เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วน 4 ตอน 1-13
1 บันทึกการออกรบ
“เสียงรถม้าไม่ขาดตอน ฝีเท้าม้าไม่ขาดสาย พลทหารสะพายพร้อมด้วยธนูไว้ที่เอว ภรรยาอีกทั้งครอบครัวตามมาส่ง มีฝุ่นผงไม่เห็นสะพานเสียนหยาง ยื้อยุดฉุดรั้งน้ำตาริน เสียงร้องไห้ดังไม่สิ้นถึงสวรรค์”
ในใจท่องบทกวี “ปิงเชอสิง” ของตู้ฝู่เพื่อปลุกอารมณ์สักเล็กน้อย อีกประเดี๋ยวท่านย่าจะต้องร้องไห้แบบไม่คิดชีวิตเป็นแน่ อวิ๋นเยี่ยต้องระงับความปีติยินดีในใจและแสดงท่าทีอาลัยอาวรณ์ไม่อยากจากไป
ที่บ้านเงียบสงบมากและไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรเลย วั่งไฉยืนสะบัดหางตากลมเย็นอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ที่เท้ามีลูกหมูน้อยของเสี่ยวยานอนอยู่
คำสั่งทางทหารมาถึงบ้านแล้ว ท่านย่าก็ต้องได้เห็นแล้ว ภาพความวุ่นวายที่จินตนาการไว้ไม่ปรากฏขึ้น มีเพียงความเงียบสงบที่ผิดปกติ
กลัวว่าท่านย่าจะร้องไห้จนมีผลต่อสุขภาพ จึงรีบเดินไปที่โถงด้านหลัง เห็นท่านย่า อาหญิงและป้าสะใภ้กำลังเตรียมเก็บสัมภาระให้ตัวเอง ท่านย่ากางชุดเกราะเหล็กบนตั่งนอน เช็ดด้วยผ้าไหมอย่างระมัดระวัง แล้วจึงลงเทียนไข สีหน้าเรียบเฉย อาหญิงและป้าสะใภ้ใช้ด้ายไหมห้าสีเพื่อถักพู่ของชุดเกราะ ข้างกายวางไว้ทั้งหมดหกเส้น เหล่าพี่สาวหยิบเสื้อผ้าออกมาจากตู้ทีละชุดๆ ปรึกษากันอยู่ว่าต้องนำชุดไหนไปจึงจะเหมาะสม
“เตรียมแค่เสื้อผ้าฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาวเท่านั้นอย่างอื่นไม่ได้ใช้ ไม่จำเป็นต้องเลือกที่ดูดีเพียงแค่ใช้ได้จริงก็พอ” การศึกครั้งนี้ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งปี เพียงแค่ฤดูหนาวเดียวเท่านั้นก็จบลงแล้ว ราชวงศ์ถังประสบภัยพิบัติจากตั๊กแตนไม่สามารถทนต่อสงครามยืดเยื้อได้
“เสี่ยวเยี่ย ทำไมย่าจึงรู้สึกว่าเกราะของเจ้าเบาเช่นนี้ ไม่เหมือนของพวกจวงซันถิง เกราะของพวกเขาหนักยี่สิบสามสิบกิโลกรัม ไม่อย่างนั้นเจ้าก็เปลี่ยนเป็นเกราะหนัก สวมชุดเกราะแบบนี้ย่าไม่สบายใจ ได้ยินว่าลูกธนูในสนามรบลอยมาเหมือนสายฝน เกราะที่เป็นแผ่นเหล็กบางๆ เช่นนี้จะกันได้ได้อย่างไร”
“ท่านไม่ต้องกังวล แม้เสื้อเกราะของหลานจะเบา แต่ใช้เหล็กไป่เลี่ยนกังที่ดีที่สุด ไม่เกิดความเสียหายง่ายๆ ซึ่งไม่ใช่ว่าชุดเกราะของพวกเหล่าจวงจะเทียบได้ ท่านวางใจเถอะ หลานเองก็ไม่ต้องไปออกรบ เพียงแต่อยู่เบื้องหลังคอยรักษาทหารที่ติดโรคระบาดและดูว่าพวกชาวทูเจวี๋ยจะใช้เชื้อโรคหรือไม่ เตรียมป้องกันไม่ให้พวกนั้นทำเรื่องเลวร้าย เกราะชุดนี้ก็เพียงพอแล้ว”
“ในสนามรบ เจ้าฆ่าข้าข้าฆ่าเจ้า ใครจะรู้ว่าสงครามจะไปถึงขั้นไหน เสี่ยวเยี่ยอายุยังน้อย กองทัพก็ใจดำพอที่จะส่งเจ้าไป หากเป็นอะไรไป ทั้งครอบครัวจะมีชีวิตได้อย่างไร” เพียงแค่ป้าสะใภ้ร้องไห้ก็ถูกท่านย่าถีบจนหล่นจากตั่งนอน
“เจ้านี่ปากเสีย ใครให้เจ้าพูดเรื่องอัปมงคล” แม่เฒ่าเตะแล้วยังไม่พอใจ ทั้งยังปาแท่งขี้ผึ้งในมือใส่ศีรษะนางด้วยความโกรธมาก
ป้าสะใภ้ถูกตีแต่ก็ไม่กล้าตอบโต้ ได้แต่นั่งสะอื้นอยู่บนพื้น
อวิ๋นเยี่ยพยุงป้าสะใภ้ขึ้นแล้วพูดกับท่านย่าว่า “นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่หลานไปสนามรบเสียหน่อย คราวนี้สบายกว่าครั้งที่แล้วอีก ได้ยินว่าได้พักในเมือง ไม่มีอันตรายใดๆ ข้ารู้ว่าท่านเป็นห่วง ป้าสะใภ้ก็อายุสี่สิบปีแล้ว ท่านอย่าโทษนางเลย หลานจะได้ไม่ต้องคอยเป็นห่วงครอบครัวขณะที่อยู่นอกบ้าน”
ท่านย่าถอนหายใจแล้วพูดว่า “เจ้าเป็นลูกชายโทนเพียงคนเดียวของครอบครัว เรื่องการไปรบเดิมก็เป็นหน้าที่ของผู้ชาย ผู้หญิงทั้งครอบครัวไม่มีใครสามารถช่วยเจ้าแบ่งเบาได้แม้แต่น้อย ทั้งยังก่อความวุ่นวายให้ด้วย เจ้าก็ลำบากใจมากแล้ว อายุเพียงแค่นี้ก็ต้องเลี้ยงดูคนทั้งครอบครัว ลำบากหลานชายที่น่าสงสารของข้า”
ท่านย่าเข้มแข็งเกินกว่าที่คิดไว้ ไม่มีการร้องไห้โวยวายเหมือนเมื่อก่อน หญิงผู้ยากจนที่เข้มแข็งกลับมาแล้ว
นับแต่สมัยโบราณ ทหารของราชวงศ์ฉินต้องทำศึกด้วยความทุกข์ยาก แดนกวนจงแต่ไหนแต่ไรมาเป็นสถานที่สำคัญสำหรับการหาทหารรับจ้างของแต่ละยุคแต่ละสมัย
เมื่อเป็นทหารย่อมต้องมีผู้ที่รบจนตัวตาย การไว้ทุกข์ของครอบครัวในแดนกวนจงไม่ใช่เพียงครั้งหรือสองครั้งแล้ว ซึ่งสิ่งนี้หล่อหลอมให้หญิงแดนกวนจงมีนิสัยที่ดุดันและเข้มแข็ง ที่บ้านไม่มีผู้ชาย มีเพียงตัวเองเท่านั้นที่ต้องดูแลครอบครัว แม่เฒ่าเองตอนนี้ก็กำลังทำสิ่งนี้อยู่ หลังจากอวิ๋นเยี่ยออกเดินทางแล้ว บางทีนางอาจร้องไห้คนเดียวอยู่ในห้อง นางจะไม่มีวันหลั่งน้ำตาแม้สักหยดก่อนที่อวิ๋นเยี่ยจะออกเดินทาง
ปู้ฉวี่ เป็นทหารส่วนตัวของแม่ทัพแห่งราชวงศ์ถังซึ่งก็คือทหารคนสนิท โดยร่วมเป็นร่วมตายกับแม่ทัพ ตระกูลอวิ๋นมีทหารผ่านศึกสูงอายุเพียงห้าสิบคน อวิ๋นเยี่ยไม่สนใจคำเกลี้ยกล่อมของท่านย่า ยืนกรานจะนำทหารผ่านศึกที่อายุค่อนข้างน้อยเพียงสิบสี่คนไปยังแนวหน้า
ก่อนออกเดินทางเป็นเรื่องปกติที่จะจัดการเรื่องทุกอย่างในสำนักศึกษาให้เรียบร้อยโดยให้หลี่กังเป็นผู้ดูแล ซึ่งอวิ๋นเยี่ยก็วางใจเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องชื่อเสียงหรือความสามารถ ตาเฒ่าเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด ตัวเองนั่งคิดคำนวณเองว่าจะไปเพียงเก้าเดือนเท่านั้น
“การเดินทางไปแนวหน้าครั้งนี้ของโหวเหยีย ข้าไม่มีคำพูดอื่นใดที่จะพูดเพียงหวังว่าเจ้าจะดูแลตัวเองให้ดีคว้าชัยกลับมา เรื่องสำนักศึกษาเจ้าไม่ต้องเป็นกังวล ข้าจะคืนสำนักศึกษาคืนให้ถึงมือในสภาพที่สมบูรณ์” หลี่กังพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึมและรับประกันกับอวิ๋นเยี่ยทุกๆ คำพูด
“เพราะมีท่านอยู่ในสำนักศึกษา ข้าจึงกล้าไปหาเงินทุนในกองทัพได้อย่างสบายใจและถือโอกาสแสดงอานุภาพที่เหนือผู้อื่นของสำนักศึกษาเราให้คนอื่นได้เห็น มนุษย์เราแม้บอกว่าชอบและอยากได้เครื่องมือใหม่ที่ทำให้ทำงานได้เร็วขึ้นและง่ายขึ้น แต่กลับดูถูกคนที่คิดค้นสิ่งเหล่านี้ นี่คือความขัดแย้งกัน สำนักศึกษาข้าจะต้องผู้ริเริ่มเป็นแห่งแรกในใต้หล้านี้ โดยเริ่มจากการค่อยเป็นค่อยไปวันหนึ่งจะให้พวกเขาเข้าใจว่าความรู้มีหลายประเภท ไม่ได้มีเพียงแต่โคลงฉันกาพย์กลอนเพียงเท่านั้น”
“ฮ่าๆ เจ้ามีความทะเยอทะยานก็ดี ข้าหวังว่าจะรอได้จนถึงวันนั้น”
“เจ้าหนุ่ม พวกเราคงจะไม่พูดอะไรมากไปกว่านี้แล้ว อย่างไรเสียในกองทัพก็มีคนรู้จักของเจ้า ดูแลตัวเองด้วย” บรรดาอาจารย์กลับเป็นฝ่ายประสานมือคารวะ นี่เป็นครั้งแรก
“ข้าเองก็อยากไปกองทัพ ข้าก็อยากจะเห็นท่าทีอันยิ่งใหญ่ของต้าถังเรา” หลี่เค่อรำกระบี่สั้นพลางพูดไม่ยอมหยุด ยังโชคดีที่คนที่เหลือของสำนักศึกษายังอยู่ในช่วงพักร้อนไม่เช่นนั้นพวกที่เลือดร้อนขึ้นหน้าคงไม่ได้มีหลี่เค่อเพียงคนเดียว
“เจ้าจะไปทำไม จะให้ทหารคอยปกป้องเจ้าหรือเข้าสู่แนวหน้าฆ่าศัตรูดี สร้างอาคารของเจ้าต่อไป ข้ากลับมาจะดูหากสร้างไม่เสร็จ เจ้าก็รู้ผลที่จะตามมา” ไม่มีเวลาให้ความสนใจกับเด็กน้อยนี้ เสี่ยวชิวที่อยู่ตรงนั้นผลุบๆ โผล่ตรงมุมกำแพงหลายครั้งแล้ว
ซินเย่ว์รู้สึกอายมากและไม่ยอมออกจากห้อง ความใจกล้าที่ปกติมีอยู่ไม่รู้ไปไหนหมด
อวิ๋นเยี่ยยืนยิ้มรออยู่ที่หน้าประตูรอนางออกมา รออยู่เป็นเวลานาน จึงเห็นซินเย่ว์สวมชุดเจ้าสาวสีแดงปักดิ้นสีทอง รูปลักษณ์ของหญิงวัยเยาว์หายไปหมด เกล้าผมเป็นทรงผมของหญิงที่ออกเรือน แต่งหน้าเข้มและในมือยังถือขวดไว้ใบหนึ่ง นี่คือการแต่งกายของเจ้าสาวคนใหม่
อวิ๋นเยี่ยหันกลับมามองอาจารย์อวี้ซันด้วยความตกตะลึง อาจารย์อวี้ซันก็ยืนมองดูหลานสาวด้วยความรักและเอ็นดูอยู่ตรงนั้น แววตาแสดงออกถึงความภาคภูมิใจ
“เจ้าหนุ่ม นี่คือประเพณีของชาวกวนจง หากชายคนหนึ่งต้องไปออกรบ หากมีคู่หมั้นอยู่ เช่นนั้นคู่หมั้นก็สามารถสวมชุดแต่งงานเพื่อส่งได้ นี่เป็นมารยาทสูงสุดที่ฝ่ายหญิงจะแสดงออกถึงความรักของนาง หากเจ้าตายในสนามรบ นางก็ต้องเป็นหม้ายไปตลอดชีวิตเพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณ” นักพรตซุนที่แต่งกายพร้อมออกเดินทางยืนอธิบายให้อวิ๋นเยี่ยฟังอยู่ข้างๆ
ทุกคนได้จากไปอย่างรู้หน้าที่ พวกเขามาเพื่อเป็นพิธี เสี่ยวชิวปิดประตูเบาๆ ลานบ้านเล็กๆ กลายเป็นสวรรค์บนดิน
“วันนี้เจ้าแต่งตัวงดงามมาก” หลังจากพูดประโยคนี้ อวิ๋นเยี่ยอยากต่อยตัวเอง วันที่ผู้หญิงสวยที่สุดก็คือวันที่ได้สวมชุดแต่งงานไม่ใช่หรือ
“ข้าจะรอเจ้ากลับมา ถ้าผู้หญิงสวมชุดแต่งงานและไม่ได้แต่งงานภายในหนึ่งปี ถือเป็นเรื่องที่ไม่เป็นมงคล” ซินเย่ว์พูดด้วยเสียงที่เบามาก
“ถ้าไม่มีเหตุการณ์เหนือความคาดหมายอะไร เพียงเก้าเดือนข้าก็กลับมาแล้ว ถึงตอนนั้นข้าจะแต่งงานกับเจ้า ข้าจะไม่ตายอย่างแน่นอน สามารถมีภรรยาที่งดงามเช่นนี้ ถ้าจะต้องตายก็ขอแต่งงานก่อนแล้วค่อยตาย ไม่เช่นนั้นก็ขาดทุนมากเลย”
“คนบ้า เจ้าจะไม่พูดอะไรที่เป็นมงคลเลยหรือ เจ้ามักจะเป็นเช่นนี้กับข้าเสมอ” ซินเย่ว์ไม่ค่อยพอใจกับการแสดงออกของอวิ๋นเยี่ย ทั้งยังวางขวดลงแล้วหยิกเขา
อวิ๋นเยี่ยจึงเอื้อมมือโอบเอวอันอรชรของนางไว้ดึงมากอดในอ้อมแขน ก่อนที่นางจะตั้งตัวได้ก็จูบลงไปอย่างแรง ร่างกายของซินเย่ว์นั้นอ่อนยวบราวกับไม่มีกระดูก อิงอยู่ในอ้อมแขนของอวิ๋นเยี่ยอย่างหมดแรง ปล่อยให้เขาทำตามอำเภอใจ
ผ่านไปเนิ่นนานกว่าอวิ๋นเยี่ยจะถอนตัวจากริมฝีปากอันนุ่มนวลของนางด้วยความอาลัยอาวรณ์ มองซินเย่ว์ที่ยังคงอยู่ในภวังค์และพูดว่า “ชั่วชีวิตนี้พวกเราก็ก้าวไปด้วยกัน ห้ามเจ้าเสียใจภายหลัง”
“คนบ้า!” ซินเย่ว์เริ่มเสียงดังใส่ สองมือหยิกอวิ๋นเยี่ยไปทั่วตัว
“เลิกหยิกได้แล้ว หากยังหยิกต่อคงต้องตายแน่” ดิ้นรนให้พ้นกรงเล็บของซินเย่ว์ นี่ก็สายแล้ว หากสายกว่านี้ก็จะไปไม่ทันกองทัพใหญ่แล้ว
ซินเย่ว์ยืนพิงกรอบประตูมองอวิ๋นเยี่ยที่ค่อยๆ เดินจากไป ปากก็พึมพำ “คนบ้า” ในใจก็มีแต่คำพูดของอวิ๋นเยี่ยก่อนจะจากไปว่า “ไม่นานนักข้าก็จะกลับมา” นางตั้งใจว่าจะส่งอวิ๋นเยี่ยจากไปอย่างมีความสุข แต่น้ำตาก็ไหลออกมาโดยยากจะควบคุม…
คนที่ร้องไห้ยังมีครอบครัวของสวี่จิ้งจง ตั้งแต่ได้รับคำสั่งจากกองทัพเขาก็ไม่รู้สึกถึงความปลอดภัยเลยแม้แต่น้อย เขาไม่รู้ว่าอวิ๋นเยี่ยจะจัดการเรื่องงานของเขาอย่างไร หากอวิ๋นเยี่ยต้องการให้ร้ายเขา ปล่อยให้เขาอยู่ในค่ายทหารเอาชีวิตรอดเองก็เพียงพอแล้ว ดูร่างกายที่อ่อนแอของตัวเอง สวี่จิ้งจงก็เสียใจภายหลังกับการตัดสินใจของเขาเป็นอย่างมาก อยู่ดีๆ ไปสำนักศึกษาทำไมกัน ตอนนี้อันตรายกว่าอยู่ในราชสำนักถึงพันเท่า ถูกขุนนางใหญ่กดดันอย่างมากก็ถูกส่งไปต่างถิ่นเท่านั้น ตอนนี้ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ต้องไปอยู่กับกองทัพ แต่เป็นตายเท่ากัน มันเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ของตัวเองจริงๆ
ซุนซือเหมี่ยวรีบนั่งรถม้าค่อยๆ ตามอยู่ด้านหลังของอวิ๋นเยี่ย เขาเองก็ต้องการที่จะไปดูว่าชาวเผ่าทูเจวี๋ยที่ทำการแพร่โรคระบาดแท้จริงแล้วเป็นเช่นไร เขาขนยามาเต็มๆ สองเล่มเกวียนเพื่อทหารแนวหน้า แต่เขาไม่เข้าใจว่าอวิ๋นเยี่ยต้องการที่จะนำเครื่องเทศไปตั้งหลายเล่มเกวียน ที่น่าสงสัยที่สุดคือมีคนอ้วนๆ ที่ดูหยาบคายอยู่ข้างๆ ตลอดทางทั้งสองคนก็คุยกันอย่างลับๆ ล่อๆ ไม่ยอมหยุด
“เสี่ยวเยี่ย เจ้าบอกว่าคราวนี้เราสามารถทำกำไรก้อนใหญ่ได้จริงหรือ” เหอเส้าที่รูปร่างอ้วนกระซิบถามอวิ๋นเยี่ย
“แน่นอน เชื่อข้า ครั้งนี้เจ้ายอมเสี่ยงชีวิตไปกองทัพ ข้าจะปล่อยให้พี่ชายกลับไปมือเปล่าได้อย่างไร”
“ของที่ยึดมาได้จะต้องส่งไปยังคลังหลวง ไหนเลยจะมีช่องว่างให้พวกเราได้เข้าไปมีส่วนแบ่ง” เหล่าเหอยิ่งรู้สึกงงงวย
“ม้า ทองคำและเงินเหล่านั้นแน่นอนว่าจะถูกส่งคืนทางการ ข้าหมายถึงสิ่งที่ไม่สามารถคืนสู่ทางการได้ ตอนนี้อยู่ในช่วงสงคราม บนสนามรบต้องมีพวกม้าตาย วัวตาย แพะตายไม่น้อยแน่ เจ้าแค่นำสิ่งเหล่านี้กลับมาทำเสบียงทหารอร่อยๆ ขายให้แม่ทัพ เจ้าว่าจะทำกำไรได้เท่าไหร่ นอกจากนี้ ทหารเหล่านั้นก็ได้รับรางวัล เก็บเอาไว้กับตัวพวกเขาต้องไม่วางใจใช่ไหม เจ้ารับเอาไว้และนำไปส่งที่บ้านให้พวกเขาและเก็บค่าธรรมเนียมเล็กน้อยก็ไม่น่าเป็นปัญหาใช่ไหม ลองคิดดูสิ ไม่เพียงแต่ทำเงินได้แต่ยังมีคุณธรรมอีกด้วย ต่อลงไปการค้าประเภทนี้ในค่ายทหารก็เป็นของเจ้าคนเดียวไม่ใช่หรือ”
การทำสงครามคือการสูญเสียเงิน อวิ๋นเยี่ยตั้งใจที่จะใช้เหล่าเหอทำการทดลองเล็กๆ เพื่อดูว่าการค้าขนาดเล็กนี้สามารถทำเงินได้หรือไม่ อย่างไรเสียเขาไม่มีประสบการณ์ในการทำการค้าขนาดใหญ่ เรื่องในครอบครัวก็ล้วนเป็นท่านย่าและเหล่าอาหญิงดูแล ตัวเองเพียงแค่ทำหน้าที่ริเริ่มจากนั้นก็ปล่อยมือไม่ใส่ใจ ฟังดูแล้วแลดูเหมือนผู้มากความรู้ยากคาดเดา แต่ความเป็นจริงแล้วก็เป็นแค่เสือกระดาษตัวใหญ่เท่านั้นเอง
คราวก่อนที่หล่งโย่ว เห็นเหล่าเฉิงและพวกพลทหารสนใจเฉพาะศีรษะของศัตรู ไม่สนใจศพสัตว์พาหนะที่ตายเละเทะกองบนพื้น อวิ๋นเยี่ยโอดครวญว่าสูญเปล่ามาก ทั้งยังถูกเหล่าเฉิงดูถูกเหยียดหยาม ครั้งนี้คนทั้งประเทศกำลังขาดแคลนเสบียงอาหาร ไม่รู้ว่าการทำเช่นนี้จะช่วยเรื่องสงครามได้หรือไม่!!!
2 คนที่มีอิสระ
รถม้าวิ่งไปตามถนนใหญ่ ทำให้เกิดฝุ่นลอยฟุ้งตลบเป็นระยะๆ หลังจากภัยพิบัติจากตั๊กแตนผ่านไป ในแดนกวนจงก็ไม่มีฝนตกอีกเลย รวงข้าวในท้องนาใบหงิกงออย่างไร้ชีวิตชีวา เมื่อเห็นสภาพเช่นนี้แล้ว ใช้เวลาไม่นานก็คงต้องโดนแสงอาทิตย์ที่ร้อนระอุเผาจนเ**่ยวเฉา ในร่องนามีผู้หญิงและเด็กกำลังตักน้ำรดอยู่ในทุ่งนา เทลงไปทีละกระบวยๆ เพียงแค่ชั่วพริบตาก็ซึมหายไปอย่างไร้ร่องรอย ด้านหลังเพิ่งจะรดน้ำเสร็จ ที่นาด้านหน้าที่เพิ่งจะรดไปก็ยังคงอ้าปากอันแห้งเผือดอยู่ ภัยพิบัติเพิ่งจะผ่านพ้นไป ก็เกิดความแห้งแล้งขึ้นสวรรค์ที่โหดร้ายจะคร่าชีวิตกันเลยหรืออย่างไร
สวี่จิ้งจงกลับรู้สึกสบายใจ ดูจากหลายวันที่ผ่านมานับตั้งแต่ที่ออกจากฉางอันอวิ๋นเยี่ยไม่ได้มีความคิดที่จะฆ่าเขา เพียงแค่ต้องการให้ตัวเขาอยู่ข้างกายเพื่อคอยเฝ้าดู ไม่อยากให้ตัวเองไปทำให้สำนักศึกษาเสียหาย อย่างไรเสียข้าสวี่จิ้งจงก็เป็นแค่หนอนหนังสือที่ร่ำเรียนมาอย่างยากลำบากคนหนึ่ง ทำไมต้องระแวดระวังข้าถึงเพียงนี้ หรือจะบอกว่าเจ้าสามารถอ่านใจข้าได้?
มองจากอวิ๋นเยี่ยที่สวมหมวกฟางที่อยู่ไกลๆ สวี่จิ้งจงได้แต่สะกดความสงสัยในใจไว้และตามขบวนกองทัพเร่งเดินทางต่อไป
เหล่าหนิวหยิบถุงหนังใส่น้ำออกมาและดื่มน้ำไปหนึ่งอึกและสั่งให้นายพันเร่งการเดินทาง ไม่เช่นนั้นคืนนี้คงไม่สามารถไปถึงค่ายพักแรมได้ การเป็นแม่ทัพใหญ่มานาน ประสบการณ์ในการเดินทัพย่อมต้องเชี่ยวชาญเป็นธรรมดา ตอนนี้สภาพอากาศร้อนอบอ้าว คาดว่าอีกไม่นานก็จะมีฝนตกหนัก ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคต่อการเดินทัพ แต่เป็นข่าวที่ดีที่สุดสำหรับต้นกล้าที่อยู่ในท้องนา
“ท่านลุงหนิว เป้าหมายของพวกเราคือเมืองซั่วฟางพวกเราจะถึงเมื่อไหร่ หลานจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว” อวิ๋นเยี่ยแกะผ้าขนหนูที่คอออกและนำมาเช็ดเหงื่อพลางบ่นอุบ
“ใครใช้ให้เจ้านำของมามากมายก่ายกองเพียงนี้ พวกเราไปทำสงคราม ไม่ได้ไปท่องเที่ยว นำสมุนไพรมาก็ยังพอเข้าใจ ทำไมต้องนำเครื่องปรุงมามากมายเช่นนี้ เมื่อไหร่ที่ปากของเจ้าจะสามารถปรับให้เข้ากับมื้ออาหารบ้านๆ ของกองทัพได้กัน
การเดินทางไปซั่วฟางคราวนี้ยังต้องใช้เวลาอีกสิบวัน เจ้าค่อยๆ อดทนไปเถอะ เมืองซั่วฟางเพิ่งจะสงบลงเมื่อปีที่แล้ว ไฉเซ่า เซวียว่านเช่อฆ่าชาวเผ่าหูในเมืองจนเกือบจะหมดอยู่แล้ว ตอนนี้แม้แต่วิญญาณก็มีให้เห็นไม่มาก เจ้ายังคิดจะทำการค้าอีกหรือ”
“หลานก็ไปเพื่อเป็นผู้ทำการเก็บกวาด สิ่งที่ทางกองทัพไม่ต้องการก็มอบให้หลาน ถึงตอนนั้นจะเกิดประโยชน์ที่ท่านเองก็คาดไม่ถึง”
“ถุย! เจ้าหนุ่มเจ้าถึงกับคิดจะติดสินบนข้า ประเดี๋ยวฆ่าทิ้งเสียเลย เจ้าคิดว่าด้วยเงินเพียงน้อยนิดของเจ้าสามารถทำให้ข้าหวั่นไหวได้หรือ” เหล่าหนิวเริ่มโกรธเล็กน้อย
“การติดสินบนท่านเพียงคนเดียวจะมีประโยชน์อะไร ข้าตั้งใจจะติดสินบนทั้งกองทัพของถนนทางเหนือ รวมแล้วสองหมื่นคน แต่ละคนให้คนละเล็กน้อย ไม่เชื่อว่าจะมีเรื่องที่ข้าทำไม่ได้”
“ห้ามเจ้าทำเหลวไหล!” เหล่าหนิวร้อนรน เมื่ออวิ๋นเยี่ยพูดเช่นนี้ก็จะทำเช่นนี้ ไม่แน่ว่าอาจจะสำเร็จก็ได้ ถ้าหากเป็นเพราะผลกำไรเล็กๆ น้อยๆ แต่มีผลกระทบต่อการยกทัพปราบปรามชาวเผ่าทูเจวี๋ย แม้เขาตายร้อยครั้งก็ยากที่จะไถ่ถอนความผิดได้ ถึงตอนนั้นคงห่างจากโทษประหารทั้งตระกูลไม่ไกลแล้ว
“ท่านวางใจได้ เรื่องที่ข้าทำจะเพิ่มกำลังรบให้กับกองทัพเท่านั้น จะไม่ทำลายกำลังรบอย่างเด็ดขาด หลานเพียงแต่จะหาเสบียงอาหารของกองทัพขายให้กับท่านแม่ทัพเท่านั้น จากนั้นช่วยเหล่าพลทหารนำเศษเงินในมือของพวกเขาส่งกลับคืนไปที่บ้าน ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย เหตุใดจะไม่ทำ”
“เสบียงกองทัพ เจ้าแน่ใจหรือว่าจะหาเสบียงกองทัพได้ ตอนนี้เมืองซั่วฟางอยู่ห่างไกลจากเขตกวนเน่ยเต้า[1]มาก การขนส่งเสบียงกองทัพไม่ใช่เรื่องง่าย ความเสียหายยิ่งสูงจนน่าตกใจ เสบียงอาหารสิบส่วนเมื่อขนส่งไปถึงที่นั่นเหลือไม่ถึงสามส่วนเสียด้วยซ้ำ ส่วนที่เหลือนั้นก็สูญเสียไประหว่างขนส่ง หากเจ้าสามารถทำได้ ก็ถือเป็นผลงานครั้งใหญ่ของเจ้า” เมื่อเหล่าหนิวได้ยินเรื่องนี้ก็เริ่มมีความคิดที่จะการค้าขึ้น เขาไม่สนใจว่าอวิ๋นเยี่ยจะเอาเสบียงมาจากที่ไหน ขอเพียงกองทัพมีเสบียง หลี่จิ้งก็ไม่ต้องไปยังหม่าอี้เพื่อขอเสบียงแล้ว ซึ่งนี่เป็นผลดีต่อกองกำลังต้าถังที่ต้องการจู่โจมตีในทันที อย่างไรเสียเมืองซั่วฟางก็อยู่ใกล้เมืองเซียงเฉิงมากกว่าเมืองหม่าอี้ ประเด็นสำคัญคืออย่าได้รีบเข้ายึดเอ้อหยางหลิ่ง สิ่งนี้เป็นตัวแปรที่สำคัญซึ่งจะต้องดำเนินการอย่างจริงจัง
“เจ้าหนุ่ม เจ้าจะไปหาเสบียงออกมาจากส่วนไหน พูดมาให้ข้าฟังก่อน ข้าจะได้คิดพิจารณาสักหน่อย”
อวิ๋นเยี่ยหยิบของลักษณะสี่เหลี่ยมหนึ่งก้อนออกมาจากกระเป๋าแล้วส่งให้เหล่าหนิว แสดงเจตนาให้เขาชิม
เหล่าหนิวเปิดสิ่งของที่ห่อด้วยใบบัวออกยกขึ้นดมกลิ่ม กลิ่นหอมของต้นหอมลอยเข้าจมูก เมื่อกัดหนึ่งคำรู้สึกถึงรสหวานหอมในรสเค็ม รสชาติไม่เลว ด้านในดูเหมือนจะเนื้อบดอยู่ หลังจากกินหมดในไม่กี่คำ ก็รู้สึกกระหายน้ำ หลังจากดื่มน้ำคำโตไปหลายอึก พบว่าท้องที่เมื่อครู่ยังส่งเสียงร้องอยู่ตอนนี้กลับไม่รู้สึกหิวเลยแม้แต่น้อย เขาหันกลับมามองอวิ๋นเยี่ยด้วยความประหลาดใจและถามว่า “นี่คืออาหารอะไร เพียงแค่ชิ้นเล็กๆ ก็สามารถทำให้อิ่มท้องได้”
“ข้าทำของสิ่งนี้เพียงจำนวนหนึ่งก่อนออกเดินทาง ใช้ถั่วเหลือง ข้าวเดือย แป้ง น้ำตาล เกลือและที่สำคัญที่สุดคือหลานเพิ่มตั๊กแตนป่นเข้าไปจำนวนมาก จากนั้นนำส่วนผสมเหล่านี้ไปนึ่งและใช้หินก้อนใหญ่กดทับให้เป็นรูปและนำไปอบแห้งก็จะกลายเป็นสิ่งนี้ ท่านคิดว่าอย่างไร” อวิ๋นเยี่ยกำลังยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ เขาเดินทางไปแนวหน้าครั้งนี้ ไม่ได้ไปแสดงแสนยานุภาพในสนามรบ สิ่งนั้นอยู่ในขอบเขตความสามารถของเฉิงฉู่มั่ว สำนักศึกษาพัฒนามาถึงตอนนี้ มันถึงจุดคอขวดแล้วจุดที่เล็กที่สุดของคอขวดก็คือไม่มีนักเรียนและมีอาจารย์ไม่เพียงพอ ยิ่งไปกว่านั้นคือมีชื่อเสียงไม่มากพอที่จะสนับสนุนในการพัฒนาของสำนักศึกษา หลี่กังได้พยายามสุดความสามารถแล้ว แม้แต่การใช้ความสัมพันธ์ที่เป็นไม้ก้น**บก็นำออกมาใช้แล้ว จึงได้มีสภาพดังปัจจุบัน ถ้าหากตัวเขายังมีชื่อเสียงไม่เพียงพอและหลี่กังจากไปแล้ว สำนักศึกษาก็จะตกอยู่ในสถานการณ์แตกแยกกระจัดกระจายที่น่าสลดใจเพราะหวาดกลัวพวกเขา
“ตอนออกเดินทางทำไมจึงไม่บอก เจ้าไม่รู้หรือว่านี่เป็นโทษหนักที่ทำให้การศึกหน่วงเหนี่ยวล่าช้า” เหล่าหนิวสีหน้าแดงก่ำ เขาไม่สนใจเสียหน่อยว่าในขนมนี้จะใส่ตั๊กแตนป่นมากเท่าไร เขาสนใจเพียงแต่ว่าสามารถทให้อิ่มท้องได้หรือไม่เท่านั้น สนใจเพียงว่าทำไมเรื่องสำคัญเช่นนี้อวิ๋นเยี่ยกลับรอจนถึงตอนนี้จึงค่อยบอก
“ท่านไม่ใช่ไม่รู้ว่าการเลือกซื้อเสบียงกองทัพนั้นเข้มงวดเพียงไหน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกเสบียงใหม่ หากยังไม่ได้ผ่านการทดสอบ ตระกูลอวิ๋นจะกล้าขายให้กับกองทัพเป็นการส่วนตัวได้อย่างไร ก้อนที่ท่านกินนี้เป็นของที่ข้าทำเองและเตรียมไว้กินเอง ท่านอย่าได้เอาโทษหนักเช่นนี้มอบมาให้ข้าอย่างเด็ดขาด ข้าขี้ขลาดรับความตกใจมากไม่ได้” เหล่าหนิวพลั้งปากพูดไม่คิด ใช้กฎทางทหารมาขู่เขาอีกแล้ว อวิ๋นเยี่ยก็เก็บความอัดอั้นตันใจไว้เต็มอก สำนักศึกษาของเขาอยู่ดีๆ แท้ๆ แต่กลับยัดเยียดหนอนเน่ามาหนึ่งตัว ไม่ได้คิดบัญชีกับหลี่ซื่อหมินและยังต้องทำประโยชน์ให้แก่เขาอีก
“อารมณ์เสียแล้วใช่ไหม กล้าพูดเช่นนี้กับผู้ใหญ่ หากไม่เห็นแก่ที่ตอนนี้เจ้าได้หมั้นหมายแล้ว ไม่แน่ว่าข้าจะต่อยเจ้าอีกรอบ”
“ท่านวางใจ ผู้หญิงและเด็กที่บ้านกำลังทำของสิ่งนี้ทั้งกลางวันและกลางคืน หลังจากนี้อีกระยะหนึ่งไม่แน่ว่าจะส่งมายังเมืองซั่วฟาง หลานก็เพียงแค่ระบายอารมณ์ไปเรื่อยเปื่อย จะไม่ทำให้งานใหญ่ล่าช้าแน่นอน ในความคิดหลานมีเพียงเรื่องที่เกี่ยวพันถึงสำนักศึกษาเพียงอย่างเดียวจึงจะถือเป็นเรื่องใหญ่ เรื่องอื่นยังไม่คู่ควรให้พูดถึง” อวิ๋นเยี่ยรู้สึกเหนื่อยล้าจากการถูกผู้อื่นหลอกใช้ไปมา แม้ว่าจะมีคำพูดที่โด่งดังในยุคปัจจุบันที่ว่า การที่คุณถูกคนอื่นหลอกใช้นั่นพิสูจน์ว่าคุณยังคงมีคุณค่าในการใช้งาน หากไม่มีใครหลอกใช้นั่นจึงจะเป็นเรื่องน่าเศร้า ประโยคที่พูดเหมือนผายลมนี้ อวิ๋นเยี่ยเคยมองว่าเป็นความจริง แต่ตอนนี้กลับรู้สึกว่าประโยคนี้โง่เป็นที่สุด
“เจ้าหนุ่ม ระวังตัวด้วย ความคับแค้นใจในใจเจ้าพูดต่อหน้าข้า ระบายออกมาบ้างก็ไม่เป็นไร หากอยู่ต่อหน้าสาธารณะอย่าได้พูดเหลวไหลเป็นอันขาด เมื่อใส่หน้ากากแล้วก็อย่าได้คิดจะถอดออก ในเมื่อเจ้าได้เตรียมการไว้แล้วข้าพร้อมจะรับมือไปกับเจ้า ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับวาสนาเจ้าแล้ว” เหล่าหนิวควบม้าไปทะลุขบวนขึ้นไปด้านหน้า ออกคำสั่งเสียงดังให้เร่งฝีเท้าอย่างเต็มที่ เขาเป็นคนซื่อสัตย์และไม่ต้องการได้ยินคำพูดที่ไม่ดีเกี่ยวกับหลี่ซื่อหมิน
เกิดลมแรงขึ้นบนพื้นถนน พัดธงปลิวสะบัดจนเกิดเสียง ฝุ่นดินฟุ้งตลบจนทุกคนมองไม่ชัด ได้แต่ก้มศีรษะมุ่งหน้าต่อไป เมื่อครู่ยังแดดแรงสองแสงจ้าทั่วผืนดิน พริบตาเดียวกลับเป็นเต็มไปด้วยฝุ่นคละคลุ้ง เม็ดฝนขนาดใหญ่เพิ่งพัดผ่านไปกับสายลมก็กระหน่ำเทลงมา พื้นดินที่เป็นที่ราบข้างทางไม่มีต้นไม้แม้สักต้น ทุกคนจึงต้องทนฝ่าฝนเร่งฝีเท้าเท่านั้น
คราวนี้อวิ๋นเยี่ยเป็นเจ้าหน้าที่ที่นำกองทัพจึงไม่มีทางที่จะซ่อนตัวอยู่ในรถม้าได้เหมือนครั้งที่แล้ว น้ำฝนไหลเข้ามาตามช่องว่างของชุดเกราะจนถึงเสื้อผ้า ไม่นานนักก็เปียกโชกไปทั่วตัว เห็นว่าหนังวัวค่อยๆ พองตัว การนั่งบนอานม้าก็เหมือนกับการขี่เนื้อเน่าเปื่อยที่ทั้งลื่นทั้งรู้สึกแย่
เช็ดน้ำฝนที่อยู่บนใบหน้า มองผ่านสายฝนที่เลือนลางจึงเห็นลางๆ ว่าเหล่าหนิวกำลังส่งเสียงดัง ไม่รู้ว่ากำลังพูดอะไรอยู่ จนกระทั่งทหารแจ้งข่าวมาแจ้งจึงได้รู้ว่าเหล่าหนิวให้หน่วยเสบียงโอบล้อมเป็นวงกลมแล้วกางผ้าใบกันน้ำบนรถม้า ให้ทุกคนได้หลบฝนชั่วคราว ฝนตกหนักมากจริงๆ
ไม่ต้องรอให้อวิ๋นเยี่ยออกคำสั่งทหารผ่านศึกของตระกูลอวิ๋นก็เตรียมพร้อมไว้นานแล้ว ผ้าใบกันน้ำผืนใหญ่ก็กางออก พอจะกลายเป็นสถานที่ที่หลบฝนได้ชั่วคราว อีกทั้งยังกางผ้าใบกันน้ำให้สัตว์พาหนะด้วยเพราะกลัวว่าพวกมันจะป่วย ทุกคนขดตัวสั่นอยู่ใต้ผ้าใบกันน้ำอวิ๋นเยี่ยเองก็เช่นกัน เมื่ออยู่ในกองทัพก็ไม่พิธีรีตรองเหมือนเช่นขณะอยู่บ้าน
ในสถานที่ที่ไม่เหมาะสม ในเวลาที่ไม่เหมาะสม มักจะมีคนที่ไม่เหมาะสมปรากฏตัวขึ้น ดังเช่นท่านนี้
ซีถงถูกจับมัดมือไพล่หลังไว้และถูกส่งมาให้อวิ๋นเยี่ย เป็นเรื่องธรรมดาที่จะดีใจเมื่อได้เห็นคนรู้จักเก่า เพียงแต่ทำไมทุกครั้งที่เจอกันเขาถึงถูกมัดอย่างแน่นหนา หรือจะบอกว่าชะตาผูกพันกับเชือก ได้ยินทหารคนสนิทของเหล่าหนิวพูดจึงได้รู้ว่า ผู้ชายคนนี้ยืนควบม้ามาเพียงลำพัง แม้ว่าถูกฝนตกหนักจนเปียกปอนดูไม่ได้ แต่ความองอาจผึ่งผายก็ยังคงอยู่ เมื่อเผชิญหน้ากับกองทัพยังกล้าพูดเสียงดังใส่ ทั่วใต้หล้านี้ก็คงมีเพียงท่านนี้เท่านั้น
ได้ยินมาว่าจะมาขอขมาต่ออวิ๋นโหว เหล่าหนิวจึงไม่เกรงใจที่จะจับคนมัดไว้และส่งมาให้อวิ๋นเยี่ย
บางครั้งคนแดนกวนจงก็คุยกันไม่รู้เรื่อง ก็ไม่รู้ว่าเป็นนิสัยโผงผางหรือฟังเรื่องนักดาบพเนจรมากเกินไป สรุปแล้วก็คือไม่เคยเห็นความสำคัญของชีวิตของตัวเอง ตอนนี้อวิ๋นเยี่ยเริ่มเชื่อแล้วว่ามีผู้ชายสองคนเพียงเพื่อต้องการประลองกันว่าใครแกร่งกว่าใครอยู่ในโรงเตี๊ยมถือมีดคนละเล่มเฉือนเนื้อที่ขาของเขาเองแกล้มเหล้า
แล่เนื้อเฉือนหนังเพื่อแกล้มเหล้า สรวลเสเฮฮาผีสางเทวายังตะลึง
พวกเขาจะคุยอะไรกัน พูดคุยกันว่าเนื้อใครอร่อยกว่ากัน เหมาะที่จะนำไปย่างหรือไม่ หรือจะนำไปจิ้มจุ่ม มีคนเช่นซีถงดำรงอยู่อวิ๋นเยี่ยก็เชื่อว่าคนโง่และวิปริตที่กล่าวถึงในบทกวีจะต้องมีอยู่จริงอย่างแน่นอน ทั้งยังจะสืบทอดกันในแดนกวนจงไม่มีที่สิ้นสุดอีกด้วย
“โหวเหยีย ข้าน้อยซีถงเข้าใจท่านผิดไป ท่านเป็นคนดีจริงๆ ไม่ได้เลวอย่างที่พวกเขาพูดกัน ท่านเอาชีวิตข้าไปเถอะ!” คำพูดนั้นพูดออกมาอย่างสบายๆ ไม่ทุกข์ร้อน ราวกับกำลังพูดถึงชะตากรรมของหมูไม่ใช่ของตัวเอง แววตามีความรู้สึกผิดแต่ไม่มีร่องรอยของความหวาดกลัวแม้แต่น้อย
ชายฉกรรจ์สูงสองเมตรแม้คุกเข่าอยู่บนพื้นแต่แผ่นหลังยังคงเหยียดตรง อวิ๋นเยี่ยคิดว่าเอวของเขาคงไม่เคยโค้งให้ผู้ใด
ไล่ตามมาหนึ่งพันกว่าลี้เพียงเพื่อนำชีวิตมามอบให้ เพียงเพราะรู้สึกผิด นี่ช่างเป็นผู้ติดตามที่ดีเพียงใดกัน ดูเขาที่ร่างกายกำยำสูงใหญ่ ดวงตากลมโตปากหนาใหญ่เหมาะแก่การนำมารับลูกธนูในสนามรบเสียจริงๆ ขณะรบกันชุลมุนวุ่นวายให้รับดาบแทนไม่มีใครดีเกินเขาอีกแล้ว พวกเหล่าจวงไม่สามารถเทียบกับซีถงได้
เมื่อตัดสินใจได้แล้ว ไม่รับลูกน้องประเภทนี้ไว้มันต่อหลักทำนองคลองธรรม ในที่สุดวันนี้ฉันก็สามารถพิชิตและรับลูกน้องที่แท้จริงได้ด้วยบารมีของตนเองจริงๆ เสียที อวิ๋นเยี่ยปัดเส้นผมที่เปียกฝนแล้วแปะติดอยู่บนหน้าออก หยิบมีดสั้นออกมา ตัดเชือกที่มัดซีถงไว้ ตบไหล่ของเขาแล้วพูดกับเขาด้วยเสียงที่เบาที่สุดว่า
“เจ้าตามมามอบตัวไกลถึงหนึ่งพันลี้ ก็เพื่อมอบชีวิตให้ ถือว่าเป็นผู้มีคุณธรรมน้ำใจที่รักษาสัจจะดังที่คนโบราณว่าไว้ ข้านับถือจากใจจริง การสังหารวีรบุรุษที่มีคุณธรรมเช่นนี้ถือเป็นเรื่องอัปมงคล ข้าจะไม่ทำเรื่องที่ผิดต่อศีลธรรมและคำคนด่า เรื่องเข้าใจผิดระหว่างเราก็จบลงแต่เพียงเท่านี้ดีหรือไม่”
“เจ้าไม่ฆ่าข้า?”
“แน่นอน!”
“บุญคุณความแค้นพวกเราจบแต่เพียงนี้”
“เห็นเจ้ามีคุณธรรมมากถึงเพียงนี้ ใครจะตัดใจทำได้ลงคอ”
หลังจากพูดประโยคนี้ อวิ๋นเยี่ยก็ยืนหน้าเชิดอกตรงและรอให้ซีถงก้มศีรษะยอมสวามิภักดิ์เขา รออยู่เป็นเวลานานไม่เห็นปฏิกิริยาใดๆ เมื่อหันกลับไปมอง กลับพบว่าเงาที่กำยำสูงใหญ่ของซีถงค่อยๆ หายไปท่ามกลางสายฝนที่กระหน่ำลงมา ทั้งยังมีเสียงฮัมเพลงเบาๆ ให้ได้ยินอีกด้วย
เพื่อปกปิดความอับอายของตัวเอง อวิ๋นเยี่ยพูดกับเหล่าจวงว่า “ช่างเป็นคนที่มีอิสระอย่างแท้จริง”
——
[1] เต้า เป็นเขตการปกครองในสมัยจีนโบราณ ซึ่งมีอาณาบริเวณกว้างประมาณระดับมณฑลในปัจจุบัน
3 เมืองซั่วฟางที่แหลกสลาย
เฉิงฉู่มั่วลงจากหลังม้าค่อยๆ เดิน ก้าวข้ามพุ่มไม้เตี้ยๆ โลกที่อยู่เบื้องหน้าดูเหมือนจะเปิดกว้างขึ้นในทันทีทันใด ท้องฟ้าสีฟ้าครามทอดตัวยาวไปถึงสุดเขตแดน กอหญ้าที่สูงประมาณครึ่งเอวสูงปกคลุมพื้นดินที่ขรุขระอย่างมิดชิด ที่นี่ไม่มีเสียงนกร้องและสัตว์ป่าเดินเพ่นพ่าน เนินเขาเตี้ยๆ ทั้งเนินมีแต่กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง แม้แต่นกแร้งที่ชอบกินซากศพที่สุดก็ยังถอยหนีไปไกลจากดินแดนแห่งความตายนี้
แหวกกอหญ้าที่เกะกะ ศพของคนวัยเยาว์ที่เสียชีวิตไปนานแล้วนอนอยู่กลางพงหญ้า ลูกธนูสามแฉกทะลุผ่านคอหอย ตรึงชีวิตของเขาให้หยุดอยู่ในช่วงเวลาที่งดงามที่สุดนี้ไปตลอดกาล ปลายแหลมของลูกธนูได้หักไปหนึ่งด้าน ราวกับหัวเราะเยาะในความไร้สามารถของเฉิงฉู่มั่ว
เมื่อก้าวไปข้างหน้าต่อ ต้นหญ้าที่อยู่บนพื้นดินถูกเหยียบย่ำจนเละเทะไปหมด ศพที่อยู่ใกล้ๆ ก็มีมากขึ้น ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นศพทหารต้าถังที่เปลือยกาย พวกชาวเผ่าทูเจวี๋ยที่อำมหิตไม่เพียงแต่ฆ่าพวกเขา ยังถอดเสื้อผ้าของพวกเขาไปด้วย
ไม่มีผู้รอดชีวิต รวมทั้งสิ้นสิบสองคน นี่คือจำนวนคนเพียงกลุ่มเดียว
เฉิงฉู่มั่วเริ่มตามหากลุ่มทหารที่หายตัวไปตั้งแต่ตอนเช้า จนกระทั่งตกบ่ายจึงพบพวกเขา แต่น่าเสียดายที่กลายเป็นเหยื่อไปทั้งหมดแล้ว
ล้วนแล้วแต่เป็นพี่น้องร่วมเป็นร่วมตายของเขา ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา เมื่อคืนก่อนออกไปลาดตระเวนยังได้ล้อเล่นกับเขาอยู่ว่าหลังจากกลับไปฉางอันแล้ว ต้องพาพวกเขาไปที่หมู่บ้านตระกูลอวิ๋นเพื่อกินอาหารที่อร่อยที่สุดในโลก ดื่มเหล้าชั้นเลิศที่หอมหวานที่สุด จากนั้นไปที่หอเอี้ยนไหลโหลวหานางรำที่สวยที่สุด
ทุกศพดวงตาเบิกกว้าง จ้องมองไปที่ท้องฟ้าสีฟ้าคราม บางทีพวกเขาอาจต้องการระลึกถึงความงามสุดท้ายของโลกนี้
สงครามทำให้คนๆ หนึ่งเติบโตอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกับเฉิงฉู่มั่ว เขาไม่แสดงอารมณ์รุนแรงใดๆ ออกมาและก็ไม่มีความทุกข์โศกที่มากเป็นพิเศษ เพียงแค่ปิดตาพี่น้องให้หลับลงทีละศพๆ จากนั้นร่วมกับพี่น้องคนอื่นๆ ใช้พลั่วขุดหลุมขนาดใหญ่และฝังพวกเขาไว้ด้วยกัน ไม่ได้ตั้งป้ายวิญญาณและไม่จำเป็นต้องมีด้วย คนที่ตายที่นี่ไม่มีใครมาเซ่นไหว้แน่นอน
มองไปแต่ไกลมีนกแร้งบินขึ้นมา ได้ยินเสียงฝีเท้าม้าอยู่ลางๆ นี่คือชาวทูเจวี๋ยที่พาลูกๆ ของพวกเขามาดูผลงานอันมีเกียรติของพวกเขา พวกเขาจะสอนให้รุ่นต่อไปด้วยวิธีเช่นนี้ สืบต่อไปรุ่นแล้วรุ่นเล่า
มุมปากเฉิงฉู่มั่วยกสูงขึ้น ในที่สุดก็สามารถระบายความเจ็บปวดที่จุกอกได้แล้ว
ทหารหนึ่งร้อยยี่สิบคนค่อยๆ อ้อมไปซ่อนตัวอยู่บนเนินเขาอย่างเงียบๆ
เสียงตะโกนของชาวทูเจวี๋ยดังขึ้นเรียกให้เด็กๆ ที่ขี่ม้าอยู่ด้านหลังรีบๆ ตามมา พวกเขาสวมชุดเกราะหนังที่ทำตามแบบของทหารต้าถัง ในมือถือดาบที่เงาวับ กวัดแกว่งให้พวกพ้องอยู่ไม่ยอมหยุด บอกให้รู้ว่าพวกเขาแข็งแกร่งเพียงไหน ทหารต้าถังอ่อนแอเพียงไร ความสกปรกบนใบหน้าในเวลานี้ได้กลายเป็นหน้ากากที่น่าเกลียดน่ากลัวไป
เมื่อเขาลงจากหลังม้าแล้วไม่เห็นศพเห็นเพียงหลุมศพใหม่นั้น หัวหน้าของชาวเผ่าทูเจวี๋ยตะโกนเสียงดังขึ้น ชาวทูเจวี๋ยทั้งหมดก็รีบวิ่งไปที่ม้าศึก พยายามออกจากพื้นที่ที่อันตรายนี้โดยเร็วที่สุด เมื่อครู่ดีใจหลงระเริงจนลืมคำสอนของบรรพบุรุษที่ว่าอย่าหลีกห่างม้าศึกของตัวเองง่ายๆ… ช้าไปแล้ว เฉิงฉู่มั่วถอดหน้ากากออก ราวกับปีศาจร้ายจากขุมนรก เขาไม่ใช้ธนู แต่ต้องการใช้ดาบในมือเพื่อล้างแค้นให้สหายที่รบจนตัวตายของเขา ลูกธนูสามแฉกของชาวทูเจวี๋ยไม่สามารถเจาะทะลุเกราะของเขาได้ สร้างไม่ได้แม้กระทั่งร่องรอยความเสียหาย ดาบของเขาสามารถตัดดาบจันทร์เสี้ยวในมือชาวทูเจวี๋ยได้อย่างง่ายดาย และได้ตัดชิ้นเนื้อขนาดใหญ่บนไหล่เขาออกมาด้วย เขายังคงไม่พอใจ ขณะที่เดินข้ามชาวทูเจวี๋ย ได้ยกดาบขึ้นและอาศัยความเร็วของม้าเพื่อตัดศีรษะของชาวทูเจวี๋ย
นี่เป็นการต่อสู้ที่ไม่ได้คาดหวังมาก่อน นักรบหนึ่งร้อยยี่สิบเอ็ดคนมีเพียงแค่จู่โจมศัตรูไปหนึ่งครั้งก็สามารถจัดการกับชาวทูเจวี๋ยได้หลายสิบคน ชายชราชาวทูเจวี๋ยคนหนึ่งที่เหลืออยู่ได้คุกเข่าวิงวอนต่อเฉิงฉู่มั่ว โดยหวังว่าเขาจะยอมปล่อยเด็กหลายสิบคนที่อยู่ข้างหลังเขาไป
เฉิงฉู่มั่วไม่ลังเลแม้แต่น้อย ตัดศีรษะของชายชราเผ่าทูเจวี๋ยในดาบเดียว เลือดฉีดพุ่งกลางอากาศ ชาวทูเจวี๋ยส่วนที่เหลือรวมถึงเด็กๆ ถึงกับยกดาบจันทร์เสี้ยวไล่ฆ่าเข้ามา ใบหน้าเล็กๆ ที่สกปรกนั้นดูน่ากลัวเพราะความหวาดกลัว แต่น่าเสียดายที่ร่างกายที่เปราะบางของพวกเขสไม่สามารถต้านทานดาบที่คมกริบได้
ศพทั่วพื้น ทั้งชราและเด็ก ทั้งที่ร่างกายกำยำและเปราะบาง พวกเขาทั้งหมดถูกเฉิงฉู่มั่วทำให้กลายเป็นแท่นบูชาเพื่อปลอบใจสหายศึกที่ตายจากไป
กองทหารไม่มีความเจ็บปวดเหมือนตอนที่มาอีก ทุกคนกำลังหัวเราะ เพราะสงครามก็เป็นเช่นนี้ ไม่ใช่เจ้าตายก็คือข้าม้วย เพียงแต่ต้องดูว่าตายอย่างคุ้มค่าหรือไม่ เฉิงฉู่มั่วเชื่อว่า พวกทหารชนกลุ่มน้อยที่เป็นหน่วยสอดแนมที่โจมตีต้าถังคงหมดแล้ว ทั้งที่แข็งแกร่งและเด็กต่างก็เสียชีวิตไม่มีเหลือ ที่รอพวกเขาอยู่ก็คงมีแต่การถูกชนเผ่าน้อยอื่นๆ กลืนกิน
ตำแหน่งข่านของเจี๋ยลี่นั้นไม่มั่นคง เขานำกองทหารม้าที่ทรงพลังไม่เพียงแต่ก่อกวนต้าถังเท่านั้น แต่ยังรบกวนประเทศเพื่อนบ้าน รวมไปถึงชนกลุ่มน้อยที่อ่อนแอด้วย ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา หลี่ซื่อหมินไม่เคยละเลยการสร้างสัมพันธ์กับชนกลุ่มน้อยที่อยู่ภายใต้การนำของข่านเจี๋ยลี่ให้แตกตัวออก ซึ่งทูลี่ที่ถูกกู้ลี่กดขี่ก็เป็นหนึ่งในนั้น ตอนนี้เจี๋ยลี่กำลังยุ่งอยู่กับการจัดการลูกน้องที่ไม่ยอมสยบ เขาไม่คิดว่าหลี่ซื่อหมินที่ยอมแพ้ต่อเขาที่สะพานเว่ยสุ่ยเมื่อปีที่แล้ว จะมีกำลังพอที่จะต่อกรกับเขาได้ ชาวเผ่าทูเจวี๋ยเป็นเผ่าที่แข็งแกร่งมาโดยตลอดและจะแข็งแกร่งต่อไปอีก ชาวถังเป็นเพียงพวกเลี้ยงสัตว์ในทุ่งหญ้า เมื่อถึงเวลาที่อยากจะเก็บกวาดจึงค่อยไปกวาดล้างก็ยังได้
“นายพัน คราวนี้พวกเราเด็ดศีรษะไปทั้งหมดหนึ่งร้อยสี่สิบสี่คน ท่านคิดว่าจะมีพวกอยากเลื่อนขั้นอีกกลุ่มหนึ่งโผล่มาหรือไม่” เหลียงซานผู้ซึ่งขี่ม้าที่มีหูของชาวทูเจวี๋ยร้อยไว้เป็นพวงแขวนอยู่บนคอม้าได้ถามผู้บังคับบัญชาของเขา สิ่งที่ชายแดนกวนจงให้ความสำคัญมากที่สุดก็คือผลงานทางการทหาร ซึ่งจะทำให้เชิดหน้าชูตาบรรพบุรุษได้
“พี่น้องเราตายไปสิบสองคนยังมีหน้าที่จะขอความดีความชอบอีกหรือ พวกเราเสียหน้าเกินกว่าจะเสียหน้าแล้ว ในบรรดาหูเหล่านี้ยังมีจำนวนมากที่เป็นหูของเด็ก กลับไปแล้วไม่โดนกฎกองทัพก็นับว่าเราโชคดีมากแล้ว ยังกล้าจะเอาผลงานอีก” เฉิงฉู่มั่วสีหน้าดูดีขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ยังคงดูมืดมน
“นายพัน ท่านเป็นบุตรชายของฮูหยินเอกของกั๋วกง ขุนนางฝ่ายบันทึกมีหรือที่จะกล้าไม่เกียรติท่าน”
“หึๆ ถ้าข้าใช้ฐานะกดขี่ พวกเราจะไม่เพียงไม่มีผลงาน แต่กลับจะมีความผิด ถ้าหากสามารถใช้เรื่องมนุษยสัมพันธ์ในกองทัพได้ ยังต้องให้พวกเจ้ามาผายลมแถวนี้หรือ!”
“ข้าน้อยไม่ถามแล้ว ท่านอย่าเพิ่งโกรธ อย่างไรเสียพวกเราก็ทำไปเพื่อล้างแค้นให้พี่น้องที่ตายไป นี่น่าจะพอควรค่าแก่การเฉลิมฉลองกระมัง เมื่อวานตอนช่วยท่านจัดเตียง พบว่าท่านยังมีเหล้าดีๆ อยู่อีกหนึ่งไห คืนนี้พวกเหล่าดื่มให้เกลี้ยงเลยดีหรือไม่” เหลียงซานนับว่าเป็นคนที่ฉลาดที่สุดในหมู่พี่น้อง รู้ว่าควรเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างไร
“ใครบอกเจ้าว่านั่นเป็นเหล้า มันเป็นแอลกอฮอล์ที่ใช้ในการรักษา ดื่มลงไปเพียงคำเดียวก็ถึงตายได้
ข้าน้อยรู้แล้ว ท่านเคยบอกแล้ว เมื่อคืนข้าทนไม่ไหวจึงได้แอบจิบไปอึกหนึ่ง เกรงว่าท่านจะลงโทษ จึงตัดสินใจว่าจะดื่มให้ตายไปเลย ใครจะรู้ว่าถึงตอนนี้ก็ยังไม่ตาย เมื่อครู่ยังฆ่าชาวทูเจวี๋ยได้สองคน เรี่ยวแรงมากจนใช้ไม่หมด นี่เป็นสัญญาณว่าข้าใกล้จะตายใช่หรือไม่”
คำพูดของเหลียงซานทำให้เกิดหัวเราะดังขึ้น ก็มีคนกล้าพอที่จะพูดต่อในทันใด
“ข้าน้อยเองก็เบื่อโลกแล้ว แต่ว่าการถูกตัดศีรษะมันเจ็บเกินไป การแขวนคอน่าเกลียดเกินไป นายพัน ไม่เช่นนั้นท่านอนุญาตให้ข้าดื่มสักชาม ดื่มจนล้มพับไปเลย เมื่อคืนเหลียงซานหายใจรดใส่พวกเรา กลิ่นเหล้านั้นหอมมาก ท่านคงจะไม่คิดเสียดายกระมัง”
พูดกันจนเฉิงฉู่มั่วหน้าแดงไปถึงใบหู อวิ๋นเยี่ยก็พูดกับเขาเช่นนี้ เขาก็เคยแอบชิมแล้ว ถึงแม้ว่าเหล้าจะดีกรีสูงไปเล็กน้อย แต่มันก็เป็นเหล้าที่ดีที่สุดจริงๆ ในใจก็เกิดความสงสัยอยู่ว่าอวิ๋นเยี่ยกลัวว่าเขาดื่มเหล้าแล้วจะเสียงาน จึงจงใจหลอกเขาใช่หรือไม่
“พูดเหลวไหลอะไร พี่น้องข้าเป็นหมอเทพ นี่คือสิ่งที่เขาพูดยังจะเป็นคำโกหกได้หรือ อีกไม่กี่วันเขาจะมาที่เมืองซั่วฟาง หากอยากดื่มเหล้าดีเขาต้องมีติดมือมาแน่ ถึงตอนนั้นทุกคนจะได้ดื่มคนละชาม ไม่มีบิดพลิ้วแน่นอน” เฉิงฉู่มั่วก็ถือว่าเป็นคนที่รู้ก่อนเป็นคนแรกว่าอวิ๋นเยี่ยจอมวายร้ายจะมา
“อวิ๋นโหวก็จะมาที่เมืองซั่วฟางด้วยหรือ มีเขาอยู่ด้วย ข้าน้อยก็วางใจไปกว่าครึ่ง หากไม่ทันระวังจนได้รับบาดเจ็บสาหัส ท่านต้องช่วยข้าน้อยด้วย ขอให้อวิ๋นโหวช่วยต่อชีวิตใหม่ให้ด้วย วันนี้ทำไมพวกเราจึงลืมไว้ชีวิตชาวทูเจวี๋ยไว้บ้าง หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นในอนาคต ก็จะได้ยืมชีวิตของพวกเขามาใช้ได้ “คำพูดของเหลียงซานทำให้ทุกคนเกิดความเสียดายขึ้น
ใกล้จะพลบค่ำแล้ว เฉิงฉู่มั่วจึงได้นำผู้คนกลับมาถึงเมืองซั่วฟาง
เมืองซั่วฟางเป็นเมืองใหญ่ที่มีชื่อเสียงบนทุ่งหญ้า เนื่องจากขาดวัสดุหิน กำแพงเมืองจึงทำมาจากดิน แต่หลังจากสงครามครั้งใหญ่ปีที่แล้วยังไม่ทันได้ซ่อมแซมกำแพงเมือง จึงมีแต่ช่องโหว่แตกหักเล็กๆ ใหญ่ๆ อยู่เต็มไปหมด
หลังจากที่เหลียงซือตูเสียชีวิตไปแล้ว ลูกพี่ลูกน้องของเขาเหลียงลั่วเหรินได้ยอมจำนนต่อต้าถังและถูกเรียกตัวมาเป็นแม่ทัพใหญ่ประจำที่เมืองฉางอัน โดยไม่ได้กลับเมืองซั่วฟางอีกเลย
ตอนนี้แม่ทัพหลักคือไฉเส้าสวามีขององค์หญิงผิงหยางมีแม่ทัพที่ดุดันอย่าง เซวียว่านจวิน เซวียว่านเช่อสองพี่น้องเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา หลังจากบุกทำลายเหลียงซือตูพวกเขาไม่ได้กลับไปที่เมืองหลวง แต่กลับตั้งค่ายประจำการขึ้น แม้ว่าการขนส่งเสบียงและอาวุธยุโธปกรณ์นั้นจะยากต่อการขนส่ง หลี่ซื่อหมินก็ไม่เคยมีความคิดที่จะยอมแพ้ พี่ชายของเขาไม่เคยมีความคิดที่จะอยู่อย่างสงบสุขกับข่านเจี๋ยลี่
การสร้างเมืองบนทุ่งหญ้านั้นยากเกินไป ส่วนกำแพงที่สร้างจากดินนั้นก็ไม่แข็งแรงพอจะต้านลมและฝนได้จำเป็นต้องซ่อมแซมทุกปี ซึ่งมีค่าใช้จ่ายมาก
ยกเว้นการซ่อมแซมเมืองถ่งว่านเฉิงของเฮ่อเหลียนปั๋วปัว คนบ้าคนนี้ได้สร้างเมืองถ่งว่านเฉิงไว้ตั้งแต่ร้อยกว่าปีก่อนแล้วโดยดินทั้งหมดถูกนึ่งมาก่อน นอกจากนี้ยังมีคำสั่งว่า หากกำแพงถูกตะปูเหล็กตอกเข้าไปได้ลึกถึงหนึ่งนิ้วจะฆ่าช่างแรงงานทิ้ง ถ้าหากตอกไม่เข้าก็จะฆ่าทหารที่ทำหน้าที่ตอกตะปูเหล็ก หลังจากกำแพงสร้างเสร็จแล้ว ได้ยินว่าสามารถใช้ลับคมขวานได้ ตอนนี้ยังคงยืนตระหง่านอยู่ชายแดนที่ทะเลทราย
ในเวลานี้อวิ๋นเยี่ยไม่มีอารมณ์มาชื่นชมความงามของทุ่งหญ้า เพราะฝนที่ตกหนักเมื่อหลายวันก่อนทำให้หนิวจิ้นต๋าเป็นหวัดและมีไข้สูงไม่ลด อวิ๋นเยี่ยได้นำยาแผนปัจจุบันที่ยังไม่หมดอายุให้เขากิน จึงค่อยๆ รักษาชีวิตเขาไว้ได้ อย่างไรเสียเหล่าหนิวก็สูงวัยแล้ว ร่างกายเทียบกับสมัยเยาว์วัยไม่ได้ เมื่อป่วยครั้งนี้จึงทำให้โรคเก่าที่เป็นทั้งหมดกำเริบขึ้น โรครูมาตอยด์ ความดันโลหิตสูง ม้ามและกระเพาะอาหารทำงานผิดปกติ แม้กระทั่งอาการปวดหัวไมเกรน ตามเขาบอกมาเขารักษาอาการปวดไมเกรนด้วยการผูกแถบผ้าบนศีรษะแล้วดึงให้แน่น
จากการบังคับเข้ารับอำนาจทางทหารของเหล่าหนิว อวิ๋นเยี่ยจึงกลายเป็นหัวหน้าดูแลกองกำลังที่มีอำนาจสูงสุด กองกำลังที่น้อยกว่าหนึ่งพันคนแต่เรื่องใหญ่เล็กมีให้ต้องจัดการไม่มีที่สิ้นสุด อวิ๋นเยี่ยไม่เพียงแต่ต้องรับผิดชอบเป็นผู้นำ ยังต้องแก้ไขข้อพิพาทต่างๆ ด้วย ยิ่งต้องใส่ใจกับความปลอดภัยของกองกำลังนี้ด้วย
ภายในเวลาไม่ถึงสามวัน อวิ๋นเยี่ยหวังอย่างยิ่งว่าเหล่าหนิวจะอาการดีขึ้น หลังจากจัดการกับการล่วงละเมิดทางเพศระหว่างผู้ชายกับผู้ชายเสร็จแล้ว จึงรีบไปที่ข้างรถม้าของซุนซือเหมี่ยวดูว่าเหล่าหนิวอาการดีขึ้นแล้วหรือไม่ น่าขยะแขยงจริงๆ เมื่อคิดถึงพฤติกรรมของสองคนนั้นอวิ๋นเยี่ยก็อยากจะอาเจียน
เหล่าหนิวมีสีหน้าแดงก่ำนั่งอยู่บนรถม้า ถือชามไม้อยู่ในมือกำลังใช้ช้อนตักกินอยู่ อวิ๋นเยี่ยตั้งใจปรุงอาหารที่บำรุงร่างกายให้เป็นพิเศษ แม้เห็นอวิ๋นเยี่ยมาเขาก็ไม่สนใจก้มหน้าก้มตากินไม่หยุด
“สีหน้าท่านเริ่มมีเลือดฝาด ดูแล้วอาการดีขึ้นมาก หลายวันก่อนหลานถือวิสาสะยึดอำนาจทางทหารของท่าน ตอนนี้ขอมอบคืนให้ท่านดีหรือไม่”
“ข้าไม่เคยคิดโทษความผิด เมื่อผู้บัญชาการหลักป่วยหนัก การที่รองผู้ช่วยจะเข้ารักษาการแทนเดิมก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลอยู่แล้ว จะมาขอโทษอะไรกัน ไม่เห็นหรือว่าตอนนี้ข้าป่วยจนแทบไม่เหลือสภาพแล้ว เรื่องต่างๆ ในกองกำลังดูแลไม่ไหวแล้ว เจ้าก็ทนเหนื่อยไปอีกสองสามวัน นี่ก็ใกล้จะถึงเมืองซั่วฟางแล้ว” หลังจากพูดจบ ยังให้ทหารคนสนิทที่อมยิ้มที่มุมปากห่มผ้าห่มบางๆ ให้เขา โดยบอกว่าถ้าไม่ถึงเมืองซั่วฟางอย่ามาเรียกเขา ตาเฒ่าคนนี้เห็นหลายวันนี้อวิ๋นเยี่ยดูแลกองกำลังได้ไม่เลว จึงเริ่มเกิดความขี้เกียจ เมื่อวานยังเห็นเขากินไก่ได้ทั้งตัว ตอนนี้ก็มาแกล้งอ่อนแอป่วยติดเตียง
ไม่มีทางเลือก อวิ๋นเยี่ยจึงต้องเรียกสติอีกครั้งและจัดการกับงานจิปาถะต่อไป!!!
4 หลอกคนจนตายแต่ไม่ยอมชดใช้ชีวิต
ขณะที่กองกำลังของอวิ๋นเยี่ยเดินทางผ่านที่นาแห่งสุดท้าย ชาวนาอยู่หลายคนที่ถกขากางเกงขึ้นกำลังรดน้ำอยู่ในทุ่งนา แม่น้ำสายเล็กๆ ที่ไหลผ่านอย่างช้าๆ เมื่อเลี้ยวที่โค้งด้านหน้า ต้นหลิ่วที่อยู่ข้างหน้าก็ดูราวกับเข็มขัดหยกวนล้อมรอบหมู่บ้านธรรมดาแห่งนั้น
อวิ๋นเยี่ยยืนอยู่บนสะพานไม้โบราณเล็กๆ ชื่นชมกับความเงียบสงบอันหายากนี้ เพียงแต่หมู่บ้านที่สร้างขึ้นจากการก่อกองดิน ทำให้เขาจินตนาการก้าวกระโดดไปนับพันปี เขาชอบความเงียบสงบแบบนี้ หรืออาจจะกล่าวได้ว่าเขาควรอยู่ในสถานที่แห่งนี้ ตะไคร่น้ำบนกำแพง ก้อนอิฐและกระเบื้องที่แตกร้าว วัวควายที่ส่งเสียงร้อง ทำให้เขาจินตนาไปต่างๆ นานาไม่หยุดนิ่ง ดวงอาทิตย์ที่เพิ่งพ้นขอบฟ้า ฝูงนกแข่งขันกันส่งเสียงร้อง หมู่บ้านบนภูเขาร้างทำให้บรรยากาศเงียบสงบยิ่งขึ้นไปอีก
เขายืนชมทิวทัศน์อยู่บนสะพาน แต่เขาไม่รู้ว่าคนที่ชมทิวทัศน์กำลังมองเขาอยู่
มีเกษตรกรหลายคนในนากำลังมองเขาอยู่ หากสายตาของอวิ๋นเยี่ยดีกว่านี้อีกสักหน่อยหรือหากมีกล้องส่องทางไกลในมือ เขาจะพบว่ามีคนรู้จักสองคนอยู่รวมในกลุ่มเกษตรกรห้าหกคนนั้น
ชายชราที่ใบหน้าเ**่ยวย่นคนหนึ่งที่สวมชุดผ้าเก๋อปู้ดึงหญ้าป่าขึ้นมากำหนึ่ง เลือกก้านที่มีรสหวานใส่เข้าปากค่อยๆ เคี้ยว จนกระทั่งกลืนรสหวานสุดท้ายในก้านแล้วคายมันออกมา หลายๆ คนที่นั่งล้อมเขาอยู่ดูเหมือนจะเคารพต่อเขามาก ไม่มีใครส่งเสียง เพียงแค่รอให้ชายชราพูด
“หลีสือ เจ้าคลุกคลีอยู่กับเจ้าหนุ่มนี่มานานที่สุด เจ้าเชื่อในสิ่งที่เขาพูดหรือไม่ เขามาจากสถานที่ที่แปลกประหลาดแห่งนั้นจริงๆ หรือ เจ้าลองพูดความคิดเห็นของเจ้าให้ฟังหน่อย”
“หมิงเหล่า หลีสืออยู่กับเขาเป็นเวลาห้าเดือนสิบวัน ข้าเชื่อว่าเขาเป็นเด็กดีคนหนึ่ง เฉลียวฉลาด มีสายตาเฉียบแหลม มีความรู้กว้างขวาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือความใจกว้างของเขาที่หาได้ยากนัก ศิษย์เคยใช้ความลับของหลายสำนักมาตั้งคำถามเขา พบว่าเขาเองดูเหมือนจะรู้อะไรบางอย่างและก็กระทำโดยมีเป้าหมายที่ชัดเจน ไม่ได้พูดพล่อยๆ อย่างเด็ดขาด แม้ว่าบางอย่างจะฟังไม่เข้าใจ แต่ศิษย์กลับยินดีที่จะเชื่อคำตอบที่เขาให้มา จะต้องเป็นสิ่งที่ใช้ได้จริง
“เรื่องความรู้เป็นเพียงเรื่องเล็กๆ ไม่ใช่สิ่งที่คนรุ่นข้าจะสนใจ ข้าแค่อยากรู้ว่าเขารู้จักไป๋อวี้จิงได้อย่างไร ตามที่เขาพูด อาจารย์ของเขาขาครึ่งหนึ่งได้ก้าวเข้าไปในไป๋อวี้จิงแดนสวรรค์มาแล้ว ไม่รู้ว่าเพราะอะไรจู่ๆ ก็ถอนตัวกลับมา หลักการที่ว่าการมีชีวิตอมตะต้องกลายเป็นหินเป็นเรื่องจริงหรือไม่ อย่าเพิ่งถกกันว่าจริงหรือเท็จ ข้าอยู่ในโลกมาห้าสิบกว่าปีแล้ว สิ่งเดียวที่ใฝ่ฝันคือสักวันหนึ่งจะสามารถได้ไปเยือนแดนสวรรค์ไป๋อวี้จิง ความสำเร็จครั้งใหญ่ แม้ว่ามันจะกลายเป็นหินข้าก็ไม่เสียดายอะไรแล้ว จิตแห่งเต๋าจะต้องแน่วแน่ หลีสือ เจ้าอยู่ในโลกคาวโลกีย์มานานเกินไปแล้ว จิตแห่งเต๋าเริ่มเปรอะเปื้อน มนุษย์โลกเมื่อเทียบกับพวกข้าแล้วก็เสมือนมดก็ไม่ปาน อย่าได้คิดเกิดจิตสงสาร”
หลีสือก้มหน้าและสอดมือเข้าใต้แขนเสื้อประสานมือยอมรับ
ชายชราถามชายร่างใหญ่ที่อยู่ข้างๆ ขึ้นอีก “เจ้าตามหาร่องรอยการมีชีวิตอยู่ของเขาในโลกนี้ แล้วค้นพบหรือไม่”
ชายร่างใหญ่นั่นก็คือซีถง เขาในเวลานี้สวมชุดผ้าป่านเก่าๆ ยืนเท้าเปล่าอยู่ในทุ่งนา หน้าแข้งเต็มไปด้วยดินโคลน ไม่หลงเหลือท่าทีของนักดาบพเนจรเลยแม้แต่น้อย
“ศิษย์ค้นทุ่งร้างว่างเปล่าจนทั่วก็ไม่พบเบาะแสแม้แต่น้อย จากร่องรอยบนลูกม้าตัวนั้นติดตามไปถึงฝูงม้าที่ไม่ใหญ่มาก สถานที่นั้นน่าจะเป็นสถานที่ที่เขาปรากฏตัวเป็นครั้งแรก สาวกสิบหกคนค้นพบเศษขี้เถ้ากองไฟ กองซากกระต่ายป่าอยู่บริเวณตาน้ำพุ ส่วนสิ่งอื่นๆ ไม่พบอะไรเลย ราวกับว่าเขาได้มาถึงโลกนี้ในพริบตา เขาเป็นลูกหลานตระกูลอวิ๋นจริงหรือไม่ก็ยากที่จะตัดสินได้ ในตอนนั้นประสบภัยพิบัติอย่างกะทันหัน ผู้คนในเหตุการณ์ที่ตายก็ตาย ที่หนีก็หนี อีกทั้งช่วงเวลาที่ทิ้งห่างกันเป็นเวลานานจึงไม่สามารถตรวจสอบได้ ศิษย์ให้นักดาบพเนจรปลอมตัวเข้าใกล้เขา พบว่าเขาไม่มีวรยุทธ เป็นแค่ชายหนุ่มธรรมดาคนหนึ่ง ไม่มีสิ่งใดอื่น”
“พวกเจ้าไม่รู้ เยี่ยทัวได้ไปตามเส้นทางที่จะไปยังสระสวรรค์ของเจ้าแม่ซีหวังหมู่บนเขาคุนหลุนตามที่อวิ๋นเยี่ยบอกต่อหลีสือแล้ว พิสูจน์ได้ว่าเป็นจริงดังเช่นที่เขาพูด ฤดูหนาวของที่นั่นจะมีสภาพอากาศหนาวเย็น เยี่ยทัวต้องสูญเสียคนไปถึงสิบหกคนจึงไปถึงสระสวรรค์ได้ เขาไม่ได้พูดผิด ที่นั่นมีเพียงบึงน้ำสีเขียวมรกต ไม่มีทิวทัศน์ที่งดงามตลอดสี่ฤดู มีเพียงหิมะและน้ำแข็งเต็มท้องฟ้า เป็นดินแดนที่แห้งแล้งจริงๆ เยี่ยทัวเป็นยอดฝีมือที่นับตัวได้ในใต้หล้านี้ บุกฝ่าทะเลทรายและทุ่งร้างมานานปี แม้แต่เขาเองก็แทบจะเอาชีวิตไม่รอด อวิ๋นเยี่ยเด็กหนุ่มคนหนึ่งจะไปถึงที่นั่นได้อย่างไร”
ในสายตาของลูกศิษย์ ชายชราผู้นี้สามารถทำได้ทุกอย่าง ตอนนี้เมื่อเผชิญกับปัญหาของเด็กหนุ่มคนหนึ่ง กลับขมวดคิ้วและปวดเศียรเวียนเกล้ามาก
“สำหรับมันฝรั่งศิษย์ได้นำมาจากในวังด้วย ถึงตอนนี้เป็นการเพาะปลูกครั้งที่สองแล้วซึ่งผลผลิตน่าอัศจรรย์มาก คำโอ้อวดที่ว่าเก็บเกี่ยวได้ห้าสิบตั้นนั้นมีความเป็นไปได้อยู่จริงๆ เพียงแต่เพื่อให้ได้มาซึ่งมันฝรั่งของจริง จึงต้องสูญเสียสายลับที่แฝงตัวอยู่ในวังมาหลายปีไปหนึ่งคน ที่บ้านอวิ๋นเยี่ยมีเครื่องปรุงรสแปลกๆ อยู่อย่างหนึ่งเรียกว่าพริกขี้หนู ศิษย์ถามชาวเผ่าหูจนหมดแล้วแต่ไม่มีใครรู้จัก ที่บ้านเขายังมีปลูกไว้อีกห้าต้นดูเหมือนอวิ๋นเยี่ยจะใส่ใจมากเป็นพิเศษ ได้ยินเขาบอกกับแม่เฒ่าว่ามันเรียกว่า ข้าวโพด ต่อไปในภายหน้าจะกลายเป็นสมบัติล้ำค่าเช่นเดียวกับมันฝรั่ง ศิษย์ช่างโง่เขลานัก จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่สามารถสืบได้ว่าพืชสามชนิดนี้ถือกำเนิดจากที่ไหน”
ชายชรามองอวิ๋นเยี่ยที่ยืนอยู่บนสะพาน ปรากฏรอยยิ้มบนใบหน้าพูดพึมพำกับตัวเอง “หรือว่าเจ้าจะเป็นไม้ที่ไร้ราก น้ำที่ไร้ต้นน้ำกัน เจ้าหนุ่ม เจ้าต้องเป็นเทพเจ้า เจ้าต้องเป็นเทพเจ้าแน่ มิฉะนั้น ความมุ่งมั่นห้าสิบปีของข้าคงต้องกลายเป็นเรื่องตลกแล้ว…”
คนจีนใฝ่ฝันกับเรื่องการมีอายุยืนยาวอย่างคลั่งไคล้ ตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบันต่างก็แสวงหาชีวิตอมตะ ตั้งแต่จักรพรรดิผู้สูงส่งไปจนถึงผู้สันโดษที่พเนจรอยู่ในถิ่นทุรกันดาร พวกเขาคิดหาหลายวิธีเพื่อให้บรรลุจุดประสงค์ในการมีชีวิตอมตะ แต่น่าเสียดายที่ทุกครั้งต่างล้มเหลว พวกเขาได้สร้างเรื่องราวให้เป็นตำนานพิศดารเพื่อปลอบใจตนเองเท่านั้น เพื่อชีวิตที่ยืนยาว บางคนถึงกับไม่สนใจชีวิตที่มีอยู่ ขณะที่เขาได้ยินชื่อของไป๋อวี้จิงจากการบอกเล่าของผู้อื่นเป็นครั้งแรกนั้น เขารู้สึกดีใจ ดีใจเป็นบ้าเป็นหลัง แต่ต่อมาก็คุกเข่าสารภาพผิดต่อหน้าป้ายวิญญาณของบรรพบุรุษ บอกว่าเขาไม่ควรสงสัยในบรรพบุรุษเลย เรื่องราวที่สืบทอดจากบรรพบุรุษนั้นเป็นเรื่องจริงไม่ได้หลอกลวงลูกหลานรุ่นหลัง แดนสวรรค์ไป๋อวี้จิงมีอยู่จริง มีบางคนเคยไปที่นั่นมาแล้ว ใครไปถึงเป็นคนแรก ชายชราที่สวมชุดผ้าเก๋อปู้ไม่สนใจ เขาสนใจเพียงแต่ว่าถนนสายนี้ที่เขาเดินมีจุดสิ้นสุด ไม่ใช่ถนนสุดปลายฟ้าที่ไม่มีที่สิ้นสุด
การปรากฏตัวของอวิ๋นเยี่ยนั้นแปลกเกินไป หลายตระกูลที่เก็บตัวอยู่ก็กำลังตรวจสอบชาติกำเนิดเขา ต่างก็ตามหาอาจารย์ของเขา ต่างก็ต้องการที่จะรู้ว่าเขาในช่วงสิบห้าปีที่ผ่านมาประสบพบเจออะไรบ้าง พวกเขาล้มเลิกการเข้าใกล้ตัวอวิ๋นเยี่ยโดยไม่ได้นัดหมาย เพียงแต่ทำการตรวจสอบอย่างละเอียดรอบคอบเพื่อค้นหาตัวตนของอวิ๋นเยี่ยผู้ซึ่งเป็นบุคคลที่ลึกลับคนนี้ให้ชัดเจน
เขาให้สร้างความมั่นใจเป็นอย่างยิ่งให้กับผู้ฝึกฌาณ เป็นตัวอย่างที่จับต้องได้ของคนที่แสวงหาชีวิตอมตะจำนวนมากมาย ผู้คนเหล่านี้เข้าหาอวิ๋นเยี่ยผ่านช่องทางต่างๆ ช่วยแก้ปัญหานับไม่ถ้วนให้กับเขา แม้แต่ช่วยฆ่าคนแทนเขา
บนสวรรค์ไป๋อวี้จิงที่รุ่งเรือง สิบสองเมืองกับอีกเก้าตำหนัก เทพเซียนลูบหัวด้วยเมตตารัก เกล้าผมเพื่อปกปักษ์ชีวิตยั่งยืน
นี่คือบทกวีของหลี่ไป๋ นี่เป็นสิ่งเดียวที่อวิ๋นเยี่ยพอจะรู้มาเพียงเล็กน้อย ก่อนหน้านั้นเขาไม่เคยรู้ว่าไป๋อวี้จิงคืออะไร รู้สึกเพียงว่าบทกวีนี้เป็นสิ่งที่เลื่อนลอยมากและเป็นเรื่องของเทพเจ้า เพื่อที่จะให้เป็นไปตามเรื่องที่เขาพูด จึงได้แต่งเรื่องยกสถานที่ลึกลับแห่งหนึ่งขึ้นมา เขาไม่รู้เลยว่าผู้อื่นต้องจ่ายค่าตอบแทนราคาเท่าไร
หากว่าชายชราที่สวมชุดผ้าเก๋อปู้รู้ถึงความจริงของเรื่องนี้ เขาคงจะฉีกอวิ๋นเยี่ยเป็นชิ้นทั้งเป็นแล้วกลืนลงไปเป็นแน่ น่าเสียดายที่เบาะแสทั้งหมดบ่งชี้ว่าอวิ๋นเยี่ยเป็นศิษย์ของผู้สูงส่ง ดังนั้นเหตุการณ์ยังคงต้องดำเนินต่อไป คนอย่างไรก็ต้องตาย ยังคงต้องสิ้นเปลืองพลังงานต่อไป แต่ความเพ้อฝันที่จะได้ชีวิตอมตะก็ยังคงเป็นเพียงความเพ้อฝัน
“หลอกคนจนตายแต่ไม่ยอมชดใช้ชีวิต!” เหล่าเหอซ่อนตัวอยู่ในรถม้าชกอกกระทืบเท้า เบื้องหน้าที่เห็นคือที่กว้างยิ่งรกร้างมากขึ้นทุกที หญ้าก็เริ่มงอกขึ้นเรื่อยๆ ในใจรู้สึกผิดหวังชอกช้ำ การหาหนทางสร้างฐานะภายในสนามรบที่เต็มไปด้วยคมหอกคมดาบ ลูกธนูดั่งห่าฝน ตัวเองนั้นโง่เขลามากเพียงไร เงินที่เขานำติดตัวมาทั้งหมดยังไม่ถึงห้าร้อยก้วน เขามองไม่เห็นความหวังที่จะเปลี่ยนเงินห้าร้อยก้วนให้เป็นห้าพันหรือห้าหมื่นก้วนได้เลยแม้แต่น้อย“
เรือผุๆ ที่มีแต่รอยรั่วของอวิ๋นเยี่ยลำนี้ ตัวเองเป็นคนก่อขึ้นมาเองโดยไม่คิดให้ถี่ถ้วน ก็ไม่รู้ว่าเป็นวาสนาหรือภัยพิบัติ
กัดขนมเปี๊ยะแห้งที่แข็งอยู่ในปาก จากนั้นกรอกน้ำเย็นจากถุงน้ำกลืนลงไปอย่างยากลำบาก ในลำคอเกิดตุ่มเลือดขึ้นหลายจุดซึ่งทั้งหมดก็เพราะถูกขนมเปี๊ยะแห้งๆ นี่ปาดจนเป็นแผล ต้องกลั้นน้ำตาไว้ที่ขอบตาไม่ให้ไหลออกมา
เพื่อครอบครัว ฉันต้องยืนหยัดต่อไป ในใจคิดเช่นนี้แล้ว เหล่าเหอก็รู้สึกว่าภาพลักษณ์ของตัวเองดูสูงส่งขึ้นมาทันที
หลังจากยืนหยัดได้เป็นเวลาสองวัน อวิ๋นเยี่ยก็ไม่สามารถทนได้อีกต่อไป การสวมชุดเกราะขี่ม้าวิ่งขึ้นหน้าและลงหลังในขบวนทัพดูสง่าน่าเกรงขาม แต่เมื่อนานวันเข้า ขาหนีบสีกับอานม้าจนบวมแดง เพียงแค่นั่งม้านั่งก็ปวดแสบปวดร้อน ซุนซือเหมี่ยวก็ไม่สนใจ บอกว่ามันเป็นเรื่องปกติที่จะขาหนีบจะสีกับอานม้า ไม่จำเป็นต้องรักษา อดทนเพียงแค่ไม่กี่วันเดี๋ยวก็จะหายเอง
เมื่อย้อนคิดถึงกองทหารเว่ยอู่จุ้ยในสมัยจั้นกั๋ว “สวมชุดเกราะหนักหนาที่สามชั้น สะพายธนูสือเอ้อร์กงกับลูกธนูห้าสิบดอก พกดาบถือง้าว นำเสบียงสำหรับสามวันติดตัว เดินทางวันละหนึ่งร้อยลี้” คนอะไรจะสามารถวิ่งได้ร้อยลี้ภายในเวลาครึ่งวัน เมื่อถามเหล่าหนิวสุดท้ายกลับโดนด่า ทั้งยังหัวเราะเยาะที่อวิ๋นเยี่ยเอาความรู้ที่เรียนมาไปทิ้งคลอง หนึ่งฟุตในยุคสมัยนั้นมีระยะทางสั้นกว่าปัจจุบันสามส่วน กล่าวคือครึ่งวันสามารถวิ่งได้หกเจ็ดสิบลี้ เช่นนี้ยังถือว่าเป็นทหารที่ชั้นเลิศ ทหารทั่วไปสามารถวิ่งร้อยลี้ต่อวันซึ่งเป็นทหารที่มีคุณสมบัติผ่านเกณฑ์
หลังจากที่ด่าเสร็จก็ยังอารมณ์ค้างอยู่ คว้าธนูแข็งไว้ในมือแล้วยิงใส่พงหญ้าอย่างไม่เลือกจุด เมื่อยิงเสร็จก็ให้ทหารคนสนิทแบกเหยื่อกลับมา คืนนี้จะได้เพิ่มอาหารอีกหนึ่งอย่าง จากนั้นก็เอนกายนอนลงบอกว่ามึนศีรษะ ต้องพักผ่อน ไล่อวิ๋นเยี่ยออกนอกรถม้าและตัวเองก็นอนหลับไป
เป็นห่วงจริงๆ ว่าทหารเหล่านั้นจะแบกคนออกมาจากพงหญ้า เนื้อมนุษย์ย่างยามดึกนั้น อวิ๋นเยี่ยขอขอบคุณแต่ไม่ขอรับไว้จะดีกว่า
ไม่เลว คนป่วยติดเตียงยังสามารถยิงหมาป่าได้ นับถือผู้เฒ่าคนนี้จริงๆ เขาได้เสพสุขตลอดการเดินทางนี้ เหล่าซุนและอวิ๋นเยี่ยดูแลเขาเสมือนดูแลหมีแพนด้าตัวใหญ่ อาหารของทุกวันล้วนแล้วแต่อวิ๋นเยี่ยลงมือทำเอง ซุนซือเหมี่ยวทำการฝังเข็ม ต้มยาให้เขาทุกวัน แม้กระทั่งฮ่องเต้ก็ใช่ว่าจะมีวาสนาเช่นนี้ เขารับไปหมดอยู่คนเดียว
ที่จริงแล้วขบวนกองทัพไม่จำเป็นต้องให้อวิ๋นเยี่ยดูแล พวกเขาเป็นทหารผ่านศึกทั้งหมด ม้าของหน่วยสอดแนมก็ถูกปล่อยออกไปตั้งนานแล้ว กองกำลังปีกซ้ายปีกขวาก็ยังมีหน่วยสอดแนมทำหน้าที่อยู่ เป็นลักษณะการเดินทัพที่ได้มาตรฐานอย่างชัดเจน รับมือคนที่ปีนขึ้นจากกองซากศพได้ไม่ยาก
หมอบอยู่บนเพลารถและมองลงไปด้านล่างเห็นถนนค่อยๆ เคลื่อนไปด้านหลังอย่างช้าๆ มองดูอยู่ครู่หนึ่งก็เกิดเวียนศีรษะจากนั้นก็แอบนอนพักหนึ่ง เพียงแค่พักหนึ่ง พักหนึ่งที่ฝืนเดินทางมุ่งหน้าสู่เมืองซั่วฟาง
ด้านหน้ามีเสียงแตรดังขึ้น เหล่าหนิวก็รีบพุ่งตัวขึ้นยืนบนพื้นและกางแขนออก ทหารก็สวมชุดเกราะให้แก่เขาในทันที ทุกคนช่วยกันสวมด้วยความคุ้นเคย เมื่อม้าศึกของเหล่าหนิวถูกจูงเข้ามา เขาก็แต่งตัวเรียบร้อยแล้ว ขึ้นขี่ม้า ดึงหอกหม่าซั่วลงจากที่วางอาวุธบนหลังม้า มุ่งไปหาอวิ๋นเยี่ยและโกนว่า “ซ่อนตัวให้ดี” ขยับโกลนเบาๆ และแทรกตัวขึ้นไปข้างหน้า อวิ๋นเยี่ยเพิ่งสวมชุดเกราะเสร็จ ก็ได้ยินเสียงแตรอีกสองครั้ง ทหารผ่านศึกที่เตรียมพร้อมสำหรับการออกรบค่อยๆ ผ่อนคลายลงในทันที ใครมีหน้าที่อะไรก็ทำไป
เมื่อถามแล้ว จึงได้รู้ว่าที่แท้เป็นคนกันเองไม่ใช่ชาวทูเจวี๋ย อวิ๋นเยี่ยจึงปลอบใจเหล่าเหอที่กำลังจะปัสสาวะรดกางเกง บอกให้เขาปล่อยมือที่จับชุดเกราะของตัวเองไว้ออก ขณะที่กำลังจะขึ้นไปข้างหน้าเพื่อดูว่าใครมารอต้อนรับตัวเอง กลับเห็นสวี่จิ้งจงปีนลงมาจากรถม้า ปัดฝุ่นบนเสื้อผ้าของเขาอย่างสุขุม เมื่อเห็นอวิ๋นเยี่ยมองเขาจึงเดินเข้ามาข้างหน้าประสานมือ “อวิ๋นโหว เป็นทหารที่เมืองซั่วฟางส่งมาต้อนรับใช่หรือไม่”
ส่วนที่ 4
ตอนที่ 5
เมืองที่รกร้างว่างเปล่า
ม้าของเฉิงฉู่มั่ววิ่งมาเร็วมาก เห็นอวิ๋นเยี่ยอยู่แต่ไกล จึงกระโดดลอยตัวลงมาจากหลังม้า ม้วนหน้าเพื่อลดแรงกระแทกอย่างสวยงาม กอดอวิ๋นเยี่ยและหัวเราะเสียงดังลั่น ตบหลังซึ่งกันและกัน กระโดดโลดเต้นไม่หยุด
ขณะที่ยังดีใจไม่หาย เฉิงฉู่มั่วก็ปล่อยอวิ๋นเยี่ยแล้วกระโดดขึ้นรถม้าตระกูลอวิ๋น ใช้กริชตัดผ้าใบกันน้ำที่ผูกบนรถม้าแล้วนอนกลิ้งเกลือกอยู่บนนั้น ผู้ใต้บัญชาของเขาต่างก็ยืนมองท่านนายพันหยิบของกินเข้าปากไม่ยอมหยุดจนตาค้าง อยากกินจนได้แต่กลืนน้ำลาย แต่ทว่าโหวเหยียแห่งต้าถังยืนอยู่ด้านข้าง พวกเขายังไม่กล้าพอที่จะออกไปร่วมสนุก
อวิ๋นเยี่ยยิ้มและพูดกับพวกเขาว่า “พวกเจ้าเป็นพี่น้องกับฉู่มั่ว ก็เหมือนเป็นพี่น้องของข้า ของที่อยู่บนรถม้าเดิมก็มีส่วนของพวกเจ้าอยู่แล้ว หากตอนนี้ยังไม่เข้าไปเอา อีกครู่หนึ่งคงหมดแน่ นิสัยของฉู่มั่วพวกเจ้าไม่รู้หรือ”
เมื่อเสียงพูดเพิ่งจะจบลง ความชุลมุนก็เกิดขึ้น รถม้าตระกูลอวิ๋นที่น่าสงสาร ชั่วพริบตาก็ถูกกลุ่มชายฉกรรจ์มะรุมมะตุ้มจนรถแทบแตก เฉิงฉู่มั่วทั้งเตะและต่อยพยายามที่จะหยุดทุกคนที่เข้ามาแย่ง แต่ผลออกมาไม่ดีนัก ตัวเขาเองก็โดนหมัดและเท้าจำนวนนับไม่ถ้วน เมื่อเห็นว่าคนเดียวแพ้คนหมู่มาก จึงคลึงเบ้าตาแล้วกระโดดลงจากรถม้า ในปากยังคาบกุนเชียงอยู่อีกท่อนหนึ่ง
จึงเตะอย่างแรงเข้าที่บั้นท้ายของพวกที่ก้มหน้าก้มตากินอย่างบ้าคลั่งไปหลายคน ซึ่งถือว่าได้แก้แค้นแล้ว
อวิ๋นเยี่ยดึงกุนเชียงออกจากปากเขาแล้วพูดกับเขาว่า “นี่เป็นของดิบ ต้องนึ่งสุกก่อนจึงกินได้ หรือจะบอกว่าเมืองซั่วฟางไม่มีอาหารให้กิน”
ไม่ถามยังดี เมื่อถามถึงเฉิงฉู่มั่วก็น้ำตาไหลริน สีหน้ามีแต่ความเศร้า “น้องชายข้าก็ถูกตามใจจนเสียแล้ว ทั้งยังกินข้าวที่บ้านเจ้ากินจนปากสูง ไหนเลยจะเคยเจอความทุกข์เช่นนี้ พวกเขาปรุงอาหารเป็นอยู่วิธีเดียวก็คือต้ม หากนำเนื้อสัตว์ ผักและข้าวต้มรวมกันก็ยังพอว่า แต่ยังไม่บังคับเรื่องความอิ่ม แต่บอกว่ามันคือการประหยัดเสบียงอนุญาตให้แต่ละคนกินให้อิ่มเพียงแปดส่วนเท่านั้น พี่ชายข้าอยู่ในวัยกำลังโตนะ มันก็ยากที่จะหลีกเลี่ยงเรื่องที่จะกินมากขึ้นอีกหน่อย คราวก่อนจะเอาขนมเปี๊ยเพิ่มอีกสองชิ้นพ่อครัวก็ไม่ให้ จึงต่อยพ่อครัวไปหนึ่งหมัด ผลที่ตามมาคือเกือบจะโดนโบย เราสองพี่น้องเตะบั้นท้ายของพ่อครัวทั่วทั้งหล่งโย่ว ก็ไม่มีการลงโทษเสียหน่อย ได้ยินว่าเจ้าจะมา พี่ชายกำลังรอคอยเจ้าอย่างเป็นทุกข์อยู่ทุกเช้าค่ำ เมื่อเจ้ามาก็ดีแล้ว พี่ชายจะได้ไม่ต้องทนหิวอีกต่อไป อาหารเหล่านี้ก็ปล่อยให้พวกตัวหายนะเพลิดเพลินไปกับมันก็แล้วกัน”
เพิ่งจะดีใจได้ชั่วครู่ ขณะที่เฉิงฉู่มั่วกำลังจะโอ้อวดผลงานการศึกของตัวเองให้อวิ๋นเยี่ยดู แขนเสื้อยังไม่ทันได้ถกขึ้นมาก็ถูกเหล่าหนิวถีบจนหน้าคะมำ
“ใครสอนให้เจ้าต้อนรับแขกกันแบบนี้ เจ้ากำลังบุกจู่โจมหรือกำลังเล่นปา**่กัน เจ้าไม่รู้หรือว่าเท้าของเจี้ยนหู่บาดเจ็บได้อย่างไร ถ้ายังกล้าเล่นอะไรพิเรนทร์อีก ข้าจะตัดขาเจ้าทิ้งเสีย”
เดิมทีเหล่าหนิวนั้นดีใจมาก เมื่อเห็นว่าคนที่มาต้อนรับเขาคือเฉิงฉู่มั่ว เห็นเขาอยู่ดีครบสามสิบสองก็ดีใจมาก ใครจะคิดว่าเฉิงฉู่มั่วจะโผล่มาด้วยการกระโดดเหาะมาจากกลางอากาศ จึงเกิดหัวเสียขึ้นมา เท้าของหนิวเจี้ยนหู่ต้องบาดเจ็บก็เพราะเล่นพิเลนไม่เข้าท่า เขาไม่อยากให้เฉิงฉู่มั่วต้องอยู่ในสภาพเดียวกัน
เฉิงฉู่มั่วไม่กล้ากำเริบเสิบสานต่อหน้าเหล่าหนิว ใครใช้ให้พ่อเขากับเหล่าหนิวถูกขนานนามร่วมกันว่า คู่หูเฉิงต๋า (เนื้อความจากนิยายอิงประวัติศาสตร์ราชวงศ์สุยและราชวงศ์ถัง) ตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นโจรป่าก็เป็นพี่น้องที่สนิทสนมกันอยู่แล้ว เมื่อเห็นเหล่าหนิวก็ไม่แตกต่างกับการเจอพ่อตัวเองเท่าไรนัก อย่างไรก็เป็นพวกชอบลงไม้ลงมือ ไม่ว่าใครลงมือก็คือโดนเหมือนกันไม่ใช่หรือ
เมื่อเห็นว่าเฉิงฉู่มั่วรับฟังคำสอนแต่โดยดี เหล่าหนิวจึงถอนหายใจฮึ และเดินขึ้นไปด้านหน้าจัดระเบียบกองทหารใหม่เพื่อที่จะได้เดินทางต่อ เหลือช่องว่างให้สองพี่น้องได้พูดคุยกัน
ปัดฝุ่นให้เสี่ยวเฉิง ยื่นกาเหล้าเล็กๆ ในอกเสื้อให้เขา แช่ด้วยน้ำเย็นเป็นเวลานานก่อนที่นำออกมา
เฉิงฉู่มั่วอาจจะหิวจนบ้าไปแล้ว แหงนหน้าขึ้นฟ้าเหล้าองุ่นที่อยู่ในกาก็ถูกส่งลงสู่ท้องและเขย่าอย่างหิวกระหายดื่ม จนหยดสุดท้ายจึงยอมรามือ
ขบวนทัพยังคงเดินหน้าต่อไป อวิ๋นเยี่ยนั่งอยู่บนทูบ[1]เกวียน เสี่ยวเฉิงขี่ม้า สองคนพูดคุยอย่างสนุกสนานมุ่งหน้าไปยังเมืองซั่วฟาง
อวิ๋นเยี่ยผิดหวังมาก นี่ต่างจากเมืองนอกด่านในจินตนาการของเขามากมายนัก เดิมคิดว่าเทียบไม่ได้กับเมืองถ่งว่านเฉิง อย่างน้อยก็ดีกว่ากำแพงดินเตี้ยๆ ในด่านกระมัง ให้ตายสิ ใครจะรู้ว่าเป็นแค่กองดินที่ล้อมรอบ ทำให้เขารู้สึกไม่ปลอดภัยเอาเสียเลย
จำได้ว่าในฟอรัมแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับกองทัพที่มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์ของจีน เกราะเสวียนเจี่ย[2] ของราชวงศ์ถังมีชื่อขึ้นทำเนียบอยู่ ตอนนี้แต่ละคนเหมือนพวกกบในกะลาโดยแท้ เสื้อผ้าเป็นสีเหลืองเก่าสกปรกมอมแมม บางคนสวมเกราะหนังโดยไม่รัดให้แน่น บ้างก็สวมเกราะไม้ไผ่ที่ทำมาจากใบไผ่ซึ่งทำให้เขายิ่งรู้สึกไม่ปลอดภัยมากขึ้นไปอีก
ไม่เสียทีที่เป็นพี่น้องกัน เฉิงฉู่มั่วดูออกว่าเขาไม่สบายใจ “น้องชาย ไม่ต้องเป็นห่วง กำแพงทั้งหมดก็เป็นเหมือนกำลังเสริม ยอดการแห่งการต่อสู้ไม่ได้อยู่ที่การส่งกองกำลังลาดตระเวน มีพี่ชายอยู่ไม่ว่าทหารนับพันนับหมื่นข้าก็จะไม่ให้เจ้าเป็นอันตรายใดๆ”
เมื่อผ่านทางลอดประตูเมืองเตี้ยๆ อวิ๋นเยี่ยก็ถอนหายใจ สุดท้ายถนนที่เหลียงซือตูผู้ก่อกบฏก็มีดีเพียงแค่นี้เอง ยึดครองเมืองซั่วฟางมานานหลายปี ก็ไม่ได้เสียสละเพื่อเมืองเสียเท่าไร เพียงแค่ดูชาวบ้านที่แต่งตัวโทรมๆ ในเมืองก็รู้ได้ว่าเขาต้องเป็นเจ้านายที่เที่ยวขูดรีดภาษีขูดเลือดขูดเนื้ออย่างแน่นอน
เป็นจริงดังเช่นที่เหล่าหนิวพูด ในเมืองนอกจากทหารของต้าถังแล้วก็เหลือชาวบ้านอยู่ไม่กี่ครอบครัว คราบเลือดบนกำแพงบางจุดยังคงมองเห็นได้ชัดเจน ฝูงแมลงวันสีดำที่บินหึ่งๆ คงจะเป็นเอกลักษณ์ของทุ่งหญ้าแห่งนี้ ไม่ว่าตอนนี้หรือในยุคปัจจุบันก็ชอบบินรอบตัวผู้คนส่งเสียงหวี่ๆ ไล่ก็ไล่ไม่ไป ชวนให้น่ารำคาญยิ่งนัก
เดิมอวิ๋นเยี่ยก็เป็นคนค่อนข้างรักสะอาด เมื่อเห็นเมืองที่เสื่อมโทรม ถนนที่เละเทะไม่เป็นท่า ผู้คนที่สับสนวุ่นวาย ในใจก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาในทันใด นั่งรออยู่ในจวนแม่ทัพรอการเข้าพบไฉเซ่า สุดท้ายก็คลาดกัน เขาออกไปข้างนอกเพื่อตรวจตราป้อมปราการแล้ว ต้องรออีกสามวันก่อนจึงจะกลับมา
หากเป็นเมืองที่อยู่โดดเดี่ยวก็ไม่สามารถป้องกันไว้ได้ แม้เป็นเมืองซั่วฟางเองก็เช่นกัน แต่ด้านนอกเมืองมีป้อมปราการขนาดย่อมน้อยใหญ่อยู่รวมสามสิบหกป้อม เฉิงฉู่มั่วบอกว่าถ้าหากชาวทูเจวี๋ยไม่ตายนับหมื่นก็ไม่มีทางที่จะมาถึงเมืองซั่วฟางได้ ฟังเขาคุยโวเช่นนี้อวิ๋นเยี่ยจึงค่อยวางใจ ไม่เช่นนั้นการพักอยู่ในเมืองอันตรายเช่นนี้จะขัดต่อหลักการการทำสิ่งต่างๆ ของอวิ๋นเยี่ย ขงจื๊อกล่าวไว้ว่า ผู้รู้ย่อมต้องหลีกห่างถิ่นที่อันตราย นี่เป็นคำพูดที่ชาญฉลาดต้องจดจำให้ขึ้นใจ ภายหน้ายังต้องสอนให้ลูกหลานทุกๆ รุ่นรู้จักเผยแพร่ความคิดเช่นนี้
ตำแหน่งเจวี๋ยเว่ยของอวิ๋นเยี่ยนั้นสูงศักดิ์ ศีลธรรมของซุนซือเหมี่ยวนั้นยิ่งใหญ่ สำหรับหยวนไว่หลางตัวเล็กๆ อย่างสวี่จิ้งจงแม้จับให้อยู่ที่เมืองซั่วฟางที่เต็มไปด้วยเหล่าทหาร แม้สุนัขก็ไม่กัดเขา
แม้จะบอกว่าอวิ๋นเยี่ยเป็นโหวเหยียฝ่ายบู๊ แต่แกว่งดาบไม่เป็นยิงธนูไม่ได้แบบเขาถือว่าน้อยมาก ในปีนี้แม้แต่ขุนนางฝ่ายบุ๋นอย่างฝางเสวียนหลิงยังสามารถรำดาบสุ่มๆ ได้หลายครั้ง เมื่อต้องออกศึกก็ไม่ประหม่า
ยังโชคดีที่อยู่ในตำแหน่งขุนนางแพทย์ เหล่าแม่ทัพในเมืองจึงเกรงใจเป็นอย่างมาก สิ่งที่อวิ๋นเยี่ยโด่งดังเป็นที่รู้จักก็คือวิชาแปลกพิศดารในการถ่ายเลือดคืนชีวิต ในด้านการทหารถือว่าเป็นต้องการของตลาดมาก ในเมื่อไฉเซ่าไม่อยู่ เซวียว่านเช่อจึงพบอวิ๋นเยี่ยแทนไฉเซ่า
ชายร่างใหญ่ที่ดูองอาจ ซึ่งทำให้อวิ๋นเยี่ยนึกถึงซีถงเจ้าคนงี่เง่านั่น รูปร่างสูงใหญ่เช่นเดียวกัน เมื่อเขานั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะก็มีบรรยากาศที่น่าเกรงขามทั้งที่ไร้ซึ่งความโกรธเกิดขึ้น ถ้าจินตนาการว่าซีถงนั่งอยู่ข้างหลัง ให้ตายสิ นอกจากความน่าเกลียดแล้วก็มีแต่ความน่าเกลียด
“อวิ๋นโหวเดินทางไกลหลายพันลี้เพื่อแก้ไขปัญหาของกองทัพ ข้ายินดีเป็นอย่างยิ่ง ตอนนี้เพื่อป้องกันการระบาดของโรคระบาด นอกเมืองสามสิบลี้ถือเป็นพื้นที่ต้องห้าม ทั้งคนและม้าห้ามเข้าออกคาดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ในเมืองคงต้องรบกวนอวิ๋นโหวและนักพรตซุนแล้ว หวังว่าทั้งสองท่านจะไม่ปฏิเสธ” คนในกองทัพพูดตรงไปตรงมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเซวียว่านเช่อแม่ทัพผู้อาจหาญที่รู้จักตัวหนังสืออยู่ไม่กี่มากน้อยจึงยิ่งเถรตรงเข้าไปอีก ช่างเถอะ อย่าไม่หาเรื่องเหล่าเซวียเลย ถ้าให้คนหยาบกระด้างพูดจาเยี่ยงสุภาพชนมากความรู้ ไม่เท่ากับแกล้งเขาหรือ เมื่อครู่พูดกับอวิ๋นเยี่ยด้วยน้ำเสียงของคำสั่ง หากอยู่ในฉางอันคงต้องถูกดูหมิ่นจนอยากตาย เจ้าที่อยู่ในฐานะปั๋วเจวี๋ย ออกคำสั่งอย่างเสียงดังฟังชัดใส่โหวเจวี๋ย ประสาอะไรกับที่เจ้าก็ไม่ใช่แม่ทัพหลักอีกด้วย ไม่เอาเรื่องเหล่าเซวียก็แล้วกัน ไม่เห็นหรือว่าเหงื่อไหลเต็มหน้าของเขาแล้ว
อวิ๋นเยี่ยเลิกนั่งท่าเทพบุตรแล้วนั่งลงบนพรม ยิ้มแล้วพูดกับเซวียว่านเช่อว่า “แม่ทัพเซวียเราต่างก็เป็นชายชาติทหาร เหตุใดวันนี้จึงได้เลียนแบบการพูดของเหล่าขุนนางฝ่ายบุ๋นกัน ความรู้สึกหงุดหงิดใจที่น่ารังเกียจ ข้ายังคิดว่าเมื่อถึงค่ายทหารแล้วก็เหมือนกลับบ้าน ตั้งใจจะกินอาหารมื้อใหญ่สักมื้อ แต่ท่านกลับไม่มีเหล้า ไม่เตรียมกับข้าว ท่านคงไม่ได้คิดจะรังแกเด็กอย่างข้าหรอกนะ
คำพูดทั้งหมดนี้ทำให้เซวียว่านเช่อถึงกับอึ้งไป จากนั้นจึงหัวเราะเสียงดังขึ้นในทันที เสียงดังสะเทือนจนเกิดเสี้ยงก้องอยู่ในหูของอวิ๋นเยี่ยจึงยอมหยุด จากนั้นตะโกนเสียงดัง “จัดโต๊ะอาหาร”
เหล่าเซวียเลิกนั่งท่าเทพบุตรอีกต่อไป ขาใหญ่ๆ ทั้งสองข้างได้เหยียดออกจากใต้โต๊ะและเช็ดเหงื่อบนศีรษะพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “ก่อนที่แม้ทัพจะออกไปได้กำชับให้ข้าต้องต้อนรับขับสู้ท่านทั้งสองอย่างดี อย่าได้แสดงนิสัยหยาบกระด้างออกมา ทั้งยังบอกว่าอวิ๋นโหวเป็นนักการคำนวณที่มีชื่อเสียง ท่านนักพรตซุนก็เป็นผู้สูงส่งเช่นกัน ต่างก็เป็นผู้ที่มีทักษะอย่างแท้จริง ห้ามเสียมารยาทโดยเด็ดขาด เพื่อทำตามคำสั่งเหล่านี้ ได้ขอให้ขุนนางฝ่ายบันทึกสอนอยู่เป็นนาน ท่านดูสิข้าเหงื่อออกทั้งศีรษะ เหนื่อยกว่าทำสงครามเสียอีก”
ในช่วงเวลาสั้นกลับรู้สึกชอบคนที่ซื่อสัตย์และหยาบกระด้างผู้นี้ ไม่น่าแปลกใจที่เขาจะได้อภิเษกกับองค์หญิง ราชาผู้ปกครองประเทศทุกยุคทุกสมัยก็มักจะชอบคนที่ค่อนข้างหยาบกร้าน รวมถึงบรรพบุรุษของฉันก็เป็นเช่นเดียวกัน เหล่าแม่ทัพที่ชาญฉลาด มีปฏิภาณไหวพริบต่างก็โชคร้ายคนแล้วคนเล่า มีเพียงเหล่าแม่ทัพที่องอาจไม่รู้จักพลิกแพลงที่มักจะมีชีวิตรอดไปได้ ทั้งได้เสพสุขความมั่งคั่งและความเจริญรุ่งเรืองไม่มีขาด
“ความองอาจกล้าหาญของท่านเป็นที่โด่งดังไปทั่วหล้า เด็ดศีรษะแม่ทัพท่ามกลางทหารนับหมื่นราวกับหยิบของออกจากถุงหนัง อวิ๋นเยี่ยแค้นใจที่ร่างกายบอบบาง รบทัพจับศึกก็ไม่ไหว ฆ่าศัตรูก็ไม่ได้ ยังโชคดีที่พอมีความรู้เล็กน้อยติดตัวมา สามารถใช้กำลังอันน้อยนิดทำประโยชน์เพื่อต้าถังได้บ้าง นับว่าเป็นวาสนาแล้ว ขอยืมเหล้านี้ อวิ๋นเยี่ยคารวะท่านหนึ่งจอก”
เซวียว่านเช่อหัวเราะอ้าปากกว้างถึงรูหู ชามกระเบื้องเคลือบก้นแบนที่ใส่เหล้าจนเต็ม เพียงแค่ยกมือขึ้นเหล้าก็ลงท้องจนหมดชาม ซุนซือเหมี่ยวมองดูอวิ๋นเยี่ยด้วยความสงสัย ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดพิเลนอะไรอีก ปกติอวิ๋นเยี่ยไม่ได้ว่าง่ายเช่นนี้
ในงานเลี้ยงทั้งแขกและเจ้าบ้านก็สนุกสนานกันเต็มที่ เซวียว่านเช่อดื่มไปมากแล้ว แต่ก็ยังมาดมั่นบอกว่าต้องการดื่มกับอวิ๋นเยี่ยอีกสามชาม
หลังจากอำลา พระอาทิตย์ก็ตกดินแล้ว ไม่สามารถมองเห็นภูเขาได้ เห็นเพียงดวงอาทิตย์สีแดงขนาดใหญ่จมลงสู่ขอบฟ้า อวิ๋นเยี่ยและซุนซือเหมี่ยวเดินเล่นในเมืองซั่วฟาง บางครั้งก็มีทหารเข้าแถวเดินสวนทางกัน ราวกับกำลังบอกอวิ๋นเยี่ยว่าที่นี่คือป้อมปราการทางทหาร ไม่ใช่เมืองฉางอันที่ร้องรำทำเพลงอย่างสงบสุข
“เจ้าหนุ่ม ทำไมวันนี้เจ้าเปลี่ยนเป็นคนละคนเลย ปกติแม้ว่าเจ้าจะคุยโม้และประจบอยู่บ้าง แต่ทำไมวันนี้ทำให้ข้ารู้สึกแปลกประหลาดเช่นนี้”
“ท่านคิดมากเกินไปแล้ว แม้ว่าข้าคนนี้จะอายุน้อย แต่ก็ไม่ใช่ว่าใครจะมารังแกกันได้ง่ายๆ เมื่อพบคนก็ต้องพูดภาษาคน หากพบผีร้ายก็ต้องใช้ภาษาเยี่ยงผี นี่คือสิ่งที่อาจารย์หลี่กังสอนข้า เซวียว่านเช่อคนนี้เป็นคนตรงแต่หยาบกระด้าง หากพูดอะไรผิดก็เป็นเรื่องธรรมดา ไม่มีใครคิดเล็กคิดน้ยอกับเขา ข้าชอบพูดคุยกับคนหยาบกระด้าง ไม่ชอบพวกต่ำช้าเพทุบายในราชสำนัก”
“หลายวันก่อนเห็นเจ้าดูเหมือนค่อนข้างจะซึมเศร้า คิดไม่ถึงว่าวันนี้เจ้าจะนึกสนุกแสดงความห้าวหาญออกมา ไม่รู้ว่าความมั่นใจของเจ้ามาจากไหน”
“อันที่จริงท่านนักพรตมองข้าสูงส่งเกินไปแล้ว ที่ข้าทำเช่นนี้ก็เพียงเพื่อรักษาชีวิต หากชาวทูเจวี๋ยบุกเข้ามา พวกเราก็จะได้รีบเตรียมตัวไว้ก่อน จะได้หนีได้เร็วขึ้น”
“ข้ามองสูงส่งเกินไปจริงๆ พวกรักตัวกลัวตายอย่างเจ้า ได้ขึ้นมาดำรงตำแหน่งสูงเป็นความอับอายของราชวงศ์ถังของพวกเรา” เหล่าซุนค่อนข้างโกรธเล็กน้อย
“ท่านเป็นคนที่รู้ใจข้าจริงๆ ข้าเองก็รู้สึกไร้ยางอายอยู่เล็กน้อย”
——
[1] ทูบ คือ ไม้แม่แคร่ทั้งคู่ของเกวียน บางทีเรียกว่า แม่แคร่เกวียน มีลักษณะที่ยื่นยาวออกไปด้านหน้าเกวียน ทำหน้าที่เป็นฐานรองรับตัวเกวียนทั้งหมด และตั้งรับแอกที่ใช้เทียมวัวหรือควาย
[2] เกราะเสวียนเจี่ย เป็นเกราะชนิดหนึ่งซึ่งทำจากเหล็กดำ
ส่วนที่ 4
ตอนที่ 6
เงิน
นับตั้งแต่เมืองซั่วฟางมีขุนนางทางการแพทย์มาสองคน เมืองจึงมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นเล็กน้อย เจ้าหน้าที่ที่ชื่อสวี่จิ้งจงทำหน้าที่จัดการความสะอาดของเมืองทั่วทั้งเมือง งานของเขาก็คือไม่อนุญาตให้มีขยะเพิ่มขึ้นในเมืองซั่วฟาง เขาสร้างส้วมเพิ่มขึ้นอีกหลายสิบส้วม ถ้ามีคนที่ปัสสาวะและอุจจาระเรี่ยราดตามถนน หากถูกจับได้มีการลงโทษเพียงอย่างเดียวคือทำความสะอาดส้วมทั้งหมดจนกว่าจะจับคนต่อไปได้
มีบ่อน้ำหลายสิบแห่งเพิ่มขึ้นในเมืองซั่วฟาง เรื่องการอาบน้ำจึงกลายเป็นประเด็นร้อนทั่วทั้งเมือง ถ้าคุณเดินผมกระเซิงสกปรกมอมแมมอยู่ในเมือง ก็จะมีทหารร่างใหญ่ช่วยอาบน้ำให้คุณ อุปกรณ์เดียวที่พวกเขามีคือแปรงไม้ไผ่ คนที่ถูกจับอาบน้ำต่างส่งเสียงร้องครวญครางเหมือนหมู เขาจะต้องสาบานว่าชั่วชีวิตนี้จะไม่ให้สัตว์ป่าเถื่อนเหล่านั้นอาบน้ำให้ตัวเองอีกเป็นแน่
นักพรตซุนได้นำยาผงบางส่วนละลายในน้ำและสาดไปทั่วเมือง จากนั้นชาวบ้านในเมืองพบว่าแมลงวันจำนวนมากในช่วงก่อนลดน้อยลงไปมาก สำหรับเรื่องที่ว่าสัตว์ชนิดอื่นๆ จะตายสักเท่าไร แน่นอนว่าไม่ใช่สิ่งที่นักพรตซุนจะต้องพิจารณา
ตั้งแต่อวิ๋นเยี่ยบอกเขาว่าต้นกำเนิดของโรคระบาดคือแมลงวันและยุง ซึ่งหนูนั้นหนีไม่พ้นอยู่แล้ว นักพรตเฒ่าจึงเห็นการกำจัดแมลงวัน ยุงและหนูทั้งหมดที่อยู่บนโลกเป็นหน้าที่ที่สำคัญในชีวิตเขา เริ่มไม่เข้าใจว่าเหตุใดนักพรตเฒ่าจึงดื้อดึงถึงเพียงนี้ หลังจากได้ฟังประวัติความเจ็บปวดของครอบครัวเขาจึงได้รู้ว่า ญาติของเหล่าซุนได้เสียชีวิตไปทีละคนด้วยโรคระบาดร้ายแรงครั้งหนึ่ง สาเหตุที่เขามาเมืองซั่วฟางก็เพื่อเผชิญหน้ากับความหวาดกลัวที่ฝังลึกที่สุดในใจของเขา
พระไตรปิฎกกล่าวไว้ว่ามองโลกด้วยเม็ดทราย น้ำหนึ่งหยดมีสิ่งมีชีวิตนับแสน ไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าเห็นด้วยตาตัวเองหรือคำนวณด้วยทฤษฎีแปลกๆ สรุปแล้ว คำพูดสองประโยคนี้ไม่มีข้อผิดพลาดใดๆ อวิ๋นเยี่ยบอกเหล่าซุนว่า ถ้าสามารถหาผลึกคริสตัลที่บริสุทธิ์ได้ เขาพอจะสามารถลองสร้างเครื่องมือที่สามารถมองเห็นวัตถุเล็กๆ ได้ ด้วยประสิทธิภาพของเครื่องมือนี้ เขาจะเข้าใจได้อย่างรวดเร็วว่าอะไรเป็นสาเหตุของโรคระบาด
ด้วยเหตุนี้เหล่าซุนจึงเพิ่มงานอดิเรกขึ้นอีกอย่างหนึ่ง นั่นก็คือการรวบรวมคริสตัล โดยเฉพาะอย่างยิ่งชอบคริสตัลใสไม่มีสี
นิสัยคือการปลูกฝัง แม้ว่าเมืองซั่วฟางในตอนนี้ยังคงทรุดโทรม แต่ชาวบ้านที่อาศัยในเมืองก็สัมผัสได้กับการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก แม้ว่าเสื้อผ้าจะขาดรุ่งริ่งแต่ก็ไม่เป็นที่ขบขัน ขอเพียงเสื้อผ้าสะอาดก็สามารถเดินหน้าเชิดอกตรงบนถนนได้ ทั้งยังได้โอกาสหัวเราะคนสกปรกที่ถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าเมืองอีกด้วย
ชาวบ้านที่ทำปศุสัตว์ใกล้เมืองซั่วฟางนั้นร่ำรวยมากและพึ่งพาใบบุญของกองทัพ พวกเขาไม่ต้องประสบปัญหาที่ขายวัวและแพะไม่ได้อีกต่อไป ทั้งยังไม่ต้องฆ่าวัวและแพะที่ผอมโซก่อนที่ฤดูหนาวจะมาถึงแล้วทิ้งไว้ในทุ่งหญ้าร้าง พวกมันไม่สามารถทนจนพ้นฤดูหนาวที่ยาวนานได้ แทนที่จะเลี้ยงให้เปลืองเสบียงสู้ฆ่าทิ้งเสียจะดีกว่า ทุกครั้งที่กำจัดพวกมันทิ้งก็เป็นบาดแผลในใจของพวกเขา
ตอนนี้ไม่อนุญาตให้พวกเขาเข้าเมืองแล้ว ชาวฮั่นที่ทำปศุสัตว์บางคนถามถึงสาเหตุ จึงได้รู้ว่าพวกเขาสกปรกอาจจะแพร่เชื้อโรคได้
เพื่อสกัดกั้นกองทัพใหญ่ จึงเริ่มจากเมืองซั่วฟางลอบโจมตีเมืองเซียงเฉิง จากนั้นโยนซากศพของวัวและแพะลงไปในแหล่งต้นน้ำตามแนวแม่น้ำต่างๆ พวกเขาต้องการใช้วิธีการของชาวซยงหนูเพื่อขัดขวางการจู่โจมของกองทัพใหญ่ ข่านเจี๋ยลี่คิดง่ายเกินไปหน่อย เขาไม่รู้ว่าการแพร่เชื้อโรคภายใต้ความหนาวเหน็บในฤดูหนาวทางภาคเหนือนั้นไม่เกิดประโยชน์ใดๆ เลย อีกทั้งไม่มีใครต้องการใช้น้ำในฤดูหนาวเพราะน้ำมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง ลมหนาวในเดือนแปดไม่เพียงแค่พัดพาความเย็นมา แต่ยังนำแหล่งน้ำประเภทหนึ่งมาให้อีกด้วยซึ่งนั่นก็คือหิมะ
ตอนนี้เหอเซ่ายิ้มจนหุบปากไม่ลง เขาไม่คิดว่าวัวและแพะบนทุ่งหญ้าจะมีราคาถูกเช่นนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงที่ฤดูหนาวกำลังจะมาถึง ถ้าหากอยู่ที่ฉางอันแล้วใช้ผ้าป่านหนึ่งพับแลกวัวหนึ่ง ทางการจะแทรกแซงทันที ไม่เพียงแต่จะยึดวัวของเจ้า แม้แต่ผ้าก็อย่าหวังจะได้คืน ทั้งยังจะถูกคนทั้งฉางอันด่าทออีก ชั่วชีวิตนี้ไม่กล้าเงยหน้าพบปะผู้คนอีก ลูกหลานสามชั่วอายุคนจะพากันโชคร้าย
แต่หากเป็นที่นี่ไม่เป็นไร คนที่มาแลกวัวที่อยู่ข้างหน้านั้นถูกต่อยไปสามครั้งแล้ว ราคาตลาดปัจจุบันคือวัวสามตัวต่อผ้าหนึ่งพับ ชาวบ้านที่ทำปศุสัตว์ใช้สายตาที่มองดูคนโง่เง่ามองเหอเซ่า เหอเซ่าใช้สายตาที่มองคนที่ถูกปอกลอกมองชาวบ้านที่ทำปศุสัตว์ ต่างฝ่ายต่างก็ได้ตามที่ต้องการ
ยังไม่ต้องพูดถึงเนื้อวัวเพียงแค่หนังวัวก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เหอเซ่าตื่นขึ้นมาจากความฝัน ผ้าป่านเพียงห้าร้อยก้วนก็สามารถแลกกับวัวและแพะได้มากมายเพียงนี้ น่าเสียดายที่ไม่สามารถขนย้ายกลับไปได้ ไม่เช่นนั้นนี่คงเป็นเรื่องอึกทึกครึกโครมในฉางอัน ชาวฮั่นที่ทำปศุสัตว์ห้าสิบคนได้รับการว่าจ้างให้ฆ่าวัวและแพะ ฆ่าตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นจนถึงพระอาทิตย์ตก ทำทุกวันห้ามหยุด เนื้อวัวชิ้นใหญ่ก็ให้รมควันบนกองฟืน จากนั้นพอกเกลือหนาๆ ปล่อยให้อากาศแห้งบนทุ่งหญ้าพัดให้แห้ง นี่คือเสบียงกองทัพที่ดีที่สุด เนื้อวัวไม่ต้องต้มสุก การดิบๆ จะได้รสชาติที่ยอดเยี่ยม มีเพียงอวิ๋นเยี่ยเท่านั้นที่รู้ว่าทหารม้าของเจงกีสข่านก็อาศัยมัน ยังมีนมของม้าศึก ไม่ต้องนำติดตัวไปมากนักก็สามารถเดินทางไกลนับหมื่นลี้ได้และทำศึกได้อย่างไม่ต้องหยุดพัก
ชาวฮั่นไม่คุ้นเคยกับการกินเนื้อวัวและเนื้อแพะทุกวัน ดังนั้นอวิ๋นเยี่ยจึงบดใบชาให้เป็นผง ผสมไว้ในขนมเปี๊ยะที่ตนเองทำเพื่อเป็นของว่าง
เฉิงฉู่มั่วนั่งยองๆ อยู่บนเก้าอี้กินเนื้อแพะจุ่มอยู่กับอวิ๋นเยี่ย แพะอ้วนๆ ในฤดูใบไม้ร่วงนั้นอร่อยเป็นที่สุดแล้ว ทั้งสองได้กินขาแพะหมดไปแล้วข้างหนึ่ง ดื่มเหล้าไปหนึ่งอึกเฉิงฉู่มั่วเช็ดปากแล้วถามอวิ๋นเยี่ยว่า “เสี่ยวเยี่ย การค้าดีๆ เช่นนี้เหตุใดจึงมอบให้กับคนอื่น พวกพี่น้องทำกันเองไม่ดีกว่าหรือ”
“กินของเจ้าไป เจ้าตั้งใจทำศึกให้ดีก็พอ เรื่องอื่นยังไม่ต้องให้เจ้ามากังวล เจ้าต้องกลับบ้านครบสามสิบสองอย่างสมบูรณ์จึงจะเป็นเรื่องสำคัญ เงินเพียงไม่กี่สตางค์เจ้าก็สนใจด้วยหรือ ขณะที่ข้าจะมาที่นี่ป้าสะใภ้บอกให้ข้าต้องดูแลเจ้าให้ดี ห้ามไม่ให้เจ้าเป็นอะไรแม้แต่น้อย หากเจ้าเกิดโชคร้าย จุดจบข้าก็ไม่ต่างไปจากเจ้าเสียเท่าไร”
“ข้าทนเห็นเจ้าอ้วนเหอวางมาดต่อหน้าข้าไม่ไหว วันๆ เอาแต่พูดเรื่องผ้าป่านหนึ่งพับแลกกับวัวสามตัว ชวนให้คนฟังรำคาญ”
ดูให้ดี นี่คือเสบียงของกองทัพ ขอเพียงแม่ทัพหลายๆ ท่านนั้นเห็นดีด้วยก็จะขยายออกไปให้ทั่วทั้งกองทัพหากให้พวกเราสามตระกูลดูแลขนมเปี๊ยะอัดก้อน เจ้าคิดว่าฝ่าบาทจะอนุญาตให้ส่งมอบเนื้อให้กับพวกเราหรือ ที่ฉางอันข้าติดค้างหนี้น้ำใจครั้งใหญ่ต่อเหล่าเหออยู่ นำการค้านี้มาตอนแทน ก็เหมือนกับการใช้ประโยชน์จากของที่ไร้ค่า”
มีของดีต้องแบ่งสามส่วน นี่เป็นเหตุผลที่อวิ๋นเยี่ยเข้าใจมานานแล้ว มันเป็นไปไม่ได้ที่คนๆ หนึ่งจะเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ทั้งหมดในใต้หล้านี้ไว้คนเดียว กินอาหารเพียงคนเดียวฟ้าดินจะลงโทษ อวิ๋นเยี่ยประสบด้วยตนเองมาแล้ว ในแผนกจะได้ผลประโยชน์อย่างหนึ่งที่เรียกว่า พรีเมียม ก็คือการที่คุณไปซื้อของในนามบริษัท เนื่องจากซื้อปริมาณมากจึงมีราคาต่ำกว่าราคาตลาด ราคาส่วนต่างนี้แน่นอนว่าต้องเป็นผลประโยชน์ต่อพนักงานจัดซื้อ ผู้ขายเองก็ชอบ พนักงานจัดซื้อคนก่อนของบริษัททุกครั้งซื้อของกลับมา มักจะนำของขวัญเล็กๆ น้อยๆ มาฝากเพื่อนร่วมงาน ไม่ว่าจะเป็นแก้วน้ำ ปลาหางยาวหลายกิโลกรัม ไม่มีขาดมือ ทุกคนยิ้มร่ามีความสุข ต่อมาเปลี่ยนเจ้าหน้าที่จัดซื้อคนใหม่ พี่ชายคนนี้ชอบไปไหนมาไหนเพียงคนเดียวเสมอ สุดท้ายไม่รู้ว่าใครที่เป็นคนเปิดโปงความลับที่แต่ละคนก็รู้อยู่แก่ใจออกไป ดังนั้นพี่ชายเจ้าหน้าที่จัดซื้อคนนี้จึงชื่อฉาวโฉ่ทั่วบริษัทและต้องชดใช้เงินเป็นจำนวนมาก ไม่มีทางเลือกจึงต้องย้ายไปยังแผนกอื่น สุดท้ายไปอยู่แผนกใหม่ก็อยู่ไม่ได้อีก ก่อนที่อวิ๋นเยี่ยจะมาถึงราชวงศ์ถังไม่นานนักเขายังคงเป็นพนักงานทั่วไปในบริษัทอยู่เหมือนเดิม ชีวิตต้องพังลงเพราะโลภเก็บไว้แต่ผู้เดียว
ฐานะอวิ๋นเยี่ยในยุคปัจจุบันไม่สามารถเทียได้กับฐานะเขาในตอนนี้ แต่หลักการและเหตุผลนั้นเหมือนกัน และใช้ได้กับทุกระดับชั้น
จุดแข็งของเฉิงฉู่มั่วก็คือการทำศึก ตระกูลเฉิง ตระกูลหนิวและตระกูลอวิ๋นภายหน้ายังต้องพึ่งพาเขาในการยืนหยัดในกองทัพ ดังนั้นเหล่าเฉิงจึงคาดหวังในตัวเขาสูงมาก เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ภายในบ้านไม่เคยให้เขาต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยว ประการแรกก็เพื่อให้เข้ามีใจมุ่งมั่นในการศึก ประการที่สองหากโชคร้ายก็ยังมีผู้สืบทอดต่อ เพื่อสานต่องานในวันหน้า
หลังจากเซวียว่านเช่อได้ดื่มเหล้าลับของตระกูลอวิ๋น ก็ดูถูกเหล้าประเภทอื่นๆ และบอกว่าพวกนั้นเป็นน้ำ ตามที่เขาบอกหากวันหนึ่งไม่ได้ดื่มสองอึกจะรู้สึกกระสับกระส่าย โรคชนิดนี้มีแนวโน้มที่จะแพร่กระจายไปทั่วเมืองซั่วฟาง โดยเฉพาะกับขุนนางระดับสูง แต่ละคนป่วยกันอย่างรุนแรง เหล้าที่ที่บ้านส่งมาในระยะหลังนี้ถูกนำมาให้ไต้เท้าเหล่านี้ดื่มแก้อาการติดเหล้า ทำจนเฉิงฉู่มั่วบ่นกระปอดกระแปดอยู่บ่อยๆ
เดือนแปดในเขตซีเป่ย หิมะโปรยปรายแล้ว ในช่วงเวลานี้ของแดนกวนจงยังเป็นช่วงที่สวมเสื้อตัวเดียวได้ แต่ในเมืองซั่วฟางเริ่มสวมเสื้อหนังกันแล้ว ในช่วงกลางคืนนั้นหนาวเหน็บมาก เหอเซ่าด้านหนึ่งก็วางท่า ด้านหนึ่งก็ตรวจดูกุนเชียงที่กองอยู่เต็มห้อง ชุดก่อนหน้าถูกเหล่าหนิวแย่งเอาไป นอกจากนี้เขายังเก็บขนมเปี๊ยะแห้งของตระกูลอวิ๋นไว้เต็มคลังสินค้า โดยบอกว่าเตรียมไว้จะได้อุ่นใจ
ชุดนี้เตรียมไว้ให้ไฉเซ่า กั๋วกงได้เตรียมเงินไว้นานแล้ว เป็นตั๋วเงินเพียงหนึ่งใบ เหอเซ่าเพียงแค่กลับไปที่ กรมพลเรือนในเมืองฉางอัน ก็สามารถเบิกเงินได้ซึ่งสะดวกและรวดเร็ว อย่างไรเสียที่เมืองซั่วฟางนี้เงินก็ไม่มีประโยชน์สักเท่าไร ก้อนเงินหนึ่งก้อนยังใช้ยากกว่าผ้าป่านหนึ่งพับ หรือเทียบไม่ได้แม้กระทั่งหม้อใบหนึ่ง หากมีสาวงามอยู่ในมือ ชาวบ้านที่ทำปศุสัตว์เหล่านี้ก็ยอมรับได้ สิ่งที่พวกเขาไม่สนใจเลยก็คือเงิน
ส่วนที่ 4
ตอนที่ 7
ตระกูลต้องมาก่อน
เฉิงฉู่มั่วถือโอกาสที่แสงจันทร์ลาพ้นขอบฟ้าแล้ว ถือถุงอาหารจำนวนมากออกมา พี่น้องของเขาไม่ได้กินข้าวอิ่มท้องตั้งแต่มาถึงเมืองซั่วฟาง เขามักจะไปหาอวิ๋นเยี่ยเพื่อหาของกิน แม้ว่าเขาไม่สามารถดูแลปากท้องผู้ใต้บังคับบัญชาหนึ่งพันกว่าคน แต่พี่น้องที่เฝ้ายามกะกางคืนมักจะได้รับอาหารที่คาดไม่ถึงเสมอ
ห้องของเหอเซ่ายังคงสว่างอยู่ อวิ๋นเยี่ยจึงเดินเข้าไปและเปิดประตู เห็นเพียงคนอ้วนนั่งขดอยู่ข้างๆ อ่างกระถางเตาไฟ ใช้เหล็กสามง่ามอันเล็กย่างกุนเชียง กุนเชียงที่นุ่มและมัน น้ำมันหยดใหญ่ๆ ไหลเยิ้มออกจากรูเล็กๆ ที่ตั้งใจเจาะไว้บนกุนเชียง หยดลงในกระถางเตาไฟ ทำให้เปลวไฟสีส้มแดงลุกพรึบขึ้นเป็นครั้งคราว เหอเซ่าพลิกย่างกุนเชียงอย่างระมัดระวัง ไม่รู้ตัวว่าคนที่เปิดประตูเดินเข้าคืออวิ๋นเยี่ย ความสนใจทั้งหมดของเขาอยู่ที่อาหาร อวิ๋นเยี่ยก็ไม่ได้รบกวนเขาและยืนกอดอกอยู่ตรงนั้นเพื่อดูเขาย่างกุนเชียง
เหอเซ่าหยิบกุนเชียงแนบชิดจมูกเพื่อดมกลิ่นหอมและพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ จากนั้นก็คว้าถุงเหล้าที่อยู่ข้างๆ มือขึ้นมาดื่มหนึ่งอึกแล้วกัดกุนเชียงหนึ่งคำ หลับตาเคี้ยวอย่างเคลิบเคลิ้ม ดูเหมือนว่าเขาจะมีน้ำใจกับอาหารเป็นอย่างมาก อวิ๋นเยี่ยไม่เคยเห็นเขากินทิ้งกินขว้างมาก่อน แม้แต่ในร้านอาหารที่เมืองฉางอัน เขามักจะกินข้าวจนไม่เหลือสักเม็ดและแม้แต่น้ำซุปก็ไม่เหลือ มีสองครั้ง หลังจากที่อวิ๋นเยี่ยทานอาหารร่วมกับเขา เขายังเหล่มองเศษผักที่เหลืออยู่ในจานข้าวของอวิ๋นเยี่ย บ่งบอกว่าอยากจะกระโจนเข้าไปกินให้หมดอย่างชัดเจน
อวิ๋นเยี่ยคิดว่าเขาหาเหล่าเหอให้ทำเรื่องนี้ช่างเหมาะสมจริงๆ เขาไม่ปฏิเสธอาหารใดๆ เลย ขอเพียงแค่เป็นของกินเขาก็สามารถจับใส่กระเพาะอาหารได้ ช่างเป็นคนที่มีโภชนาการที่ดีคนหนึ่ง สำหรับเรื่องอาหาร ได้ยินเขาบ่นเพียงครั้งเดียวนั่นก็คือขนมเปี๊ยะในกองทัพแห้งและแข็งเกินไป มักจะขูดหลอดลม กลืนลำบาก ถ้าหากมีน้ำซุปมาแกล้มมันจะอร่อยมากเลย คุณชายผู้รากมากดีจอมเสเพล บ้าผู้หญิงคนหนึ่งสามารถใช้ชีวิตที่ลำบากยากเข็ญได้อย่างไม่ทุกข์ร้อน นี่ก็เป็นจุดแข็งที่มีไม่มากของผู้ชายคนนี้
ชิ้นส่วนต่างๆ ของสัตว์ที่สามารถนำมาใช้ได้เขาก็ไม่เคยละทิ้ง โดยทั่วไปชาวต้าถังจะไม่กินอวัยวะภายในของสัตว์ โดยเฉพาะคนเลี้ยงสัตว์ พวกเขาคิดว่านี่เป็นสิ่งที่ไม่สะอาด หากไม่โยนทิ้งก็คือนำไปเลี้ยงสุนัข เหล่าเหอเชื่ออย่างดื้อดึงว่าสิ่งเหล่านี้สามารถกินได้ ก็ไม่รู้ว่าเขาไปเอาความมั่นใจมาจากไหน จึงทำหม้อไฟเครื่องในวัว เมื่อดมกลิ่น ดูสีสันแล้วอวิ๋นเยี่ยแม้ต้องหิวตายก็จะไม่กินอย่างเด็ดขาด ท่ามกลางสายตาของสาธารณชนเหล่าเหอตักขึ้นมาชามใหญ่ๆ กินลงไปอย่างเอร็ดอร่อย โดยหน้าไม่เปลี่ยนสีและไม่หวาดกลัว ทำให้ผู้คนที่อยู่ด้วยต่างก็ตกใจกันยกใหญ่
ตามที่เขาร้องขออย่างหนักแน่นอวัยวะภายในทั้งหมดได้รับการเก็บรักษาไว้ เมื่อมองดูกองอวัยวะภายในของวัวและแพะเหล่าเหอก็ร้อนรนดั่งโดนไฟเผา ไม่มีใครชอบซุปเครื่องในเนื้อวัวที่เขาทำ แม้แต่ให้โดยไม่คิดเงินก็ไม่มีใครเอา โชคดีที่อากาศหนาวเย็น เก็บไว้สักสองสามวันก็ยังไม่ถึงกับเน่าเสีย
หลังจากที่ได้รู้ว่าเหล่าเหอได้กินซุปเครื่องในซึ่งถึงขั้นที่จะฆ่าคนได้ ก็อาเจียนจนหน้ามืดตามัว แม้แต่น้ำดีก็ยังอาเจียนออกมาหมด อวิ๋นเยี่ยไปที่ห้องเก็บเครื่องในวัวและแพะของเขา เอามือปิดจมูกเลือกบางชิ้นส่วนไป เมื่อกลับไปยังที่พักของตัวเอง เหล่าเหอยืนพิงกรอบประตูด้วยอาการอ้อนเปลี้ยเพลียแรง ดูว่าอวิ๋นเยี่ยจะจัดการกับสิ่งเหล่านี้อย่างไร เขาพบว่าหลังจากทำความสะอาดเครื่องในวัวแล้ว อวิ๋นเยี่ยได้ใส่ต้นหอมและหัวไชเท้าลงไปต้มด้วยกัน ไม่นานนักซุปเครื่องในหนึ่งหม้อที่น้ำซุปใสๆ และมีกลิ่นหอมก็ปรากฏอยู่ตรงหน้า เขาไม่ลังเลเลยที่จะตักซุปเครื่องในขึ้นมาหนึ่งชาม ซุปเครื่องในเพียงหนึ่งชามที่ทำให้เหล่ากินจนน้ำมูกน้ำตาไหล กระชากคอเสื้ออวิ๋นเยี่ยแล้วต่อว่าว่า เจ้ามีวิธีปรุงที่อร่อยกลับไม่ทำ รอให้ตัวเองต้องหน้าแตกก่อนจึงค่อยทำ ทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร
เหล่าเหอกินกุนเชียงคำเล็กๆ ทีละคำด้วยความเสียดาย ทันใดนั้นก็รู้สึกว่ามีคนเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคนในห้อง ครั้นเงยหน้าขึ้นมองจึงพบว่าอวิ๋นเยี่ยยืนกอดอกดูเขากินอยู่ตรงนั้น รู้สึกค่อนข้างอาย เพราะเขารู้ว่าขณะที่ตัวเองกำลังกินมีอากัปกิริยาอย่างไร
“เจ้ามานี่ได้ครู่หนึ่งแล้วหรือ”
“ตอนที่เจ้ากำลังเลียน้ำมันบนกุนเชียงแล้วลวกปากข้าก็มาถึงแล้ว”
“ห้ามพูดออกไปนะ ไม่เช่นนั้นข้าจะฆ่าปิดปากเสีย”
“เพียงแค่กิริยาตอนกินอาหารของเจ้า ทั่วทั้งเมืองซั่วฟางใครๆ ก็รู้กันหมด เจ้าคิดจะฆ่าปิดปากกองทัพต้าถังที่อยู่ที่นี่ให้หมดทุกคนหรือ”
“เช่นนั้นก็ช่างเถอะ ข้าสู้ไม่ไหว อยากจะหัวเราะเยาะก็เชิญ อย่างไรเสียข้าก็มีกิริยาการกินเช่นนี้ล่ะ จะเปลี่ยนก็เปลี่ยนไม่ได้แล้ว”
เมื่อพูดจบ ก็ส่งถุงเหล้าให้อวิ๋นเยี่ย ดึงเขาให้นั่งลงด้านข้างกระถางเตาไฟ แล้วหยิบแท่งเหล็กเล็กๆ ขึ้นมาเสียบกุนเชียงอันใหม่แล้วย่างต่ออีก
“เหล่าเหอ ทำไมเจ้าต้องทรมานตัวเองเช่นนี้ด้วย เจ้าให้คนรับใช้ทั้งหมดที่บ้านส่งมาให้ออกไปขนผ้าและเสบียง แต่ไม่เหลือไว้ข้างกายสองสามคนเพื่อดูแลเจ้า อย่างไรเสียก็อยู่อย่างสุขสบายจนเป็นนิสัยเสีย จะทนความยากลำบากนี้ได้หรือ” วันนี้อวิ๋นเยี่ยจึงได้รู้ว่าข้างกายเหล่าเหอไม่มีคนรับใช้เหลืออยู่แม้แต่คนเดียว ทั้งหมดถูกสั่งให้ไปขนส่งหนังวัวและหนังแพะกลับเมืองหลวง จากนั้นถือโอกาสขนผ้าฝ้ายกลับมาบางส่วน พวกเขาไม่ต้องการผ้าไหม ของสิ่งนั้นไม่เป็นที่ต้องการของตลาดในเมืองซั่วฟาง นี่เป็นเรื่องที่เหล่าเหอสั่งกำชับอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะ
เมื่อเห็นเหล่าเหอไม่พูดอะไร อวิ๋นเยี่ยจึงพูดขึ้นอีกว่า “องครักษ์ของที่บ้านไม่ใช่แรงงาน เจ้าไม่ควรให้พวกเขาทำงานของพวกแรงงาน ตอนนี้เครื่องในวัวและแพะต่างก็ถูกทหารในกองทัพกินจนหมดเกลี้ยง เจ้าไม่มีอะไรต้องทำแล้ว การหยุดพักให้ดีน่าจะเป็นเรื่องที่ถูกกว่านะ เงินนั้นหาได้ไม่มีวันหมด เจ้าจะรีบร้อนไปทำไมกัน”
“น้องชาย เจ้าเป็นหัวหน้าครอบครัว ตอนนี้ตระกูลอวิ๋นเจ้ากำลังเฟื่องฟู การค้าที่บ้านก็ทำอย่างเป็นความลับ สำนักศึกษาก็เป็นสถานที่ที่ดีในการแสวงหาชื่อเสียง ไม่ขาดแคลนทั้งเงินทองและเสบียงอาหาร เจ้าก็แค่ไม่อยากเดินเข้าสู่เส้นทางในวงราชการเท่านั้นเอง หากคิดจะทำ ตำแหน่งของเจ้าในตอนนี้คงสูงส่งมากแล้ว จะปีนขึ้นไปอีกสักหน่อยก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ตระกูลก็จะหยั่งรากลึกได้เป็นร้อยปี ไม่ใช่สิ่งที่ตระกูลเหอข้าจะสามารถเปรียบเทียบได้ เจ้าไม่รู้สถานการณ์ที่บ้านข้า การออกมาครั้งนี้ข้าได้ใช้ไพ่ใบสุดท้ายที่เหลืออยู่เล็กน้อยออกมาจนหมด ไม่กลัวว่าเจ้าจะหัวเราะเยาะ เครื่องประดับของพี่สะใภ้เจ้าก็นำไปจำนำแล้ว หากการค้าครั้งนี้ล้มเหลวข้าก็เหลือแต่ความตายสถานเดียว แต่โชคดีที่น้องชายสายตาเฉียบแหลม คาดการณ์ได้แม่นยำ คราวนี้ส่งกลับไปหนึ่งรอบ เพียงแค่หนังวัวและหนังแพะที่ส่งกลับไปก็สามารถขายได้สองสามพันก้วนในฉางอันแล้ว คราวนี้ที่บ้านก็จะได้สบายใจได้และข้าก็โล่งใจ สินค้าเหล่านั้นสำคัญกว่าชีวิตของข้ามากนัก องครักษ์ที่บ้านก็เป็นคนชราทั้งนั้น รู้จักหนักเบา ความรู้สึกของชีวิตที่ฟันฝ่าความเป็นความตายมาหลายทศวรรษ พวกเขาไม่บ่นแน่นอน”
เป็นผู้ชายที่เห็นว่าครอบครัวนั้นสำคัญกว่าชีวิตตนเองอีกคนหนึ่งแล้ว อวิ๋นเยี่ยนึกถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำหลังจากมาถึงราชวงศ์ถัง ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเจื่อนๆ แผนการทั้งหลายที่ตนเองพยายามทำด้วยความยากลำบากพื้นฐานเดิมนั้นก็ไม่ได้ต่างไปจากเหล่าเหอ น่าขำที่เมื่อครู่เขาเพิ่งจะพยายามเกลี้ยกล่อมเหล่าเหออยู่เป็นเวลานาน
ชายทั้งสองคนที่เก็บตัวอยู่ในห้องไม่ได้คิดที่จะพูดคุยอะไรอีก เพียงแต่กุนเชียงที่อยู่บนแท่งเหล็กของเหล่าถูกย่างจนเกิดเสียงปริแตกเท่านั้น
ดวงจันทร์ได้ขึ้นสู่ท้องฟ้า กุนเชียงก็กินหมดแล้ว เหล่าเหอส่งอวิ๋นเยี่ยออกนอกห้อง ทั้งคู่มองขึ้นไปบนฟ้าอย่างค่อนข้างเศร้า ถ้าเป็นหนึ่งชายหนึ่งหญิง อวิ๋นเยี่ยก็หวังว่าความรู้สึกนี้จะคงอยู่ต่อไป แต่น่าเสียดายที่ข้างๆ คนอ้วนหน้ากลมเหมือนซาลาเปา
มีคนกำลังเป่าแตรอยู่ ชาวบ้านทั่วไปเรียกว่าเฉาเอ่อร์ แรกเริ่มนั้นเป็นของต้นกกสองใบ ต่อมาค่อยๆ กลายเป็นรูปร่างลักษณะของขลุ่ย เสียงแห่งความโศกเศร้าทำให้คนมีความรู้สึกปวดใจเจียนตาย ไม่ดีเลย “หูเจียสือปาไพ” ไม่ใช่เพลงที่เป็นมงคล ตอนนี้เมืองซั่วฟางไม่ได้ต้องการความทุกข์เศร้า ไม่ต้องการความรู้สึกที่ซับซ้อน ที่ต้องการคือความห้าวหาญของทหารที่จะออกรบ อย่างเช่นเพลงปลุกระดมของฮิตเลอร์นั้นก็ไม่เลว แม้เป็นทำนองเพลงของ “กุ่ยจื่อจิ้นชุน” ก็ดีกว่าเพลง “หูเจียสือปาไพ” ที่ชวนให้คนฟังเจ็บปวดแทบขาดใจนี้มาก
ที่ลานข้างๆ นี้เอง สวี่จิ้งจงผู้น่ารังเกียจคือผู้ที่เป่าเพลงนี้ เขากำลังสงสารเห็นใจตัวเองหรือตั้งใจดึงดูดความสนใจจากผู้อื่นโดยมีเป้าหมายแอบแฝง
ไม่รู้แล้ว ถือว่าเขาประสบความสำเร็จ ประสบความสำเร็จจนดึงดูดใจอวิ๋นโหวเหยียผู้อยากรู้อยากเห็นเป็นอย่างมาก
ด้วยท่าทีที่สง่างามมาก ยกเว้นหน้าท้องอ้วนๆ ที่น่าเกลียดนิดหน่อย อย่างอื่นถือว่าดีหมด ยืนพิงเงากำแพงอยู่ในลานบ้าน ผมที่สยายอยู่ปิดบังใบหน้าครึ่งหนึ่งพอดี เมื่อแสงจันทร์สาดส่อง เหมือนผีซาดาโกะชัดๆ เฉาเอ่อร์ก็ส่งเสียงคล้ายผีครวญ จะไม่ทำให้ผู้คนอกสั่นขวัญแขวนได้อย่างไร
“เจ้าคิดว่าเจ้าน่าสังเวชอย่างนั้นหรือ เจ้าคิดว่าข้าดึงเจ้ามาที่เมืองซั่วฟางเพราะตั้งใจจะหาเรื่องเจ้าใช่หรือไม่” เดิมอวิ๋นเยี่ยตั้งใจจะหันหลังและเดินกลับ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะพูด
“ในตอนกลางวันข้าน้อยยังได้ล่องแพอยู่กับครอบครัว ตกดึกก็ได้รับคำสั่งทางทหารให้มายังดินแดนรกร้างแห่งนี้ ชะตากรรมที่น่าประหลาดใจของข้าน้อยนั้นยากจะเจอได้ในต้าถัง” สวี่จิ้งจงหยุดเป่าเฉาเอ่อร์ยิ้มพูดกับอวิ๋นเยี่ย
“ข้าเคยได้ยินบทกวีบทหนึ่ง ไม่รู้ว่าเจ้าเคยได้ยินหรือไม่” อวิ๋นเยี่ยถามเขา
“หากพูดถึงกลยุทธ์การรบทัพจับศึก ข้าน้อยย่อมสู้อวิ๋นโหวไม่ได้ แต่หากพูดถึงโคลงฉันท์กาพย์กลอน สวี่จิ้งจงมั่นใจว่าไม่เป็นสองรองใคร” ตอบอย่างมาดมั่น เขามีความมั่นใจนี้
“มีชายคนหนึ่งที่รู้สึกสงสารเวทนาตัวเองเหมือนกับเจ้า ได้เขียนบทกวีนี้ขึ้นโดยสองประโยคแรกคือ ได้รับแต่งตั้งดูมีอนาคต ยามถูกปลดน่าสลดสู่เฉาโจว คล้ายกับสถานการณ์ปัจจุบันของเจ้าอยู่นะ ถ้ามีโอกาสพวกเจ้าลองเสวนากัน ต้องค้นพบบางสิ่งที่เหมือนกันแน่”
สวี่จิ้งจงคิดจนหัวแทบระเบิด ก็คิดไม่ออกว่าที่มาของบทกวีทั้งสองประโยคนี้มาจากไหน จากบทกวีก็รู้ได้ว่าท่านนี้ก็เป็นขุนนาง เหตุใดเขาจึงไม่รู้จักบทกวีที่ดีสองประโยคนี้กัน ต้องเป็นอวิ๋นเยี่ยเพิ่งแต่งเขียนขึ้นและนำมาหาเรื่องข้าแน่
“ไม่ทราบว่าอวิ๋นโหวจะให้ความกระจ่างบทกวีทั้งบทได้หรือไม่ เพื่อให้ข้าน้อยได้เปิดโลกทัศน์” เขาตัดสินใจแล้วว่าจะทำให้อวิ๋นเยี่ยหน้าแตก
“บทกวีทั้งบทเป็นเช่นนี้ ได้รับแต่งตั้งดูมีอนาคต ยามถูกปลดน่าสลดสู่เฉาโจว อยากขจัดความชั่วเสียให้หมด หาได้จดจ่อกับความชราไม่ ย้อนมองเขาหนานซันบ้านอยู่หนใด หลานกวนหิมะโปรยม้าไปไม่ได้ รู้มีใจคิดจึงมาจากแดนไกล ด้วยมีใจเก็บศพข้าผู้นี้เอย เป็นอย่างไรบ้าง พอจะมีความหมายที่ดีอยู่บ้างกระมัง”
อวิ๋นเยี่ยไม่ต้องกังวลว่าสวี่จิ้งจงจะรู้จักบทกวีนี้ ยังไม่รู้ว่าหานอวี้อยู่ที่ไหนเลย อวิ๋นเยี่ยสามารถใช้ความโศกเศร้าของเขาเพื่อตอกหน้ากลับสวี่จิ้งจงได้อย่างเต็มที่
บทกวีเป็นบทกวีที่ดี สวี่จิ้งจงร่ำเรียนมาก็ไม่น้อย แน่นอนว่าต้องฟังออก อวิ๋นเยี่ยยังไม่สามารถเขียนบทกวีที่ลึกซึ้งเช่นนี้ได้ ประสาอะไรกับที่บทกวีนี้ผู้ที่อยู่ในวัยกลางคนเป็นผู้แต่งขึ้น ซึ่งสิ่งนี้มั่นใจได้เลยว่าตัวเองไม่รู้จักแม้กระทั่งบทกวีที่ดีเช่นนี้ จะถูกดูหมิ่นเหยียดหยามก็สมควรแล้ว แม้ว่าเขาเย่อหยิ่งแต่ในด้านการศึกษาแล้วเขากลับไม่ยอมปล่อยผ่านไปแบบไม่ใส่ใจ จึงโค้งคำนับขอโทษอวิ๋นเยี่ย “ข้าน้อยช่างเป็นคนที่โง่เขลา ไม่ทราบว่าใครเป็นผู้เขียนบทกวีนี้” ราชวงศ์ของเรายังไม่มีขุนนางผู้ใดที่ถวายฎีกาจนถูกปลดให้เป็นตัวอย่างได้ หรือจะเป็นขุนนางของราชวงศ์ก่อน”
“บุคคลผู้นั้นชื่อว่าหานอวี้ นี่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ สิ่งที่ข้าต้องการบอกเจ้าก็คือ เจ้าไม่ใช่คนไร้ความสามารถ เพียงแค่ระยะเวลาสั้นๆ หนึ่งเดือนทำให้เมืองซั่วฟางพลิกโฉมหน้าใหม่ ผลงานของเจ้านับว่ายิ่งใหญ่ แต่เพราะอะไรเจ้าจึงไม่นำพรสวรรค์ที่มีไปใช้ให้ถูกทาง จุดประสงค์ที่เจ้ามาสำนักศึกษาข้ารู้ดี ในใจเจ้าเองก็รู้ดี ในเมื่อเจ้ามีความคิดที่ไม่ควรมี การต้องเผชิญหน้ากับการถูกตอบโต้กลับก็เป็นเรื่องสมควรแล้ว สำนักศึกษาไม่ใช่สถานที่ที่จะใช้เพื่อแสดงอำนาจของผู้ใดผู้หนึ่ง มีหนึ่งคนข้าก็กำจัดหนึ่งคน แม้ว่าจะต้องใช้วิธีการบางอย่างก็ตาม ขอเพียงเจ้ายอมลดตัวทำงานและเลิกคิดเล็กคิดน้อยพวกนี้ อนาคตในวงราชการของเจ้าจะไม่หยุดอยู่เพียงแค่นี้ เจ้าลองตรึกตรองดู ข้าขี้เกียจจะพูดอ้อมค้อม มักรู้สึกว่าการทำเช่นนั้นมันงี่เง่า ถ้าหากเจ้าคิดว่าข้าดูหมิ่นเจ้า ก็จงมาตอบโต้ได้ข้าจะรออยู่ เพียงแต่ครั้งต่อไปจะไม่ปล่อยเจ้าไปง่ายๆ เช่นนี้อีกแล้ว”
ไม่ว่าสวี่จิ้งจงจะคิดอย่างไร อวิ๋นเยี่ยมีความภูมิใจในตัวเอง การเป็นคนที่ไม่มีตัวตนในประวัติศาสตร์ เขาไม่สนใจว่าประวัติศาสตร์ในอนาคตจะเปลี่ยนเป็นอย่างไร เขาออกจากลานบ้านของสวี่จิ้งจง เหลือเพียงสวี่จิ้งจงที่กำลังยืนอึ้งอยู่ เขาเริ่มเหนื่อยเล็กน้อยและเตรียมจะกลับไปนอน เขาไม่รู้สึกตัวเลยว่าในมุมที่มืดที่สุดด้านนอกกำแพง มีคนคนหนึ่งกำลังเฝ้าดูเขาและมองแผ่นหลังที่จากไปของเขา…
ส่วนที่ 4
ตอนที่ 8
ตัวต่อไม้
ที่ราบของแดนกวนจงในเดือนเก้ายังคงเป็นช่วงที่พืชพันธุ์เขียวชอุ่ม เมืองโบราณของซั่วฟาง หิมะรอบแรกได้ตกลงมาแล้ว หิมะที่ร่วงหล่นลงมาอย่างหนักปกคลุมทั่วทั้งทุ่งหญ้า การใช้ชีวิตในทุ่งหญ้าในปีนี้ไม่ค่อยสู้ดีนัก ในตอนแรกต้องประสบกับภัยแล้ง ตามมาติดๆ ด้วยภัยพิบัติจากตั๊กแตน แม้ว่าจะไม่น่ากลัวเท่ากับภัยพิบัติในแดนกวนจง แต่ก็สูญเสียวัวและแพะไปจำนวนมาก เมื่อหญ้าไม่ดี ความสมบูรณ์ของสัตว์ที่เลี้ยงย่อมไม่ดีด้วย ข่านเจี๋ยลี่ได้กวาดล้างชนกลุ่มน้อยที่ต่อต้านมากที่สุดไปหลายชนเผ่า และใช้ศีรษะของพวกเขาป่าวประกาศไปทั่วทุกสารทิศ ทุ่งหญ้าเงียบสงบลงและไม่มีเสียงอื่นๆ อีก ขณะที่เขากำลังลำพองใจ ทูลี่น้องชายสุดที่รักของเขาได้แอบลงนามในพันธสัญญากับต้าถังแล้ว…
หลี่จิ้งหายตัวไปไม่เห็นแม้เงาและหลี่จีก็เช่นกัน แม้กระทั่งไฉเซ่าหัวหอกใหญ่แห่งเมืองโบราณซั่วฟางก็หายตัวไปท่ามกลางสายตาของผู้คนจำนวนมาก ราชสำนักของต้าถังนั้นสงบสุข ทุกคนต่างก็ยุ่งวุ่นวายอยู่กับการเตรียมงานวันคล้ายวันเกิดของไท่ซั่งหวงหลี่หยวน ไม่มีใครสนใจหลายๆ ท่านนั้นที่หายตัวไป ทุกคนต่างมองว่า พวกเขาไปที่เขาฉินหลิ่งเพื่อล่าสัตว์ให้หลี่หยวน การเก็บเกี่ยวในปีนี้ไม่ค่อยดี หรือยังจะไม่อนุญาตให้ล่าสัตว์เพื่อให้เป็นของขวัญกันอีก
อวิ๋นเยี่ยอยู่ที่เมืองซั่วฟางเต้นเป็นเจ้าเข้า ใครจะนึกถึงว่าเป็นถึงไท่ซั่งหวงแท้ๆ แต่กลับใช้ทหารหน่วยข่าวกรองเดินทางไกลนับพันลี้เพื่อทวงหนี้ เงินไม่กี่ตำลึงทองเองไม่ใช่หรือ ทั้งยังคำนวณดอกเบี้ยอย่างละเอียดยิบอีกด้วย นี่ไม่ใช่ดอกเบี้ยค้างจ่ายที่เลยกำหนดแล้ว แต่มันคือดอกเบี้ยชนิดนำไปตั้งตัวใหม่ได้เลย กลางคืนคุณปัสสาวะบ่อย ทำไมต้องมาคิดรวมใส่ที่ฉันด้วย ก็แค่หาผู้หญิงให้น้อยลงหน่อย ก็ไม่ต้องเป็นอย่างนี้ไม่ใช่หรือ
สีหน้าของไฉเซ่าดูแปลกไป เซวียว่านเช่อ เซวียว่านเริ่นสองพี่น้องท่าทางซื่อๆ ไม่พูดอะไร คิดว่าคงอึ้งทึ่งไปหมดแล้ว
ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะเหล่าเหอก่อวีรกรรมไว้ ขบวนรถขนสินค้าของบ้านเขาไปอวดเบ่งแสดงตัวในเมืองฉางอันอย่างเอิกเริกว่า ชาวเผ่าหูที่นอกด่านนั้นโง่เขลาและมีเงินเยอะ อยากหลอกอย่างไรก็หลอกได้หมด เมื่อเรื่องที่ว่าผ้าหนึ่งพับแลกวัวได้สามตัวแพร่ออกไป ตลาดในเมืองฉางอันก็อยู่ในสภาพที่จ้อกแจ้กจอแจ ตระกูลเหล่าเหอนั้นล้มเหลวมาตั้งแต่ต้นแล้ว จึงไม่สนใจหน้าตาของเหล่าชนชั้นสูง ทำการค้าเพื่อฉีกหน้ากันตรงๆ ให้ทุกคนอิจฉาเลย แต่ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกดูถูกเพิ่มขึ้นอีก
เหล่าเหอทำตามคำแนะนำของอวิ๋นเยี่ยอย่างเคร่งครัด อย่ากินอาหารเพียงลำพัง ตัวเองหยิบได้ก้อนเนื้อชิ้นใหญ่กินจนน้ำมันไหลเยิ้มปาก แน่นอนว่าต้องดึงพี่น้องที่น่าสงสารมากินเนื้อด้วยกัน เมื่อมีผู้คนจำนวนมากการค้านี้จึงจะสามารถทำต่อไปได้เป็นเวลานาน
ทุกคนที่รู้จักเหล่าเหอต่างก็รู้ว่า ชายอ้วนเสเพลคนนั้นไม่มีทางมีวิสัยทัศน์เช่นนี้และไม่มีความกล้าหาญเช่นนี้ด้วย เมื่อพวกเขารู้ว่าอวิ๋นเยี่ยหัวหอกของเภทภัยทั้งสามผู้โด่งดังอยู่ที่เมืองซั่วฟาง ต่างก็พากันปิดปากเงียบ เพียงแค่รีบติดต่อกับลูกหลานของที่บ้านที่อยู่ในเมืองซั่วฟางเพื่อสอบถามรายละเอียด
ทุกครั้งที่จั่งซุนเห็นอวิ๋นเยี่ยหากำไรได้ นางมักจะรู้สึกอิจฉา คราวนี้ไม่เหมาะที่จะไปหาหลี่ซื่อหมินเพื่อให้เขากดดันอวิ๋นเยี่ย เพราะหลี่ซื่อหมินเล่นบทคนชั่วร้ายหลายครั้งเกินไปแล้ว จำนวนที่มากเกินไปจะทำให้สะเทือนถึงความสัมพันธ์ได้ น่ากลัวว่าในตอนนี้เจ้าหนุ่มนี่คงอยู่ในฉางอันแล้วและอยู่ให้ห่างจากพระราชวังให้ไกลๆ คราวที่แล้วไท่ซั่งหวงบอกว่าอวิ๋นเยี่ยยังเป็นหนี้เงินเขาอยู่ พระองค์ตรัสอย่างรู้สึกผิดหวังอยู่บ้างว่าเจ้าเด็กคนนี้ตอนนี้ก็ไม่ได้เข้าวังแล้ว บางทีอาจจะลืมชายชราอย่างเขาไปนานแล้ว
เมื่อเป็นหนี้ต้องชดใช้นี่คือสัจธรรม นี่คือที่มาที่ไปของการที่ทหารหน่วยข่าวกรองไปทวงเงินจากอวิ๋นเยี่ย
เหล่าราชนิกุลมักจะแทรกเท้าข้างหนึ่งเข้าไปในทุกๆ สิ่ง นี่คือความปรารถนาในการควบคุมที่มีมาแต่กำเนิดของพวกเขาที่กำลังแผลงฤทธิ์อยู่ โชคดีที่จั่งซุนยังคงรู้จักให้ไท่ซั่งหวงมารับหน้าแทนจึงปกปิดความต้องการเงินอันรุนแรงของนางได้บ้างเล็กน้อย ซึ่งแสดงให้เห็นว่านางยังไม่ถึงจุดที่ทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลัง
ต้าถังมีข้าราชการหลายหมื่นคน ดูเหมือนว่านางจะเพ่งเล็งที่จะจัดการอวิ๋นเยี่ยเท่านั้น ในสายตาของไฉเซ่าและพี่น้องตระกูลเซวียนี่เป็นสัญญาณของการได้รับความโปรดปราน จดหมายรีดไถที่ส่งมาเหมือนเป็นจดหมายจากทางบ้านทำให้พวกเขาเกือบคลั่งใจตาย เหล่าราชนิกุลไม่เคยเห็นอวิ๋นเยี่ยเป็นคนนอก ความสัมพันธ์ที่สนิทชิดเชื้อเช่นนี้ไม่ใช่ว่าเงินจะสามารถแลกเปลี่ยนได้ ไฉเซ่าบุตรเขยของตระกูลหลี่ก็เกิดความริษยาขึ้นเล็กน้อย เขาไม่เคยถูกหลี่หยวนหรือหลี่ซื่อหมินรีดไถเงินมาก่อน เขาคิดว่านี่เป็นความสุขอย่างหนึ่ง
อวิ๋นเยี่ยไม่คิดอย่างนั้น เขามักจะถูกรังแก ซึ่งนี่ทำให้เขาโกรธแค้นอยู่เต็มอก ตั้งแต่ที่เขามาถึงต้าถัง ทุกสิ่งอย่างที่เขาพบล้วนแล้วแต่เป็นคนที่มีอำนาจยิ่งใหญ่ แม้ว่าเขาจะสามารถกลั่นแกล้งคนที่อ่อนแอกว่าตัวเองได้ ตัวเขาที่คิดว่าตัวเองสูงส่งกว่าคนโบราณที่ป่าเถื่อนเหล่านี้อยู่เล็กน้อยนั้นทำให้เขาทำไม่ลงจริงๆ แม้แต่ตอนที่เขาเตะบั้นท้ายคนอื่นตอนที่อยู่หล่งโย่ว เขาก็ไม่ลืมที่จะชดเชยให้คนเหล่านั้นเล็กน้อย จั่งซุนไม่เคยชดเชยให้ คำว่าแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียมไม่มีอยู่ในพจนานุกรมของนาง
หลังจากอวิ๋นเยี่ยสงบจิตใจลงและอ่านจดหมายรีดไถเงินต่อ ได้ยินว่าบนทุ่งหญ้ามีหนังลูกแกะม่วงประเภทหนึ่งที่หนังอ่อนนุ่มสามารถทำเป็นเสื้อคลุมได้ ที่สวมแล้วทำให้ดูดีมีสง่า ขอให้ขณะที่อยู่ที่เมืองซั่วฟางคอยสังเกตุและนำมาสักหนึ่งร้อยสิบผืน เมื่อกลับมาจะได้ทำเสื้อผ้าหลายๆ ตัว ยังมียาสมุนไพรชนิดหนึ่งที่เรียกว่า หยินหยางฮั่ว[1]ที่มีสรรพคุณในการเสริมสร้างความแข็งแรงของร่างกาย ให้ขุดกลับมาหลายๆ คันรถเพื่อนำกลับมาต้มใส่โจ๊กทาน สำหรับรางวัลก็ให้หักออกจากบัญชีการพนันเหล่านั้น ส่วนที่เหลือก็เอาดีวัวเหลือง[2]หลายๆคันรถได้ตามใจที่ได้มาจากทุ่งหญ้าที่มีจำนวนมากจนนับไม่ไหวเอาไปผสมให้ครบจำนวน เขาก็จะยอมรับมันไว้ ก็เป็นผู้ใหญ่แล้วจะให้เด็กรุ่นหลังเอาเปรียบหน่อยก็เป็นเรื่องสมควรอยู่
เมื่ออ่านถึงตรงนี้อวิ๋นเยี่ยก็แทบจะเป็นลม เรื่องสมุนไพรหยินหยางฮั่วยังพอว่า เพราะบนทุ่งหญ้ามีมากมาย ท่านจะกินมันเป็นอาหารก็ไม่เป็นไร เมื่อตอนที่มาถึงซุนซือเหมี่ยวได้ให้คนไปขุดไว้มากมาย สามารถตอบสนองความต้องการได้ ก็อยู่ในช่วงธาตุหยางแข็งแรงนี่นะ มีชายคนไหนไม่ต้องการกันบ้าง หนังลูกแกะม่วงอวิ๋นเยี่ยก็มีแค่เจ็ดหรือแปดชิ้นอยู่ในมือ ของสิ่งนี้มีค่อนข้างน้อย ไม่มีการผลิตหนังลูกแกะม่วงบนทุ่งหญ้า มีเพียงบางส่วนที่ได้มาจากกองคาราวานจากซีอวี้เท่านั้น ซึ่งราคาสูงมาก และหลายผืนนี้อวิ๋นเยี่ยก็กัดฟันซื้อมา ตั้งใจจะเอากลับไปทำหมวกให้พวกท่านย่าและซินเย่ว์ สำหรับดีวัวเหลืองนั้น เหล่าเหอได้ฆ่าวัวไปหลายพันตัว จึงได้ดีวัวเหลืองมาไม่ถึงห้ากิโลกรัม เจ้าต้องการกี่คันรถกัน
“เหตุใดอวิ๋นโหวถึงต้องกังวลด้วย ไท่ซั่งหวงไม่เคยเอ่ยปากต้องการสิ่งของอะไรจากข้าเลย ในครั้งนี้ไท่ซั่งหวงเอ่ยปาก ไม่เพียงแต่พูดให้อวิ๋นโหวฟังแต่ผู้เดียว แต่พูดให้ทหารห้าหมื่นคนในเมืองซั่วฟางฟัง สามารถแบ่งเบาความวิตกของไท่ซั่งหวงได้ เป็นหน้าที่ของข้าราชบริพารอย่างพวกเราที่พึงกระทำ อย่าว่าแต่มันเป็นเพียงของพื้นๆ เพียงไม่กี่คันรถ แม้เป็นศีรษะของข่านเจี๋ยลี่ พวกเราก็ต้องทำอย่างสุดกำลัง หนังลูกแกะม่วง ดีวัวเหลือง ข้าไม่เชื่อว่าหากเราค้นบนพื้นที่พันกว่าลี้ของเมืองซั่วฟางจะรวบรวมของขวัญเหล่านี้ให้ครบไม่ได้”
ไฉเซ่าเป็นคนดี เป็นคนที่ดีมากๆ คนที่ยอมออกมาเป็นแพะรับบาปแต่โดยดีช่างเป็นคนดีจริงๆ รู้ว่าเขาต้องการที่จะสร้างผลงานต่อหน้าตาเฒ่าบ้าง จึงออกอาการอิจฉาอวิ๋นเยี่ยเล็กน้อย ตาเฒ่าอยากได้ของพวกนี้กลับไม่ไปหาเอาจากลูกเขย แต่กลับมาหาอวิ๋นเยี่ยซึ่งเป็นคนนอกที่ไม่เกี่ยวข้อง ทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองถูกกีดกัดออกไป
พี่น้องตระกูลเซวียกำหมัดขัดมืออยากแสดงทักษะของพวกเขาเช่นกัน เซวียว่านเช่อได้เดินออกไปแล้ว เขาเดินพลางพูดกับไฉเซ่าว่า “แม่ทัพใหญ่ ขอโปรดวางใจ ข้าจะรีบไปดูที่ชนกลุ่มน้อยร้อยกว่าเผ่าที่อยู่บริเวณชายแดน เพียงแค่ของขวัญไม่กี่คันรถ ไม่เป็นปัญหาอย่างแน่นอน”
อวิ๋นเยี่ยไม่อยากประจบสอพลอฮ่องเต้ แต่ห้ามผู้อื่นไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการประจบประเภทนี้ที่สามารถแก้ปัญหาในบ้านตัวเองได้ อวิ๋นเยี่ยรู้สึกว่ายิ่งมีมากยิ่งดี
“แม่ทัพเซวีย คราวนี้ท่านถือโอกาสนำวัวและแพะกลับมาเพิ่มบางส่วนด้วย เนื้อตากแห้งที่พวกเราเตรียมไว้ยังไม่เพียงพอ” อวิ๋นเยี่ยตามออกไปตะโกนบอกเซวียว่านเช่อ
มีคนจัดการเรื่องขวัญให้แล้วย่อมมีความสุขเป็นธรรมดา ทหารหน่วยข่าวกรองครั้งนี้คือคำสั่งของหลี่หยวนที่จะออกไปจากวังเป็นครั้งแรกในรอบสองปีที่ผ่านมา จั่งซุนเข้าใจดี หลี่ซื่อหมินเข้าใจดี หลี่หยวนเองก็เข้าใจดีว่านี่คือการลองปรับตัวเข้าหากันของพวกเขา ลองเชื่อใจกัน เพียงแค่วิธีการค่อนข้างหยาบคายไปเล็กน้อย แน่นอนว่าสำหรับอวิ๋นเยี่ย หลายๆ ท่านในพระราชวังคงจะไม่ได้คิดที่จะพิจารณาถึงความลำบากของโหวเยี๋ยตัวเล็กๆ พวกเขาแค่ต้องการโอกาสนี้และอวิ๋นเยี่ยเป็นเพียงตัวเลือกเดียวที่สามารถมอบทางลงนี้ให้ได้
บุคคลสำคัญ ปัญหาของบุคคลสำคัญเมื่อต้องการแก้ไขก็แทบจะเอาชีวิตกันเลย ศึกที่ประตูเสวียนอู่เหมินได้ทำลายความรักความสัมพันธ์ของตระหลี่จนหมดสิ้น สำหรับราชวงศ์ถังที่เริ่มต้นนับจากหลี่ซื่อหมินจนถึงสิ้นราชวงศ์ การสืบทอดราชวงศ์ของพวกเขาเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด เมื่อมีรถวิ่งผ่านย่อมต้องเหลือรอยล้อรถ ดังนั้นหลี่จื้อจึงรับช่วงการฆ่าต่อ อู่เหมยเหนียงรับช่วงการฆ่าต่อ เมื่อมาถึงหลี่หลงจีมีพี่น้องไม่กี่คนที่จะให้เขาฆ่าแล้ว จึงได้สร้างคฤหาสน์สิบหกอ๋องขึ้นและเลี้ยงพี่น้องเหมือนหมู
หลี่ซื่อหมินฆ่าพี่ชายและน้องชาย ฆ่าลูกชายและลูกสาว เกรงว่าในใจของเขาจะเป็นหลุมโหว่มานานแล้วกระมัง คนปกติเมื่อพบกับเหตุการณ์เช่นนี้ไม่กลายเป็นคนบ้าหรือคนสติฟั่นเฟือนสิจึงเป็นเรื่องแปลก แต่หลี่ซื่อหมินกลับกลายเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ อดชื่นชมในความแข็งแกร่งของเขาไม่ได้จริงๆ หรือบางทีเขาอาจจะเป็นคนเลือดเย็นมาตั้งแต่เกิดก็ได้
พวกเหล่าจวงไม่ยอมให้อวิ๋นเยี่ยออกไปคนเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมืองชายแดนที่ไฟลุกโชนเช่นนี้ ไกลที่สุดที่ออกมาได้คือกำแพงเพื่อมองดูทุ่งหญ้าจากไกลๆ หลังจากหิมะตกพื้นดินขาวโพลน สะท้อนแสงจ้าจนแสบตา มีหญ้าเ**่ยวแห้งอยู่สองสามต้นที่พยายามจะงอกออกมา ทันใดนั้นก็ถูกพวกนกสาลิกาจิกคาบไปสร้างรังใหม่ของพวกมัน กระต่ายป่าวิ่งบนพื้นหิมะจะเกิดร่องเป็นเส้นๆ มันอาจจะหิวมาก แม้แต่นกอินทรีที่อยู่บนศีรษะก็ไม่สนใจ พยายามหาเมล็ดหญ้าที่สามารถทานได้เพียงอย่างเดียว
ไม่มีอะไรถูกส่งมาเสริมในแดนกวนจงอีก หิมะหนาทึบปิดกั้นการจราจรทั้งหมด มีเพียงม้าศึกเท่านั้นที่สามารถฝืนเดินอย่างลำบากบนหิมะได้ การลาดตระเวนครั้งนี้ของเซวียว่าเช่อดูท่าแล้วไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เขามีจิตใจที่ทะเยอทะยานอันร้อนแรงที่จะประจบประแจงฮ่องเต้ ต้องเอาชนะปัญหาเล็กๆ ที่อยู่เบื้องหน้าเหล่านี้ได้อย่างแน่นอน
ตอนนี้ในกองทัพนั้นยุ่งเหยิงมาก พวกนายทหารสวมใส่ทุกอย่างที่พวกเขาสามารถสวมใส่ได้ ทุกคนดูเหมือนสัตว์ร้ายในสมัยดึกดำบรรพ์ บางคนดูเงอะงะ แต่โดยมากแล้วกลับจะดูดุร้ายมากกว่า
ไฉเซ่าเป็นผู้นำกองทัพผู้บุกเบิกของตระกูลหลี่ หนึ่งในหมู่พวกเขามีกองทัพเสวียนเจี่ยห้าร้อยคน ที่เคยได้แต่อ่านจากตำราเรียนประวัติศาสตร์ ตอนนี้ได้เห็นตัวจริงเสียงจริง ทำให้อวิ๋นเยี่ยได้เปิดมุมมองเกี่ยวกับเครื่องจักรสังหารที่สมบูรณ์แบบที่สุดในยุคอาวุธระยะประชิดเช่นนี้อย่างละเอียด เกราะเหล็กทั้งชุดหรือที่เรียกว่า สือซันไข่ แผ่นเหล็กป้องกันที่เงาวับสองแผ่นตรงหน้าอกช่วยป้องกันจุดสำคัญ ไม่เพียงแค่คนสวมชุดเกราะหนัก แม้แต่ม้าก็สวมเกราะทั้งตัว อวิ๋นเยี่ยเดินเข้าไปหยิบมาดูมันหนักมาก รวมเหล็กป้องกันของคนและม้าเข้าด้วยกันมีน้ำหนักอย่างน้อยสี่สิบกิโลกรัม รูปร่างของทหารม้ากองทัพเสวียนเจี่ยนั้นไม่ได้สูงใหญ่เสียเท่าไหร่ทั้งยังต้องสวมเกราะหนักแต่กลับใต้หล้าไร้ศัตรู ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะเหตุใด
ในฐานะที่เป็นคนว่างงานในกองทัพ ไปที่ไหนก็ได้รับการยอมรับ ทุกที่ที่เขาไปไม่มีใครไม่ยิ้มต้อนรับ ทำให้นักพรตซุนที่ทำงานหนักไม่พอใจอย่างมาก ท่านนี้มอบดาบเสี้ยวจันทร์ที่ทำอย่างประณีตให้ ท่านนั้นมอบสายขาดเอวฝังทองคำและเงินชิ้นใหญ่ให้ ทั้งยังมีนายทหารที่ดูโดดเด่นหลายคนส่งกล่องไม้ที่ประณีตมาให้โหวเยี๋ย เพียงมองแวบแรกก็รู้ว่ามันทำจากไม้จันทน์ วางไว้ในมือโดยไม่ให้ปฏิเสธได้ ได้แต่ต้องยอมรับเพียงอย่างเดียว จึงได้สั่งให้มอบรางวัลเป็นอาหารและเครื่องดื่มแก่ทหารเหล่านี้ แน่นอนว่าต่างฝ่ายต่างก็มีความสุข
อวิ๋นเยี่ยมักจะรู้สึกว่าทหารที่ให้กล่องเล็กๆ แก่เขาดูแปลกๆ เมื่อกลับไปถึงที่พัก ควานหากล่องไม้ออกมาจากกองของขวัญ เมื่อเปิดออกจึงตกใจมาก ในกล่องไม้มีตัวต่อไม้แบบสิบสองชิ้น อวิ๋นเยี่ยมีทักษะมากในเรื่องนี้ ขณะที่อยู่ในโรงงาน เขาได้ใช้วัสดุของโรงงานเพื่อทำของเล็กๆ อันนี้อยู่ไม่น้อย ตัวเองได้ใช้เครื่องกลึงแปรรูปทำตัวต่อแบบคลาสสิกหกชิ้นที่มีความเป็นไปได้มากมาย คิดไม่ถึงว่าจะได้เห็นที่นี่ ทำให้เขารู้สึกห่างไกลจากอีกโลกหนึ่ง
สั่งให้เหล่าจวงไปตามหานายทหารหลายคนนั้น แต่พวกเขากลับหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
สถานการณ์ที่แปลกประหลาดนี้ อวิ๋นเยี่ยพบเป็นครั้งแรก ที่ฉางอันไม่มีตัวต่อไม้ เมื่อตอนที่สร้างไพ่นกกระจอก อวิ๋นเยี่ยได้ตรวจสอบตลาดของเล่นของต้าถังแล้ว ไม่มีของสิ่งนี้ เป็นใครกันที่ส่งมันมา
เมื่อกดตัวต่อชิ้นแรกและเลื่อนตัวที่สองออก อวิ๋นเยี่ยปลดล็อคตัวต่อไม้ด้วยความเคยชิน พบกระดาษชิ้นหนึ่งในช่องว่างของตัวต่อไม้ ซึ่งเมื่อเปิดออกอ่าน ด้านบนเขียนไว้เพียงสามคำเท่านั้น ไป๋อวี้จิง
——
[1] หยินหยางฮั่ว เป็นสารสกัดที่มีคุณภาพยอดเยี่ยมสำหรับการเสริมสร้างการทำงานของไต ใช้เป็นสารเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของผู้ชาย
[2] ดีวัวเหลือง เป็นชื่อยาสมุนไพรจีนชนิดหนึ่ง
ส่วนที่ 4
ตอนที่ 9
ซับซ้อนกับง่ายดาย
ไป๋อวี้จิงเป็นชื่อเรียกชื่อหนึ่งที่อวิ๋นเยี่ยเอามาจากบทกวีของหลี่ไป๋ กล่าวกันว่าเป็นอีกชื่อหนึ่งของดวงจันทร์ เขาชอบอารมณ์ที่ไร้ตัวตนในบทกวีนี้มาก จึงตั้งใจจำเป็นพิเศษ เพื่อทำให้ความโกรธสงบลงขณะอยู่ระหว่างประชุมเช้า จึงได้กุเรื่องสถานที่แดนสวรรค์แห่งนี้ขึ้นมา คนที่รู้เรื่องนี้มีแต่ขุนนางในราชสำนักเหล่านั้น ใครจะคิดว่าในสถานที่รกร้างห่างไกลอย่างเมืองซั่วฟางแห่งนี้กลับมีคนรู้เรื่องไป๋อวี้จิงด้วย
ทำไมการประชุมเช้าของราชวงศ์ต้าถังจึงได้เหมือนกระชอนที่มีหลุมอยู่ทุกหนทุกแห่งกัน หลังจากตำหนิติติงขุนนางราชสำนักที่พูดมากอยู่ในใจไปหลายประโยค อวิ๋นเยี่ยก็เกิดความคิดอยากจะแกล้งคนขึ้นมาในทันใด จึงสั่งให้เหล่าจวงไปหาช่างไม้มาหนึ่งคน เขาตั้งใจจะทำตัวต่อไม้สิบห้าชิ้นขึ้นหนึ่งชุด จากนั้นค่อยดูปฏิกิริยาของฝ่ายตรงข้าม แล้วจึงค่อยพิจารณาว่าจะใช้ตัวต่อยี่สิบสี่ชิ้นดีหรือไม่ เพื่อให้พวกกบในกะลาครอบเหล่านั้นได้เปิดหูเปิดตา เขารอคอยกับผลลัพธ์ของเรื่องนี้เป็นอย่างมาก
สามารถสร้างตัวต่อไม้ที่สมบูรณ์แบบในยุคสมัยเช่นนี้ได้ นับว่าเป็นอัจฉริยะบุคคลที่หาตัวจับได้ยากมากแล้ว ทั้งยังสามารถปลอมปนเข้ามาในค่ายทหารและส่งมอบสิ่งนี้ให้กับอวิ๋นเยี่ยได้ จะต้องมีการวางแผนอย่างรอบคอบ ต้องรู้ว่าอวิ๋นเยี่ยนั้นไม่ต้องออกจากค่ายทหาร เขาไม่อยากที่จะถูกสายลับชาวทูเจวี๋ยตัดศีรษะเขาไปทำแก้วเหล้าโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว แต่ไหนแต่ไรมาเขาให้ความสำคัญกับชีวิตน้อยๆ นี้มาก
หลังจากฟังโหวเหยียเล่าที่มาที่ไปของเหตุการณ์แล้ว ทั้งร่างของเหล่าจวงก็เปียกโชกไปด้วยเหงื่อ เขาไม่กล้าที่จะจินตนาการถึงฉากหลังจากเกิดเหตุของโหวเหยียเลย เมื่อคิดว่าโจรคนนั้นอยู่ห่างจากโหวเหยียเพียงก้าวเดียว เขาก็เสียใจทุบศีรษะตัวเองอย่างแรงไม่ยอมหยุด
อวิ๋นเยี่ยหยุดการทำร้ายตัวเองของเหล่าจวงและพูดปลอบใจเขาอีกหลายประโยค เป็นคนเก่าแก่ของที่บ้านแล้วไม่เห็นต้องตำหนิตัวเองหนักเช่นนี้ด้วยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อวิ๋นเยี่ยเชื่อว่าหากเกิดอันตรายขึ้นจริงๆ เหล่าจวงจะต้องปกป้องเขาอย่างแน่นอน เพียงเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว ตัวเองเป็นเพียงคนธรรมดาทั่วไปในยุคปัจจุบัน ตอนนี้ได้มาอยู่ในจุดที่มีคนยอมตายแทนตัวเองได้ยังจะมีอะไรไม่พอใจกันอีก พวกบอดี้การ์ดสวมแว่นกันแดดในยุคปัจจุบัน จะมีสักกี่คนที่ยอมตายแทนนายจ้างของพวกเขา แต่ถ้าการรังแกพวกที่อ่อนแอกว่าก็ถือเป็นเรื่องที่ถนัดอยู่
“โหวเหยีย พวกเรารายงานเรื่องนี้กับแม่ทัพใหญ่เถอะ ที่นี่คือถิ่นของเขา ข้าไม่เชื่อว่าจะจับพวกโจรร้ายพวกนั้นไม่ได้”
“เหล่าจวง เจ้ายังไม่เข้าใจอยู่เรื่องหนึ่ง คนเหล่านี้ดูเหมือนจะไม่ได้คิดร้ายต่อข้า ถ้าหากคิดร้ายจริง ตอนนี้เจ้าคงได้เห็นศพของข้าแทน ถ้าหากจู่ๆ ไปรายงานเบื้องบนจะต้องเป็นการก่อศัตรูอย่างแน่นอน เราไม่จำเป็นต้องสร้างศัตรูกับคนที่ไม่คุ้นเคยเลยเพราะมันไม่คุ้มค่ากัน สิ่งที่พวกเขาส่งมานั้นแปลกมาก ไม่ใช่สิ่งที่โจรธรรมดาทั่วไปสามารถทำได้ ข้างในนี้เต็มไปด้วยภูมิปัญญาอันล้ำลึก ดูเหมือนว่าจะต้องการทดสอบความรู้ของข้า เช่นนั้นก็มาประลองกันหน่อยเป็นไร”
ตัวต่อไม้เป็นของเล่นที่แปลกประหลาดมาก เล่าลือกันว่ามันปรากฏขึ้นตั้งแต่สมัยชุนชิว แต่น่าเสียดายที่ไม่มีหลักฐานหลงเหลืออยู่ หลายคนเชื่อว่ามัน รูปแบบสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ก็ได้รับแรงบันดาลใจจากตัวต่อไม้นี้ สรุปแล้วนี่เป็นสิ่งที่มีประโยชน์มาก คิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะคิดค้นตัวต่อไม้สิบสองชิ้นขึ้นมาได้ มันน่าทึ่งมาก ต้องรู้ว่าพวกเขาไม่มีคอมพิวเตอร์ในการคำนวณแบบจำลอง จะต้องสร้างแบบจำลองสามมิติด้วยมันสมองของตัวเองทีละขั้นตอนและแต่ละขั้นตอนนั้นยุ่งยากมาก ซึ่งสิ่งนี้ต้องการการคิดที่ละเอียดและแม่นยำมาก
ไม้เส้นทำเสร็จอย่างรวดเร็ว อวิ๋นเยี่ยตั้งใจจะสร้างตัวต่อไม้สิบห้าชิ้น เหล่าจวงดวงตาเบิกกว้างจ้องมองอวิ๋นเยี่ยประกอบเข้าไปทีละชิ้นๆ ไม่เข้าใจว่ามีความรู้อะไรอยู่ด้านในในไม้หลายสิบชิ้นนี้
อวิ๋นเยี่ยถอนหายใจด้วยความโล่งอก ใช้เวลาประมาณหนึ่งก้านธูปในการประกอบจนเสร็จ ฝีมือค่อนข้างขึ้นสนิมแล้วยื่นให้กับเหล่าจวง เหล่าจวงเอามือหักออกด้วยความเคยชินจึงพบว่าไม้เส้นที่เดิมแยกกันเมื่อถูกล็อกเข้าด้วยกันแล้วมันแข็งแรงแน่นหนามาก ราวกับเป็นเนื้อเดียวกัน
“ข้าก็ได้ใส่ข้อความไว้ในตัวต่อไม้นี้แล้วเจ้านำมันไปแขวนไว้ที่หน้าประตูบ้านของพวกเรา จากนั้นก็กลับมา แล้วไม่ต้องสนใจอีก พรุ่งนี้เช้าจึงค่อยไปดูอีกครั้ง ถ้ามีใครเอาไปแล้วพวกเขาจะติดต่อกับข้าต่อไป ข้าจะรอดูว่าพวกเขามีลูกไม้อะไรอีก ฮ่าฮ่า ในที่สุดเมืองซั่วฟางก็ทำให้ข้ารู้สึกน่าสนใจขึ้นมาแล้ว”
เหล่าจวงเปิดประตูใหญ่และแขวนตัวต่อไม้ที่ประตู เขายังมองไปรอบๆ เมื่อไม่พบใครจึงเป่าโคมไฟที่แขวนอยู่ที่ประตูให้ดับลง จากนั้นจึงปิดประตูและกลับไป
ดูเหมือนว่าพวกเขาจะลืมไปว่าเคยเกิดเรื่องนี้ขึ้น เมื่อกลับถึงห้องอวิ๋นเยี่ยกับทหารองครักษ์ของที่บ้านก็นั่งอยู่รอบๆ เตาเหล็กกินเครื่องในวัวในหม้อใหญ่กันอย่างเอร็ดอร่อย อวิ๋นเยี่ยยังเด็ดต้นอ่อนถั่วลันเตาหนึ่งกำมือที่ปลูกไว้ในกล่องไม้ที่อยู่ข้างใส่ลงในหม้อลวกกินเป็นระยะๆ
ไฉเซ่าในตอนนี้เรียกว่าผู้บัญชาการใหญ่ เพิ่งจะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้บัญชาการใหญ่การเดินทัพแห่งเขตจินเหอเต้า คำสั่งแรกที่ประกาศออกมาก็คือให้ทั้งกองทัพเตรียมตัวพร้อมรบ ดังนั้นจึงห้ามดื่มเหล้า เฉิงฉู่มั่วก็ไม่สามารถมาได้แล้ว แต่ที่พักในค่ายทหารของอวิ๋นเยี่ยยังค่อนข้างดีกว่า เพราะสามารถเดินไปมาได้อย่างอิสระ ค่ายกลางที่เฉิงฉู่มั่วพักอยู่ตอนนี้ เกรงว่าแม้แต่นกก็จะบินเข้าไปไม่ได้แล้ว
อวิ๋นเยี่ยนั้นมาชุบตัวที่นี่ เขารู้ว่าทุกคนที่เข้าร่วมในการต่อสู้ครั้งนี้ต่างก็ได้รับประโยชน์มากมาย ที่ได้เลื่อนตำแหน่งก็เลื่อนตำแหน่ง ได้เลื่อนฐานันดรศักดิ์ก็เลื่อนฐานันดรศักดิ์ ที่มั่งคั่งก็ร่ำรวยไป สองอย่างแรกนั้นไม่เกี่ยวข้องอะไรกับอวิ๋นเยี่ย หลี่ซื่อหมินได้พูดไว้อย่างชัดเจน ภายในเวลายี่สิบปีเขาจะไม่พิจารณาเลื่อนฐานันดรศักดิ์ของอวิ๋นเยี่ยเป็นกงโหวอย่างแน่นอน ทั้งยังคงเป็นจั่งซุนเป็นผู้นำมาถ่ายทอด ทำให้อวิ๋นเยี่ยเศร้าเสียใจอยู่ในวังเป็นเวลานาน จนทำให้หลี่เฉิงเฉียนปลอบใจอย่างเอาเป็นเอาตาย ทั้งยังบอกให้อวิ๋นเยี่ยอดทนรอก่อน รอจนเขาได้สืบทอดบัลลังก์แล้วสิ่งแรกที่จะทำก็คือเลื่อนฐานันดรศักดิ์ของอวิ๋นเยี่ยให้เป็นกงโหว ทั้งยังสาบานสาปแช่งอย่างร้ายแรง
เมื่ออวิ๋นเยี่ยออกมาจากประตูวัง เขาหัวเราะจนตัวงอ ตำแหน่งเจวี๋ยโหวในตอนนี้ก็ถือว่าดีมาก จะว่าใหญ่ก็ไม่ใหญ่จะว่าเล็กก็ไม่เล็ก ที่จริงเหมาะกับอวิ๋นเยี่ยเป็นที่สุดแล้ว ในราชสำนักก็ไม่วุ่นวาย ไม่ต้องมีขุนนางฝ่ายทัดทานคำพูดมาพูดมากว่าราชสำนักดีต่อตระกูลอวิ๋นเกินไป มีคำพูดของหลี่ซื่อหมินค้ำคอไว้ก็เพียงพอแล้ว เขาบอกว่าจะไม่เลื่อนฐานันดรศักดิ์ให้ตระกูลอวิ๋นง่ายๆ ในทางตรงกันข้ามก็จะไม่ลดฐานันดรศักดิ์ของตระกูลอวิ๋นง่ายๆ เช่นกัน เหล่าชนชั้นสูงและขุนนางที่มีความดีความชอบทุกคนในราชสำนักต่างก็เตรียมการแบ่งแยกดำเนินการอย่างชัดเจนเพื่อการเลื่อนฐานันดรศักดิ์ในวันหน้า มีเพียงตระกูลอวิ๋นเท่านั้นที่มั่นคงดุจเขาไท่ซัน
สำหรับคำสบถสาบานของเฉิงเฉียนก็ถือว่ามันเป็นกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์อย่างหนึ่ง อย่าได้ไปใส่ใจเลย เมื่อเป็นคนก็ต้องมีโอกาสที่ลำไส้ทำงานผิดปกติบ้าง บางครั้งก็ต้องปล่อยแรงดันที่อยู่ในกระเพาะออกมาบ้าง หลังจากปลดปล่อยแล้วจะได้รู้สึกสบายเนื้อสบายตัว
อวิ๋นเยี่ยไม่ได้สงสัยความจริงใจของหลี่เฉิงเฉียนในขณะที่พูด ในตอนนี้เขาก็คิดเช่นนี้ แต่โชคไม่ดีที่ฮ่องเต้ไม่สามารถดำรงอยู่ในบรรยากาศความจริงใจที่ไร้สาระได้ เขาจำเป็นต้องคานอำนาจ บางครั้งสิ่งที่ตัดสินใจจะทำจะขัดกับความตั้งใจดั้งเดิมของเขาอย่างชนิดที่ว่า ความปรารถนาที่แท้จริงนั้นเป็นเพียงความคิดและการกระทำสวนทางกัน กล่าวง่ายๆ ก็เพราะว่านี่เป็นเรื่องของผลประโยชน์
นอนหลับอย่างเป็นสุขไปขณะหนึ่ง เหล่าจวงจึงไปเปิดประตูลานบ้าน ตัวต่อไม้ที่แขวนอยู่ที่ประตูหายไปแล้วจึงไปรายงานให้โหวเหยียทราบ แต่กลับพบว่าโหวเหยียของเขาหัวเราะเหมือนสุนัขจิ้งจอกตัวน้อยที่เพิ่งขโมยไก่ตัวอ้วนพีมาได้หนึ่งตัว…
ที่เมืองซั่วฟางเองก็มีชาวนา แม้ว่าจะมีจำนวนไม่กี่คนก็ตาม พวกเขายังทำไร่ไถนาบนที่ดินนับล้านตารางเมตรนอกเมือง ที่นี่เพาะปลูกข้าวได้เพียงฤดูกาลเดียวและผลผลิตไม่สูง แต่เนื่องจากที่นาเยอะคนจำนวนน้อย ชาวนาแต่ละคนก็พอที่จะได้กินอย่างอิ่มท้อง
ครอบครัวของผู้เฒ่าหลิวมีคนมามากมาย วันนี้หลานชายคนเล็กมีอายุครบสัปดาห์ เพื่อนบ้านในหมู่บ้านต่าง มาแสดงความยินดี คนหนึ่งมอบไข่หนึ่งตะกร้า อีกคนหนึ่งเหล้าข้าวหมักสองชั่ง เจ้าบ้านทำคากิสองขา เพื่อนบ้านนำน่องแพะมาหนึ่งน่อง ก็ชาวนานี่นะ ต่างก็ใช้ชีวิตด้วยการช่วยเหลือซึ่งกันและกันเป็นรุ่นๆ ไป
หลานสะใภ้อายุสิบหกปียิ้มอย่างอ่อนหวาน อุ้มลูกไว้ให้เพื่อนบ้านโดยรอบได้ชื่นชม นี่เป็นโอกาสสำหรับผู้หญิงที่จะได้แสดงตน ได้ลูกน้อยตัวอ้วนที่มีน้ำหนักประมาณสามกิโลกรัมกว่า มีใครบ้างจะไม่ยกนิ้วชื่นชม
นางอดไม่ได้ที่จะมองเข้าไปในบ้าน ท่านปู่ ท่านลุง ท่านอาของเด็ก ทั้งยังมีผู้เฒ่าผู้แก่อีกหลายคนที่อยู่ด้านใน เป็นเวลานานแล้ว แม้เป็นการตั้งชื่อให้เด็กก็ไม่น่าต้องใช้เวลานานถึงเพียงนี้ ระหว่างนี้ก็ไม่ยอมโผล่หน้าให้เห็น ก็ไม่แปลกที่จะทำให้คนเราคิดไปเรื่อยเปื่อย หรือจะบอกพวกเขาไม่ชอบเด็กคนนี้ ดวงตาของหลานสะใภ้เริ่มแดงเล็กน้อยและรู้สึกอึดอัดมาก
เขาไม่รู้ว่าในบ้านมีคนหลายคนนั่งรายล้อมไม้ก้อนหนึ่งระดมความคิดกันอยู่ หลังจากผลัดกันดูคนละรอบแล้ว ชาวนาที่อายุมากที่สุดส่งเสียงกระแอม ทำให้บรรยากาศที่วุ่นวายสงบลง
“นี่เป็นคำถามที่โหวเหยียหนุ่มแห่งต้าถังมอบให้เรา ข้าลองนับดูแล้วทั้งหมดมีสิบห้าชิ้น ข้าไร้ความสามารถ นั่งแก้ตั้งแต่เมื่อคืนนี้จนถึงตอนนี้ก็ยังคิดอะไรไม่ออก ขึ้นอยู่กับพวกเจ้าแล้ว ข้าเชื่อว่าคำตอบที่พงกเราอยากได้ต้องอยู่ในตัวต่อไม้นี้อย่างแน่นอน หากไม่สามารถปลดล็อคได้ ก็เท่ากับเสียเวลาเปล่า” ชาวนาเฒ่าพูดด้วยอาการเหนื่อยล้าแล้วเอนหลังพิงเสา หลับตาลง การคิดคำนวณอย่างหนักตลอดคืนย่อมต้องใช้พลังงานเป็นอย่างมาก
“ท่านปู่ นี่เป็นไม้ห่วยๆ ก้อนหนึ่ง รอให้หลานเอาขวานจามมันเพื่อเปิดออกก็ได้แล้ว ทำไมคุณต้องเสียแรงคิดถึงเพียงนี้” พูดจบก็หันหลังเตรียมจะออกไปหยิบขวาน
เสียงฝ่ามือตบไปที่หน้าของเขาดังขึ้น ชาวนาวัยกลางคนอายุราวสี่สิบปีโมโหจนหยุดไม่อยู่ ชี้ไปที่ชายหนุ่มและพูดว่า “นี่เป็นการประลองกันด้านปัญญา ไม่ใช่การประลองกำลัง ตระกูลกงซูของข้าทำไมจึงมีลูกหลานเหลือเดนเช่นเจ้าได้ ความเฉลียวฉลาดเลิศล้ำของบรรพบุรุษโด่งดังไปทั่วหล้า สิ่งที่พวกเขาทำล้วนแล้วแต่เต็มไปด้วยกลวิธีที่ยากจะคาดเดา แม้ว่าจะหลงเหลือไว้เพียงแค่ตัวต่อไม้ที่ดูเหมือนเป็นของเล่นนี้ แท้ที่จริงแล้วมันแฝงไว้ด้วยความลึกลับของภูมิปัญญา ผู้ที่ฉลาดหลักแหลมในตระกูลต้องทุ่มเทความคิดไปไม่น้อยจึงสามารถพัฒนาตัวต่อไม้จากหกชิ้นเป็นสิบสองชิ้น โหวเหยียหนุ่มคนนั้นใช้เวลาเพียงสองชั่วยามในการปลดล็อคตัวต่อไม้ของตระกูลเรา อีกทั้งยังสร้างตัวต่อไม้สิบห้าชิ้นขึ้นจากพื้นฐานเดิมได้อีก ซึ่งสติปัญญาของเขากล่าวได้ว่าเลิศล้ำสุดหยั่ง หาผู้ใดเทียบได้ พวกเราจึงควรได้แต่เคารพเท่านั้น แล้วจะหลอกตัวเองโดยใช้ขวานผ่าเพื่อเปิดมันออกมาได้อย่างไร ทำเช่นนี้เจ้าต้องการจะฉีกหน้าตระกูลกงซูของข้าใช่หรือไม่”
หลานสะใภ้ได้ยินพ่อสามีกำลังต่อว่าสามีจึงรีบวิ่งเข้ามา เห็นใบหน้าสามีมีรอยแดงบริเวณกว้างและเลือดไหลออกจากจมูก จึงรีบวางลูกไว้บนโต๊ะกลางและรีบไปหาผ้าเปียกมาเช็ดหน้าให้เขา
ขณะที่อวิ๋นเยี่ยสร้างตัวต่อไม้ได้เล่นลูกไม้อย่างหนึ่ง เขาไม่ได้ทำตามรูปแบบกลวิธีการสร้างทั่วไป แต่เขาเอากลไกทั้งหมดรวมไว้บนไม้เส้นเดียว ขอเพียงดึงไม้เส้นนี้ออกตั่วต่อไม้ก็จะหลุดออกจากกันโดยปริยาย ชาวนาเฒ่าปลดล็อกด้วยวิธีตามหลักปกติ หากต้องการหาวิธีแก้ที่ถูกต้องจะสามารถหาพบได้อย่างไร ก็เหมือนกับปิ่นปักผมบนศีรษะคนเรา เพียงแค่ดึงปิ่นออกเส้นผมก็จะตกลงมา กลุ่มคนที่คลั่งไคล้ในยุคปัจจุบันได้ศึกษาวิธีการเล่นมานับไม่ถ้วน ซึ่งนี่เป็นวิธีการเล่นที่ค่อนข้างเป็นมาตรฐาน เหมาะสำหรับนำมาข่มขวัญคนเป็นที่สุด
หลานสะใภ้ร้องไห้สะอึกสะอื้นพลางเช็ดเลือดกำเดาให้สามีนาง ทุกคนจึงถูกดึงดูดสายตา ไม่มีใครสังเกตเห็นเด็กน้อยอายุหนึ่งขวบกำลังปีนอยู่บนโต๊ะ กัดตัวต่อไม้นั้นจนน้ำลายไหลเยิ้ม เมื่อชาวนาเฒ่าเห็นเข้าจึงรีบคว้ามา วางมันไว้บนมือและเช็ดน้ำลายของเด็กน้อยที่หยดลงบนตัวต่อไม้ เพียงแค่ถูเบาๆ ก็พบว่าตัวต่อไม้ในฝ่ามือแตกกระจายกลายเป็นกองไม้เล็กๆ อย่างง่ายดาย
ทุกคนตกตะลึง จากนั้นหัวเราะเสียงดังลั่น ชาวนาเฒ่าหัวเราะดังมากที่สุด รอยย่นบนใบหน้าของเขาก็ปรากฏขึ้นเหมือนกลีบดอกเบญจมาศ อุ้มเหลนน้อยขึ้นมาหอมแก้มหลายต่อหลายครั้ง
ส่วนที่ 4
ตอนที่ 10
กงซูปัน
ชาวนาเฒ่าซุกสองมือไว้ในแขนเสื้อ นั่งอยู่บนแท่นโม่คิดอะไรบางอย่าง เอนหลังพิงลูกกลิ้งบนหินก้อนใหญ่ ยิ่งทำให้ดูผอมมากขึ้นเรื่อยๆ แขกที่บ้านแยกย้ายกันไปแล้ว ความสุขของชาวนานั้นเป็นช่วงสั้นๆ แต่อบอุ่น สามารถมีอาหารที่อุดมสมบูรณ์เพียงหนึ่งมื้อก็ถือว่ามีความสุขอย่างยิ่งแล้ว เมื่อทานอาหารเสร็จแล้วต่างฝ่ายต่างต้องแยกย้ายกันกลับบ้าน เหลือแต่เพียงเหล่าฮูหยินช่วยเจ้าบ้านเก็บล้างจานชาม พวกนางจงใจหลีกเลี่ยงสถานที่ที่ชาวนาเฒ่านั่งอยู่ แม้ว่าตรงนั้นจะมีชามใบหนึ่งที่เด็กซุกซนวางไว้บนพื้นก็ตาม
ทั้งครอบครัวซ่อนตัวอยู่ในบ้านแอบมองชาวนาเฒ่า พยายามเดาว่าโหวเหยียหนุ่มคนนั้นเขียนสิ่งใดไว้ในกระดาษใบนั้น เหตุใดเมื่อนายผู้เฒ่าอ่านแล้วจึงโศกเศร้าเสียใจ นั่งอยู่บนแท่นโม่หินเพียงลำพังเป็นเวลาสองชั่วยามแล้ว เหตุใดน้ำตาไหลจึงยังไหลออกมา
นายผู้เฒ่าเข้มแข็งมาตลอดชีวิต อย่าว่าแต่เด็กรุ่นหลานไม่เคยเห็นเขาร้องไห้ แม้แต่พี่น้องรุ่นเดียวกับเขาก็ไม่เคยเห็นเขาร้องไห้ มาวันนี้เจ้าบ้านหัวแข็งดั่งก้อนหินร้องไห้เหมือนเด็กที่โดนรังแก อึดอัดสุดจะบรรยาย
หลายวันก่อนนายผู้เฒ่าได้รับจดหมาย ซึ่งจดหมายฉบับนั้นที่ทำให้เขาใช้สายลับของตระกูลที่ไม่เคยใช้มาก่อนเพียงเพื่อส่งกล่องไม้ให้กับโหวเหยียหนุ่มคนหนึ่ง หลังจากนั้นก็ใส่ใจกับการเคลื่อนไหวของโหวเหยียท่านนั้นทุกย่างก้าว สิ่งนี้เป็นอันตรายสำหรับครอบครัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องไปมาหาสู่กับขุนนางทางการ ตระกูลกงซูทนทุกข์ทรมานเพราะอำนาจมามากพอแล้ว ทำไมต้องไปรนหาที่เองด้วย ซ่อนตัวอยู่ที่บ้านอย่างเงียบๆ และให้การศึกษาแก่ลูกหลานไม่ดีกว่าหรือ
อวิ๋นตี้พ่ายแพ้ด้วยมือของมั่วจื่อ แต่ปฏิเสธว่าไม่ได้พ่ายแพ้ด้วยมือฉินหัวหลี ทุกครั้งที่ตระกูลกงซูล้มเหลวจะต้องมีคนหัวขาดทุกครั้ง ดังนั้นจึงเลิกคิดที่จะเติบโตในวงการราชการมานานแล้ว เพียงแต่ซ่อนไว้และถ่ายทอดวิชากันสู่รุ่นหลังเท่านั้น แม้จะประสบความโชคร้ายในช่วงปีต้าเยี่ย[1] จำนวนคนในตระกูลก็สูญเสียมากกว่าครึ่ง หลายปีมานี้ก็ทนจนผ่านพ้นมาได้แล้วไม่ใช่หรือ
มือของชาวนาเฒ่าที่ซุกในแขนเสื้อกำกระดาษที่อวิ๋นเยี่ยเขียนไว้อย่างแน่น เนื้อหาบนนั้นง่ายมากมีเพียงแค่สิบคำ
“เป็นคนโง่อีกคนที่อยากสร้างก้อนหิน” นี่คือคำตอบจากอวิ๋นเยี่ย ซึ่งน้ำเสียงนั้นหยาบคายเป็นอย่างยิ่ง
นายผู้เฒ่าเห็นคำสิบคำนี้ ในใจกลับเกิดคลื่นแห่งความบ้าคลั่งสูงนับหมื่นจั้ง
กลายเป็นก้อนหินแล้วจริงๆ กลายเป็นก้อนหินแล้วจริงๆ มีเพียงก้อนหินเท่านั้นถึงได้ยอมทิ้งภรรยาและลูก มีเพียงก้อนหินเท่านั้นที่สามารถทนดูความทุกข์ทรมานของตระกูลแต่กลับไม่สนใจใยดี มีเพียงก้อนหินเท่านั้นที่เมื่อตระกูลเจอวิกฤตที่อันตรายที่สุดแต่พูดเพียงประโยคเดียวว่าข้าอยากมีชีวิตอมตะ เมื่อจากไปก็จะไม่ต้องเห็นภาพเด็กๆ ที่อดอยากหิวโหย ไม่ต้องเห็นบิดาที่ชราภาพจนมีผมขาวโพลน ไม่สนใจคำวิงวอนของภรรยา ใบหน้ามีแต่รอยยิ้มและเตะลูกที่เกาะขาอยู่ให้ออกไป จากไปได้อย่างหมดพันธะ
เมื่อก่อนไม่เคยรู้ คำพูดสิบคำของอวิ๋นโหวคนนั้นได้ช่วยคลายข้อสงสัยของชายชราที่สับสนมาเป็นเวลาหกสิบปีอย่างสิ้นเชิง ท่านพ่อตอนที่ท่านจากไป ท่านก็คงเป็นก้อนหินไปแล้วกระมัง
ชาวนาเฒ่าเดินกลับห้อง ยิ้มแล้วพูดกับคนในครอบครัวว่า “ไม่เป็นไร ข้าเพียงแต่แก้ปมในใจได้แล้ว รู้สึกเศร้าเสียใจเล็กน้อย พวกเจ้าไม่ต้องเป็นกังวล”
“ท่านพ่อ บนกระดาษนั่นเขียนอะไรไว้กันแน่” ชาวนาวัยสี่ห้าสิบปีถามเขา
ชาวนาเฒ่ายื่นกระดาษให้ลูกชายของเขาและให้เขาอ่านเอง
เมื่อกวาดตามองคำพูดสิบคำ ชาวนาโกรธมาก
“ท่านพ่อเจ้าสุนัขทางการนั่นกล้าดูถูกตระกูลกงซูของเรา ลูกจะไปเอาธนูหวงกงแล้วยิงโจรสุนัขนี้ทิ้งเสียเพื่อระบายความโกรธในใจ”
ชาวนาเฒ่าโบกมือ บอกให้ลูกชายอย่าได้กระวนกระวายไป มองไปที่พี่น้องสองคนที่รุ่นราวคราวเดียวกับเขาแล้วพูดว่า “น้องสามยังเด็กอยู่ในขณะนั้น จะอะไรไม่ได้เลย พี่ใหญ่ท่านก็คิดว่าคำพูดประโยคนี้เป็นการดูถูกตระกูลกงซูของเราอย่างนั้นหรือ”
ชาวนาเฒ่าที่ดูชราภาพกว่าอีกคนหนึ่งซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ กระถางเตาไฟมองดูกระดาษในมือของเขา พลางพูดกับเจ้าบ้านว่า “ถ้าหากทำตามพฤติกรรมของท่านอาเมื่อครั้งอดีต คำพูดนี้เป็นเรื่องจริง”
“พี่ใหญ่ เมื่อครั้งที่ทานพ่อยังเยาวัย สติปัญญาเหนือล้ำกว่าข้าเป็นร้อยเท่า ถ้าหากมีคนมรรคผลเป็นเซียนได้จริง ท่านพ่อคงจะเป็นบุคคลที่มีแนวโน้มมากที่สุด อวิ๋นโหวบอกว่าเซียนทุกคนจะต้องกลายเป็นหิน หากดูเพียงพฤติกรรมที่ท่านพ่อทำทั้งหมด คำพูดนี้เป็นเรื่องจริง”
ท่านพ่อ ท่านเคยบอกว่าท่านปู่เสียชีวิตด้วยโรคภัยไข้เจ็บไม่ใช่หรือ
“เจี่ยเอ๋อร์ นี่เป็นความอัปยศช่วงหนึ่งของตระกูลกงซู พ่อไม่ต้องการให้ลูกหลานรุ่นหลังต้องเผชิญเหตุการณ์เช่นเดียวกับเขา ดังนั้นจึงปิดบังอดีตนี้ไว้ ตอนนี้ก็ถึงเวลาที่ควรจะให้พวกเจ้าต้องรู้แล้ว”
ชาวนาเฒ่านั่งลงข้างกระถามเตาไฟ เริ่มเล่าให้เด็กรุ่นหลังทุกคนในครอบครัวฟังว่า ในตอนนั้นพ่อของเขาเพื่อแสวงหาวิถีแห่งเซียนได้ตัดสิ้นเยื่อใยอย่างไร เรื่องราวก็ไม่ยาวแต่กลับทำให้ผู้คนขนลุกขนพอง เมื่อรวมกับเสียงที่ขาดตอนของชาวนาเฒ่าแล้ว ผู้ใหญ่และเด็กทั้งครอบครัวต่างก็ร้องไห้คร่ำครวญ
“หากใครในตระกูลยังกล้าพูดถึงเรื่องชีวิตอมตะอีก จะต้องถูกขับไล่ออกไป”
นี่คือกฎประจำตระกูลใหม่ของตระกูลกงซู ทุกคนในครอบครัวตะโกนอย่างพร้อมเพรียง “หากยังกล้าพูดถึงเรื่องชีวิตอมตะอีก จะต้องถูกขับไล่ออกไป”
อวิ๋นเยี่ยเก็บตัวอยู่ในบ้านร้อนรนเหมือนมดบนหม้อไฟ ประเดี๋ยวก็วิ่งออกมาที่ลานบ้านมองไปข้างนอก น่าเสียดายที่มีเพียงถนนอันว่างเปล่าและหิมะขาวโพลนบนพื้นดิน เมื่อเห็นว่าพระอาทิตย์ใกล้จะตกดินแล้วก็ยังไม่มีใครมา เหล้าในห้องนั้นได้อุ่นถึงแปดครั้งจนไม่เหลือกลิ่นเหล้าแล้ว
เหล่าจวงไม่รู้ว่าแขกในวันนี้เป็นใคร รู้เพียงว่าโหวเหยียให้ความสำคัญมาก ไม่เพียงแต่เข้าครัวด้วยตัวเอง ทั้งยังนำเหล้าที่ดีที่สุดของที่บ้านมาต้อนรับแขกผู้สู่งส่ง ไม่รู้ว่าแขกท่านนี้มีฐานะสูงส่งเพียงใดกัน คราวก่อนผู้บัญชาการไฉเส้ามาที่บ้าน โหวเหยียก็ไม่ได้เข้าครัวด้วยตัวเอง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเหล้าเลิศรสสองไหนั้นเลย ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าในเมืองซั่วฟางนี้ยังมีใครทำให้โหวเหยียให้ความสำคัญได้ถึงเพียงนี้
อวิ๋นเยี่ยมั่นใจว่าวันนี้จะมีแขกมาเยือนอีกทั้งยังเป็นผู้สูงส่งที่มีความสามารถสูงอย่างแท้จริง ถ้าหากสามารถชักจูงให้ผู้สูงส่งไปที่สำนักศึกษาได้ ความแข็งแกร่งของสำนักศึกษาอวี้ซันจะเพิ่มเป็นอย่างมาก ดังนั้นเขาจึงเลิกเกียจคร้านเหมือนปกติ ไม่เพียงแต่เข้าครัวเองและใช้เหล้ารสเลิศ แม้แต่ต้นอ่อนของผักกาดขาวในห้องของเขาก็ไม่ปล่อยไว้ เขาตั้งใจที่จะสร้างความประทับใจที่ดีที่สุดให้กับผู้สูงส่งท่านนั้น
แสงสีส้มแดงของขอบฟ้าค่อยๆ มืดลง กลางคืนได้มาเยือนแล้ว เหล่าจวงหยิบโคมไฟออกมาสองใบแขวนส่องสว่างไว้ที่หน้าประตู หวังว่าเมื่อแขกได้เห็นโคมไฟก็จะรู้ว่าเจ้าบ้านยังคงรออยู่
อวิ๋นเยี่ยตั้งใจโยกย้ายยามที่หน้าประตูออกเพื่ออำนวยความสะดวกแก่แขกที่มาเยือน แต่ดูเหมือนว่าทั้งหมดนี้ได้ทำเสียเปล่าแล้ว
ขณะที่กำลังจะบอกเหล่าจวงให้นำอาหารเหล่านี้ไปกิน ทันใดนั้นเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
ข้อความในเทียบเยี่ยมคารวะนั้นได้เขียนอย่างชัดเจนว่ากงซูมู่และลูกชายกงซูเจี่ยมาขอพบ หัวใจของอวิ๋นเยี่ยแทบจะหลุดออกมา เดิมคิดว่าเป็นแค่ปลาตัวใหญ่ ไม่คิดว่าจะเป็นวาฬยักษ์ ทั้งยังเป็นปลาวาฬยักษ์ที่มีลูกน้อยมาด้วย ลูกหลานของหลู่ปัน อวิ๋นเยี่ยรู้ดีถึงความสำคัญของคนเหล่านี้เป็นอย่างมาก พวกเขาไม่ใช่ช่างฝีมือที่มีความชำนาญมานาน หากแต่เป็นนักฟิสิกส์ตัวเป็นๆ ในตอนนี้และวิศวกรที่ดีที่สุด แม้ว่าจะต้องทุ่มเทมากกว่านี้ก็ต้องรั้งเอาไว้ให้ได้ หากไม่ยอมจริงๆ ก็ทำการลักพาตัวเสียเลย อวิ๋นเยี่ยตัดสินใจแล้ว
จัดเครื่องแต่งกายให้เรียบร้อย สั่งการให้ทุกคนออกไปต้อนรับ ลูกหลานของหลู่ปันคู่ควรที่จะให้เขาจัดพิธีต้อนรับให้สมฐานะโหวเจวี๋ย
ชาวนาเฒ่าเองก็ไม่ได้แต่งกายเป็นชาวนาแล้ว ชุดแต่งกายแบบชาวฮั่นสีน้ำตาลทำให้ผู้เฒ่าดูเชยมาก เขาจงใจไม่สวมเสื้อคอกลม สวมรองเท้าเกี๊ยะ เกล้ามวยผมและยึดด้วยกิ่งเถาวัลย์ ชายวัยกลางคนที่อยู่ด้านหลังเองก็แต่งกายแบบชาวฮั่น สองตาเหลือบมองการออกมาต้อนรับของตระกูลอวิ๋นโดยไม่ตั้งใจ ดูเหมือนว่าจะค่อนข้างพอใจ
อวิ๋นเยี่ยแต่งกายในชุดเต็มยศ ซึ่งก็คือชุดที่ใส่เข้าประชุมเช้า ยืนรออยู่ที่ประตู ยิ้มและคารวะเมื่อเห็นแต่ไกลๆ “อาจารย์กงซูให้เกียรติมาเยือน นับว่าเป็นเกียรติแก่บ้านโทรมๆ ของข้าจริงๆ อวิ๋นเยี่ยผู้ด้อยปัญญาขอคารวะ”
“ฮ่าๆๆ อวิ๋นโหวเป็นอัจฉริยะบุคคลที่หาได้ยากนัก ข้าโชคดีที่ได้พบ นับเป็นวาสนาของข้าแล้ว”
เดิมทีอวิ๋นเยี่ยมักคิดเสมอว่าพวกตาเฒ่ายุคโบราณเป็นพวกชอบหัวเราะก่อนพูด ยังนึกว่าพวกนักเขียนนิยายเพิ่มเติมขึ้นเอง หลังจากมาอยู่ในราชวงศ์ถังเป็นเวลานานแล้วถึงได้พบว่าสิ่งนี้เป็นเรื่องจริง เวลาพวกตาเฒ่าพูดคุยไม่ว่าเรื่องนั้นจะน่าหัวเราะหรือไม่ ก็มักจะหัวเราะฮ่าๆ ไว้ก่อนด้วยความเคยชิน อย่างเช่น หลี่หยวน หลี่เซี่ยวกง ฝางเสวียนหลิง คนที่เด่นชัดที่สุดก็คือจั่งซุนอู๋จี้ ใบหน้าของเขาดูเหมือนจะยิ้มแย้มอยู่ตลอดเวลา ใบหน้าซื่อบื้อๆ อันอ้วนกลม ภายนอกช่างดูใจดีกับทุกคน สำหรับส่วนลึกแล้วจะมีการทักทายผู้หลักผู้ใหญ่ของ ผู้อื่นบ้างหรือไม่มีเพียงเขาเท่านั้นที่รู้ เมื่อต้องทักทายกับคนที่หัวเราะฮ่าๆ ก่อนพูด อวิ๋นเยี่ยมักจะหวาดระแวงอยู่เสมอ ท่านที่อยู่เบื้องหน้านี้ก็ดูเหมือนจะเป็นสุนัขจิ้งจอกพันปี ภารกิจคืนนี้สำคัญมากและอวิ๋นเยี่ยแอบกลุ้มอยู่ในใจ
“ท่านผู้เฒ่าล้อเล่นแล้ว ผู้ที่ไร้คนเทียบเทียมคือท่านอาจารย์ ข้าน้อยปีนี้อายุเพียงสิบหกปี ไหนเลยจะกล้าใช้คำว่าอัจฉริยะสองคำนี้ ท่านน่าจะชื่นชมจนข้าเหลิงไปเลย” คำพูดนี้สำหรับตาเฒ่าแล้วไม่ว่าจะเป็นฐานะหรืออายุ เขาก็คู่ควรและรับได้ ใครใช้ให้บรรพบุรุษเขาคือหลู่ปันกันล่ะ
“เอ๋ อวิ๋นโหวกล่าวผิดไปแล้ว วัยรุ่นผู้ชาญฉลาดชวนให้คนอิจฉา อายุน้อยๆ ก็ได้เป็นถึงโหวเจวี๋ยช่างชวนให้คนรอบข้างอิจฉา ฮ่าๆๆ”
เป็นเสียงหัวเราะอีกแล้ว ตาเฒ่าคนนี้ตั้งแต่ก้าวเข้าประตูมาจนถึงตอนนี้ไม่ยอมพูดถึงวัตถุประสงค์ ไม่พูดเกี่ยวกับเนื้อหาที่แท้จริง คำพูดเรื่อยเปื่อยกับคำพูดเกรงอกเกรงใจมากมายก่ายกองจนทำให้อวิ๋นเยี่ยร้อนใจ พวกตาเฒ่าในสำนักศึกษายังจะดีเสียกว่า ไม่ว่าคำพูดน่าฟังหรือไม่น่าฟังก็จะพูดอออกมาตรงๆ ไม่เคยพูดเรื่องไร้สาระ
“ท่านนี้คงเป็นอาจารย์เจี่ย ข้าน้อยขอคารวะ” อวิ๋นเยี่ยเห็นว่าเอ่ยปากต่อสุนัขจิ้งจอกเฒ่านั้นยาก จึงอยากลองดูว่าสุนัขจิ้งจอกตัวนี้ที่ไม่แก่และไม่หนุ่มเกินไปจะเปิดโอกาสให้ได้เอ่ยปากหรือไม่
“อวิ๋นโหวเกรงใจแล้ว ต่อหน้าท่านพ่อ ข้าไหนเลยจะกล้ารับคำเรียกว่าอาจารย์ได้” กงซูเจี่ยยิ้มและคารวะกลับ
มีทางอยู่ จิ้งจอกเฒ่าไหลลื่นเหมือนปลาเลนหนีชิว จิ้งจอกตัวน้อยเมื่อครู่จ้องมองพิธีการต้อนรับของตระกูลอวิ๋นและพยักหน้าดูท่าแล้วยังมีทางอยู่
“อาจารย์กงซูมาได้ถูกจังหวะพอดี ข้าได้เข้าครัวปรุงอาหารสองสามอย่างไว้ด้วยตัวเอง หวังว่าผู้อาวุโสจะได้มีความสุข”
“อวิ๋นโหวคงคาดการณ์ไว้แล้วว่าข้าจะมา จึงได้เตรียมเหล้ายาปลาปิ้งไว้นานแล้ว ด้วยน้ำใสใจจริงเช่นนี้ ข้าจะกล้าไม่รบกวนได้อย่างไร”
อาหารได้จัดวางอยู่ในห้องรับแขกของอวิ๋นเยี่ยแล้ว ชุดรับประทานอาหารอวิ๋นเยี่ยตั้งใจยืมมาจากไฉเส้าโดยเฉพาะ ในฉางอันอาจจะยังไม่ใช่ของดีแต่เมื่ออยู่ในเมืองซั่วฟางถือเป็นของที่เลิศที่สุดอย่างแน่นอน น่าเสียดายที่ไม่มีสาวรับใช้ คนที่ยกอาหารออกมาล้วนแล้วแต่เป็นชายร่างใหญ่ผู้สูงวัย
“เนื่องจากอยู่ในค่ายทหาร อาจจะขาดตกบกพร่องบ้าง หวังว่าอาจารย์จะไม่ถือสา” หากอยู่ที่ฉางอัน อวิ๋นเยี่ยจะจัดอาหารมื้อนี้ให้หรูหราไร้ที่ติอย่างแน่นอน แต่น่าเสียดายที่อยู่ในเมืองซั่วฟางจึงได้พยายามให้ดีที่สุด กงซูเฒ่าไม่ได้ตอบอะไร แต่กำลังศึกษาเก้าอี้หลายตัวนั้นทั้งยังลองนั่งดูด้วย จากนั้นจึงไปดูโต๊ะอาหารแล้วจึงพยักหน้าดูเหมือนจะค่อนข้างพอใจมาก
อวิ๋นโหวล้อเล่นแล้ว ชุดรับประทานอาหารที่ประณีตเช่นนี้เมื่อรวมกับอาหารรสเลิศ จะบอกว่าขาดตกบกพร่องได้อย่างไร อีกทั้งในวันที่หิมะตกหนักเช่นนี้ยังมีผักใบเขียวให้ได้ทาน ยิ่งหายากขึ้นไปอีก ข้าก็แค่ชาวป่าชาวดอยคนหนึ่งได้รับการต้อนรับพิเศษนี้ ก็ตกตะลึงเป็นอย่างมากแล้ว ฮ่าๆๆ”
ตาเฒ่าเริ่มหัวเราะอีกแล้ว เกรงว่าเขาอาจมีความคิดว่าที่จะก้าวเข้าสู่โลกคาวโลกีย์ตั้งแต่แรกแล้ว เพียงแต่เขาไม่สามารถหาโอกาสที่เหมาะสมได้ เขาเป็นยอดคนด้านเทคนิค หากอยู่ในวงราชการคงไม่ค่อยมีโอกาสได้ก้าวหน้าสักเท่าไร ถ้าไม่มีใครแนะนำ ดิ้นรนจนตายก็เป็นได้แค่เพียงหัวหน้าช่างฝีมือคนหนึ่ง เขาศึกษาอวิ๋นเยี่ยมาโดยละเอียดและรู้ว่าเป็นคนประเภทเดียวกับตัวเอง ดังนั้นจึงกล้าหาญพอที่จะมาเยี่ยมถึงถิ่น อย่างไรเสียตระกูลใดตระกูลหนึ่งก็ไม่ควรเก็บตัวนานเกินไป มิเช่นนั้นจะถูกประวัติศาสตร์ลืมตั้งแต่ต้น เมื่อเป็นเช่นนี้การรักษาตระกูลไว้ให้คงอยู่ยืนยาวก็ไม่มีค่าอะไร เขารู้ อวิ๋นเยี่ยเองก็รู้ เพียงแต่ทั้งสองคนไม่ได้พูดออกมาอย่างชัดเจนเหมือนเป็นคนโง่สองคน
——
[1] ปีต้าเยี่ย คือ ปีการปกครองในสมัยสุยหยางตี้แห่งราชวงศ์สุย
ส่วนที่ 4
ตอนที่ 11
กงซูปัน (2)
อาหารอร่อยถูกปากมาก กงซูมู่ไม่เกรงใจเลยแม้แต่น้อย กับแกล้มคำใหญ่กับเหล้าคำโต เหล้ายังไม่ทันได้เข้าปากก็ส่งเสียงชื่นชมออกมาก่อนแล้ว “เลิศรสที่สุดในใต้หล้า”
เมื่อเหล้าตกถึงท้อง ก็เริ่มมีสีเลือดฝาดขยายวงกว้างสูงขึ้นมาจากหน้าอก รอยย่นบนใบหน้าดูเหมือนจะกำลังเปล่งประกายสีแดง เขาไม่ได้สนใจและหนีบผักอีกคำใส่เข้าปากเคี้ยวอย่างละเอียด อยากที่จะเอารสชาติที่อยู่ข้างในออกมาทั้งหมด กงซูเจี่ยค่อนข้างระมัดระวัง ทานอาหารคำเล็กๆ เป็นเพื่อนบิดาเขา เขามองบิดาของเขาเป็นครั้งคราวราวกับกำลังต่อว่าว่าบิดาเสียมารยาท
อวิ๋นเยี่ยไม่สนใจ เขาถือกาเหล้าไว้ในมือเมื่อเห็นว่าจอกเหล้าของกงซูเฒ่าหมดแล้วก็จะรินให้เต็ม ทั้งยังคอยแนะนำว่าอาหารจานนี้ค่อนข้างอร่อย อาหารจานนั้นเหมาะสำหรับกงซูเฒ่าให้ทานให้มากๆ แต่เขากลับไม่กินอะไรเลย ระหว่างรอรินเหล้ายังมีเวลาที่จะให้คีบอาหารให้กงซูน้อยอีกด้วย เทคนิคบนโต๊ะอาหารในยุคปัจจุบันได้ถูกเขานำมาใช้ได้อย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง
หลังจากคายกระดูกไก่ออกมา กงซูเฒ่าก็ถอนหายใจออกมายาวๆ มองอวิ๋นเยี่ยแล้วพูดว่า “นี่เป็นอาหารที่อร่อยที่สุดที่ข้าได้กินในชีวิตนี้ เสียดายที่ต่อลงไปคงไม่มีโอกาสได้กินอีก ช่างน่าเศร้าใจนัก”
“เหตุใดท่านจึงกล่าวเช่นนี้ ขอเพียงอยากทานก็สามารถมาหาข้าได้ตลอด แม้ว่าตระกูลอวิ๋นจะไม่ได้มั่งคั่งร่ำรวย แต่เรื่องเหล้ายาปลาปิ้งก็ไม่ได้เหลือบ่ากว่าแรง”
“อวิ๋นโหว ในเมื่อข้าทานอาหารแล้วก็จะไม่ปล่อยให้ต้องเสียแรงเปล่า ตระกูลกงซูสามารถช่วยอะไรได้บ้างคิดว่าท่านคงรู้อย่างชัดแจ้งอยู่เต็มอก หากเป็นได้เพียงแค่ช่างฝีมือ ก็ขอให้ท่านอย่าได้เอ่ยปากเลย ตระกูลกงซูอดกลั้นมาเป็นเวลานับพันปี ไม่ได้ต้องการกลับออกมาเป็นเพียงช่างฝีมือ”
กงซูเฒ่าเป็นฝ่ายเปิดประเด้นให้ชัดเจน การที่ร้องขอเช่นนี้เขาเองก็มีขอบเขตอยู่ในใจ หนึ่งพันปีที่ผ่านมาชื่อเสียงของตระกูลกงซูยังคงไม่ตกต่ำ มีเรื่องราวมากมายที่ได้กลายเป็นตำนานไปแล้ว
อวิ๋นเยี่ยยิ้มและพูดกับเขาว่า “หากต้องการหัวหน้าช่างฝีมือ เหตุใดผู้เยาว์จำเป็นต้องลงทุนมากมายเพียงนี้ ผู้เยาว์มีความฝันอย่างหนึ่งว่าจะได้รับความช่วยเหลือจากท่านเพื่อเปลี่ยนมันให้เป็นความจริง”
กงซูเฒ่าไม่เข้าใจความหมายในคำพูดของอวิ๋นเยี่ย แต่ก็ไม่พูดอะไร รอเขาอธิบาย
อวิ๋นเยี่ยสั่งให้ทหารยามเก็บทำความสะอาดโต๊ะและชงชากาใหญ่มา รินน้ำชาให้สองพ่อลูก แล้วจึงนำภาพจากห้องด้านในมากางออกที่เบื้องหน้าของทั้งสองคน
ดวงตาของกงซูมู่ตาโตเท่าไข่เป็ดในชั่วพริบตา ตกตะลึงจนอึ้งไป กงซูเจี่ยเองก็ไม่ต่างกันเท่าไร ทั้งสองคนเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านวิศวกรรมโยธา มีหรือที่จะไม่เข้าใจ เมื่อเห็นตรงศูนย์กลางของภาพแบบแปลนในตอนนี้ที่อยู่บนยอดเขาแห่งหนึ่งบนภาพแบบแปลนก็คือสำนักศึกษาอวี้ซัน รอบๆ ยอดเขาเต็มไปด้วยอาคารอย่างหนาแน่น มีสิ่งก่อสร้างขนาดมหึมาหลายหลังตั้งอยู่ด้านหน้าภูเขา แม่น้ำตงหยางจึงกลายเป็นแม่น้ำภายใน น้ำตกก็กลายเป็นทัศนียภาพในของสำนักศึกษาไป ทั้งสี่ด้านล้อมรอบด้วยกำแพงสูงใหญ่ เป็นลูกคลื่นสูงต่ำอยู่บริเวณภูเขาเหมือนงูเหลือมยักษ์
“นี่เป็นเมืองหรือสำนักศึกษา จะมีฮ่องเต้พระองค์ไหนจะพระราชทานราชานุญาตให้เจ้าสร้างสำนักศึกษาแบบนี้กัน อวิ๋นโหวเจ้าบ้าไปแล้วหรือ”
ทำไมทุกคนที่เห็นภาพแบบแปลนนี้จะต้องมีปฏิกิริยาตอบสนองเช่นนี้ หากรู้ว่าในยุคปัจจุบันเจาะถ้ำบนเทือกเขาหิมาลัย ต้องลำเลียงน้ำจากทางใต้ไปทางเหนือ คนเหล่านี้คงไม่ต้องเอาศีรษะชนเสาตายหรือ หากได้รู้ว่ามีความคิดในอินเทอร์เน็ตที่ว่าต้องการทำหลังคาครอบแม่น้ำหวงเหอ ปูกระเบื้องบนกำแพงเมืองจีน พวกเขาจะไม่เลือดออกเจ็ดทวาร ลมปราณแตกซ่านจนตายหรือ
“กล่าวกันว่าตระกูลกงซูเป็นตระกูลที่มีจินตนาการมากที่สุดในใต้หล้านี้ ทำไมเมื่อได้เห็นภาพสำนักศึกษาเล็กๆ แห่งนี้ถึงกับเสียกิริยาเช่นนี้” คำพูดของอวิ๋นเยี่ยเบาจนแทบจะไม่ได้ยิน
กงซูเฒ่าละสายตาออกจากภาพอย่างลังเลมากและพูดด้วยเสียงอึกอักว่า “ความฝันเฟื่องที่ใหญ่โตที่สุดของข้าก็ยังไม่ใหญ่เท่ากับเมืองนี้ เขาไม่เพียงแต่ต้องการใช้เงินจำนวนมากมายมหาศาล แต่ยังต้องการช่างฝีมือที่เก่งที่สุด ต้องการวัสดุต่างๆ ที่มากมายจนไม่สามารถคำนวณได้ และยิ่งต้องใช้แรงงานจำนวนมาก ตามความคิดของข้า ต้าถังไม่มีความสามารถในการสร้างเมืองแห่งสำนักศึกษาแห่งนี้ ความฝันที่ยิ่งใหญ่ อวิ๋นโหวเจ้าไม่สามารถทำได้สำเร็จในขณะที่เจ้ายังชีวิตอยู่แน่”
อวิ๋นเยี่ยจึงหยิบรูปแบบแปลนออกมากางบนโต๊ะอีกเพื่อให้พ่อลูกคู่นี้ดู
อาคารบนแบบแปลนนี้จำเป็นต้องรวบรวมคนงานสองหมื่นคน เสียค่าใช้จ่ายไม่น้อยกว่าหนึ่งแสนก้วน ใช้เวลาสร้างสองปียังมีความหวังว่าจะสามารถสร้างเสร็จได้ กงซูเฒ่าคิดว่าอวิ๋นเยี่ยยอมแพ้ความคิดที่เพ้อฝันของภาพแบบแปลนแรกและเปลี่ยนความคิดมาเพื่อสร้างสำนักศึกษาที่ค่อนข้างธรรมดาทั่วไปขึ้น
“อาจารย์กงซูภาพแบบแปลนนี้ได้เริ่มดำเนินการสร้างแล้ว ค่าใช้จ่ายของมันไม่ได้มากถึงหนึ่งแสนก้วนอย่างที่ท่านคิด แต่ยังใช้ไม่ถึงสองหมื่นก้วน ซึ่งรวมถึงบ้านแบบใหม่หลายสิบหลังริมแม่น้ำตงหยาง ซึ่งนี่ไม่รวมเวลาของการขุดเจาะหินก่อนหน้านี้ ระยะเวลาก่อสร้างทั้งหมดใช้เพียงสามเดือนและกำลังแรงงานเพียงห้าพันคนเท่านั้น ในเวลานี้สภาพอากาศในฉางอันน่าจะยังอบอุ่น ดังนั้นโครงการยังคงดำเนินต่อไป เขาจะทำงานให้เสร็จก่อนที่หิมะจะตกในฉางอันได้อย่างแน่นอน”
“นี่เป็นไปไม่ได้ ลำพังแค่การแปรรูปไม้ให้เป็นชิ้นตามต้องการก็ใช้เวลานานกว่าสามเดือนแล้ว ข้าว่าต้องใช้เวลาสองปี นี่คือระดับความเร็วของตระกูลกงซูเรา ข้าไม่เชื่อว่าในใต้หล้านี้จะมีช่างฝีมือดีเช่นนี้อยู่ นี่ไม่ใช่ระดับความเร็วที่คนสามารถทำได้ เว้นแต่ว่าเจ้ามีผีสางเทวดาคอยช่วยเหลืออยู่”
กงซูมู่แทบจะบ้าแล้ว เขาคิดว่าอวิ๋นเยี่ยกำลังพูดเรื่องไร้สาระหลอกลวงเขา นับตั้งแต่บรรพบุรุษรุ่นเก่าแก่ก็เริ่มทำการสร้างบ้านแล้ว กระบวนการทุกเขารู้อย่างชัดเจนดี เวลาที่ต้องใช้เขาก็รู้อย่างชัดเจน เขาไม่เชื่อว่ายังมี เรื่องเหลือเชื่อเกินจริงเช่นนี้ในใต้หล้านี้ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสาขาที่เขาถนัดที่สุด เขามีความรู้สึกที่ถูกดูถูกอย่างรุนแรง
“ฮ่าๆ อาจารย์กงซูไม่ต้องร้อนใจไปและไม่จำเป็นต้องโกรธด้วย ความเป็นจริงนั้นชัดเจนกว่าข้อถกเถียงที่มีทฤษฎีรองรับ ตอนนี้หิมะตกหนักปิดถนนพวกเราไม่สามารถไปที่ฉางอันเพื่อพิสูจน์หลักฐานได้ ขอเพียงรออย่างอดทนให้ถึงฤดูใบไม้ผลิของปีหน้า พวกเราไปฉางอันด้วยกันก็จะได้รู้แน่ชัดแล้วไม่ใช่หรือ”
ในใจอวิ๋นเยี่ยมีความสุขมากที่สามารถทำให้ลูกหลานของหลู่ปันหวั่นไหวจนแทบคลั่ง เขารู้สึกว่าประสบความสำเร็จจริงๆ
กงซูเฒ่าสองตาแดงก่ำแล้ว เขายังคงไม่เชื่อว่ามีสิ่งแปลกประหลาดเช่นนี้ในใต้หล้านี้ ถ้าหากเป็นจริง ความอดทนของตระกูลกงซูนับพันปีจะกลายเป็นเรื่องตลก
“ใครบอกว่าหิมะปกคลุมเขาจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะไปฉางอัน ตระกูลกงซูข้าหากไม่สามารถแก้ไขปัญหาเล็กๆ ข้อนี้ได้ ยังจะมีหน้าบอกว่าตัวเองเป็นลูกหลานของหลู่ปันอีกหรือ ข้าจะไปฉางอันประเดี๋ยวนี้เพื่อดูผลงานชั้นเลิศของอวิ๋นโหว”
“เอ๋ ในเวลาที่หิมะหนาปกคลุมถนนท่านก็สามารถไปฉางอันได้หรือ มีแผนการเช่นไร” อวิ๋นเยี่ยกระตือรือร้นขึ้นทันใด คำพูดไร้สาระเมื่อครู่เขาพูดไม่ต่ำกว่าสิบครั้ง ถวายฎีกาอธิบายต่อหลี่ซื่อหมินในฎีกา เขียนจดหมายอธิบายต่อเฉิงเฉียน อธิบายต่อฝางเสวียนหลิงในสถานที่ก่อสร้าง สรุปแล้ว เมื่อพูดถึงหัวข้อนี้ เขาไม่มีกะจิตกะใจจะพูดเลย ทันทีที่ได้ยินว่ามีเครื่องมือใหม่เกิดขึ้น เขาก็อดไม่ได้ที่จะอยากรู้อยากเห็นจนลืมไปหมด เลยว่าตอนนี้อยู่ในสมัยโบราณ การแอบดูเป็นข้อห้ามที่ยิ่งใหญ่
“มันเป็นกระดาษแผ่นหนึ่งที่ปิดบังดวงตาของคนเรา เมื่อจิ้มมันทะลุแล้วก็ไม่มีอะไรน่าสนใจอีก การเดินทางบนหิมะหนานั้นไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าการเดินทางทางเรือบนบก มันจะไปยากอะไร” ในที่สุดกงซูเฒ่าก็เป็นฝ่ายเริ่มก่อนด้วยความมั่นใจ แน่นอนว่าจะต้องโอ้อวดกันเล็กน้อย ตั้งใจเต็มที่ที่จะใช้ของสิ่งนี้เกทับอวิ๋นเยี่ยสักครั้ง ด้วยสิ่งนี้กองทัพสามารถต่อสู้ในฤดูหนาวได้ เหล่าพ่อค้าก็ไม่ต้องนั่งอยู่เฉยๆ รอบเตาไฟในฤดูหนาวทนดูโอกาสในการแสวงหาความร่ำรวยต่างๆ หลุดลอยไปจากตัวเอง นี่คือต้นทุนในการสร้างตัวของตระกูลกงซูได้เตรียมการไว้ กงซูเฒ่าพูดสิ่งนี้กับอวิ๋นเยี่ยก็เพราะเขาอยากเห็นสีหน้าที่ตกตะลึงของอวิ๋นเยี่ยเป็นอย่างมาก
“เดินเรือบนบก เดินเรือบนบก” นี่คืออะไร เรืออะไรสามารถแล่นบนบกได้ เรือโฮเวอร์คราฟต์ หากตระกูลกงซูสามารถประดิษฐ์ของสิ่งนั้นออกมาได้ อวิ๋นเยี่ยก็จะยินดีที่จะยกสิ่งประดิษฐ์นั้นเป็นเทพเจ้า แต่ในฤดูหนาวสิ่งของที่แล่นบนพื้นหิมะได้นอกจากสโนว์บอร์ดแล้วยังจะมีอะไรอีก สุนัขลากเลื่อน แล้วฉันจะไปหาสุนัขลากเลื่อนที่เหมาะๆ ได้จากไหน
“ตอนที่ข้ากับเจ้าลูกไม่เอาไหนมาที่นี่ก็นั่งของสิ่งนั้นมา อวิ๋นโหวสามารถไปชมได้” กงซูเฒ่าค่อนข้างได้ใจ
อวิ๋นเยี่ยออกมาที่ด้านนอกลานบ้านโดยคาดหวังที่จะได้เห็นเรือโอเวอร์คราฟต์ด้วยท่าทีที่อ่อนน้อม ขณะที่สิ่งที่กงซูเฒ่าโดยสารมาปรากฏอยู่เบื้องหน้าของอวิ๋นเยี่ยนั้น เขาเกือบจะหยิบดาบฆ่าคน มันกลับเป็นรถเลื่อนหิมะที่ใช้กันทั่วไปในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มันคือม้าหนึ่งตัวลากโครงไม้เตี้ยๆ ที่ด้านล่างมีแถบไม้เนื้อแข็งที่ขัดจนลื่นเงาสองแผ่น หัวทั้งสองด้านยกกระดกสูงขึ้นซึ่งแทบจะไม่ต่างอะไรจากม้าลากเลื่อนในยุคปัจจุบันเลย อวิ๋นเยี่ยอยากจะฟันตัวเองสักหนึ่งดาบ ของสิ่งนี้ไม่มีความลึกลับอะไรเลยสำหรับเขา ทำไมตอนที่ต้องใช้มันเขาจึงนึกไม่ถึง ทั้งยังต้องให้คนโบราณมาเตือนตัวเองด้วย ขายหน้าจริง!
“ของสิ่งนี้ช่างลึกซึ้งจริงๆ การพึ่งพาแผ่นไม้สองแผ่นก็สามารถเดินเหินบนหิมะราวกับบินได้ ช่างเป็นแนวคิดที่ลึกล้ำสุดหยั่งจริงๆ อวิ๋นเยี่ยนับถือ”
ไม่มีทางเลือก ตามกฎหมายสิทธิบัตรของยุคปัจจุบัน กงซูมู่คือผู้ที่มีสิทธิ์ทั้งหมดในอุปกรณ์สุนัขลากเลื่อน อวิ๋นเยี่ยไม่ได้เสนอแนวคิดอะไร จึงได้แต่ต้องยอมเสียค่าตอบแทนออกไปกับสิ่งที่เขารู้จักมานานแล้ว หวังว่ากงซูเฒ่าจะไม่เป็นสิงโตที่หิวกระหาย มิฉะนั้นในฤดูหนาวเรื่องที่กองทัพจะลอบโจมตีเมืองเซียงเฉิงได้อย่างราบรื่น แม้เป็นราคาที่สูงลิบลิ่วอวิ๋นเยี่ยก็จำเป็นต้องจ่ายเช่นกัน
“ในวันนี้อวิ๋นโหวได้มอบตัวต่อไม้สิบห้าชิ้นให้แก่ข้า ตระกูลข้ารู้สึกซาบซึ้งเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระดาษข้อความแผ่นนั้นที่ได้ปลดปล่อยความสับสนในใจของข้ามานานหลายทศวรรษ เรือบกลำนี้ก็ขอมอบให้อวิ๋นโหวแล้ว หวังว่าจะไม่รังเกียจ”
กงซูเฒ่านั้นมีน้ำใสใจจริง อวิ๋นเยี่ยสามารถสัมผัสได้ถึงความจริงใจของเขา เพียงแค่คำพูดของเขาเพียงประโยคเดียวสามารถแก้ปมในใจของเขาได้จริงๆ หรือ
ในตอนแรกวางแผนไว้ว่าจะกระตุ้นให้คู่ต่อสู้โกรธ หวังว่าคู่ต่อสู้จะโกรธเพราะคำพูดของตัวเองจนถึงกับมาหาถึงถิ่นเพื่อถกทฤษฎีกัน ใครจะรู้ว่าด้วยความผิดพลาดพลิกผลันที่เกิดขึ้น เหตุการณ์จะกลายเป็นเช่นนี้ไป
“อวิ๋นโหวเรื่องของไป๋อวี้จิงนั้นมีสภาพการณ์เหมือนกับที่เจ้าพูดใช่ไหม ไม่มีทางแยกแยะข้อแตกต่างแล้วใช่หรือไม่”
“อาจารย์กงซู มีใครเคยพบเห็นเทพเซียนกันบ้าง เรื่องเล่าลือเหลวไหลไร้ความจริงพรรค์นั้นเคยหลอกให้ข้าต้องดั้นด้นไปจนเข่าอ่อนแล้ว สระมรกตของเจ้าแม่ซีหวังหมู่น่ะหรือ ก็เป็นเพียงแค่สระน้ำเก่าๆ แตกๆ ไม่มีดอกไม้ใบหญ้า ไม่ได้มียาเซียนตันที่กินแล้วเป็นอมตะ อาจารย์ข้าเคยไปยังสถานที่แปลกๆ แห่งหนึ่ง ทั่วทุกหัวระแหงป็นหินไปหมด อาจารย์เองก็เกือบจะถูกหลอมรวมเข้าไปด้วย แต่โชคดีที่รอดพ้นออกมาได้แต่ก็สูญเสียลมปราณไปมาก อาจารย์จึงเรียกสถานที่นั้นว่า ไป๋อวี้จิง ทั้งยังไม่อนุญาตให้ผู้เยาว์เอ่ยถึงอีก ทั้งยังไม่อนุญาตให้ผู้เดินเส้นทางที่ไม่มีวันกลับเส้นนี้ด้วย อวิ๋นเยี่ยคิดว่าความละโมภของกงซูเฒ่ายังคงเหลืออยู่ ยังคงคาดหวังในวิถีแห่งความเป็นอมตะ ขณะที่กำลังจะเกลี้ยกล่อมกงซูเฒ่ากลับพูดว่า
“ที่ตระกูลได้ตั้งกฎไว้แล้ว นั่นก็คือหากมีคนที่กล้าพูดถึงเรื่องชีวิตอมตะอีก จะถูกขับไล่ออกจากตระกูลโดยไม่มีการรอมชอม ดังนั้นอวิ๋นโหวจึงไม่จำเป็นต้องเกลี้ยกล่อมข้า ข้ามีความเจ็บแค้นใจกับเรื่องชีวิตที่เป็นอมตะมากกว่าอวิ๋นโหวเสียอีก เพียงแต่สาเหตุภายในนั้นมันเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันถึงบิดาข้า แต่ลูกจะไม่กล่าวถึงความผิดของบิดาตน จึงขอไม่กล่าวรายละเอียดให้อวิ๋นโหวฟัง”
“ทุกคนมีความลับของตัวเอง ผู้เยาว์ก็ไม่ใช่คนที่ชอบพูดมาก ตระกูลกงซูตั้งกฎประจำตระกูลเช่นนี้ขึ้นช่างเป็นเรื่องน่ายินดีเป็นอย่างมาก อวิ๋นเยี่ยขอแสดงความยินดีกับท่านไว้ในโอกาสนี้ เพียงแต่ไม่รู้ว่าเป็นอัจฉริยบุคคลท่านใดของตระกูลกงซูที่สามารถปลดล็อคตัวต่อไม้สิบห้าชิ้นได้ หวังว่าจะกรุณาให้อวิ๋นเยี่ยมีโอกาสได้พบ”
เมื่อคำพูดของอวิ๋นเยี่ยจบลง ก็ทำให้สองพ่อลูกเอามือกุมท้อง ส่งเสียงหัวเราะดังขึ้น
เสียงหัวเราะนี้ทำให้อวิ๋นเยี่ยงงเป็นไก่ตาแตก ไม่เข้าใจว่าเพียงแค่สามารถปลดล็อกตัวต่อไม้ได้มีอะไรน่าขำถึงเพียงนี้ ซึ่งอันนั้นเป็นของที่ตัวเองเพิ่มวัสดุเข้าไป ไม่ใช่เรื่องที่คนธรรมดาจะสามารถปลดล็อกได้
“ผู้ที่ปลดล็อคผลงานชิ้นเอกของอวิ๋นโหวได้ คือ กงซูเหยียน ของตระกูลกงซูเรา ซึ่งใช้เวลาเพียงพริบตาเดียว” ดูเหมือนว่ากงซูเฒ่าจะพูดถึงจุดที่ชวนให้ขบขันมากที่สุด แววตาเต็มไปด้วยการหยอกล้อ
“ผู้ที่เก่งกล้าเช่นนี้อวิ๋นเยี่ยต้องขอพบด้วยตนเอง”
“ไม่ต้องแล้ว เกรงว่าในเวลานี้เขาจะเข้านอนไปนานแล้ว”
“ไม่ทราบว่าอาจารย์เหยียนปัจจุบันนี้อายุเท่าไร”
“ปีนี้เขาอายุหนึ่งขวบแล้ว…”
ส่วนที่ 4
ตอนที่ 12
ความทะเยอทะยานของไฉเซ่า
อวิ๋นเยี่ยไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าภรรยาของหลู่ปันแซ่อวิ๋น แต่ทว่านี่เป็นเรื่องจริงแท้แน่นอน ขณะที่กงซูมู่ได้เจรจากับอวิ๋นเยี่ยเกี่ยวกับสวัสดิการในอนาคต ได้กล่าวออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจว่า เขาและอวิ๋นเยี่ยก็เป็นญาติกัน เมื่อเป็นญาติกันก็ไม่ควรทำร้ายญาติตัวเอง อวิ๋นเยี่ยไม่มีการต่อต้านเลยแม้แต่น้อย เมื่อเผชิญกับคนที่แม้แต่บรรพบุรุษก็ยังยกเอามาพูด
เฒ่ากงซูได้เตรียมที่จะส่งคนเดินทางไปฉางอันเพื่อดูสำนักศึกษาที่อวิ๋นเยี่ยพูดถึงนั้น ที่จริงแล้วถูกสร้างขึ้นอย่างไรกันแน่ แต่นี่เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย ในเมื่อตระกูลกงซูพร้อมที่จะก้าวเข้าสู่โลกคาวโลกีย์ ก็จะไม่สนใจว่าจะสามารถสร้างอาคารในพื้นที่ขนาดใหญ่เช่นนั้นได้เสร็จภายในสามเดือนหรือไม่ เพียงแต่ทำไปตามความภาคภูมิใจของลูกหลานตระกูลแห่งสถาปัตยกรรมเพื่อพิสูจน์ความเป็นจริงสักหน่อยเท่านั้นเอง
กงซูเจี่ยเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นปรารถนาที่จะเดินตามอาชีพอันสูงส่งนี้ของอาจารย์ สองมือที่ถือจอบมาเป็นเวลาหลายปี ในที่สุดเขาก็สามารถจับพู่กันได้อย่างเชิดหน้าชูตาแล้ว เขาตื่นเต้นมาก สอบถามจากอวิ๋นเยี่ยว่านักเรียนที่เขาต้องสอนเป็นบุคคลแบบไหนอยู่เป็นระยะๆ หลังจากได้รู้ถึงข่าวดีอันน่าตกใจว่าทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นคุณชายของขุนนางที่สร้างความดีความชอบ ก็นั่งตื่นเต้นละเมอเพ้อพบอยู่เพียงคนเดียวบนเก้าอี้
เฒ่ากงซูและอวิ๋นเยี่ยถือถ้วยชาหอมพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องราวทั่วไป ตั้งแต่เรื่องนกไม้ของหลู่ปันจนถึงเรื่องเทพเจ้าที่เหาะเหินเดินอากาศได้ ไม่มีอะไรที่ไม่นำมาสนทนากัน ความรู้ทั่วไปที่วิจิตรพิสดารแต่ละอย่างของทุกยุคทุกสมัยที่ซ่อนอยู่ในใต้หล้านี้ ได้ทำให้อวิ๋นเยี่ยเปิดหูเปิดตามากขึ้น ที่แท้ไม่ได้มีแค่เรื่องคำกล่าวที่ว่าฟ้ากลมดินเหลี่ยมเท่านั้น ยังมีทฤษฎีของจางเหิงที่ว่าฟ้ากลมแผ่นดินลอยได้อยู่อีกด้วย ทำให้อวิ๋นเยี่ยรู้สึกเหลือเชื่อที่ว่าทฤษฎีนี้อยู่ใกล้กับความจริงมากแล้ว ลองจินตนาการดูว่า จางเหิงกล่าวว่าสวรรค์นั้นกลมและห่อหุ้มโลกใบนี้ไว้ พื้นดินลอยอยู่เหนือน้ำ ก็เหมือนไข่ไก่ฟองหนึ่ง เปลือกไข่คือท้องฟ้า ไข่แดงคือพื้นดินที่ลอยอยู่บนไข่ขาว เพียงแค่เปลี่ยนไข่ขาวให้เป็นอวกาศก็ไม่แตกต่างจากหลักทฤษฎีสมัยปัจจุบันแล้ว
ภายใต้วัตถุที่มีข้อกำหนดนั้นสามารถแบ่งภาคส่วนย่อยได้ไม่มีที่สิ้นสุด แนวคิดด้านจุลภาคที่น่าหวาดกลัวเช่นนี้ ทำให้อวิ๋นเยี่ยเหงื่อออกเต็มหลัง ถ้าหากตัดเรื่องที่พ่อแม่ชอบจู้จี้ขี้บ่นในยุคปัจจุบันทิ้งไป ความรู้งูๆ ปลาๆ พวกนั้นที่ได้เรียนรู้มาภายใต้ไม้เรียวของอาจารย์ เขาไม่รู้ว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าคนโบราณแล้วตัวเองยังจะมีที่ยืนอย่างภาคภูมิใจได้สักเท่าไร
ต่อลงไปโอ้อวดตนให้น้อยลง พยายามทำงานให้หนักมากขึ้น ได้คนในตระกูลกงซูมาเพียงสี่คนรู้สึกค่อนข้างขาดทุน ไม่รู้ว่าเหล่าคนบ้าตามลัทธิต่างๆ ในตำนาน เช่น ลัทธิมั่วเจีย ลัทธิเต๋า ลัทธิหยินและหยางจะสามารถพาตัวมาอยู่ที่สำนักศึกษาให้หมดได้หรือไม่ ไม่รู้ว่าหลี่ซื่อหมินจะตาร้อนผ่าวจนมาแย่งคนไปหรือไม่?
หลี่ซื่อหมินจัดการทดสอบห่วยๆ ทางวิทยาศาสตร์ ทั้งยังกล่าวว่าผู้ที่เก่งกล้าใต้หล้าจะได้มารวมตัวกัน นับถือเลยว่าเขามีหน้าพูดคุยโวเช่นนี้ได้ อย่างเช่นตาเฒ่าที่อยู่เบื้องหน้านี้สามารถเป็นเจ้ากรมโยธาได้อย่างสบายๆ พวกไร้มันสมองที่อยู่ในราชสำนักนั้นอวิ๋นเยี่ยสามารถหลอกได้ตามอำเภอใจ หากเป็นเฒ่ากงซูจะไม่เกิดเหตุการณ์เงินหลายพันก้วนซื้อเหล็กเส้นสี่เส้นอย่างเด็ดขาด
เจ้าบ้านและแขกดื่มกินกันอย่างสนุกสนานแล้วจึงแยกย้ายกันไป อวิ๋นเยี่ยส่งสองพ่อลูกกลับบ้านด้วยรถม้า จากนั้นก็ลากตัวเลื่อนมายังด้านหน้ากระโจมแม่ทัพของไฉเซ่า
ไฉเซ่า เซวียว่านเช่อและหนิวจิ้นต๋ายืนล้อมรอบตัวเลื่อนและมองไปมา จุ๊ๆ ส่งเสียงชื่นชมอย่างประหลาดใจ ไม่สนใจว่าจะเป็นยามวิกาลได้สั่งให้ทหารเตรียมม้าหนึ่งตัวและรีบออกจากเมืองไป ภายใต้แสงจันทร์ ทหารนายนั้นขี่ม้าลากเลื่อนขึ้นเนินดิน เลาะลงคูน้ำและใส่ก้อนหินเพิ่มจากนั้นลองอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าม้าที่แบกสิ่งของยังคงวิ่งอยู่บนหิมะได้อย่างรวดเร็ว ไฉเซ่าหัวเราะเสียงดังและเรียกทหารกลับค่าย
ไฉเซ่าเป็นคนเปิดเผยจริงใจ เขาไม่ได้ถามถึงที่มาของลากเลื่อน เพียงแต่สั่งช่างให้รีบเร่งผลิตทั้งวันทั้งคืน เขาต้องการผลิตของสิ่งนี้จำนวนหนึ่งพันตัว
“ผู้บัญชาการใหญ่ ดูเหมือนว่าแผนการของเราจะต้องเปลี่ยนไปด้วย ด้วยของสิ่งนี้กองทัพของเรายังคงสามารถปล้นชิงในทุ่งร้างได้อย่างรวดเร็ว เมื่อครู่ข้าคำนวณแล้วหากมีของสิ่งนี้หนึ่งพันตัว สามารถขนทหารสามพันนายพร้อมเสบียงและอาวุธที่เพียงพอได้อย่างสบายๆ แผนการที่ข่านเจี๋ยลี่จะทำให้กองทัพเราล่าช้าเพราะหิมะที่หนาทึบ เกรงว่าคงเป็นเพียงความฝันที่สวยงามเท่านั้น”
แต่ไหนแต่ไรมาเหล่าหนิวไม่เคยเห็นอวิ๋นเยี่ยเป็นคนนอก เริ่มพูดคุยเรื่องความลับทางทหารต่อหน้าเขา ไฉเซ่าเองก็ดูเหมือนจะไม่สนใจ นั่งยองๆ ลงแล้วเริ่มปรึกษาเกี่ยวกับเส้นทางเดินทัพกับเหล่าหนิวและเซวียว่านเช่อ อวิ๋นเยี่ยเอามือปิดหูไม่ต้องการฟัง แต่หลอดลมอันดีของเซวียว่านเช่อมีหรือใช้มือปิดแล้วจะสามารถช่วยได้?
ตอนนี้อยากจะจากไปก็ช้าไปเสียแล้ว เมื่อได้ยินกลยุทธ์ทางทหาร จะไม่เข้าร่วมก็เป็นไปไม่ได้แล้ว
“ฮ่าๆ อวิ๋นโหวมักจะสามารถนำของที่สำคัญที่สุดออกมาในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดได้เสมอ นี่คือวาสนาของชาวต้าถังเรา เพียงของสิ่งนี้อย่างเดียวเท่านั้นก็สามารถลดความเสียหายของกองทัพได้ถึงสามส่วน ระหว่างการเดินทัพทหารสามารถนั่งอยู่บนลากเลื่อน ทำให้ประหยัดพลังงานได้ เมื่อถึงสนามรบไม่จำเป็นต้องปรับแก้อะไรก็สามารถเข้าสู่การต่อสู้ได้เลย สามารถโจมตีจุดที่เขาคาดไม่ถึง ดี ดีจริงๆ! “
ไฉเซ่าชื่นชมทางวาจาเพียงอย่างเดียว แต่เซวียว่านเช่อแสดงความรู้สึกปีติยินดีของตัวเองด้วยการทั้งตบทั้งตี หลังจากต่อยเข้ามาที่หน้าอกหนึ่งหมัดแล้ว อวิ๋นเยี่ยทนจนทนไม่ไหวพูดเสียงดังขึ้นว่า “เหล่าเซวีย เจ้าจะพูดก็พูดสิ อย่าเห็นข้าเป็นกระสอบทราย หมัดนี้แทบจะทำให้กระอักเลือดออกมาแล้ว”
เหล่าเซวียหัวเราะเสียงดัง “น้องชาย ข้าเหล่าเซวียนำกองกำลังมั่วเตา[1]แต่ละคนต้องแบกสัมภาระหนักกว่าพันจิน ในสนามรบมีแต่แข็งปะทะแข็งเท่านั้น ด้วยของสิ่งนี้พวกเราก็น่าจะลองดูว่าอะไรที่เรียกว่าลอบโจมตีดู”
เจ้าหนุ่ม ข้ารู้ว่าที่เจ้ายังมีเหล้าดีๆ อยู่ ไม่ต้องเยอะเพียงแค่หนึ่งไห พวกเราสี่คนแบ่งกันดื่ม คิดว่าคงไม่เสียหายอะไร คืนนี้พวกเราไม่ต้องนอนแล้ว นั่งล้อมรอบเตาไฟพลางคุยงาน จัดการเรื่องต่างๆ ให้ชัดเจน กองทัพเองก็จะได้มีแผนดำเนินงานใหม่”
“แม่ทัพหนิวพูดได้ดีมาก เช่นนั้นก็ทำตามนี้ หวังว่าอวิ๋นโหวจะไม่ตระหนี่มอบเหล้าดีออกมาเถอะ” ไฉเซ่าก็ตื่นเต้นมาก
เซวียว่านเช่อน้ำลายไหลมานานแล้ว ลากอวิ๋นเยี่ยเพื่อที่จะไปเอาเหล้า
ไหเหล้ากระเบื้องเคลือบสีดำขนาดเท่าศีรษะคนถูกปิดผนึกด้วยดินเหนียวอย่างแน่นหนา เซวียว่านเช่อฟาดฝ่ามือลงบนดินเหนียวที่ปิดปากไหออก จากนั้นฉีกกระดาษสาสีเหลืองที่อยู่บนปากไห กลิ่นหอมฉุนกระจายออกมา ไฉเซ่าแย่งไหเหล้าไปและสูดดมลึกๆ และชื่นชมว่า “เป็นเหล้าดีจริงๆ ด้วย” จากนั้นแหงนหน้าเทใส่ปากคำใหญ่โดยไม่ใช้ชามแล้วยื่นให้เหล่าหนิว เหล่าหนิวดื่มไปหนึ่งอึก ยิ้มแล้วให้เซวียว่านเช่อ เหล่าเซวียเป็นพวกจริงจัง ไหเหล้าแตะริมฝีปากไม่ยอมปล่อยจึงถูกไฉเซ่าเตะที่น่องเข้าให้หนึ่งฝ่าเท้า จึงยอมให้อวิ๋นเยี่ยอย่างระมัดระวัง แต่ก็ยังมีท่าทางพร้อมที่จะแย่งคืนมาได้ทุกเมื่อ ยังไม่ทันที่จะได้ดื่ม ไหเหล้าก็กลับเข้าไปอยู่ในมือไฉเซ่าอีกครั้ง
“อวิ๋นโหวอายุยังน้อยอย่าได้อาลัยอาวรณ์ของในถ้วยนี้เลย จะได้ไม่เป็นการทำร้ายร่างกาย ชายชราอย่างข้านี้ก็ไม่ต้องกังวลแล้ว” เมื่อพูดจบก็ดื่มคำโตอีกหนึ่งคำ
ดูท่าทางที่ไฉเซ่ากอดไหเหล้าไว้ก็รู้ว่าผู้ชายคนนี้เกรงว่าในช่วงวัยรุ่นของเขาก็คงไม่ใช่คนดีเสียเท่าไร
เหล้าน้อยแต่คนมาก หลังจากที่เซวียว่านเช่อเทเหล้าหยดสุดท้ายออกมาด้วยความเสียดายอย่างที่สุด ช่วงเวลาแห่งความสุขก็ผ่านไป
แผนที่ขนาดใหญ่ในกองทัพถูกแผ่ออกมา ไฉเซ่าชี้ไปที่เมืองเซียงเฉิงที่ห่างออกไปไม่ถึงหกร้อยลี้และพูดว่า “ข่านเจี๋ยลี่จะตั้งค่ายจนพ้นฤดูหนาวที่เมืองเซียงเฉิง ตามที่ได้รับรายงานจากสายลับ ในเดือนห้าของปีนี้เขาได้กำจัดเผ่าเฮ่อมั่ว ในเดือนหกได้กำจัดเผ่าโหยวหรัน ชนเผ่าเซวียเอี๋ยนถัว หุยเกอ ป๋าเยี๋ยกู่และถงหลัวได้ลงนามก่อนตั้งพันธมิตรเพื่อต่อต้านข่านเจี๋ยลี่แล้ว ได้ยินว่ายังคงส่งกองกำลังไปก่อกวนเหอซี แต่ที่เหอซีของพวกเรามีกำลังทหารที่เข้มแข็ง ไม่ใช่ว่าเขาจะสามารถรุกล้ำได้ง่ายๆ ตอนนี้ในกองทัพเขาไม่เพียงแต่ทหารบาดเจ็บเต็มค่าย เมื่อรวมกับการที่เขาแบ่งกองทัพไปจู่โจมเหอซีจนทำให้เกิดความว่างเปล่าในเมืองเซียงเฉิง หากมีทหารหาญสักสามพันนายก็จะสามารถบุกทลายได้สำเร็จในครั้งเดียวและสามารถจับข่านเจี๋ยลี่ได้ทั้งเป็นอีกด้วย โอกาสที่ดีเช่นนี้มักจะหายไปอย่างรวดเร็ว เราจึงไม่ควรปล่อยให้โอกาสดีๆ ที่หาได้ยากยิ่งหลุดลอยไป”
“ทูลี่น้องชายของข่านเจี๋ยลี่ได้บรรลุข้อสัญญากับต้าถังเราแล้ว เขาสามารถเป็นผู้นำทางให้กับกองทัพเราเพื่อสร้างความสับสนให้ข่านเจี๋ยลี่ แต่มีเพียงข้อหนึ่งเท่านั้น พวกข้าอยู่ภายใต้การควบคุมของหลี่จิ้งผู้บัญชาการหลักกองกำลังทหารในเขตติ้งเซียงเต้า หากไม่มีคำสั่งแม่ทัพแล้วทำโดยพลการ เกรงว่า จะถูกวิพากษ์วิจารณ์ได้” หนิวจิ้นต๋ายังค่อนข้างกังวลอยู่
“แม่ทัพหนิวกังวลเกินไปแล้ว ขอเพียงพวกเราสามารถจับข่านเจี๋ยลี่ได้ตัวเป็นๆ แม้เป็นหลี่จิ้งก็พูดอะไรไม่ออก” เซวียว่านเช่อพูดด้วยความมาดมั่นพลางตบหน้าอกของเขา
“ท่านแม่ทัพหนิวคงยังไม่รู้ว่าฝ่าบาทได้ทรงแต่งตั้งเซวียว่านเช่อเป็นผู้บัญชาการกองกำลังสู่เขตชั่งอู่เต้าแล้ว ข้าได้สั่งให้ทหารแจ้งให้เขาทราบแล้ว รอเพียงแค่เหล่าเซวียเข้ารับตำแหน่ง พวกเราก็ไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีกำลังสำรอง ข้าคิดว่าครั้งนี้เรามีโอกาสชนะสูงมาก คุ้มค่าที่จะลงมือ” เมื่อเผชิญหน้ากับการสร้างผลงานอันยิ่งใหญ่ที่จับข่านเจี๋ยลี่ทั้งเป็นแล้วเขาก็ไม่สามารถควบคุมเปลวไฟอันร้อนแรงในใจของเขาได้
“ข้าไม่เข้าใจเรื่องการทหาร ได้ยินว่าหลี่จิ้งเข้าประจำการที่หม่าอี้แล้วซึ่งอยู่ห่างจากเมืองเซียงเฉิงเพียงแค่หกเจ็ดร้อยลี้ เมื่อได้ยินท่านผู้บัญชาการใหญ่พูดเช่นนี้ ข้าคิดว่าหลี่จิ้งเองเกรงว่าก็มีความคิดเช่นนี้เหมือนกันกระมัง” อวิ๋นเยี่ยพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว เขากลัวจริงๆ ว่าถ้าเขาพูดอะไรผิดไปแล้วจะนำมาซึ่งผลลัพธ์ที่ไม่ดี
ไฉเซ่าจึงมองดูแผนที่อย่างละเอียดอีกครั้ง นิ่งเงียบอยู่เป็นเวลานาน ต่อยหมัดลงบนโต๊ะอย่างแรง ชี้ไปที่ เทือกเขาเอ้อหยางทางตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองเซียงเฉิงแล้วพูดว่า “ถ้าหลี่จิ้งต้องการลอบจู่โจมเมืองเซียงเฉิง มีเพียงแต่ต้องยึดครองดินแดนตรงนี้ให้ได้ก่อนเท่านั้น จึงจะมีโอกาสประสบความสำเร็จ พวกเราเพียงแต่รอฟังข่าวเท่านั้นก็จะรู้ถึงแผนการของหลี่จิ้ง แม้ว่าเขาจะเป็นผู้บัญชาการหลักแต่กลับไม่ยอมแจ้งแผนดำเนินการรบให้เขาทราบ เขาคิดจะทำอะไร? หรือจะบอกว่าเขาต้องการจับข่านเจี๋ยลี่ตัวเป็นๆ ด้วยตัวคนเดียว?
“ท่านผู้บัญชาการใหญ่อย่าเพิ่งโกรธ ข้าคิดว่าหลี่จิ้งบางทีอาจคิดว่าเรื่องนี้ต้องปิดเป็นความลับ คนยิ่งรู้น้อยยิ่งดี ซึ่งไม่ใช่การแย่งชิงผลงาน” เหล่าหนิวพูดเกลี้ยกล่อมไฉเซ่าอยู่หลายคำ
“ตอนนี้กองทัพของเรามีข้อได้เปรียบในหลายๆ ด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งลากเลื่อนที่อวิ๋นโหวนำมาให้ ซึ่งสามารถทำให้กองทัพของเราเข้าใกล้เมืองเซียงเฉิงได้อย่างเงียบๆ สวรรค์มอบโอกาสดีให้ หากไม่รับไว้คงต้องถูกลงโทษ พวกเรารออย่างเงียบๆ เป็นเวลาหนึ่งเดือน รอจนถึงเดือนสิบเอ็ดแล้ว ถ้าหลี่จิ้งยังคงไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ พวกเราจะลงมือเอง!” ไฉเซ่าตัดสินใจแล้ว
“อวิ๋นโหว พวกเรามีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบกันทุกคน จึงได้แต่ขอให้เจ้าช่วยจัดการเรื่องทหารเสริมให้พร้อม เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการออกสู่แนวหน้า”
ไฉเซ่านั้นพูดด้วยความเกรงใจ ในกองทัพไม่มีโอกาสให้อวิ๋นเยี่ยได้ปฏิเสธแม้เพียงเล็กน้อย จึงรีบลุกขึ้นรับคำสั่ง
เมื่อถึงยามดึกทั้งสี่คนจึงแยกย้ายกันไป เหล่าหนิวรั้งอวิ๋นเยี่ยไว้และกำชับเขาและส่งหัวหน้านายทหารคนสนิทของเขาไปช่วยอวิ๋นเยี่ยแล้วจึงกลับไปพักผ่อนที่ค่ายทหาร
แสงจันทร์สาดส่องลงบนหิมะจึงยิ่งทำให้ดูสว่างไสวเป็นพิเศษ อวิ๋นเยี่ยเตะหิมะที่ใต้ฝ่าเท้าทิ้งเกิดเสียงตุบๆๆ ดังขึ้น ดูเหมือนว่าเขาจะหลงใหลกับเสียงนี้เข้าแล้ว จึงจงใจมองหาสถานที่ที่มีหิมะและเตะลงไป ทำให้เหล่าจวงที่เป็นองครักษ์ถึงกับส่ายศีรษะ อย่างไรเสียโหวเยี๋ยก็ยังเป็นแค่เด็กวัยรุ่นคนหนึ่ง
เขาไม่ได้สัมผัสถึงความสุขในใจของอวิ๋นเยี่ย ตั้งแต่ออกจากฉางอานมาจนถึงตอนนี้ มีเพียงคืนนี้ที่เขามีความสุขจริงๆ ไม่มีใครคิดร้ายใคร ไม่มีผลประโยชน์ที่น่ารำคาญเหล่านั้น ทั้งยังหาตระกูลกงซูพบแล้ว ได้ผลลัพธ์เกินคาดหมายจริงๆ การเดินทางมาเมืองซั่วฟางครั้งนี้เป็นไปอย่างราบรื่นและได้กำไรด้วย ดูท่าว่าเขาก็ต้องมีผลงานบางส่วนติดตัวด้วยแน่ ความทะเยอทะยานของไฉเซ่าเป็นเพียงความคิดง่ายๆ อยากจะฝากชื่อเสียงไว้ในประวัติศาสตร์ ซึ่งยังไม่เกี่ยวโยงไปถึงชีวิตของตัวเองและคนในครอบครัว
เขาเริ่มคิดถึงท่านย่า เสี่ยวยาและแน่นอนยังมีซินอวี้ด้วย เพียงแต่เมื่อเขาคิดถึงซินอวี้ใบหน้าของหลี่อันหลานก็จะปรากฏขึ้นและชวนให้หงุดหงิดจริงๆ
เขาไม่ได้คิดถึงทุกสิ่งทุกอย่างในยุคปัจจุบันอีกแล้ว เงาของญาติสนิทค่อยๆ เลือนรางไป มีเพียงในความฝันที่ลึกที่สุดเท่านั้นที่พวกเขาจะได้พบกับอวิ๋นเยี่ย สิ่งของยังคงเดิมแต่คนนั้นเปลี่ยนไป มีคำพูดนับหมื่นนับพันคำแต่กลับยากที่จะเอ่ยปากออกมา
อีกเพียงหนึ่งเดือนก็จะเกิดสงครามครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดที่ราชวงศ์ถังจะแสดงตัวตนอันดุร้ายของตัวเองออกมาให้เห็น อวิ๋นเยี่ยอยากจะเขียนชื่อของเขาลงในประวัติศาสตร์ท่อนนี้ ด้วยความหวังอันริบหรี่ที่สุด หวังว่าจะได้ส่งต่อบอกกล่าวให้ญาติมิตรของตัวเองได้รับรู้ถึงการดำรงอยู่ของตัวเองผ่านหนังสือประวัติศาสตร์
เพียงแค่หวังว่าทุกสิ่งในโลกปัจจุบันของฉันจะยังคงอยู่
——
[1] มั่วเตา เป็นดาบด้ามยาวประเภทหนึ่งที่ใช้ในราชวงศ์ถังเพื่อรับมือกับชาวเผ่าทูเจวี๋ยโดยเฉพาะ
ส่วนที่ 4
ตอนที่ 13
ดวงจันทร์ที่ชานเมือง
ทหารเสริมเป็นทหารที่ไม่มีจุดยืนที่ชัดเจนมากที่สุดในกองทัพต้าถัง ถ้าบอกว่าเป็นพลเรือน พวกเขาถืออาวุธ ถ้าบอกว่าพวกเขาเป็นทหาร พวกเขาไม่มีเงินไม่มีเสบียง อาวุธเป็นของตัวเอง เสื้อผ้าเป็นของตัวเองและแม้แต่เสบียงอาหารที่พวกเขากินก็เป็นของตัวเอง
เหตุผลก็คือพวกเขาควรจะเป็นกลุ่มทหารกล้าที่กระจายตัวอยู่ทั่วไปซึ่งเป็นกำลังที่อ่อนแอจึงจะถูก ใครจะคิดว่าเมื่อเข้าสู่สนามรบแล้วพวกเขาดุร้ายกว่าหมาป่าเสียอีก แม้ว่าต้องตายก็ไม่เสียดายชีวิต ในสนามรบแม้ต้องสู้จนตัวตายก็ไม่ยอมถอยก็คือกำลังเสริมของต้าถัง ทหารหลวงอีกกองกำลังหนึ่งซึ่งเป็นทหารเหมือนกันแต่ต่างกับพวกเขา
แม้ว่าทหารหลวงจะต้องเตรียมอาวุธและชุดเกราะด้วยตัวเอง แต่พวกเขาก็มีข้อได้เปรียบอย่างหนึ่งก็คือทั้งครอบครัวไม่ต้องกังวลกับการปรับระบบภาษีของทางการ ส่วนใหญ่เป็นคนที่มีฐานะดี เสบียงอาหารและอาวุธยุทโธปกรณ์เป็นเรื่องพื้นฐานที่สุดของกำลังทางการทหาร
สิ่งที่ทหารเสริมแสวงหาก็เพียงแค่การสร้างผลงานทางการศึกเท่านั้น บางคนสมาชิกในครอบครัวก่ออาชญากรรมต้องใช้ผลงานทางการศึกจึงจะได้รับการยกเว้นโทษ บางคนก็เพียงแค่มีความหัวร้อนขึ้นในสมองเท่านั้นอยากจะพึ่งพาวรยุทธ์ที่มีติดตัวเพื่อสร้างเส้นทางที่ร่ำรวยขึ้น ผู้ที่ฐานะยากจนนั้นไม่สามารถเป็นทหารหลวงได้ พวกเขาไม่สามารถที่จะสั่งทำเสื้อเกราะที่มีราคาแพงลิบลิ่วได้และซื้อม้าศึกไม่ไหว ทำได้แต่เพียงอาศัยอยู่ในกองทัพฝันว่าสักวันหนึ่งจะสามารถตัดศีรษะของศัตรูเพื่อที่จะได้กลับบ้านอย่างร่ำรวย
พวกเขาอาศัยการยึดทรัพย์สินของมีค่าที่ได้มาจากศัตรูเพื่อทดแทน เมื่อไม่มีการต่อสู้ก็ไม่มีเงินและเสบียง แต่เมื่อมีการต่อสู้ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น การล้อมเมืองไม่ยอมถอย การบุกเมือง พวกเขาเป็นตัวเลือกแรกที่ได้รับการพิจารณาจากแม่ทัพนายพัน ความเป็นความตายเป็นเรื่องธรรมดานี่คือมุมมองที่มีต่อชีวิตของตัวเอง จืดชืดและน่าเหนื่อยหน่าย
หลายปีแห่งสงครามได้ทำให้เกิดคนยากไร้จำนวนมากที่รู้จักแต่ถือดาบเท่านั้น ผลผลิตในทุ่งนาไม่สามารถเลี้ยงชีวิตคนทั้งครอบครัวใหญ่ได้ บางคนที่ปฏิเสธที่จะทนยากจนอยู่บ้าน จึงนำเสบียงอันน้อยนิดส่วนสุดท้ายเหลือไว้ให้กับน้องๆ ในครอบครัว ในตอนเช้ามืดตนเองดื่มน้ำในหมู่บ้านให้อิ่มท้อง สะพายดาบหนึ่งเล่มออกจากบ้านไป เริ่มเส้นทางชีวิตของทหารเสริมที่โหดร้ายที่สุดของเขา
อวิ๋นเยี่ยจู่ๆ ก็นึกถึงจางเฉิงซึ่งเป็นคนแรกที่เขาได้พบในต้าถัง คนกล้าหาญและเปิดเผยจริงใจ เข้มแข็งและมีเมตตา เขายังจำได้อย่างชัดเจน ขณะที่ทหารม้าบุกเข้ามา เหตุการณ์ที่เขาไล่ให้อวิ๋นเยี่ยกับหญิงสองคนเข้าไปในป่า แต่ตัวเองวิ่งออกไปที่กองกำลังตะโกนเสียงดังพร้อมสู้ตาย
ตอนนี้เขาคงได้เป็นขุนนางระดับต่ำสุดในต้าถังแล้ว เขาได้เจอฉันและสร้างผลงานเรื่องการสกัดเกลือ สร้างผลงานทีเดียวสามต่อ นี่คงเป็นสิ่งที่ขัดต่อมติสวรรค์ในการเป็นทหารเสริมอย่างที่สุดที่หลงเหลืออยู่ คิดถึงสิ่งที่เฉิงฉู่มั่วพูดกับตัวเอง เมื่อจางเฉิงได้รู้ข่าวดี จึงโขกศีรษะให้คุณทั้งครึ่งวันเช้าเลย โขกศีรษะอย่างจริงจังทุกครั้ง เลือดบนหน้าผากทำจนพื้นกลายเป็นสีแดง
ชาวนาผู้ซื่อสัตย์ที่แม้ก้อนเกลือที่ไม่สามารถกินได้หนึ่งก้อนในอกเสื้อก็ยังเห็นเป็นของล้ำค่า ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง อวิ๋นเยี่ยเริ่มคิดถึงขึ้นมา
ตอนนี้มีผู้ชายสองร้อยสี่สิบเจ็ดคนยืนอยู่ต่อหน้าเขา บางคนอายุห้าสิบปีขึ้นไป คนที่อายุน้อยกว่าสิบห้าปีก็มี ที่ชราก็ถึงขั้นมีผมขาวโพลน ที่อายุน้อยยังมีรอยหนวดอ่อนๆ อยู่เลย พวกเขายืนตัวตรงสายลมพัดผ่านรูขาดเข้าไปในเสื้อผ้าของพวกเขา แต่กลับไม่มีใครสนใจเพราะเบื้องหน้าพวกเขามีโหวเหยียท่านหนึ่งยืนอยู่ ท่านหนึ่งที่พวกเขาเคยได้ยินมา แต่เป็นชนชั้นสูงที่พวกเขาไม่เคยเจอมาก่อน
เมื่อใดกันที่ทหารเสริมมีผู้บัญชาการเป็นโหวเหยีย ประสบการณ์ทำศึกมานานหลายปีได้ก่อให้เกิดความรู้สึกเฉียบไวทำให้พวกเขารู้สึกว่าการค้าครั้งใหญ่กำลังจะมาแล้ว!
ความเป็นความตายเป็นเรื่องธรรมดา ขอเพียงมีโอกาสได้แย่งกันสร้างผลงานทางการศึก แค่ชีวิต ไม่สำคัญอะไร!
“นับตั้งแต่วันนี้ ข้าคือผู้บัญชาการของพวกเจ้า ข้าชื่ออวิ๋นเยี่ย ให้พวกเจ้ารู้จักชื่อ ไม่ใช่เพราะต้องการให้พวกเจ้าเคารพหวาดเกรงแต่ต้องการบอกพวกเจ้าว่า หากมีปัญหาอะไรให้มาหาข้า เพื่อความยุติธรรมเมื่อข้าพบปัญหาก็จะไปหาพวกเจ้าเพราะข้าทำศึกไม่เป็น ต้องพึ่งพาพวกเจ้าในสนามรบ ดังนั้นเมื่ออยู่นอกสนามรบพวกเจ้าสามารถพึ่งพาข้าได้ ข้าจะหาหัวหน้าหน่วยให้พวกเจ้า โดยปกติเขาจะทำหน้าที่ดูแลพวกเจ้า หากพวกเจ้าใครมีความกล้าพอก็สามารถไปท้าประลองเขาได้ เรื่องการประลองฝีมือข้าไม่ไหวแต่สามารถหาเขาได้”
อวิ๋นเยี่ยพูดโดยไม่รู้สึกอะไรเหมือนกับพูดคุยกับคนในบ้าน อีกทั้งยังพูดความจริงจึงทำให้เหล่าทหารเสริมต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ไม่รู้จะพูดอะไรดี แต่ในใจมีข้อสงสัย โหวเหยียเป็นเช่นนี้หรือ สวมใส่เสื้อเกราะหนังที่ประณีตมาก เพียงแค่พูดไม่กี่คำก็หาวตลอดเวลาราวกับว่ายังนอนไม่ตื่น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องอายุที่น้อยจนเหลือเชื่อ ทันใดนั้นก็มีเสียงอื้ออึงดังขึ้นในสนามฝึกซ้อม
หัวหน้าทหารของหนิวจิ้นต๋าก้าวออกมาแล้วตะโกนว่า “เงียบ! ใครเป็นหัวหน้าพวกเจ้า”
ทหารเสริมชราคนหนึ่งก้าวออกมาประสานมือแล้วพูดว่า “ข้าน้อย เนี่ยต้าหนิว เป็นผู้บังคับบัญชาทหารเสริมชั่วคราว”
“ดี ตอนนี้ข้าเป็นหัวหน้าหน่วย ตอนนี้เจ้าคือรองหัวหน้าหน่วย ตอนนี้ให้เลือกหัวหน้าหน่วยย่อยอีกยี่สิบห้าคน พวกเจ้าเลือกกันเอง ข้าให้เวลาหนึ่งก้านธูป” หัวหน้าหน่วยของเหล่าหนิวอยู่ในกองทัพอย่างไรก็เป็นถึงนายพันขุนนางฝ่ายบู๊ขั้นหนึ่ง ซึ่งให้มาดูแลทหารเสริมหลายร้อยคนได้อย่างสบาย
เมื่อเห็นเหตุการณ์เป็นไปอย่างราบรื่น อวิ๋นเยี่ยกำลังจะกลับบ้าน เมื่อคืนนี้คิดสัพเพเหระตลอดทั้งคืน ตอนนี้ง่วงนอนเจียนตายแล้ว เพิ่งเดินออกไปได้ไม่กี่ก้าวทหารคนหนึ่งที่มีอายุเพียงสิบสี่สิบห้าปีก็แทรกเข้ามา ยังไม่ทันได้มาถึงด้านหน้าก็ถูกพวกเหล่าจวงกดลงบนพื้นจนขยับไม่ได้
“โหวเหยีย ข้าต้องการเพียงรองเท้าหนึ่งคู่เท่านั้น ต้องการเพียงรองเท้าหนึ่งคู่เท่านั้น” ศีรษะของเขาถูกกดลงบนหิมะแต่ก็ยังคงดิ้นรนที่จะพูดคำขอของเขาออกมา
อวิ๋นเยี่ยจึงให้เหล่าจวงปล่อยทหารคนนั้น เห็นเพียงเขาสวมชุดหลวมโคล่ง ผมเผ้ายุ่งเหยิงใบหน้าเต็มไปด้วยโคลนแต่เขาไม่เช็ด จ้องมองอวิ๋นเยี่ยไม่ละสายตา นัยน์ตาเต็มไปด้วยความหวัง เขาสวมเพียงรองเท้าฟาง สีดำบนเท้าล้วนรอยแผลปริที่ถูกความเย็นกัดจนผิวแตกคล้ายรูปปากเล็กๆ หลายๆ ปาก เขารู้สึกเก้ๆ กังๆ อยากจะหดเท้ากลับเข้ามา ได้แต่ก้มหน้าลงอย่างไม่มีทางเลือก ทั้งยังหน้าแดงก่ำทั่วทั้งใบหน้า
“เท้าของเจ้าใหญ่พอๆ เท่ากับเท้าข้า เช่นนั้นก็สวมรองเท้าข้าก็แล้วกัน”
อวิ๋นเยี่ยจะเตรียมรองเท้าไว้ในถุงย่ามบนหลังม้าสองคู่เสมอ รองเท้าของราชวงศ์ถังไม่ค่อยทนทาน สวมใส่ไม่นานนักนิ้วเท้าก็จะโผล่ออกมา ดังนั้นท่านย่าจึงเตรียมรองเท้าไว้สองคู่สำหรับอวิ๋นเยี่ยเป็นพิเศษ พร้อมนำมาเปลี่ยนได้ตลอดเวลา
รองเท้าพื้นหนังวัวคู่หนึ่งวางอยู่เบื้องหน้าของทหารน้อย เขาเช็ดมือและกอดรองเท้าไว้ในอ้อมแขนอย่างระมัดระวัง เขาพูดกับอวิ๋นเยี่ยอย่างจริงจังว่า “ในสนามรบข้าจะช่วยเจ้าเอง!”
คำพูดของเขาทำให้ผู้คนจำนวนมากในสนามหัวเราะดังขึ้น พวกเขาไม่คิดว่าอวิ๋นเยี่ยต้องการความช่วยเหลือจากทหารตัวเล็กๆ คนหนึ่ง คำก่อนหน้าที่กล่าวมาก็เป็นแค่การล้อเล่น
อวิ๋นเยี่ยไม่ได้หัวเราะ เขาพูดกับทหารตัวน้อยอย่างจริงจัง “ดี ตกลงตามนี้ ข้าจะให้รองเท้าแก่เจ้า ในสนามรบ เจ้าต้องช่วยข้า แต่ว่าเจ้าต้องรักษาเท้าให้หายก่อน เจ้าไปยังประตูทิศใต้หานักพรตซุนซือเหมี่ยว” ให้เขามอบสมุนไพรให้เจ้ากลับไปแช่เท้า เท้าเช่นนี้ของเจ้าไม่สามารถช่วยข้าในสนามรบได้หรอก”
ความปรารถนาดีของคนไม่มีการแบ่งชนชั้น แม้จะเป็นเพียงคนที่ต่ำต้อยมอบความปรารถนาดีให้ก็ควรที่จะรักษาไว้ให้ดี เพราะนี่เป็นของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่พระเจ้ามอบให้กับทุกคน การมีโอกาสได้รับความปรารถนาดีของผู้อื่นในชีวิตของคนเรานั้นมีไม่มาก เมื่อมีโอกาสเช่นนี้ แต่ไหนแต่ไรมาอวิ๋นเยี่ยไม่เคยปล่อยให้พลาดไป
ทหารเสริมในสนามฝึกซ้อมยังคงหัวเราะเยาะอยู่ ทหารเสริมชราผู้หนึ่งเดินมาที่ด้านหน้าของชายฉกรรจ์ที่กำลังหัวเราะอย่างสะใจที่สุด ยกมือขึ้นแล้วฟาดบนใบหน้าจนเกิดเสียงดังขึ้น ผู้ที่ตบหน้านั้นยังคงค่อนข้างงงงวยไม่รู้ว่าทำไมทหารชราผู้นี้จึงต้องตบตนเองด้วย
“คราวหน้าหากพบเหตุการณ์เช่นนี้อีก ถ้าหากเจ้ายังคงหัวเราะ ข้าจะตัดศีรษะเจ้าทิ้งในดาบเดียว” เสียงของทหารชราผู้นั้นฟังดูหนาวเหน็บเหมือนลูกเห็บตก ทำให้ชายฉกรรจ์ได้แต่ทำสงครามเย็น รีบหดศีรษะเอามือกุมหน้าไม่พูดอะไรอีก
อวิ๋นเยี่ยกระแอมและพูดกับทหารเสริมว่า “พวกเขาทุกคนล้วนมีบิดามารดา อย่าได้ดูถูกใครเลย ข้าที่เป็นโหวเหยียก็ใช่ว่าจะแข็งแกร่งกว่าพวกเจ้า ในสมรภูมิทุกคนควรรักสามัคคีกันไว้จึงจะสามารถมีชีวิตอยู่รอดได้ วันนี้เจ้าช่วยเขา บางทีพรุ่งนี้เขาอาจจะช่วยชีวิตเจ้าไว้ก็เป็นได้ บัญชีประเภทนี้ไม่ควรคิดและคิดไม่ได้ด้วย ข้าหวังว่าทุกคนจะโกยเงินทองจำนวนมากไว้ในอ้อมกอดนำกลับบ้านอย่างเชิดหน้าชูตา อย่าได้ทิ้งชีวิตไว้ในทุ่งร้างแห่งนี้”
“ขอน้อมรับคำอวยพรของโหวเหยีย พวกข้าน้อยจะต้องพยายามมีชีวิตกลับไปให้ได้ ยังมีเด็กสองคนรอให้ข้ากลับไปพาพวกเขาไปกินขนมหวานอยู่อีก” ทหารชราโค้งคำนับอวิ๋นเยี่ยแล้วจึงตอบคำ
“โอ้ ดูแล้วเจ้าน่าจะอายุไม่น้อยแล้ว ฟังจากที่เจ้าพูด ลูกของเจ้ายังเล็กมากใช่ไหม มีภรรยาอยู่ที่บ้าน ทำไมจึงยังต้องมาเสี่ยงหลั่งเลือดกับคมดาบด้วย” แปลกมาก หากเป็นโสดและครอบครัวไม่หิวโหยจึงเลือกถนนสายนี้ก็ยังพอให้อภัย คนที่เป็นหัวหน้าครอบครัวมาปะปนเป็นทหารเสริมฟังแล้วฟังไม่ขึ้น
“โหวเหยียท่านก็รู้ว่าภัยพิบัติจากแมลงในด่านปีนี้กินเสบียงของครอบครัวไม่เหลือแม้แต่นิดเดียว ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ต่อได้แล้ว แต่โชคดีที่ราชสำนักเปิดคลังหลวงแจกจ่ายเสบียง ครอบครัวของข้าน้อยจึงอยู่รอดมาได้ แต่เสบียงอาหารเหล่านี้ก็ไม่เพียงพอที่จะกิน วันหนึ่งๆ ต้องนับเม็ดข้าวเพื่อหุงข้าว ซึ่งไม่สามารถใช้ชีวิตเช่นนี้ได้อีกต่อไป ข้าน้อยเมื่อก่อนก็อาศัยดาบเพื่อเอาชีวิตรอด ตอนนี้แผ่นดินสงบ หากอยากอาศัยดาบทำมาหากิน ไม่มาเมืองซั่วฟางนี้จะให้ไปที่ไหนได้อีก”
ข้าเองก็เป็นชายชาติทหารของประเทศ เหลือเสบียงอาหารให้ภรรยาและลูก ตนเองถือดาบแล้วมุ่งหน้ามายังเมืองซั่วฟาง คิดไม่ถึงว่าช่วงนี้เมืองซั่วฟางจะเงียบสงบเหมือนเมืองฉางอัน หากไม่มีสงครามข้าก็ย่อมไม่มีทางหารายได้ได้ ดังนั้นจึงได้ผิดหวังอยู่อย่างนี้
มากกว่าครึ่งหนึ่งของทหารเสริมที่อยู่ที่นี่ถูกภัยพิบัติจากตั๊กแตนบีบคั้นมา เมื่อนึกถึงตั๊กแตนอวิ๋นเยี่ยก็เต็มไปด้วยความเกลียดชังที่มีต่อหลี่ซื่อหมิน เพราะเขาปล่อยปละละเลยกับการภัยพิบัตินี้
ในกรณีของการบรรเทาภัยพิบัติ อวิ๋นเยี่ยมักรู้สึกเสมอว่าเขาเป็นหนี้ประชาชนทุกคนในโลก ดังนั้นจึงอยากชดเชยให้กับพวกเขาบ้าง ไม่ได้ต้องการสิ่งอื่นใด เขาหวังเพียงว่าจะได้นอนให้สนิทอย่างปลอดภัยและมั่นคง
เซวียว่านเช่อเดินทางตรงไปยังเมืองหลิงโจว แต่สิ่งของต่างๆ กลับส่งคืนเมืองซั่วฟาง ทั้งยังมีจำนวนมากเพียงพอด้วย หนังลูกแกะสีม่วงมีมากกว่าสองร้อยผืนและได้หนิวหวงกลับมาห้าสิบกิโลกรัม ทั้งยังส่งวัวและแพะจำนวนมากกลับมาอย่างต่อเนื่อง เพียงแต่ไม่เห็นทรัพย์สินเงินทองต่างๆ เหล่าเซวียจะต้องแอบเก็บไว้เป็นของตัวเองแน่ อวิ๋นเยี่ยไม่ได้คาดเดาไปในทางที่ดีเลย
ตอนนี้ต้าถังมีสภาพการณ์ที่เลวร้ายมากซึ่งก็คือการเก็บฝังซ่อนทรัพย์สินเงินทองของมีค่าไว้ บรรดาตระกูลใหญ่มีแต่เข้าไม่มีออก ครอบครัวเล็กๆ ก็จะไม่มีโอกาสเช่นนั้นเลย ลองคิดๆ ดูแล้วก็จริง ผ้าแพรต่วน ทรัพย์สินของตระกูลใหญ่อาจกองกันสูงเท่าภูเขาแล้ว ก็ซ่อนซุกผู้หญิงไว้จำนวนนับไม่ถ้วน สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเก็บไว้ ผ้าแพรต่วนมีโอกาสราขึ้นได้ ผู้หญิงจะเริ่มแก่ตัวลง ทรัพย์สินจะราคาตก มีเพียงทองและเงินที่มีค่าอย่างมั่นคงถาวร ก็อย่างที่ว่ากันไม่ใช่หรือ โบราณวัตถุของยุคสมัยที่เจริญรุ่งเรือง เงินทองในช่วงกลียุค แม้ว่าหลี่ซื่อหมินจะตอกย้ำและกำชับต่อข้าราชบริพารทั้งหลายไมอนุญาตให้เก็บซ่อนเงินทองไว้เป็นของส่วนตัว แต่ว่ามีกี่ตระกูลกันที่ฟังคำเขา สิ่งที่ควรซ่อนก็ซ่อนเอาไว้มากมาย อย่างเช่นตระกูลอวิ๋น
อวิ๋นเยี่ยมีโรคแห่งความหลงใหลในเรื่องทองคำซึ่งส่งผลกระทบต่อทุกคนในครอบครัว แม้แต่เสี่ยวยาก็นำเศษเงินยี่สิบเหรียญทองแดงของตัวเองที่ได้รับทุกๆ เดือนมาหาพี่ชายเพื่อแลกทอง
เมื่อนึกถึงเรื่องเหล่านี้แล้วมองไปที่เหอเซ่าผู้ซึ่งสีหน้าขมขื่นอมทุกข์ อวิ๋นเยี่ยก็รู้สึกว่าน่าสนุก ด้านหนึ่งคนทั่วทั้งฉางอันไม่มีเหรียญทองแดงใช้ จึงได้แต่ใช้เงินทองที่เป็นของต้องห้ามแต่ที่เมืองซั่วฟางกลับตรงกันข้าม คนที่นี่ชอบเงินทองคำแต่ไม่ชอบเหรียญทองแดง
อวิ๋นเยี่ยตัดสินใจที่จะไม่บอกเหอเซ่าผู้งี่เง่าคนนี้ ตั้งใจที่จะใช้ก้อนเงินแลกเหรียญทองแดงในมือเขาสักหลายๆ พันกก้วน จากนั้นเมื่อกลับไปถึงฉางอัน ก็นำเหรียญทองแดงเหล่านั้นไปแลกเป็นเงินและทอง เมื่อแลกสลับกันเช่นนี้ก็ได้กำไรขึ้นมาสามส่วน ยังมีอะไรไม่น่าพอใจกันอีก
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น