเขาต้องการสร้างสัมพันธ์กับคนในกองทัพให้มากขึ้น อย่างไรก็ตามสิ่งนี้เป็นไปไม่ได้ การคบค้าสมาคมทั่วไปนั้นไม่เป็นไร หากต้องการให้สนิทมากยิ่งไปกว่านั้นเขาไม่ต้องการ เขาไม่อยากมีส่วนร่วมในกองทัพมากเกินไป มีความสัมพันธ์เป็นเพื่อนดื่มกินกันก็พอแล้ว


 


 


วันนี้ตัวเองที่เป็นถึงโหวเยี่ยลงมือทำอาหารเองก็ถือว่าให้เกียรติเหล่าแม่ทัพนายพันในกองทัพมากพอแล้ว  พวกชอบใช้กำลังรักหน้าตามากกว่าพวกจับพู่กันมากนัก พวกเขาไม่มีสิ่งอื่นที่จะโอ้อวดได้อีก การมีชีวิตอยู่เพื่อหน้าตาเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น หากให้เกียรติอย่างเพียงพอทุกอย่างก็คุยกันได้


 


 


เพียงแค่คิดถึงเรื่องข้อพิพาทระหว่างอวี้ฉือกงและหลี่เต้าจง ก็รู้ได้ว่าพวกแม่ทัพเหล่านี้เป็นบุคคลประเภทไหนแล้ว นอกจากนี้เหตุการณ์ก่อกบฏที่ไม่จบไม่สิ้นที่จะเกิดในอนาคตใครจะรู้ว่ามีคนเหล่านี้ปะปนอยู่ข้างในบ้างหรือไม่ ทางที่ดีอยู่ให้ห่างไว้หน่อยก็ไม่เสียหายอะไร


 


 


“อวิ๋นโหวได้ยินว่าเจ้าได้สร้างบ้านเป็นจำนวนมากไว้ที่เขาอวี้ซัน ถ้าหากยังมีสถานที่ว่างก็เหลือให้พี่ชายสักหลัง เมื่อทำสงครามเสร็จได้กลับฉางอันและไม่มีงานอะไรจะได้ไปพักร้อน ชื่นชมทิวทัศน์อย่างอิสรเสรีหลายๆ วัน” เซวียว่านเช่อเป็นคนตรงๆ รู้สึกว่าถ้ากินอาหารของผู้อื่นแล้วก็ต้องช่วยเขาแก้วิกฤตบ้าง ได้ยินว่าอวิ๋นเยี่ยได้ สร้างบ้านอย่างมั่วซั่วบนเขาอวี้ซัน ส่วนมากก็ไม่สามารถขายได่เหล่าเซวียก็ตั้งใจจะรับผิดเองอย่างกล้าหาญ


 


 


อวิ๋นเยี่ยมองชายที่ไร้มันสมองคนนี้ด้วยความตกตะลึง หรือประโยคที่ว่าเด็กที่ไร้มารดาเลี้ยงดูถือเป็นความโชคร้ายจะเป็นจริง เหล่าเซวียไม่น่ารู้แผนการสร้างที่พักอาศัยอันเลิศหรูของเขา เป็นไปไม่ได้ที่จะรู้ว่าหลังจากนี้อีกสองปีบ้านเหล่านี้ราคาจะพุ่งสูงขึ้นอย่างบ้าคลั่ง ตอนนี้บอกว่าต้องการซื้อบ้านก็เพราะต้องการเกาะอวิ๋นเยี่ย ความคิดเพียงชั่ววูบทำให้เขาได้ผลประโยชน์ก้อนโตไป คนโง่ก็มีวาสนาของคนโง่จริงๆ วาสนาที่ขัดต่อกฎสวรรค์เช่นนี้อย่าได้ไปขัดขวางอย่างไม่ลืมหูลืมตาจะดีกว่า


 


 


“น้องชายพลั้งเผลอเหลวไหลไปทำให้พี่ชายต้องเป็นห่วงแล้ว แน่นอนจะต้องมีบ้านหลังหนึ่งของพี่ชาย เมื่อสงครามทุ่งหญ้าสิ้นสุดลง บ้านก็จะสร้างเสร็จแล้ว ถึงตอนนั้นขอพี่ชายแวะไปเยี่ยมดู”


 


 


“น้องชายไม่ถือสาก็ดีแล้ว เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้ ถึงตอนนั้นพวกเรามากินก๋วยเตี๋ยวเนื้อวัวกันอีกสักมื้อ พี่ชายชอบรสชาตินี้ วันนี้อาศัยใบบุญของผู้บัญชาการใหญ่และแม่ทัพหนิว พวกเราทุกคนต่างก็รู้ดี ไม่อย่างนั้นจะมีโหวเหยียคนไหนเข้าครัวเองบ้าง


 


 


เมื่ออิ่มกันแล้วก็เป็นเรื่องปกติที่จะเดินออกกำลังกายเพื่อการย่อย ไม่เช่นนั้นจะไม่มีใครสามารถทนได้ ค่อยๆ เดินไปเรื่อยๆ ก็มาถึงค่ายพักของทหารเสริมโดยไม่รู้ตัว


 


 


ไฉเซ่ารู้สึกประหลาดใจมาก ค่ายพักทหารเสริมที่ปกติส่งเสียงคึกคักวันนี้กลับเงียบสงัด บ้านเรือนก็สะอาดเรียบร้อยขึ้นมาก เมื่อเข้าไปดูข้างในจึงได้เห็นว่าทหารเสริมกำลังฝึกอยู่ที่สนามฝึกซ้อม ที่แปลกคือพวกเขาไม่ได้ฝึกวิธีฆ่าศัตรู มีชายคนหนึ่งแสร้งทำเป็นบาดเจ็บและหมอบอยู่บนพื้นส่งเสียงครวญคราง จากนั้นทหารสองคนก็จะรีบวิ่งเข้าไปข้างหน้าพร้อมด้วยไม้สองท่อนในทันที กางผ้ากระสอบหนึ่งผืนไว้บนพื้นและเคลื่อนย้ายชายที่แกล้งบาดเจ็บไปไว้บนผ้า ใส่ไม้สองท่อนไว้ทั้งสองข้างของผ้า จากนั้นยกขึ้นมาแล้ววิ่งออกไป


 


 


นอกจากนี้ยังมีคนสอนให้คนรู้จักวิธีช่วยคนบาดเจ็บที่ขาหัก วิธีที่จะห้ามเลือดให้ผู้บาดเจ็บ มีบางคนกดมั่วๆ ที่บริเวณหน้าอกของผู้บาดเจ็บและยังมีการเป่าลมแบบปากต่อปาก ไฉเซ่ากำลังจะก้าวเข้าไปห้ามการกระทำที่ไม่น่าดูนี้ แต่กลับเห็นซุนซือเหมี่ยวก้าวออกมาแล้วพูดกับไฉเซ่าว่า “ผู้บัญชาการใหญ่ไม่ต้องแปลกใจไป นี่เป็นวิธีในการรักษาบาดแผลในสมรภูมิรบ ตามที่ข้าคำนวณ หากมีทหารเสริมเหล่านี้ที่รู้ว่าต้องรักษาเพื่อนของพวกเขาอย่างไร การตายของผู้บาดเจ็บจะลดลงจนเหลือในระดับต่ำมาก อย่างน้อยก็สามส่วน


 


 


คนที่เคยผ่านสนามรบ ทหารที่ได้เคยเห็นเลือดจึงจะถือเป็นทหารที่แท้จริง ไฉเซ่าที่คลุกคลีกับการศึกมาเป็นเวลานานมีหรือที่จะไม่เข้าใจเหตุผลนี้


 


 


เขาคว้าแขนของซุนซือเหมี่ยวและถามว่า “ท่านนักพรตพูดจริงหรือ ความเสียหายจากสงครามของกองทัพเราจะลดลงถึงสามส่วนจริงๆ หรือ”


 


 


ขอเพียงเป็นแม่ทัพ ไม่มีเหตุผลที่จะไม่คาดหวังให้ผู้ใต้บัญชาเสียชีวิตลดน้อยลง จึงทยอยเข้ามาล้อมรอบซุนซือเหมี่ยวและถามกันคนละปากคนละคำ


 


 


 “ข้าและอวิ๋นโหววิเคราะห์กันอยู่เป็นเวลาหลายวันจึงได้กำหนดวิธีการรักษา หากไม่เห็นผลเช่นนี้ เราสองคนก็รู้สึกไม่ค่อยดีที่จะนำมาออกมา แต่อวิ๋นโหวเป็นผู้มีเมตตา ทนดูทหารเสริมต้องลำบากไร้ที่พึ่งไม่ได้ จึงอยากให้พวกเขามีวิธีการเอาชีวิตรอดเพิ่มขึ้นอีกอย่างหนึ่ง เพื่อให้พวกเขามีสภาพความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นอีกหน่อย คิดไม่ถึงว่า เพียงไม่กี่วันพวกเขาก็สามารถทำความเข้าใจขั้นตอนการปฐมพยาบาลได้ไม่น้อย ต่อลงไปจะสอนพวกเขาถึงวิธีการป้องกันและวิธีการรักษาอาการบาดเจ็บเพราะอากาศหนาว ถ้าหากกองทัพต้องต่อสู้ในฤดูหนาว สิ่งเหล่านี้ต้องรู้ไว้ ไม่เช่นนั้นทหารต้าถังเราจะไม่ได้ตายในสนามรบ แต่จะถูกแช่แข็งตายจากสภาพอากาศหนาวเย็น ซึ่งมันไม่คุ้มค่าเลย”


 


 


 


 


——


 


 


[1] ซีเป่ย คือ ภาคตะวันตกเฉียงเหนือของจีน


 


 


[2] ตงเป่ย คือ ภาคตะวันออกเฉียเหนือของจีน

 

 

 


ส่วนที่ 4

 

ตอนที่ 15

 

เคล็ดลับที่ถึงแก่ชีวิต

 


ไฉเซ่าอยู่ในค่ายทหารเสริมตลอดทั้งช่วงบ่าย ดูทุกมาตรการปฐมพยาบาลอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยด้วยความสนใจเป็นอย่างมาก เขาชอบการใช้ผ้าสามเหลี่ยมพันแผล ทั้งยังทำการทดลองด้วยตัวเอง หลังจากผูกเสร็จแล้ว เขายังขอให้ทหารที่ถูกเขามัดเหมือนบ๊ะจ่างทั้งวิ่งทั้งกระโดด ท้ายที่สุดยังโยนดาบให้เขาด้วย ให้เขาลองฟันหลายๆ ครั้งดูว่าการพันผ้าแบบมัมมี่จะหลุดออกมาหรือไม่ ดีมาก ไม่มีปัญหา ไม่หลุด ทหารตัวน้อยนั้นยิ่งชอบกว่าบอกว่าอบอุ่นดี แม้อากาศหนาวกว่านี้ก็ไม่กลัว


 


ไฉเซ่าเองก็ยังชอบการเย็บแผลด้วยเส้นไหม ชายคนหนึ่งที่ถูกฟันปากแผลยาวหนึ่งฉื่อ[1] เลือดไหลออกจากแผลไม่หยุด ดูแล้วไม่น่าจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นานนัก มีทหารเสริมที่ดูโรคจิตคนหนึ่งเดินเข้ามาแล้วหยิบด้ายและเข็มออกมา เย็บบาดแผลของชายผู้นั้นอย่างรวดเร็ว ทั้งเย็บอย่างละเอียด เย็บเสร็จแล้วและใส่ยา ใช้ผ้าพันแผลไว้ ชายที่เมื่อครู่กำลังจะตายก็หยิบดาบขึ้นอีกครั้งและฟาดฟันต่อไป แม้ว่าสถานการณ์นี้เป็นเพียงจินตนาการของไฉเซ่าก็ยังคงไม่สามารถหยุดยั้งเขาให้ก้าวไปข้างหน้าเพื่อพิสูจน์สักเล็กน้อย ไม่มีคนบาดเจ็บช่างชวนให้ปวดหัวนัก ทันใดนั้นก็มีเจ้ าโง่กระโดดออกมา หยิบมีดเล็กกรีดตัวเอง เพื่อให้ท่านผู้บัญชาการได้ทำการเย็บคนให้สาแก่ใจดั่งที่ต้องการ


 


ซุนซือเหมี่ยวออกจากสนามฝึกซ้อมด้วยความอาลัยอาวรณ์ นำเหล่าทหารมาที่ห้องด้านในซึ่งเป็นห้องขนาดใหญ่ภายในเต็มไปด้วยไอน้ำลอยอบอวลไปทั่ว ล้วนแล้วแต่เป็นถังขนาดใหญ่ซึ่งด้านในบรรจุน้ำร้อนไว้ อวิ๋นเยี่ยให้คนรักษาอุณหภูมิของน้ำไว้ที่สี่สิบกว่าองศาตลอดเวลา ในถังแต่ละใบจะมีคนสองคนแช่อยู่ ทุกคนล้วนเป็นทหารลาดตระเวนที่กลับมาจากนอกเมือง แม้ว่าเรื่องแผลจากอากาศหนาวจะเป็นเรื่องธรรมดา แต่ในมุมมองอวิ๋นเยี่ย อาการแผลจากอากาศหนาวขั้นที่สองนั้นร้ายแรงมาก เป็นแผลไปถึงชั้นหนังแท้ ทั้งยังเห็นได้ชัดว่าบางส่วนของพวกเขาอุณหภูมิลดลงแล้ว จึงได้แต่พึ่งน้ำอุ่นค่อยๆ เพิ่มอุณหภูมิของร่างกาย จากนั้นจึงห่มผ้าห่มและปล่อยให้ค่อยๆ ฟื้นตัวจากแคร่ที่สุมไฟไว้ด้านล่าง


 


เมื่อเห็นว่าขั้นตอนนั้นยุ่งยาก มีชายคนหนึ่งกล่าวขึ้นทันทีว่า วิธีนี้ยุ่งยากและยากต่อการใช้จริง มีน้ำร้อนในสนามรบเสียที่ไหน ตนมีวิธีที่ดีซึ่งทั้งง่ายและปฏิบัติได้จริง วัสดุหาได้แค่ปลายนิ้ว เมื่อนำมารักษาแผลจากอากาศหนาวแล้วเรียกว่าเร็ว


 


เรื่องนี้จะต้องขอคำชี้แนะให้ดีๆ เสียหน่อย ต้องขอคำชี้แนะ อย่างที่กล่าวกันว่าผู้สูงส่งมักแฝงกายอยู่ในฝูงชน ซุนซือเหมี่ยวและอวิ๋นเยี่ยจึงรีบเข้าไปขอคำชี้แนะทันทีด้วยมารยาทอย่างเต็มที่


 


“เมื่อปีก่อนในค่ายของมีคนที่ได้รับบาดเจ็บจากอากาศเย็นสิบกว่าคน กำลังใกล้จะตาย ตอนนี้ไม่รู้สึกตัวแล้ว ยังโชคดีที่ข้ายังพอจำวิธีโบราณวิธีหนึ่งได้จึงช่วยชีวิตเอาไว้ได้” ชายท่านนี้พูดอย่างอวดดี วางตนเสมือนหนึ่งว่าตัวเองคือเปี่ยนเชวี่ย[2]ฟื้นคืนชีพ ฮั่วถัว[3]กลับชาติมาเกิด ทำให้ทุกคนที่อยู่สนามฝึกซ้อมรู้สึกซาบซึ้งและนับถือ


 


จึงได้รับผลประโยชน์มากมาย ซึ่งหนึ่งในนั้นคืออวิ๋นเยี่ยสัญญาว่าจะทำให้อาหารอร่อยๆ หนึ่งมื้อให้แก่เขาคนเดียว เขาจึงยอมบอกเคล็ดลับประจำตระกูลด้วยสีหน้าไม่พอใจมากออกมา คำเดียวคือ ถู และอีกคำสามคือ ถูด้วยหิมะ ถูให้แดงทั่วทั้งร่างกายแล้วก็จะรอดชีวิตได้ หากวันนี้ไม่เห็นแก่ก๋วยเตี๋ยวเนื้อวัวของอวิ๋นโหว แม้ฆ่าให้ตายก็จะไม่บอกอย่างเด็ดขาด


 


เมื่อได้ฟังเคล็ดลับแล้ว อวิ๋นเยี่ยสองมือกุมขมับนั่งยองๆ ลงบนพื้น ซุนซือเหมี่ยวสั่นเทาไปทั้งร่าง


 


“คราวที่แล้วใช้เคล็ดลับที่สืบทอดมานี้ช่วยไว้ได้กี่คน” อวิ๋นเยี่ยระงับความปวดร้าวในใจแล้วเอ่ยถาม


 


“ทั้งหมดสิบสองคนช่วยได้แค่สามคนเท่านั้น ที่เหลือนั้นถูกไอเย็นรุนแรงมากเกินไปจึงไม่มีชีวิตรอด เด็กทั้งสามคนก็ดวงแข็งจึงได้พบข้าเข้า ไม่เช่นนั้นคงจบเห่กันทั้งหมดแน่ สำหรับเรื่องนี้แล้ว ข้าเฉลิมฉลองในค่ายใหญ่เป็นเวลาสามวัน เจ้าเด็กนอกคอกพวกนั้นจับข้ามอมเหล้าจนเมาไปสามวัน” ตาเฒ่านี่ดูเหมือนจะยังคงดื่มด่ำอยู่กับความมีเกียรติเมื่อปีที่แล้ว


 


“ข้าจะฆ่าเจ้าจอมสารเลวนี่!” ในที่สุดซุนซือเหมี่ยวก็เดินจากไปด้วยความโกรธ เตะคนเลวนั่นล้มลงกับพื้นด้วยเท้าเดียว คิดไม่ถึงเลยว่าพละกำลังของเหล่าซุนยังคงเหลืออยู่ค่อนข้างมาก ทหารที่ต่อสู้มานานหลายปีถูกเขาเตะจนเกือบบินได้แล้ว อวิ๋นเยี่ยก็ไม่สนใจแล้ว พับแขนเสื้อขึ้นแล้วเดินไปข้างหน้าต่อยลงไปแรงๆ หนึ่งหมัด ไม่ใช่เพื่ออะไรเลย ทั้งหมดเพื่อชีวิตเก้าคนนั้น


 


รู้สึกปวดใจจริงๆ ฆ่าคนจนถึงจุดที่ทำให้ผู้คนรู้สึกขอบคุณ ปีศาจเช่นนี้หากมีหนึ่งตัวต้องฆ่าหนึ่งตัว มิฉะนั้นทหารซั่งฟางห้าหมื่นชีวิตก็ไม่มากพอที่จะให้เขาทำลาย


 


ทหารคนอื่นต่างมองหน้ากันพูดอะไรไม่ออก คนเขาเพิ่งจะบอกเคล็ดลับให้พวกเจ้ารู้ ก็จะฆ่าปิดปากแล้วหรือ ขณะที่กำลังจะเข้าไปห้ามก็ถูกเหล่าหนิวที่ยิ้มหน้าแหยๆ ลากออกไป ไฉเซ่าที่อยู่ข้างๆ ก็หน้าเขียวปั้ด บนหน้าผากเส้นเลือดปูดแทบจะระเบิด เขาสองคนเป็นคนแรกที่เข้าใจ หากพูดถึงวิชาแพทย์ ซุนซือเหมี่ยวคือที่หนึ่งแห่งต้าถัง หากพูดถึงวิธีพิสดาร อวิ๋นเยี่ยคือที่หนึ่งแห่งต้าถัง ตอนนี้ทั้งสองคนยังสติไม่อยู่พร้อมกันก็ระบุได้ว่าเจ้าสารเลวนั้นไม่ได้ช่วยชีวิตผู้คนแต่กำลังฆ่าคน ให้ตายสิ


 


เมื่อต่อยคนเสร็จ เหล่าซุนก็ไม่ใส่ใจผมที่กระจัดกระจาย ผมยาวปกคลุมบนใบหน้าเหมือนวิญญาณร้าย ดวงตาสีแดง ตะโกนเสียงดังใส่เหล่าแม่ทัพนายพัน “พวกเจ้าใครยังมีเคล็ดลับในการฆ่าคนเช่นนี้อีก บอกออกมา ยังมีใครอีก”


 


น้ำเสียงที่ถูกลากยาว น่ากลัวดุดันหาใครเทียบได้ หมอที่มีชื่อเสียงอันดับหนึ่งแห่งยุคก็ถึงกับมีกิริยาท่าทางเหมือนหัวหน้ามาเฟียเช่นกัน


 


ล้วนแล้วแต่เป็นยอดนักฆ่าในสนามรบ รู้หลักการที่ว่าหากศัตรูบุกเราควรถอยเป็นอย่างดี จึงพากันถอยหลังอย่างพร้อมเพรียง หลบรัศมีอันมุ่งมั่นของเหล่าซุน


 


“แม่ทัพทุกท่าน การแพทย์เป็นวิชาที่เข้มงวดแขนงหนึ่ง สำนักศึกษาอวี้ซันของเราเพื่อวิชาการแพทย์สามารถกล่าวได้ว่าได้ใช้มันสมองกันอย่างเต็มที่ เก็บรวบรวมเคล็ดลับทั่วหล้า สามารถกล่าวได้ว่ามีมากมายหลากหลาย แต่ส่วนมากก็ใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้เลยแม้แต่น้อยนิด เช่น การใช้หิมะถูร่างกายที่บาดเจ็บเพราะอากาศเย็น ไม่เพียงแต่ไม่มีประโยชน์อะไรเลยแม้เพียงนิดรังแต่จะทำให้อาการทรุดหนักลง ถ้าหากทุกคนรู้ถึงเหตุผลข้อนี้ ก็จะไม่เกิดเหตุการณ์โปรดสัตว์ได้บาป ทหารสิบสองนายมีชีวิตรอดเพียงสามนาย นี่เป็นบทเรียนที่เจ็บปวดที่สุด ถ้าหากแช่ในน้ำอุ่นแล้ว หลังจากนั้นใช้ผ้าห่มห่อให้แน่นแล้ววางไว้บนสถานที่อุ่นๆ เพื่อให้เขานอนพัก ทั้งสิบสองคนก็จะมีชีวิตรอดทั้งหมด ขอความกรุณาแม่ทัพทุกท่าน อย่าใช้วิธีการรักษาที่ยังไม่ผ่านการพิสูจน์อย่างมั่วๆ เพราะอาจทำให้ถึงตายได้”


 


“ที่เจ้าพูดมาเป็นเรื่องจริงหรือ” คนที่ถูกต่อยจนคนไม่เหมือนคนผีไม่เหมือนผีถามขึ้นต่อ


 


“จริงแท้แน่นอน เจ้าโปรดสัตว์ได้บาป หากทหารสิบสองคนนั้นเจ้าไม่ใช้หิมะถูเขา เพียงแค่หาสถานที่ที่อบอุ่นแล้วเอามือถูให้ทั่วร่าง ข้ารับประกันได้ว่าทหารสิบสองคนของเจ้าจะมีชีวิตรอดอย่างน้อยสิบคน หากผิดละก็ เจ้ามาหาต่อยข้าได้เลย ข้าจะไม่ตอบโต้อย่างแน่นอน” เดิมทีอวิ๋นเยี่ยอยากจะบอกว่าถ้าผิดละก็ เจ้ามาตัดศีรษะข้าได้เลย เพียงแต่เมื่อคิดถึงความมีหัวการค้าของหมอนี่แล้วเลยเปลี่ยนความคิดในทันใด หากมีเจ้าโง่คนไหนใช้วิธีใหม่แต่ไม่สามารถช่วยชีวิตคนไว้ได้ แล้วถือดาบมาไล่ตัดศีรษะ เจ้าว่าอย่างนี้แล้วต้องหลบหรือไม่


 


ตั้งแต่พบกับคนประเภทซีถง ต่อให้ฆ่าให้ตายอวิ๋นเยี่ยก็จะไม่พูดอะไรที่ไร้ทางถอยเด็ดขาด เจ็บหนึ่งครั้งย่อมต้องเกิดปัญญา คำโบราณว่าไว้ไม่มีผิดจริงๆ


 


“นักพรตซุน อวิ๋นโหว ดูเหมือนว่าจะต้องเผยแพร่ความรู้ทั่วไปเหล่านี้ให้แก่คนในกองทัพ ไม่เช่นนั้นแล้วทหารไม่ได้ตายในสนามรบ แต่กลับตายด้วยมือของพวกตัวเอง น่าอดสูจริงๆ เรื่องนี้ต้องรบกวนท่านทั้งสองแล้ว” ไฉเซ่าค่อนข้างเหนื่อยหน่าย แต่ก็รู้สึกโชคดีอยู่บ้าง สรุปคือดูแล้วเขามีท่าทีที่สับสนมาก


 


ทหารที่โดนต่อยหมอบกับพื้นตะโกนเรียกชื่อพี่น้องร้องไห้เสียงหลง ต่อยลงไปทีละหมัดๆ บนดินที่ถูกแช่แข็งจนแข็งเหมือนแผ่นเหล็ก อวิ๋นเยี่ยทนดูไม่ไหวตั้งใจจะพยุงเขาขึ้นมา แต่ถูกทหารข้างๆ ห้ามไว้ กระซิบกับอวิ๋นเยี่ย  พี่ชายและน้องชายแท้ๆ ของเขาก็เป็นหนึ่งในเก้าคนที่เสียชีวิต


 


เมื่อได้ยินความคับแค้นใจนี้ อวิ๋นเยี่ยก็พูดอะไรไม่ออก


 


อวิ๋นเยี่ยใช้พู่กันเขียนหนังสือได้ช้ามากและยังน่าเกลียดอีกด้วย การถูกครอบครัวของหลี่ซื่อหมินดูถูกก็ไม่ใช่เรื่องที่เพิ่งเกิดวันสองวันแล้ว หลังจากที่ถูกหลี่ซื่อหมินวิพากวิจารณ์เกี่ยวกับตัวอักษรของอวิ๋นเยี่ยว่าเป็น “ร่องรอยอักขระโบราณ” แล้ว เขาสาบานว่าจะไม่ใช้พู่กันเขียนหนังสืออีกแล้ว ช่างบาดใจยิ่งนัก อักษรที่ฉันเขียนอย่างจริงจังนั้นกลับถูกคุณบอกว่ามันเป็นรอยพิมพ์เท้าไก่ป่าที่หลงเหลืออยู่บนหิมะ เนื้อหาที่มีประโยชน์มากมายพวกนั้นคุณไม่อ่าน มาดูตัวอักษรของฉันทำไม เวลาที่ฉันจับพู่กันสองชาติภพรวมกันยังไม่มากเท่าที่คุณจับพู่กันในหนึ่งเดือนเลย ถ้าแน่จริงมาแข่งพิมพ์คีย์บอร์ดกับฉันสิ!


 


เหล่าซุนไม่มีเวลา เขาต้องสอนทหารเสริมเหล่านั้นให้ฝึกกู้ภัยในสนามรบ อวิ๋นเยี่ยตั้งป้ายขนาดใหญ่จำนวนมาก บนนั้นปล่อยเอาไว้ให้ว่างเปล่า เมื่อหยิบพู่กันแล้วเพิ่งเขียนอักษรได้เพียงตัวเดียว เหล่าจวงก็เอามือปิดหน้าวิ่งหนีออกไป หาว่าเดี๋ยวจะขายหน้าคนอื่น


 


จะขายหน้าใครกัน ในยุคปัจจุบันคำประกาศในบริษัทล้วนแล้วแต่ฉันเป็นคนเขียน ยังมีแฟนๆ มารุมล้อม ทั้งยังบอกว่าเขียนได้ดี เหล่าจวงนี่มีรสนิยมแบบไหนกัน ไม่รู้เรื่องก็อย่าดู


 


ขณะที่กำลังเขียนได้ที่ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงกัดฟันอยู่ข้างหลัง เมื่อหันกลับไปมอง ที่แท้เป็นสวี่จิ้งจง ใบหน้าอ้วนๆ นั้นยู่ยี่ยับเยินเหมือนดอกเบญจมาศแล้ว ปากก็สูดหายใจเข้าลึกๆ กัดฟันกรามด้วยท่าทีราวกับอุจจาระไม่ออก กอดหนังสือหลายเล่มไว้ในมือ ดูเหมือนว่ามีปัญหาอยากถามอวิ๋นเยี่ย


 


“โหวเหยียท่านกำลังทำอะไรอยู่ นึกสนุกอยากเขียนตัวอักษรขนาดใหญ่หรือ อักษรนี้เขียนได้มีเอกลักษณ์ดี เหมือนนิสัยใจคอของโหวเหยียที่อธิบายไม่ถูก” ยากนักที่จะจับจุดอ่อนของอวิ๋นเยี่ยได้ แน่นอนว่าต้องเยาะเย้ยให้สนุกสักรอบหนึ่ง คลุกคลีอยู่ด้วยกันมานานเช่นนี้ ในฐานะที่เป็นหนึ่งในมนุษย์จอมเจ้าเล่ห์ ได้มองอวิ๋นเยี่ยออกอย่างทะลุปรุโปร่มานานแล้ว หลานเถียนโหวที่ภายนอกดูเหมือนเป็นคนมีใจคอกว้างขวาง แต่แท้จริงแล้วเป็นคนใจแคบนั้นไม่ใช่คนดี ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องใจคอคับแคบมีแค้นต้องชำระของเขา ยังมีนิสัยที่ถูกตามใจจนเคยตัว ไม่ยอมลำบาก ไม่ยอมเหน็ดเหนื่อย และสิ่งสำคัญที่สุดคือไม่ยอมถูกรังแก นอกจากไท่ซั่งหวง ฮ่องเต้และฮองเฮาแล้ว ก็มีผู้อาวุโสอีกไม่กี่คนที่สามารถทำให้เขาก้มศีรษะให้ได้ ในความเห็นของเขา นี่เป็นเกียรติที่หาได้ยากยิ่ง เจ้าหนุ่มนี่สีหน้ายังเต็มไปด้วยความไม่พอใจ ในรายงานกองทัพเมื่อวานนี้กล่าวว่า ฝ่าบาททรงลดฐานนันดรศักดิ์ทั้งหมดสี่สิบหกคน เขารอดูตั้งแต่ต้นจนจบก็ไม่มีข่าวดีที่ว่าหลานเถียนโหวถูกลดฐานันดรศักดิ์เป็นหลานเถียนปั๋ว แม้ว่าจะค่อนข้างผิดหวัง แต่คำถามหลายๆ ข้อในเรื่องวิชาความรู้แล้วก็จำเป็นต้องมาขอคำชี้แนะจากโหวเหยียท่านนี้ เมื่อคืนไม่ได้นอนทั้งคืน ทนทรมานอยู่หนึ่งคืนกว่าที่จะเข้าใจความรู้เบื้องต้นที่ง่ายๆ เหล่านั้น แต่ก็ถูกสูตรแปลกๆ เหล่านั้นทำให้สับสน ด้วยความร้อนวิชาอยากจะทดสอบ จึงยอมละทิ้งความเกลียดแค้นในทิ้งและมาขอคำชี้แนะถึงที่ คิดไม่ถึงว่าจะได้เห็นลายมือไก่เขี่ยของอวิ๋นเยี่ย จึงรู้สึกสบายอกสบายใจ


 


“เหลาสวี่ ข้าลืมเจ้าได้อย่างไรกัน การเขียนอักษรเป็นจุดเด่นของเจ้า เจ้าลองมาดูหน่อยว่าป้ายเหล่านี้ควรจะเขียนอย่างไร” ขอเพียงสามารถแก้ปัญหาได้ ก็ต้องรีบคว้าไว้ จะสนใจทำไมว่าเป็นใคร ใช้ประโยชน์ได้ก็พอแล้ว นี่คือแนวความคิดของอวิ๋นเยี่ยมาโดยตลอด คำพูดอันโด่งดังในยุคปัจจุบันของไท่จงเราจะต้องประจักษ์ด้วยตัวเองและนำไปปฏิบัติ การมอบหมายงานให้กับมืออาชีพจัดการ เป็นคำพูดของใครที่เคยพูดไว้กัน


 


สวี่จิ้งจงหยิบพู่กันขึ้น จากนั้นก็ฉีกอักษรที่น่าเกลียดที่สุดที่อวิ๋นเยี่ยเขียนออก ขยำมันเป็นก้อนและปามันไปให้ไกลๆ จึงค่อยทำให้เขารู้สึกสบายใจขึ้นบ้าง เมื่อครู่เหมือนกับกลืนกินแมลงวันเข้าไปหนึ่งตัว


 


ตัวอักษรแถวหนึ่งที่ดูแข็งแกร่งและทรงพลังปรากฏขึ้นบนป้ายกระดาษของอวิ๋นเยี่ย สีขาวและสีดำตัดกัน ดูแล้วรู้สึกสบายตา สวี่จิ้งจงแอบตาเหล่ตามองอวิ๋นเยี่ยอย่างดูถูกแวบหนึ่ง จากนั้นเขียนอักษรบนป้ายกระดาษตามในสมุดเล่มเล็กๆ บนมือของเขาต่อไป


 


“เหลาสวี่ ตัวอักษรของเจ้า ชาตินี้ข้าคงไม่มีความหวังที่จะไล่ตามได้ทันแล้ว ช่างน่าอิจฉาเสียจริง!” อวิ๋นเยี่ยยืนชื่นชมอยู่ด้านหลังไม่ขาดปาก สวี่จิ้งจงจึงยิ่งเขียนอย่างทุ่มเทมากขึ้น ปลายพู่กันดั่งหงส์ร่ายมังกรรำ ตัวอักษรจึงยิ่งสวยงามมากขึ้น ภาพพื้นหลังจึงยิ่งดูสง่างามขึ้น


 


“เหลาสวี่ เจ้าเขียนต่อไป เขียนป้ายกระดาษให้เสร็จทั้งยี่สิบใบเลย ข้าจะเข้าไปพักในห้องเสียหน่อย เมื่อคืนนี้ไม่ได้นอนเลย” อวิ๋นเยี่ยปากก็พึมพำแล้วกลับไปนอนที่ห้อง เหลือสวี่จิ้งจงผู้น่าสงสารที่ต้องยืนเขียนอักษรอยู่ท่ามกลางลมหนาวเพียงลำพัง


 


มือแข็งเป็นท่อนไม้แล้ว ป้ายแผ่นใหญ่มากไม่สามารถนำเข้าไปไว้ในห้องได้ ทำให้สวี่จ้งจงมีน้ำมูกใสๆ ไหลออกมาจากจมูก ความโกรธแค้นในใจของสวี่จิ้งจงนั้นเหมือนกับภูเขาไฟที่กำลังจะปะทุออกมา คำเตือนทางการแพทย์บ้าบอเหล่านี้เกี่ยวอะไรกับข้าด้วย เขาเขียนได้น่าเกลียดเขียนก็ปล่อยให้น่าเกลียดไป คนที่ขายหน้าก็คือเขา มันเกี่ยวอะไรกับข้าล่ะ


 


อ๊ะ แย่แล้ว เมื่อครู่ตรงนี้เขียนเสียไป มือชาไปหมดแล้ว ตวัดตรงนี้ยาวเกินไป ตัวอักษรทั้งตัวก็จะสูญเสียเสน่ห์ไป ไม่ได้ ต้องเขียนมันใหม่ ตอนนี้คนที่ขายหน้าไม่ใช่เขาแต่เป็นข้า ตัวอักษรของข้าสวี่จิ้งจงจะปรากฏความด่างพร้อยได้อย่างไร


 


ท้องฟ้าเริ่มมืดลงแล้ว คนรับใช้ชราตระกูลสวี่คอยมองด้านนอกไม่เลิกว่า ทำไมเจ้านายไม่กลับมากินข้าวเสียที


 


 


——


 


[1] ฉื่อ มาตรวัดความยาวของจีน โดย 1 ฉื่อเท่ากับประมาณ 0.33 เมตร


 


[2] เปี่ยนเชวี่ย คือ หมอผู้โด่งดังในสมัยชุนชิวและจั้นกั๋ว


 


[3] ฮั่วถัว หรือ ฮัวโต๋ว เป็นหมอผู้มีชื่อเสียงในปลายสมัยราชวงศ์ฮั่น

 

 

 


ส่วนที่ 4

 

ตอนที่ 16

 

 ยืนกรานที่จะต่อต้าน

 


การเขียนป้ายโฆษณาคราวนี้มีผลกระทบกับสวี่จิ้งจงเป็นอย่างมาก ที่แท้แล้วคนเรายังสามารถไร้ยางอายได้จนถึงจุดนี้ เมื่อย้อนคิดถึงทุกสิ่งที่เขาทำมาก่อนหน้านี้ มันไม่ควรค่าให้พูดถึงเลย เขาจะไม่เสียใจอีกต่อไปและจะไม่สาปแช่งอีกต่อไป ไม่ใช่เพราะว่าเขารู้แจ้งในเวลาอันสั้น แต่เพราะเขาเริ่มมีไข้ขึ้นสูง ร่างกายร้อนมากจนน่าตกใจ ทั้งยังมีตุ่มพองขึ้นที่ริมฝีปาก สวี่จิ้งจงที่หน้าแดงก่ำมุดอยู่ในผ้าห่มบ่นพึมพำ คนรับใช้ชราร้อนใจจนร้องไห้


 


ซุนซือเหมี่ยวมาแล้วและฝังเข็มให้เขาสองสามเข็ม จากนั้นเขียนใบยาให้สองสามเทียบ ให้คนรับใช้ชรานำมาให้เขาดื่ม จากนั้นนอนพักหนึ่งคืน ร่างกายไม่ร้อนอีก เมื่อตื่นขึ้นมาก็กินโจ๊กชามเล็กๆ ไปหนึ่งชามจากนั้นก็นอนหลับ สลบไสลไปอีก ระหว่างนี้อวิ๋นเยี่ยมาเยี่ยมเขาสองครั้ง ทั้งยังฝากยาบำรุงไว้จำนวนหนึ่ง เมื่อเขาหลับแล้วจึงไม่ได้รบกวน เพียงแค่ให้เหล่าจวงนำผ้าห่มอีกสองผืนมาห่มให้สวี่จิ้งจง มอบเหล้ากาเล็กให้กับคนรับใช้ชรา ถ้าหากสวี่จิ้งจงตัวร้อนขึ้นอีกในตอนกลางคืน ก็ให้นำผ้าชุบเหล้าเช็ดร่างกายให้เขา เช่นนี้จะทำให้ไข้ลดอย่างรวดเร็ว


 


อวิ๋นเยี่ยกำลังยุ่งอยู่กับการสอนความรู้เรื่องการปฐมพยายามให้กับทหารทุกระดับ สุดท้ายแม้แต่การใช้เฝือกก็สอนจนจบแล้ว จึงปล่อยให้พวกเขาได้หยุดพักบ้าง เหล่านักรบในค่ายทหารที่สามารถอ่านหนังสือได้มีไม่มาก ในอดีตถ้าให้พวกเขาอ่านหนังสือ ไม่สู้ฆ่าเขาให้ตายเลยในดาบเดียว ตอนนี้นั่งอยู่ในห้องเรียนฟังบรรยายจนตาไม่กะพริบเลยสักนิด ฟังให้มากขึ้นอีกนิด เรียนให้มากขึ้นอีกหน่อย พี่น้องของพวกเขาก็จะตายในสนามรบน้อยลง แม้ว่าถ้าเมตตาไม่จับดาบ แต่จิตใจคนเราก็มีเลือดเนื้อ ย่อมมีจิตเมตตาสงสารต่อผู้คนรอบข้าง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพี่น้องที่อยู่ด้วยกันทุกเช้าค่ำ


 


เมื่อพูดถึงพี่น้อง เฉิงฉู่มั่วนั้นก็ออกจะทำเกินไปหน่อย เขาไม่มาด้วยตัวเอง กลับส่งรองผู้ช่วยมาเข้าชั้นเรียน ส่วนตัวเองฉวยโอกาสหนีไปนอนหลับในห้องอวิ๋นเยี่ย เขามักคิดว่าเขาไม่ต้องเรียนรู้สิ่งเหล่านี้ เมื่อถึงเวลาพี่น้องของเขาจะต้องช่วยเขาอย่างแน่นอน


 


เมื่อเห็นเฉิงฉู่มั่วนอนกรนคร่อกๆ อวิ๋นเยี่ยก็โกรธจนควันออกหู เขาคือคนที่จะต้องเข้าสู่สนามรบ ควรต้องมีความรู้เกี่ยวกับการปฐมพยาบาลเบื้องต้นไว้บ้าง หากเกิดปัญหาอะไรขึ้น ตัวเองจะได้สามารถรักษาอาการเบื้องต้นให้ตัวเองด้วย บางทีมันอาจจะช่วยชีวิตไว้ได้เลย การเข่นฆ่าในสนามรบใครจะห่วงใครกัน นี่ไม่ใช่เวลาขี้เกียจ


 


อวิ๋นเยี่ยจึงลากเฉิงฉู่มั่วลงจากเตียง แล้วนำผ้าชุบน้ำเย็นเช็ดหน้าให้เขาเพื่อขจัดความง่วงออกไป น้ำเย็นได้ผลจริงๆ เฉิงฉู่มั่วหนาวจนสั่นเทา ความง่วงหายไปจนหมดสิ้น มองอวิ๋นเยี่ยด้วยความโมโห บ่นพึมพำอยู่ในปาก


 


อวิ๋นเยี่ยไม่สนใจเขา เริ่มสอนเขาตัวต่อตัวว่าจะช่วยเหลือตัวเองอย่างไร ตอนนี้ลองทำบนตัวเขา เมื่อลองทำเสร็จแล้วให้เฉิงฉู่มั่วทำการทดลองกับร่างกายของเขาเอง เรียนได้ไม่นานนัก เฉิงฉู่มั่วก็รู้สึกรำคาญ เหวี่ยงผ้าพันแผลในมือทิ้ง เข้าหากำแพงและนอนพิงอีกแล้ว


 


เขาก็มักจะมีนิสัยเด็กๆ เช่นนี้ ความรู้สึกที่อวิ๋นเยี่ยมีต่อเขาควรจะบอกว่าใกล้เคียงกับความรู้สึกของผู้ใหญ่เป็นห่วงผู้เยาว์มากกว่าความเป็นพี่น้อง จึงดึงหน้าเขาหันกลับมาและสอนต่อไป วันนี้ถ้าหากไม่เรียนให้รู้เรื่อง อวิ๋นเยี่ยก็ไม่คิดจะรามือ เฉิงฉู่มั่วดื้อรั้น ทว่าสู้อวิ๋นเยี่ยไม่ได้จึงได้แต่ต้องเรียนต่อไป


 


“เสี่ยวเยี่ย มีหมอเทพอย่างเจ้าอยู่ตรงหน้า ข้าจำเป็นต้องเรียนรู้สิ่งเหล่านี้ด้วยหรือ” หลังจากเรียนเสร็จ สองพี่น้องนั่งกินอาหารอยู่ข้างเตา กินพลางคุยกันพลาง


 


“มันจะไร้ประโยชน์ได้อย่างไร ข้าเองก็ไม่สามารถไปสนามรบได้ ในสนามรบอันตรายมากเพียงใดเจ้ารู้ดีกว่าข้า สิ่งเดียวที่ไม่มีทางขาดในสภาพแวดล้อมเช่นนั้นก็คือเรื่องเหนือความคาดหมาย การรักษาบาดแผลยิ่งเร็วยิ่งดี เร็วขึ้นนิดหน่อยไม่แน่ว่าอาจจะช่วยชีวิตเอาไว้ได้ ไม่ควรมองข้าม ในหลุมฝังศพไม่จำเป็นต้องฝังคนชราเสมอไป เข้าใจไหม เมื่อหลายวันก่อนข้าทำสถิติ รู้ไหมว่าอายุขัยเฉลี่ยของชาวต้าถังนั้นน้อยกว่าสามสิบปี เมื่อได้ยินข้อมูลนี้แล้วยังกล้าประมาทอีกหรือ”


 


นี่เป็นคำถามข้อหนึ่งในศาสตร์การคำนวณ และยังเป็นข้อกำหนดสำหรับนักเรียนให้ทำสถิติ อวิ๋นเยี่ยจึงถือโอกาสจัดนักเรียนทำการตรวจสอบอายุขัยเฉลี่ยของคนในเขตฉางอันว่าอยู่ที่อายุเท่าไร คิดไม่ถึงว่าเมื่อการบ้านถูกส่งกลับมาอวิ๋นเยี่ยถึงกับตกตะลึง อายุเฉลี่ยเพียงสามสิบห้าปี จะเป็นไปได้อย่างไร


 


ถามนักเรียนซ้ำๆ หลายครั้งว่าคำนวณผิดพลาดหรือไม่ หรือว่าการรวบรวมข้อมูลไม่ถูก เป็นไปไม่ได้ว่าชาวฉางอันมีอายุขัยเพียงสามสิบห้าปี


 


ฝางอี๋อ้ายสีหน้าอมทุกข์ ตอบว่าเป็นเรื่องจริง เพราะการบ้านของเขาทำพร้อมกับบิดาของเขา ตั้งใจตรวจสอบและบันทึกลูกโทนของสามเขตใกล้เคียงกับฉางอันโดยเฉพาะจึงได้คำตอบนี้ ทั้งยังทำการตรวจสอบสามเขตที่ค่อนข้างห่างไกลเพื่อเปรียบเทียบ พบว่าแตกต่างกันเจ็ดแปดปีเต็ม จึงทำการสรุปสุดท้าย ได้ข้อสรุปที่ว่าอายุขัยเฉลี่ยน้อยกว่าสามสิบปี    


 


ตามที่ฝางอี๋อ้ายบอก บิดาเขานั่งอยู่ในห้องหนังสือถึงหนึ่งคืนเต็มๆ เช้าวันรุ่งขึ้นก็ไปประชุมเช้าตั้งแต่เช้า ส่วนปฏิกิริยาของทางราชสำนักนั้นเขาก็ไม่รู้แล้ว แค่รู้ว่าหลายวันนั้นบิดาเขาอารมณ์ไม่ดีเอามากๆ


 


“สามสิบปี เป็นไปไม่ได้กระมัง ทำไมข้ามักจะรู้สึกว่ารอบข้างมีแต่คนชรา” เฉิงฉู่มั่ววางชามข้าวอย่างตกตะลึง ตาโตมองหน้าอวิ๋นเยี่ย


 


“จะหลอกเจ้าทำไม รอจนเจ้าทำสงครามครั้งนี้จบสิ้น ทหารหลวงถอยกำลัง เจ้ายังต้องกลับไปเรียนหนังสือที่สำนักศึกษาต่อ ถึงตอนนั้นเจ้าทำแบบสอบถามเองแล้วเจ้าจะเข้าใจ”


 


“ยังต้องเรียนอีกหรือ” เฉิงฉู่มั่วเหมือนแมวที่ถูกเหยียบหางกระโดดลอยขึ้นกลางอากาศ


 


“จะตื่นเต้นอะไรหนักหนา ใครบอกว่าเจ้าไม่ต้องไปเรียนที่สำนักศึกษาแล้ว โอกาสที่ดีแท้ๆ คนอื่นโขกจนศีรษะแตกยังไม่ได้เข้าเรียน เจ้ายังรังเกียจอีก”


 


“ดวงตาข้างไหนที่เจ้าเห็นว่าข้าตื่นเต้น ข้าตกใจต่างหาก เมื่อคิดว่าเหตุใดต้องไปใช้วัยอันแสนสดใสของข้าให้สิ้นเปลืองในสำนักศึกษานั้นด้วย มีเวลาถึงเพียงนั้น ข้าเลี้ยงลูกสองคนกับจิ่วอียังจะดีกว่ามาเรียนทุกวันเสียอีก ในสำนักศึกษาของเจ้ามีคนดีไม่กี่คน ที่เหลือทั้งหมดก็เป็นพวกอันธพาลของฉางอัน อย่าว่าแต่ข้าเข้าไปแล้วเสียคน หากเป็นอะไรขึ้นมา พ่อต้องมาเอาเรื่องกับเจ้าแน่นอน พี่ชายไปเที่ยวซ่องโสเภณีอย่างสบายใจจะดีกว่า ต้องขี่ม้าเล่นโปโลหลายๆ รอบจึงจะถูก”


 


“ไม่รู้ว่าท่านลุงเฉิงจะมาเอาเรื่องข้าหรือไม่ แต่ถ้าเจ้าไม่ไปสำนักศึกษา ท่านต้องเอาเรื่องเจ้าอย่างแน่นอน ยังคิดจะไปหาจิ่วอีมีลูก เจ้าไปนั่งฟักไข่เองเถอะ เล่นโปโล เที่ยวซ่อง เมื่อเจ้ากลับบ้าน บิดาเจ้าก็กลับบ้าน ถ้าแน่จริงเจ้าก็ไปพูดคำพูดเหล่านี้กับบิดาเจ้าสิ”


 


“ข้าอยากตาย! กลับไปที่ฉางอันไม่อิสระเท่ากับอยู่ที่ซั่วฟาง ข้าไม่กลับไปแล้ว ใครก็สั่งให้ข้ากลับไปไม่ได้” มองดูเด็กโง่ที่ไม่มีสมองคนนี้แล้ว อวิ๋นเยี่ยรู้สึกเศร้าแทนเขา จอมปีศาจเฉิงผู้เลื่องชื่อมีหรือจะปล่อยให้เจ้าหลุดรอดไปได้ เหล่าเฉิงรอให้เขาเมืองหลวงเพื่อขอพระราชทานสมรสให้เขา แม้แต่ชื่ออวิ๋นเยี่ยก็ยังรู้ว่านางคือองค์หญิงชิงเหอหลี่จิ้ง ตอนนี้อายุสิบขวบ เมื่อคิดถึงว่าเฉิงฉู่มั่วต้องแต่งงานกับตุ๊กตาน้อยอายุสิบขวบ อวิ๋นเยี่ยก็อยากหัวเราะ


 


“เสี่ยวเยี่ย เจ้าหัวเราะได้เจ้าเล่ห์มาก ต้องมีบางสิ่งที่ข้าไม่รู้แน่ เจ้าบอกข้ามาได้หรือไม่” 


 


 “เอ๋ เจ้าฉลาดขึ้นมาทันทีเชียวนะ วางใจเถอะ ท่านลุงเฉิงจะหาคู่ครองให้กับเจ้า ได้ยินว่าเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่ เจ้าก็รอเข้าเรือนหอเถอะ”


 


เฉิงฉู่มั่วดื่มด่ำอยู่กับเรื่องกาเมอย่างหลงใหลไม่ได้สติ ก็ไม่รู้ว่าคิดถึงคุณหนูบ้านไหน หากตอนนี้อวิ๋นเยี่ยบอกเขาว่าฝ่ายหญิงมีอายุเพียงสิบปี คาดว่าเขาคงต้องฆ่าตัวตายแน่


 


“เสี่ยวเยี่ย เจ้าหมั้นหมายแล้วไม่ใช่หรือ ผู้หญิงที่ชื่อซินเย่ว์สวยหรือไม่”


 


“ธรรมดาสามัญ ก็อาจจะสวยกว่าจิ่วอีสักสามส่วน”


 


“เช่นนั้นก็ถือว่าเป็นสาวงามไม่ใช่หรือ หากเจ้าแต่งไปแล้ว หลี่อันหลานจะทำอย่างไร” เฉิงฉู่มั่วไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงคิดถึงหลี่อันหลานขึ้นได้


 


เมื่อพูดถึงหลี่อันหลาน อวิ๋นเยี่ยก็รู้สึกเหมือนจะเหงาหงอยลงไป เป็นเวลานานเท่าไรแล้ว เงาร่างที่งดงามนั้นเคยทำให้เขาละเมอเพ้อพก ตอนนี้หลังจากผ่านเหตุการณ์หลายๆ อย่างแล้ว เงานั้นก็ค่อยๆ จางหายไป หลงเหลือไว้เพียงความผิดหวังจางๆ เพียงเล็กน้อย เพียงแต่ค่อนข้างแปลกอยู่เล็กน้อย ตอนนี้กลับเป็นวัยเยาว์แล้วถึงกับมีฝันเปียกด้วย ที่น่ากลัวก็คือทุกๆ ครั้งที่ฝันเปียก ในฝันจะเป็นหลี่อันหลาน ในทางตรงกันข้าม ซินเย่ว์กลับไม่เคยปรากฏในความฝันของเขาเลย


 


หลังจากตื่นขึ้นมาจากความฝันและเปลี่ยนกางเกงชั้นใน นอนอยู่บนเตียงย้อนคิดถึงเรื่องนี้ หรือว่าร่างกายของฉันเลือกหลี่อันหลานแล้ว เมื่อเกิดความคิดนี้ขึ้นอวิ๋นเยี่ยก็ฝืนข่มกลั้นมันไว้ แต่น่าเสียดายที่เมื่อฝันครั้งถัดไปก็จะร้อนแรงและบ้าคลั่งมากขึ้น สิ่งนี้ทำให้อวิ๋นเยี่ยรู้สึกผิดและรสชาติของการถูกร่างกายทรยศช่างไม่ดีเอาเสียเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนึกถึงตอนจากลา ซินเย่ว์ที่แต่งชุดเจ้าสาวทั้งยังมีปอยผมในถุงผ้าปักที่ติดกายตลอดเวลา ก็เกิดความรู้สึกผิดขึ้น ไม่ได้ ฉันไม่ควรผิดต่อซินเย่ว์ เป็นหญิงสาวที่ดีเพียงไรกัน หลี่อันหลานเป็นผู้รุกรานอย่างแท้จริงที่ครอบครองส่วนที่ลึกที่สุดในหัวสมองของเขา จะสลัดอย่างไรก็ไม่หลุด


 


“ข้าคือผู้รู้แห่งเขาฉางไป๋ซัน ชุดข้านั้นสีแดงสุดองอาจ หอกยาวเทียมฟ้าเตรียมพิฆาต อาวุธเจิดจรัสดับสุริยา ขึ้นเขาเป็นโจรล่าสัตว์ป่า เมื่อลงมาล่าฝูงสัตว์ที่ท่านเลี้ยง พบทหารข้าจะฆ่าให้หมดเกลี้ยง ไม่หลีกเลี่ยงที่จะถือดาบเข้าหา ศึกที่เหลียวตงแม้ต้องสิ้นชีวา ยังดีกว่าสิ้นชีพเพราะขุนนาง” ทันใดนั้นอวิ๋นเยี่ยก็ท่องบทกวี ‘อู๋เซี่ยงเหลียวตงลั่งสื่อเกอ’[1] ขึ้นมาเสียงดังอย่างมีจังหวะจะโคน


 


ทำให้เฉิงฉู่มั่วตกใจยกใหญ่ ปีนขึ้นมามองอวิ๋นเยี่ยด้วยความประหลาดใจ “เฮ้ย พี่ชาย แม้เจ้าจะเปลี่ยนใจหาหญิงอื่นก็ไม่ต้องอ่านบทกวีที่น่ากลัวอย่าง ‘อู๋เซี่ยงเหลียวตงลั่งสื่อเกอ’ กระมัง เจ้ารู้หรือไม่ว่าบทกวีนี้ทำให้คนตายมาแล้วกี่คน”


 


“ข้าแค่ต้องการแสดงการตัดสินใจที่จะต่อต้านออกมา ไม่ได้กบฏเสียหน่อย เจ้าตื่นตระหนกอะไร” สำหรับเฉิงฉู่มั่วที่ไม่รู้อะไรเลย อวิ๋นเยี่ยนั้นเตรียมใจไว้แล้ว


 


“เจ้าจะต่อต้านใคร อ๋อ! หลี่อันหลาน ทำข้าตกใจหมด นึกว่าเจ้าจะทำอะไรเสียอีก ก็แค่ผู้หญิงตัวเล็กๆ เท่านั้น ถึงขั้นต้องถือหอกถือดาบ ถึงขั้นต้องฆ่าฟันกันเลยหรือ”


 


อวิ๋นเยี่ยนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเฉิงฉู่มั่ว ถามว่า “จอมขี้เหร่ เจ้าไม่รู้ว่าหลี่อันหลานเป็นข้อบกพร่องที่ใหญ่ที่สุดในใจของข้า ทั้งยังเป็นแผลที่ลึกมาก ข้าบอกกับตัวเองว่าคนที่ข้าอยากแต่งงานด้วยคือซินเย่ว์ เพื่อทำให้ความคิดนี้มั่นคงข้าได้หมั้นกับซินเย่ว์แล้ว ก็เพื่อต้องการหยุดความคิดที่ไร้สาระของตัวเอง ใครจะรู้ว่าความรู้สึกอันนี้เป็นเหมือนด้ายป่านรัดกาย ตัดก็ตัดไม่ขาด ทำให้ความคิดสับสนวุ่นวาย เจ้าไม่ใช่ข้า ไม่เข้าใจความรู้สึกที่สับสนปนเปเช่นนี้หรอก”


 


“ยังนึกอยู่ว่าเจ้ากำลังว้าวุ่นอยู่กับอะไร ก็แค่เรื่องผู้หญิงสองคนเองไม่ใช่หรือ เจ้าก็แต่งทั้งสองคนก็สิ้นเรื่อง ต้องกลัดกลุ้มถึงเพียงนี้หรือ” นี่เป็นวิธีแก้ปัญหาตามนิสัยของเฉิงฉู่มั่ว เรียบง่าย เถรตรง แต่จะเห็นผลหรือไม่ก็ยังไม่รู้ อย่างไรก็ตามเขามักจะโชคร้ายเสมอ


 


“พูดความในใจกับเจ้า เจ้าช่วยเสนอความคิดที่ดีให้ข้าหน่อยไม่ได้หรืออย่างไร ซินเย่ว์จะต้องเป็นภรรยาเอก ไม่เช่นนั้น สำนักศึกษาต้องพังไม่เป็นท่าแน่ หลี่อันหลานก็ไม่เหมาะที่จะเป็นภรรยาเอก นิสัยนางแข็งเกินไปแล้วทำอะไรไม่ใช้ความคิด มักต้องการแต่เพียงความสะใจชั่วครู่เท่านั้น ไม่คำนึงถึงผลที่ตามมา พูดตามตรงภรรยาเช่นนี้ ใครแต่งด้วยต้องโชคร้าย ที่ข้าโชคร้ายก็คือข้าไปหลงรักนาง หากแต่งงานกับนาง ครอบครัวคงต้องพินาศแน่ ไม่มีวันสงบสุขแม้แต่วันเดียว หนำซ้ำนิสัยหัวดื้อที่เหมือนลาพุ่งชนกำแพงก็ไม่ยอมหันหลังเช่นนาง ช้าเร็วต้องก่อเรื่องใหญ่ขึ้นอย่างแน่นอน อยู่ในวังท่านยายไม่รัก ท่านลุงไม่โปรด หากไม่เป็นเพราะฮองเฮายังมีความปราดเปรื่องอยู่ แม้แต่กระดูกนางก็หายไปนานแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าแม้นางจะไม่มีฐานะเป็นองค์หญิง แต่ความเป็นจริงนางคือองค์หญิงอย่างแท้จริง ไม่สามารถเป็นภรรยาเอก[2]อีกคนได้ ด้วยนิสัยนางเช่นนั้น เหมาะจะเป็นภรรยาเอกอีกคนหรือ”


 


อวิ๋นเยี่ยค่อนข้างหงุดหงิด เดินไปเดินมาโดยไม่มีความคิดที่ดีเลย ปกติพยายามไม่ไปคิดเรื่องนี้ วันนี้เมื่อพูดถึงแล้ว ก็อยากจะแก้ไขให้จบในคราวเดียว การหลีกหนีก็ไม่ใช่ทางออก


 


“น้องชาย เจ้าจบเห่แล้ว!” นี่เป็นคำพูดสรุปสุดท้ายของเฉิงฉู่มั่วที่พูดออกมา เขาตบไหล่ของอวิ๋นเยี่ย ทุกคำพูดล้วนแล้วแต่ฟังดูเวทนา


 


ถึงเวลาแล้ว เขาจะต้องกลับไปที่ค่ายทหารแล้ว อวิ๋นเยี่ยมองดูเขาหายไปในยามค่ำคืน ตัวเองกลับไปที่พักและเตรียมตัวเข้านอน


 


หลังจากนับจำนวนแกะไปหลายพันตัวแล้ว สติของอวิ๋นเยี่ยก็ค่อยๆ เลือนราง ปากก็พูดพึมพำว่า “หลี่อันหลาน เจ้าอย่าเข้ามาในความฝันของข้าอีกเลย…”


 


 


 


——


 


[1] อู๋เซี่ยงเหลียวตงลั่งสื่อเกอ บทกวีที่แต่งในปลายสมัยราชวงศ์สุย เนื้อหาเกี่ยวกับการปลุกระดมชาวบ้านให้ต่อต้านทางการ


 


[2] ในสมัยสังคมศักดินา ผู้ชายสามารถมีภรรยาได้หลายคน โดยภรรยาเอก เรียกว่า เจิ้งชี และหากมีภรรยาเอกอีกคนจะเรียกว่า ผิงชี

 

 

 


ส่วนที่ 4

 

ตอนที่ 17

 

การกระทำที่โง่เขลา

 


เมื่ออวิ๋นเยี่ยตื่นขึ้นมาในตอนเช้า เขาก็จำเป็นต้องเปลี่ยนชุดชั้นในของเขาอีกครั้ง แต่ตอนนี้เขาไม่มีกะจิตกะใจมาวิเคราะห์ว่า คนที่เมื่อคนกอดกันพัลวันกับเขาแท้จริงแล้วเป็นใคร อย่างไรเสียเขาก็เห็นใบหน้าไม่ชัด ซึ่งสิ่งนี้ล่ะที่แปลก เพราะอะไรเวลาฝัน จึงเห็นใบหน้าของคนอื่นไม่ชัดเจน แต่รู้ว่าคนคนนั้นคือใคร


 


ไฉเซ่ากำลังจะเริ่มลงมือแล้ว เขารอมาหนึ่งเดือนเต็มๆ ไม่ได้รับรายงานทางการทหารของหลี่จิ้ง แต่กลับได้ข่าวว่าซูติ้งฟางเข้าประจำการที่เขาเอ้อหยางหลิ่ง เรื่องการลอบโจมตีของหลี่จิ้งนั้นเป็นของตาย เขาเป็นผู้บัญชาการใหญ่ของเขตหลงซี มีอำนาจสิทธิ์ขาด สามารถโจมตีศัตรูได้ทุกที่ทุกเวลา ขอเพียงเขาเต็มใจ ซึ่งจุดนี้เองที่ไฉเซ่าไม่สามารถทนรับได้ เขาขอคำสั่งเปิดศึกจากหลี่จิ้งหลายต่อหลายครั้ง โดยหวังว่าเขาจะเคลื่อนพลจากซั่วฟางโจมตีเมืองเซียงเฉิงได้ แต่คำตอบที่หลี่จิ้งให้แก่เขาก็คือรักษาเมืองซั่วฟางมาโดยตลอด


 


ซั่วฟางเป็นดาบแหลมเล่มหนึ่งที่ต้าถังปักไว้ในใจกลางสำคัญของทูเจวี๋ยตะวันออก ห้ามเกิดข้อผิดพลาดอย่างเด็ดขาด อวิ๋นเยี่ยเองก็เข้าใจความคิดของหลี่จิ้งที่ว่า ขณะที่หลี่จิ้งกำลังนำกองกำลังบุกออกไป ให้รักษาแนวหน้าที่มั่นคงไว้เพื่อความปลอดภัยของทั้งสองฝั่ง


 


เป็นเรื่องน่าเสียดายที่ไฉเซ่าไม่คิดเช่นนี้ เขามักคิดว่าหลี่จิ้งต้องการให้กองทัพห้าหมื่นนายของเขานั่งกินนอนกินรอความตาย ไม่เช่นนั้นทำไมหลี่จิ้งจึงยกทัพเข้าอวิ๋นจง เห็นชัดว่าเขาวางแผนที่จะตัดทางถอยของข่านเจี๋ยลี่ แม้แต่หลี่เต้าจงและหวังเซี่ยวเจี๋ยก็เคลื่อนทัพตาม มีเพียงซั่วฟางเท่านั้นที่ถูกขอให้ตั้งทัพอย่าเคลื่อนพล


 


ในเวลาเพียงชั่วพริบตา เดือนสิบเอ็ดก็มาถึงแล้ว บรรยากาศในเมืองซั่วฟางเริ่มตึงเครียดมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเริ่มมีการให้อาหารข้นแก่ให้ม้าศึก ทหารเริ่มถูกออกคำสั่งไม่ให้ออกจากค่ายทหารโดยพลการ ทหารผ่านศึกเริ่มลับคมดาบและเตรียมชุดเกราะ โดยใช้วิธีนี้เพื่อขจัดความตึงเครียดในใจของพวกเขา


 


ความเร็วของม้าศึกที่พยายามผลักดันให้วิ่งต่อวันเกือบจะเหมือนกับกองทัพกลางของเยอรมันในยุคปัจจุบัน ซึ่งก็คือหนึ่งร้อยหกสิบลี้ แน่นอนว่านี่คือความเร็วในการเคลื่อนที่ของอาชาเหล็กของชาวมองโกเลีย ความเร็วของการเคลื่อนทัพของทหารซั่วฟางในวันที่หิมะตกหนักนั้นได้แปดสิบลี้ต่อวันก็ต้องขอบคุณสวรรค์แล้ว สถานที่ทั้งสองอยู่ห่างกันหกร้อยลี้ ต้องใช้เวลาสิบวันในการเดินทางบนบก ซึ่งต่างจากซูติ้งฟางที่อยู่ในเอ้อร์เสียนหลิ่ง ที่เพียงแค่เดินทางสี่วันก็สามารถไปถึงเมืองเซียงเฉิงได้แล้ว ถ้าหากมีเพียงไม่กี่คนที่ออกศึก เพียงสามวันก็สามารถไปถึงแล้ว เขาได้เปรียบเรื่องตำแหน่งที่ดี


 


ไฉเซ่าตัดสินใจเตรียมจะบุกเมืองเซียงเฉิง วันที่สี่ เดือนสิบเอ็ด ท้องฟ้าปลอดโปร่ง อุณหภูมิอย่างน้อยก็ต่ำกว่าติดลบสิบห้าองศาเซลเซียส ไม่มีลม ทหารม้าชั้นเลิศสามพันนายได้เตรียมไว้พร้อมแล้ว ไฉเซ่าให้หนิวจิ้นต๋าอยู่ป้องกันเมืองเซียงเฉิง ส่วนตนเองนำกำลังด้วยตัวเองไปจับข่านเจี๋ยลี่กลับมาทั้งเป็น


 


อวิ๋นเยี่ยไม่ได้สนใจว่าข่านเจี๋ยลี่จะตายหรือไม่ แล้วก็ไม่ได้สนใจว่าไฉเซ่าจะตายหรือไม่ สิ่งที่ทำให้เขากังวลก็คือเขาพาเฉิงฉู่มั่วออกไปด้วย อวิ๋นเยี่ยแบ่งถุงเท้าและถุงมือผ้าฝ้ายออกมาให้เฉิงฉู่มั่ว ทั้งยังเอากาเหล้าเล็กและยาไป๋เย่าใส่อกเสื้อให้แก่เขาด้วย พูดตักเตือนและย้ำเตือนเป็นหนักหนาว่าตระกูลเฉิงไม่ได้ต้องการให้เขาเอาชีวิตมาล้อเล่น ขอเพียงกลับมาได้อย่างปลอดภัย ครั้นเห็นใบหน้ารำคาญใจของเฉิงฉู่มั่ว เขาจึงจับเฉิงตงทหารคนสนิทมาข่มขู่ ถึงต้องแลกด้วยชีวิตของเขาก็รับปากว่าจะพาเฉิงฉู่มั่วกลับมาอย่างปลอดภัย แม้ว่าต้องรบจนตัวตายก็ตามที ตระกูลอวิ๋นและตระกูลเฉิงเป็นหนี้น้ำใจเขา ภายหน้าลูกของเขาจะต้องได้ก้าวหน้าในหน้าที่การงานอย่างแน่นอน ครอบครัวจะรุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆ ตราบใดที่ตระกูลเฉิงและตระกูลอวิ๋นยังคงอยู่ ก็จะต้องทดแทนหนี้น้ำใจนี้ตลอดไป


 


เฉิงตงขอบตาแดงเสียแล้ว เขาเจ็บใจที่ไม่สามารถรบจนตัวตายได้ทันทีเพื่อคำมั่นสัญญาจากอวิ๋นเยี่ยที่เป็นตัวแทนของสองตระกูล ชีวิตน้อยๆ ของเขามันไร้ค่ามานานแล้ว เขาจึงตบหน้าอกสาบานว่าจะต้องปกป้องคุณชายน้อยให้กลับมาอย่างปลอดภัย ขอให้อวิ๋นเยี่ยวางใจได้


 


ไม่มีพิธีสาบานอันงดงามยิ่งใหญ่อะไร มีเพียงคำพูดหนึ่งประโยคของไฉเซ่า ทหารม้าสามพันนายก็เดินทางออกจากประตูเมืองไปพร้อมกับลากเลื่อนหนึ่งร้อยคันที่บรรทุกเสบียงกองทัพสำหรับสิบวัน อวิ๋นเยี่ยยืนมองพวกเขาจากไป จิตใจก็ค่อยจมดิ่งลง ไม่รู้ว่าพี่น้องกวนจงสามพันคนจะมีสักกี่คนกันที่จะกลับมาอย่างปลอดภัย


 


ขณะยืนอยู่หัวเมืองมองดูร่างของพวกเขาหายไปจากระยะสายตา จู่ๆ อวิ๋นเยี่ยก็อยากจะร้องไห้ นี่คือสงครามตงทูเจวี๋ยที่มีชื่อเสียงโด่งดังในประวัติศาสตร์ หนังสือประวัติศาสตร์บันทึกเพียงหลี่จิ้งบุกตีเมืองเซียงเฉิงแตกในค่ำคืนหิมะโปรย ไม่มีบันทึกว่าสุดท้ายแล้วในสงครามครั้งนี้ที่ทำให้ชาวฮั่นตื้นตันเป็นพันๆ ปีสูญเสียทหารไปจำนวนเท่าไร ความรุ่งโรจน์นั้นถูกย้อมด้วยเลือด และเป็นเช่นนี้มาโดยตลอด


 


กองกำลังที่สองของเซวียว่านเช่อจะเริ่มออกเดินทางหลังจากนี้อีกสามวันเพื่อเป็นกำลังเสริม อวิ๋นเยี่ยปฏิเสธคำแนะนำของซุนซือเหมี่ยวที่จะไปแนวหน้า เขาตั้งใจจะไปดูด้วยตัวเอง เมื่อเหล่าซุนเห็นว่าโน้มน้าวเขาไม่ได้จึงได้ไปหาเหล่าหนิว คิดไม่ถึงว่าเหล่าหนิวกลับสนับสนุนให้อวิ๋นเยี่ยไปแนวหน้า


 


“เขาคืออู่โหว[1] การเข้าสู่สนามรบเป็นเรื่องของเวลาช้าเร็วเท่านั้น เห็นสนามรบเร็วขึ้นหนึ่งวันก็ได้รับประโยชน์เร็วขึ้นหนึ่งวัน เหล่าซุน พวกเราไม่สามารถปกป้องเขาได้ตลอดชีวิต ในภายหน้าลูกหลานอีกหลายตระกูลจะต้องพึ่งพาเขารักษาเอาไว้ ในวันหน้าเขาจะต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่มีความซับซ้อนมากกว่าตอนนี้มากนัก เขาเป็นเด็กฉลาดและรู้จักหนักเบา”


 


เหล่าซุนไม่พูดอะไรอีก เพียงแต่ถอนหายใจยาวๆ และกลับไปที่ห้องเพื่อศึกษาค้นคว้าการผสมสมุนไพรต่อไป ตอนนี้เขายุ่งวุ่นวายมากจนเกือบลืมเรื่องนี้ไปแล้ว


 


การทำศึกสงครามในสมัยโบราณนั้น ในมุมมองของอวิ๋นเยี่ยดูเหมือนจะเป็นการรอคอยที่ยากลำบากมาก สามวันแล้วไฉเซ่าไม่มีข่าวคราวอะไรเลย จดหมายต่อว่าของหลี่จิ้งถูกส่งมาถึงแล้ว และออกคำสั่งอย่างเด็ดขาดว่าหนิวจิ้นต๋าต้องปกป้องเมืองซั่วฟางอย่างเข้มงวด หากเคลื่อนทัพออกจู่โจม ห้ามเคลื่อนย้ายทหารหลวงแม้เพียงคนเดียว กล่าวคือเซวียว่านเช่อไม่สามารถไปได้แล้ว และไฉเซ่าถูกปล่อยทิ้งอย่างสิ้นเชิง


 


หลี่จิ้งบางทีอาจจะเป็นผู้บัญชาการไร้พ่ายที่ไม่มีวันรบแพ้ท่านหนึ่ง แต่มันคือจุดอ่อนในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล คำสั่งข้อนี้ในด้านการทหารถือว่าเป็นคำสั่งที่ชาญฉลาด แต่ถ้าในด้านการเมืองถือเป็นคำสั่งที่โง่เขลาเป็นอย่างมาก ถ้าหากทหารสามพันนายของไฉเซ่าพ่ายแพ้ในเมืองเซียงเฉิง แม้เขาจะสามารถฆ่าชาวทูเจวี๋ยได้หมดสิ้น ก็ไม่สามารถชดเชยความผิดเรื่องการสูญเสียไฉเซ่าได้ สิ่งที่รอคอยเขาอยู่จะเป็นการลงโทษที่ร้ายแรงยิ่งกว่าความพ่ายแพ้ในสงคราม ซึ่งสิ่งนี้ดีต่อประเทศแต่เลวร้ายต่อตนเอง


 


ชีวิตของเขาเป็นชีวิตที่รุ่งโรจน์ แต่ก็เป็นชีวิตที่ยากลำบาก บั้นปลายชีวิตเก็บตัวอยู่ในจวนไม่ก้าวขาออกจากจวนเป็นเวลาสิบปี รอยกายเต็มไปด้วยการทรยศและแผนการชั่วร้าย อวิ๋นเยี่ยไม่อยากสนิทกับเขามากเกินไปเพราะมันจะเดือดร้อนมาถึงตน ผู้ที่เป็นชายชาติทหารอย่างแท้จริง ชะตากรรมมักถูกกำหนดให้ต้องผันผวน ไม่สามารถทำได้อย่างที่ตนมุ่งมั่น


 


เหล่าหนิวถอนหายใจแล้วถอนหายใจอีก เซวียว่านเช่อโกรธจนเลือดขึ้นหน้า แต่ทว่ากระดาษคำสั่งเพียงแผ่นเดียวทำให้พวกเขายากจะขยับตัว สามารถพูดได้ว่าการกระทำของไฉเซ่าคือประหารก่อนค่อยกราบทูล ที่เด่นที่สุดคือการลงโทษข้อที่ว่าการส่งกองทหารโดยพลการ อาศัยศีรษะของไฉเซ่ามารับความผิดข้อนี้ไว้ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่ถ้าหากตอนนี้เหล่าหนิวและเซวียว่านเช่อส่งกองทหารออกไป หากหลี่จิ้งประหารพวกเขาก็ถือว่าพวกเขาตายเปล่า ขัดคำสั่งกองทัพ นี่เป็นข้อห้ามอย่างเด็ดขาดในกองทัพ


 


ในวันที่หก หกวันผ่านไปนับตั้งแต่ที่ไฉเซ่าเคลื่อนกำลัง อวิ๋นเยี่ยตั้งใจที่จะลงมือแล้ว แม้ว่าจะดูไม่ฉลาด แต่เขาก็ยังต้องทำเช่นนี้ ทหารหลวงห้ามเคลื่นอย้าย เช่นนั้นทหารเสริมในมือเขาก็เคลื่อนพลได้ นอกจากนี้เขาเป็นขุนนางทางการแพทย์ที่มาเพื่อป้องกันและรักษาโรคระบาด ไม่ได้อยู่ในรายชื่อการทำสงคราม ซึ่งก็หมายความว่าหลี่จิ้งควบคุมเขาไม่ได้


 


คนรับใช้ชราพยุงสวี่จิ้งจงออกมา เขามองอวิ๋นเยี่ยเหมือนมองคนโง่คนหนึ่ง ในฐานะหนึ่งในสิบแปดบัณฑิต ของจวนฉินอ๋อง มีหรือที่เขาจะดูสถานการณ์ไม่ออก


 


“อวิ๋นโหวต้องการไปที่ใดกัน”


 


“ไม่มีอะไร ไปดูเมืองเซียงเฉิงเสียหน่อย”


 


“จุดแข็งของอวิ๋นโหวไม่ได้อยู่ในการทำศึก แต่อยู่ที่การเป็นเบื้องหลัง เหตุใดจึงละทิ้งเรื่องที่ถนัดไปทำเรื่องที่ไม่ถนัดด้วย”


 


“พี่น้องข้าอยู่ที่เมืองเซียงเฉิง เบื้องหน้าต้องบุกเมืองและไม่มีกำลังเสริม ข้าตั้งใจจะเป็นกำลังเสริมให้เขา และถือโอกาสนำเสบียงอาหารไปให้พวกเขา”


 


“แม่ทัพหนิวคงไม่เห็นด้วยที่จะให้เจ้าทำเช่นนี้ นอกจากนี้หากเหตุจะเกิดมันก็ย่อมต้องเกิด เจ้าไปเข้าไปขวางอยู่เบื้องหน้าก็เสมือนตั๊กแตนขวางล้อรถ” สวี่จิ้งจงบางทีอาจจะไม่คุ้นเคยกับการเป็นคนดี แม้แต่คำเกลี้ยกล่อมคนอื่นก็ยังพิจารณาถึงผลได้ผลเสีย


 


“ไม่เป็นไร ข้าแค่หวังว่าร่างกายของข้าจะแข็งพอ ทำให้ล้อรถช้าลงบ้างก็ยังดี”


 


“มันดูค่อนข้างโง่ที่จะทำเช่นนี้ แต่มันน่าประทับใจมาก” คำพูดของเขาเต็มไปด้วยการเยาะเย้ย


 


“เจ้าไม่เข้าใจ บางครั้งคนเราก็ไม่สามารถใช้ผลได้ผลเสียมาประเมิน ข้ากล้าเดิมพัน ชั่วชีวิตนี้ของเจ้าจะมีแต่ความอึดอัดใจ ไม่มีวันมีความสุข”


 


เหล่าจวงจูงม้าศึกมาและพยุงอวิ๋นเยี่ยขึ้นมา แล้วจึงช่วยเขาผูกเสื้อคลุม ทหารคนอื่นๆ ก็พลิกตัวขึ้นหลังม้าเตรียมออกเดินทาง


 


สวี่จิ้งจงดึงเหล็กปากม้าของอวิ๋นเยี่ยไว้แล้วถามอย่างจริงจัง “อวิ๋นโหว เจ้าจะไม่พิจารณาใหม่อีกครั้งจริงๆ หรือ หากใต้หล้านี้ขาดเจ้าไป ข้าคงหมดสนุกไปอีกมาก”


 


“เราเป็นคนสองคนที่แตกต่างกัน เจ้าก็ค่อยๆ เน่าเปื่อยอยู่ท่ามกลางแผนการอันชั่วร้ายของเจ้าเถอะ” หลังจากพูดจบก็ผลักสวี่จิ้งจงออกและขี่ม้าจากไป


 


ชายสองร้อยสี่สิบเจ็ดคนที่หน้าประตูเมืองขนลากเลื่อนสองร้อยตัวเตรียมพร้อมออกเดินทาง พวกเขาได้เปลี่ยนชุดเกราะใหม่แล้ว และอาวุธในมือก็เปลี่ยนเป็นอาวุธมาตรฐานในกองทัพ ธนูแข็ง หน้าไม้หนัก ไม่มีขาดสักสิ่ง อวิ๋นเยี่ยยังเห็นว่ากงซุนเจี่ยแอบปะปะอยู่ในฝูงชน ข้างหลังยังมีรถม้าอยู่ที่คลุมด้วยผ้าใบกันน้ำ ไม่รู้ว่าคืออะไร


 


“ท่านกงซู การไปครั้งนี้ของข้าอันตรายยิ่งนัก เหตุใดตระกูลกงซูถึงยังต้องการจะมาพัวพันด้วย”


 


“เพราะการกระทำที่โง่เขลาครั้งนี้ของเจ้า ทำให้ตระกูลกงซูเราเห็นความหวังของการฟื้นฟูตระกูล ดังนั้นจึงจำเป็นต้องไปเสี่ยงกับเจ้าด้วย”


 


“ทำไม ก็รู้ดีว่าวิธีการของข้านั้นไม่ฉลาดเลย ในเวลานี้ควรต้องหลีกห่างให้ไกลถึงจะถูก การจะมาแสวงหาความชอบในเวลานี้มันไม่ใช่พฤติกรรมของคนฉลาดเลย” ถูกคนอื่นด่าว่าโง่เขลาอีกแล้ว อวิ๋นเยี่ยจึงไม่ค่อยพอใจ


 


“ได้เห็นคนฉลาดมามากแล้ว ตระกูลกงซูข้าเสียเปรียบให้คนฉลาดมามากมายนัก ดังนั้นครั้งจึงเลือกคนที่ดูค่อนข้างโง่หน่อย เพื่อดูว่าจะมีโชคดีหรือไม่”


 


“อย่าเสียใจภายหลังก็แล้วกัน พวกเรามีแค่สามร้อยคนที่กำลังก้าวเข้าสู่ทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ของพวกเคราดก เจ้าสวดภาวนาให้ตัวเองก็แล้วกัน จริงสิ ถ้าเจ้ารบจนตัวตาย สวัสดิการที่สำนักศึกษาที่เราคุยกันไว้ก็จะไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเจ้าอีก” ด้วยความที่อวิ๋นเยี่ยดีใจ จึงได้โพล่งคำพูดเหล่านี้ออกมา


 


“ดูแลตัวเองให้ดีเถอะ ตระกูลกงซูของข้าสืบทอดกันมานานนับพันปีแล้ว และไม่ได้ดีแต่ชื่อเท่านั้น เรื่องการรักษาชีวิตรอดก็พอมีอยู่บ้าง ทางที่ดีเจ้าจงมีชีวิตรอดกลับมา มิฉะนั้นตระกูลเจ้าคงสูญเสียเยอะเป็นแน่” เขาตบลากเลื่อนด้วยความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม ก็ไม่รู้ว่าเอาความมั่นใจมาจากไหน แต่ในเมื่อเป็นตระกูลกงซู เช่นนั้นสิ่งที่อยู่ภายใต้ผ้าใบกันน้ำนั้นก็คงจะไม่ธรรมดา


 


ประตูเมืองเปิดออก เหล่าจวงขี่ม้าออกจากเมืองเป็นคนแรก ด้านหลังติดตามมาด้วยองครักษ์ของตระกูลอวิ๋นเยี่ยอย่างใกล้ชิด ทหารม้านับร้อยก็เริ่มเคลื่นพลพร้อมกัน ซึ่งดูละม้ายคล้ายกับกองทัพใหญ่กำลังเคลื่อนพล


 


เหล่าหนิวยืนอยู่บนหอคอยกำแพงเมือง มือที่ถือลูกธนูอยู่สั่นเทาเล็กน้อย พยายามไม่พูดอะไรสักคำ คำพูดที่ควรพูดเมื่อคืนนี้ก็พูดจนหมดสิ้นแล้วแต่ก็ไร้ประโยชน์ เวลาเจ้าหนุ่มใช้อารมณ์ขึ้นมา ไม่ว่าอะไรก็ฟังไม่เข้าหูเลย ช่างเถอะ ปล่อยให้เขาทำตามอำเภอใจสักครั้ง มีชนรุ่นหลังเช่นนี้ เหล่าหนิวรู้สึกว่า แม้ว่าครอบครัวของเขาจะติดตามเด็กคนนี้แล้วต้องกินรากหญ้า ก็คงไม่มีคำคร่ำครวญใดๆ แล้วกระมัง ประเดี๋ยวเขาก็ภูมิใจในตัวอวิ๋นเยี่ย ประเดี๋ยวก็เป็นห่วงอวิ๋นเยี่ย


 


อวิ๋นเยี่ยไม่สามารถรับรู้ได้ เขารู้สึกตื่นเต้นกับการเป็นแม่ทัพใหญ่นำกองกำลังออกรบ เสื้อคลุมถูกลมแรงพัดจนเกิดเสียงปะทะกับสายลม เขาอยากจะตะโกนกู่ก้องแต่ก็อยากร้องไห้ ไม่ว่าคนเราจะอยู่ที่ใดก็มักจะพบกับสิ่งที่ทำให้รู้สึกยอดเยี่ยมได้ถึงเพียงนี้


 


 


 


——


 


[1] อู่โหว หมายถึง โหวเหยียของฝ่ายบู๊

 

 

 


ส่วนที่ 4

 

ตอนที่ 18

 

คนโง่ก็มีวาสนาของคนโง่

 


ในที่สุดรถลากเลื่อนกว่าสามร้อยตัวก็ได้เข้าสู่ทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่แล้ว เมื่อเปรียบเทียบกับทุ่งหญ้าไกลสุดลูกหูลูกตาไม่มีที่สิ้นสุด กองทหารเป็นเหมือนทรายเล็กๆ และโดดเดี่ยว ลมหนาวพัดผ่าน ธงกองทัพของอวิ๋นเยี่ย พลิ้วไปมาในสายลม เศษหิมะที่ถูกลมพัดใส่หน้าทำให้รู้สึกเจ็บ อวิ๋นเยี่ยจึงต้องคลุมผ้าเช็ดหน้าบนใบหน้า ดวงตาที่หรี่เหลือเพียงครึ่งหนึ่งมองไปยังถนนด้านหน้า การเดินบนหิมะเป็นเวลานานต้องมีที่ปิดตา มิฉะนั้นไม่นานนักดวงตาจะถูกแสงของหิมะที่อยู่บนพื้นสะท้อนจนตาแดงบวมและอักเสบ ซึ่งก็คืออาการที่คนในยุคปัจจุบันเรียกกันว่าตาบอดหิมะ โชคดีที่เมื่อตอนออกเดินทางเขาคิดถึงปัญหาข้อนี้ จึงได้หาผ้าบางสีดำจำนวนหนึ่งมาปิดไว้กันการสะท้อนของหิมะ แม้ว่าจะกระทบต่อการมองเห็นบ้าง แต่มันกลับเป็นประโยชน์มากในการป้องกันอาการตาบอดหิมะ …เพียงแต่ภาพลักษณ์อาจจะดูแย่สักหน่อย ทั้งกองกำลังรีบเร่งเดินบนหิมะอย่างเงียบๆ แต่ละคนคลุมผ้าโปร่งสีดำซึ่งเหมือนกองโจรกองหนึ่ง


 


ทหารที่นั่งอยู่บนรถลากเลื่อนด้านหน้าสุดก็คือทหารตัวน้อยคนนั้นที่เคยขอรองเท้าอวิ๋นเยี่ย เขาเปิดผ้าคลุมหน้าออกไม่ยอมหยุดเพื่อมองหิมะแต่ไกลๆ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น เมื่อโดนทหารผ่านศึกตบศีรษะเข้าให้ครั้งหนึ่งจึงยอมหยุดลง


 


“อาห้า ทำไมพวกเราถึงต้องใช้ผ้าดำคลุมหน้าด้วย พวกเราไม่ใช่พวกหนวดดกและก็ไม่ใช่กองโจร ทำไมถึงต้องคลุมหน้า” ทหารตัวน้อยยังคงค่อนข้างลุกลี้ลุกลน


 


“ไอ้หมาน้อย เอาผ้าคลุมหน้าไว้ให้ดีๆ พวกเราไม่ควรลืมตานานบนพื้นหิมะนี้ ไม่เช่นนั้นจะตาบอดได้ โหวเหยียนั้นหวังดีจึงได้เตรียมผ้าให้คนละชิ้น เมื่อก่อนเวลาออกรบพวกเราเจอกับสภาพหิมะตกหนัก ก็ได้แต่เอาผิวหนังที่ขาดวิ่นมาปิดตาไว้ ก็ไม่เชื่อเรื่องปีศาจอะไร ด้วยเหตุนี้ดวงตาจึงบวมเหมือนลูกท้อ มองไม่เห็นอะไรเลยจนผ่านไปเจ็ดถึงแปดวันจึงได้มองเห็นอีกครั้ง หากเจ้าไม่อยากให้ดวงตาเป็นอะไรไปก็จงนั่งให้เรียบร้อยและตั้งใจเงี่ยหูฟัง” อาห้าจับไอ้หมาน้อยดันเข้าไปข้างในรถลากเลื่อน หยิบหนังแกะเก่าๆ ออกจากย่ามสองกระเป๋ามาห่อไว้บนตัวเขา


 


ด้านหน้ามีรถลากเลื่อนเปิดทางให้ ด้านหลังมีรถลากเลื่อนตามมาอย่างใกล้ชิด หิมะที่ถูกไม้ของรถลากเลื่อนกดทับเป็นแผ่นน้ำแข็ง ทำให้รถลากเลื่อนด้านหลังไหลเลื่อนได้ง่ายขึ้นมาก ร่องรอยสองเส้นที่คดโค้งเริ่มจากเมืองซั่วฟางค่อยๆ ทอดยาวออกไปสู่แดนไกล


 


ระยะทางหนึ่งร้อยลี้นอกเมืองล้วนอยู่ภายใต้การควบคุมของกองทัพถัง ตอนนี้นับว่ายังปลอดภัยอยู่ หมาน้อยยังได้เก็บไก่ที่หนาวจนแข็งตายมาสองตัว ถอนขนหางที่ยาวที่สุดมาเสียบไว้ที่ศีรษะแล้วตะโกนกู่ร้อง


 


อวิ๋นเยี่ยก็ลงมาจากหลังม้าและนั่งลงบนรถลากเลื่อน ลากเลื่อนของตระกูลกงซูนั้นสร้างได้ละเอียดอ่อนมากและใหญ่ขึ้นมาก เมื่อนั่งลงไปก็แทบจะไม่รู้สึกถึงแรงกระแทก อวิ๋นเยี่ยจึงนอนแผ่ยื่นสองมือสองเท้าบนรถลากเลื่อน มองก้อนเมฆสีขาวบนท้องฟ้า รถลากเลื่อนไหลไปอวิ๋นเยี่ยก็ไหลตามไปด้วย ก้อนเมฆสีขาวราวหิมะดูเหมือนจะจดจำแต่อวิ๋นเยี่ย ลอยเอื่อยๆ อยู่เหนือศีรษะของอวิ๋นเยี่ย ไม่ว่าอวิ๋นเยี่ยจะเคลื่อนไหวอย่างไรมันก็ยังคงอยู่บนศีรษะไม่จากไปไหน


 


“อวิ๋นโหว ในสำนักศึกษามีเด็กจำนวนมากเต็มใจที่จะเรียนรู้งานฝีมือของพวกเราจริงๆ น่ะหรือ” เขาพูดต่ออย่างค่อนข้างเกรงใจว่า “ข้าไม่ใช่ไม่เชื่อเจ้า เพียงแต่ไม่กล้าคิดจินตนาการ พวกเขากำลังเรียนคำสอนของขงจื้ออยู่ไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงจะสนใจของเหล่านี้”


 


“เหล่าเจี่ย ไม่ถือใช่ไหมหากข้าจะเรียกเจ้าเช่นนี้” อวิ๋นเยี่ยเอ่ยปากถามกงซูเจี่ย


 


“ชื่อนี้เป็นเพียงคำแทนตัว เจ้าอยากเรียกว่าอะไรก็ตามใจ แต่ภายหน้านักเรียนเหล่านั้นจะเรียกแบบขอไปทีเช่นนี้ไม่ได้”


 


“ได้ เหล่าเจี่ย ข้าแปลกใจมาโดยตลอด วิชาสุดยอดแต่ละชนิดของตระกูลกงซูของเจ้าเกือบจะเรียกได้ว่ามีพลังในการเปลี่ยนแปลงโลก ทำไมถึงได้รับปากกับข้าที่จะสอนสิ่งเหล่านี้กับคนอื่นๆ ง่ายๆ เดิมข้าคิดว่าการที่จะโน้มน้าวพวกเจ้าได้ คงเป็นเรื่องที่ยากมาก ใครจะรู้ พวกเจ้าดูเหมือนจะกระตือรือร้นจนรอไม่ไหวแล้ว เพราะเหตุใดกัน” อวิ๋นเยี่ยถามข้อสงสัยที่อยู่ในใจ


 


“ตระกูลกงซูแต่ไหนแต่ไรไม่เคยมีความคิดที่ไร้สาระเกี่ยวกับการเก็บความรู้ไว้กับตัว มีนักเรียนที่ฉลาดหลักแหลม พวกเราดีใจยังแทบจะไม่ทันไหนเลยจะขับไล่คนอื่นไป เพียงแต่ซั่วฟางสถานที่แห่งนี้ไม่ใช่สถานที่ที่ดีในการขยายการศึกษา ชาวฮั่นน้อย ชาวเผ่าหูพวกเราก็ไม่ต้องการสอน เห็นคนมีความสามารถลดน้อยลง เจ้าว่าพวกเราควรกระตือรือร้นหรือไม่”


 


บางทีการอาศัยในทุ่งหญ้าจิตใจของคนก็เปิดกว้างขึ้นไปด้วย กงซูเจี่ยเด็ดหญ้าสีขาวที่โผล่ออกมาจากหิมะมาคาบไว้ที่ปาก หันไปยิ้มให้อวิ๋นเยี่ย


 


อวิ๋นเยี่ยพลิกตัวพลางพูดอย่างเกียจคร้าน “จะสนใจว่าใครวางแผนอะไรใคร ข้ารู้แค่ว่าความรู้ที่ตระกูลกงซูมีนั้นยอดเยี่ยมเป็นอย่างมาก การดำชีวิตของพวกเราในวันหน้าจะเปลี่ยนแปลงเพราะพวกเจ้า ต้าถังได้รับประโยชน์ก็พอแล้ว ประชาชนใต้หล้าได้รับประโยชน์ก็พอแล้ว ใครจะสนใจว่าพวกเจ้ามาที่สำนักศึกษาได้อย่างไร เหล่าเจี่ย เจ้าเตรียมตัวให้พร้อม สำนักศึกษาที่พวกเจ้ากำลังเผชิญหน้านั้นมีความสำคัญมากกว่าที่เจ้าคิดมากนัก”


 


“คำพูดเหล่านี้ฟังดูซาบซึ้งใจมาก แต่ทำไมเจ้าไม่พูดอย่างหนักแน่นเข้มแข็งกว่านี้หน่อย มันจะได้เป็นแรงกระตุ้นข้าได้มากกว่าการที่เจ้าจะพูดด้วยน้ำเสียงเบื่อโลกเช่นนี้มากมายนัก”


 


“เลิกเถียงกันดีกว่า ตระกูลของเจ้าถือเป็นหมาจิ้งจอกฝูงใหญ่ การพูดจาชักนำที่ไม่ผ่านมาตรฐานเช่นนี้ ข้าไม่สนใจทำหรอก ประหยัดน้ำลายอีกนิดจะไม่ดีกว่าหรือ การออกจากเมืองครั้งนี้ เป็นตายยังไม่อาจคาดเดาได้ ข้าโง่เขลา เหตุใดพวกเจ้าจึงไม่ยอมฉลาดขึ้นมาบ้าง”


 


“เจ้ารู้ไหมว่าท่านพ่อข้าเมื่อได้ยินว่าเจ้าต้องการนำทหารเสริมออกจากเมืองเพื่อไปสมทบกับกองกำลังที่จะลอบโจมตีเมืองเซียงเฉิง เขาดีใจมากจนดื่มเหล้าจุ้ยหยางชุนของตระกูลมั่วติดต่อกันสามกา เมาจนแทบสลบไป ข้าโตมาจนป่านนี้ยังไม่เคยเห็นพ่อข้าดีใจขนาดนี้มาก่อนเลย ท่านบอกว่า ช่างดีจริง ในที่สุดก็ได้พบคนโง่เข้าแล้ว ทั้งยังบอกว่าคนโง่เช่นเจ้าเป็นพวกหายากในรอบหลายร้อยปี โง่จนไม่ต้องการชีวิต เป็นครั้งแรกที่ตระกูลข้าได้พบเจอ พ่อบอกว่าการเลือกครั้งนี้นั้นถูกต้อง มันคุ้มค่าที่ตระกูลกงซูจะเทหมดหน้าตัก ยังบอกอีกว่าเจ้าเป็นคนไม่ทิ้งเพื่อน แม้แต่กับทหารตัวเล็กๆ ก็ไม่ละทิ้ง ต่อไปจะใช้ตระกูลกงซูเป็นหมากได้อย่างไร ดังนั้นคราวนี้ข้ามาก็เพื่อพาเจ้ากลับมาทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ หากเจ้ากลับไปไม่ได้ จากความหมายของท่านพ่อ ข้าก็ไม่ต้องกลับไปแล้ว” กงซูเจี่ยค้อนอวิ๋นเยี่ย จากนั้นก็เงยหน้ามองท้องฟ้า วางท่าทางของผู้สูงส่ง


 


อวิ๋นเยี่ยอ้าปากค้าง ได้ยินแต่ว่าชอบคนฉลาด ไม่เคยได้ยินคนที่ชอบติดตามคนโง่ หากเป็นเช่นนี้ การเสี่ยงภัยครั้งนี้มันช่างคุ้มค่าเสียจริง ในฐานะที่เป็นชาวมณฑลส่านซีในยุคปัจจุบัน ไม่มีเหตุผลที่จะไม่รับรู้ถึงศึกสำคัญที่สุดของต้าถัง ข่านเจี๋ยลี่ในตอนนี้ตัวเขากำลังดิ้นรนอยู่ระหว่างการต่อสู้ที่เละเทะย่ำแย่ มีหรือจะมีกะจิตกะใจมาสนใจกองทหารที่อยู่ห่างออกไปหลายร้อยลี้ ตอนนี้เกรงว่าเขากำลังปวดศีรษะอยู่กับเรื่องน้องชายที่หักหลังเขา ทหารสองร้อยคนของซูติ้งฟางก็สามารถทำให้โลกของเขาเละเทะไม่เป็นท่าได้ อาชาเหล็กสามพันคนของไฉเซ่าไม่น่าที่จะสู้ข่านเจี๋ยลี่ไม่ได้กระมัง


 


ตระกูลของเหล่าเฉิงมีบุญคุณต่อเขา ชาตินี้คงพัวพันกับตระกูลนี้จนแยกจากไม่ได้ อย่าเห็นว่าพ่อลูกตระกูลเฉิงเอาแต่โลภยึดของของอวิ๋นเยี่ย เช่น แว่นกันแดด พลั่ว ถุงนอนอะไรจำพวกนี้ นี่เป็นวิธีที่พวกเขาพ่อลูกแสดงความรู้สึกที่ดีให้อย่างหนึ่ง การที่เอาสิ่งต่างๆ ของคุณไปอย่างไม่เกรงใจ ตรงกันข้าม คุณก็สามารถนำสิ่งต่างๆ ของเขาไปได้โดยไม่ต้องเกรงใจเช่นกัน ในยุคนี้มีแต่ตระกูลที่มีสัมพันธ์ที่ดีต่อกันจึงจะทำเช่นนี้ได้ เช่นตอนนี้ อวิ๋นเยี่ยสามารถแอบเข้าหลังบ้านของตระกูลเฉิงได้โดยไม่ต้องส่งเทียบแจ้ง เฉิงฮูหยินก็ไม่ถือสาอะไร เหมือนกับบ้านเหล่าหนิว อวิ๋นเยี่ยและเฉิงฉู่มั่วสามารถบุกฝ่าเข้าไปตรงๆ ได้เลย มีสถานะเช่นเดียวกับหนิวเจี้ยนหู่ในบ้านนี้ ดังนั้นเมื่อเฉิงฮูหยินรู้ว่าอวิ๋นเยี่ยกำลังจะไปเมืองซั่วฟางจึงดึงมืออวิ๋นเยี่ยไว้ ไหว้วานเขาให้ดูแลเฉิงฉู่มั่วให้ดี ไม่มีอะไรอื่นนั่นเพราะนางเชื่อมั่นว่าอวิ๋นเยี่ยต้องดูแลลูกชายนางได้แน่ และจะพาลูกชายของนางกลับมาอย่างปลอดภัยด้วยชีวิตของเขา นี่เป็นความไว้วางใจมากเพียงใดกัน คนต้าถังไม่เชื่อถือใครง่ายๆ หากจะเชื่อใครสักคนก็จะไหว้วานด้วยชีวิต อวิ๋นเยี่ยตัดสินใจว่าจะไม่ผิดต่อความไว้วางใจนี้ นี่คือเหตุผลว่าทำไมไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องออกจากเมืองให้ได้ พูดตามตรงว่า ชีวิตของไฉเซ่าในสายตาของอวิ๋นเยี่ย เทียบไม่ได้กับผมแม้แต่เส้นเดียวของเฉิงฉู่มั่ว


 


กลางวันในฤดูหนาวนั้นสั้นมาก ท้องฟ้าก็มีลมหมอกพัดขึ้น การจะหาที่กำบังในทุ่งหญ้ากว้างไม่ง่ายเลยจริงๆ กว่าจะหาเนินเขาเล็กๆ ได้ลูกหนึ่ง พวกเหล่าจวงได้หยิบพลั่วออกมาขุดดินเป็นที่ว่างเปล่าได้อย่างรวดเร็ว จากนั้นผูกรถลากเลื่อนเข้าด้วยกันจนกลายเป็นเมืองรถเล็กๆ ทหารเสริมนำโล่เสียบไว้บนขอบของรถลากเลื่อนซึ่งมีการออกแบบเป็นพิเศษไว้สำหรับรองรับแล้ว กระโจมแต่ละหลังค่อยๆ ตั้งขึ้น ม้าก็ถูกไล่เข้าไปในเนินเตี้ยๆ ที่ใช้กำบังลม เหล่าจวงขุดคูไปตามเนินเขาขึ้นไปบนยอดเขา ทั้งยังขุดรูถ้ำที่สามารถรองรับคนสองคนไว้ที่ด้านข้างด้วย หันมากำชับอวิ๋นเยี่ยอีกครั้งว่าหากเกิดอุบัติเหตุไม่คาดฝัน ให้รีบมุดเข้ารูถ้ำที่เขาขุดทันที หากสงครามยังไม่สิ้นสุดลงห้ามออกมา


 


เอาเถอะ ถ้าเป็นเรื่องในสนามรบ ฟังทหารผ่านศึกไว้จะดีกว่า พวกเขามีประสบการณ์ ตัวเองอยู่ในสนามรบก็ไม่สามารถช่วยอะไรพวกเขาได้ รังแต่จะเป็นภาระ หากไม่ต้องการให้พวกเขาต้องพะวงหลัง ก็ต้องดูแลตัวเองให้ดี นี่คือสิ่งที่ช่วยพวกเขาได้มากที่สุด


 


กองไฟถูกก่อสว่างขึ้น เปลวไฟสีส้มแดงเลียก้นหม้อ หิมะในหม้อกำลังละลาย ไม่นานนักน้ำก็เดือด เหล่าจวงตักน้ำออกมาหนึ่งกระบวยชงชาแล้วส่งให้อวิ๋นเยี่ยกับกงซูเจี่ยคนละถ้วย จากนั้นนำขนมเปี๊ยะโรยงาของเผ่าหูปิ้งบนกองไฟ


 


อวิ๋นเยี่ยและกงซูเจี่ยสองมือประคองถ้วยชา ดื่มชาร้อนทีละจิบๆ เห็นทหารเสริมใส่ข้าวสาร เส้นและเนื้อตากแห้งลงในหม้อที่ต้มน้ำเดือด วุ่นวายอยู่กับการทำอาหารเย็น บางคนก็ถืออาหารสัตว์ไปเลี้ยงสัตว์ ทั้งยังมีถังน้ำอุ่นหลายถังที่ใส่เกลือสำหรับให้สัตว์ดื่ม


 


“ดูอะไร ชีวิตสัตว์ในทุ่งหญ้ามีความสำคัญมากกว่าชีวิตคนมาก ไม่ว่าอะไรก็ต้องให้ความสำคัญกับพวกมันก่อน จากนั้นจึงค่อยเป็นพวกเรา ถึงเจ้าจะเป็นโหวเหยียแต่ก็ไร้ประโยชน์” กงซูเจี่ยดูเหมือนจะชอบรสชาติของชานี้มาก ไม่ใช่เพียงแต่ดื่มชาจนหมด แม้แต่ใบชาก็ยังนำมาใส่ปากค่อยๆ เคี้ยว


 


เหล่าจวงหยิบถุงหนึ่งใบออกมาจากลากเลื่อน ใส่ตั๊กแตนป่นจำนวนมากลงในหม้อแต่ละใบ ทันใดนั้นก็มีกลิ่นเหมือนไก่ลอยขึ้นมา ทุกคนพยายามฝืนกลืนน้ำลาย รอเวลาอาหารสุก


 


อาหารไม่น่ากิน อาจพูดได้ว่ามันยากมากที่จะกิน ไม่ว่าอะไรก็ใส่ลงไปต้มในหม้อ รสชาตินี้ทำให้อวิ๋นเยี่ยเกือบจะบ้า แต่คราวนี้เขาไม่ได้เป็นวัยรุ่นที่ติดตามมากับกองทัพ แต่เขาเป็นผู้บัญชาการทัพ การร่วมทุกข์ร่วมสุขกับผู้ใต้บังคับบัญชาคือเงื่อนไขเบื้องต้น เหล่าจวงรู้ดีว่าโหวเหยียปากสูงเพียงไหน เขาต้องไม่เคยชินกับการกินอาหารหยาบของกองทัพ จึงหยิบขนมเปี๊ยะแห้งหนึ่งชิ้นจากกระเป๋าสะพายหลังแล้วส่งให้อวิ๋นเยี่ย คิดไม่ถึงว่าเขาจะส่ายศีรษะ ก้มหน้าลงแล้วฝืนกลืนของเหลวชามใหญ่ชามนั้นลงไปด้วยความทรมาน


 


หมาน้อยกินอย่างเอร็ดอร่อยมาก เขาไม่ได้กินอาหารอร่อยๆ เช่นนี้มานานหลายปีแล้ว หรือสามารถพูดได้ว่าเขาไม่เคยกินอิ่มท้องเลยตั้งแต่เกิดมา ในความทรงจำของเขามีแต่ความรู้สึกหิวโหยอันน่าหวาดกลัว ความรู้สึกนั้นเหมือนถูกฝังเข้าแกนกระดูก โยนทิ้งก็ไม่ได้สลัดก็ไม่หลุด จนกระทั่งโหวเหยียหนุ่มคนนั้นเป็นผู้ดูแลกองทหารเสริม เขาจึงรู้สึกอิ่มเป็นครั้งแรก เขาไม่เข้าใจว่าของที่อร่อยเช่นนี้ทำไมดูเหมือนว่าเขากำลังกินยาขมมิปาน ทั้งยังกินด้วยท่าทีทรมานอย่างหาที่สุดไม่ได้


 


คนร่ำรวยปกติอยู่บ้านกินอะไรกัน ทุกวันมีบะหมี่ขาวหรือข้าวไหม ช่างเป็นของล้ำค่าจริงๆ ที่เรากินในวันนี้คือข้าวสวยทั้งยังมีเนื้ออีก อาหารเช่นนี้เขายังไม่ชอบอีกหรือ ทหารองครักษ์คนนั้นเพิ่มอะไรในอาหาร ทำไมถึงได้มีกลิ่นหอมเช่นนี้ ทหารผ่านศึกบอกว่ามันคือกลิ่นไก่ หรือจะบอกว่าโหวเหยียกินไก่ทุกมื้อ นี่คืออาหารที่อร่อยที่สุดที่หมาน้อยคิดออกมาได้

 

 

 


ส่วนที่ 4

 

ตอนที่ 19

 

หญิงเลี้ยงแกะ

 


เหล่าจวงนำก้อนหินก้อนใหญ่หลายๆ ก้อนที่ใช้รองหม้อมาวางไว้ในถ้ำ หินนั้นถูกเผาด้วยเปลวไฟจนร้อน ถ้ำดินเล็กๆ จึงอบอุ่นเหมือนฤดูใบไม้ผลิขึ้นทันที อวิ๋นเยี่ยและกงซูเจี่ยเข้าไปในถ้ำ นอนลงบนผ้าปูที่ปูไว้ซึ่งด้านบนปูด้วยชั้นหนังแกะหนาๆ อีกชั้นหนึ่ง เมื่อคนนอนลงไปก็จะจมลงไปในขนแกะ แม้ไม่ห่มผ้าห่มก็ไม่รู้สึกหนาวเย็น


 


กงซูเจี่ยท่องกลอนอย่างสบายใจอยู่หลายคำ ซึ่งฟังดูแย่สุดๆ จู่ๆ เขาก็เงยหน้าขึ้นมาถามอวิ๋นเยี่ยว่า “ปีหน้าข้าไปที่สำนักศึกษาจะได้รับการดูแลเช่นนี้ไหม”


 


กบในกะลา อวิ๋นเยี่ยดูถูกจากก้นบึ้งของหัวใจ ขุดหาอาหารจากที่นามาตลอดชีวิต ทั้งไม่เคยได้เสพสุขชีวิตที่มีความสุขของคนบางกลุ่มเลย


 


“ถ้าหากเจ้าพอใจกับสิ่งนี้ล่ะก็ ไม่มีปัญหา สำนักศึกษาจะส่งหนังแกะร้อยผืนให้เจ้า เจ้าสามารถให้ใช้ทั้งครอบครัวได้โดยไม่มีปัญหา”


 


กงซูเจี่ยเองก็อาจจะรู้สึกว่าตนถามคำถามที่ฟังดูเด็กๆ ออกไป จึงรู้สึกอายอยู่บ้าง


 


“ปีนี้เจ้าก็อายุเกินห้าสิบปีแล้ว ดังนั้นตามกฎของสำนักศึกษา เจ้าจะได้พักในเรือนที่มีอาคารสามชั้นพร้อมที่ดินกว้างหนึ่งหมู่ ได้รับเงินเดือนเดือนละแปดก้วน ต้องบอกไว้ก่อนว่าเงินเดือนของเสนาบดีก็ได้ประมาณนี้ นอกจากนี้ยังมีรถม้าหนึ่งคันและม้าสี่ตัว ในช่วงเทศกาลวันหยุดปลายปียังมีค่าตอบแทนพิเศษอย่างอื่นอีก เครื่องเรือนในอาคารเป็นของพร้อมใช้ เจ้าเตรียมสัมภาระมาเท่านั้นก็สามารถเข้าอยู่ได้เลย หากต้องการคนรับใช้เจ้าต้องจ้างเอง โดยทั่วไปสำนักศึกษาไม่เห็นด้วยกับการใช้คนรับใช้ของที่บ้าน การทรมานคนรับใช้ถือเป็นเรื่องต้องห้ามอย่างเด็ดขาดในสำนักศึกษา การทำเช่นนี้เป็นการสอนนักเรียนในทางที่ผิด หากละเมิดกฎข้อนี้ต้องถูกไล่ออกจากสำนักศึกษาทันที เจ้าต้องจำให้ดี”


 


อวิ๋นเยี่ยบอกค่าตอบแทนของสำนักศึกษาให้กงซูเจี่ยฟังหนึ่งรอบ หวังว่าเขาจะไม่ทำผิดพลาด หลี่กังอาจจะยอมอะลุ่มอล่วยให้คนที่ไม่รู้ แต่จะไม่ยอมให้อะลุ่มอล่วยให้คนที่ไร้ศีลธรรมอย่างแน่นอน บางทีการเรียนหนังสือมากอาจจะเปลี่ยนบุคลิกของบุคคลคนหนึ่งได้ อย่างน้อยในตอนนี้ก็ยังไม่เคยเจอคนเลวทรามไร้ศีลธรรมอย่างที่สุดเลย แม้แต่สวี่จิ้งจงที่ปฏิบัติต่อคนรับใช้ชราที่ติดตามเขา ก็ไม่เคยใช้คำพูดที่รุนแรงมาก่อน หลี่กังและอาจารย์อวี้ซันก็รักเมตตาเด็กที่ปรนนิบัติรับใช้เขาเรื่องชีวิตประจำวันเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นบรรยากาศในสำนักศึกษาจึงสงบสุขมาก


 


สองมือของกงซูเจี่ยรองอยู่ใต้ศีรษะ เหม่อมองเพดานถ้ำ ก็รู้ว่าเขากำลังจมอยู่ในชีวิตที่มีความสุขที่กำลังจะมาถึง อวิ๋นเยี่ยก็ไม่รบกวนเขา พลิกตัวกลับมาแล้วห่มผ้าห่ม เลือกนอนท่าที่สบาย ไม่นานก็ผลอยหลับไป


 


อวิ๋นเยี่ยถูกปลุกตั้งแต่เช้า ค่ายทั้งค่ายเละเทะไม่เป็นระเบียบ ที่ทำหน้าจุดไฟก็ทำไป ที่ดูแลม้าทำไป มีหน่วยสืบข่าวอยู่ในแดนไกลคอยผลัดเวรกันอยู่ ลมหยุดแล้ว แต่เริ่มหิมะตกอีกครั้งซึ่งก็ไม่หนักมาก ไม่มีปัญหาในการเร่งเดินทัพ แต่ความขาวโพลนที่ปรากฏระหว่างท้องฟ้าและผืนดินทำให้ผู้คนรู้สึกว้าวุ่นจนหดหู่ใจ


 


อาหารเช้าเป็นโจ๊กข้นคลั่กชนิดที่เสียบตะเกียบลงไปแล้วไม่ล้ม ตั๊กแตนป่นเป็นที่ชื่นชอบของทุกคน ตอนนี้หากในอาหารไม่ใส่สิ่งนั้นทุกคนต่างก็ไม่อยากจะหยิบตะเกียบ หมาน้อยคำก็ท่านอาเหล่าจวง สองคำก็ท่านอาเหล่าจวง เรียกอย่างสนิทปาก ก็เพราะอยากได้ตั๊กแตนป่นผสมข้าวกินเพิ่มอีกหน่อย เห็นว่าเขายังเป็นเด็ก เหล่าจวงก็กำขึ้นมากำมือใหญ่โรยใส่ชามเขา หมาน้อยที่มีความสุขยกชามข้าววิ่งโอ้อวดไปทั่ว


 


กงซูเจี่ยเดินออกมาจากถ้ำพร้อมกับขอบตาดำๆ เมื่อคืนเขาไม่ได้นอนทั้งคืน ประเดี๋ยวคิดถึงจุ้ยหยางชุนที่พ่อของเขาชอบดื่ม ตัวเองก็ซื้อให้เพียงไม่กี่ครั้ง ประเดี๋ยวคิดถึงภรรยาที่อยู่กับเขามาเป็นเวลาหลายสิบปีแล้ว ยังไม่มีเครื่องประดับชิ้นไหนที่เหมือนเครื่องประดับสักชิ้น สร้อยเงินที่ห้อยอยู่ที่คอของหลานตัวน้อยก็เป็นของที่ตัวเองเคยใส่เมื่อในอดีต ด้วยความรู้สึกผิดเหล่านี้ทำให้เขานอนไม่หลับทั้งคืน พูดแล้วก็น่าสนใจ ใครจะรู้ว่าตระกูลใหญ่นับพันปีได้เก็บตัวซ่อนอยู่ในถิ่นทุรกันดาร อยู่ในสภาพที่ลำบากยากแค้นขาดแคลนเสื้อผ้าอาหารการกิน ที่กล่าวกันว่า แม้ยากจนข้นแค้นแต่ปณิธานยังคงเดิม พูดเสียน่าฟัง แม้แต่ความกตัญญูกตเวทีต่อบิดา ความสงสารที่มีต่อภรรยา ความรักที่มีต่อลูกล้วนแล้วแต่ทำไม่ได้ ยังจะพูดถึงเรื่องแม้ยากจนข้นแค้นแต่ปณิธานยังคงเดิมอะไรนั่นอีกหรือ


 


เมื่อกลับไปฉางอันจะต้องเปลี่ยนสภาพความเป็นอยู่ของทั้งครอบครัวแน่นอน หากคนรุ่นหลังอยู่ไม่เป็นสุข ความรู้ของตระกูลที่จะถ่ายทอดให้คนรุ่นต่อไปก็แทบจะเป็นไปไม่ได้แล้ว ลูกหลานไม่ยอมเรียนรู้ เรื่องที่ว่ามีความรู้ท่วมหัวแต่ไม่อาจใช้ได้อย่าเพิ่งพูดถึง ตอนนี้ยังเข้าขั้นวิกฤตด้วย ในเมื่อเป็นเช่นนี้นำออกมาแลกเงินอย่างปลอดภัยก็ดีเหมือนกัน


 


หลังทานอาหารเช้า กองกำลังก็ออกเดินทางต่อ เพียงแต่ทุกคนจะคลุมผ้าป่านสีขาว แม้กระทั่งม้าก็เช่นกัน มีชายอ้วนเงอะงะคนหนึ่งเดินบนหิมะอย่างยากลำบาก เอาผ้าป่านมัดผูกปมไว้กับรถลากเลื่อนทีละเส้นๆ เหงื่อไหลลงมาจากหน้าผากกว้างๆ ของเขา เหล่าเหอ เหอเซ่า เขามาได้อย่างไร


 


“เจ้าจะมาร่วมวุ่นวายอะไร ไม่รู้หรือว่าตอนนี้ตรงนี้เต็มไปด้วยพวกเคราดก ถ้าถูกจับย่างกินจะทำอย่างไร” อวิ๋นเยี่ยโกรธมาก ชายอ้วนผู้มีความคิดในการทำศึกเป็นศูนย์จะมาทำบ้าบออะไรอยู่บนทุ่งหญ้านี้


 


“ชีวิตของพี่ชายคุ้มค่ามานานแล้ว รู้หรือไม่ว่าของที่ถูกส่งกลับไปฉางอันก่อนฤดูหนาวมีค่าเท่าไรกัน หกพันก้วน! หากข้าต้องตายบนทุ่งหญ้านี้ก็ไม่ขาดทุนแล้ว แม้ฝันข้าก็ไม่เคยคิดว่าคนที่มีไขมันทั้งตัวจะขายได้เงินมากถึงเพียงนี้ เมื่อมีเงินจำนวนนี้ ครอบครัวก็ดำรงอยู่ได้อีกหลายสิบปีอย่างไม่เป็นปัญหา ข้ารู้ว่ารากของความมั่งคั่งของข้าก็คือเจ้า ไม่อย่างนั้นแม้ข้าอยากจะขายร่างอ้วนๆ นี้ก็ไม่มีที่ที่จะให้ขายได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหกพันก้วน เจ้าเองก็มาที่ทุ่งหญ้าแห่งนี้ ข้าตามมาสักครั้งจะเป็นอะไรไป ชีวิตข้าจะมีค่าเท่าชีวิตเจ้าหรือ จะว่าไปแล้ว หากมีข้าอยู่ ไม่แน่ว่าเราสองพี่น้องยังพอจะหาช่องทางร่ำรวยได้อีกหน่อย”


 


ช่างเป็นพวกดื้อด้านเสียจริง อยากร่ำรวยจนหน้ามืดตามัว ตอนนี้แม้ชีวิตก็ไม่สนใจแล้ว ไม่มีอะไรจะพูด ไม่มีอะไรจะพูดจริงๆ ในหนังสือการเมืองกล่าวว่าหากนักธุรกิจมีกำไรสามร้อยเปอร์เซ็นต์ก็กล้าที่จะฆ่าคน เพื่อกำไรสิบเท่าแม้ชีวิตของพวกเขาเองไม่ต้องการ เหอเซ่า! ก็คือตัวอย่างที่มีชีวิต


 


“เจ้าเป็นบ้าไปแล้ว ข้าไม่สนใจเจ้าแล้ว บอกเจ้าเพียงคำเดียว ดูแลชีวิตน้อยๆ ให้ดี อย่าให้เสียไป ไม่เช่นนั้นไม่รู้จะอธิบายให้ครอบครัวเจ้าฟังได้อย่างไร”


 


หลังจากพูดจบ อวิ๋นเยี่ยก็นั่งลงบนรถลากเลื่อนของกงซูเจี่ย เตรียมที่จะเร่งเดินทัพต่อ เหล่าเหอใช้ผ้าฝ้ายผูกปมอย่างแน่นหนา พาองครักษ์คนหนึ่งและก็นั่งลงบนรถลากเลื่อน


 


จากเสียงฟาดแส้ของเลื่อนตัวแรก กองกำลังก็เริ่มบิดตัวแล้วค่อยๆ เร่งความเร็วขึ้น ด้านหน้ามีองครักษ์ของตระกูลอวิ๋นคอยสำรวจเส้นทางข้างหน้า หัวหน้าทหารคนสนิทของเหล่าหนิวรั้งท้ายขบวน รถลากเลื่อนของกองกำลังก็เคลื่อนที่อย่างดูดีมีสง่า


 


ครั้นออกจากเขตการควบคุมของซั่วฟาง ทุกคนต่างก็มีสติตั้งมั่นเพราะกลัวว่าอาจถูกกองกำลังเคราดกบุกจู่โจมจากมุมใดมุมหนึ่ง    


 


กลุ่มเคราดกที่อวิ๋นเยี่ยรอคอยไม่ปรากฏตัว พวกเขาตอนนี้กำลังซ่อนตัวอยู่ในรังเฝ้าแกะเลียนแบบกระรอกจำศีลอยู่ นอกจากชนชั้นสูงที่อยู่บนทุ่งหญ้า ในวันที่หิมะตกหนักเช่นนี้ ชาวบ้านที่เลี้ยงวัวไม่ออกมาอย่างแน่นอน เมื่อถึงฤดูหนาวทุกครั้ง พวกเขาก็ต้องหาสถานที่ที่ค่อนข้างอบอุ่นให้วัวและแกะอาศัยช่วงฤดูหนาว สถานที่นี้ไม่เพียงแต่ต้องการความอบอุ่น แต่ยังต้องการหญ้าที่เขียวชอุ่มด้วย พวกเขาจะเหลือพื้นที่ทุ่งหญ้าในฤดูร้อนและฤดูใบไม้ร่วงไว้ส่วนหนึ่งที่จะไม่พาวัวและแกะไปเลี้ยงในบริเวณนั้น เมื่อถึงฤดูหนาว พวกเขาก็จะต้อนวัวและแกะไปอยู่บริเวณนั้น ไม่ยอมจากไปง่ายๆ เพราะสำหรับพวกเขาแล้ว วัวและแกะคือรากฐานของชีวิต


 


หากไม่มีการเรียกรวมตัวจากชนชั้นสูง พวกเขาจะอาศัยอยู่อย่างกระจัดกระจาย โดยอิงครอบครัวเป็นหลัก เพราะอย่างไรเสียทุ่งหญ้าหนึ่งที่ก็ไม่สามารถรองรับวัวและแกะจำนวนมากเกินไปได้


 


ด้านหน้ามีเสียงค่อนข้างวุ่นวาย อวิ๋นเยี่ยเงยหน้าขึ้นมองดูด้านหน้า ครู่หนึ่งเหล่าจวงก็มารายงานว่าถูกล้อมรอบด้วยแกะฝูงหนึ่งและมีคนเลี้ยงแกะหนึ่งคน ไม่ทราบว่าจะหลบหลีกหรือไม่


 


ครั้นขี่ม้าไปดูข้างหน้า เห็นเพียงผู้หญิงเลี้ยงแกะอ้วนเตี้ยคนหนึ่งมือถือไม้ง่ามกำลังต่อต้านกับองครักษ์ของตระกูลอวิ๋นอยู่ ทั้งยังเหลือบมองฝูงแกะที่วิ่งกระจัดกระจายไปทั่วเป็นครั้งคราว ผ้าคลุมหนังแกะที่สวมอยู่มันวาวส่องประกาย เส้นผมก็เกาะกันเป็นก้อนๆ ดวงตาสีดำเข้มกลับมีแต่ความดื้อรั้น แยกเขี้ยวยิงฟันส่งเสียงร้องเหมือนหมาป่า ข่มขวัญเหล่ามือดีที่มาจากสนามรบของตระกูลอวิ๋น


 


องครักษ์หลายคนหัวเราะตาหยีแล้วขี่ม้าวนไปมารอบตัวนาง นางก็วนตามเพียงไม่กี่รอบก็ล้มลงกับพื้น หิมะเปรอะเต็มใบหน้ายิ่งดูหมดรูปกว่าเดิม องครักษ์คนหนึ่งหยิบธนูออกมาแล้วน้าวลูกธนูหนึ่งดอก ยิงแกะล้มลงไปที่พื้นตามใจชอบ หญิงเลี้ยงแกะกรีดร้อง ก่อนจะกระโจนไปที่แกะตัวที่ล้มลงกับพื้น ยกหัวแกะขึ้นและเป่าลมเข้าปากแกะหวังว่าจะช่วยแกะที่น่าสงสารตัวนั้นให้รอดได้


 


“โหวเหยีย หรือว่าเราจะชิงนางกับแกะไปด้วยกันเลย พวกทหารจะได้กินแกะ ตอนกลางคืนท่านก็จะได้มีคนช่วยทำให้อบอุ่น” ไม่รู้ว่าหมาน้อยมุดออกมาจากที่ไหน แหงนหน้ามองพลางให้คำแนะนำอวิ๋นเยี่ยเหมือนหมาน้อยขี้ประจบจริงๆ


 


อวิ๋นเยี่ยดูผมที่เกาะกันเป็นก้อนๆ แล้วมองไปยังมือเปื้อนเลือดของนาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนนี้นางกำลังจูบแกะอยู่ อวิ๋นเยี่ยก็หน้าเขียวแล้ว คนคนนี้ต้องรู้สึกหิวมากเพียงไหนถึงได้รู้สึกสนใจผู้หญิงเช่นนี้


 


 เขาเตะหมาน้อยกระเด็นออกไป เจ้าเด็กนี้อยู่ในกองทัพไม่ได้เรียนรู้อะไรที่ดีเลย อายุยังน้อยเพียงเท่านี้ก็หัดเป็นหมาขี้ประจบมือดีเสียแล้ว


 


แกะในอ้อมแขนของหญิงเลี้ยงแกะในที่สุดก็ไม่ขยับขาอีกต่อไป หัวก็ห้อยตกลงมา หญิงเลี้ยงแกะเขย่าไปมาสักพัก เมื่อรู้ว่าแกะตายแล้วนางก็กระโดดขึ้น พุ่งเข้าใส่อวิ๋นเยี่ย นางเห็นว่าในฝูงชนนี้ชุดเกราะอวิ๋นเยี่ยนั้นสวยที่สุด ดังนั้นสถานะของอวิ๋นเยี่ยย่อมสูงสุดเช่นกัน เพื่อแกะของนางจึงขอแลกชีวิตกับอวิ๋นเยี่ย ยังไม่ทันมาถึงด้านหน้า ทหารองครักษ์ก็ล้อมรอบตัวอวิ๋นเยี่ยไว้หมด ชักดาบออกมาอย่างรวดเร็ว


 


หมาน้อยกระโดดออกมาอย่างตื่นเต้น โยนดาบในมือทิ้ง กางแขนออกเพื่อประลองกำลังกับหญิงเลี้ยงแกะ กลุ่มองครักษ์ก็ส่งเสียดังอยู่ข้างๆ หมาน้อยประสานมือคารวะรอบด้านอย่างดูดี ใครจะรู้ว่าหญิงคนนั้นจะพุ่งเข้าใส่อย่างดุดัน จับขาของหมาน้อยไว้แล้วเหวี่ยงลอยขึ้นฟ้า ทั้งยังนั่งทับบนหน้าของหมาน้อยเต็มๆ กระแทกอยู่หลายครั้ง ทั้งอวิ๋นเยี่ยและเหล่าองครักษ์มองดูจนเสียวฟันไปกันหมด


 


เหล่าจวงขมวดคิ้วและลงจากหลังม้า จับหญิงเลี้ยงแกะโยนออกไปในคราวเดียว แล้วลากหมาน้อยขึ้นมา หมาน้อยหน้ามืดตาลายฝืนยืนให้นิ่ง ตะโกนเอะอะมองหาหญิงเลี้ยงแกะเตรียมจะแก้แค้น จึงถูกเหล่าจวงจับโยนลงบนรถลากเลื่อนในคราวเดียวกัน


 


ไม่รู้ว่าหญิงชาวเผ่าหูสมองมีปัญหาหรือเปล่า เมื่อเหล่าจวงโยนนางออกไปก็แสดงว่าปล่อยนางไป ใครจะรู้ว่านางลุกขึ้นเช็ดหิมะบนใบหน้าเสร็จ ก็พุ่งเข้าใส่เหล่าจวงอย่างไม่ยอมเลิกรา คว้าแขนของเหล่าจวงได้แล้วกัดลงไป ด้วยสภาพอากาศติดลบสิบกว่าองศา เหล่าจวงที่สวมเกราะเหล็กทั้งตัว แผ่นเหล็กของเกราะเย็นยิ่งกว่าน้ำแข็ง เมื่อกัดเข้าไปแล้วก็ถอนออกไม่ได้ เกาะติดอยู่บนนั้น หญิงเลี้ยงแกะก็ไม่กล้าดิ้นรนเพราะกลัวลิ้นจะถูกบาดขาด จึงได้แต่ร้อนรนจนน้ำตาไหล


 


อวิ๋นเยี่ยเห็นว่าในที่สุดหญิงเลี้ยงแกะก็ยอมหยุดแล้ว จึงมองไปรอบๆ เป็นที่ตั้งค่ายที่ดี หลังจากขอคำแนะนำจากเหล่าจวงแล้วก็ตัดสินใจตั้งค่ายพักแรมที่นี่ เหล่าจวงไปที่ไหน หญิงเลี้ยงแกะก็จะตามไปที่นั่น ช่วยไม่ได้ ก็ปากยังติดอยู่กับเกราะอยู่นี่นา


 


เหล่าองครักษ์ไล่ต้อนฝูงแกะที่กระจัดกระจายกลับมา แกะผอมมาก ดูเหมือนว่าการกินอาหารบำรุงต้นฤดูใบไม้ร่วงจะไม่ดีพอ ฝูงแกะเช่นนี้ไม่สามารถผ่านฤดูหนาวที่หนาวเหน็บนี้ได้ ฤดูหนาวปีนี้มาถึงเร็วซึ่งสิ่งนี้สำหรับคนเลี้ยงแกะแล้วถึงกับเอาชีวิตพวกเขาได้ หากไม่มีฝูงแกะ ทั้งครอบครัวต้องอดตายทั้งเป็น ในท้องทุ่งนั้นไม่มีความเมตตาและปาฏิหาริย์


 


เหล่าจวงถอดแผ่นเหล็กเสื้อเกราะออกแล้วราดด้วยน้ำอุ่น ในที่สุดก็ช่วยเอาปากของหญิงเลี้ยงแกะออกจากแผ่นเหล็กได้ นางก็ไม่ก่อความวุ่นวายแล้ว มองดูฝูงแกะของตัวเองแล้วก็ร้องไห้สุดชีวิต กลัวว่าคนเหล่านี้จะกินแกะนางจนหมด


 


อวิ๋นเยี่ยยังคงออกคำสั่งให้ฆ่าแกะทั้งหมดทิ้ง ตอนนี้เสบียงอาหารมีค่ามากที่สุด ทหารเสริมเริ่มลงมือแล้ว พวกเขาหัวเราะพลางตั้งชั้นวางหลายแห่ง ใช้มีดสั้นฆ่าแกะทีละตัวๆ แล้วแขวนพวกมันไว้บนชั้นวาง มีแกะไม่มาก เพียงยี่สิบเอ็ดตัวเท่านั้น ซึ่งรวมแกะที่ถูกยิงตายด้วย ไม่นานนักก็ถลกหนังแกะแล้วเอาอวัยวะภายในออก ลงมือว่องไวจนเริ่มนำชั้นวางเหล่านั้นไปย่างไฟได้แล้ว


 


หญิงเลี้ยงแกะรู้ว่าห้ามไม่สำเร็จ จึงนอนแหงนหน้ามองฟ้าบนพื้นหิมะ ดวงตากลมโตนั้นไร้ซึ่งชีวิตชีวาอีกต่อไป

 

 

 


ส่วนที่ 4

 

ตอนที่ 20

 

หายนะของเมืองเซียงเฉิง

 


หัวแกะยี่สิบเอ็ดหัวกองอยู่ข้างๆ หญิงเลี้ยงแกะ ทั้งยังถูกเรียงเป็นรูปพีระมิด หนังแกะก็วางไว้ข้างๆ นาง กองเป็นกองสูง แววตานางค่อยๆ กระจ่างใสขึ้น มองดูอวิ๋นเยี่ยไม่กะพริบตา เห็นทหารเสริมสองคนแบกถุงจำนวนหนึ่งเข้ามา จึงลุกพรวดขึ้นมาและเปิดถุงดู ถุงแต่ละใบเต็มไปด้วยเม็ดข้าวสีเหลืองอร่าม นางกอดถุงไว้แน่นไม่ยอมปล่อย ตาโตๆ จ้องหน้าอวิ๋นเยี่ยเหมือนลูกแกะน้อยที่น่าสงสาร


 


อวิ๋นเยี่ยชี้เนื้อแกะที่กำลังถูกย่างอยู่แล้วชี้ไปยังถุงที่นางกอดอยู่ สองมือยื่นนิ้วมือออกมาข้างละนิ้วประกบเข้าด้วยกันเพื่อบอกให้รู้ว่าแกะหนึ่งตัวต่อเสบียงหนึ่งถุง นี่เป็นภาษามือที่ชาวฮั่นกับชาวเผ่าหูใช้ในการค้าขายเป็นประจำ


 


หญิงเลี้ยงแกะกอดถุงกระโดดขึ้นอย่างมีความสุข ลูบๆ ที่ถุงนี้แล้วมองดูถุงนั้น เปิดออกดูทุกถุง ทั้งยังหยิบข้าวเปลือกด้วยมือที่สกปรก โยนเข้าปากสองสามเม็ด ด้วยท่าทางที่ดูแย่สุดจะบรรยาย ทันใดนั้น เหมือนนางจะคิดอะไรบางอย่างได้ เหงื่อก็ไหลลงไปแล้ว ไม่นานนักก็โกรธจนควันออกหู วิ่งวนไปวนมาอยู่ตรงนั้น ก็ไม่รู้ว่าลืมสิ่งสำคัญอะไรไป


 


หญิงเลี้ยงแกะเตะปิรามิดหัวแกะด้วยความหงุดหงิด เห็นหัวแกะกลิ้งไปมาเกลื่อนพื้น นางก็ดีใจขึ้นอีกครั้ง นางหยิบหัวแกะขึ้นมาแล้วเดินมาด้านหน้าอวิ๋นเยี่ย กลิ่นสาบแกะจากร่างกายนางโชยมาจนอวิ๋นเยี่ยเกือบจะเป็นลมสลบไป


 


หัวแกะหนึ่งหัววางอยู่ที่ปลายเท้าอวิ๋นเยี่ยอย่างเรียบร้อย หญิงเลี้ยงแกะชี้ไปที่ถุงเสบียงอาหารอีกครั้ง


 


คิดอยู่ค่อนวันอวิ๋นเยี่ยจึงเข้าใจ ให้ตายสิ หญิงเลี้ยงแกะนับเลขไม่เป็น ถุงยี่สิบเอ็ดถุงนางนับไม่รู้เรื่อง ต้องการใช้หัวแกะหนึ่งหัวแลกเสบียงทีละถุงข้าวให้ชัดเจน ซึ่งทำให้เขานึกถึงบทละครเวทีที่มีชื่อเสียงในยุคปัจจุบัน คนโง่ที่ขายไข่เป็ดตะโกนเสียงดังว่า “สองฟองห้าเหมา หนึ่งหยวนไม่ขาย” ช่างเหมือนกับหญิงเลี้ยงแกะที่อยู่ตรงหน้าที่มีความน่าสนใจเช่นเดียวกัน


 


นับเลขไม่เป็น แต่ก็ยังกลัวว่าจะถูกหลอกลวง อวิ๋นเยี่ยทำอะไรไม่ถูกก็ต้องพ่ายแพ้อย่างหมดรูปเมื่อเห็นดวงตากลมโตที่น่าสงสารคู่นั้น จึงได้แต่เอาถุงหนึ่งใบวางไว้ข้างหน้าหัวแกะ หญิงเลี้ยงแกะก็เอาหัวแกะมาอีกหัว อวิ๋นเยี่ยก็นำถุงเสบียงมาอีกหนึ่งใบ…


 


เมื่อการค้าที่น่าเบื่อที่สุดในโลกเสร็จสิ้น ในที่สุดอาหารเย็นก็เสร็จแล้ว หญิงเลี้ยงแกะได้กลิ่นอาหารก็น้ำลายไหลโดยไม่ลังเล จ้องดูชามข้าวของทหารเสริม ผู้มาเยือนหิวแล้ว เหล่าจวงจึงตักข้าวชาวใหญ่ส่งให้กับหญิงเลี้ยงแกะ นางไม่เกรงใจแม้แต่น้อย ทั้งยังไม่ใช้ตะเกียบด้วย นางใช้มือโกยข้าวเข้าปาก ร้อนจนต้องยิงฟันอ้าปากก็ไม่ยอมลดความเร็วลง ไม่นานนักข้าวทั้งชามก็ลงสู่กระเพาะนาง นางยังคงมองชามข้าวของอวิ๋นเยี่ย แม้แต่หนึ่งในสามของข้าวอวิ๋นเยี่ยก็ยังกินไม่หมด เขาไม่มีความกล้าพอที่จะกินข้าวภายใต้สายตาของหมาป่าตัวนี้ จึงได้แต่ส่งชามให้กับหญิงเลี้ยงแกะ…


 


หญิงสาวชาวเผ่าหูเมื่ออิ่มหมีพีมันแล้วก็มอบเสบียงให้อวิ๋นเยี่ยดูแลอย่างใจกว้าง ก่อนจะแบกเสบียงสองถุงขึ้นมาแล้วถือไม้ง่ามเดินหายเข้าไปในความมืดอันไร้ขอบเขต


 


หมาน้อยนั้นน่าสงสาร ปวดใจจนแม้แต่ตั๊กแตนป่นคลุกข้าวที่เป็นของชอบที่สุดก็กินไม่ลง ในความคิดของเขา สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าบั้นท้ายผู้หญิงคนหนึ่งนั่งทับที่ศีรษะก็คือถูกหญิงชาวเผ่าหูเอาบั้นท้ายนั่งทับศีรษะ เขารู้สึกหมดอาลัยตายอยาก ปณิธานอันมุ่งมั่นห้าวหาญเมื่อตอนจากหมู่บ้านมาได้ถูกทำลายลงจนหมดสิ้นภายใต้บั้นท้ายของหญิงสาวชาวเผ่าหู


 


เหล่าจวงติดตามหญิงชาวเผ่าหูกลับมา ตรงนั้นมีกระท่อมที่เล็กมากๆ เพียงหนึ่งหลังและฝังอยู่ครึ่งหนึ่งอยู่ในพื้นดิน เขามองดูรอบๆ อย่างละเอียด มีเพียงครอบครัวหญิงเลี้ยงแกะเพียงครอบครัวเดียว ซึ่งก็คือชาวบ้านทั่วๆ ไปสี่คน เป็นชาวเผ่าหูสองคนและเด็กชาวเผ่าหูสองคน พวกเขาไม่มีม้าและไม่มีวัวและแกะอีก เขาอยู่ด้านนอก ได้ยินเพียงเสียงของเด็กผู้หญิงชาวเผ่าหูพูดเจื้อยแจ้ว ดูเหมือนจะตื่นเต้นมาก


 


ไม่ต้องให้เหล่าจวงบอกก็รู้ว่า ชาวเผ่าหูสี่คนที่เดินมานั่น เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งเหมือนกัน ที่เท้าผูกหนังวัวไว้หนึ่งผืนก็ถือเป็นรองเท้าแล้ว นี่เป็นคนเลี้ยงแกะที่ยากไร้ครอบครัวหนึ่ง พวกเขาไม่มีแม้แต่ม้าซึ่งเป็นสิ่งพื้นฐานที่สุด ไม่น่าแปลกใจที่หญิงเลี้ยงแกะจะต่อสู้เพื่อแกะยี่สิบเอ็ดตัวกับองครักษ์ตระกูลอวิ๋นที่มีอาวุธครบมือ เมื่อไม่มีแกะเหล่านั้นแล้ว เพียงแค่สามวันครอบครัวเขาก็ไม่สามารถอยู่ต่อได้แล้ว


 


ดูเหมือนคนเลี้ยงแกะชราจะพูดไม่ได้ เพียงลูบหน้าอกเพื่อขอบคุณอวิ๋นเยี่ย เด็กชายตัวเล็กข้างหลังก็ผอมมาก เมื่อเห็นเสบียงอาหารกองอยู่ตรงนั้น ดวงตาของเขาเปล่งประกาย ทุกคนในครอบครัวก็ดึงใบไม้มาสานเป็นแผ่นกระดานลื่น ดูแล้วคล้ายกับรถลากเลื่อน นำเสบียงอาหารวางไว้ข้างบนแล้วลากกลับไปด้วยความยากลำบาก


 


เมื่อเห็นครอบครัวของพวกเขาจากไปไกลแล้ว อวิ๋นเยี่ยจึงนั่งลง ถ้าเขาเป็นทหารที่แท้จริง เขาควรฆ่าหญิงเลี้ยงแกะให้ตายอย่างเด็ดขาดเมื่อตอนที่พบกับนาง เชื่อว่าคงไม่มีใครในกองทัพคัดค้าน พวกเขาไม่เคยมีความรู้สึกดีๆ กับชาวเผ่าหูเลย หากจะถามว่าใครในต้าถังบ้างที่ไม่เคยมีบุญคุณความแค้นกับชาวเผ่าหูเลย เห็นทีจะมีเพียงอวิ๋นเยี่ย ในยุคปัจจุบันเขามีเพื่อนทำปศุสัตว์มากมาย พวกเขาเป็นคนเปิดเผย ไร้เดียงสา ให้ความสำคัญกับมิตรภาพ หลังจากดื่มเหล้านมแพะคารวะฟ้าดิน อวิ๋นเยี่ยมักจะดื่มเป็นคนแรกเสมอ เขาทำไม่ลง แม้ว่าเหล่าจวงจะแนะนำหลายครั้งแล้ว อวิ๋นเยี่ยยังคงดื้อดึงที่จะปฏิเสธคำแนะนำของเขา ก็ไม่รู้ว่ามันถูกหรือผิด พระเจ้าจึงจะรู้


 


วันนี้เป็นวันที่หกของการเข้าสู่ทุ่งหญ้า กล่าวคือตามแผนที่วางไว้กองทัพของไฉเซ่าควรจะบุกเข้าไปในเมืองเซียงเฉิงได้แล้ว เมื่อเมืองแตก ถนนติ้งเซียงย่อมต้องเกิดความสงบแล้ว ส่วนข่านเจี๋ยลี่ก็มีแต่ต้องหนีเข้าป่าลึกไป และสิ่งที่รอเขาอยู่ก็คือกองทัพใหญ่ของหลี่จี


 


อวิ๋นเยี่ยยืนอยู่บนเนินสูงมองไปยังทิศทางของเมืองเซียงเฉิง ไม่มีเงาคน เขากังวลมากเกี่ยวกับความปลอดภัยของเฉิงฉู่มั่ว แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตามเหล่าจวงก็ไม่ยอมให้กองทัพเคลื่อนไปข้างหน้าอีกแม้แต่ก้าวเดียว กองทัพหลบซ่อนอยู่ระหว่างภูเขาและหน่วยสืบข่าวออกไปสามกลุ่ม ไม่มีกลุ่มไหนกลับมาเลย ทำให้อวิ๋นเยี่ยค่อนข้างร้อนใจ ถามเหล่าจวงว่า “จะเกิดอะไรขึ้นหรือไม่ ทำไมป่านนี้แล้วยังไม่มีใครกลับมาอีก”


 


“โหวเหยียอย่าได้ร้อนใจไป พวกเขาเพิ่งจะออกไปแค่สองชั่วยาม จะให้กลับมายังเร็วเกินไป ท่านไปนอนพักเอาแรงที่กระโจมสักครู่ เมื่อคืนท่านไม่ได้นอนทั้งคืน”


 


“ข้าจะนอนหลับได้อย่างไรกัน เฉิงฉู่มั่วเป็นหรือตายก็ไม่รู้ ข้าร้อนใจจะตายอยู่แล้ว หากเกิดอะไรขึ้น จะให้อธิบายกับตระกูลเฉิงอย่างไรดี”


 


ขณะที่ทั้งสองกำลังพูดกันอยู่นั้น เหล่าจวงจู่ๆ ก็ผลักอวิ๋นเยี่ยตกเนินเขา แล้วตัวเองก้มหมอบลงบนพื้น ขณะที่อวิ๋นเยี่ยกำลังหงุดหงิด ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าพื้นดินใต้ฝ่าเท้าของเขาสั่นสะเทือน เสียงดังดั่งฟ้าร้องดังมาจากด้านบน


 


“เกิดอะไรขึ้น” อวิ๋นเยี่ยถามเหล่าจวงอย่างเสียงดัง


 


“โหวเหยียซ่อนตัวให้ดี มีทหารม้าจำนวนมากกำลังเข้ามา อย่างน้อยก็ต้องหลักหมื่น นี่ไม่ใช่กองทัพของแม่ทัพใหญ่ แม่ทัพใหญ่ไม่ได้มีทหารม้าจำนวนมากถึงเพียงนี้” หลังจากฟังเหล่าจวงพูดจบ ในหัวของอวิ๋นเยี่ยก็แข็งค้างไปในทันที หรือจะบอกว่าเฉิงฉู่มั่วถูกดักซุ่ม?


 


ครั้นปีนขึ้นมาบนเนินเขามองไปในระยะไกล เห็นเพียงรอยคลื่นบนกำแพงหิมะค่อยๆ ม้วนเป็นเกลียวมาจากท้องฟ้า ด้านบนมีจุดสีดำหลายๆ จุดกำลังดิ้นรนอย่างสุดชีวิต ไม่ต้องบอกก็รู้ว่านั่นเป็นองครักษ์ของตระกูลอวิ๋น หัวใจของอวิ๋นเยี่ยหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม หวังว่าองครักษ์ของบ้านเขาจะสามารถวิ่งได้เร็วขึ้นอีกหน่อย เพื่อหนีกองทหารม้าที่บ้าคลั่งเหล่านั้นให้พ้น


 


ไม่ถูกสิ องครักษ์ของเขาไม่ได้กำลังหนีเอาชีวิตรอด แต่ยิ่งดูเหมือนดีใจมากกว่า คนที่อยู่ด้านหน้าสุดที่สวมเกราะสีดำทั้งชุดคือเฉิงฉู่มั่วไม่ใช่หรือ เสียงตะโกนโห่ร้องด้วยความดีใจที่ดังมาแต่ไกล เสียงจากหลอดลมตระกูลเฉิงถึงกับดังกลบเสียงฝีเท้าม้า เสียงที่แสบแก้วหูเมื่ออวิ๋นเยี่ยได้ฟังก็รู้สึกเสมือนว่ามันคือพระราชโองการที่อยู่เหนือหัว ใจที่หล่นไปที่ตาตุ่มกลับเข้าสู่ตำแหน่งเดิมแล้ว ปลอดภัยก็ดีแล้ว!


 


คราวหน้าจะไม่รับหน้าที่เป็นแม่นมเช่นนี้อีกแล้ว นี่ไม่ใช่งานที่คนเขาทำกัน การเป็นแม่นมให้ชายวัยเติบใหญ่ทำให้อวิ๋นเยี่ยปวดเศียรเวียนเกล้าเป็นที่สุด นอกจากนี้ชายคนนี้จะไม่เคยรับฟังสิ่งที่ดีเข้าหูเลย เพียงแค่ออกจากฉางอัน ก็จะมีพฤติกรรมเหมือนกับม้าที่หลุดจากบังเ**ยน


 


ทหารเสริมตั้งค่ายอยู่ด้านหลังเนินเขาไว้เรียบร้อยแล้ว ทันทีที่ศัตรูบุกมาถึงพวกเขาก็จะโจมตี กงซูเจี่ยได้ตั้งธนูขนาดใหญ่ไว้บนเนินเขาพร้อมกับลูกธนูขนาดใหญ่สามดอก แต่ละดอกใหญ่ขนาดนิ้วมือ ด้วยความช่วยเหลือของทหารเสริมสองคน เขากำลังใช้ขาล็อกเพื่อขึงเอ็นธนู จากเสียงที่ดังออกมา อวิ๋นเยี่ยประเมินได้เลยว่าพลังของธนูยักษ์นี้จะต้องไม่ธรรมดาแน่


 


สิ่วที่ใช้โจมตีสามอันถูกวางอยู่ในทางที่ถูกเซาะเป็นร่อง คมของสิ่วที่ยาวฉื่อกว่าสะท้อนความน่ากลัวที่ดูมืดมนสมกับที่เป็นอาวุธสำหรับฆ่าคนจริงๆ ภายในระยะหกร้อยเมตรไม่มีอะไรที่ทำลายไม่ได้ พลังอันทรงพลังของมันสามารถลากแม้กระทั่งม้าศึกหนึ่งตัวให้ลอยขึ้นไปได้ เมื่อคนเผชิญหน้าเข้ากับอาวุธเช่นนี้ ก็ไม่ต่างอะไรกับกระดาษหนึ่งแผ่นที่ถูกเสียบ ซึ่งนี่ก็คือรถหน้าไม้ที่มีชื่อเสียง ใครจะคาดคิดว่าตระกูลกงซูยังมีอาวุธสังหารเช่นนี้อยู่ โชคดีที่ตระกูลกงซูนั้นเป็นพันธมิตรที่ดีตั้งแต่ต้น หากยั่วโมโหพวกเขาจนต้องถูกของประเภทนี้จ่ออยู่ที่หลัง อวิ๋นเยี่ยเพียงแค่คิดก็เหงื่อไหลท่วมตัวแล้ว


 


ซึ่งนี่ยังไม่จบ กงซูนอนลงบนพื้น ใช้เท้าเตะตรงปีกธนูของหน้าไม้อันเล็กอย่างไม่สุดแรงเกิด ร่างกายเอนหงายไปด้านหลัง หลังจากเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดที่ชวนให้เสียวฟันเงียบลง ในที่สุดสายธนูก็ถูกขึงไว้บนตัวหน้าไม้เสร็จแล้ว  ลูกธนูเหล็กยาวประมาณหนึ่งเมตรก็ถูกกงซูเจี่ยใส่ไว้เรียบร้อยแล้ว หันด้านหน้าของหน้าไม้ออกไปให้ตรงกับเนินเขาที่อยู่ด้านนอก อวิ๋นเยี่ยเชื่อว่าหากมีศัตรูปรากฏตัวขึ้นตอนนี้ สิ่งที่รอเขาอยู่จะเป็นชะตากรรมที่น่าเศร้าอย่างที่สุด


 


ม้าศึกของเฉิงฉู่มั่วเนื้อตัวเปียกแฉะหยุดอยู่ตรงหน้าอวิ๋นเยี่ย รูจมูกที่หนาโตหายใจอย่างกระหืดกระหอบ มุมปากม้าศึกก็เริ่มมีฟองสีขาว เขากระโดดลงจากม้าอุ้มอวิ๋นเยี่ยหมุนวนรอบหนึ่งจึงค่อยปล่อยเขาลง


 


“เสี่ยวเยี่ย ไม่คิดว่าเจ้าจะมาได้ ทำไมจึงไม่ใช่เซวียว่านเช่อ” ยังคงมีท่าทีเอื่อยเฉื่อยเหมือนเดิม


 


“เหตุการณ์มีการเปลี่ยนแปลง แม่ทัพเซวียไม่สามารถออกจากเมืองซั่วฟางได้ จึงต้องให้ข้าส่งเสบียงเสริมมาให้พวกเจ้า เป็นอย่างไรบ้าง ยึดครองเมืองเซียงเฉิงได้แล้วหรือ” อวิ๋นเยี่ยอยากรู้สถานการณ์มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการบรรยายของเฉิงฉู่มั่วผู้ที่มีข้อมูลโดยตรง


 


“ฮ่าๆๆ สะใจ สะใจจริงๆ เสี่ยวเยี่ยเจ้าไม่รู้อะไร พวกเราถึงเมืองเซียงเฉิงเมื่อหลายวันก่อน หลังจากพักหนึ่งคืน ยังไม่ทันฟ้าสาง ท่านผู้บัญชาการก็มีคำสั่งให้บุกโจมตีทันที โดยบอกว่าจะจู่โจมโดยไม่ให้เขาตั้งตัว คิดไม่ถึงว่าในช่วงวิกฤตเช่นนี้ คนอย่างข่านเจี๋ยลี่ยังคงนอนหลับอยู่ กำแพงที่สูงไม่ถึงหนึ่งจั้งถูกพวกเราโจมตีได้ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม ผู้บัญชาการก็สั่งให้พวกเราวางเพลิงเพื่อทำให้ชาวเผ่าหูยิ่งวุ่นวายมากขึ้น หากข่านเจี๋ยลี่ผู้นี้สามารถจัดทัพได้ในเวลานี้ นับว่าเขายังมีคุณสมบัติพอที่จะแลกชีวิตกับพวกเราในเมือง ใครจะรู้ว่าเขากลับฉวยโอกาสที่วุ่นวายแล้วหนีไป ผู้บัญชาการจึงให้พวกเราอยู่ในเมืองรื้อค้นเป็นเวลาสองวัน ทำให้เมืองเซียงเฉิงกลายเป็นกองซากปรักหักพังอย่างแท้จริง ชาวเผ่าหูในเมืองไม่ได้หนีไปไหน ล้วนแล้วแต่กลายเป็นผีใต้คมดาบ” เฉิงฉู่มั่วพูด มือเท้าตวัดกวัดแกว่งทำท่าทีประกอบ


 


“ที่น่าขำที่สุดคือเมื่อพวกเราค้นเมืองจนทั่วและเตรียมที่จะล่าถอย กลับมีกองทัพต้าถังบุกเข้ามาลอบโจมตีเมืองเซียงเฉิง เพียงแต่จำนวนน้อยไปหน่อย น่าจะประมาณสองร้อยคน คนที่นำกำลังมาชื่อว่าซูติ้งฟาง เมื่อเห็นพวกเราลูกตาแทบจะถลนออกมา ผู้บัญชาการบอกว่าเมืองเซียงเฉิงมอบให้เขาจัดการ ทหารซั่วฟางไม่เคยทำให้กองกำลังพันธมิตรผิดหวัง จึงทิ้งม้าศึกห้าร้อยไว้ให้พวกเขาแล้วพาพวกเรากลับเมืองซั่วฟาง เจ้าดูฝูงม้าที่อยู่ด้านหลังข้า ม้าศึกหนึ่งหมื่นสามพันตัวเชียวนะ ล้วนแล้วแต่ยึดมาได้ทั้งหมดเลย”


 


เมื่อมองดูเฉิงฉู่มั่วที่ร่าเริง เขาพูดถึงม้าศึก พูดถึงการยึดทรัพย์ แต่ไม่ได้พูดถึงเชลยศึก ซึ่งสันนิษฐานว่าพวกเขาคงตายไปแล้วด้วยคมดาบของไฉเซ่า


 


นี่คือชัยชนะของต้าถังและก็คือหายนะของเมืองเซียงเฉิงเช่นกัน…

 

 

 


ส่วนที่ 4

 

ตอนที่ 21

 

การค้าอันยิ่งใหญ่ของเหล่าเหอ

 


อวิ๋นเยี่ยพอใจมากแล้วที่เฉิงฉู่มั่วไม่ได้รับอันตรายแม้แต่ปลายผม การเดินทางมายังทุ่งหญ้าแห่งนี้ก็ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างสมบูรณ์ ดีมาก ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ และก็ไม่มีใครขาดทุน ..สำหรับบุญคุณความแค้นระหว่างหลี่จิ้งและไฉเซ่านั้นไม่ปัญหาที่เขาต้องนำมาขบคิด เห็นได้ชัดว่าไฉเซ่าถือเป็นแม่ทัพที่มีคุณสมบัติคนหนึ่ง ดูจากแขนของเขาที่ต้องห้อยผ้าไว้ ก็รู้ว่าเขาบุกฆ่าอยู่แนวหน้าโดยไม่ได้หลบซ่อนตัวอยู่ข้างหลังแล้วปล่อยให้ผู้ใต้บังคับบัญชาไปตาย เมื่อครู่ที่เพิ่งเจอ อวิ๋นเยี่ยใบหน้ายังคงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ทว่าเมื่อเห็นว่ามีทหารเสริมเพียงสองร้อยกว่าคนก็หน้าถอดสีเป็นบึ้งตึงในทันที ความสามารถทางการเมืองของเขาดีกว่าพรสวรรค์ทางทหารเสียอีก พอไม่เห็นเซวียว่านเช่อก็เข้าใจทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น


 


ทหารม้าสามพันนายของเขาหลังจากผ่านศึกเมืองเซียงเฉิงมีเหลือไม่ถึงสองพันนาย และทั้งหมดนี้ก็ล้วนได้รับบาดเจ็บเกือบทุกนาย ทหารเสริมวางอาวุธลง เริ่มทำการรักษาอย่างเป็นระเบียบ ไม่เลว นักรบสามพันคนส่วนใหญ่รู้วิธีการปฐมพยาบาลเบื้องต้นบ้างแล้ว ได้ทำการพันแผลอย่างง่ายไว้ก่อนหน้านี้แล้ว ตอนนี้เป็นเพียงการตรวจสอบอีกครั้งเท่านั้นเอง คนที่ฉลาดไม่ได้มีเพียงไฉเซ่าคนเดียวเท่านั้น ตอนนี้ทหารที่เหลืออยู่ของไฉเซ่ารอยยิ้มต่างก็หายไป บางคนถึงกับเริ่มร้องไห้


 


ก็นั่นน่ะสิ ข้อพิพาทอันเหม็นเน่าของพวกระดับสูงเกี่ยวบ้าบออะไรกับเหล่าทหารในกองกำลังด้วย ตอนนี้ทำสงครามอยู่ มีคนตาย แต่กลับไม่มีผลงาน ทุกอย่างล้วนแล้วแต่ทำไปเสียเปล่า พี่น้องหนึ่งพันกว่าคนที่รบจนตัวตายแลกมากับคำพูดที่เย็นชา นั่นคือ เคลื่อนพลโดยพลการ!


 


ใครหลายคนที่ใฝ่ฝันถึงการสร้างผลงานต่างก็โดนคำพูดนี้ฆ่าตายทั้งเป็น เมื่อคนหนึ่งร้องไห้ พริบตาเดียวก็พากันร้องไห้ทั้งค่าย ไม่มีเสียงร้องไห้ฟูมฟาย ทว่าล้วนแล้วแต่สะอึกสะอื้น น้ำตาไหลนองหน้าแต่กลับไร้เสียงร้องใดๆ การร้องไห้เช่นนี้เป็นเรื่องที่กดดันที่สุด แม้แต่คนที่ชอบกินก๋วยเตี๋ยวมาโดยตลอดก็กินไม่ลง รีบกินไปครึ่งชามและไปเฝ้าอยู่ข้างเฉิงตงไม่ห่างแม้เพียงครึ่งก้าว เฉิงตงได้รับบาดเจ็บสาหัส หอกยาวอันหนึ่งเกือบจะแทงทะลุท้องน้อยของเขา ตอนนี้นอนอยู่บนเปลหามหน้าซีดเป็นไก่ต้ม ในสภาพอากาศหนาวเย็นที่อาการไข้ไม่ยอมลด ดูเหมือนว่าจะมีการอักเสบในช่องท้อง เมื่อเปิดปากแผลดู เห็นเพียงของเหลวสีเหลืองในร่างกายไหลออกมา หลังจากทำความสะอาดแผลเสร็จอีกครั้ง อวิ๋นเยี่ยใช้มีดตัดชิ้นเนื้อตายซึ่งสีเริ่มซีดลงที่อยู่รอบๆ ทิ้ง และใช้ใบกกก้านหนึ่งสอดเข้าไปในปากแผลเพื่อใช้ในการระบายน้ำออก อวิ๋นเยี่ยไม่มีชุดเข็มฉีดยา ส่วนน้ำเกลือธรรมดา[1]ที่ผลิตเองนั้นไม่บริสุทธิ์พอ สามารถใช้ทำความสะอาดปากแผลเท่านั้น แต่ไม่สามารถเพิ่มเข้าไปในกระแสเลือดได้ จึงได้แต่ต้องให้เฉิงฉู่มั่วป้อนให้เขากินน้ำเกลือเล็กน้อยทุกๆ ชั่วยาม และนำยาแก้อักเสบให้เขากิน สิ่งที่สามารถทำได้ก็ทำหมดแล้ว ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับตัวเขาเองแล้ว


 


กำลังใจทหารขวัญสลาย กองกำลังจมอยู่กับความเศร้า ไฉเซ่าเอาแต่โกรธเพียงอย่างเดียว หน่วยสืบข่าวที่ปล่อยออกไปนั้นไร้ซึ่งชีวิตชีวา เป็นเช่นนี้ไม่ดีแน่ ตอนนี้รอบด้านล้วนแล้วแต่เป็นพวกหนวดเคราดก หากทำเช่นเดียวกับไฉเซ่าที่ว่ามาปล้นค่ายบ้าง เช่นนี้ไม่เลวร้ายแย่หรือ


 


นอกเหนือจากทหารเสริมบางส่วนที่อยู่ดูแลผู้บาดเจ็บแล้ว ทหารที่เหลือก็ถูกอวิ๋นเยี่ยส่งออกไปคอยเฝ้าระวัง ขวัญกำลังใจทหารเช่นนี้ไม่ควรปล่อยให้อยู่ในทุ่งหญ้านานเกินไป พรุ่งนี้จะต้องเดินทางกลับซั่วฟาง มีเพียงภายใต้กำแพงเมืองที่สูงใหญ่โอบล้อมเท่านั้น พวกเขาจึงมีโอกาสรักษาบาดแผลและค่อยๆ ฟื้นตัวได้


 


ในเวลานี้หลี่จิ้งคงจะอาละวาดอยู่กลางทุ่งหญ้า กองทัพห้าเส้นทางกำลังจะเข้าโอบล้อมอำเภอชี่โข่ว วันสุดท้ายของข่านเจี๋ยลี่กำลังจะมาถึง เกียรติยศเหล่านี้ช่างไร้วาสนากับซั่วฟาง อวิ๋นเยี่ยเชื่อว่านับแต่วันนี้เป็นต้นไปหลี่จิ้งจะไม่ให้โอกาสแก่ทหารซั่วฟางในการสร้างผลงาน


 


ฟ้าเริ่มสว่าง อวิ๋นเยี่ยก็ตื่นขึ้นแล้ว เมื่อคืนหารือกับไฉเซ่า เขาเองก็เห็นด้วยว่าไม่ควรอยู่ที่ทุ่งร้างแห่งนี้นานเกินไป ตัดสินใจว่าวันพรุ่งนี้จะรีบเร่งเดินทางเต็มกำลัง ถึงซั่วฟางเร็วขึ้นหนึ่งวันก็สบายใจขึ้นหนึ่งวัน


 


เมื่อออกจากถ้ำ สายลมอันเยือกเย็นเข้ากระดูกก็ได้พัดพาความง่วงที่หลงเหลืออยู่หายไปในพริบตา ไฉเซ่าไม่มีถ้ำดินที่จะนอนหลับได้ จึงทำได้เพียงนอนรวมอยู่ในกระโจมเท่านั้น ท่ามกลางอากาศอันหนาวเหน็บพื้นที่หนาวเย็นมีหรือไม่มีกระโจมก็ไม่ต่างกันสักเท่าไร เมื่อคืนเขาไม่ได้ถอดเสื้อเกราะ หลับตาพักผ่อนอยู่ข้างกองไฟครู่หนึ่ง ตอนนี้ออกคำสั่งต่างๆ ไม่หยุดหย่อน หวังว่าเมื่อเหล่าทหารยุ่งวุ่นวายแล้วจะได้ลืมเรื่องที่ไม่สบายใจเหล่านั้นไป


 


การกลับบ้านมักจะเป็นสิ่งดึงดูดใจคน เมื่อกินโจ๊กร้อนๆ แล้วทั้งกองทัพจึงเคลื่อนพล เฉิงฉู่มั่วพาชื่อโหวเดินทางเป็นกองหน้า ไฉเซ่าไล่ต้อนมาศึกหมื่นกว่าตัวตามมาติดๆ มีเพียงอวิ๋นเยี่ยที่พาทหารที่บาดเจ็บนั่งรถลากเลื่อนตามอยู่ด้านหลังอย่างช้าๆ ช่วยไม่ได้ ถ้าหากใช้ความเร็วมากเกินไป มีทหารบาดเจ็บครึ่งหนึ่งที่ยังไม่ทันอดทนจนถึงซั่วฟางก็จบเห่แล้ว


 


เหอเซ่าเป็นเหมือนหนูอ้วนตัวหนึ่ง ตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงตอนนี้เขาไม่ได้หยุดพักเลย ทหารที่โจมตีเมืองเซียงเฉิงเข้าๆ ออกๆ กระโจมของเขาไม่มีหยุด เมื่อตอนที่เข้าไปพวกเขายังหน้านิ่วคิ้วขมวด แต่เมื่อออกมากลับหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ไม่รู้ว่าชายคนนี้ใช้วิธีอะไรจึงทำให้ทหารที่หัวใจแตกสลายกลับมามีรอยยิ้มอีกครั้ง


 


ตอนนี้เขากระโดดขึ้นลงบนรถลากเลื่อนของทหารที่บาดเจ็บ คุยกับคนนี้สองสามคำ ตบหลังมือคนนั้นสองสามที ดูเหมือนว่าจะตกลงการค้าอะไรกันได้สักอย่าง ใบหน้าที่อ้วนกลมของเขายิ้มจนเต็มไปด้วยรอยย่นแล้ว ทหารที่บาดเจ็บก็เหมือนจะร่าเริ่งขึ้นมากในขณะเดียวกัน แม้กระทั่งเฉิงตงเขาก็ไม่ปล่อยให้หลุดรอดไป เขาไปกระซิบข้างหูเฉิงตงเบาๆ ประโยคหนึ่ง เฉิงตงที่เดิมเพิ่งจะฟื้นสติพูดด้วยดวงตาที่เบิกกว้างว่า “บ้าน” จากนั้นก็ค้อนเข้าให้แล้วนอนต่อ


 


อวิ๋นเยี่ยจึงจับหนูอ้วนมาถาม “เจ้ากำลังทำอะไร เฉิงตงเพิ่งจะตื่นขึ้นมา เจ้าพูดอะไรกับเขา ทำให้เขาตื่นเต้นมากถึงเพียงนั้นจนสลบไปอีก”


 


“น้องชาย ข้าตอนนี้เป็นแค่พ่อค้า แน่นอนว่าต้องเจรจาการค้าสิ” เหล่าเหอพูดด้วยท่าทีที่ว่ามันก็ควรจะเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว


 


“เจ้ามีการค้าที่ทำกับเขาได้ด้วยหรือ พวกเขาเป็นทหารที่ไม่ได้มีสมบัติติดตัว เจ้าอย่าไปปอกลอกพวกเขาอีกจะได้หรือไม่” ทหารที่น่าสงสารเหล่านี้ที่ต้องมาเจอกับเหล่าเหอก็เพราะชาติก่อนก่อกรรมทำเข็ญไว้มากเกินไป ตอนนี้ในสายตาของเขาเขามีเพียงการค้าเท่านั้น ทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในสายตาสามารถแปลงเป็นราคาได้หมด ถ้าหากราคาเหมาะสมชายคนนี้ก็ไม่คิดมากที่จะขายเนื้ออ้วนๆ ของตัวเองเหมือนเนื้อหมูอย่างแน่นอน


 


“ท่านคิดว่าทหารเหล่านี้เป็นผียากไร้หรือ เช่นนั้นท่านก็ผิดแล้ว การลอบโจมตีเมืองเซียงเฉิงครั้งนี้ แม้ว่าจะไม่มีผลงานทางการทหาร แต่ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็ไม่ถือว่ามีความผิดกระมัง ยึดสมบัติมาได้มากมายถึงเพียงนั้น ท่านผู้บัญชาการคงไม่คิดเก็บไว้เพียงลำพังกระมัง ม้าศึกดีๆ ที่ยึดมาส่งมอบให้ทางการก็เป็นสิ่งที่สมควรแล้ว แต่ม้าที่ด้อยลงมาอีกหน่อยเหล่านั้นเมืองซั่วฟางก็ไม่ต้องใช้พวกมัน ดังนั้นก็ควรให้รางวัลแก่ทหารเหล่านี้บ้างใช่หรือไม่ คนหนึ่งคงไม่เยอะ แต่ถ้าสองพันคนก็กลายเป็นจำนวนไม่น้อยกระมัง ไปหาแม่ทัพใหญ่เพื่อแลกเปลี่ยนรางวัลเหล่านี้เป็นม้าศึกชั้นรองลงมา จากนั้นก็มาหาข้าเพื่อแลกม้าศึกชั้นรองลงมาเป็นบ้านแทน ไม่ดีหรือ เป็นบ้านในเมืองฉางอันเลยนะ” เหล่าเหอพูดเป็นคุ้งเป็นแคว ฟังดูน่าเชื่อถือสมเหตุสมผล เพียงแต่จะมีที่ไหนที่มีบ้านมากมายเพียงนั้นให้เขาแลก


 


“บ้านในเมืองฉางอันย่อมจูงใจผู้คนแน่นอน เพียงแต่เหล่าเหอ เจ้าคงไม่ได้โกหกนายทหารเหล่านี้ใช่ไหม ถ้าหากโกหก ข้าเชื่อว่าเจ้าจะมีชีวิตอยู่ได้เพียงไม่กี่วัน พวกเขามีหลายพันวิธีที่จะทำให้เจ้าเป็นหมูบะช่อ” อวิ๋นเยี่ยหวังว่าชายคนนี้อยากทำการค้า แต่อย่าได้อยากทำจนกระทั่งเป็นบ้าไปแล้ว


 


“แหะๆๆ” เหล่าเหอยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์อยู่พักหนึ่งแล้วพูดต่อว่า “จิตใจคนเราก็มีเลือดเนื้อ ข้าย่อมไม่ทำในสิ่งที่ทำให้บรรพชนเสียเกียรติอยู่แล้ว เมื่อบอกว่าเป็นบ้านในเมืองฉางอันก็คือบ้านในเมืองฉางอันแน่นอน ท่านไม่รู้อะไร ห่างจากคูน้ำชวีเจียงอยู่ไม่ไกลมีตรอกแห่งหนึ่งเรียกว่าตรอกตุนฮั่ว ตรอกแห่งนี้อยู่กันไม่ถึงสิบครัวเรือน ไม่ว่าเพราะว่าพื้นที่แคบ แต่เป็นเพราะไม่มีใครกล้าที่จะไปอยู่ที่นั่น ว่ากันว่าในตอนนั้นมีการต่อสู้กันที่นั่นก่อนที่ฝ่าบาทจะขึ้นครองราชย์ โหดร้ายป่าเถื่อนยิ่งนัก มีศพไม่ต่ำกว่าห้าร้อยศพ อีกทั้งเลือดยังย้อมพื้นที่จนเป็นสีแดง ตอนนี้หากเจ้าไปดูสถานที่นั้นยังมีคราบเลือดอยู่เลยได้ยินจากพวกผู้อาศัยเก่าบอกว่าบางครั้งก็จะได้ยินเสียงผีร้องไห้ในตอนกลางคืน… “


 


อวิ๋นเยี่ยจึงพูดต่อว่า “ดังนั้นราคาที่ดินมีเพียงคำเดียวว่า ‘ถูก’ ใช่หรือไม่ บางทีอาจจะมีบ้านอยู่ที่นั่น เจ้าเพียงแค่ต้องซ่อมแซมเล็กน้อย พวกเขาก็สามารถเข้าอยู่ได้ใช่ไหม”


 


“อย่าพูดเหลวไหล คำว่าราคาถูกเป็นสองคำไม่ใช่คำเดียว รถหลายร้อยคันที่บรรทุกหนังสัตว์ในฤดูใบไม้ร่วงของพี่ชายไม่มีที่จะวาง ไม่มีใครต้องการจะให้หนังที่มีกลิ่นเหม็นกองโตอยู่ใกล้ตัวเองเกินไป เพื่อนบ้านที่ถนนต่างก็ไม่เต็มใจ ไม่มีที่เก็บ ไม่มีทางเลือกจึงต้องนำไปเก็บที่ตรอกตุนฮั่ว ใครจะรู้ว่าเจ้าของบ้านจอมโหดพวกนั้นปฏิเสธที่จะให้เช่า สามารถซื้อได้เพียงอย่างเดียว เชือดพี่ชายเหมือนหมูอ้วนพีตัวหนึ่ง ข้าไม่ได้อยู่ที่บ้าน พี่สะใภ้เจ้าก็ไม่ใช่คนที่รู้จักวางแผนอะไร รถบรรทุกหนังหลายร้อยคันก็ไม่สามารถวางไว้ในที่โล่งได้ ด้วยความจำเป็นจึงต้องกัดฟันซื้อที่ดินตรงนั้นขึ้นมา ทั้งที่รู้ว่าขาดทุน ก็ต้องกระโดดลงไปในหลุมใหญ่นี้ ดินแดนแห่งเลือด สถานที่แห่งการฆ่า คนอื่นหวาดกลัว พวกทหารเหล่านี้มีหรือจะกลัว ข้าถามพวกเขาแล้ว ไม่มีใครใส่ใจ ต่างก็บอกว่าพวกเขาเห็นคนตายมากกว่าคนที่มีชีวิตเสียอีก บ้านเช่นนี้เหมาะที่สุดที่จะให้พวกเขาอยู่ เจ้าว่าการค้านี้ของข้าเป็นอย่างไร”


 


ไม่มีอะไรจะพูด ไม่มีอะไรจะพูดจริงๆ ผู้ชายคนนี้พบผู้ซื้อบ้านผีสิงที่ดีที่สุด ทั้งยังพบคนซื้อสองพันคนใรคราวเดียว แม้แต่เฉิงตงที่ปางตายเช่นนี้ก็ไม่ปล่อยให้หลุดมือ คราวนี้เกรงว่าพื้นที่ในตรอกตุนฮั่วอย่างน้อยก็เป็นบ้านเขาไปครึ่งหนึ่งแล้ว นำออกมาครึ่งหนึ่งให้พลทหารพักพิง ที่เหลือสามารถแยกขายให้กับทหารได้ต่อไปได้เมื่อมีความนิยมราคาที่ดินก็ย่อมจะสูงขึ้นตามเป็นเรื่องธรรมดา ชายคนนี้ได้กำไรม้าหลายพันตัวโดยไม่ต้องเสียเงินแม้แต่แดงเดียว ด้วยความอิจฉาริษยา อวิ๋นเยี่ยจึงตัดสินใจขอที่ดินผืนใหญ่จากเขา


 


ไม่ได้ต้องรออวิ๋นเยี่ยเอ่ยปาก เหล่าเหอก็หยิบแผนที่ออกจากอกเสื้อ ชี้ไปที่พื้นที่ส่วนที่ใกล้คูน้ำชวีเจียงที่สุดและบอกว่า “นี่คือน้ำใจของพี่ชาย น้องชายอย่าได้ปฏิเสธเป็นอันขาด… “


 


อวิ๋นเยี่ยตาโตอ้าปากค้าง ได้แต่คิดด่าอย่างแรงอยู่ในใจ ‘ให้ตายสิ’


 


เช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน เหล่าทหารไม่สามารถสร้างผลงานได้ ได้บ้านหนึ่งหลังก็ไม่เลวเหมือนกัน อย่างน้อยก็ถือเป็นการปลอบโยนพวกเขา เมื่ออวิ๋นเยี่ยและทหารที่ได้รับบาดเจ็บมาถึงที่ตั้งค่าย ฟ้าเริ่มมืดแล้ว ไฉเซ่ายืนอยู่บนเนินสูงมองดูรถลากเลื่อนเลื่อนเข้าสู่ประตูค่ายทีละตัว จากนั้นจึงค่อยกลับลงมาจากเนินเขา ไฉเซ่าเป็นห่วงทหารที่บาดเจ็บถึงเพียงนี้ ดวงตาของเหล่าเหอพลันเปล่งประกายขึ้น รู้ได้ถึงความคิดของเขา ไฉเซ่าเป็นห่วงทหารที่บาดเจ็บ ซึ่งก็หมายความว่ารางวัลคราวนี้จะไม่น้อยแน่นอน ในเมื่อรางวัลไม่น้อยแล้วก็หมายความว่าเหล่าเหอสามารถสร้างรายได้ได้เป็นกอบเป็นกำ ไฉเซ่าเดินวนเหล่าทหารที่ได้รับบาดเจ็บรอบหนึ่ง เขาดีใจที่พบว่าทหารที่บาดเจ็บยังมีคึกคักมีชีวิตชีวา บางคนยังพูดและหัวเราะได้ เขาไม่รู้ว่าอวิ๋นเยี่ยใช้วิธีการใดทำให้ทหารเหล่านี้มีความสุขขึ้นมาได้ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น จึงถามอวิ๋นเยี่ย


 


“อวิ๋นโหว ทหารที่บาดเจ็บดูแล้วยังอาการดีอยู่ ไม่ทราบเป็นเพราะเหตุอันใด”


 


“บ้านน่ะ เมื่อมีบ้าน จะมีใครยังคิดถึงผลงานการศึกกันอีก ท่านไม่ได้สังเกตเห็นหรือว่าเหล่านักรบแต่ละคนต่างก็ตาโตเหล่มองท่านอยู่” เมื่อพูดถึงเรื่องนี้อวิ๋นเยี่ยก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก


 


“บ้าน? เรื่องนี้เป็นมาเป็นไปอย่างไร มีบ้านมาจากที่ไหนกัน แล้วเกี่ยวอะไรกับข้าด้วย”


 


“มีพ่อค้าที่ไร้มโนธรรมคนหนึ่ง เขากำลังสนใจรางวัลที่ท่านจะให้แก่ทหารที่บาดเจ็บ เขากับทหารที่บาดเจ็บได้ตกลงกันเรียบร้อยแล้วว่าหากได้รับรางวัลเมื่อไหร่ ก็จะนำมาแลกเปลี่ยนเป็นบ้านให้พวกเขา ทั้งยังเป็นบ้านในเมืองฉางอันอีกด้วย ดังนั้นเมื่อมีบ้าน จึงลืมผลงานทางการศึก”


 


ไฉเซ่าโกรธมากจนสั่นเทาไปทั้งร่าง “ใครกัน ใครที่ใจกล้าถึงกับกล้าคิดจะหลอกลวงทหารของข้า ข้าจะเฉือนมันเป็นหมื่นๆ ชิ้น”


 


อวิ๋นเยี่ยขวางหน้าไฉเซ่าที่กำลังโกรธแล้วบอกกับเขาว่า “ท่านผู้บัญชาการ ท่านคงจะไม่ปฏิเสธที่จะให้รางวัลแก่ผู้ใต้บังคับบัญชาที่ติดตามร่วมเป็นร่วมตายกับท่านกระมัง”


 


“แน่นอนว่าต้องให้รับรางวัล คราวนี้ข้าผิดต่อพวกเขา หากไม่ให้รางวัลใหญ่จะชดเชยความรู้สึกผิดในใจข้าได้อย่างไร แต่ทว่าพ่อค้าหน้าเลือดคนนี้กลับมาหลอกลวงพวกเขา หวังขูดรีดหยาดเหงื่อของพวกเขา ข้าจะให้ห้าม้าแยกร่างเดี๋ยวนี้เลย จะได้ให้ดูเป็นเยี่ยงอย่าง“ ไฉเซ่าโกรธจัดจนใกล้จะเป็นบ้าแล้ว


 


“ท่านผู้บัญชาการ ข้าเองก็หวังว่าชายคนนี้จะถูกห้าม้าแยกร่าง แต่ทว่าชายคนนี้ก็ไม่ได้หลอกลวง ข้อตกลงระหว่างเขากับเหล่าทหารนั้นยุติธรรมเป็นที่สุด เราจึงไม่มีเหตุผล” สำหรับทุกคนที่ฉลาดกว่าตัวเอง อวิ๋นเยี่ยรู้สึกรังเกียจมาก ห้าม้าแยกร่างเป็นความคิดที่ดี


 


“ไม่ได้หลอกลวงรึ มีบ้านในเมืองฉางอันจริงๆ หรือ นั่นราคาแพงมากเลยนะ เงินรางวัลที่ได้นั้นไม่เพียงพอที่จะซื้อบ้านในเมืองฉางอันแน่” ไฉเซ่าสับสนเป็นอย่างมาก เขาไม่เชื่อว่าใต้หล้านี้จะมีคนที่ตั้งใจทำการค้าแล้วยังยอมแถมเงินให้อีกส่วนโดยเฉพาะ


 


“ท่านคงต้องเชื่อ นี่เป็นเรื่องจริง ทหารซื้อบ้านไม่ได้มีเงื่อนไขอะไรมากมายเหมือนกับพวกเรา พวกเขาเพียง แต่หวังว่าจะมีที่พักในเมืองฉางอันเท่านั้นเอง ไม่ได้ต้องการขนาดใหญ่ เพียงแค่มากพอให้ตัวเองและทั้งครอบครัวอยู่ได้ก็พอแล้ว” บ้านหนึ่งหลังที่แบ่งเป็นสามส่วนจะอาศัยสักสิบกว่าครอบครัวก็ไม่เป็นปัญหา ท่านยังคิดว่าเขาหลอกลวงหรือไม่” เมื่ออวิ๋นเยี่ยอธิบายไฉเซ่าเองก็ตาโตอ้าปากค้างเช่นเดียวกับเขา มีชีวิตอยู่มานานหลายทศวรรษ ไม่เคยรู้เลยว่าบ้านหลังหนึ่งยังสามารถขายให้กับคนสิบกว่าครอบครัว อีกทั้งผู้ซื้อเหล่านี้ต่างก็เป็นพี่น้องที่สนิทชิดเชื้อกัน ไม่เป็นปัญหาแม้แต่น้อยในการอยู่ร่วมกัน ผู้ที่คิดวิธีการนี้ได้ช่างมีความคิดที่ยาวไกลอะไรเช่นนี้


 


“บอกพ่อค้าคนนั้นด้วย เหลือบ้านสักพันหลังให้ข้าด้วย”


 


 


——


 


[1] น้ำเกลือธรรมดา หรือ น้ำเกลือชนิดนอร์มอลซาไลน์ เป็นน้ำเกลือธรรมาดาทั่ววไปที่มีความเข้มข้นเพียง 0.9% ซึ่งเป็นค่าที่เท่ากับเกลือที่อยู่ในกระแสเลือดของคนทั่วไป

 

 

 


ส่วนที่ 4

 

ตอนที่ 22

 

ขาดทุนย่อยยับ

 


ไฉเซ่าเรียกเหล่าเหอมาถามเรื่องบ้านอย่างละเอียด คิดว่าเหล่าเหอเอากำไรมากเกินไป ทหารของเขาขาดทุนเกินไป โดยบอกว่าตรงนั้นล้วนเป็นบ้านเก่า อยู่ได้ไม่กี่ปีพวกเขาก็ต้องสร้างใหม่ เว้นเสียแต่ว่าเหล่าเหอจะเสนอวิธีแก้ปัญหาให้เขาได้ มิฉะนั้นเขาจะเปลี่ยนรางวัลที่จะให้แก่ทหารทั้งหมดเป็นหอกดาบที่มีคุณภาพดีกว่า


เหล่าเหอร้องไห้คร่ำครวญ มาหาอวิ๋นเยี่ยช่วยหาวิธี เขาจะเอาหอกดาบไปทำอะไร เขาไม่ได้คิดที่จะกบฏเสียหน่อย แต่สัญญาได้ลงนามไปแล้ว หากทำตามวิธีของไฉเซ่า เขาจะไม่ได้กำไรแม้แต่สลึงเดียว มิหนำซ้ำบางทีเขาอาจจะยังขาดทุนอีกด้วย ทุกวันนี้การค้าของเขาดำเนินไปอย่างราบรื่น มีหรือจะรับเรื่องการขาดทุนที่น่าหวาดหวั่นเช่นนี้ได้ บทที่หนึ่งร้อยเจ็ดสิบเอ็ดของเขาคือต้องรักษาดินแดนให้ได้มากขึ้น ไฉเซ่าไม่เข้าใจเหตุผลลึกๆ เพียงแต่มองเห็นทหารของเขาอาศัยอยู่ในบ้านหลังใหม่ ทั้งยังมีพื้นที่กว้างขวางมากขึ้น


    เมื่อคนเราอารมณ์ดี ไม่ว่าจะทำอะไรก็เป็นที่น่าพอใจไปหมด ไฉเซ่าบอกรูปแบบบ้านให้เหล่าทหารฟังและได้รับเสียงโห่ร้องเต็มที่ประชุม สำหรับพวกเขา การมีทรัพย์สินในฉางอันถือเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ เมื่อคิดว่าหากไม่มีงานอะไรก็ไปเดินเล่นในเมืองฉางอัน ไม่ต้องทนฟังเสียงตีฆ้องร้องป่าวตามท้องถนนเหมือนเพื่อนบ้านคนอื่นๆ จนต้องออกนอกเมืองโดยไม่คิดชีวิต หากหนีไม่ทันก็จะถูกจับกลับมาเฆี่ยนตี ตอนนี้ไม่ต้องแล้ว ขอเพียงไปที่ตรอกตุนฮั่วก็สามารถนอนในบ้านของตัวเองและนั่งฟังดนตรีได้อย่างสบายใจ


    เป้าหมายสูงสุดของการแสวงหาผลงานทางทหารก็เพื่อรางวัลไม่ใช่หรือ การเป็นทหารตัวเล็กๆ ที่ต้องการสร้างผลงานทางทหารเพื่อสร้างเนื้อสร้างตัวนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ ครั้งนี้รบชนะ อีกทั้งรางวัลที่ท่านผู้บัญชาการจะให้ก็มากอย่างไม่เคยมีมาก่อน ในฐานะทหารหลวง พวกเขาเป็นลูกหลานของเกษตรกรที่มีฐานะในละแวกไม่ไกลจากเมืองฉางอัน เพียงแต่การเป็นทหารของพวกเขาสามารถลดภาษีของครอบครัวได้ จึงได้พยายามทำหน้าที่อย่างเต็มที่ เรื่องอื่นๆ ก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับพวกเขา เมื่อมีบ้านก็สามารถอาศัยอยู่ในเมืองฉางอันได้ สิ่งแรงจูงใจนี้ สำหรับพวกเขาแล้วถึงกับเอาชีวิตเข้าแลกได้เลย


    เสียงฝีเท้าม้าที่เดินทางกลับดูเหมือนจะสดชื่นขึ้นมาก ทหารต่างรอคอยที่จะกลับไปยังค่ายทหารโดยเร็วที่สุดเพื่อรอการแจกจ่ายรางวัล เช่นนี้แล้วพวกเขาก็จะได้มีบ้านที่ฉางอันหนึ่งหลังแล้ว ได้ยินว่าเป็นอาคารสองชั้นด้วย


ม้าศึกหมื่นกว่าตัวเดินกรูเข้าเมืองซั่วฟางราวกับน้ำหลาก ดึงดูดความสนใจของชนเผ่าเล็กๆ จำนวนมาก พวกเขาโผล่ออกมาจากสถานที่ที่คาดไม่ถึง กระโดดขึ้นขี่ม้าศึกตัวหนึ่งแล้วหนีไป ถึงแม้ว่าหลายคนจะตายภายใต้ลูกดอกของหน้าไม้ แต่ก็มีคนที่ทำสำเร็จมากมาย ทหารของกองทัพถังโกรธมาก ในสายตาของพวกเขาม้าศึกเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของที่อยู่อาศัยของตนเองในฉางอัน เพียงสองวันถูกชาวเผ่าหูขโมยม้าไปหนึ่งร้อยกว่าตัว ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่ยอมไม่ได้ ให้ตายสิ วันนี้เจ้าขโมยหน้าต่างข้าไป พรุ่งนี้ก็ขโมยประตูข้า หากขโมยเช่นนี้ต่อไป ข้ายังจะมีเหลืออีกหรือ


    ชาวเผ่าหูที่ถูกจับได้แรกเริ่มจะถูกตัดศีรษะ จากนั้นก็เริ่มตัดเอว ต่อมาเริ่มใช้ห้าม้าแยกร่าง ศพที่ขาดกระจายถูกม้าศึกลากไปทั่วพื้นหิมะ ตลอดทางที่ผ่านมา อวิ๋นเยี่ยเห็นทุกส่วนของร่างกายคนไม่น้อยกว่าสิบคน  ทหารหลวงที่ทำหน้าที่เปิดทางก็เตะทิ้งไม่สนใจ โดยเตะศีรษะหรือต้นขาไปบนพื้นหิมะที่ด้านข้างของถนนด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความเจ็บแค้น


    เฉิงตงไข้ลดลงและมีสติดีขึ้นแล้ว ดูเหมือนว่ายาแก้อักเสบได้ผลดีต่อร่างกายคนโบราณเป็นอย่างมาก ร่างกายของพวกเขาไม่มีอาการดื้อยา ปริมาณยาเพียงเล็กน้อยเท่านั้นก็เห็นผลแล้ว ยาแก้อักเสบหนึ่งเม็ดสำหรับคนโบราณแล้วมีประสิทธิภาพในการช่วยชีวิตได้ ดังเช่นเฉิงตง เขากินเพียงเม็ดเดียวแต่เห็นผลลัพธ์ดีจนน่าตกใจ


เหลือไม่มากแล้ว อวิ๋นเยี่ยเลือกยาเม็ดที่ใก้ลหมดอายุการเก็บรักษาให้เขากิน พวกนั้นยังมีอายุการเก็บรักษามากกว่าหนึ่งปี ต้องเก็บรักษาไว้ให้ดี


มีศีรษะคนตกกลางถนนอีกแล้ว ทหารเสริมหนุ่มคนหนึ่งกระโดดลงจากรถลากเลื่อน สองเท้าหนีบไว้ หนีบศีรษะขึ้นมาราวกับหนีบลูกตะกร้อโดยที่ยังไม่ทันแตะถึงพื้น ก็ลอยตัวฟาดเท้าใส่ศีรษะนั้น เขาลืมไปว่าตอนนี้เป็นฤดูหนาวหัว มนุษย์ถูกแช่แข็งอยู่บนถนนเป็นเวลานานชั่วยามกว่าแล้ว มันจึงแข็งเหมือนก้อนหิน


อวิ๋นเยี่ยขมวดคิ้ว รอจนทหารเสริมคนนั้นร้องครวญคราง เป็นจริงดังคาด เสียงร้องครวญครางดังขึ้น เสียงนั้นโหยหวนมากทำให้ทุกคนหัวเราะลั่น อวิ๋นเยี่ยหลับตาลง ไม่กล้าจินตนาการเลยว่ามันจะเป็นอย่างไร หากมีหัวมนุษย์ปรากฏอยู่บนถนนอย่างต่อเนื่องตลอดทางในชีวิตยุคก่อนหน้านี้


ใต้ก้อนหินข้างทางมีบางสิ่งถูกกดทับไว้ ทหารเสริมอยากรู้อยากเห็นจึงเข้าไปสำรวจ หมาน้อยที่หลายวันนี้เอาแต่เงียบไม่พูดจา พลันหมอบลงตรงข้างถนนแล้วอาเจียนอย่างรุนแรง อวิ๋นเยี่ยหันหน้าหนีไม่ไปมอง เพราะเขากังวลว่าตัวเองจะนอนไม่หลับ


“นี่เรียกว่าตรึงร่าง เป็นการนำร่างมนุษย์มากางแขนขาออก ใช้ลิ่มไม้ตอกติดอยู่กับพื้น บนร่างใช้ก้อนหินขนาดใหญ่กดทับไว้ ในตอนแรกเขายังคงหายใจได้ ผ่านไปช่วงหนึ่งอากาศในท้องของเขาจะน้อยลงเรื่อยๆ เมื่อก้อนหินดันให้อากาศออกมา คนคนนั้นก็ต้องพยายามออกแรงสูดลมหายใจ ทุกครั้งที่หายใจก็ต้องใช้กำลังทั้งหมดที่มี คนคนนี้ไม่ได้ถูกก้อนหินทับตาย แต่หมดแรงตายทั้งเป็น อวัยวะภายในทั้งหมดจะไหลออกมาจากปากของเขา โหวเหยีย ปกติท่านไม่ค่อยได้อยู่ในกองทัพ คราวก่อนที่หล่งโย่ว กงเหยียกลัวว่าท่านจะปรับตัวไม่ได้ ดังนั้นท่านจึงไม่รู้เรื่องเหล่านี้”


    เฉิงตงเห็นว่าสีหน้าของอวิ๋นเยี่ยนั้นย่ำแย่มาก จึงเอ่ยปากพูดเปิดประเด็นให้เขาฟัง คิดไม่ถึงว่าพูดจบแล้วสีหน้าของอวิ๋นเยี่ยกลับยิ่งแย่ลงไปอีก


    กองทัพเป็นหน่วยงานที่มีความรุนแรง ไม่ใช่สถานที่ที่จะสามารถมืออ่อนใจอ่อนได้ อวิ๋นเยี่ยรู้ถึงจุดอ่อนของเขาดี ดังนั้นเขาจึงพยายามหลีกเลี่ยงสนามรบ เพราะไม่ต้องการเห็นสภาพที่ศีรษะผู้คนกลิ้งเกลื่อนกลาด ไม่ว่าใครก็ตาม เมืองที่ถูกทำลายในประวัติศาสตร์นั้นเลวร้ายยิ่งกว่าการสังหารหมู่ การสังหารหมู่ยังมีขีดจำกัดในเรื่องเวลาในการฆ่า แต่การบุกทำลายเมืองไม่มีขีดจำกัดเรื่องเวลา ไม่ต้องคิดก็รู้ว่า เมืองเซียงเฉิงคือสภาพเมืองที่ถูกตีแตกแล้วเข้ายึด ภายในสองวัน ที่นั่นก็กลายเป็นเมืองร้าง


    นี่เป็นเหมือนโลกแห่งการฆาตกรรม ข่านเจี๋ยลี่ได้ฆ่าชาวฮั่นในแดนกวนจง ไฉเซ่าฆ่าพวกเคราดกในทุ่งหญ้า ไม่มีเหตุผลที่กล่าวอ้างได้เลย การฆ่าคนเหมือนผักปลา เจ้าฆ่าข้า ข้าฆ่าเจ้า ก็ยุติธรรมอย่างที่สุดแล้ว การฆ่าอันโหดร้ายแต่ไรมาไม่เคยหยุด หนึ่งพันปีให้หลังก็ยังคงต่อเนื่องไป เพียงแต่เป็นการฆ่าที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นเท่านั้นเอง เมื่อถึงเวลาที่ระเบิดปรมาณูปรากฏขึ้น ในที่สุดก็หยุดลง ไม่มีใครกล้าที่จะฆ่าใครแล้ว เพราะในเวลานี้ การฆ่าคนอื่นย่อมเท่ากับการฆ่าตัวตาย


    ประวัติศาสตร์เป็นเหมือนเด็กที่โลภมาก ถือโอกาสในขณะที่ยังไม่ได้รับการอบรมก็จะทำตามอำเภอใจอย่างสุดชีวิต ข่านเจี๋ยลี่ใกล้จะต้องชดเชยค่าเสียหายให้กับการกระทำของเขาในไม่ช้า ราชวงศ์ถังกลับต้องรออีกหลายร้อยปีให้หลังจึงค่อยชดเชยค่าเสียหายที่น่ากลัวยิ่งกว่า


เรื่องของชะตากรรมปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรกในหัวสมองของอวิ๋นเยี่ย ทุกอย่างในตอนนี้ก็เหมือนการเดินวนเป็นวงกลมขนาดใหญ่ ตั้งแต่ต้นจนจบเดินไปจนถึงจุดเริ่มต้น เป็นวังวนไม่มีที่สิ้นสุด อวิ๋นเยี่ยเป็นมดตัวหนึ่งที่อยู่นอกวงกลม มดตัวหนึ่งที่สามารถมองเห็นมดทั้งหมดในวงกลมได้อย่างชัดเจน เขาอยากให้วงกลมกลายเป็นเส้นตรงหนึ่งเส้น แต่ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ความแตกต่างของกำลังทำให้เขารู้สึกหมดหวัง โชคดีที่เขายังคงไม่ได้หลอมรวมเข้ากับวงกลมนั้น หยุดก้าวเข้าสู่วงกลมนั้นได้ในนาทีสุดท้าย


เขาเบิกตากว้าง มองดูศพที่แขวนอยู่ข้างถนนอย่างไร้ความรู้สึก ราวกับว่ามันไม่ใช่ศพแต่เป็นเพียงโมบาย เขาต้องฝึกจิตใจตัวเองให้เข้มแข็งอย่างที่สุด ความพยายามนี้ดำเนินไป จนกระทั่งเขาเห็นหญิงเลี้ยงแกะคนนั้นกลายเป็นโคลนกองหนึ่ง


    นางยืนชะเง้อคอมองอยู่ข้างถนนพร้อมกับน้องชายของนาง เมื่อเห็นอวิ๋นเยี่ยมาถึง กลับเขินอายขึ้นมาแล้วส่งของเส้นหนึ่งให้อวิ๋นเยี่ย ก่อนจะหันหลังวิ่งหนีไป ทำให้อวิ๋นเยี่ยรู้สึกงงงวย น้องชายนางตะโกนใส่อวิ๋นเยี่ยประโยคหนึ่งด้วยภาษาต่างประเทศแล้วก็วิ่งหนีไปเช่นกัน ทว่าหญิงเลี้ยงแกะก็วิ่งกลับมาอีกครั้ง ควานหาของจากตัวอวิ๋นเยี่ยอยู่เป็นเวลานาน ในที่สุดนางก็เห็นหยกของอวิ๋นเยี่ย นางกำเอาไว้ในมือและพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ ก่อนจะวิ่งหนีไปอีกครั้ง …


   ทหารถังทุกคนตาโต จ้องมองไปที่โจรป่าหญิงที่น่ากลัวที่สุดมาโดยตลอดผู้นั้น แม้แต่ทหารที่บาดเจ็บที่ส่งเสียงครวญอิดออดก็ยืดคอมองจนลืมร้องเรียก จนกระทั่งหญิงคนนั้นวิ่งไปถึงด้านหลังของเนินเขา ทุกคนก็เริ่มหัวเราะขึ้น เหล่าทหารที่บาดเจ็บหัวเราะจนน้ำตาไหล ครึ่งหนึ่งมีความสุขและครึ่งหนึ่งรู้สึกเจ็บปวด


    อวิ๋นเยี่ยมองของที่อยู่ในมือ เป็นกระดูกแกะที่ร้อยไว้เป็นพวง กระดูกข้อต่อของกีบเท้าแกะนั้นได้ถูกขัดจนเป็นมันเงาเป็นไว้ก่อนแล้ว จึงมีความรู้สึกว่าเปลี่ยนแปลงจากหน้ามือเป็นหลังมือ


    “โหวเหยีย ผู้หญิงคนนั้นชอบท่าน นางมอบกาลาฮั่น[1]ให้กับท่าน ซึ่งหมายความว่านางชอบท่านมากหวังเป็นอย่างยิ่งว่าท่านจะไปสู่ขอนางที่บ้าน นางจะรอท่านตลอดไป โหวเหยีย ท่านคงจะไม่คิดแต่งงานกับหญิงเลี้ยงแกะใช่หรือไม่ น้องชายนางบอกว่า หากท่านกล้าไม่ไปละก็ เขาจะฆ่าท่าน”


    หลังจากเฉิงตงอธิบายจบแล้ว ก็กระแอมหัวเราะเสียงดังขึ้นทันที เขามีแผลอยู่ที่ท้อง การหัวเราะครั้งนี้ทำให้เขาปวดมากสุดจะบรรยาย


    ขาดทุนย่อยยับ หยกที่ตัวนั้นเป็นอันที่ท่านย่าเลือกแล้วเลือกอีกจึงให้เขาพกติดตัวไว้ ราคาจะต้องแพงแน่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบนนั้นยังสลักลายสัญลักษณ์เมฆลายขนนก[2]ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ประจำตระกูลอวิ๋นไว้ด้วย  ราคาย่อมไม่น้อยกว่าหนึ่งร้อยก้วนแน่ เมื่อคิดถึงป้ายหยกแล้วมองดูที่กระดูกในมือของเขา อวิ๋นเยี่ยกอดกระดูกไว้ในอ้อมแขนพลางพึมพำกับตัวเอง “ขาดทุน ขาดทุนย่อยยับเลย”


    สภาพอากาศบนทุ่งหญ้าเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เมื่อครู่เพิ่งจะมีหิมะตกเล็กน้อย พริบตาเดียวก็กลายเป็นหิมะก้อนโต ทัศนวิสัยสามารถมองห่างออกไปเพียงสิบเมตรได้ อวิ๋นเยี่ยแยกไม่ออกอีกแล้วว่าตรงไหนเป็นถนนใหญ่ ตรงไหนเป็นทุ่งหญ้า จึงหยิบเข็มทิศออกมา หาทิศทางของซั่วฟางพบจากบนแผนที่ จึงได้เดินไปข้างหน้าอย่างช้าๆ และหยุดไม่ได้เท่านั้น ไม่เช่นนั้นหิมะที่ตกหนักเช่นนี้จะทำลายสิ่งมีชีวิตทั้งหมด เขาค่อย ๆ เดินไปข้างหน้าและเดินอย่างระมัดระวังอย่างยิ่งยวด


ทันใดนั้นก็มีเสียงร้องเพลงดังขึ้นมาจากข้างหน้า เป็นเสียงของหญิงสาว อวิ๋นเยี่ยจึงออกคำสั่งให้มุ่งหน้าไปตามเสียงเพลง ทั้งกองทัพก็ตื่นตัว ดาบออกจากฝัก ลูกดอกขึ้นเอ็นบนหน้าไม้ หากเป็นกับดักศัตรูก็จะได้เตรียมพร้อมทัน ทุกอย่างต้องรอจนกว่าหิมะหยุดจึงจะแยกแยะได้


เสียงเพลงได้ยินเป็นระยะๆ แต่กลับไม่ขาดสาย ทุกคนจึงเดินหน้าตามเสียงเพลง หลังจากนั้นสองชั่วยาม หิมะหยุดแล้ว เบื้องหน้ากลับยังไม่เห็นเงาคนที่ร้องเพลง


เห็นแนวกำแพงป้องกันอยู่แต่ไกลตั้งตระหง่านอยู่ที่นั่น ทั้งยังมีทหารม้ากำลังพุ่งตัวออกจากแนวกำแพงเมือง หิมะเป็นสิ่งกีดขวางต่อฝีเท้าม้า พวกเขาจึงลงจากหลังม้าและวิ่งเข้ามา จึงได้รู้ว่าเป็นเฉิงฉู่มั่ว


อวิ๋นเยี่ยหันกลับมามอง แต่ไม่เห็นคนที่ร้องเพลง เพียงแต่เขาได้ยินเสียงร้องอย่างน่าเวทนามาแต่ไกล


“นางบอกว่า จะไม่พบเจ้าอีกแล้ว” เฉิงตงยืนแปลอยู่ตรงนั้น


——


[1] กาลาฮั่น เป็นภาษาถิ่นแถบซินเจียง หมายถึง ข้อกระดูก


[2] สัญลักษณ์เมฆลายขนนกหรือลายซีร์รัส เป็นสัญลักษณ์ที่ทำเลียนแบบปรากฏการณ์ธรรมชาติของก้อนเมฆ ซึ่งซีร์รัส เป็นเมฆชั้นสูง มีลักษณะบาง ๆ ละเอียดสีขาวเป็นฝอยหรือปุกปุยคล้ายขนนก 

 

 

 


ส่วนที่ 4

 

ตอนที่ 23

 

คำสั่งกองทัพมั่นคงดุจภูผา

 


เรื่องต่างๆ ในโลกนั้นเรียบง่ายมาก เพียงแต่เรามักจะยึดถือตัวเองว่าเป็นวิญญาณของสรรพสิ่งและมองการกระทำของผู้อื่นให้ซับซ้อน การที่คนคนหนึ่งรักคนอีกคนหนึ่ง ระหว่างพวกเขาไม่มีสิ่งที่เรียกว่าเส้นแบ่งเขตอะไรทั้งสิ้น ก็เหมือนหญิงเลี้ยงแกะที่ตกหลุมรักอวิ๋นเยี่ย ในความคิดที่เรียบง่ายของนางไม่มีเรื่องเผ่าพันธุ์ ฐานะและรูปร่างหน้าตาอันเป็นสิ่งยุ่งเหยิงเหล่านี้ นางอยากจะอยู่กับอวิ๋นเยี่ย ชอบที่จะได้สัมผัสกลิ่นกายของเขา รู้สึกปลอดโปร่งมาก ดังนั้นจึงตั้งใจล้างหน้ามาโดยเฉพาะและใช้น้ำจากหิมะมาสระผม ท่านแม่บอกว่าชายชาวฮั่นชอบผู้หญิงที่สะอาด นางไม่ชอบล้างหน้าและไม่ชอบสระผม เพราะมันหนาวมาก เมื่อโดนลมพัดก็จะเกิดแผลปริแตกซึ่งมันเจ็บมาก แต่ว่านางชอบความรู้สึกที่ได้อยู่กับชายชาวฮั่นซึ่งมีกลิ่นกายชวนดมคนนั้นมาก นางจึงกัดฟันนำน้ำหิมะที่ละลายแล้วมาสระผม ท่านแม่หวีผมและถักเปียให้นาง นางหยิบดอกเยียนจือที่เด็ดจากภูเขาในแดนไกลช่วงฤดูร้อนออกมา แล้วบดมันเป็นผงทาบนใบหน้าเล็กน้อย แล้วทาบนริมฝีปาก จากนั้นไปส่องเงาจากน้ำในหม้อ หญิงในน้ำนั้นงดงามมาก ท่านแม่บอกว่านางงามมาก เป็นหญิงที่สวยที่สุดที่นางเคยพบมา


นางรอคอยอยู่ข้างทางด้วยความมั่นใจ หิมะใกล้จะตกหนักแล้ว พวกเขาจะต้องเดินกลับทางเดิม ไม่เช่นนั้นต้องตายแน่ นางค่อนข้างเป็นกังวล …


เห็นเขาอีกครั้งแล้ว เขานั่งบนรถที่ไม่มีล้อ มองและยิ้มให้ตัวเองอย่างอ่อนโยน แต่เขาก็โง่มากที่เขาเห็นหญิงสาวสวยเช่นนี้กลับไม่รู้จักพูดคุย ยืนยิ้มโง่ๆ อยู่ตรงนั้น ชายชาวฮั่นมักจะโง่เช่นนี้หรือ


โชคดีที่ข้าไม่ได้โง่ กาลาฮั่นเป็นสิ่งที่ข้ารวบรวมมาตั้งแต่เด็ก ทุกครั้งที่กินแกะหนึ่งตัวก็จะเก็บกาลาฮั่นหนึ่งอัน ตอนนี้สามารถนำมาแขวนคอได้แล้ว ตอนนี้มอบกาลาฮั่นให้เขา เขาจะได้รู้ว่ามีสาวงามชอบเขาเข้าแล้ว


ทำไมมันถึงแตกต่างจากที่ท่านแม่พูด เขาไม่ได้ตามมา ไม่ได้กอดทับข้าไว้พื้นหิมะ เขาไม่เห็นความงามของข้าหรือ


ตาบอด คนตาบอดที่ไม่เห็นสาวงาม อย่างนั้นจะให้โอกาสเขาอีกครั้ง คราวนี้จะวิ่งให้ช้าลง เขาดูไม่แข็งแรง บางทีอาจจะตามไม่ทัน…


หญิงเลี้ยงแกะจูงม้ากลับมาพร้อมกับน้ำตา นางรู้สึกเก็บกดมาก ชาวฮั่นที่สูงใหญ่คนหนึ่งให้ม้านางไว้โดยบอกว่านางเป็นคนรักของเขาจึงมอบให้ บนหลังม้าได้แบกของเอาไว้มากมาย บอกว่ามันคือของขวัญตอบรับที่ให้คนรัก ที่แท้เขามีภรรยาแล้ว ภรรยาของเขาสวยเหมือนข้าหรือไม่ หญิงเลี้ยงแกะหยิบหินสีขาวที่สวยงามออกมาจากอกเสื้อแล้วถูบนใบหน้า ก่อนจะหันกลับไปมองทุ่งหญ้าที่ปกคลุมด้วยหิมะขาวโพลนด้านหลังของนาง


…..


การเดินทางครั้งนี้ อวิ๋นเยี่ยพยายามที่จะไม่คิดถึงสนามรบที่น่าเวทนา ถึงขั้นค่อนข้างอยากจะหลีกหนีจากสนามรบด้วยซ้ำ คนปกติคนหนึ่งไม่มีใครชอบสภาพที่ศีรษะกลิ้งไปมา ร่างกายกระจัดกระจายเป็นแน่ เว้นเสียแต่เป็นพวกวิปริตอย่างที่สุดจึงจะชอบสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยเลือดเช่นนี้


หากเลี่ยงได้ก็อยากเลี่ยง เพื่อหัวใจที่เปราะบางของตัวเอง จะเป็นการดีที่สุดหากไม่ต้องเห็นฉากนี้ตลอดชีวิต


ครั้นกลับมาถึงซั่วฟางอีกครั้ง ซุนซือเหมี่ยวหน้าบูดบึ้งใส่อวิ๋นเยี่ย หน้าบึ้งตึงทั้งวันและไม่พูดอะไร ทั้งยังไม่สนใจอวิ๋นเยี่ยด้วย จนกระทั่งหลังจากที่อวิ๋นเยี่ยสบถสาบานว่าจะไม่เอาตัวเข้าไปข้องเกี่ยวกับอันตรายอีก เมื่อครู่จึงค่อยดูดีขึ้น


ไฉเซ่าได้รับการตำหนิอย่างรุนแรงจากหลี่จิ้ง และสั่งให้เขาทำการป้องกันซั่วฟางอย่างสุดกำลังอย่าให้เกิดปัญหา นี่เป็นคำสั่งที่ไม่มีประสิทธิภาพ รอบเมืองซั่วฟางไร้สิ้นศัตรูแล้ว ศัตรูที่อยู่ใกล้ๆ เพิ่งถูกไฉเซ่าสังหารจนหมดสิ้น ชาวถู่อวี้หุน ชาวเถี่ยเล่อ น่าขำ! ต้าถังไม่ไปตามรังควาญพวกเขา พวกเขาควรแอบดีใจแล้ว ยังกล้ารนหาที่ตายอีกหรือ


เพียงแค่คำตำหนิ หลี่จิ้งไม่มีสิทธิ์ที่จะจัดการไฉเซ่าได้ ไม่ว่าจะด้วยตำแหน่งหรือประสบการณ์ล้วนแล้วแต่ไม่มีคุณสมบัติเพียงพอ ดูเหมือนว่าเขาจะคิดอะไรบางอย่างได้แล้ว จึงไม่ร้องขอที่จะนำทัพออกรบอีกต่อไป เพียงแค่ให้รางวัลเป็นการใหญ่แก่ทหารที่ติดตามเขาออกศึก


ทรัพย์สินล้วนแล้วแต่ตกอยู่ในมือของเหอเซ่า ใบหน้าอ้วนกลมใหญ่ๆ เห็นเพียงแค่ปากดูมีความสุขจนชวนคนรังเกียจ


หนิวจิ้นต๋าต้องออกสู่แนวหน้าแล้ว นำทหารสองหมื่นนายของเขาไปที่เขาอินซัน นี่คือสนามรบที่หลี่จิ้งวางแผนไว้ล่วงหน้าและจะเป็นที่พักพิงสุดท้ายของข่านเจี๋ยลี่ เหล่าหนิวไม่รอให้อวิ๋นเยี่ยกลับมา ก็นำทัพออกไป เขาเอารถลากเลื่อนทั้งหมดที่มีไป ทหารหลวงสองหมื่นนายของต้าถังติดตามเขาไปยังสนามรบแห่งใหม่


บางทีพฤติกรรมของอวิ๋นเยี่ยคงกระตุ้นให้หลี่จิ้งโกรธเข้า เขาและเฉิงฉู่มั่วจำเป็นต้องไปที่จื้อโข่วเพื่อรายงานกับเขา แต่กลับทิ้งให้ซุนซือเหมี่ยวอยู่ที่ซั่วฟาง


ครั้นมองดูหิมะที่โปรยปรายอยู่ข้างทาง จิตใจของอวิ๋นเยี่ยก็เหมือนท้องฟ้ามืดครึ้มที่ทอดยาว เขาที่รู้ประวัติศาสตร์เข้าใจดีว่า การต่อสู้ในทุ่งหญ้าเป็นการต่อสู้ครั้งสุดท้ายของไฉเซ่า เมื่อเขากลับมาที่ฉางอันเขาจะถูกถ่ายโอนไปยังฝ่ายบุ๋น และไม่มีโอกาสได้นำทัพออกรบอีกต่อไป อวิ๋นเยี่ยกลายเป็นปัจจัยที่ไม่คงที่ จำเป็นต้องโยกย้ายออก


ไฉเซ่าย่างแกะหนึ่งตัวด้วยตัวเองแล้วเรียกอวิ๋นเยี่ยกับเฉิงฉู่มั่วมาเพื่อเลี้ยงส่ง เนื้อแกะไม่อร่อย นอกจากเกลือแล้วไม่มีรสชาติอื่นเลย แต่บรรยากาศดีมาก ในงานเลี้ยงไฉเซ่าทั้งร้องเพลงและแต่งกลอน เฉิงฉู่มั่วรำกระบี่หนึ่งชุด สุดท้ายทั้งสามคนเริ่มหยุดลง อวิ๋นเยี่ยจู่ๆ ก็นึกถึงเรื่องเล่าลือที่ว่าองค์หญิงผิงหยางแท้จริงแล้วป่วยตายหรือรบจนตาย เพราะอะไรพิธีฝังศพของนางจึงใช้วิธีฝังศพเช่นเดียวกับแม่ทัพ แต่ไม่ใช้พิธีฝังศพขององค์หญิงคิดว่าไฉเซ่าต้องรู้แน่


“ในบรรดาหญิงแห่งต้าถังเรา ข้าน้อยชื่นชมองค์หญิงผิงหยางที่สุด เพียงแต่ไม่มีวาสนาได้พบ ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก” อวิ๋นเยี่ยตั้งใจถือโอกาสตอนที่คารวะเหล้าแก่ไฉเซ่าลองถามถึงองค์หญิงผิงหยาง


ไฉเซ่าหยุดจอกเหล้าและพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “หากนางยังคงมีชีวิตอยู่ จะต้องเชื้อเชิญเจ้าและฉู่มั่วไปที่บ้านเพื่อแลกเปลี่ยนวรยุทธ์กันแน่ น่าเสียดายที่นางด่วนจากไป จะไม่ให้ข้าเศร้าโศกได้อย่างไร”


“น่าเสียดายที่ข้าน้อยเกิดช้าไป มิฉะนั้นจะไม่ปล่อยให้ยอดหญิงท่านนี้ต้องด่วนจากไปอย่างแน่นอน ข้าน้อยได้ยินรัชทายาทพูดถึงองค์หญิงเมื่อไหร่ก็ช่างรู้สึกน่าเศร้าจริงๆ”


ดวงตาของไฉเซ่าเริ่มแดงขึ้น พูดด้วยเสียงเครือว่า “พวกเจ้าคิดว่าข้าดึงดันจะนำทัพเคลื่อนพลเพื่ออะไร พวกโจรทูเจวี๋ยเหล่านั้นถือโอกาสที่ไม่ทันระวังทำให้ผิงหยางต้องตาย ข่านเจี๋ยลี่ก็คือหัวหน้าใหญ่ที่สุด มีโอกาสลอบจู่โจมเขา ข้าจะยอมปล่อยให้โอกาสหลุดไปได้อย่างไร ไม่ฆ่าพวกโจรสุนัขเหล่านั้นให้สิ้นซาก จะให้ข้าสงบใจลงได้อย่างไร ให้ผิงหยางตายตาหลับได้อย่างไร แต่น่าเสียดายที่การต่อสู้ที่เมืองเซียงเฉิง ปล่อยให้ข่านเจี๋ยลี่หนีไปได้ นี่คือความเจ็บปวดชอกช้ำของข้า”


เข้าใจแล้ว เข้าใจหมดแล้ว ไม่น่าแปลกใจในฐานะนักยุทธศาสตร์การทหารอย่างไฉเซ่า มีหรือจะยอมทำความผิดครั้งใหญ่เคลื่อนพลโดยพลการ ไม่ว่าอย่างไรก็จะฆ่าข่านเจี๋ยลี่ให้ได้ ที่แท้สาเหตุอยู่ตรงนี้นี่เอง ความคิดด้านลบที่เดิมมีต่อไฉเซ่าก็หายไปในทันใด หากเรื่องนี้เกิดขึ้นกับตัวเอง รับรองจะต้องลงมือโหดกว่าไฉเซ่ายิ่งนัก


ไม่แปลกใจเลยที่หนิวจิ้นต๋าผู้ยึดมั่นในกฎระเบียบหนักหนาจึงไม่ห้ามปราม ทั้งยังสนับสนุนอีกด้วย ในฐานะสหายเก่าหลายปี ย่อมรู้ว่าการห้ามปรามก็ไม่บังเกิดผลแม้แต่น้อย แทนที่จะปล่อยให้เขาไปเสี่ยง จะเป็นการดีกว่าหากจะวางแผนที่เป็นไปได้ เหล่าหนิวช่างเป็นตัวเลือกที่เหมาะจะเป็นสหายที่ดีที่สุดดังคาด ยินดีที่จะโดนลงโทษพร้อมกัน ไม่เปิดโปงเพื่อเอาตัวรอด คราวหน้าต้องดีกับตาเฒ่าให้มากอีกหน่อย


ไม่น่าแปลกใจที่หลี่จิ้งไม่กล้าที่จะส่งไฉเซ่า เพราะกลัวว่าเขาจะถูกความเกลียดแค้นเข้าครอบงำจนส่งผลกระทบต่อสถานการณ์การต่อสู้โดยรวม ซึ่งคงไม่ดีแน่ การที่ตนเองออกจากเมืองโดยพลการคราวนี้ก็อยู่ในสายตาของลูกพี่ด้วย ข้อหาผลีผลามบ้าบิ่นคงต้องหนีไม่พ้นแน่นอน ตอนนี้ยังต้องมาเดินทางอีกเกือบสองพันลี้บนทุ่งหญ้าแห่งนี้ ต้นขั้วแห่งภัยพิบัติเกิดจากเฉิงฉู่มั่ว กลับไปค่อยคิดบัญชีกับเขา


“นักพรตซุน ท่านก็เห็นอยู่ไม่ใช่ว่าข้าที่อยากจะออกนอกเมือง แต่เป็นเพราะคำสั่งกองทัพมั่นคงดุจภูผา จะขัดขืนก็ไม่ได้ ในหนังสือหวังว่าจะให้ท่านอยู่ที่ซั่วฟาง รอให้ถึงฤดูใบไม้ผลิแล้วจึงค่อยกลับฉางอันไม่ใช่หรือ” มองดูซุนซือเหมี่ยวที่กำลังยุ่งวุ่นวาย อวิ๋นเยี่ยกลัวว่าเขาจะด่าตัวเองอีก จึงรีบอธิบายอย่างรวดเร็ว


“คราวนี้เป็นคำสั่งทางทหาร แน่นอนข้าไม่มีอะไรจะพูด พวกเราไปด้วยกัน สำหรับหนังสือแจ้ง ข้าก็ไม่ใช่ทหารเสียหน่อย หลี่จิ้งเขาควบคุมข้าไม่ได้” เมื่อซุนซือเหมี่ยวเริ่มออกอารมณ์วางอำนาจ จึงรีบให้หมาน้อยช่วยเก็บสัมภาระ ไปด้วยกันเป็นดีที่สุด


เพียงแค่ซุนซือเหมี่ยวก็ไม่เท่าไร สวี่จิ้งจงถึงกับครอบครองรถลากเลื่อนสองตัว ปูหนังแกะหนาๆ ไว้ด้านบน ทั้งยังทำหลังคาให้ด้วย เหมือนการออกเดินทางท่องเที่ยวอย่างแท้จริง


“เหลาสวี่ นี่เจ้าทำอะไร ร่างกายยังไม่ฟื้นตัวดี จากที่นี่ไปจื้อโข่วยังต้องเดินทางอีกยาวไกล เจ้าทนไม่ไหวหรอก พักรักษาตัวให้ดีอยู่ที่ซั่วฟาง เมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิแล้วจึงค่อยกลับไป” สวี่จิ้งจงในตอนนี้ดูเหมือนจะไม่เป็นภัยคุกคามอะไรแล้ว อวิ๋นเยี่ยไม่ถือสาที่จะอยู่อย่างสันติกับเขา


“อวิ๋นโหว เจ้ามองข้าสวี่จิ้งจงผิดไปแล้ว ต้องรู้ว่าก่อนหน้านี้ข้าเองก็เคยเป็นทหารกล้าผู้องอาจตะลุยมานับหมื่นลี้ เจ้าไปที่จื้อโข่วได้ ทำไมข้าจะไปไม่ได้ คราวก่อนที่ไปเซียงเฉิง ถ้าไม่เป็นเพราะร่างกายรับไม่ไหวจริงๆ เจ้าคิดว่าข้าจะอยู่ที่ซั่วฟางหรือ ข้าเป็นผู้ช่วยของเจ้า แน่นอนว่าเจ้าไปที่ไหนข้าก็จะตามไปที่นั่น นี่คือหน้าที่” เจ้าหมอนี่พูดถึงเรื่องหน้าที่กับฉัน เมื่อใดกันที่เขาเริ่มมีคำว่าหน้าที่นี้


ดูเขาและคนรับใช้ชราสองคนทำรถลากเลื่อนอย่างมีความสุข คัดเลือกม้า อวิ๋นเยี่ยไม่รู้จะพูดอะไรอีก ได้แต่ปล่อยเขาไป


เหอเซ่าถึงกับได้ครอบครองรถลากเลื่อนหกสิบกว่าตัว กำลังแสร้งยืนสั่งให้ทหารเสริมขนย้ายสมบัติต่างๆขึ้นไปวางด้านบน เฉพาะเหรียญทองแดงที่อวิ๋นเยี่ยเห็นนั้นก็มีรถลากเลื่อนได้หลายตัวแล้ว


“เจ้าจะขนเหรียญทองแดงไปที่จื้อโข่วทำไมกัน พวกเราจะไปที่ค่ายทหาร ไม่ได้ไปเป็นพ่อค้า ตลอดทางมีชาวเผ่าหู มีโจรป่า มีโจรปล้นม้า ถนนหนทางก็ไม่สะดวก หากถูกปล้นไปจะทำอย่างไร กว่าจะสะสมได้อย่างเจ้าในตอนนี้ไม่ใช่ง่าย เต็มใจจะยกให้พวกเคราดกหรือ” เหล่าเหอขี้ขลาด ต้องข่มขู่เสียหน่อย บางทีมันอาจจะได้ผล


“เจ้าไม่ต้องโยกโย้ มีโจรปล้นม้า โจรป่าที่ไหนกล้าปล้นกองทัพกัน มีพวกเขาคุ้มครองไป แม้แต่ค่าจ้างสำนักคุ้มภัยก็ไม่ต้องจ่าย ท่านก็รู้ว่าท่านไปที่ไหน ที่นั่นก็ต้องมีการค้าเกิดขึ้น ข้าต้องตามติดอย่างแน่นอน ขอการค้าเช่นเดียวกับที่ซั่วฟางอีกสักรอบ เมื่อกลับไปที่ฉางอันข้าก็ได้นอนกินแล้ว”


มีแต่หมูเท่านั้นที่นอนกิน อวิ๋นเยี่ยรู้สึกว่าเขาทำร้ายเหล่าเหอแล้ว จอมเสเพลที่มักมากในกามที่ปกติดีคนหนึ่ง ตอนนี้ไม่เพียงแต่รู้ว่าต้องขยันหาเลี้ยงครอบครัวเท่านั้น ยังรู้จักคิดหาวิธีทำการค้าอีก ไม่เอาแม้แต่ชีวิต เหล่าเหอในตอนนี้ต่างจากชายอ้วนอัปลักษณ์ที่ฉางอันเป็นคนละคน ไม่ใช่เพื่อนที่เอาแท่นหมึกโขกศีรษะจนแตกอย่างขอไปทีคนนั้นแล้ว มีท่าทางเป็นพ่อค้าใหญ่อย่างเต็มตัวแล้ว


เหล่ากงซูพาทั้งครอบครัวติดตามกองคาราวานของเหล่าเหอกลับฉางอันไปแล้ว เขาเป็นคนที่ไม่สามารถทนอยู่ในทุ่งร้างได้แม้เพียงแค่วันเดียว เขามาขอจดหมายจากอวิ๋นเยี่ยแล้วจึงรีบออกเดินทางไป สัมภาระนั้นเรียบง่ายมาก อวิ๋นเยี่ยบอกว่าไม่ต้องนำสัมภาระมาก็ได้ อย่างไรเสียเมื่อไปถึงสำนักศึกษาสัมภาระของเจ้าก็ต้องถูกโยนทิ้ง ของเก่าๆ โทรมๆ น่าอับอาย ทั้งครอบครัวมีเพียงสี่สิบหรือห้าสิบคน จึงขอเงินหนึ่งคันรถจากเหล่าเหอ และมอบให้เหล่ากงซูโดยบอกว่าจ่ายเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในครอบครัวเขา ทำให้ทั้งครอบครัวดวงตาลุกวาว อวิ๋นเยี่ยค่อนข้างได้ใจ อะไรคือชนชั้นสูง สามารถยกเหรียญทองแดงให้ทั้งคันรถได้ทุกที่ทุกเวลาจึงเรียกว่าชนชั้นสูงอย่างไร สำหรับตระกูลกงซูแล้ว การกระทำอวิ๋นเยี่ยมีเพียงคำเดียว นั่นคือใจกว้าง!


คุยกับกงซูเจี่ยเพียงลำพัง อาวุธสังหารของพี่ชายคือหลักประกันที่แข็งแกร่งของการเดินทางไปทุ่งหญ้าในครั้งนี้ เป็นสิ่งของสำหรับปกป้องชีวิตที่ต้องนำมาใช้


ครั้นแล้วจึงได้มอบรถหน้าไม้ หน้าไม้ มองให้องครักษ์ตระกูลอวิ๋น กงซูเจี่ยก็ได้ปลดภาระผ่อนคลายลง เขาจะร่วมเดินทางไปที่จื้อโข่วกับอวิ๋นเยี่ยด้วย รอจนกว่าการต่อสู้จะจบลงแล้วจึงกลับฉางอันด้วยกัน ไฉเซ่าเห็นรถหน้าไม้และหน้าไม้ก็ตกตะลึงไปชั่วครู่ พริบตาก็หัวเราะเยาะตัวเองอีก แล้วจึงโบกมือบอกลาอวิ๋นเยี่ย


กลับมาบนทุ่งหญ้าอีกครั้ง ร่องรอยของหิมะที่ถูกรถลากเลื่อนไหลทับเมื่อหลายวันก่อนถูกหิมะกลบไปหมดแล้ว หิมะหนาครึ่งฉื่อทำให้การเดินทางครั้งนี้ลำบากมากเป็นพิเศษ ครั้งนี้ไฉเซ่าส่งแม่ทัพชาวเผ่าหูที่มีประสบการณ์คอยนำทางให้อวิ๋นเยี่ย พวกเขาล้วนเป็นชนพื้นเมืองที่เติบโตมากับทุ่งหญ้า ไม่รู้ว่าเพราะอะไรจึงได้เข้าร่วมกับทหารหลวง ดูท่าทางแล้วยศตำแหน่งก็ไม่ด้อย


พวกเขาชอบผ้าโปร่งสีดำที่คลุมหน้าเอาเสียมากๆ เมื่อตอนที่ได้รับผ้าโปร่งสีดำ พวกเขาก็โยนหนังที่ขาดทิ้งไปนานแล้ว


ทหารเสริมสองร้อยกว่าคนที่อวิ๋นเยี่ยอบรมได้ติดตามอวิ๋นเยี่ยมาโดยไม่ขาดหายไปแม้แต่คนเดียว ไฉเซ่าเองก็ไม่ได้รั้งไว้ เพียงแต่กองกำลังคุ้มกันนั้นลดลงเหลือห้าสิบคน เขาคิดว่าที่จริงมีทหารเสริมก็เพียงพอแล้ว แต่อวิ๋นเยี่ยไม่คิดอย่างนั้น เขาแทบอยากจะได้กองกำลังคุ้มกันเขาสักหนึ่งหมื่นนายใจจะขาด เช่นนี้จึงจะเรียกได้ว่าปลอดภัย

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)