กระบี่จงมา 399.2-400.2
บทที่ 399.2 เรื่องที่ไม่กลัวที่สุดในใ...
หลิ่วชิงเฟิงที่อยู่ในห้องโดยสารรถม้าคิดจะลุกขึ้นยืน
รุ้งสีขาวเส้นหนึ่งปรากฏวูบขึ้นบนน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ตรงเอวของเฉินผิงอัน รุ้งเส้นนั้นวาดตัวเป็นเส้นโค้งพุ่งออกไปอย่างว่องไวแล้วแทงทะลุผนังห้องโดยสารรถม้ามาอย่างไม่มีอะไรหยุดยั้ง มาหยุดลอยนิ่งอยู่ตรงหว่างคิ้วของหลิ่วชิงเฟิง
หลิ่วชิงเฟิงคลี่ยิ้มแล้วนั่งกลับลงไปที่เดิม
มือข้างหนึ่งของหลี่เป่าเจินที่ซ่อนอยู่ในชายแขนเสื้อเพิ่งจะเริ่มขยับ แสงสีเขียวเส้นหนึ่งก็เปล่งวาบ แทงทะลุชายแขนเสื้อของเขาเข้ามา จากนั้นก็นำพายันต์แผ่นหนึ่งไปปักตรึงอยู่บนผนังรถม้าที่อยู่ด้านหลัง
ยันต์แผ่นนั้นเป็นสีทอง ลักษณะแปลกประหลาดอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะด้านหน้าหรือด้านหลังก็ล้วนเขียนอักขระไว้ด้วยสีชาด ไม่เพียงแค่นี้เท่านั้น ตรงใจกลางของยันต์ทั้งด้านหน้าและด้านหลังต่างก็วาดเป็นองค์เทพสวมเกราะสีขาวและเกราะสีดำ
คือยันต์ร่างจริงเทพท่องทิวาราตรีที่หายสาบสูญไปนานแล้วในใต้หล้าไพศาลแห่งนี้
หลี่เป่าเจินถอนหายใจ พูดกับสารถีเฒ่าว่า “หยุดเถอะ ไม่ต้องสู้แล้ว ข้าหลี่เป่าเจินจะอยู่เฉยๆ รอความตายก็แล้วกัน”
จูเหลี่ยนพูดอย่างรีบร้อน “อย่านะ พี่ชาย พวกเราสู้กันของพวกเราไป ไม่ส่งผลกระทบกับธุระของนายน้อยข้าและเจ้านายของเจ้าหรอก”
สารถีเฒ่าพยักหน้ารับแล้วพุ่งตัวไปทางจูเหลี่ยน
เฉินผิงอันเดินมาหยุดอยู่ข้างรถม้า หลี่เป่าเจินนั่งอยู่บนรถตั้งท่ายื่นคอรอให้ตัด
เฉินผิงอันกลับมองไปทางผ้าม่านรถม้า “เดิมทีนึกว่าเป็นประโยคตระกูลผู้สูงส่ง มิกลัวภูตผีทำร้ายที่เอ่ยถึงบนตำรา ที่แท้ก็เป็นอีกประโยคหนึ่งในตำรานี่เอง”
หลิ่วชิงเฟิงที่อยู่ในห้องโดยสารกล่าว “โชคและหายนะไร้ประตู มีแต่คนไปเรียกหามาเอง?”
เฉินผิงอันไม่พูดอะไรอีก
หลักการน้อยใหญ่ อันที่จริงบัณฑิตล้วนเข้าใจ
โดยเฉพาะบัณฑิตที่มีความรู้เต็มท้องมาตั้งแต่เด็ก อีกทั้งยังเป็นชนชั้นสูงที่ผ่านการฝึกประสบการณ์จากวงการขุนนางอย่างหลิ่วชิงเฟิงผู้นี้
อันที่จริงวีรบุรุษผู้กล้าในยุทธภพอย่างพวกจู๋เฟิ่งเซียนกลับทำให้คนรอบข้างมองออกอย่างทะลุปรุโปร่งง่ายกว่า
ความเป็นความตาย เกียรติยศและอัปยศล้วนผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาอยู่เสมอ
หลี่เป่าเจินมองเฉินผิงอัน
เขานั่ง เฉินผิงอันยืน คนทั้งสองมองประสานสายตากันพอดี
หลี่เป่าเจินถามด้วยความสงสัยใคร่รู้ “ไม่ว่าเจ้าจะตามหาข้าเจอได้อย่างไร แต่คืนนี้หลังจากฆ่าข้าแล้ว วันหน้าเจ้าจะกลับต้าหลีอย่างไร ไม่ต้องการบ้านบรรพบุรุษที่ตรอกหนีผิงเขตการปกครองหลงเฉวียนนั่นแล้วหรือ?”
เฉินผิงอันมองลูกหลานสกุลหลี่แห่งถนนฝูลวี่ที่แม้คนทั้งสองจะไม่เคยพบหน้ากันมาก่อน แต่กลับคิดอยากจะให้เขาเฉินผิงอันตายท่าเดียว
เป็นคนครอบครัวเดียวกัน เหตุใดนิสัยถึงได้แตกต่างจากหลี่ซีเซิ่งและหลี่เป่าผิงราวฟ้ากับเหวเช่นนี้
เห็นว่าเฉินผิงอันไม่พูดอะไร หลี่เป่าเจินก็ยิ้มพูดว่า “ข้าเป็นแค่บัณฑิตคนหนึ่ง ไม่อาจต้านรับหมัดของเจ้าได้ สมกับคำว่าลมและน้ำหมุนเวียนเปลี่ยนผันจริงๆ นี่เพิ่งจะผ่านไปกี่ปีเอง หมุนเปลี่ยนเร็วไปหน่อยไหม หากรู้ว่าเจ้าจะเปลี่ยนแปลงไปมากขนาดนี้ตั้งแต่แรก ตอนนั้นข้าก็น่าจะหาทางผูกใจจูเหอไปพร้อมกันด้วย จะได้ไม่เพียงแต่ระหกระเหินออกจากบ้านเกิด แล้วยังต้องมาตายอยู่ในต่างแดนด้วยเช่นนี้”
หนึ่งหมัดปล่อยไป
หลี่เป่าเจินยกสองมือกุมท้อง ร่างค้อมงอ เกือบจะกระอักเอาน้ำดีออกมา
หมัดนี้เฉินผิงอันใช้แค่ตบะของผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสองเท่านั้น
เฉินผิงอันยื่นมือไปคว้าจอนผมของหลี่เป่าเจินแล้วกระชากลงมาจากรถ เหวี่ยงร่างอีกฝ่ายทิ้งไปอย่างไม่ใส่ใจ หลี่เป่าเจินกลิ้งหลุนๆ อยู่บนเส้นทางดินเหลือง สุดท้ายคนผู้นี้กางแขนกางขาอ้าออก ใบหน้าอาบนองไปด้วยน้ำตา แต่กลับไม่ได้รู้สึกเสียใจหรือเจ็บแค้นอะไร เป็นเพียงแค่สัญชาตญาณของร่างกายที่รู้สึกเจ็บปวดล้วนๆ แล้วหลี่เป่าเจินก็หัวเราะเสียงดัง “คิดไม่ถึงว่าข้าหลี่เป่าเจินก็จะมีวันนี้ด้วย หลิ่วชิงเฟิง จำไว้ว่าช่วยเก็บศพข้าส่งกลับไปที่เขตการปกครองหลงเฉวียนต้าหลีด้วย!”
เฉินผิงอันทรุดตัวลงนั่งยอง
หลี่เป่าเจินมองสบตากับเขา
มองเห็นดวงตาคู่หนึ่งที่ทั้งคุ้นเคยและทั้งแปลกหน้า
สายตาเช่นนี้ไม่เหมือนกับสายตาดั่งหุบเหวลึกที่มองไม่เห็นก้นบึ้งของราชครูชุยฉาน หลี่เป่าเจินรู้สึกโชคดีที่ตัวเองมองไม่เห็นก้นบึ้งที่ว่านั่น ไม่อย่างนั้นตนก็คงกลายเป็นศพศพหนึ่งไปแล้ว เพราะผู้ที่มองเห็นปลาในหุบเหวลึกย่อมเป็นลางร้าย ตอนนี้เขาอยู่ไกลเกินกว่าจะมีคุณสมบัติไปลอบมองความคิดในส่วนลึกของจิตใจซิ่วหู่ผู้นั้น
แต่สายตาของเฉินผิงอันในเวลานี้มีจุดหนึ่งที่เหมือนกับราชครูต้าหลี ซึ่งมอบความทรงจำที่ลึกล้ำให้แก่หลี่เป่าเจิน
ราวกับว่าในหุบเหวลึกและด้านใต้บ่อโบราณล้วนมีเจียวร้ายตัวหนึ่งที่ว่ายวนอยากจะชูหัวเงยคอขึ้นมา
ทันใดนั้นในดวงตาของหลี่เป่าเจินพลันเต็มไปด้วยความสาแก่ใจ พูดเบาๆ ว่า “เฉินผิงอัน ข้าจะรอวันที่เจ้ากลายมาเป็นคนอย่างข้า ข้ารอคอยวันนั้นอย่างยิ่ง”
เฉินผิงอันหยิบดินจากบนพื้นมากำหนึ่ง แบฝ่ามือเป็นสันมีดสับลงบนลูกกระเดือกของหลี่เป่าเจิน วินาทีที่ฝ่ายหลังอ้าปากอย่างไม่อาจห้ามตนเองได้ก็ยัดดินเข้าไปในปากอีกฝ่าย จากนั้นก็ใช้มือปิดปากหลี่เป่าเจินเอาไว้ ถามว่า “อร่อยหรือไม่?”
หลี่เป่าเจินดิ้นรนมือเท้าปัดป่าย ใบหน้าแดงก่ำ
เฉินผิงอันหันหน้ามามอง “พูดว่าอะไรนะ? ข้าไม่ได้ยิน ไม่อย่างนั้นเจ้าพูดให้ดังๆ หน่อยดีไหม”
หลี่เป่าเจินพลันหยุดดิ้นรน ค่อยๆ กลืนดินกำใหญ่ลงคอไปเอง ดวงตาจ้องมองใบหน้าเฉยเมยของชายหนุ่มผู้นั้นเขม็ง
เฉินผิงอันยกฝ่ามือขึ้น ใบหน้าของหลี่เป่าเจินบิดเบี้ยว พูดเสียงอู้อี้ฟังไม่ชัด “รสชาติไม่เลว!”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับเบาๆ “ตอนนี้คิดจะกินอาจมคงไม่ง่าย แต่กินดินจะไปยากอะไร”
เหมือนก่อนหน้านี้อย่างไม่มีผิดเพี้ยน หลังจากหลี่เป่าเจินกินดินกำใหญ่ไปแล้วก็ถูกเฉินผิงอันเอามืออุดปากอีกครั้ง คราวนี้เฉินผิงอันเพิ่มแรงมากขึ้น ท้ายทอยของหลี่เป่าเจินเริ่มจมลงไปในดินทีละนิด
หลังจากที่เฉินผิงอันปล่อยมือแล้ว หน้าอกของหลี่เป่าเจินก็สะท้อนขึ้นลง หายใจยากลำบากอย่างถึงที่สุด จากนั้นก็เริ่มไอสำลักอย่างรุนแรง ดินจำนวนมากกระเด็นออกมาจากปาก
เฉินผิงอันยกมือขวาขึ้น โบกชายแขนเสื้อเบาๆ สลัดเศษดินที่กระเด็นมาโดนตัวเขาทิ้ง
ขณะเดียวกันหลี่เป่าเจินก็ร้องโหยหวนไปด้วย
มือซ้ายของเฉินผิงอันกุมมือซ้ายของหลี่เป่าเจินแน่น เสียงกร๊อบดังลั่น มือที่แอบกำเป็นหมัดของหลี่เป่าเจินแบออก เผยให้เห็นหยกพกที่เขาแอบกระชากมาจากเอว
นั่นคือหยกมันแพะงดงามที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษซึ่งสลักอักษรโบราณสองคำว่า ‘วังมังกร’ เดิมทีไม่สะดุดตานัก เพียงแต่ว่าเวลานี้มันเปลี่ยนมาเป็นสีใสแวววาว ด้านในก็ยิ่งมีประกายแสงเล็กบางเหมือนเส้นผมไหลเวียนอย่างรวดเร็ว
หลังจากเฉินผิงอันบีบกระดูกข้อมือของหลี่เป่าเจินให้แตกแล้ว แขนข้างนั้นทั้งแขนของหลี่เป่าเจินก็ได้แต่ทิ้งตัวอ่อนยวบอยู่บนพื้น หยกที่อีกแค่ก้าวเดียวเขาก็จะสามารถเปิดใช้เวทคาถาได้สำเร็จถูกเฉินผิงอันกุมไว้ในฝ่ามือ “ขอบใจนะ”
กระบี่บินชูอีสืออู่พากันย้อนกลับมาจากหว่างคิ้วของหลิ่วชิงเฟิงและผนังรถด้านนอก ยันต์ล้ำค่าแผ่นนั้นที่คนอื่นๆ บนโลกอาจจะมองที่มาของมันไม่ออก แต่เฉินผิงอันกลับจำได้เพียงแค่มองปราดเดียวถูกเขาเก็บเข้าไปไว้ในวัตถุฟางชุ่นพร้อมกับหยก ‘วังมังกร’
ใน ‘มหัศจรรย์ที่แท้จริงตำราสีชาด’ ยันต์ร่างจริงเทพท่องทิวาราตรีแผ่นนี้ก็คือยันต์ประเภทที่มีระดับขั้นสูงมาก มีบันทึกไว้อย่างละเอียดในหน้าที่สามหากนับย้อนมาจากด้านหลังของหนังสือ
มือขวาของหลี่เป่าเจินกุมข้อมือข้างซ้าย คลี่ยิ้มซีดเซียว “เจ้าช่างร้ายกาจนัก กลัวเจ้าแล้ว”
ของสองชิ้นนี้ หยกประดับวังมังกรคือหนึ่งในยันต์คุ้มกันกายที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษของสกุลหลี่ ส่วนยันต์แผ่นนั้นก็ยิ่งเป็นของขวัญก่อนจากลาที่หลี่ซีเซิ่งผู้เป็นพี่ชายมอบให้
ประเด็นสำคัญคือวัตถุตระกูลเซียนที่มีมูลค่าควรเมืองทั้งสองชิ้นนี้จำเป็นต้องให้เจ้าของอย่างเขาหลี่เป่าเจิน ‘เปิดประตู’ ด้วยตัวเองเสียก่อน คนนอกถึงจะสามารถเข้าไปตรวจสอบภายในได้ ไม่อย่างนั้นหากเป็นผู้ฝึกตนที่ขอบเขตต่ำกว่าห้าขอบเขตบนลงไป ต่อให้เจ้าจะเป็นเซียนดิน ใครได้ไปก็ล้วนเป็นของตายที่ไม่มีค่าแม้แต่แดงเดียว
เฉินผิงอันเตะเข้าที่ชายโครงของหลี่เป่าเจินหนึ่งที ฝ่ายหลังกระเด็นหวือผ่านต้นกกต้นอ้อ ร่วงตูมลงไปในทะเลสาบ
บาดเจ็บไปถึงกระดูกเส้นเอ็นและชีพจร ต้องพักฟื้นอยู่นิ่งๆ หนึ่งร้อยวัน
หลิ่วชิงเฟิงลุกขึ้นเดินออกมาจากห้องโดยสารรถม้า กระโดดลงจากรถ “ไม่ว่าจะมีสาเหตุมาจากอะไร แต่ก็ยังต้องขอบคุณคุณชายเฉินที่ไม่ฆ่าหลี่เป่าเจิน”
เฉินผิงอันถาม “ทางสวนสิงโตจะทำอย่างไร หลิ่วชิงซานจะทำอย่างไร?”
หลิ่วชิงเฟิงกล่าว “ข้าได้หาทางถอยไว้ให้พวกเขาเรียบร้อยแล้ว”
สีหน้าของเฉินผิงอันเหนื่อยล้าเล็กน้อย เดิมทีไม่อยากจะพูดอะไรให้มากความกับบุตรชายคนโตของรองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่วคนนี้ เพียงแต่ว่าพอคิดถึงบัณฑิตหนุ่มขาพิการคนนั้นก็อดถามไม่ได้ว่า “ข้าเชื่อมั่นว่าผลลัพธ์ที่เจ้าต้องการน่าจะเป็นผลลัพธ์ที่ดี และเจ้าหลิ่วชิงเฟิงก็น่าจะยิ่งรู้ตัวดีว่า วันนี้ได้เปลี่ยนไปเดินเส้นทางอื่นแล้ว แต่เจ้าจะแน่ใจได้อย่างไรว่าเดินอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ จะไม่เดินออกห่างจากผลลัพธ์ที่เจ้าต้องการไปไกลขึ้นทุกที?”
หลิ่วชิงเฟิงยิ้มขื่น ทอดสายตามองไปไกล ทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจัง “ก็ได้แต่ต้องลองเดินไปดู ไม่อย่างนั้นแคว้นชิงหลวนของพวกเรา นับตั้งแต่ฮ่องเต้ไปจนถึงบัณฑิตและปัญญาชน แล้วก็ไปถึงชาวบ้านชาวเมือง เพียงไม่นานกระดูกสันหลังของทุกคนจะถูกคนอื่นตีจนแหลก ถึงเวลานั้นแม้แต่เดินพวกเราก็เดินไม่ได้ ดื่มยาพิษดับกระหาย ใครบ้างที่ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องร้าย แต่หากกระหายจนใกล้จะตายจริงๆ ใครบ้างจะไม่ลองดื่ม? ก็เหมือนกับตอนที่อยู่ในศาลบรรพชนสวนสิงโต เจ้าแม่ต้นหลิ่วที่ข้าไม่ชอบอย่างมากผู้นั้นยุยงให้บิดาของข้าลากเจ้าเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย หากข้าเป็นเพียงแค่คนในสถานการณ์ก็คงไม่สามารถหยัดยืนออกมาแสดงท่าทีเด็ดเดี่ยวในการรักษาขนบธรรมเนียมประจำสกุลหลิ่วได้อย่างหลิ่วชิงซาน และหลังจากข้าหลิ่วชิงเฟิงชั่งน้ำหนักผลดีผลเสียแล้วก็มีแต่ต้องทำผิดต่อเจตนาเดิมของตัวเองเท่านั้น”
หลิ่วชิงเฟิงดึงสายตากลับคืนมา ยิ้มกล่าวว่า “โชคดีที่เรื่องราวไม่ได้ถึงขั้นที่เลวร้ายที่สุด ทุกบ้านล้วนมีตำราที่อ่านยาก ข้าที่เป็นพี่ชายจึงได้แต่เป็นคนอ่านตำราที่อ่านยากเล่มนั้น ส่วนตำราที่อ่านง่ายก็ให้น้องชายข้าเป็นคนอ่านไป”
เฉินผิงอันชำเลืองตามองไปยังทิศทางที่หลี่เป่าเจินตกน้ำ “เจ้าแข็งแกร่งกว่าไอ้หมอนี่ไม่น้อย”
เฉินผิงอันมองการต่อสู้ที่เกิดขึ้นตรงพงต้นกกต้นอ้อห่างไปไกล ตะโกนเรียก “กลับมา”
จากนั้นเฉินผิงอันก็หันมาพูดกับหลิ่วชิงเฟิง “พวกเจ้าไปช่วยคนได้แล้ว”
หลิ่วชิงเฟิงถาม “ทำไมถึงไม่ฆ่าหลี่เป่าเจินไปตรงๆ เลยล่ะ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “เมื่อก่อนข้าเคยรับปากกับคนผู้หนึ่งว่าจะยอมปล่อยหลี่เป่าเจินไปสักครั้ง”
จูเหลี่ยนพุ่งวูบมาถึง ใบหน้าเต็มไปด้วยความเสียดาย เช็ดคราบเลือดบนใบหน้าทิ้ง เมื่อครู่นี้ตนกำลังมือขึ้น อันดับต่อไปก็น่าจะเป็นคราวที่สารถีเฒ่ากระดูกอ่อนนอนพังพาบ หลังจากฮึกเหิมสุดๆ ก็เสียใจอย่างสุดแสนแล้ว
เพียงแต่เห็นท่าทางไม่อยากจะพูดคุยของเฉินผิงอัน จูเหลี่ยนจึงไม่ได้พูดล้อเล่นอะไร เพียงแค่เดินตามไปเงียบๆ
หลิ่วชิงเฟิงพลันพูดขึ้นกับแผ่นหลังของเฉินผิงอัน “คุณชายเฉิน หลังจากนี้ทางที่ดีที่สุดอย่ารอคอยโอกาสอยู่แถวเมืองหลวงอีกเลย เจ้าจะได้ทั้งรักษาสัญญา แล้วก็ได้ทั้งพบกับหลี่เป่าเจินใหม่อีกครั้ง”
เฉินผิงอันหันหน้ากลับมา ยิ้มถาม “ทำไม?”
หลิ่วชิงเฟิงยิ้มส่ายหน้า ไม่ได้เปิดเผยอะไรไปมากกว่านั้น
ราชวงศ์ต้าหลีจะส่งคนมาอีกสองคนเพื่อให้ทำหน้าที่เป็นผู้ติดตามของเขาหลิ่วชิงเฟิงกับหลี่เป่าเจิน ว่ากันว่าคนหนึ่งในนั้นเคยเป็นอดีตเสาหลักสำคัญบนสมรภูมิรบของราชวงศ์สกุลหลู
แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด จุดที่ร้ายกาจถึงชีวิตอย่างแท้จริงก็คือ มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าตอนนี้ราชครูชุยฉานต้าหลียังคงอยู่ในแคว้นชิงหลวน
พวกเฉินผิงอันเดินพ้นไปจากการมองเห็น
สารถีเฒ่าช่วยหลี่เป่าเจินที่ลมหายใจรวยรินขึ้นมาจากน้ำ ก่อนจะลงมือเบาๆ ช่วยให้หลี่เป่าเจินรีบคายน้ำเสียที่อัดแน่นอยู่เต็มท้องออกมา
ผ่านไปพักใหญ่ หลี่เป่าเจินถึงจะคืนสติ
ไปเดินวนรอบประตูผีมาหนึ่งรอบ เขาที่นั่งอยู่บนถนนจึงมีสีหน้าเหม่อลอย
สารถีเฒ่ายืนอยู่ข้างกายหลี่เป่าเจิน หันหน้าไปมองหลิ่วชิงเฟิง
หลิ่วชิงเฟิงยิ้มส่ายหน้า
ดังนั้นหลี่เป่าเจินจึงได้ไปเดินวนรอบประตูมาอีกรอบ
คนสองคนที่อยู่ด้านหลังหลี่เป่าเจินแลกเปลี่ยนสายตากัน แต่คุณชายที่คืนนี้มีสภาพน่าอเนจอนาถอย่างถึงที่สุดกลับยกมือตบหน้าตัวเองแรงๆ อยู่พักหนึ่ง จากนั้นถึงหันหน้ามายิ้มพูดว่า “ดูท่าท่านหลิ่วยังค่อนข้างให้ความสำคัญกับความคิดของใต้เท้าราชครูอยู่มากเลยนี่นา”
หลิ่วชิงเฟิงทรุดตัวลงนั่งยอง ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นที่มาแคว้นชิงหลวนก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะดีไปกว่าเจ้า”
หลี่เป่าเจินแสร้งทำเป็นเรอ “ทั้งกินดินทั้งกินน้ำ อิ่มไม่น้อย น้ำในยุทธภพลึกจริงๆ ทำให้คนตายได้ง่าย เกือบจะต้องทิ้งร่างอยู่ก้นทะเลสาบซะแล้ว”
หลิ่วชิงเฟิงประคองหลี่เป่าเจินให้ลุกขึ้น “ดูท่าพวกเราคงต้องย้อนกลับไปสวนสิงโตกันอีกสักรอบ หาเสื้อผ้ามาให้เจ้าเปลี่ยนใหม่ก่อน”
หลี่เป่าเจินเอียงศีรษะ กระโดดขึ้นลงสองสามทีเพื่อสลัดน้ำในหูออก จากนั้นก็ยิ้มกว้างกล่าวว่า “ไม่ต้องเปลี่ยนๆ จะได้เป็นบทเรียนให้ตัวเอง วันหน้าจะได้ไม่รู้สึกว่าสวรรค์คืออันดับหนึ่ง ราชครูอันดับสอง ส่วนข้าเป็นอันดับที่สามอีก!”
หลิ่วชิงเฟิงไม่ได้พูดอะไร
ขึ้นรถม้ามาแล้วก็ไปนั่งในห้องโดยสาร หลี่เป่าเจินตัวสั่นสะท้านด้วยความเหน็บหนาว
รถม้าเคลื่อนหน้าไปอย่างเชื่องช้า จนกระทั่งออกจากเส้นทางพงต้นกกต้นอ้อขับเข้าไปในทางหลวง คราวนี้ไม่ได้พบกับพวกเฉินผิงอันอีก
หลิ่วชิงเฟิงเอ่ยอย่างเฉยเมย “ข้อแรก ข้าแนะนำเจ้าว่าควรกลับไปที่สวนสิงโต ไม่อย่างนั้นพอไปถึงที่ว่าการอำเภอ ข้ายังต้องคอยดูแลเจ้าที่ล้มป่วยอีก ข้อที่สอง ข้าแนะนำเจ้าอีกครั้ง แล้วก็เป็นการเตือนตัวเองด้วยว่า คำพูดทำร้ายคน คมกริบยิ่งกว่าใบมีด ใช้แผนการร้ายทำร้ายคนอื่น อำมหิตยิ่งกว่าเสือร้าย”
ริมฝีปากของหลี่เป่าเจินซีดขาว จ้องมองเจ้าคนที่อยู่ตรงหน้า เอ่ยถามทั้งที่ฟันกระทบกันดังกึกๆ ว่า “หลิ่วชิงเฟิง เจ้ารู้หรือไม่ว่าการที่ข้าได้มาพบกับเฉินผิงอันในครั้งนี้ ได้สูญเสียอะไรไปบ้าง? คำพูดล่องลอยบางเบาพวกนี้ยังต้องให้เจ้าเป็นคนมาบอกข้าด้วยหรือ?”
หลิ่วชิงเฟิงถามกลับ “มันสำคัญยิ่งกว่าชีวิตงั้นหรือ?”
หลี่เป่าเจินแสยะยิ้ม “ก็เปล่า”
เขาหันหน้าไปตะโกนพูดกับสารถีเฒ่า “หันหัวกลับไปที่สวนสิงโต!”
หลิ่วชิงเฟิงเริ่มหลับตาทำสมาธิ
จนกระทั่งบัดนี้หลี่เป่าเจินถึงได้มองคนตรงหน้าผู้นี้เป็นพันธมิตรที่สามารถนั่งทัดเทียมกับตนได้อย่างแท้จริง
หรือไม่หลี่เป่าเจินก็ยอมรับว่าตัวเองในเวลานี้สู้หลิ่วชิงเฟิงผู้นี้ไม่ได้ นามว่าชิงเฟิง แต่จิตใจกลับดุจขี้เถ้ามอด ทว่ากลับเป็นขี้เถ้ามอดที่มีลางว่าจะลุกติดไฟขึ้นใหม่
การเป็นคนอยู่บนโลกใบนี้ ผู้ที่ตั้งใจจริง แม้แต่เสียงฟ้าผ่าก็ยังไม่ได้ยิน
คิดไม่ถึงว่าแคว้นชิงหลวนเล็กๆ แห่งนี้จะมีบุคคลเช่นนี้ถือกำเนิดขึ้นมาด้วย
……
สือโหรวคือคนที่สบายใจที่สุด
อยู่ดีไม่ว่าดีกลับออกจากเมืองยามค่ำคืน แถมยังบอกว่าจะไปพบคนบ้านเดิมคนหนึ่ง
เผยเฉียนไม่ได้เห็นเป็นจริงเป็นจังนัก แต่สือโหรวกลับสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายไม่คุ้นเคยที่เฉินผิงอันซุกซ่อนไว้บนร่าง นั่นคือปราณสังหาร
แล้วก็จริงดังคาด จูเหลี่ยนผ่านการประมือครั้งใหญ่กับคนอื่นมาก่อนจริงๆ
โชคดีที่พอเฉินผิงอันกับจูเหลี่ยนกลับมาถึงก็บอกว่าไม่มีเรื่องอะไรแล้ว
สือโหรวไม่ได้ถามอะไรมาก ขอแค่เฉินผิงอันเอ่ยปากด้วยตัวเองว่าไม่มีเรื่องอะไรก็เชื่อถือได้ หากเปลี่ยนมาเป็นจูเหลี่ยน ต่อให้ตบอกจนอกแตกรับรองว่าไม่มีผลร้ายตามมาเบื้องหลัง สือโหรวก็ยังไม่มีทางเชื่อ
แม้เผยเฉียนจะไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่มีกลิ่นคาวเลือดจางๆ โชยมาจากบนร่างของจูเหลี่ยน นางก็ยังรู้สึกว่าน่าตกใจมากอยู่ดี
บทที่ 399.3 เรื่องที่ไม่กลัวที่สุดในใ...
เผยเฉียนถามเบาๆ “อาจารย์ คือศัตรูของที่บ้านเกิดงั้นหรือ?”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็พ่นไอขุ่นมัวที่อัดอั้นอยู่ตรงหน้าอกมานานมากแล้วคำหนึ่งออกมา ปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมาดื่มเหล้าอู้ซง (หมอกที่เกาะเป็นกลุ่มตายสายไฟหรือใบไม้บนต้นไม้ในขณะที่อากาศหนาวและมีหมอกลง) ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ไม่ต้องสนใจเรื่องพวกนี้ ถือว่ายุติลงชั่วคราวแล้ว”
เผยเฉียนพยักหน้ารับ จากนั้นก็ยิ้มถามว่า “อาจารย์ลงมือครั้งนี้ ได้กำไรหรือว่าขาดทุน?”
จูเหลี่ยนรู้ว่าเฉินผิงอันได้ยันต์หนึ่งแผ่นและแผ่นหยกมาหนึ่งชิ้น
แม้ว่าจะไม่ได้มองอย่างละเอียด แต่จูเหลี่ยนมั่นใจอยู่ข้อหนึ่ง นั่นคือคนในบ้านเกิดของเฉินผิงอัน ขอแค่ออกมาท่องอยู่ด้านนอก คาดว่าคงไม่มีใครที่เป็นคนธรรมดา ยกตัวอย่างเช่นเจิ้งต้าเฟิงที่นครมังกรเฒ่า รวมไปถึงหลี่เอ้อร์ที่ภายหลังมาปรากฎตัวอย่างเร่งร้อนแล้วก็จากไป คนหนึ่งขอบเขตเก้า คนหนึ่งขอบเขตสิบ ดังนั้นของสองชิ้นที่เฉินผิงอันแย่งชิงมาจากมือของเจ้าหมอนั่นต้องมีค่าแน่นอน
ทว่าเฉินผิงอันกลับพูดแค่ว่า “ไม่ขาดทุนแต่ก็ไม่ได้กำไร ได้ของมาสองชิ้น ข้าสามารถนำไปมอบให้กับคนที่เหมาะสมจะครอบครองพวกมันได้พอดี”
เผยเฉียนร้องอ้อหนึ่งที
ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว
นางหันหน้าไปมองเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนที่อยู่ห่างไกล
มือหนึ่งของนางกุมไม้เท้าเดินป่า อีกมือหนึ่งกุมน้ำเต้าลูกเล็ก
จูเหลี่ยนหันหน้ามา สือโหรวก็ย้ายสายตาหันมามองด้วย
จูเหลี่ยนถามยิ้มๆ “แม่นางสือโหรว เป็นห่วงข้าหรือ?”
สือโหรวปิดปากเงียบไม่พูดไม่จา
จูเหลี่ยนจุ๊ปากพูด “แม่นางสือโหรวไม่รู้อะไร คนที่ประมือกับข้าคือปรมาจารย์ใหญ่ขอบเขตเดินทางไกลคนหนึ่ง ตบะอยู่ในขั้นสูงสุด ศักยภาพก็แข็งแกร่งสุดขีด หมัดเดียวก็ต่อยให้ภูเขาทลายพื้นดินแตกแยก ต่อยอีกหมัดก็สามารถพลิกภูเขาคว่ำมหาสมุทร…”
สือโหรวเอ่ยเย้ยหยัน “ถึงขนาดนั้นก็ยังฆ่าเจ้าไม่ได้ แบบนี้ก็ไม่เท่ากับว่าวิชาหมัดของเจ้าจูเหลี่ยนเลิศล้ำค้ำฟ้า ไร้เทียมทานแล้วหรอกหรือ?”
จูเหลี่ยนหัวเราะหึหึ “เรื่องนี้เจ้าไม่รู้แล้ว เป็นเพราะพี่ชายท่านนั้นเกรงใจกันเกินไป ตั้งแต่ต้นจนจบก็ไม่มีท่าทีว่าจะแลกชีวิตกับข้า ไม่อย่างนั้นข้าก็คงไม่สามารถมายืนอยู่ข้างกายเจ้าด้วยอวัยวะครบสามสิบสองแล้ว หากปล่อยให้แม่นางสือโหรวได้เห็นสภาพอเนจอนาถของข้าที่เนื้อหนังปริแตก กระดูกขาวสองแขนโผล่ ถึงเวลานั้นแม่นางสือโหรวเห็นแล้วก็อาจจะเสียใจน้ำตาไหล ข้าเองก็คงเจ็บปวดปานจะขาดใจ ต้องระบายโทสะเพื่อหญิงงาม กลับไปเอาเศษซากชิ้นส่วนของพี่ชายคนนั้นที่กระจัดกระจายอยู่ตามมุมต่างๆ มาประกอบเข้ากันใหม่อีกครั้ง…”
สือโหรวแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน
จู่ๆ เฉินผิงอันก็เอ่ยขึ้นว่า “ครั้งนี้พอไปถึงสำนักศึกษาซานหยาต้าสุยแล้ว ระหว่างทางที่เดินทางกลับเขตการปกครองหลงเฉวียน พวกเราอาจต้องไปหาผีสาวสวมชุดเจ้าสาวตนหนึ่งที่หลบซ่อนตัวอยู่ในป่าเขา ตบะไม่อ่อนด้อย แต่ไม่แน่เสมอไปว่าจะหาตัวมันพบ”
จูเหลี่ยนตกตะลึงระคนยินดี “นายน้อย ผีสาวชุดเจ้าสาวนั่นสวยหรือไม่? เทียบกับหน้าตาของแม่นางสือโหรวตอนยังมีชีวิตอยู่แล้วเป็นอย่างไร?”
เฉินผิงอันยิ้มตอบ “ปีนั้นที่พบเจอนางเป็นครั้งแรก นางสวมชุดแต่งงานสีแดงสด สีหน้าซีดขาว รู้สึกเพียงว่าน่าขนลุก ส่วนรายละเอียดหน้าตาของนางว่าเป็นอย่างไร ข้าไม่ได้สนใจ”
เผยเฉียนแอบกลืนน้ำลาย หยิบยันต์แผ่นหนึ่งมาแปะบนหน้าผาก
เฉินผิงอันถามเบาๆ “ผู้เฒ่าขอบเขตแปดคนนั้น เจ้าต้องออกแรงสักกี่ส่วนถึงจะสามารถเอาชนะได้?”
จูเหลี่ยนกล่าวอย่างลำบากใจเล็กน้อย “นายน้อย เวลาข้าเข่นฆ่ากับผู้อื่น หากกำลังติดลมมักจะชอบทุ่มสุดพลังความสามารถที่มี ดังนั้นหากนายน้อยสั่งให้ข้าหยุดช้ากว่านั้นอีกสักหน่อย พี่ชายท่านนั้นก็คงถูกฉีกเนื้อถลกหนังออกเป็นแปดส่วนแล้วจริงๆ จะกลายเป็นผีพรายหรือไม่ก็อีกเรื่องหนึ่ง”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจ “ช่างเป็น…นิสัยที่ดี”
จูเหลี่ยนไม่ใคร่จะพอใจนัก
เผยเฉียนกล่าวอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น “พ่อครัวเฒ่า คราวนี้ทำไมไม่ประจบสอพลอแล้วเล่า ไม่บอกว่าเรียนรู้มาจากอาจารย์ข้าแล้วหรือ?”
จูเหลี่ยนหัวเราะเฮอๆ ถีบเข้าที่ก้นเผยเฉียนหนึ่งที เผยเฉียนล้มหน้าทิ่ม ได้แต่ใช้ไม้เท้าเดินป่าทิ่มเข้าไปในพื้นดินตามจิตใต้สำนึก ร่างหมุนติ้วรอบไม้เท้าไปหนึ่งรอบ ไม่ทันได้อ้าปากด่าจูเหลี่ยน แล้วก็ไม่สงสัยว่าเหตุใดตนถึงไม่ล้มคว่ำ เผยเฉียนทำเพียงแค่ดึงไม้เท้าเดินป่าที่อยู่เคียงข้างกันมานานออกจากดิน วิ่งไปหยุดอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน ถามอย่างสงสัย “อาจารย์ เหตุใด ‘นายท่านเทพภูเขา’ ของข้าอันนี้ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่หักเลยล่ะ ท่านดูสิ แม้แต่รอยปริแตกเล็กๆ น้อยๆ ก็ยังไม่มี? หรือว่าข้าเก็บสมบัติมาได้ตั้งแต่แรกแล้ว? นี่คือต้นไม้เทพเซียนที่นายท่านเทพภูเขาบางองค์ปลูกไว้จริงๆ?”
เฉินผิงอันเพียงแค่ยิ้ม ไม่เอ่ยอะไร
จูเหลี่ยนหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “นายน้อยใช้วิธีหลอมเล็กของตระกูลเซียนมาหลอมไม้เท้าเดินป่าอันนี้ให้เจ้าตั้งแต่แรกแล้ว ไม่อย่างนั้นป่านนี้มันก็แตกหักพังยับไปนานแล้ว กิ่งไม้ทั่วไปจะทนถูกการเหยียบย่ำจากวิชากระบี่มารคลั่งนั่นของเจ้าได้หรือ?”
เผยเฉียนเกาหัว “เป็นแบบนี้เองหรือ”
เหมือนจะรู้สึกประหลาดใจ แต่ก็คล้ายว่าจะสมเหตุสมผลดีแล้ว
จากนั้นเผยเฉียนที่ในหัวค่อนข้างเต็มไปด้วยจินตนาการบรรเจิดก็เงยหน้าขึ้น กะพริบตาปริบๆ มองม่านฟ้ามืดดำ “ทำไมฝนถึงยังไม่ตกสักทีนะ?”
เฉินผิงอันที่เดินนิ่งหกก้าวไปด้วยเอ่ยถามว่า “ทำไมฝนต้องตกด้วยล่ะ?”
เผยเฉียนเองก็ฝึกวิชาวานรขาวสะพายกระบี่ไปพร้อมกับการเดินเช่นกัน ตอนนี้ไม้เท้าเดินป่าถูกนางนำมาทำเป็นกระบี่ชั่วคราว นางตอบคำถามเฉินผิงอันว่า “ถ้าฝนตก ข้าก็จะได้ช่วยกางร่มให้อาจารย์ไงล่ะ”
จูเหลี่ยนยกเท้าขึ้นถีบ แต่เผยเฉียนกลับหลบเลี่ยงได้อย่างว่องไว จูเหลี่ยนจึงด่าอย่างขันๆ ปนฉิวว่า “เจ้าฟักแคระถังข้าวที่เอาแต่กินข้าว แต่ไม่ยอมโตอย่างเจ้า จะกางร่มให้นายน้อยอย่างไร?”
เผยเฉียนใคร่ครวญแล้วก็รู้สึกหมดอาลัยตายอยาก “ก็จริงนะ”
เฉินผิงอันพูดปลอบใจ “แค่มีใจก็พอแล้ว”
จูเหลี่ยนยิ้มกล่าว “เจ้าตัวขาดทุนผู้นี้ก็เหลือแค่ใจอย่างเดียวนี่แหละ”
เผยเฉียนหันมาถลึงตาดุดันใส่จูเหลี่ยน “หากไม่เป็นเพราะเห็นแก่ที่เจ้าบาดเจ็บ ข้าจะต้องให้เจ้าได้ลิ้มรสวิชากระบี่มารคลั่งที่ข้าคิดค้นขึ้นมาเองสักรอบให้ได้”
“มาๆๆ พวกเรามาซ้อมมือกันเลย”
จูเหลี่ยนก้าวเดินออกไปหนึ่งก้าว เผยเฉียนหัวเราะฮ่าๆ เสียงดังแล้วเริ่มวิ่งวนรอบกายเฉินผิงอัน
สือโหรวเหม่อลอยไปชั่วขณะ
เผยเฉียนที่วิ่งวนอยู่รอบกายเฉินผิงอัน ตลอดทางที่ขึ้นเขาลงห้วยมา นางก็ยังคงเป็นถ่านดำก้อนเล็กก้อนหนึ่ง
แต่พอนางออกวิ่งอยู่บนทางสายใหญ่ที่แสงจันทร์บริสุทธ์ของดวงจันทร์กลางนภากาศสาดส่องลงมา บนร่างของแม่นางน้อยกลับมีรัศมีแสงเรืองรองบางๆ แผ่ออกมาหนึ่งชั้น
เพียงแต่ไม่รู้ว่า สักวันหนึ่งเมื่อเผยเฉียนต้องท่องอยู่ในยุทธภพเพียงลำพัง จะมีภาพเหตุการณ์ที่แตกต่างไปจากนี้อย่างสิ้นเชิงหรือไม่?
ยกตัวอย่างเช่นเป็นดั่งดวงตะวันร้อนแรงดวงใหญ่ที่คนแค่มองไกลๆ ก็ยังรู้สึกร้อนจ้าบาดตา?
เพียงแต่อารมณ์ซับซ้อนประเภทนี้ เมื่อได้ขึ้นเขาลงห้วยไปตลอดทาง สือโหรวก็เริ่มรู้สึกเสียใจภายหลังที่ตัวเองถึงขั้นมีความคิดที่เหลวไหลเช่นนี้ได้
นั่นก็เพราะเผยเฉียนผู้นี้เป็นเด็กแก่นแก้วเกินไปจริงๆ
เริ่มเข้าสู่ช่วงฤดูร้อนมาได้ระยะหนึ่งแล้ว พวกเขาเดินทางใกล้จะถึงท่าเรือตระกูลเซียนที่ตั้งอยู่ชายแดนตะวันออกของแคว้นชิงหลวนแล้ว
วันนี้ขณะที่อยู่ท่ามกลางป่าลึกบนภูเขา เผยเฉียนวิ่งไปเก็บกิ่งไม้ที่ห่างออกไปค่อนข้างไกลเพื่อเอามาใช้ก่อฟืนหุงหาอาหาร ตอนที่กลับมาบนร่างนางมีแต่ดินโคลน บนหัวก็เต็มไปด้วยเศษหญ้า นางจับกระต่ายป่าสีเทาตัวหนึ่งมาได้ก็วิ่งตื๋อกลับมาหยุดยืนอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน ชูกระต่ายป่าที่น่าสงสารที่ถูกนางคว้าหูไว้ส่ายอย่างแรง พูดอย่างลิงโลดว่า “อาจารย์ ดูสิข้าจับอะไรมาได้?! ภูเขากระโดดในตำนานเชียวนะ วิ่งเร็วนักล่ะ!”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “วันนี้พวกเรากินเจไม่กินเนื้อ ปล่อยมันไปเถอะ”
เผยเฉียนอึ้งตะลึง จากนั้นก็เริ่มรู้สึกเสียดายเพราะนางต้องลำบากมากกว่าจะจับมาได้ จึงถามว่า “อาจารย์ เลี้ยงมันให้อ้วนก่อนแล้วค่อยกินได้ไหม? ข้าจะหาเชือกยาวๆ เส้นหนึ่งมามัดมัน ตลอดทางข้าจะเป็นคนดูแลมันเอง”
เฉินผิงอันโบกมือ “หากอยากกินเนื้อจริงๆ วันหน้าจะให้จูเหลี่ยนจับหมูป่าให้เจ้าหนึ่งตัว”
เผยเฉียนคิดแล้วก็ยังรู้สึกว่านี่เป็นการค้าที่ได้กำไร ปล่อยก็ปล่อยสิ จึงพยักหน้ารับ สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง หมุนตัวหนึ่งรอบ ขว้างกระต่ายป่าที่อยู่ในมือออกไปดังฟิ้ว กระต่ายที่ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้ายหายวับไปไม่เหลือเงาในชั่วพริบตา “บินเถิดเจ้าน้องชาย!”
สือโหรวยื่นมือมากุมขมับ
เผยเฉียนปัดฝ่ามือ นั่งยองลงข้างเฉินผิงอันที่กำลังก่อเตาไฟง่ายๆ ถามอย่างใคร่รู้ “อาจารย์ วันนี้เป็นวันอะไรหรือ? มีเรื่องอะไรที่ต้องพิถีพิถันไหม? ยกตัวอย่างเช่นเป็นวันเกิดของเทพภูเขาที่ร้ายกาจบางคน ก็เลยกินเนื้อบนภูเขาไม่ได้?”
เฉินผิงอันเพียงแค่ยิ้มบางๆ “ไม่มีอะไรต้องพิถีพิถัน”
ท่าเรือตระกูลเซียนที่ตั้งอยู่ริมชายแดนแห่งนั้น คือท่าเรือที่ไม่มีการวางมาดของตระกูลเซียนที่สุดเท่าที่เฉินผิงอันเคยพบเห็นมา
ไม่เพียงแต่ไม่มีตราผนึกภูเขาและแม่น้ำที่ต้องปิดบังอำพราง กลับกันยังกลัวว่าคนมีเงินบนโลกมนุษย์จะไม่ยินดีไปเยือน ยังอยู่ห่างจากท่าเรืออีกหลายสิบลี้ก็เริ่มมีการทำการค้ากันแล้ว ที่แท้ท่าเรือแห่งนี้มีเส้นทางการเดินเรือที่แปลกประหลาดอยู่มากมาย ยกตัวอย่างเช่นการไปเยือนถ้ำสถิตตระกูลเซียนบางแห่งที่อยู่รอบแคว้นชิงหลวน สามารถไปนั่งบน ‘แท่นตกปลา’ บนยอดเขาได้ จากนั้นก็โยนเบ็ดไปตกนกหรือปลาบินที่ล้ำค่ามาจากในทะเลเมฆ
ดังนั้นตลอดทางจึงมีคนสัญจรกันอย่างขวักไขว่ ผู้คนเบียดเสียดเนืองแน่น
เฉินผิงอันมาถึงที่นี่ก็ได้ยินข่าวมากมายจากทางเมืองหลวง
อย่างเช่นฮ่องเต้สกุลถังทำตามความต้องการของประชาชนยกลัทธิขงจื๊อขึ้นเป็นศาสนาประจำชาติอันเป็นรากฐานในการหยัดยืนของแคว้น
ส่วนลัทธิเต๋ากับลัทธิพุทธนั้นใครจะอยู่อันดับสอง ว่ากันว่ายังต้องรอฟังผล
อารามเต๋าเล็กๆ แห่งหนึ่งของเมืองหลวงที่ชื่อว่าอารามป๋ายอวิ๋นพลันกลายมาเป็นอารามที่เชื้อพระวงศ์แคว้นชิงหลวนมาจุดธูปไหว้พระ
ภิกษุหนุ่มของวัดป๋ายสุ่ยที่เดิมทีไร้แซ่ไร้นามก็เริ่มแสดงพระธรรมเทศนาต่อคนบนโลก ไม่ว่าจะอยู่ในวัด อยู่บนทางเส้นใหญ่ที่เชื่อมโยงไปได้หลายแห่ง หรืออยู่ท่ามกลางหมู่ชาวบ้านร้านตลาด ว่ากันว่าเขาเทศนาด้วยถ้อยคำที่ตื้นเขินเรียบง่าย แม้แต่เด็กเล็กที่เรียนชั้นประถมก็ยังฟังเข้าใจ
หลังจากเดินขึ้นเรือข้ามฟากตระกูลเซียนขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่มาอย่างราบรื่นแล้ว
ดูเหมือนว่าเผยเฉียนจะไม่มีความสนใจมากนัก อารมณ์ไม่ใคร่จะดี หลังจากคัดตัวอักษรในห้องเฉินผิงอันเสร็จก็กลับไปที่ห้องของตัวเองเงียบๆ เมื่อเทียบกับเผยเฉียนในอดีตแล้วราวกับเป็นคนละคน
เฉินผิงอันจึงไปสอบถามจูเหลี่ยน จูเหลี่ยนเองก็บอกไม่ได้เหมือนกันว่าเป็นเพราะอะไร จึงได้แต่ไปถามสือโหรว สือโหรวจึงบอกความคิดเห็นของตัวเอง
ดังนั้นวันนี้หลังจากเผยเฉียนคัดตัวอักษรเสร็จก็เตรียมจะจากไป
เฉินผิงอันเรียกนางไว้ พานางออกไปจากห้องด้วยกัน ไปยืนชมทัศนียภาพของทะเลเมฆที่หัวเรือ
หนึ่งคนหนุ่มหนึ่งเด็กหญิงยืนอยู่ตรงราวระเบียง เฉินผิงอันปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลง เตรียมจะดื่มเหล้า
เผยเฉียนควักน้ำเต้าลูกเล็กออกมาชูขึ้นสูงเหนือศีรษะ มองซ้ายทีมองขวาที
เฉินผิงอันยังไม่ได้ดื่มเหล้า สุดท้ายก็ผูกน้ำเต้าไว้ตรงเอว หันมายิ้มถาม “มีเรื่องในใจรึ?”
เผยเฉียนพยายามเขย่งปลายเท้าเพื่อจะได้ฟุบตัวลงบนราวรั้ว ถามเบาๆ ว่า “อาจารย์ พอไปถึงสำนักศึกษาซานหยาแล้ว ท่านก็จะชอบแค่เป่าผิงน้อยที่เรียกท่านว่าอาจารย์อาน้อยแค่คนเดียว ไม่ชอบข้าอีกแล้วใช่ไหม?”
เฉินผิงอันทอดสายตามองไปไกล ส่ายหน้าตอบ “ไม่หรอก”
เผยเฉียนนั่งแปะลงไปบนพื้น ยกสองแขนขึ้นกอดอก “ข้าไม่เชื่อ!”
เฉินผิงอันนั่งลงข้างกายเผยเฉียน ยกเท้าขึ้นแล้วหันมาส่งสายตาให้เผยเฉียน
พอเผยเฉียนเห็นรองเท้าหุ้มแข้งบนเท้าของเขาก็ยิ้มจนตาหยีทันที สองนิ้วคีบน้ำเต้าจิ๋วสีเหลืองแกว่งส่ายไปมา “อาจารย์ พวกเราดื่มเหล้ากัน!”
เฉินผิงอันหัวเราะเสียงดัง ปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมาอีกครั้ง ชนกับน้ำเต้าเล็กลูกนั้นเบาๆ แล้วดื่มเหล้าหนึ่งคำ
เผยเฉียนแสร้งทำเป็นว่าในน้ำเต้าลูกเล็กของตัวเองก็มีเหล้าเช่นกัน จึงเงยหน้าทำท่าดื่มเหล้า จากนั้นก็ลุกขึ้นยืน ถอยหลังไปสองสามก้าวเหมือนผีขี้เหล้าน้อยที่กินเหล้าเมาแล้วเดินโซซัดโซเซ “โอ้ย อาจารย์ ข้าดื่มมากไปแล้ว ดื่มมากไปแล้ว…”
เฉินผิงอันเห็นภาพนี้ก็หลุดหัวเราะอย่างอดไม่อยู่
เฉินผิงอันกำลังจะส่งเสียงเตือน
เผยเฉียนก็เดินชนเข้ากับชายฉกรรจ์ร่างกำยำคนหนึ่งที่เดินผ่านมาพอดี คนผู้นั้นพกมีดยาวตรงเอว เขาหลุดหัวเราะดังพรืด “เจ้าตัวน้อยไม่มีตา ไสหัวไปให้ไกลๆ ข้าผู้อาวุโสเดี๋ยวนี้!”
บุรุษผู้นั้นยกฝ่ามือขึ้นมากดศีรษะของเผยเฉียนเอาไว้ หากบิดข้อมือทีเดียวก็ผลักเผยเฉียนให้กระเด็นได้เลย
เพียงแต่ว่าไม่รอให้เขาออกแรง ข้อมือก็ถูกคนหนุ่มที่ก่อนหน้านี้เขาเห็นเพียงแค่แผ่นหลังที่สะพายกระบี่เอื้อมมาจับเอาไว้
เผยเฉียนรีบพูดกับคนผู้นั้นว่า “ขอโทษ เมื่อครู่ข้าไม่ทันเห็นว่าพวกเจ้าเดินผ่านมา ขอโทษด้วย”
บุรุษขมวดคิ้ว คงรู้สึกได้ว่าถูกคนขัดขวางขณะจะลงมือเป็นเรื่องที่เสียหน้า แล้วก็ไม่นึกกริ่งเกรงอีกฝ่าย พลันเพิ่มเรี่ยวแรงหมายจะใช้พายุลมกรดดีดเจ้าหมอนปักลายบุปผาที่ไม่รู้จักกลัวตายผู้นี้ออกไป แล้วค่อยผลักนังถ่านดำตัวน้อยที่เกะกะขวางทางให้กระเด็น
เพียงแต่วินาทีนั้น ความเจ็บปวดรุนแรงก็พลันส่งมาจากข้อมือ เป็นเหตุให้ชายฉกรรจ์ร่างกำยำที่พกมีดเล่มยาวล้มลงคุกเข่าดังตุ้บ เหงื่อแตกเต็มร่าง
เฉินผิงอันหันไปส่งยิ้มบางๆ ให้เผยเฉียน บอกเป็นนัยให้นางไปยืนด้านหลังตัวเอง
มือหนึ่งที่ถือน้ำเต้าของเฉินผิงอันไพล่ไว้ด้านหลัง อีกมือหนึ่งเปลี่ยนจากที่กุมข้อมือของผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวคนนั้นมาเป็นกางห้านิ้วจับกระหม่อมของเขา ค้อมเอวโน้มตัวลงต่ำ ถามด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “เจ้ารนหาที่ตายงั้นรึ?”
ห้านิ้วงอเป็นตะขอ
ชายฉกรรจ์ร่างกำยำผู้นั้นหน้าซีดขาว กัดฟันไม่ขอร้อง
ทว่าความเจ็บปวดนี้ยากจะทานทนได้ไหวจริงๆ ชายฉกรรจ์จึงพูดเสียงกร้าว “ในเมื่อผูกปมความแค้นกันไว้แล้ว เรื่องนี้ก็ไม่จบง่ายๆ แน่!”
คนเจ็ดแปดคนที่จับกลุ่มเดินทางขึ้นเรือมาพร้อมกับเขาพากันกรูเข้ามา หมายจะอาศัยกำลังคนที่มากกว่าหาเรื่องสนุกให้ตัวเองทำ ซ้อมให้หนึ่งคนหนุ่มหนึ่งเด็กหญิงคู่นี้พิการก็ถือเป็นการแก้เบื่อได้ดี
ผลกลับกลายเป็นว่ามีกระบี่บินสองเล่มลอยมาหยุดอยู่ตรงหว่างคิ้วของบุรุษสองคนที่อยู่หน้าสุดพอดี
พอเป็นเช่นนี้ทุกคนก็รู้สึกเหมือนตกอยู่ในอุโมงค์น้ำแข็ง แม้จะเป็นช่วงฤดูร้อนที่อากาศร้อนระอุ แต่กลับรู้สึกเย็นเยือกไปทั้งตัว
ใต้หล้านี้ก็มีแต่ผู้ฝึกกระบี่เท่านั้นที่สังหารคนได้อย่างมาดมั่นที่สุด!
เพียงแต่คนกลุ่มนั้นคงไม่รู้ว่า ไม่พูดถึงว่าจะใช่ผู้ฝึกกระบี่หรือไม่ ลำพังเพียงแค่เรื่องการผูกปมแค้นนี้ เฉินผิงอันทำมาแล้วไม่น้อยจริงๆ อีกทั้งภูมิหลังของพวกศัตรูคู่อาฆาตทั้งหลายก็ล้วนไม่ธรรมดา
ดังนั้นเรื่องที่เฉินผิงอันไม่กลัวมากที่สุดก็คือเรื่องนี้
มือหนึ่งของเฉินผิงอันกระชากบุรุษร่างกำยำที่นั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นขึ้นมา จากนั้นก็ถีบเข้าที่หน้าอกของเขา ร่างของเขากระเด็นหวือออกไปกระแทกสหายหลายคนเข้าพอดี พวกพี่น้องร่วมทุกข์ร่วมสุขทั้งหลายจึงพากันแตกฮือหนีเอาชีวิตรอดอย่างอุตลุดไปหมด
เฉินผิงอันหันมายิ้มบางๆ ให้เผยเฉียน “ไม่ต้องกลัวนะ วันหน้าหากเจ้าท่องอยู่ในยุทธภพแล้วถูกคนรังแกก็แค่กลับบ้าน กลับไปหาอาจารย์”
บทที่ 400.1 ของขวัญ
ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นบนหัวเรือประหนึ่งเสียงฟ้าผ่าดังแต่ฝนกลับตกลงมาเม็ดเล็ก
เพราะว่าผู้ฝึกกระบี่เรียกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตออกมา อีกทั้งยังมีตั้งสองเล่มซึ่งผิดไปจากปกติ แต่สุดท้ายกลับไม่เห็นเลือด?
พวกผู้ชมรู้สึกยังชมได้ไม่สาแก่ใจสักเท่าไหร่
เรือข้ามฝากบรรทุกผู้โดยสารสองร้อยคน ขณะนั้นผู้คนพากันวิพากษ์วิจารณ์ สำหรับคนของแคว้นชิงหลวนแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลที่ลงจากภูเขามาฝึกประสบการณ์ ผู้ฝึกตนอิสระที่แสวงหาผลประโยชน์ให้กับตัวเอง หรือขุนนางชนชั้นสูงที่พาคนในครอบครัวออกมาเปิดโลกทัศน์ การโดยสารเรือข้ามฟากของตระกูลเซียนไม่ใช่เรื่องที่แปลกใหม่ ภาพทัศนียภาพอันงดงามที่ทะเลเมฆเคลื่อนคล้อย นกกระเรียนสยายปีกโบยบิน มองนานไปก็เท่านั้น ถึงอย่างไรก็ไม่ตื่นเต้นเร้าใจสู้เห็นคนทะเลาะวิวาทกัน แต่ละคนต่างก็ยืนกรานในความเห็นของตัวเอง เมื่อเทียบกับสองฝ่ายที่เป็นคนในเหตุการณ์ซึ่งฝ่ายหนึ่งมีท่าทางสบายๆ ผ่อนคลาย ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งก็เปิดเผยความสามารถออกมาเพียงเล็กน้อยแล้ว พวกเขาพูดคุยกันอย่างสนุกปาก ความคิดเห็นแตกต่างหลากหลาย ถึงท้ายที่สุดความเห็นก็เป็นไปในทำนองเดียวกัน ต่างก็รู้สึกว่าผู้ฝึกกระบี่หนุ่มคนนั้นทำอะไรเผด็จการเกินไป เรื่องเล็กน้อยเพียงเท่านี้เหตุใดต้องลงไม้ลงมือทำร้ายคน วางท่าชัดเจนว่าแค่มีตัวตนเป็นผู้ฝึกกระบี่ก็สามารถแก้ไขปัญหาได้ จะต้องถีบให้ชายฉกรรจ์ผู้นั้นล้มลงแล้วไม่อาจลุกขึ้นได้อีก หากนี่ไม่เรียกว่าอาศัยกำลังที่มากกว่ารังแกคนอื่น จะเรียกว่าอะไร?
เพียงแต่ว่ามีแม่นางน้อยคนหนึ่งที่พ่อแม่พาออกมาท่องเที่ยวตามภูเขาแม่น้ำพูดประโยคหนึ่งอย่างไร้เดียงสาว่า ไม่ใช่คนผู้นั้นทำผิดก่อนหรอกหรือ?
พวกผู้ใหญ่ที่มายืนชมเรื่องสนุกอยู่บริเวณใกล้เคียง รวมไปถึงพ่อแม่ของนางที่มาจากตระกูลซึ่งถือว่ามีฐานะในแวดวงตระกูลชนชั้นสูงของแคว้นชิงหลวนต่างทำเป็นว่าไม่ได้ยินคำพูดไร้เดียงสาของเด็กคนนี้ ยังคงคาดเดาความเป็นมาของผู้ฝึกกระบี่คนนั้นต่อไปว่ามาจากสวนลมฟ้าของหลี่ถวนจิ่ง? หรือจากภูเขาตะวันเที่ยงที่มีปราณกระบี่พุ่งเสียดชั้นเมฆ? หากไม่พูดเหน็บแนมเสียดสีก็บอกว่าผู้ฝึกกระบี่ในตำนานก็ร้ายกาจเช่นนี้ อายุยังน้อย แต่นิสัยกลับฉุนเฉียวไม่เบา ไม่แน่ว่าวันใดที่พบเจอกับเซียนดินที่ไร้เหตุผลยิ่งกว่านี้ก็อาจต้องพบเจอเรื่องยากลำบากเข้าจริงๆ
แม่นางน้อยพูดอย่างขลาดๆ อีกว่า หากพี่ชายที่สวมชุดขาวและสะพายกระบี่ไว้ด้านหลังผู้นั้นไม่มีความสามารถติดตัว ก็ต้องถูกคนกลุ่มใหญ่กลุ่มนั้นรังแกไม่ใช่หรือ?
พวกผู้ใหญ่ยังคงไม่สนใจความคิดอ่อนเยาว์ของเด็กน้อยคนหนึ่ง เด็กตัวเท่าก้นจะไปเข้าใจอะไร
ไม่มีใครสนใจนาง แม่นางน้อยรู้สึกโมโหเล็กน้อยจึงวิ่งไปยังบริเวณใกล้กับราวรั้วหัวเรือซึ่งมีคนยืนอยู่น้อย พยายามเขย่งปลายเท้ามองไปข้างนอก ก้อนเมฆเหล่านั้นราวกับขนมสายไหมที่ใหญ่ที่สุดในใต้หล้า ทำเอานางมองแล้วน้ำลายไหล ยื่นมือออกไปทำท่าคว้าจับมาไว้ในมือแล้วยัดใส่ปาก จากนั้นตบท้องด้วยความพึงพอใจ แล้วก็ไม่อารมณ์เสียกับพวกผู้ใหญ่อีก อันที่จริงนางอยากไปเล่นกับคนวัยเดียวกันที่เหมือนถ่านดำก้อนน้อยคนนั้น เพียงแต่ตอนนั้นนางไม่ค่อยกล้าสักเท่าไหร่ อีกอย่างพ่อแม่ก็กำชับนางว่า ขึ้นมาบนเรือแล้วห้ามทำตัวเหมือนเวลาอยู่ที่บ้าน ตอนหลังยังเกิดเรื่องใหญ่ขนาดนั้นขึ้น นางจึงยิ่งไม่กล้าขยับเข้าไปใกล้อีก
แม่นางน้อยพลันสังเกตเห็นว่าข้างราวรั้วที่ห่างไปไม่ไกลมีคนอยู่ผู้หนึ่ง คนผู้นั้นหน้าตาดีเป็นพิเศษ เทียบกับพี่ชายที่ปกป้องนังหนูถ่านดำก่อนหน้านี้แล้วก็เหมาะสมกับคำว่ารูปงามสะโอดสะองที่บอกไว้ในตำรายิ่งกว่าเสียอีก
คนผู้นั้นอายุประมาณสามสิบปี เพียงแต่ร่างทั้งร่างกลับให้ความทรงจำที่ค่อนข้างพร่าเลือนแก่คน รู้แค่ว่าอายุน้อย เปี่ยมไปด้วยพลังชีวิตเท่านั้น
เขาหันหน้ามาสบตานาง แม่นางน้อยรีบหันหน้าหนี แสร้งทำเป็นว่ากำลังชมทัศนียภาพ
คนผู้นั้นคลี่ยิ้ม เลียนแบบแม่นางน้อยด้วยการยื่นมือออกไปคว้าเมฆสีขาวล่องลอยลักษณะคล้ายกับยอดเขาซึ่งลอยอยู่ใกล้กับตัวเรือ จากนั้นยอดเขาสีขาวหิมะนั่นก็ส่ายไหวเล็กน้อย แล้วก็มีเส้นสีขาวที่พอถูกแสงแดดส่องก็เป็นประกายระยิบระยับเส้นหนึ่งลอยเข้ามาในมือของคนผู้นั้น ถูกเขาขยำเป็นก้อนกลม เขายิ้มพลางยื่นส่งมันมาให้แม่นางน้อย ราวกับกำลังสอบถามว่าอยากลองชิมดูไหม แม่นางน้อยส่ายหน้าอย่างแรง คนผู้นั้นจึงโยนใส่ปากตัวเอง
แม่นางน้อยรู้สึกชื่นชมอีกฝ่ายอย่างมาก นางอ้าปากกว้าง นับถืออย่างสุดจิตสุดใจ
คือเทพเซียนที่หน้าตาดีจริงๆ
คนผู้นั้นฟุบตัวคว่ำอยู่บนราวรั้ว ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ลาหยุดเพื่อออกเดินทางครั้งนี้ ทั้งเพื่อผ่อนคลายจิตใจ แล้วก็เพราะอยากมาลองสังเกตดูคนหนุ่มที่มีความเป็นไปได้อย่างถึงที่สุดว่าจะมีที่มาจากสำนักเดียวกันผู้นั้นใกล้ๆ
เขาก็คือผู้บัญชาการณ์ใหญ่เหวยเลี่ยงแห่งแคว้นชิงหลวน
เป็นทั้งคนที่วางแผนล้อมสังหารวัวเหลือง ล่อผู้ฝึกตนอิสระมาสังหาร แล้วก็เป็นทั้งผู้พิทักษ์ประตูเมืองหลวงของงานโต้วาทีพุทธเต๋าแคว้นชิงหลวนในครั้งนี้ด้วย
งานโต้วาทีพุทธเต๋ายังไม่ปิดฉากลงอย่างแท้จริง ดังนั้นผู้บัญชาการณ์ใหญ่ที่อายุมากกว่าแคว้นชิงหลวน เป็นแขนซ้ายขวาคอยช่วยเหลือฮ่องเต้ผู้บุกเบิกแคว้นชิงหลวน อดีตกุนซืออันดับหนึ่งอย่างเหวยเลี่ยงจึงขอลาหยุดกับฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน เมื่อไม่มีเหวยเลี่ยงนั่งบัญชาการณ์อยู่ที่เมืองหลวง ตอนนี้สถานการณ์ของแคว้นชิงหลวนก็ซับซ้อนอย่างถึงที่สุด ข้างตั่งนอนของฮ่องเต้มีแต่เสือและหมาป่า แต่ต่อให้ถังหลีจะไม่เต็มใจมากแค่ไหน ฮ่องเต้สกุลถังผู้นี้ก็ยังคงฝืนใจตอบรับอีกฝ่าย
หลังจากที่ฮ่องเต้ไท่จู่แคว้นชิงหลวนก่อตั้งแคว้น เขาก็ได้สร้างหอเรือนและแขวนภาพเหมือนของขุนนางผู้มีคุณูปการในการต่อตั้งแคว้นไว้ยี่สิบสี่คน อันดับของ ‘เหวยเฉียน’ ไม่สูงมากนัก แต่ลูกหลานของลูกหลานขุนนางบุ๋นบู๊อีกยี่สิบสามคนที่เหลือล้วนตายไปหมดแล้ว แต่เหวยเฉียนก็แค่เปลี่ยนชื่อใหม่มาเป็นเหวยเลี่ยงเท่านั้น
เรือข้ามฟากตระกูลเซียนที่มีชื่อว่า ‘ชิงอี’ (ชุดเขียว) ลำนี้รูปลักษณ์เหมือนกับเรือรบของราชวงศ์ในโลกมนุษย์ที่แล่นอยู่บนทะเลสาบและแม่น้ำขนาดใหญ่ ความเร็วไม่มาก อีกทั้งยังขับอ้อม นั่นก็เพื่อให้ผู้โดยสารเกินครึ่งของเรือสามารถไปหาความบันเทิงจากภูเขาทั้งหลายที่มีชื่อเสียงของตระกูลเซียน ได้ขึ้นไปบนแท่นตกปลาบางแห่งที่สูงเหนือทะเลเมฆ ใช้คันเบ็ดตกปลาที่ทำมาจากไม้พิเศษซึ่งผ่านการหลอมเล็กไปตกนกและปลาบินที่มีมูลค่าเท่ากับทองพันชั่ง ไปชมทัศนียภาพอันยิ่งใหญ่งดงามยามพระอาทิตย์ขึ้นและตกบนยอดเขาสูงบางแห่งที่มีโรงเตี๊ยมตั้งเรียงราย ไปซื้อต้นไม้ดอกไม้แปลกๆ ใหม่ๆ ที่ตระกูลเซียนทุ่มเงินก้อนใหญ่ซื้อเมล็ดพันธ์ จากนั้นก็มอบให้ผู้ฝึกตนสำนักกสิกรรมเป็นผู้ปลูกและดูแล หลังซื้อมาแล้วจะเอากลับไปชื่นชมที่บ้าน หรือนำไปติดสินบนในวงการขุนนางก็ได้ทั้งนั้น และยังมีภูเขาบางแห่งที่จงใจเลี้ยงสัตว์บางประเภทไว้ตามภูเขาและทะเลสาบ ซึ่งจะมีผู้ฝึกตนทำหน้าที่พาคนมีเงินที่ชอบล่าสัตว์ขึ้นเขาลงน้ำ ‘เสี่ยงอันตราย’ ไปจับพวกมันมา
ท่ามกลางกาลเวลาที่เหวยเลี่ยงใช้ชีวิตโดยมีเหล่าบุปผางามห้อมล้อม อันที่จริงเขาตัวคนเดียวมาโดยตลอด
ทุกครั้งที่จวนผู้บัญชาการณ์ใหญ่แต่งภรรยามาอย่างถูกต้องเปิดเผยล้วนเป็นเพียงแค่ข้ออ้างบังหน้าเท่านั้น ด้วยเหตุนี้เขาจึงไร้ลูกหลาน
พริบตาเดียวเวลาก็ผ่านไปนานหลายปีขนาดนี้แล้ว
เหวยเลี่ยงย่อตัวลงนั่งยอง ยิ้มกล่าว “แม่นางน้อย เจ้าชื่ออะไรหรือ?”
แม่นางน้อยลังเลไปชั่วขณะ “ข้าชื่อหยวนเหยียนซู่”
เหวยเลี่ยงผงกศีรษะรับ “คำพูด (เหยียน) ย่อมต้องมีเนื้อหาและเรียงลำดับ (ซู่) หากมองเช่นนี้ ในครอบครัวของเจ้าต้องมีผู้อาวุโสที่เคยเป็นผู้เลื่อมใสใน ‘หลักอี้ฝ่า’ ( ‘อี้’ หมายถึงเนื้อหาที่เขียนในบทความต้องอิงตามวัตถุประสงค์ของคัมภีร์ลัทธิขงจื๊อ ‘ฝ่า’ หมายถึงวิธีการเขียนบทความ อี้เป็นตัวตัดสินฝ่า ฝ่าเป็นตัวแสดงออกถึงอี้ นั่นคือเรียกร้องให้เนื้อหาถูกต้อง ถ้อยคำกระชับสวยงาม) ของพรรคถงเฉิงในอดีต ความรู้สายนี้เงียบหายไปนานหลายปีแล้ว ถ้าอย่างนั้นข้าก็เดาว่าไม่น่าจะเป็นพ่อเจ้าที่ตั้งชื่อให้ แต่เป็นปู่ของเจ้ากระมัง?”
แม่นางน้อยเบิกตากว้าง ยิ่งรู้สึกนับถือคนผู้นี้เข้าไปใหญ่ เรื่องนี้ก็เดาได้ด้วย?
เหวยเลี่ยงยิ้มถาม “พวกเรามาคุยกันหน่อยดีไหม?”
แม่นางน้อยวิ่งเหยาะๆ สองสามก้าวมานั่งยองอยู่ข้างกายเขา “ท่านอาจารย์พูดมาเถอะ ข้าจะรับฟังก็แล้วกัน”
ห่างออกไปไกล มารดาของแม่นางน้อยมีสีหน้าเป็นกังวล เตรียมจะไปพาตัวลูกสาวกลับมาอยู่ข้างกาย
สามีของสตรีแต่งงานแล้วคือปัญญาชนลัทธิขงจื๊อวัยกลางคน เขาเองก็คิดแบบนี้เหมือนกัน อยู่บนเรือข้ามฟากตระกูลเซียน ล้วนไม่มีใครที่เป็นคนธรรมดาเรียบง่าย
เพียงแต่ว่าเค่อชิงผู้เฒ่าของในตระกูลที่ติดตามพวกเขามาด้วยกลับส่ายหน้าให้ชายวัยกลางคนลัทธิขงจื๊อ เอ่ยเบาๆ ว่า “ไม่แน่ว่าอาจเป็นโชควาสนาตระกูลเซียนครั้งหนึ่ง ทางที่ดีที่สุดพวกเราคอยสังเกตการณ์ไปเงียบๆ ดีกว่า”
สองสามีภรรยาถึงได้พอจะวางใจลงได้ ขณะเดียวกันก็แอบรู้สึกคาดหวัง
เหวยเลี่ยงถือโอกาสนั่งลงขัดสมาธิ ฝ่ามือสองข้างวางค้ำหัวเข่า เรือข้ามฟากตระกูลเซียนลำนี้ขับเคลื่อนเข้ามาเหนือทะเลเมฆแถบหนึ่ง นอกราวรั้วประหนึ่งแม่น้ำสายยาวสีขาวโพลน สมกับคำว่าเรือข้ามฟากอย่างแท้จริง
เหวยเลี่ยงถามความเห็นของแม่นางน้อยหยวนเหยียนซู่เกี่ยวกับข้อพิพาทก่อนหน้านี้ แม่นางน้อยจึงพูดความคิดของตัวเองออกมา
เห็นว่าเทพเซียนท่านนี้ผงกศีรษะ หยวนเหยียนซู่ก็รู้สึกดีใจ ในที่สุดก็มีคนยอมรับในความคิดของตนแล้ว
เหวยเลี่ยงเอ่ยเนิบช้า “เด็กน้อยที่ยังเข้าใจเรื่องทางโลกได้ไม่ลึกซึ้งอย่างพวกเจ้านี้ ล้วน…จะพูดอย่างไรดีล่ะ ก็เหมือนกับเครื่องกระเบื้องชิ้นหนึ่งที่งดงามที่สุดแต่กลับเปราะบางที่สุด ในอนาคตจะได้เข้าไปอยู่ในห้องโถงใหญ่งดงาม หรือจะกลายเป็นเพียงไหแตกที่ถูกทิ้งอยู่ข้างทางก็ล้วนต้องดูว่าได้รับการอบรมสั่งสอนมาดีหรือไม่ หากได้รับการสั่งสอนมาดี รูปร่างก็ตั้งตรงถูกต้อง แต่หากสอนไม่ดี รูปร่างก็เอนเอียงบิดเบี้ยว”
“ทำตัวเป็นแบบอย่างทั้งคำพูดและการกระทำ ซึ่งจะต้องเน้นอย่างหลังเป็นสำคัญ คำพูดเป็นมายา การกระทำเป็นของจริง เพราะไม่แน่เสมอไปว่าเด็กๆ จะฟังหลักการที่พวกผู้ใหญ่พูดเข้าใจ แต่พวกเขากลับมีความสงสัยใคร่รู้ต่อโลกใบนี้มากที่สุด ต้องการให้เด็กๆ ฟังเข้าหู บรรจุหลักการเหตุผลไว้ในหัวนั้นยากมาก ในสายตาของเด็กๆ เห็นอะไรได้มากกว่า จดจำภาพลักษณ์คร่าวๆ ของวิถีแห่งโลกใบนี้ได้ง่ายกว่า พวกเขามองอย่างตื้นๆ แยกแยะดำขาวชัดเจน ไร้เดียงสาแต่กลับล้ำค่า ซึมซับอิทธิพลจากสภาพแวดล้อมและสิ่งอื่น ๆ เข้าไปโดยไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย ทีละเล็กทีละน้อย เป็นเดือนเป็นปี ภาพของโลกในใจก็เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาแล้ว และยากที่จะเปลี่ยนแปลงได้อีก”
“ดังนั้นคนหลายคนที่พอเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้วกลับมีการกระทำที่ผิดแผกแปลกประหลาดซึ่งผิดต่อความทรงจำที่คนอื่นจำได้ อันที่จริงสิ่งเหล่านี้ล้วนมีร่องรอยให้ค้นหามาตั้งแต่แรกแล้ว ในช่วงเวลาสำคัญของการขัดเกลานิสัยคนให้เป็นรูปเป็นร่าง การกระทำและคำพูดของพ่อแม่จึงเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างถึงที่สุด การสั่งสอนอบรมที่เพราะทำความผิด แต่กลับด่าไม่ตรงจุด หรือทำผิดแล้ว แต่กลับรู้สึกว่าลูกของตัวเองอายุน้อยเกินไปจึงเลือกจะมองข้าม สุดท้ายก็ไม่เท่ากับทำร้ายคนอื่น ทำร้ายตัวเอง และทำร้ายบุตรชายบุตรสาวของตัวเองหรอกหรือ ดังนั้นการลงโทษและให้รางวัลจะต้องแยกแยะอย่างชัดเจน พ่อแม่ต้องรู้จักตั้งกฎเกณฑ์ให้กับบุตร การอบรมสั่งสอนเมตตาธรรมคุณธรรมคือวิธีอันเป็นรากฐานในการปกครองสังคม การพันธนาการและการลงโทษคือวิธีรองลงมาในการปกครองสังคม”
น้ำเสียงในการพูดของเหวยเลี่ยงราบเรียบ ไม่เร็วไม่ช้า
แม่นางน้อยตั้งใจฟังอย่างยิ่ง บางครั้งก็กะพริบตาปริบๆ
เหวยเลี่ยงเอ่ยต่อว่า “ดังนั้นตอนที่ยังเด็ก พ่อแม่จึงต้องใช้การกระทำสอนคุณธรรมและเมตตาธรรมแก่บุตร พอโตขึ้นมาหน่อย อาจารย์ก็สอนคุณธรรมและเมตตาธรรมในตำราให้แก่ลูกศิษย์ ทั้งสองฝ่ายช่วยเหลือเกื้อกูลอัน ฝ่ายแรกมุ่งเน้นไปทางปฏิบัติ ฝ่ายหลังมุ่งเน้นสู่การยกระดับ จะขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไปไม่ได้ ยิ่งไม่ควรขัดแข้งขัดขากันเอง”
แม่นางน้อยนั่งฟังเงียบๆ อยู่ตลอดเวลา ก็ไม่รู้ว่านางฟังเข้าใจบ้างหรือไม่
แต่แม่นางน้อยก็ยังเข้าใจว่าเวลาที่คนอื่นพูดต้องตั้งใจฟัง ห้ามพูดแทรก
เหวยเลี่ยงหันหน้ามายิ้มถาม “รู้หรือไม่ว่าคนแบบไหนที่ค่อนข้างชอบฟังคนอื่นพูดถึงหลักการและเหตุผล?”
แม่นางน้อยส่ายหน้า
เหวยเลี่ยงจึงถามเองตอบเอง “ช่วงแรกเริ่ม ลูกฟังพ่อแม่ หลังจากนั้นนักเรียนก็ฟังอาจารย์ พอเติบโต คนอ่อนแอต้องฟังคนแข็งแกร่ง คนจนฟังคนรวย ขุนนางฟังกษัตริย์ หรืออย่างล่างภูเขาที่ต้องฟังบนภูเขา บนภูเขาต้องฟังยอดเขา ถ้าอย่างนั้นปัญหาก็มาแล้ว หากคนแข็งแกร่งทำไม่ถูก แต่คนอ่อนแอกลับเชื่อมั่นยึดถือในเหตุผลของผู้แข็งแกร่งอย่างสุดจิตสุดใจ จะทำอย่างไร? คุณธรรมและเมตตาธรรมนั้นยากที่จะเอามาใช้ให้เกิดผลแล้ว ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีกฎเกณฑ์ บนโลกมีของสิ่งหนึ่งที่ทำให้คนเคารพนับถือได้มากกว่าวิชาคาถาตระกูลเซียนทั้งหมดบนภูเขา ทำให้ผู้แข็งแกร่งทุกคนต่างก็รู้สึกเหมือนถูกมัดมือมัดเท้า ทำให้คนเหล่านี้เหมือนเด็กที่ทำความผิดแล้วกลัวคำตำหนิของพ่อแม่ เหมือนไม้ปัดขนไก่และไม้บรรทัดของอาจารย์สอนหนังสือที่หากทำผิดก็จะตีลงมากลางฝ่ามือ รู้จักความเจ็บปวด”
เหวยเลี่ยงยิ้มเจิดจ้า “ฟังไม่เข้าใจ ใช่ไหม?”
แน่นอนว่านางฟังไม่เข้าใจ ในศีรษะเล็กๆ เหมือนมีแต่แป้งเปียก “อืม!”
เหวยเลี่ยงหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “อันที่จริงเจ้าฟังเข้าหัวไปแล้ว เพียงแต่ว่าตอนนี้ยังไม่เข้าใจก็เท่านั้น แต่มันอยู่ในใจของเจ้าแล้ว เก่งกว่าผู้ใหญ่หลายๆ คนเสียอีก พวกเขาส่วนใหญ่มักจะดีแต่อวดฉลาดในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ หลังจากเคยเสียเปรียบมาก่อน แม่นางน้อย แม้ว่าพรสวรรค์ในการฝึกตนของเจ้าจะธรรมดา แต่ตอนนี้ฐานะครอบครัวของเจ้าดี ไม่ต้องทุกข์ใจเรื่องการกินการอยู่ ไม่มีทางที่จะเกิดเรื่องซึ่งทำให้นิสัยของเจ้าเปลี่ยนแปลงไปมาก วันหน้าค่อยแต่งงานให้กับบุรุษดีๆ ชีวิตนี้ก็คงไม่ย่ำแย่ไปยังไงแล้ว”
หยวนเหยียนซู่รู้สึกเขินอายเล็กน้อย
เรื่องอย่างการแต่งงานนี้ นางก็เคยเล่นเป็นพ่อแม่ลูกกับคนวัยเดียวกันมากก่อน ทุกครั้งจะต้องหาผ้าต่วนสีแดงมาชิ้นหนึ่ง แล้วคลุมลงบนศีรษะเป็น ‘เจ้าสาว’ หาก ‘สามี’ คือหนอนหนังสือตัวน้อยที่อยู่ในตระกูลหลิวจวนติดกันผู้นั้น นางจะยิ้มมากหน่อย แต่หากเป็นเจ้าอ้วนน้อยของจวนหม่า นางกลับไม่เต็มใจจะยิ้มแล้ว
เหวยเลี่ยงยื่นนิ้วข้างหนึ่งออกมา “เห็นแก่ที่เจ้าเฉลียวฉลาดและรู้ความ จงจำไว้เรื่องหนึ่ง รอจนเจ้าเติบใหญ่แล้ว หากเจอกับด่านยากใหญ่เทียมฟ้าที่เจ้ารู้สึกว่าคนในตระกูลไม่อาจรับมือได้ จำไว้ว่าจงไปที่จวนผู้บัญชาการใหญ่ทางทิศใต้ของเมืองหลวง ไปหาคนที่ชื่อเหวยเลี่ยง อืม หากเป็นเรื่องเร่งด่วน แค่ส่งจดหมายฉบับหนึ่งไปก็พอ”
หยวนเหยียนซู่กล่าวอย่างขลาดกลัว “อาจารย์ นั่นเป็นเรื่องอีกตั้งกี่ปีให้หลัง ช่างมันดีกว่าไหม?”
เหวยเลี่ยงส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม “จะคิดแบบนี้ไม่ได้ วันเวลาผ่านไปดุจสายน้ำไหล เพียงชั่วพริบตาเจ้าก็เติบใหญ่แล้ว และอีกชั่วพริบตา…”
ก็อาจจะแก่และตายไปแล้ว
เพียงแต่ว่าคำพูดที่ไม่ถูกกาลเทศะเช่นนี้ เหวยเลี่ยงไม่ได้พูดมันออกมา
บทที่ 400.2 ของขวัญ
เหวยเลี่ยงยิ้มบางๆ กล่าวว่า “คนดีถูกรังแก ก็จะไม่เป็นคนดีแล้วหรือ? คนชั่วย่อมไม่มีจุดจบที่ดี ก็จะไปเป็นคนเลวแล้วอย่างนั้นหรือ? วิญญูชนหลอกได้ด้วยวิธีการที่สมเหตุสมผล ก็รู้สึกว่าต้องรังแกวิญญูชนแล้วอย่างนั้นหรือ? แบบนี้ไม่ถูกต้อง”
“เพียงแต่ว่าหากจะพูดถึงความดีความเลวของคน เป็นเรื่องที่ซับซ้อนเกินไป ต่อให้แน่ใจว่าผิดหรือถูก แต่จะจัดการอย่างไรก็ยังเป็นปัญหาใหญ่เทียมฟ้า ก็เหมือนความขัดแย้งบนเรือข้ามฟากในวันนี้ หากคนหนุ่มที่สะพายกระบี่ผู้นั้นอดทนใช้เหตุผลมาพูดคุยกับคนกลุ่มนั้น แล้วพวกเขาจะฟังหรือ? แม้ปากจะบอกว่าฟัง แต่ในใจยอมรับหรือไม่? ถ้าอย่างนั้นพูดหรือไม่พูดจะมีความหมายอะไร? เพราะสิ่งที่คนกลุ่มนั้นเต็มใจฟังหาใช่หลักการเหตุผลที่แท้จริงไม่ แต่เป็นเพราะสถานการณ์ในตอนนี้พาไป เมื่อสองฝ่ายต่างคนต่างแยกย้ายกัน สันดอนขุดได้สันดานขุดยาก ทุกอย่างก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม ไม่แน่ว่าการที่นั่งลงพูดคุยกันด้วยเหตุผลดีๆ อาจจะกลับกลายเป็นว่าทำให้ตัวเองต้องเสียเปรียบ…ช่างเถิด ไม่คุยเรื่องพวกนี้แล้ว พวกเรามองทะเลเมฆให้สบายใจดีกว่า”
อันที่จริงบทสนทนาครั้งนี้เป็นเหวยเลี่ยงที่พูดคุยกับตัวเองมากกว่า เขายิ่งไม่คาดหวังว่าแม่นางน้อยจะฟังเข้าใจ
ในความเป็นจริงแล้ว ต่อให้เปลี่ยนมาเป็นพ่อแม่ของหยวนเหยียนซู่ที่มานั่งฟังก็ยังไม่มีประโยชน์อยู่ดี ใช่ว่าฟังไม่เข้าใจ แต่เพราะรู้สึกว่าวิถีบนโลกก็เป็นเช่นนี้ พูดคุยเรื่องพวกนี้ยังไม่น่าสนใจเท่าคุยเรื่องหลักการอันลี้ลับซับซ้อนที่อยู่ห่างไกลจากพื้นดินหมื่นลี้เลย
เมื่อสองร้อยปีก่อนเหวยเลี่ยงก็เป็นเซียนดินคนหนึ่งแล้ว แต่เพื่อผลักดันความรู้ของตัวเองจึงคิดจะถ่ายโอนผ่านขนบธรรมเนียมประเพณีของหนึ่งแคว้น ขณะเดียวกันก็นำมาเป็นการบรรลุมรรคาและโอกาสในการพิศมรรคาของตนด้วย ดังนั้นตอนนั้นเขาจึงเปลี่ยนชื่อเป็น ‘เหวยเฉียน’ มาเยือนทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของแจกันสมบัติทวีป ช่วยไท่จู่สกุลถังแคว้นชิงหลวนบุกเบิกแคว้น หลังจากนั้นก็ประคับประคองช่วยเหลือฮ่องเต้สกุลถังรุ่นแล้วรุ่นเล่าก่อตั้งกฎหมาย ก่อนจะมีงานโต้วาทีพุทธเต๋าครั้งนี้เกิดขึ้น เหวยเลี่ยงไม่เคยใช้สถานะผู้ฝึกตนเซียนดินของตัวเองไปเล่นงานขุนนางในราชสำนักและผู้ฝึกตนมาก่อน
เมื่อเป็นเช่นนี้เขาจึงไม่เพียงแต่เหนื่อยทั้งกายเหนื่อยทั้งใจ ความก้าวหน้ายังเป็นไปอย่างเชื่องช้า ถึงขั้นที่ว่าในช่วงเวลาระหว่างฮ่องเต้สองยุคเขายังต้องเดินย้อนกลับมาทางเดิมเป็นระยะทางช่วงใหญ่
นี่ทำให้เหวยเลี่ยงผิดหวังอย่างมาก
สุดท้ายเหวยเลี่ยงจากไปด้วยรอยยิ้ม เพียงแต่เตือนแม่นางน้อยว่าให้เก็บเรื่องจดหมายและเรื่องจวนผู้บัญชาการไว้เป็นความลับ
หลังจากที่เงาร่างของเหวยเลี่ยงหายไป พ่อแม่ของหยวนเหยียนซู่และเค่อชิงของตระกูลถึงเดินมาหยุดอยู่ข้างกายเด็กหญิง เริ่มถามถึงรายละเอียดบทสนทนาของทั้งสอง
แม่นางน้อยไม่กล้าปิดบัง แต่ตอนแรกนางก็อยากรักษาความลับเรื่องที่รับปากกับอาจารย์ท่านนั้นว่าจะไม่พูดถึงเรื่องจวนบัญชาการและจดหมาย
เพียงแต่หลุดปากบอกออกไปโดยไม่ทันระวัง ทำให้เค่อชิงผู้เฒ่าของตระกูลจับเบาะแสได้ เขาหลอกถามนางด้วยสีหน้าเมตตาอ่อนโยนแต่กลับซุกซ่อนความนัยลี้ลับเอาไว้ หยวนเหยียนซู่คิดไม่ตกอยู่นาน แต่ก็ไม่อาจต้านทานการซักถามอย่างกระตือรือร้นจากพ่อแม่ได้ จึงได้แต่พูดออกมาอย่างหมดเปลือก
เค่อชิงผู้เฒ่าดีใจสุดขีด หันไปกระซิบกับชายวัยกลางคนลัทธิขงจื๊อเบาๆ บอกว่าคนผู้นั้นต้องเป็นผู้ฝึกตนที่ถวายการรับใช้อยู่ในจวนผู้บัญชาการใหญ่อย่างแน่นอน! ไม่แน่ว่าอาจเป็นคนดังที่อยู่ข้างกายผู้บัญชาการใหญ่เหวยเลี่ยงก็เป็นได้!
ตระกูลหยวนโชคดีแล้ว!
เค่อชิงผู้เฒ่าตระกูลหยวนกำชับชายลัทธิขงจื๊อผู้นั้นอีกว่า นิสัยของพวกเทพเซียนบนภูเขายากจะคาดเดา ไม่อาจใช้หลักเหตุผลทั่วไปมาประเมินได้ ดังนั้นห้ามวาดงูเติมหางอย่างการไปเยี่ยมเยือนถึงบ้านเพื่อขอบคุณอะไรเด็ดขาด ห้ามเด็ดขาดเชียว ตระกูลหยวนแค่ทำเป็นว่าไม่รู้อะไรก็พอ
สองสามีภรรยาปลาบปลื้มดีใจอย่างถึงที่สุด
มีเพียงแม่นางน้อยที่เต็มไปด้วยความละอายใจต่อเทพเซียนท่านนั้น นางนั่งยองอยู่ข้างราวรั้ว รู้สึกหดหู่เล็กน้อย
เหวยเลี่ยงที่เดินจากไปไกลแล้วถอนหายใจหนึ่งที
เรื่องเล็กแค่นี้ไม่อาจทำให้เหวยเลี่ยงผิดหวังได้ ยิ่งไม่รู้สึกเสียใจภายหลัง แค่ไม่มีความปิติยินดีก็เท่านั้น วันหน้าหากตระกูลหยวนที่ถือว่าเป็นแค่ตระกูลลำดับรองของเมืองหลวงแคว้นชิงหลวนเจอกับปัญหา ต่อให้จดหมายฉบับนั้นส่งไปไม่ถึงจวนผู้บัญชาการ เขาเหวยเลี่ยงก็ยังจะลงมือช่วยเหลือครั้งหนึ่ง
แต่แม่นางน้อยที่ชื่อว่าหยวนเหยียนซู่ผู้นั้นก็ได้สูญเสียโชควาสนาของตระกูลเซียนที่สามารถเหยียบย่างไปบนเส้นทางของการฝึกตนแล้ว
เพียงแต่เหวยเลี่ยงก็รู้ด้วยว่า สำหรับหยวนเหยียนซู่แล้ว นี่อาจจะไม่ใช่เรื่องเลวร้ายจริงๆ เสมอไป
การที่ได้มีชีวิตอย่างสงบสุขมั่นคงอยู่บนโลกก็ถือว่าไม่ง่ายแล้ว
ขึ้นเขามาฝึกตน กลายเป็นผู้ฝึกลมปราณ หากเริ่มงัดข้อกับสวรรค์เมื่อไหร่ ไม่พูดถึงความดีความเลวของคน แต่ขอแค่เป็นคนที่ไม่มีจิตมุ่งมั่นก็ยากที่จะได้พบจุดจบที่ดีในบั้นปลายชีวิต
……
เฉินผิงอันจูงมือเผยเฉียนกลับไปยังห้องบนเรือ
วันนี้เผยเฉียนบอกว่าตัวเองจะคัดตัวอักษรห้าร้อยตัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
เฉินผิงอันไม่ได้ขัดขวาง แค่เตือนว่าวันนี้เขียนเยอะแล้ว แต่ก็ไม่อาจนำไปนับรวมกับวันพรุ่งนี้ได้
เผยเฉียนยืดอกตั้งพูดว่า นั่นมันแน่อยู่แล้ว
ตอนที่คัดตัวอักษรนางก็วางน้ำเต้าน้อยสีเหลืองไว้ข้างมือ
เฉินผิงอันนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะ พลิกเปิดตำราสำนักนิติธรรมเล่มหนึ่งที่ซื้อมาหลังจากได้รับคำแนะนำจากชุยตงซานต่ออีกครั้ง ไม่ใช่ตำราที่มีเล่มเดียวหายากอะไร แต่กลับเป็นหนึ่งในตำรา ‘ดั้งเดิม’ ประเภทที่สามารถสนับสนุนประคับประคองรากฐานของสามลัทธิร้อยสำนักเอาไว้ได้ เกี่ยวกับเรื่องของการอ่านหนังสือนี้ ลู่ไถเคยแนะนำเฉินผิงอันมาก่อน และเฉินผิงอันก็จดจำไว้ขึ้นใจเสมอ ยกตัวอย่างเช่นวิธีการอ่านหนังสือคือควรอ่านเล่มหนาก่อนแล้วค่อยอ่านเล่มบาง รวมไปถึงการ ‘ไล่ตามเส้นเบาะแสไปหาเครือญาติ’ และยังมีเคล็ดลับในการเลือกหนังสือ อย่าเห็นว่าความรู้ของเมธีร้อยสำนักปะปนกันหลากหลาย มีหนังสืออยู่หลายประเภทจนแทบจะเรียกได้ว่ามหาสมุทรตำราอันไร้ขอบเขตสิ้นสุด อันที่จริงแล้วต่อให้เป็นความรู้ของสามลัทธิอย่างขงจื๊อ พุทธ เต๋าที่ตำราได้รับความนิยมมากที่สุด ทว่าหนังสือที่คู่ควรแก่สี่คำว่า ‘เปิดตำรามีประโยชน์’ อย่างแท้จริง รวมกันแล้วกลับไม่เกินห้าสิบเล่ม มนุษย์ธรรมดาที่มีอายุเจ็ดสิบปีทุกคนบนโลกใบนี้ล้วนสามารถอ่านอย่างละเอียดและอ่านทบทวนซ้ำแล้วซ้ำเล่าได้
ดังนั้นตำราสามเล่มนี้ของสำนักนิติธรรมที่เฉินผิงอันเลือกมาจึงเป็นเพียงตำราที่แน่ใจว่าการพิมพ์ไม่มีจุดผิดพลาดเท่านั้น
เรื่องราวในคืนนี้ สิ่งที่เฉินผิงอันรู้สึกปลาบปลื้มใจในตัวเผยเฉียนมากที่สุดยังคงเป็น ‘การกระทำจากใจจริง’ ที่เฉินผิงอันเคยบอกกับเผยเฉียนไปก่อนหน้านี้
เมื่อทำผิดก็ควรขอโทษผู้อื่นก่อนด้วยความจริงใจ
นอกจากนี้ก็คือเผยเฉียนในเวลานี้กับเผยเฉียนในตอนแรกราวกับเกิดฟ้าพลิกดินคว่ำ ยกตัวอย่างเช่นตั้งแต่เกิดเรื่องจนจบเรื่อง ความคิดเดียวของเผยเฉียนก็คือคัดตัวอักษร
ไม่ใช่หันกลับไปด่าคนกลุ่มนั้นด้วยคำพูดทำนองว่าจะไม่ตายดี
เฉินผิงอันถาม “เผยเฉียน ถูกเจ้าหมอนั่นกดหัว เกือบจะผลักเจ้ากระเด็นออกไป เจ้าไม่โกรธหรือ?”
“โกรธสิ ตลอดทางที่เดินกลับมานี่ในใจข้าก็ด่าเขาตลอดทางเลยไงล่ะ เจ้าคนสารเลวทั้งแปดคนนั้น วิธีตายของแต่ละคนที่ข้าคิดไว้ล้วนไม่เหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่นเจ้าคนที่ถูกอาจารย์สั่งสอนนั่นออกจากบ้านไม่ทันระวังสะดุดล้มร่วงลงไปจากเรือข้ามฟาก กระแทกลงบนพื้นจนร่างเหลกเหลว ส่วนสตรีหน้าเหม็นคนที่หากอิงตามการบรรยายหน้าตาที่พ่อครัวเฒ่าเคยเล่าให้ข้าฟังก็ต้องเรียกว่ายิ้มทีถุงใต้ตาปูดบวมผู้นั้น ข้าหวังให้นางอยู่ดีๆ ก็ไปทะเลาะกับคนอื่น แล้วถูกคนเขาตบหน้าหันซ้ายหันขวา สุดท้ายถูกคนตบจนฟันร่วงหมดปาก ฮ่าๆ แล้วก็ยังมีเจ้าคนปากแหลมแก้มลิงผู้นั้น ให้เขาท้องเสีย อยู่บนเรือข้ามฟากไม่มีหมอช่วยจึงต้องนอนกลิ้งร้องโอดโอยอยู่บนพื้น…”
เผยเฉียนมัวแต่มุ่งมั่นคัดตัวอักษร ไม่ทันระวังจึงหลุดปากพูดความในใจออกมา เพิ่งจะรู้ตัวในฉับพลัน จึงพูดหน้าม่อยว่า “อาจารย์ เขกมะเหงกหรือดึงหู ท่านตัดสินใจเอาเลย”
เฉินผิงอันไม่ได้โกรธสักเท่าไหร่ เขายิ้มถามว่า “งั้นถ้าเกิด…”
ดูเหมือนเผยเฉียนจะรู้ว่าเฉินผิงอันจะถามอะไร จึงยืดเอวตั้งตรง “อาจารย์ท่านวางใจเถิด ข้าก็แค่คิดในใจหาความบันเทิงให้ตัวเองเท่านั้น ต่อให้วันใดข้าฝึกวิชากระบี่ล้ำโลกและวิชาหมัดไร้เทียมทานสำเร็จแล้ว แล้วได้มาเจอกับเจ้าคนพวกนี้ก็ไม่มีทางทำอะไรพวกเขาหรอก! อย่ามากก็แค่ถีบพวกเขาทีหนึ่งเหมือนที่อาจารย์ทำ”
เฉินผิงอันถามอย่างประหลาดใจ “ทำไมล่ะ?”
เผยเฉียนพูดด้วยสีหน้ามีเหตุมีผล “ก็ข้าคือลูกศิษย์ของอาจารย์อย่างไรล่ะ แถมยังเป็นลูกศิษย์เปิดขุนเขาด้วย! หากข้าถือสาพวกเขา จะไม่ทำให้อาจารย์ขายหน้าหรอกหรือ? อีกอย่าง นี่มันเรื่องใหญ่แค่ไหนกันเอง ตอนเด็กข้าถูกคนเตะคนถีบก็ถมเถไป ตอนนี้ข้าเป็นคนมีเงินแล้ว แถมยังเป็นคนในยุทธภพครึ่งตัวแล้วด้วย แน่นอนว่าต้องเป็นคนใจกว้าง!”
จูเหลี่ยนพาสือโหรวผลักประตูเดินเข้ามาพอดี เขายกนิ้วโป้งให้นาง “ความสามารถในการประจบสอพลอของจอมยุทธ์หญิงเผย ยิ่งนานวันยิ่งเข้าขั้นสุดยอดแล้ว”
เผยเฉียนก้มหน้าก้มตาคัดตัวอักษรต่อ วันนี้นางอารมณ์ดีมาก จะไม่คิดเล็กคิดน้อยกับพ่อครัวเฒ่าแล้ว
เฉินผิงอันพูดกับจูเหลี่ยน “อีกเดี๋ยวคนกลุ่มนั้นต้องมาขออภัยแน่นอน เจ้าช่วยขวางไว้ให้ข้าที บอกให้พวกเขาไสหัวไปไกลๆ”
เผยเฉียนถามขึ้น “อาจารย์ ทำไมถึงไม่พบ จะได้พูดคุยกับพวกเขาด้วยเหตุผลไงล่ะ?”
จูเหลี่ยนยิ้มกล่าว “เจ้าจะไปเข้าใจกับผายลมอะไร”
เผยเฉียนไม่ได้เถียงกลับอย่างที่หาได้ยาก นางแสยะปากแอบหัวเราะ
คราวก่อนตอนที่เดินอยู่บนทางเล็กหลังออกจากสวนสิงโต นางก็กุมตดเอาไปให้จูเหลี่ยนกับสือโหรวเดา ดังนั้นพ่อครัวผู้เฒ่า เจ้าเข้าใจผายลมดีจริงๆ
จูเหลี่ยนยืนอยู่ข้างเผยเฉียน มองดูนางคัดตัวอักษร วิธีที่นางใช้เขียนตัวอักษรน่าจะเรียนรู้มาจากเฉินผิงอัน ตอนนี้ก็พอจะถือว่าเขียนได้บรรจงเป็นระเบียบแล้ว
จูเหลี่ยนมองนางเขียนตัวอักษรแต่ละตัวอย่างจริงจังตั้งใจพลางพูดไปด้วยว่า “นายน้อยพูดจาดีๆ กับคนประเภทนี้ ภายนอกพวกเขาต้องทำเป็นว่ายอมศิโรราบให้ทั้งกายและใจ ปากยังจะพูดคำพูดเหลวไหลทำนองว่าวันหน้าจะไม่ทำแบบนี้อีกเด็ดขาด แต่พอหันหลังกลับไปก็เดินเหยียบจมูกขึ้นหน้า (เปรียบเปรยว่าฝ่ายหนึ่งให้หน้าไม่ถือสาอีกฝ่าย ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งไม่เพียงแต่ไม่รับน้ำใจกลับยังทำตัวกำเริบเสิบสาน) ไม่แน่ว่าอาจจะเห็นเรื่องครั้งนี้เป็นความภาคภูมิใจ เวลาเจอคนอื่นก็จะบอกว่าหากไม่ตีกับนายน้อยก็คงไม่ได้รู้จักกัน พอลงจากเรือก็ใช้ชีวิตอยู่ในยุทธภพของพวกเขาต่อไป ในเมื่อมีสหายเป็นผู้ฝึกกระบี่ซึ่งคนทั้งเรือต่างก็เป็นพยานให้ได้แล้ว นี่จะไม่ทำให้คนอื่นๆ กริ่งเกรงหรอกหรือ เจ้าคิดว่าเป็นเรื่องเล็กหรือไง?”
เผยเฉียนเงยหน้าขึ้น กล่าวอย่างกังขา “จะเป็นเพื่อนกันได้อย่างไร พวกเราไม่ได้เป็นศัตรูคู่แค้นกับพวกเขาหรอกหรือ?”
จูเหลี่ยนนั่งลงด้านข้าง พูดด้วยเสียงเรียบเฉย “พวกเรารู้ แต่ยุทธภพไม่รู้”
เผยเฉียนหยุดมือที่เขียนพู่กัน นางโมโหจนต้องเอามืออีกข้างหนึ่งตบโต๊ะ “เหตุใดยุทธภพถึงได้เส็งเคร็งเช่นนี้!”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ตั้งใจคัดตัวอักษรไป พยายามเขียนให้เสร็จรวดเดียว อย่าอืดอาดยืดยาดระหว่างเขียน”
เผยเฉียนร้องอ้อหนึ่งที แล้วก็คัดตัวอักษรต่ออีกครั้ง
แล้วก็จริงดังคาด
ระเบียงด้านนอกมีเสียงฝีเท้าดังขึ้นมาเป็นระลอก คนส่วนใหญ่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสามสี่ มีแค่คนเดียวที่เป็นขอบเขตห้า
พวกเขาเริ่มเคาะประตู
หลังจากจูเหลี่ยนไปเปิดประตูก็ถีบคนหนึ่งในนั้นกระเด็นออกไป “อย่ามารบกวนความสงบสุขของนายน้อยข้า หากยังมาให้เกะกะสายตา ข้าเห็นใครก็จะตบคนคนนั้นให้ตาย”
คนกลุ่มนั้นหวาดผวาพรั่นพรึง ก้มหน้าค้อมเอวต่ำ บอกลาแล้วเฮโลกันจากไป
ห้องที่อยู่ใกล้เคียงกับระเบียงเส้นนี้มีถึงครึ่งหนึ่งที่เปิดประตูออก พวกเขาต่างก็สงสัยใคร่รู้กันอยู่แล้วว่าอันดับต่อไปจะเป็นการพูดจาไม่เข้าหูเลือดก็กระเด็นไกลสามฉื่อ หรือจะเป็นตำนานอันงดงามในยุทธภพอย่างที่กล่าวถึงในตำรา
ผลกลับกลายเป็นว่าเกิดภาพเหตุการณ์นี้ขึ้น ทุกคนต่างก็รู้สึกเบื่อหน่ายเล็กน้อย
แต่ก็มีผู้ฝึกตนอิสระหลายคนที่รู้สึกดีไม่น้อย
หากคนมุทะลุกลุ่มนั้นได้รับโชคดีหลังโชคร้าย ได้ปีนป่ายพึ่งพาผู้ฝึกกระบี่หนุ่มที่ลึกล้ำจนมองไม่เห็นก้นบึ้งผู้นี้จริงๆ พวกเขาก็ไม่ต้องอิจฉาตาร้อนจนตายหรอกหรือ
มองเฉินผิงอันที่กำลังมองเผยเฉียนคัดตัวอักษร ดูว่าแต่ละขีดแต่ละเส้นที่นางเขียนมีข้อผิดพลาดหรือไม่
สือโหรวพลันรู้สึกอย่างหนึ่งว่า เวลาหลายร้อยปีที่ตนเป็นผีมานี้เหมือนเอาชีวิตไปใช้บนร่างสุนัขโดยแท้
เขายังไม่ทันอายุยี่สิบเลยไม่ใช่หรือ?
ไม่ควรมองจุดที่ละเอียดอ่อนที่สุดในใจคนได้อย่างทะลุปรุโปร่งขนาดนี้กระมัง
เฉินผิงอันหันขวับกลับมา ยิ้มถามว่า “เจ้ามองข้าอยู่นานแล้ว มีอะไรหรือ?”
สือโหรวเขินอายเล็กน้อย ส่ายหน้าตอบรับ
เห็นเฉินผิงอันมีสีหน้าประหลาด สือโหรวก็กลัวว่าเขาจะคิดไปไกล เข้าใจผิดคิดว่าตนมีความคิดที่ไม่ถูกไม่ควร สือโหรวยิ่งคิดก็ยิ่งไม่เป็นตัวของตัวเอง พลันลุกพรวดขึ้นยืน หมุนตัวเดินจากไปทันที
เฉินผิงอันมึนงงไม่เข้าใจ
เขารู้สึกว่าถูก ‘ตู้เม่า’ จ้องมองแบบนี้ ขนบนตัวเขาก็ลุกพรึ่บไปหมด
จูเหลี่ยนพูดอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น “นายน้อยสมกับเป็นหงส์มังกรในกลุ่มคนจริงๆ สตรีบนโลกที่ได้พบบุคคลเฉกเช่นนายน้อยจะไม่ยอมเสียเวลาทั้งชีวิตเพื่อเฝ้ารอนายน้อยหรอกหรือ?”
เฉินผิงอันถอนหายใจ “จูเหลี่ยน บางครั้งคำประจบของเจ้าก็ฟังรื่นหูไม่เท่าของเผยเฉียนจริงๆ”
จูเหลี่ยนหัวเราะฮ่าๆ “ถึงอย่างไรเรื่องการประจบสอพลอนี้ เผยเฉียนก็มีพรสวรรค์โดดเด่นไม่ธรรมดา บ่าวเฒ่าก็แค่เพิ่งจะมาขยันหมั่นเพียรเอาในภายหลังเท่านั้น”
เผยเฉียนก้มหน้าคัดตัวอักษร ไม่แม้แต่จะเงยหน้า ทว่ากลับพูดด้วยสีหน้าขุ่นเคือง “พ่อครัวเฒ่า เจ้ารอก่อนเถอะ รอให้ข้าคัดตัวอักษรเสร็จก่อน ยังเหลืออีกหนึ่งร้อยยี่สิบห้าตัว ถึงเวลานั้นเจ้าแย่แน่”
จูเหลี่ยนพูดกลั้วหัวเราะ “ทำไม จะแข่งกินขี้กับข้าหรือ หรือว่าจะแข่งกันด่าคน?”
เฉินผิงอันรู้สึกทนฟังไม่ค่อยได้จึงหยิบเอายันต์ร่างจริงเทพท่องทิวาราตรีที่มีมูลค่าควรเมืองแผ่นนั้นและแผ่นหยกที่สลักคำว่าวังมังกรชิ้นนั้นออกมา
เพราะถูกหลี่เป่าเจิน ‘เปิดประตู’ ไว้ก่อนแล้ว อีกทั้งเฉินผิงอันก็ไม่รู้วิธีปิดประตู ปราณวิญญาณที่อยู่ในวัตถุสองชิ้นนี้จึงไหลหายไปตลอดเวลา เพียงแต่เมื่อเทียบกับความเปี่ยมล้นของปราณวิญญาณในตัวยันต์และแผ่นหยกเองแล้วก็แทบจะมองข้ามไปได้เลย
ก็เหมือนมีคนใช้จอบขุดร่องน้ำเล็กๆ ปล่อยน้ำออกไปจากทะเลสาบนอกสวนสิงโตที่มีพงต้นกกต้นอ้อแห่งนั้น
นี่จึงยิ่งขับดันให้เห็นถึงช่องโหว่ร้ายแรงถึงชีวิตจากการที่ผู้ฝึกยุทธ์เป็นคนวาดยันต์
หนึ่งคือน้ำมันเดือดพล่านไฟแรง ประหนึ่งสี่ฤดูที่หมุนเวียนเปลี่ยนผ่าน กาลเวลาไม่รั้งรอ
หนึ่งคือสายน้ำเส้นเล็กไหลยาว ดุจถ้ำสถิตตระกูลเซียน สี่ฤดูล้วนเขียวขจี
จูเหลี่ยนจุ๊ปากพูด “แผ่นหยกนี้มองไม่ออกถึงความเป็นมา แต่ยันต์ล้ำค่าของคุณชายรองตระกูลหลี่แผ่นนี้น่าจะถือว่าเป็น…สมบัติอาคมในสมบัติอาคมของตระกูลเซียน?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “สายยันต์คือสายใหญ่สายหนึ่งของลัทธิเต๋า การเปลี่ยนแปลงพันหมื่นอย่างล้วนเป็นเจตนารมณ์สวรรค์ หลังจากนำมาใช้จนคล่องแคล่วคุ้นเคยแล้วก็มากพอจะทำให้ผู้ฝึกตนเดินทางท่องไปสี่ทิศได้อย่างไม่กริ่งเกรง ต่อให้เจอกับผู้ฝึกกระบี่ที่กินเงินมากที่สุด พลังพิฆาตสูงที่สุดก็ยังมียันต์อักษรบ่อน้ำ ยันต์พันธนาการกระบี่ที่สามารถรับมือด้วยได้ เมื่อเทียบกับผู้ฝึกลมปราณคนอื่นๆ ที่หวาดกลัวผู้ฝึกกระบี่เหมือนกลัวเสือแล้ว ถือว่าดีกว่ามากแล้ว แล้วนับประสาอะไรกับที่ยังสามารถสยบกำราบภูตผี ดังนั้นผู้ฝึกตนทั่วไปจึงมักจะพกยันต์ติดกายไว้หลายแผ่นเพื่อเตรียมไว้ใช้ในช่วงเวลาที่จำเป็น ส่วนจำนวนมากน้อย ระดับสูงหรือต่ำก็ต้องดูที่เงินในกระเป๋าของแต่ละคน”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น