ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น 399-406

 ตอนที่ 399 การเต้นไม่ได้ทำให้อิ่มข้าวได้


ตอนนี้อู่เหมยไม่มีเงินเหลือติดตัวเลย เธอเลือกซื้อของที่ไม่ค่อยถูกชะตาไปหลายอย่าง คงต้องให้เหยียนหมิงซุ่นช่วยเอาของไปหาแลกเพื่อให้ได้เงินมาใช้บ้าง


แต่ถึงอย่างไรเธอจะต้องหาอีกวิธีการในการหาเงิน หากจะต้องพึ่งวิธีการซื้อมาแล้วขายไปแบบนี้ตลอดคงไม่ดีนัก


“ตอนนี้ก็ใกล้เที่ยงแล้ว พวกเราไปหาอะไรกินกันเถอะ” เหยียนหมิงซุ่นพูด


“พี่หมิงซุ่น มื้อเที่ยงหนูเลี้ยงพี่เอง พี่อยากทานอะไรคะ?” อู่เหมยรีบพูดขึ้นทันทีและหันไปมองยังเหยียนหมิงซุ่น


ตอนแรกเธอตั้งใจจะเลี้ยงข้าวเหยียนหมิงซุ่นอยู่หลายครั้งแล้ว วันนี้ช่างพอดีเหลือเกิน เงินติดตัวเธอยังเหลืออีกสิบกว่าหยวน เพียงพอที่จะเลี้ยงอาหารดีๆ ให้กับเหยียนหมิงซุ่นได้สักมื้อ


เหยียนหมิงซุ่นหัวเราะขึ้นเบาๆ พลางใช้มือลูบไปที่หัวของอู่เหมย และถามขึ้นเสียงเบา “ทำไมจู่ๆ ถึงอยากเลี้ยงข้าวพี่ล่ะ?”


อู่เหมยหน้าขึ้นสีแดงระเรื่อ พลางพูดด้วยเสียงอู้อี้ “ก็เพราะว่าอยากขอบคุณพี่หมิงซุ่น พี่ช่วยฉันมาเยอะมาก ฉัน…ฉันไม่รู้ว่าควรจะขอบคุณพี่ยังไงดี ฉัน…”


ยิ่งพูดไปถึงประโยคหลังเธอก็เริ่มติดอ่าง อู่เหมยหยิกมือตัวเองแน่น ใบหน้าก็เริ่มขึ้นสีแดงกว่าเดิมมาก เหยียนหมิงซุ่นจึงอดไม่ได้ที่จะหยอกล้อเธอ จึงได้พูดตัดบท “ช่วงนี้อู่เหมยเรียนเต้นด้วยใช่ไหม? เรียนเป็นยังไงบ้าง?”


อู่เหมยรู้สึกโล่งใจไปมาก ใบหน้าของเธอบ่งบอกถึงความต้องการอยากได้คำชม “ครูเฮ่อบอกว่าพรสวรรค์ด้านการเต้นของฉันดีกว่าการวาดรูป ครูและแม่จ้าวต่างก็อยากให้ฉันหันมาเรียนเต้นแทน แต่ฉันไม่ได้เห็นด้วย”


เหยียนหมิงซุ่นตื่นเต้นและดูตกใจไม่น้อย ยายแสบนี่มีพรสวรรค์ทางด้านการเต้นขนาดนั้นเชียวหรือ?


ช่างเป็นสิ่งที่ใครต่างก็คิดไม่ถึงจริงๆ เขาเพิ่งจะรู้ได้ว่ายายแสบนี่ นอกจากจะไม่มีพรสวรรค์ด้านการเรียนแล้ว แต่พรสวรรค์ด้านอื่นของเธอกลับโดดเด่นไม่น้อย


อย่างที่เคยบอกไว้ว่าสวรรค์ได้ปิดประตูบานหนึ่งของเธอไป แต่สวรรค์กลับได้เปิดหน้าต่างอีกบานให้ แต่ดูท่าแล้วยายแสบคงจะเป็นลูกรักของพระเจ้า หน้าต่างที่ท่านเปิดให้ไม่ใช่แค่บานเดียวเสียด้วย!


“ทำไมเหมยเหมยถึงไม่อยากเรียนเต้นล่ะ?” เหยียนหมิงซุ่นรู้สึกแปลกใจ เด็กผู้หญิงส่วนใหญ่ไม่ได้ชอบร้องเพลงหรือเต้นหรอกหรือ?


อู่เหมยทำปากจู๋แล้วส่ายหน้าไปมาตอบ ”การเต้นไม่ได้ทำให้อิ่มข้าวได้ ทุกวันจะต้องทนหิว ฉันทนไม่ได้หรอก”


จริงๆ แล้วนี่เป็นเหตุผลที่แท้จริงที่เธอไม่อยากเรียนเต้น ที่บอกว่ากลัวเหนื่อยนั่นเป็นแค่คำพูดหลอกลวง สิ่งที่เธอไม่กลัวที่สุดคือความเหนื่อย


ในชาติก่อนเธอจำได้ดีว่ามีนักเต้นหญิงที่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง ทั้งชีวิตของหญิงสาวผู้นี้ เธอไม่เคยกินข้าวอิ่มเลยสักครั้ง กินข้าวแต่ละครั้งแทบต้องได้นับเม็ดข้าว เพียงเพราะต้องรักษาหุ่นของเธอ และเพื่อแสดงด้านที่งดงามของเธอบนเวทีแสดง


ครั้งนั้นที่อู่เหมยได้เห็นบทความข่าวนี้ นอกจากที่เธอรู้สึกเคารพและศรัทธาในตัวหญิงสาวแล้ว ที่เหลือคือความเห็นใจ


คนเรามีชีวิตอยู่ไม่ใช่เพราะกินอยู่อย่างสุขสบายหรือไง แค่กินยังกินได้ไม่อิ่ม แล้วในชีวิตนี้จะมีความหมายอะไร?


ไม่ง่ายเลยที่เธอจะกลับมามีชีวิตอีกครั้งได้ เธอจะต้องกินเที่ยวให้คุ้ม เธอไม่ยอมทรมานท้องตัวเองเพราะต้องทนหิวเพื่อการเต้นแน่!


เหยียนหมิงซุ่นมองดูใบหน้าเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยความจริงจังของอู่เหมย และเขาเองก็รู้ดีว่านั่นคือคำพูดที่ออกมาจากใจของเธอ อยากทนก็ทนไม่ได้


อู่เหมยรู้สึกเขินอายเล็กน้อย แต่เธอก็คิดแบบนั้นจริงๆ เธอไม่อยากพูดโกหกต่อหน้าของเหยียนหมิงซุ่น


“พี่หมิงซุ่น ที่ฉันบอกกับแม่จ้าวว่าเรียนเต้นแล้วกลัวเหนื่อยไม่ใช่เรื่องจริงนะคะ พี่อย่าบอกใครล่ะ” อู่เหมยกำชับเขาอย่างระวัง


เหยียนหมิงซุ่นทนกลั้นขำและพูดขึ้น “ไม่บอกใครหรอก นี่เป็นความลับระหว่างเราสองคน”


อู่เหมยพยักหน้าอย่างแรง และรอยยิ้มค่อยๆ ปรากฏขึ้น เธอรู้สึกว่าความสัมพันธ์ของเธอและเหยียนหมิงซุ่นมีระยะที่ใกล้ขึ้นมามากขึ้น นั่นก็เพราะความลับนี้


“ไปกินข้าวกันเถอะ แถวนี้มีร้านอาหารหางปาง[1]อยู่ร้านหนึ่งถือว่าใช้ได้ เราไปที่นั่นกัน”


เหยียนหมิงซุ่นจูงมืออู่เหมยเหมือนปกติเพื่อเดินออกไปด้านนอก เป็นอีกครั้งที่อู่เหมยหน้าขึ้นสีแดงระเรื่อ ฝ่ามือของเหยียนหมิงซุ่นมีขนาดใหญ่และยังทำให้รู้สึกถึงไออุ่นร้อนที่ออกมา มือของเขาสามารถรวบมือของเธอไว้ได้อย่างง่ายดาย แต่นั่นทำให้รู้สึกอบอุ่นมาก อุ่นไปทั้งขั้วของหัวใจ


แต่ทำไมใจเธอถึงได้เต้นแรงขนาดนี้?


…………………………………………………………………………………………..


ตอนที่ 400 ทานข้าวด้วยกัน


ร้านอาหารหางปางที่เหยียนหมิงซุ่นพูดถึงไม่ใหญ่มาก แต่ร้านดูจัดระเบียบได้อย่างสะอาดตา พ่อค้าเป็นชายร่างท้วมที่ดูซื่อๆ และมีแม่ค้าผิวขาวจ้ำม่ำอีกคน พอพวกเขาเห็นเหยียนหมิงซุ่นก็เข้ามาให้การต้อนรับอย่างดี และดูเหมือนว่าพวกเขาจะรู้จักกันดีพอสมควร


“เสี่ยวเหยียนมาแล้วเหรอ เข้ามานั่งตรงนี้สิ มีโต๊ะที่ลูกค้าเพิ่งจ่ายเงินไปพอดีเลย”


พ่อค้าหัวเราะอย่างอารมณ์ดีและได้พาเหยียนหมิงซุ่นไปยังที่นั่งติดหน้าต่าง บนโต๊ะยังมีรอยชื้นอยู่ซึ่งบ่งบอกได้ว่าจ่ายเงินเสร็จแล้วเพิ่งลุกออกไป


“เชฟเผิง ผมเอาปลาเปรี้ยวหวาน เต้าหู้แผ่นยัดไส้หมูทอดกรอบ ซุปไก่เต้าหู้ หมูน้ำแดง แล้วก็ข้าวอีกสองจานครับ”


เหยียนหมิงซุ่นสั่งกับข้าวได้อย่างชำนาญ เขาหันไปส่งยิ้มให้อู่เหมยและพูด “กับข้าวแต่ละอย่างที่สั่งไปเป็นเมนูขึ้นชื่อของที่นี่ รสชาติดีไม่แพ้ภัตตาคารจุ้ยเซียนเลยล่ะ”


เชฟเผิงยิ้มอย่างดีใจในทันที พลางยกนิ้วโป้งส่งให้เหยียนหมิงซุ่น “เสี่ยวเหยียนช่างมีแววนัก เดี๋ยวฉันจะบอกกับเชฟสวี่ให้ จะได้เพิ่มเนื้อลงไปให้ และต้องเลือกปลาตัวที่เนื้อแน่นๆ หน่อย”


อู่เหมยที่ได้ฟังก็รู้สึกขบขันมาก แม้ว่าเธอจะไม่เคยเจอกับเชฟสวี่ แต่ก็รู้สึกได้ว่าน่าสนใจ


เหยียนหมิงซุ่นเหมือนกับอ่านใจอู่เหมยออก จึงหันไปอธิบาย “เชฟสวี่มีนิสัยใจคอที่แปลกไปบ้าง แต่ฝีมือในการทำอาหารของเขาสุดยอดมาก ฝีมือไม่ได้แย่ไปกว่าเชฟในโรงแรมหรือภัตตาคารใหญ่ๆ เลย”


เมื่อพูดถึงตรงนี้ฝีมือการทำอาหารของเขาก็ได้มาจากเชฟสวี่ที่คอยสอนให้ แม้ว่าจะเรียนไปแค่ไม่กี่อย่าง แต่ก็ถือว่าสามารถสยบคำคนอื่นได้เลย


อาหารเข้ามาเสิร์ฟอย่างรวดเร็ว หน้าตาและกลิ่นผสมผสานกันอย่างลงตัว ดูน่ากินเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะหมูน้ำแดง ไม่เพียงแค่มีหน้าตาน่าทาน แต่เรื่องรสชาตินั้นถือว่าไม่มีที่ติเลยล่ะ กินเข้าไปแล้วไม่มีความมันเยิ้มเลยสักนิด อู่เหมยที่ไม่ชอบกินมันหมูก็ยังกินติดๆ กันไปหลายคำ จนทำให้ริมฝีปากเล็กๆ ของเธอมันวาว


“อร่อยจริงๆ ค่ะ ฉันว่ารสชาติหมูน้ำแดงของที่นี่อร่อยกว่าที่ภัตตาคารจุ้ยเซียนเยอะเลย” อู่เหมยกินไปด้วย พูดชมไปด้วย


เหยียนหมิงซุ่นคีบเนื้อปลาตรงส่วนท้องวางไว้ในจานของอู่เหมย ”รสชาติปลาเปรี้ยวหวานของเชฟสวี่ก็ไม่มีที่ติเหมือนกัน เธอลองกินดูว่าอร่อยไหม?”


“อร่อยค่ะ พี่หมิงซุ่นก็ทานด้วยสิคะ”


เพียงครู่เดียวอู่เหมยก็ถูกปลาเปรี้ยวหวานดึงดูดเข้าไป ดวงตาของเธอเปล่งประกายวับวาว เธอเองจึงคีบเนื้อปลายื่นไปให้เหยียนหมิงซุ่นคืนบ้าง


ทั้งคู่ค่อยๆ กินข้าวด้วยกัน มีบางครั้งที่จะพูดขึ้น แต่นั่นกลับให้ความรู้สึกที่ต่างออกไปจากเดิม บรรยากาศมันช่างงดงามและแลดูสุขสบาย


เหมยซูหานเดินออกมาจากบริษัทไป๋ฮั้วข้างๆ ร้านอาหาร เขาคอยพยุงแม่ตัวเองเอาไว้ ท่าทีของแม่เหมยดูปกติดี ซึ่งดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก แต่สีหน้ากลับไม่ค่อยดีนัก ยังดูซีดเหลืองอยู่บ้าง


“ซูหาน แม่มีเสื้อผ้าใส่อยู่ ลูกอย่าเอาแต่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย เก็บเอาไว้ใช้สำหรับการเรียนเถอะ” แม่เหมยพูดด้วยความไม่พอใจ


เหมยซูหานยิ้มอย่างอิ่มอกอิ่มใจ “แม่ครับ ตอนนี้ลูกของแม่หาเงินได้เองแล้วนะ ต่อให้เป็นเสื้อหนังเสือผมก็มีปัญญาซื้อให้ ซื้อให้แล้วแม่ก็ต้องใส่ด้วยนะ รอให้ถึงช่วงปิดเทอมผมจะพาแม่ไปรักษาที่เมืองหลวง เพราะที่นั่นมีแพทย์แผนจีนเยอะ ต้องรักษาแม่ให้หายได้แน่”


แม่เหมยมองดูท่าทีอิ่มอกอิ่มใจของลูกชาย ในใจเธอรู้สึกได้ถึงความหวานราวกับการได้ดื่มน้ำผึ้ง ลูกชายบ้านไหนจะเทียบได้กับลูกชายของเขาอีก?


แม้ว่าชะตาชีวิตของเธอจะไม่ดีนัก เธอต้องแต่งงานกับผู้ชายที่ไร้ความพยายาม แต่เธอก็ไม่เคยคิดโทษพระเจ้าเลย กลับกันที่เธอรู้สึกขอบคุณ พระเจ้าปฏิบัติต่อเธอได้ดีไม่น้อย ท่านได้ประทานลูกชายที่กตัญญูรู้คุณมาให้ หากต้องให้แลกกับภูเขาทองคำเธอก็ไม่ยอม


“แม่ครับ ให้ผมลี้ยงข้าวแม่ดีกว่า หมูน้ำแดงและปลาเปรี้ยวหวานของร้านนี้อร่อยมาก แม่จะต้องชอบมากแน่ๆ”


เหมยซูหานเหงยหน้าขึ้นมาก็เจอกับร้านที่อยู่ด้านข้าง เขาจึงดีใจและอยากจะเลี้ยงข้าวแม่ตัวเอง แม่ต้องลำบากมาครึ่งค่อนชีวิตแล้ว เคยกินข้าวให้อิ่มไปแค่ไม่กี่ครั้ง แต่ตอนนี้เขามีเงินแล้ว จะต้องทำให้แม่ได้กินอิ่มทุกมื้อ


รสชาติอาหารดีมากจริงๆ แต่กำลังในการกินของอู่เหมยมีไม่เพียงพอ ฟันซี่ใหญ่ๆ ของเธอสั่นคลอน เธอจึงจำเป็นต้องใช้ฟันซี่หน้าและฟันเขี้ยวเข้าช่วยในการบดเคี้ยว ทำให้การกินต้องใช้พละกำลังพอสมควร และนั่นทำให้เธอรู้สึกปวดชาที่แก้มไปหมด


“ช่วงนี้แม่ของเธอไม่ได้ตีเธอแล้วใช่ไหม?” เหยียนหมิงซุ่นคีบเนื้อยื่นให้อู่เหมยหนึ่งชิ้น และถามขึ้นอย่างเป็นห่วงเป็นใย


…………………………………………………………………………………………..


[1] เป็นหมวดอาหารสำคัญของวัฒนธรรมอาหารของเจ้อเจียง รสอาหารเน้นรสเค็มเป็นหลัก


ตอนที่ 401 ใจที่เต้นระรัววุ่นวาย


อู่เหมยรีบกลืนเนื้อในปากลงไป พลันส่ายหัวพูดว่า “ไม่มี ตอนนี้ฉันไม่กลัวเขาแล้ว ถ้าเขาคิดอยากจะตีฉัน ฉันก็วิ่งออกไปข้างนอก แม่ฉันก็ไม่กล้าลงมือใส่ฉันแล้วล่ะ”


เธอพูดอย่างชอบใจว่าระยะนี้ใช้สติปัญญาและความกล้าสู้รบตบมือกับเหอปี้อวิ๋นได้เป็นอย่างดี  บนใบหน้าเล็กเรียวเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจในตัวเอง เหยียนหมิงซุ่นกลั้นยิ้มไว้ไม่อยู่  แต่ในใจกลับสงสารจับใจ


ถูกแม่แท้ๆ ปฏิบัติด้วยความลำเอียง ในใจของเด็กน้อยคนนี้ต้องรู้สึกไม่ดีแน่ๆ  ท่าทางยิ้มแย้มในตอนนี้คงเป็นเพราะเสแสร้งออกมาเท่านั้นแหละ!


เพียงแต่เขาไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมเหอปี้อวิ๋นถึงไม่แยแสอู่เหมยเลยสักนิด?


ว่ากันโดยทั่วไปแล้ว ไม่มีผู้หญิงคนไหนที่จะใจร้ายใจดำกับลูกสาวแท้ๆ ได้ลงคอ  นอกเสียว่าจะไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของตนเอง


เหยียนหมิงซุ่นมองไฝสีแดงชาดที่อยู่ฝั่งตรงข้าม พลันฉุกคิดขึ้นได้ จึงเอ่ยถามอย่างอดไม่ได้ว่า “เหมยเหมย ในบรรดาญาติของตระกูลเธอมีใครหน้าตาเหมือนเธอบ้างไหม?”


อู่เหมยดวงตาลุกวาวขึ้นมาทันที เงยหน้าสอดส่องทุกรอบด้าน แล้วกระซิบด้วยท่าทางลับๆ ล่อๆ ว่า “พี่หมิงซุ่น ฉันจะบอกพี่นะ พ่อแม่ของฉัน พวกเขาต่างมีคนที่อยู่ในใจ…”


เรื่องพวกนี้เธอเก็บเอาไว้ในใจมานานแล้ว  อยากจะหาใครสักคนมาร่วมแบ่งปัน  แต่สยงมู่มู่เด็กน้อยนั้นเธอไม่อยากให้เขาได้ฟังเลยเลยสักนิด มีแค่เหยียนหมิงซุ่นนี่แหละที่สามารถพูดด้วยได้ อีกทั้งเหยียนหมิงซุ่นไม่ใช่คนปากสว่าง  เธอก็ไม่ต้องกังวลว่าข้อมูลจะถูกแพร่งพรายออกไป


อู่เหมยเล่าซุบซิบเรื่องรักสี่เศร้าความสัมพันธ์ยุ่งเหยิงที่ตัดเยื่อใยกันไม่ขาดของอู่เจิ้งซือและเหอปี้อวิ๋น พูดแฉออกมาอย่างหมดเปลือกไม่เหลือเก็บไว้สักนิดเดียว


มุมปากของเหยียนหมิงซุ่นกระตุกขึ้น สบถคำด่าอยู่ในใจ เขามองไปยังแววตาที่ส่องประกายแวววาวของอู่เหมย ทั้งน่าขันและน่าโมโหไปพร้อมกัน ถ้าอาจารย์อู่รู้ว่าเรื่องความลับส่วนตัวของเขา โดนอู่เหมยแฉจนเกลี้ยงแล้ว อารมณ์น่าจะดีไม่น้อยทีเดียว!


“เรื่องพวกนี้วันหลังไม่ต้องเล่าให้คนนอกฟังแล้วนะ” เหยียนหมิงซุ่นพูด


อู่เหมยเบะปาก “รู้แล้ว ฉันเล่าให้แค่พี่เท่านั้นแหละ ขนาดสยงมู่มู่ยังไม่เคยเล่าให้ฟังเลย”


เหยียนหมิงซุ่นส่งยิ้มออกมาด้วยความปีติ คีบเนื้อป้อนเข้าไปในปากของอู่เหมย เด็กน้อยเชื่อฟังเป็นอย่างดี คู่ควรที่จะได้รับรางวัล


ใบหน้าของอู่เหมยเหมือนย้อมด้วยสีแดงก็ไม่ปาน รีบก้มหน้ากินเนื้อเข้าไป เพื่อปิดบังอาการหัวใจเต้นแรงของเธอในตอนนี้


“ตอนนี้เธอเป็นแค่เพียงเด็กน้อยยังไม่โตเลย ฉันแค่คีบเนื้อให้เธอเท่านั้นเอง เธอคิดไปไกลถึงไหนกันเนี่ย!”


อู่เหมยบังคับหัวใจตัวเองไว้  พยายามทำให้หัวใจที่เต้นระรัวสงบลง มันไม่ง่ายเลยกว่าเธอจะหยุดมันได้ ใบหน้ายังคงร้อนฉ่าเหมือนเดิม


เธอเคี้ยวอยู่ไม่กี่คำก็กลืนเนื้อลงไป ตอบคำถามที่เหยียนหมิงซุ่นถามก่อนหน้านี้ขึ้นว่า “พี่หมิงซุ่น ฉันรู้แล้วว่าทำไมแม่ถึงเกลียดฉัน เพราะว่าฉันหน้าเหมือนคนที่แม่ฉันเกลียดมากที่สุด…”


ได้ฟังอู่เหมยพูดเรื่องเหยียนซินหย่า เหยียนหมิงซุ่นก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ ยิ่งรู้สึกหยามเหยียดเหอปี้อวิ๋น เพียงแค่เหตุผลขี้หมูขี้หมาแค่นี้ก็ปฏิบัติต่อลูกตัวเองอย่างโหดร้ายทารุณ บ้าไปแล้วจริงๆ


เหยียนหมิงซุ่นรู้สึกผิดหวังอีกครั้ง ถ้ามองแบบนี้ หน้าตาของอู่เหมยเหมือนคุณป้า เรื่องนี้หากว่ากันตามกรรมพันธุ์แล้ว ล้วนมีความเป็นไปได้ทั้งนั้น


“พี่หมิงซุ่น พี่ว่าแปลกไหม สยงมู่มู่ยังบอกเลยว่าฉันหน้าตาเหมือนคุณป้าเล็กของเขา โครงหน้าเหมือนกัน แถมไฝเม็ดนี้ของฉัน คุณป้าเล็กของเขาก็มีเช่นกัน แต่ว่ามีอยู่ตรงนี้คนละที่กับฉัน”


อู่เหมยยื่นมือขึ้นชี้เปรียบเทียบกันตรงคิ้วฝั่งซ้าย เหยียนหมิงซุ่นมองตามมือของเธอ กลับเห็นว่ามีข้าวติดอยู่มุมปาก จึงยื่นมือไปหยิบข้าวเม็ดนั้นออกโดยไม่คิดอะไร


ใจอู่เหมยเริ่มเต้นรัวขึ้นมาอีกครั้งอย่างไม่สามารถหยุดยั้งได้ เต้นดังตุบๆ เหมือนเสียงกบกระโดด เต้นจนใจปั่นป่วนสมองฟุ้งซ่าน อดไม่ได้ที่จะคิดถึงละครรักโรแมนติกเกาหลีที่เคยดูเมื่อชาติที่แล้ว


…………………………………………..


ตอนที่ 402 ฉันกินฟันกรามตัวเองไปซะแล้ว


ในละครวัยรุ่นกุ๊กกิ๊กน่ารักโดยทั่วไปก็ทำแบบนี้ พระเอกรูปหล่อสง่างามและเต็มไปด้วยความรัก หยิบเม็ดข้าวที่ติดอยู่บนปากของนางเอกที่หน้าตาสวยน่ารักออกมา หลังจากนั้น ก็เอาเข้าปากของตัวเองแล้วกลืนลงไป…


อู่เหมยยิ่งคิดก็ยิ่งหวั่นไหว และยิ่งดูถูกตัวเอง ทำไมถึงมาเพ้อฝันกับผู้นำระดับสูงในอนาคตแบบนี้ได้นะ?


เขาก็แค่เห็นอกเห็นใจถึงช่วยเหลือ อีกทั้งร่างเล็กๆ นี้อายุเพิ่งสิบสองปีเท่านั้น ประจำเดือนยังไม่มาเลย เธอคิดไปถึงไหนกันแล้ว!


อู่เหมยด่าตัวเองไปหลายประโยค พอสมองนึกถึงอู่เยวี่ยและเหอปี้อวิ๋น จิตใจจึงสงบลงทันที นั่งหลังตรงเป็นระเบียบเรียบร้อยขึ้นมา


เหยียนหมิงซุ่นรู้สึกว่าวันนี้อู่เหมยมีท่าทีแปลกๆ อยู่บ้าง เหมือนก้นมีเข็มทิ่มอยู่ก็ไม่ปาน บิดไปบิดมาไม่หยุด แต่ว่าเขาก็ไม่คิดอะไรมาก เด็กน้อยอยู่ไม่สุขถือเป็นเรื่องปกติ


“คุณป้าเล็กของสยงมู่มู่ก็หน้าตาเหมือนกับเธองั้นเหรอ?” เหยียนหมิงซุ่นถามอย่างประหลาดใจ


อู่เหมยพยักหน้า “ใช่แล้ว สยงมู่มู่บอกว่าเหมือนมาก เขายังพูดอีกว่าเป็นเพราะฉันหน้าตาเหมือนคุณป้าเล็กของเขามาก เขาถึงมาเป็นเพื่อนกับฉัน”


เหยียนหมิงซุ่นขมวดคิ้ว การที่อู่เหมยหน้าตาคล้ายเหยียนซินหย่าถือว่าปกติ เพราะถึงอย่างไรก็เกี่ยวข้องกันทางสายเลือดอยู่แล้ว แต่หากเหมือนคุณป้าเล็กของสยงมู่มู่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่นะ?


ประเด็นนี้ชักน่าสนใจขึ้นมาเสียแล้วสิ!


“พี่หมิงซุ่น อันที่จริงฉันเฝ้าหวังมากว่าตัวเองจะเป็นคนที่พ่อเก็บมาจากที่อื่น  แบบนั้นแล้วฉันก็สามารถออกจากบ้านมาได้อย่างเปิดเผย ทำอะไรก็ไม่ต้องเห็นแก่หน้าแม่อีก” อู่เหมยทำท่าจมูกฟุดฟิด แล้วพูดความในใจของเธอออกมา


“คำพูดเด็กน้อย วันหลังอย่าพูดอีกนะ”


เหยียนหมิงซุ่นคีบเนื้อป้อนอู่เหมยอีก อู่เหมยกินไปยิ้มไป แต่ครั้งนี้หัวใจกลับไม่เต้นตุบๆ อีกแล้วเพราะถูกเธอสะกดเอาไว้


ความแค้นยิ่งใหญ่ยังไม่ชำระ ห้ามมีความรักเป็นอันขาด!


จากมุมที่ไม่ไกลนัก เหมยซูหานมองไปทางพวกเขาอย่างตกตะลึง หัวใจหล่นไปที่ตาตุ่ม


ตั้งแต่เมื่อไรกันที่เหยียนหมิงซุ่นกับเหมยเหมยใกล้ชิดกันขนาดนี้?


แต่ไหนแต่ไรมาเหมยเหมยไม่เคยยิ้มอย่างมีความสุขขนาดนี้ต่อหน้าเขามาก่อน แต่กลับยิ้มต่อหน้าเหยียนหมิงซุ่นอย่างเปิดเผยออกมา ไม่เก็บอาการปกปิดไว้เลยสักนิด


แรงไฟริษยาในใจของเหมยซูหานลุกโชติช่วง  กัดฟันกรอด เขารู้แล้วว่าตัวเองทำผิด ทำผิดพลาดอย่างมหัน


เขานึกมาเสมอว่าอู่เหมยยังเด็ก คงไม่มีใครมาแย่งเหมยเหมยไปจากเขา เขาแค่ต้องอดทนรอเหมยเหมยโตขึ้น แล้วค่อยเปลี่ยนแปลงตัวเองให้แข็งแกร่งขึ้น ในอนาคตถึงจะสามารถให้ชีวิตที่ดีกว่านี้กับเหมยเหมยได้


แต่เขาประมาทความงามของอู่เหมยไป ต่อให้อายุแค่เพียงสิบสองขวบ ก็สามารถดึงดูดบางคนที่มีเจตนาร้ายแอบแฝงเข้ามาได้


ยกตัวอย่างเช่นเหยียนหมิงซุ่น เขาดูถูกมากเกินไป โชคดีที่วันนี้เขาพาแม่มาซื้อของที่นี่ ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่รู้ว่าจะโดนปิดบังอีกนานแค่ไหน!


เหมยเหมยเป็นของเขา เธอเป็นของเขาแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น เหยียนหมิงซุ่นห้ามคิดเกินเลยเด็ดขาด!


“ซูหาน พวกเราจะกินอยู่ไหม?” แม่เหมยเอ่ยถามขึ้น


“กินสิ แม่ ผมเจอเพื่อนร่วมห้อง พวกเราไปกินตรงนั้นกันเถอะ”


เหมยซูหานประคองแม่เหมยเดินไปทางโต๊ะของพวกอู่เหมย อู่เหมยกำลังเคี้ยวเนื้อที่เหยียนหมิงซุ่นเพิ่งป้อนเธออย่างเอร็ดอร่อย ติดมันไม่มากไปกำลังพอดี แต่ฟันของเธอไม่ค่อยแข็งแรงเคี้ยวไม่กี่ชิ้นก็ปวดเสียแล้ว ทำได้แค่เพียงใช้ฟันกรามใหญ่ซี่อื่นค่อยๆ เคี้ยวไป


“หมิงซุ่น เหมยเหมย พวกเธอก็มากินข้าวที่นี้ด้วยเหรอ?”


ข้างหูได้ยินเสียงอันคุ้นเคยดังขึ้น เพียงแวบเดียวอู่เหมยก็รู้ว่าเป็นใคร ใจสั่นด้วยความกลัว เหมยซูหานมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ?


ช่วงเวลาตึงเครียด อู่เหมยลืมฟันกรามที่ใกล้หลุดของตัวเองไป ใช้งานเคี้ยวแรงไปหน่อย คิดแค่อยากจะกินเนื้อลงไปเร็วๆ


แกรก…


แย่แล้ว!


เนื้อในปากหมดแล้ว แต่ทำไมถึงรู้สึกมีบางอย่างไม่ชอบมาพากลอยู่นะ เอ๊ะ…ฟันกรามของเธอล่ะ?


อู่เหมยเอาลิ้นไปดุนๆ ในปากมีรสคาวหวานของเลือดจางๆ แต่เดิมฟันกรามด้านซ้ายที่โยกใกล้หลุด เวลานี้กลับหายไปอย่างลึกลับ


คิดถึงชิ้นเนื้อที่ฝืนกลืนลงไปเมื่อครู่ ใบหน้าเล็กของอู่เหมยพลันซีดขาว มองเหยียนหมิงซุ่นน้ำตาคลอ


“พี่หมิงซุ่น ฉันกลืนฟันลงไปแล้ว”


…………………………………………..


ตอนที่ 403 ยั่วยุ


เหยียนหมิงซุ่นตื่นตกใจ นึกว่าเกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้นเสียอีก หลังจากได้ยินคำพูดของอู่เหมยอย่างชัดเจน ก็อดแสดงสีหน้าเหมือนไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี


“อ้าปากให้พี่ดูหน่อย”


อู่เหมยอ้าปากอย่างเชื่อฟัง รู้สึกอับอายอย่างที่สุด ระยะนี้ฟันน้ำนมเธอหลุดเพื่อเปลี่ยนเป็นฟันแท้อยู่บ่อยครั้ง มีฟันบางซี่ที่เพิ่งจะงอกออกมาเกทับซ้อนกัน จึงไม่ค่อยน่าดูเท่าไรนัก


เธอกลัดกลุ้มใจอยู่ไม่น้อย คนอื่นที่อายุสิบสองปีเกือบเปลี่ยนเป็นฟันแท้กันหมดแล้ว แต่เธอกลับมีฟันน้ำนมหลายซี่ที่ยังไม่เปลี่ยน เธอจำได้ว่าชาติที่แล้วอายุสิบสี่ถึงเปลี่ยนเป็นฟันแท้หมดปาก ชาตินี้ยังเร็วกว่าหน่อย น่าจะเป็นเพราะบำรุงร่างกายดีล่ะมั้ง!


เมื่อมองไปยังฟันที่หลออยู่ตรงหน้า มุมปากของเหยียนหมิงซุ่นก็กระตุกอีกครั้ง คิดอยากจะหัวเราะ แต่ในใจกลับใจอ่อนไม่เหมือนดั่งปากพูด


เขาเห็นช่องว่างทางซ้ายที่ฟันหลุดออกไปหมาดๆ บนเหงือกสีชมพูยังรอยเลือดจางๆ อยู่  ดูท่าเด็กซื่อบื่อนี่คงจะกลืนฟันของตัวเองลงไปแล้วจริงๆ


เหยียนหมิงซุ่นก็ร้อนใจอยู่บ้าง โอ้พระเจ้า แม้ว่าเขาจะอ่านหนังสือมามากมาย ตั้งแต่เรื่องดาราศาสตร์ยันเรื่องภูมิศาสตร์เขารู้หมด แต่เขาไม่รู้จริงๆ ว่าถ้ากลืนฟันลงไป จะมีผลลัพธ์อย่างไร


“พี่หมิงซุ่น ลำไส้ของฉันจะโดนฟันที่กลืนลงไปบาดไหม? ฉันจะตายไหม?”


อู่เหมยตกใจเกือบตาย ไม่ง่ายเลยกว่าเธอจะดึงสติกลับมา ถ้าหากเธอตายเพราะฟันหักหนึ่งซี่จริงๆ แล้วละก็ เธอควรแค้นใจไหมล่ะ!


“เหมยเหมยอย่าคิดแง่ร้ายสิ พวกเราไปโรงพยาบาลกันตอนนี้เลย ใกล้ๆ นี้มีโรงพยาบาล พวกเราไปถ่ายเอ็กซเรย์ดู”


เหมยซูหานเกิดอาการร้อนใจมากเช่นกัน  ลากอู่เหมยไปโรงพยาบาล เหยียนหมิงซุ่นก็ไม่ได้ค้านอะไร สถานการณ์ในตอนนี้ทำได้แค่เพียงไปหาหมอที่โรงพยาบาลแล้ว


แม่เหมยมองอย่างขบขัน พูดด้วยเสียงอ่อนหวานว่า “พวกเธออย่าร้อนใจไป เพียงแค่กลืนฟันไปซี่เดียวเอง ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรหรอก”


อู่เหมยตัวสั่นเทิ้ม เสียงอันคุ้นเคยทำให้เธอเงยหน้าขึ้นมาอย่างรวดเร็ว จึงได้เห็นใบหน้าเมตตาและอ่อนโยนที่อยู่ในความทรงจำนั้น


“แม่…คุณป้าสวัสดีค่ะ!”


อู่เหมยดึงคำว่าแม่กลับมาได้ทันท่วงที  รู้สึกยินดีกับตัวเองที่ตอบสนองได้ทันเวลา ถ้าหากเรียกออกไปเช่นนั้นจริงๆ ถึงเวลานั้นเธอจะอธิบายออกไปว่าเช่นไร คงเป็นการปล่อยไก่ตัวใหญ่เลยทีเดียว!


แม่เหมยมองอู่เหมยอย่างเมตตาอ่อนโยน สาวน้อยคนนี้สวยมากจริงๆ สวยราวกับคนในภาพวาด อีกทั้งลูกชายของเธอก็เหมือนจะรู้สึกไม่ธรรมดากับสาวน้อยคนนี้ แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยเห็นเขาร้อนใจกับคนนอกขนาดนี้มาก่อน


“ไม่ต้องกลัว ตอนเด็กๆ เหมยซูหานของฉันยังเคยจงใจกลืนฟันลงไปในท้อง วันต่อมาก็ขับถ่ายออกมาแล้ว ไม่เป็นอะไรเลยสักนิด”


ใบหน้าของเหมยซูหานแดงซ่าน  มองไปทางแม่อย่างไม่ค่อยพอใจ ทำไมถึงได้เอาเรื่องน่าอายตอนเด็กของเขามาพูดแล้วยังพูดต่อหน้าเหมยเหมยอีกต่างหาก!


อู่เหมยถึงสบายใจขึ้นมาบ้าง แม่เหมยพูดว่าไม่เป็นไรก็ต้องไม่เป็นไรแน่นอน แต่ว่าเธอนึกไม่ถึงว่าตอนวัยเด็กเหมยซูหานจะซนเหมือนกัน  คิดมาเสมอว่าเขาเป็นพวกนิสัยเงียบขรึมสุขุมมาโดยตลอดเสียอีก!


“คุณป้ารีบนั่งค่ะ”


อู่เหมยเชื้อเชิญให้แม่ของเหมยซูหานนั่งอย่างกระตือรือร้น เมื่อก่อนเธอยังคิดจะหาโอกาสไปเยี่ยมเยียนแม่เหมยบ้าง แต่นึกไม่ถึงว่าวันนี้จะได้เจอกัน มองดูแล้วสีหน้าของแม่เหมยดูดีทีเดียว ดีกว่าชาติที่แล้วเยอะเลย!


เหมยซูหานตกตะลึงก่อน แล้วจึงแสดงอาการดีอกดีใจออกมา ท่าทีอบอุ่นเป็นมิตรของเหมยเหมยที่มีต่อแม่เขา หรือว่านี่จะเป็นพรหมลิขิต?


เหยียนหมิงซุ่นรู้สึกประหลาดใจเช่นกัน นี่ก็เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นเด็กน้อยดีกับคนนอกขนาดนี้!


เดิมทีในใจเขาเกิดรู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง แต่พอเห็นอู่เหมยมีท่าทีเย็นชาไม่แยแสเหมยซูหานเช่นเดิม อารมณ์ถึงสงบลงมา


ดูเหมือนว่าแม่ของเหมยซูหานจะมีความเมตตาใจดีอยู่มาก แม้กระทั่งเขาเองยังอดไม่ได้ที่จะอยากใกล้ชิด ตั้งแต่เล็กเหมยเหมยก็ไม่เคยได้รับความรักจากแม่ น่าจะเพราะสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นอ่อนโยนจากแม่เหมย ถึงอยากใกล้ชิดกับเธอละมั้ง!


เขาเหลือบมองเหมยซูหานแวบหนึ่ง อดขมวดคิ้วออกมาไม่ได้ สายตาที่เหมยซูหานใช้มองอู่เหมยช่างเปิดเผยออกมาหมดทุกอย่าง ไม่ปิดบังอะไรทั้งสิ้นเชิง


สายตาแบบนี้ทำให้เขาเกิดความรู้สึกไม่สบายใจพอสมควร  เหยียนหมิงซุ่นมองเหมยซูหานอย่างตักเตือน แต่เหมยซูหานกลับเหลือบมองเขาด้วยสายตายั่วยุกลับไปทีหนึ่ง


…………………………………………..


ตอนที่ 404 บัวลอยเหล้าหมัก


เหมยซูหานเรียกเจ้าของร้านมา ยิ้มพลางพูดว่า “เหมยเหมยอยากกินอะไร? เดี๋ยวพี่เลี้ยงเอง”


“ขอบคุณค่ะพี่ซูหาน แต่ฉันกินอิ่มแล้ว พี่กับคุณป้าทานเถอะ” อู่เหมยบอกปัดอย่างสุภาพ รอยยิ้มห่างเหินและมีมารยาท


เหมยซูหานแววตาสับสน เหมยเหมยเป็นแบบนี้เสมอ ตอนที่อยู่ต่อหน้าเขามักจะเหมือนมีเส้นบางๆ กั้นระหว่างพวกเขาอยู่ ทั้งที่อยู่ใกล้กันแค่นี้ แต่จะทำอย่างไรก็เอื้อมหยิบมาไม่ได้!


“ถ้าอย่างนั้นกินบัวลอยอีกถ้วยสิ บัวลอยเหล้าหมักที่นี่รสชาติถือว่าไม่เลวเลยนะ”


เหมยซูหานไม่ยอมให้อู่เหมยปฏิเสธ รีบสั่งอาหารด้วยความรวดเร็ว แถมยังสั่งบัวลอยเหล้าหมักมาให้อู่เหมยด้วยหนึ่งถ้วย เจ้าของร้านเดินกลับเข้าห้องครัวไปอย่างมีความสุข


อู่เหมยได้แต่มองเหมยซูหานอย่างจนปัญญา “ฉันกินข้าวไปสองถ้วย ยังมีเนื้อจานใหญ่ขนาดนี้ พี่คิดว่าฉันยังจะกินบัวลอยลงได้อีกถ้วยหรอ?”


“เหมยเหมยกินได้แค่ไหนก็แค่นั้น ที่เหลือพี่กินเอง” เหมยซูหานมองอู่เหมยอย่างเอาอกเอาใจ สายตาที่อ่อนหวานของเขาทำให้เธอขนลุกไปทั้งตัว เธอรีบหันไปทางอื่นแสร้งทำเป็นมองทิวทัศน์นอกหน้าต่าง


ในชาตินี้เหมยซูหานดูท่าทางประหลาดมากจริงๆ  ชอบใช้สายตาแปลกๆ แบบนั้นมองเธออยู่เรื่อย ราวกับว่ารู้จักเธอมานานนม ทั้งๆ ที่เธอกับเหมยซูหานไม่เคยสนิทสนมกันมาก่อน พวกเราเป็นแค่คนแปลกหน้ากันเท่านั้น


เหยียนหมิงซุ่นขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาไม่ชอบคำพูดเมื่อสักครู่ของเหมยซูหานอย่างมาก แล้วยังสายตาที่มองอู่เหมย อย่างโจ่งแจ้งเช่นนั้น จุดประสงค์เปิดเผยออกมาอย่างชัดเจน


เด็กน้อยเพิ่งจะอายุสิบสองขวบ เหมยซูหานคิดจะทำอะไรกันนะ?


“ระยะนี้มีเรื่องยุ่งเหรอ? ไม่เห็นนายมาเล่นบาสเสียนานเชียว” เหยียนหมิงซุ่นเอ่ยถาม


เหมยซูหานยิ้มบางตอบกลับไปว่า “ยุ่งกับการหาเงินน่ะ โชคดีที่ได้อาจารย์อู่ช่วยฉันติดต่อพวกธุรกิจที่ทำเกี่ยวกับขยะ การเงินที่บ้านดีขึ้นมากเลย”


ไม่กี่วันก่อนอู่เหมยได้ยินเขาพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาเหมือนกัน รู้สึกดีใจกับเขาด้วยมากจริงๆ มิน่าล่ะ สีหน้าของแม่เหมยดูดีขึ้นเยอะเลย น่าจะเพราะบำรุงดีล่ะมั้ง!


“คุณป้าคะ ทานซุปปลาหน่อยนะคะ ซุปปลาบำรุงร่างกายได้ดีมาก ดีสำหรับสุขภาพคุณป้านะคะ”


อู่เหมยตักซุปปลาที่เพิ่งเสิร์ฟเมื่อครู่ไปให้ แม่เหมยมองเธออย่างเอ็นดู “ขอบใจนะ”


เพราะว่าคุณยายของเหยียนหมิงซุ่นสุขภาพร่างกายไม่แข็งแรง นอนติดเตียงได้สิบกว่าปีแล้ว เขาจึงได้ฟังได้เห็นมาตั้งแต่เด็ก พอเข้าใจศาสตร์แพทย์อยู่บ้าง แค่เห็นท่าทางของแม่เหมยจึงพอรู้ว่าสุขภาพแย่มาก ดีกว่าคุณยายของตัวเองไม่มากไปกว่ากันเท่าไร


“ผมดูท่าคุณป้าน่าจะทำงานหนักเกินไปส่งผลให้สุขภาพร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงนัก เพียงแค่หาหมอแพทย์แผนจีนมารักษาดีๆ ก็หายแล้ว คุณยายของผมก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน ตอนนี้ดีขึ้นเยอะแล้ว”


เหมยซูหานตกตะลึงดีใจเป็นการใหญ่ สอบถามเหยียนหมิงซุ่นว่าเขาให้หมอแพทย์แผนจีนที่ไหนดูแลคุณยายของเขา เหยียนหมิงซุ่นเล่าเรื่องคุณหมอที่คุณลุงหมิงแนะนำให้เขาฟัง “ นิสัยของคุณหมอท่านนี้จะประหลาดอยู่หน่อย ปกติต้องเป็นคนคุ้นเคยแนะนำมาเท่านั้นถึงจะตรวจให้ พรุ่งนี้ฉันพานายไปแล้วกัน”


“ขอบคุณนายมากๆ หมิงซุ่น”  เหมยซูหานรู้สึกซาบซึ้งใจ ความเกลียดชังที่มีต่อเหยียนหมิงซุ่นแผ่วลง


“ไม่ต้องเกรงใจ ฉันก็หวังว่าสุขภาพร่างกายของคุณป้าจะดีขึ้นในเร็ววัน”


เหยียนหมิงซุ่นพูดด้วยเสียงเรียบ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ชอบเหมยซูหาน แต่เขารู้สึกดีกับแม่เหมย ถ้าช่วยได้ก็ช่วยสักหน่อยแล้วกัน!


หลังจากที่อาหารมาครบ เจ้าของร้านยกชามบัวลอยเหล้าหมักร้อนๆ ควันพวยพุ่งมา ชามใหญ่เสียกว่าหน้าเรียวเล็กของอู่เหมยเสียอีก บัวลอยขาวๆ อวบๆ ลอยอยู่บนน้ำ อู่เหมยกลืนน้ำลายโดยไม่รู้ตัว


ในบรรดาขนมหวานที่เธอชอบกินที่สุดคือบัวลอยเหล้าหมัก กินได้ทุกวันไม่มีเบื่อ ถ้าหากว่าชามใหญ่นี้มาก่อนเธอกินข้าว รับรองได้เลยว่าเธอกินเกลี้ยงไม่มีเหลือ แต่ตอนนี้เธอกินจนอิ่มแปล้


สั่งบัวลอยชามนี้มายิ่งทำให้เธอรู้สึกแย่กว่าอีกไม่ใช่หรือ


เหยียนหมิงซุ่นแค่มองท่าทางอยากกินจนน้ำลายหกของอู่เหมยก็รู้เลยว่าเธอจะต้องชอบกินบัวลอยมากแน่นอน อดรู้สึกสับสนงุนงงขึ้นมาไม่ได้


ทำไมอาหารที่เหมยซูหานแนะนำทุกครั้งล้วนเป็นของที่อู่เหมยชอบกินทั้งนั้นเลยล่ะ?


…………………………………………..


ตอนที่ 405 ความสงสัยของเหยียนหมิงซุ่น


เหยียนหมิงซุ่นมองเหมยซูหานอย่างสงสัย ขนมแท่งนมถั่วที่ภูเขาเฟิ่งหวงครั้งก่อน แล้วยังบัวลอยเหล้าหมักครั้งนี้อีกซึ่งต่างเป็นอาหารที่อู่เหมยชอบกินทั้งนั้น  ครั้งแรกอาจจะเป็นเพราะความบังเอิญ แต่ครั้งที่สองคงไม่เป็นเพราะความบังเอิญหรอกมั้ง?


“ฉันกินแค่ถ้วยเล็กๆ ก็พอแล้ว ท้องแน่นจะแย่แล้ว”


อู่เหมยตักบัวลอยใส่ถ้วยเล็กหนึ่งถ้วย ส่วนที่เหลือก็ดันไปให้เหมยซูหาน เธอไม่ได้กินบัวลอยในถ้วยนั้น แต่ส่งให้เหมยซูหานกินทั้งแบบนี้  ในใจเธอถึงจะรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย


ถ้าให้เหมยซูหานกินอาหารที่เหลือจากเธอจริงๆ อย่าพูดเลยว่าจะรู้สึกแย่มากขนาดไหน


เหมยซูหานมองความคิดของอู่เหมยออก ก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ เหมยเหมยมักเป็นแบบนี้อยู่เรื่อย ถ้าหากว่าเป็นเหยียนหมิงซุ่น เหมยเหมยคงจะไม่แบ่งให้ชัดเจนแบบนี้หรอก?


เขาก็ไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงได้คิดแบบนี้ รู้ทั้งรู้ว่าคิดแบบนี้มันออกจะใจแคบเห็นแก่ตัวไปหน่อย แต่เขามักจะควบคุมไม่อยู่


ตอนนี้ธุรกิจของเขามั่นคงแล้วพอสมควร เขาก็ไม่ต้องยุ่งขนาดนั้นแล้ว แบบนี้ก็หาเวลาอยู่กับเหมยเหมยได้มากขึ้น จะไม่เปิดโอากาสให้เหยียนหมิงซุ่นอีกแล้ว


เมื่อตัดสินใจได้แล้ว เหมยซูห่านก็สบายใจขึ้นมาหน่อย เขาเคลื่อนชามบัวลอยมากินเข้าไปคำโต แม่เหมยมองลูกชายอย่างฉงน แต่ไหนแต่ไรมาซูหานไม่กินบัวลอยเหล้าหมักเลย เพราะมีกลิ่นเหล้าแรงเกินไป ทำไมจู่ๆ วันนี้ถึงกินเข้าไปได้นะ แถมยังกินอย่างเอร็ดอร่อยอีกต่างหาก?


เหมยซูหานก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมจู่ๆ เขาถึงชอบกินบัวลอยเหล้าหมักขึ้นมา  หลังจากตื่นจากฝันครั้งนั้น เขาก็ค้นพบว่ารสนิยมการกินของตัวเองเปลี่ยนไปหมด อาหารที่เมื่อก่อนไม่ชอบกินอยู่ดีๆ ก็ดันชอบกินขึ้นมา  อาหารที่เมื่อก่อนชอบกินอยู่ดีๆ ก็ไม่ชอบกินเสียงั้น


ถึงแม้นิสัยและอารมณ์ของเขาว่าจะอ่อนโยน แต่รสนิยมการกินของเขาค่อนข้างจัดจ้าน ชอบกินอาหารที่มีรสชาติเค็มเผ็ด แถมยังชอบกินอาหารค้างคืนอีกด้วย แต่ตอนนี้ความเคยชินเหล่านี้ของเขาถูกปรับเปลี่ยนจนหมดแล้ว ทานอาหารรสชาติอ่อนๆ ต้องทำอาหารสดใหม่ทุกวัน และพยายามกินพวกผักดองให้น้อยลง


เขาในตอนนี้กับเขาในอดีตเหมือนเปลี่ยนเป็นคนละคน ทั้งหมดเป็นเพราะความฝันครั้งนั้น


เพราะตัวเขาในความฝันมีรสนิยมการกินแบบนี้ ครั้นหลังจากที่เขาตื่นขึ้นมาก็รับรสชาติอันคุ้นเคยก่อนหน้านั้นไม่ได้อีกแล้ว


พออู่เหมยกินบัวลอยเสร็จก็เรอออกมาเสียงดัง ท้องแน่นกลมดิก อาหารจุกอยู่ที่ลำคอ รู้สึกว่าบัวลอยเหมือนลูกปิงปองที่เด้งออกมาจากปากทีละลูก


“เอิ๊กก!”


อู่เหมยรู้สึกอึดอัดจนเปล่งเสียงเรอออกมาอีกครั้ง แม่เหมยมองเหมยซูหานอย่างตำหนิ สาวน้อยเธอก็บอกแล้วว่ากินอิ่มแล้ว ยังรั้นจะสั่งบัวลอยมาอีก ดูสิทำเอาสาวน้อยอิ่มแทบแย่


“เหมยเหมยกลับบ้านไปต้มน้ำซานจาดื่มหน่อย จะช่วยเรื่องย่อยอาหาร” แม่เหมยกำชับ


“ค่ะ หนูเดินสักหน่อยก็ดีขึ้นแล้ว แม่เหมย พี่ซูหาน หนูไปก่อนนะคะ หนูต้องกลับบ้านแล้ว สวัสดีค่ะ”


อู่เหมยลุกขึ้นบอกลา เดินกลับไปกับเหยียนหมิงซุ่น


เหมยซูหานมองดูเงาแผ่นหลังของพวกเขาออกไปครู่หนึ่ง หน้าของแม่เหมยขบคิดอะไรบางอย่าง ไม่มีใครเข้าใจลูกไปกว่าคนเป็นแม่แล้ว ลูกชายน่าจะมีใจให้กับเด็กน้อยเมื่อสักครู่สินะ?


เด็กน้อยหน้าตาสวย จิตใจก็ดี เธอชอบมากเช่นกัน แต่เด็กน้อยคนนี้อายุยังน้อยเกินไปนะ!


แม่เหมยพูดอย่างนิ่มนวลว่า “ซูหาน ตอนนี้ลูกยังเด็กนัก เรื่องบางเรื่องพวกเราค่อยคิดวันหน้าจะดีกว่านะ!”


เหมยซูหานยิ้มให้เธออย่างซุกซน จงใจถามขึ้นว่า “แม่ แม่ว่าเหมยเหมยเป็นอย่างไรบ้าง?”


“แน่นอนว่าเหมยเหมยต้องดีอยู่แล้ว แค่มองแม่ก็ชอบเธอแล้วล่ะ แต่เธอยังเด็กอยู่เลย!” แม่เหมยเตือนสติอีกครั้ง อยากให้ลูกชายมีสติขึ้นมาบ้าง


แต่เหมยซูหานกลับทำเหมือนหูทวนลม  พูดเองเออเองว่า “แม่ชอบก็ดีแล้ว ลูกแม่จะต้องพาลูกสะใภ้เข้าบ้านแทนแม่แน่นอน แม่รอแล้วกัน!”


แม่เหมยอดไม่ไหวออกแรงตีเหมยซูหานไปหลายที เพื่อทำลายฝันกลางวันของเขาทิ้งเสีย ทั้งโมโหทั้งขำในเวลาเดียวกัน  พูดตำหนิขึ้นว่า “ลูกเพิ่งอายุเท่าไรเองก็คิดจะแต่งงานแล้วเหรอ? รีบกินให้เสร็จแล้วกลับไปทำการบ้าน เรื่องอื่นรอแกสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ก่อนค่อยว่ากัน!”


…………………………………………..


ตอนที่ 406 ได้รับการปลอบใจ


อู่เจิ้งซือทานอาหารเช้าเสร็จก็พาอู่เยวี่ยไปเยี่ยมเยียนจิตแพทย์ชื่อดังคนนั้น เพราะอู่เยวี่ยคัดค้านต่อการไปโรงพยาบาล จิตแพทย์คนนั้นจึงให้อู่เจิ้งซือไปที่บ้านเขา ถือเป็นเพียงการเยี่ยมเยียนเพื่อนธรรมดาคนหนึ่งแล้วกัน


อู่เยวี่ยทำตัวน่ารักน่าเอ็นดูมาตลอดทาง  เพียงแต่กลิ่นตัวของเธอลอยเตะจมูกอยู่บ้าง ตอนที่มีคนเดินผ่านตัวเธอบนถนนต่างก็ยกมือขึ้นปิดจมูก แสดงสายตารังเกียจออกมา  ทำให้อารมณ์ของอู่เยวี่ยยิ่งรู้สึกแย่ขึ้นเรื่อยๆ


อู่เจิ้งซือถอนหายใจอย่างจนปัญญา  หวังเพียงว่าหมอที่เพื่อนเก่าแนะนำมาจะสามารถรักษาลูกสาวคนโตให้หายได้  อู่เยวี่ยในตอนนี้ทำให้เขากลุ้มใจเสียยิ่งกว่าอู่เหมยเมื่อก่อนเสียอีก


จิตแพทย์คนนี้อายุประมาณสี่สิบกว่าปี แซ่โจวเป็นผู้ชายสุภาพอ่อนโยน ทำให้คนเกิดความรู้สึกดีขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย  อีกทั้งสายตาของเขาไม่แสดงออกถึงความรังเกียจหรือสะอิดสะเอียนเหมือนคนอื่นๆ เพียงแค่ช่วงเวลาสั้นๆ อู่เยวี่ยก็ทลายกำแพงในใจลง แล้วปรากฏรอยยิ้มขึ้นบนใบหน้า


ระดับความสามารถเฉพาะทางของคุณหมอโจวนั้นยอดเยี่ยมมาก เขาพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องในบ้านกับอู่เจิ้งซือ เหมือนเพื่อนธรรมดาทั่วไปจริงๆ และยังมักจะถามคำถามบางอย่างกับอู่เยวี่ย อู่เยวี่ยก็ตอบกลับอย่างว่าง่าย ไม่ปิดบังซ่อนเร้นใดทั้งสิ้น


ยิ่งได้พูดคุยมากเท่าไหร่คุณหมอโจวก็ยิ่งรู้สึกแปลกใจ ดูแล้วอู่เยวี่ยเป็นปกติดี  แนวคิดชัดเจน การจัดการความเป็นระเบียบชัดแจ้ง ทัศนคติในการพูดคุยดี  อีกทั้งเด็กคนนี้มีความมั่นใจในตนเองสูงมาก จากจุดนี้เองจึงทำให้คุณหมอโจวรู้สึกแปลกใจที่สุด


โดยทั่วไปคนที่มีปมด้อยในใจมักจะขาดความมั่นใจในตนเอง และเป็นเพราะขาดความมั่นใจจึงทำให้พวกเขาเกิดความกังวล หวาดกลัวกับอนาคต แต่สิ่งที่อู่เยวี่ยหวาดกลัวกลับไม่ใช่การขาดความมั่นใจที่มีมาแต่เดิมแต่เป็นเพราะกลิ่นตัวต่างหาก


ตอนที่อู่เยวี่ยเดินเข้าห้องมา เขาได้กลิ่นไม่ค่อยพึงประสงค์เท่าไรโชยเข้ามาเตะจมูก อันที่จริงนับว่าเป็นกลิ่นที่รับไม่ได้เลยจริงๆ


จากมุมมองของผู้เชี่ยวชาญ หากในใจมีความวิตกกังวลเกินไปก็สามารถปรากฎออกมาในรูปแบบของกลิ่นตัวที่รุนแรงได้เช่นกัน แต่อู่เยวี่ยเธอก็ไม่ถึงระดับนั้น ถึงแม้ว่าเธอจะมีความกังวลอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้รุนแรงถึงขั้นนั้น จุดนี้แหละเป็นจุดที่ทำให้คุณหมอโจวรู้สึกแปลกใจที่สุด


อู่เยวี่ยทำให้คุณหมอโจวเกิดข้อข้องใจอยากรู้อยากเห็น  จนตัดสินใจทำการวิจัยศึกษาค้นคว้าโดยเอาอู่เยวี่ยเป็นกรณีศึกษา ไม่แน่ว่าศักยภาพความชำนาญที่ชะงักอยู่อาจจะสามารถเติบโตก้าวหน้าเพราะเหตุผลนี้ก็เป็นได้!


คุณหมอโจวพูดคุยกับอู่เจิ้งซือเป็นการส่วนตัวอยู่ครู่หนึ่ง เขาไม่ได้พูดความจริงออกไป เพียงพูดแค่ว่าสถานการณ์ของอู่เยวี่ยไม่ค่อยร้ายแรง ขอเพียงผู้ปกครองไม่กดดันเธอจนเกินไปก็พอแล้ว อู่เจิ้งซือถึงได้สบายใจ พาอู่เยวี่ยกล่าวลาแล้วกลับบ้าน


สภาพของอู่เยวี่ยก็ถือว่าไม่เลว เธอชอบที่จะพูดคุยกับคุณหมอโจว เพราะทำให้รู้สึกผ่อนคลายสบายใจ เพียงชั่วครู่ก็รู้สึกจิตใจแจ่มใสขึ้นมา


อู่เหมยแยกกับเหยียนหมิงซุ่น  เดินทางกลับบ้านอย่างร่าเริง วันนี้เก็บเกี่ยวมาได้ไม่น้อย รายได้เข้ามาเรียบร้อย ทั้งยังฉิวฉิวยังเก่งขึ้นกว่าเดิม อู่เหมยคิดๆ แล้วก็รู้สึกมีความสุขขึ้นมา


พวกอู่เจิ้งซือกำลังกินข้าวอยู่ ดูท่าคงใกล้กินเสร็จแล้ว แค่อู่เหมยเปิดประตูเข้ามาก็รับรู้ได้ถึงความผิดปกติของอู่เยวี่ย สภาพไม่ห่อเหี่ยวเหมือนตอนเช้าอีกแล้ว กลับมีท่าทีเหมือนเมื่อก่อนอีกครั้ง อู่เหมยจึงขมวดคิ้วเล็กน้อย


ทำไมในช่วงเวลาอันสั้น  อู่เยวี่ยถึงเปลี่ยนกลับไปเป็นคนละคนได้ล่ะ?


อู่เหมยนึกถึงคุณลุงคนนั้นที่อู่เจิ้งซือพูดถึงเมื่อเช้าขึ้นได้  ตอนสายไปเยี่ยมเยียนคุณลุงลึกลับคนนั้น หลังจากนั้นอู่เยวี่ยก็เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น ตกลงแล้วคุณลุงคนนี้วิเศษวิโสมาจากไหนกันนะ?


“พ่อคะ คุณลุงที่วันนี้พ่อพาพี่สาวไปเยี่ยมคือใครกันเหรอคะ? หนูเคยเจอไหม?” อู่เหมยแสร้งถามขึ้นอย่างไม่สนใจ


เหอปี้อวิ๋นหูผึ่ง เธอก็ไม่รู้เช่นกันว่าอู่เจิ้งซือพาอู่เยวี่ยไปเจอใครมา ตอนนี้ตั้งแต่เช้าจรดเย็นอู่เจิ้งซือแทบไม่พูดคุยอะไรกับเธอเลย ตกกลางคืนคนหนึ่งอยู่บนเตียง อีกคนอยู่ที่พื้น ต่อให้พูดว่าเป็นสามีภรรยากัน แต่ความจริงยังห่างเหินยิ่งกว่าคนแปลกเสียด้วยซ้ำ


…………………………………………..

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)