หมอดูยอดอัจฉริยะ 399-401
ตอนที่ 399 เกี่ยวพัน (1)
โดย
Ink Stone_Fantasy
“พ่อ นี่มันยุคอะไรแล้ว พ่ออย่าคอยวอแวไม่เลิกได้ไหม?”
คุณแม่ของหูเสี่ยวเซียนดูท่าจะไม่นำพาอะไรกับความคิดของผู้เฒ่า บ่นพึมพำเสียงต่ำ “ตอนแรกถ้าหากพาคุณแม่ไปโรงพยาบาลให้เร็วกว่านี้สักหน่อยล่ะก็ เธอ……เธอคงไม่จากไปเพราะช่วยเหลือไม่ทันการหรอก!”
“เธอว่าอะไรนะ?!”
ถึงแม้ผู้เฒ่าจะอายุไม่น้อยแล้ว แต่ประสาทหูยังคงดีเยี่ยม พอได้ยินลูกสะใภ้พูด ใบหน้าก็พลันแสดงถึงความโกรธออกมาทันที สองตาเบิกกว้างหนวดเคราพองจนน่าตกอกตกใจเหลือล้น
“บ้านนี้มีเรื่องแบบนี้กันด้วยเหรอ?”
พวกเยี่ยเทียนที่เพิ่งผลักประตูเข้ามาเห็นฉากนั้นเข้าพอดี ล้วนอดคาดเดากันภายในใจไม่ได้ คุณแม่หูดูไม่เหมือนคนไม่เชื่อฟังคำผู้ใหญ่สักเท่าไหร่ แต่ท่าทีที่เห็นตรงหน้านี้กลับออกจะร้ายกาจอย่างเห็นได้ชัด
อาจเป็นเพราะไม่อยากทะเลาะเบาะแว้งกันต่อหน้าคนนอก พอเห็นพวกอวี๋ชิงหย่าแล้ว น้ำเสียงของคุณแม่หูก็อ่อนลง มองยังผู้เฒ่าแล้วกล่าว “พ่อ ขอร้องล่ะ ให้คุณหมอตรวจร่างกายเสี่ยวเซียนอีกครั้งเถอะ พ่อไม่เห็นเหรอว่าวันนี้สีหน้าเสี่ยวเซียนดีขึ้นตั้งเยอะ? เธอทนถูกย้ายตัวไปมาไม่ไหวหรอก!”
“เฮ้อ ตามใจพวกเธอเถอะ ถึงอย่างไรเสี่ยวเซียนก็เป็นลูกสาวของพวกเธอนี่”
ได้ยินลูกสะใภ้พูดออกมาอย่างนี้ ผู้เฒ่าก็ถอนหายใจยาวออกมาเฮือกหนึ่ง ทั้งเนื้อทั้งตัวราวแก่ขึ้นสิบกว่าปีในทันที ยื่นสองมือใหญ่คู่นั้นที่ราวกับแขนงรากต้นไม้ใหญ่ ลูบสัมผัสหัวของหลานสาวอย่างแผ่วเบา
แม้ผู้เฒ่าจะมีความสามารถทางการรักษาสูงส่งแค่ไหน แต่ก็ไม่อาจตรวจสอบได้ว่าหลานสาวป่วยด้วยโรคอะไร อีกทั้งตอนนี้หูเสี่ยวเซียนอาศัยเพียงน้ำเกลือเพื่อประคับประคองชีวิตต่อไปเท่านั้น เขาจะทำยากี่ขนานก็ไม่อาจให้หูเสี่ยวเซียนใช้ได้
“ฉันไปล่ะ พรุ่งนี้จะมาใหม่!”
เห็นคนกลุ่มหนึ่งเข้ามาในห้อง ผู้เฒ่าค่อนข้างจะรู้สึกโดดเดี่ยว จึงยืดตัวขึ้นมาจากข้างเตียง ยังไม่ทันได้ทักทายกับพวกเยี่ยเทียน ก็เดินตรงออกจากห้องผู้ป่วยไปแล้ว
“เสี่ยวอวี๋ เสี่ยวเว่ย ทำให้พวกเธอนึกขำเข้าแล้วสิ คุณปู่ของเสี่ยวเซียนเขานิสัยแบบนี้แหละ ตัวเองเป็นหมอแท้ ๆ กลับเชื่อเรื่องเทพผีอะไรพวกนั้น ตอนนั้นแม่สามีน่ะ เฮ้อ พูดเรื่องนี้กับพวกเธอไปทำไมกันนะ?”
หลังผู้เฒ่าออกไปแล้ว คุณแม่หูก็ลุกยืนขึ้นมา ถึงแม้ในใจจะเป็นห่วงลูกสาว แต่พวกอวี๋ชิงหย่าก็มาจากเมืองหลวงกว่าพันลี้เพื่อเยี่ยมเยียนลูกสาว เธอจึงไม่อาจเสียมารยาท
ในใจของเยี่ยเทียนสั่นสะเทือน เอ่ยถามขึ้น “คุณน้าครับ เมื่อตอนนั้นเกิดอะไรขึ้นเหรอครับ? ผมว่าคุณปู่ก็ดูไม่ใช่คนไม่มีเหตุผลนี่นา?”
“ที่คุณปู่ของเสี่ยวเซียนมีฝีมือด้านการรักษานั้นไม่ใช่เรื่องหลอกลวง แต่ว่าแพทย์แผนจีนพวกนี้ก็ไม่ใช่จะรักษาหายได้หมดทุกโรค เพราะเขาไม่ยอมฟังคำทัดทาน ตอนนั้นแม่สามีเป็นใส้ติ่งอักเสบเฉียบพลัน เขากลับไม่ยอมให้ส่งไปโรงพยาบาล……”
คุณแม่หูไม่ใช่คนที่เก็บงำความลับอยู่ อีกทั้งเรื่องนี้เป็นเสมือนหนามแทงใจครอบครัวของพวกเขา เวลาทั่วไปจึงไม่มีใครอยากพูดถึง เพียงกักเก็บไว้อยู่ในใจตลอดมา
ทั้งที่ผ่านไปยี่สิบกว่าปีแล้ว พ่อของหูเสี่ยวเซียนยังคงทะเลาะกับคุณปู่ด้วยเรื่องนี้ แม้จะไม่ถึงขั้นไม่ไปมาหาสู่กันเลย แต่ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกก็เบาบางลงกว่าครอบครัวทั่วไปอย่างไม่ต้องสงสัย ดังนั้นเมื่อเยี่ยเทียนถามเรื่องนี้ คุณแม่หูจึงยกขึ้นมาพูดอีกครั้ง
ที่แท้ เมื่อตอนที่พ่อกับแม่ของเสี่ยวเซียนเพิ่งแต่งงานกันได้สองปีนั้น คุณย่าของหูเสี่ยวเซียนก็เกิดล้มป่วยฉับพลัน เวลานั้นคุณปู่ของหูเสี่ยวเซียนเปิดคลินิกอยู่ จึงใช้แพทย์แผนจีนตรวจรักษาภรรยาตัวเองดูสักหน่อย
เพียงแต่ไม่ว่าจะเป็นยาสมุนไพรหรือฝังเข็ม อาการป่วยของคุณย่าหูเสี่ยวเซียนก็ไม่เห็นดีขึ้น เวลานั้นคุณพ่อของหูเสี่ยวเซียนจะส่งคุณแม่ไปโรงพยาบาล แต่กลับถูกคุณปู่ขัดขวางเอาไว้
ผู้อาวุโสที่ร่ำเรียนการแพทย์แผนจีน ล้วนมีความคิดดื้อรั้น คิดว่าโรคภัยที่การแพทย์แผนตะวันตกรักษาหาย แพทย์แผนจีนเองก็สามารถรักษาหายได้เช่นกัน
ดังนั้นไม่ว่าจะพูดอย่างไรคุณปู่ก็ไม่ยอมให้ส่งภรรยาไปโรงพยาบาล ในทางกลับกันยังใช้ “ความเชื่องมงายสมัยยุคศักดินาที่สืบทอดจากบรรพบุรุษตระกูลหู (คุณแม่หูคิดว่าอย่างนั้น) ทรงเจ้าเข้าผีรักษาอาการป่วยให้กับภรรยา แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่สำเร็จ”
เห็นอยู่ตรงหน้าว่าแม่กำลังจะทนไม่ไหวแล้ว คุณพ่อของหูเสี่ยวเซียนจึงไม่สนใจคำคัดค้านของพ่ออีกต่อไป ฝืนพาคุณแม่ส่งไปโรงพยาบาล เมื่อตรวจแล้วพบว่าที่แท้คือไส้ติ่งอักเสบเฉียบพลัน แต่ว่าเพราะส่งมาโรงพยาบาลช้าเกินไป สุดท้ายจึงได้เสียชีวิตในวัยเพียงสี่สิบกว่าเท่านั้น
เมื่อเป็นอย่างนี้ คุณพ่อของหูเสี่ยวเซียนจึงเชื่อว่าเป็นคุณพ่อที่ทำร้ายคุณแม่ ไม่พบหน้าพ่ออีกเลยเป็นเวลานานหลายปี
อีกทั้งหลังจากที่เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น คุณปู่เองก็ได้ปิดคลินิก อาศัยอยู่ในเขตป่าเก่าลึกเข้าไปบนเขาฉางไป๋ กระทั่งหูเสี่ยวเซียนเกิดเรื่องขึ้นความสัมพันธ์พ่อลูกทั้งสองจึงได้กลับมาปรองดอง
และนี่จึงเป็นสาเหตุที่พอคุณแม่หูได้ยินคุณปู่พูดถึงเรื่องทรงเจ้าเข้าผีแล้ว เกิดปฏิกิริยารุนแรงอย่างนั้น เมื่อตอนนั้นที่พ่อสามีทำการรักษาให้กับแม่สามี แม้จะไม่ใช่การทรงเจ้าแต่ก็เป็นการอัญเชิญเทพมาประทับร่าง ทั้งสองอย่างนี้ไม่แตกต่างกันเท่าไหร่นัก
“ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้เองเหรอครับ?”
ได้ยินคุณแม่หูอธิบายแล้ว เยี่ยเทียนก็ก้มหน้าลง พูดกับตัวเองโดยอัตโนมัติด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาจนยากจะได้ยิน “ดูท่าวิชาที่สืบทอดต่อกันมาในตระกูลหูเองก็ยังมีความบกพร่องอยู่ ไม่อย่างนั้นอาการป่วยจากไส้ติ่งอักเสบแม้ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่ก็คงยังพอทุเลาลง”
จากร่างกายของผู้เฒ่าคนนั้น เยี่ยเทียนสัมผัสได้ถึงลมปราณที่พุ่งพล่าน แต่พลังวิญญาณในตัวผู้มีวรยุทธ์นั้นกลับไม่มีแม้แต่น้อย ทว่าท่านผู้เฒ่ากลับเข้าใจศาสตร์การรักษาอาการเจ็บป่วยอยู่บ้าง ดังนั้นเยี่ยเทียนจึงตัดสินว่าผู้เฒ่าคนนี้คงจะสูญเสียพลังสืบทอดไป
เห็นคุณแม่หูยังคงพูดคุยอยู่กับพวกสาว ๆ และอวี๋ชิงหย่า เยี่ยเทียนจึงค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน ตามออกไปข้างนอกโรงพยาบาล
ช่วงเวลาที่ผู้เฒ่าออกไปยังไม่นานนัก ตอนเยี่ยเทียนตามออกไปถึงหน้าประตูโรงพยาบาล ก็เห็นผู้เฒ่าปลดเชือกรถม้าคันหนึ่ง แล้วนั่งลงบนอานที่นั่ง
รถม้าที่วิ่งในเมือง ในแผ่นดินใหญ่มีให้เห็นได้น้อยมาก แต่ว่าอำเภอเมืองฉางไป๋ถูกล้อมด้วยเมืองฉางไป๋สามทิศทาง ทางขึ้นเขาก็ยากลำบาก บนถนนหลวงจึงพอเห็นลาดเลารถม้าอยู่
เห็นผู้เฒ่ายกแส้ขึ้น เยี่ยเทียนก็รีบวิ่งไปหา คว้าบังเหียนไว้พลางกล่าว “ผู้เฒ่าครับ โปรดรอสักครู่ ผู้น้อยมีเรื่องอยากสอบถาม!”
“หือ? เธอคือพ่อหนุ่มคนนั้นที่อยู่ในห้องผู้ป่วยเมื่อครู่นี่นา?” เห็นเยี่ยเทียนฉุดรั้งหัวม้าเอาไว้ ผู้เฒ่าก็อดประหลาดใจไม่ได้
สุภาษิตว่าผู้เชี่ยวชาญเห็นกระจ่าง คนนอกมองอย่างผิวเผิน ผู้เฒ่าหูแม้ยังไม่ทันฟาดแส้ลงไป แต่ม้าก็เริ่มออกวิ่งแล้ว หากไม่ใช่แรงสักร้อยชั่ง ย่อมไม่มีทางรั้งอยู่
เยี่ยเทียนใช้เพียงมือเดียวกลับทำให้ม้าของตนที่เพิ่งอายุเพียงสี่ปีตัวนี้ยากจะก้าวเดินต่อได้ ผู้เฒ่าหูจึงถามตัวเอง ว่าหากสับเปลี่ยนเป็นตนเองแม้จะสามารถทำได้ แต่คงไม่ถึงขั้นง่ายดายหน้าไม่เปลี่ยนสีอย่างเยี่ยเทียนเช่นนี้
“นึกไม่ถึงว่าพ่อหนุ่มจะเป็นคนในลัทธิเต๋าเช่นกัน แต่ไม่รู้ว่าภูเขาอยู่เขตไหน จุดธูปเทียนที่ใด เจ้าสำนักคือใครหรือ?”
ชายชาตรีทางตะวันออกเฉียงเหนือนี้ ไม่ยอมถูกกดขี่โดยคนญี่ปุ่น ก่อนการปฏิรูปเศรษฐกิจล้วนท่องไปอย่างอิสระบนแนวเขาไป๋ฉางและเฮยหลงเจียง สำนวนยุทธภพของผู้เฒ่าหูคนนี้แม้ไม่มาดีหรือมาร้าย แต่ก็คลับคล้ายกับบทสนทนาระหว่างโจรผู้ร้ายในสมัยอดีต
เยี่ยเทียนยิ้มน้อย ๆ กล่าว “ผู้เฒ่าครับ ผมไม่ใช่คนในยุทธภพเต๋า แต่ว่าศิษย์พี่ใหญ่ของผมในอดีตเคยมายังสามมณฑล เคยคำนับท่านหัวหน้าหูอวิ๋นเป้า ไม่ทราบว่าท่านผู้เฒ่ารู้จักหรือไม่?”
“หู……หูอวิ๋นเป้า?”
ท่านผู้เฒ่าที่เดินนั่งอยู่บนอานรถม้าได้ยินชื่อนี้เข้า สองตาก็พลันเบิกกว้าง มือขวาตบบนรถทีหนึ่ง แล้วทั้งร่างก็พลิกจากรถม้าลงมายังหน้าเยี่ยเทียน
สองขาเพิ่งจะเหยียบถึงพื้นดิน มือขวาของผู้เฒ่าหูก็จับตัวเยี่ยเทียนไว้แน่น เอ่ยปากถาม “พ่อหนุ่ม เธอ……เธอรู้จักชื่อของพ่อฉันได้ยังไง?”
ที่สำคัญ พ่อของผู้เฒ่าหูเมื่อก่อนปฏิรูปเศรษฐกิจนั้นเป็นจอมโจรกลมกลืนอยู่ในฉางไป๋ หลังจากปฏิรูปเศรษฐกิจแล้วกลัวจะถูกส่งตัวให้ทางการ จึงเปลี่ยนชื่อจากหูอวิ๋นเป้าเป็นหูเทียนเป่า หลบซ่อนอยู่บนเขาฉางไป๋
อย่าว่าแต่เยี่ยเทียนเป็นคนนอกเลย กระทั่งลูกชายของผู้เฒ่าหูก็ยังไม่รู้ชื่อแท้จริงของปู่ตัวเอง ดังนั้นจู่ ๆ ได้ยินชื่อของพ่อที่ลาโลกไปแล้ว โสตประสาทของผู้เฒ่าจึงราวกับถูกฟ้าผ่ากลางวันแสก ๆ
“ท่านผู้เฒ่าครับ ผมบอกไปแล้ว เป็นศิษย์พี่ใหญ่ที่รู้จักผู้เฒ่าหูอวิ๋นเป้า” เยี่ยเทียนเหลือบมองซ้ายขวา แล้วพูดต่อ “เราคุยกันที่นี่ไม่สะดวก เปลี่ยนเป็นที่อื่นกันไหมครับ?”
ถึงแม้เมืองฉางไป๋จะมีรถม้าอยู่ไม่น้อย แต่รถม้าของผู้เฒ่าหูขวางหน้าทางเข้าโรงพยาบาลอยู่ เตะตาผู้คนที่เดินผ่านไปมา เยี่ยเทียนคงไม่สามารถทำความรู้จักกับเขาที่นี่ได้หรอกกระมัง?
“อย่าเรียกว่าท่านผู้เฒ่าเลย ในเมื่อศิษย์พี่ของเธอรู้จักกับพ่อฉัน งั้นเธอก็มีศักดิ์สูงกว่าฉันหนึ่งขั้น ฉันชื่อหูหงเต๋อ เธอเรียกฉันว่าเหล่าหูก็เพียงพอแล้ว!”
หูหงเต๋อนำรถม้าล่ามเข้ากับต้นไม้ด้านนอกโรงพยาบาลอีกครั้ง นำเอาสัมภาระถือไว้ในมือ ชี้ไปยังร้านอาหารที่อยู่ตรงข้าม กล่าวว่า “พ่อหนุ่ม ไปเถอะ พวกเราไปนั่งคุยข้างในนั้นกัน!”
“ตกลงครับ!”
เยี่ยเทียนพยักหน้า ตามผู้เฒ่าหูเข้าไปยังร้านอาหารนั้น ตอนนั้นเป็นเวลาบ่ายสามโมงตรง จึงไม่มีใครมากินข้าว ทั่วทั้งร้านจึงมีแค่พวกเขาเพียงสองคน
หลังจากนั่งลงแล้ว ท่านผู้เฒ่าหูก็ไม่รีบร้อนเอ่ยถามเยี่ยเทียน แต่สั่งบะหมี่ชามใหญ่มาสองชาม จากนั้นก็ให้แล่เนื้อวัวเนื้อแพะมาหนึ่งชั่ง แล้วยังสั่งเหล้าขาวอีกหนึ่งขวด รอกระทั่งเหล้าและอาหาร ขึ้นโต๊ะแล้ว จึงได้เอ่ยปากถาม “พ่อหนุ่ม ขอถามชื่อของศิษย์พี่เธอทีว่าคือใคร แล้วรู้จักกับพ่อฉันได้อย่างไร?”
เยี่ยเทียนเองก็ไม่ปิดบัง พูดออกไปอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา ศิษย์พี่ของผมนามสกุลโก่ว ชื่อว่าซินเจีย เมื่อปี 40 นั้นมายังเขตป่ามณฑล ไม่ทราบว่าท่านได้ยิน ท่าน หูอวิ๋นเป่าเคยพูดถึงหรือไม่?”
” โก่วซินเจีย? นั่น…… นั่นไม่…… ไม่ใช่จินเหยี่ยนเตียวหรอกเหรอ? “
ได้ยินคำพูดของเฮียเทียนแล้ว หูของเต๋อก็ผุดลุกพรวดขึ้นยืน ส่งเสียงดังสนั่น กระเทือนไปถึงกระจกร้านอาหารจนสั่นสะเทือน ทำให้พ่อค้าสับเนื้อที่อยู่ด้านในตกใจจนเกือบจะหั่นนิ้วโป้งลงไปด้วย
” จินเหยี่ยนเตียว? นึกไม่ถึงว่าศิษย์พี่ จะมีชื่อนี้อีกด้วย?” เยี่ยเทียนได้ยินแล้วก็สะดุ้งตกใจ เขายังไม่เคยได้ยินศิษย์พี่พูดถึงฉายานี้มาก่อน
แต่ว่าเยี่ยเทียนไม่รู้ ว่าในสมัยนั้นโก่วซินเจียทำงานให้กับรัฐบาล ฉายานี้ได้รับทั้งคำสรรเสริญและกล่าวประนาม รวบรวมสมัครพรรคพวกไม่น้อย แต่ก็มีศัตรูทั่วทุกแห่ง ดังนั้นจึงไม่เล่าให้เยี่ยเทียนรู้
“ผมว่าท่านผู้เฒ่าครับ พวกเราเบาเสียงกันสักหน่อยได้ไหม? เสียงของท่านน่ะพวกเราชักจะรับไม่ไหวแล้ว!” ท่าทางของหูหงเต๋อโวยวายใหญ่โต จนพนักงานภายในร้านอาหารชักไม่เห็นพ้องด้วย
หูหงเต๋อจึงสำนึกได้ว่าเผลอตัวไป ยิ้มแย้มอย่างขออภัยต่อเจ้าหนุ่มที่ออกมาจากข้างใน แล้วนั่งกลับลงไปยังเก้าอี้ใหม่อีกครั้ง ลดน้ำเสียงลงกล่าวว่า “พ่อหนุ่ม ผู้…… ผู้เฒ่าคนนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า?”
“ศิษย์พี่ยังมีชีวิตอยู่ครับ ก่อนที่ผมจะมาครั้งนี้ เป็นเขาเองที่บอกเรื่องชื่อท่านพ่อของท่าน” เยี่ยเทียนมองยังหูหงเต๋ออย่างสงสัย เอ่ยปากถาม “ผู้เฒ่าหู หรือว่าท่านเคยพบกับศิษย์พี่ของผม? “
…………
ตอนที่ 400 เกี่ยวพัน (2)
โดย
Ink Stone_Fantasy
“อย่า อย่าเรียกฉันว่าท่านผู้เฒ่าหูเด็ดขาด เรียกฉันว่าเหล่าหูก็พอ ไม่อย่างนั้นเหล้านี้ฉันจะกินกับเธอไม่ลง”
ได้ยินคำเรียกของเยี่ยเทียนแล้ว หูหงเต๋อก็โบกไม้โบกมือไปมา ความสัมพันธ์ของโก่วซินเจียกับพ่อของเขาไม่ได้ตื้นเขิน ว่ากันตามหลักแล้วเขายังอ่อนกว่าเยี่ยเทียนรุ่นหนึ่ง หากเรียกว่าผู้เฒ่าหูแล้วจะเป็นการเอาเปรียบเยี่ยเทียน
เยี่ยเทียนเคยชินกับสถานะของตนเองในยุทธภพแล้ว ตอนนี้จึงไม่บอกปัดอีก เอ่ยปากว่า “ตกลงครับ งั้นผมเรียกว่าเหล่าหูล่ะ คุณเคยพบกับศิษย์พี่ของผมเหรอ?”
“เคยพบ ก็เมื่อปี 40 นั่นล่ะ!”
หูหงเต๋อรินเหล้าให้ตัวเอง เงยหน้าดื่มลงคอหอยหนึ่งเสียง รำลึกถึงความหลังตอบ “จินเหยี่ยนเตียวมายังภาคตะวันออกเฉียงเหนือเพื่อติดต่อกองกำลังต่อต้านญี่ปุ่น มาเจอพ่อของฉัน ถ้าหากไม่ได้เขาฉันกับพ่อคงถูกพวกหนีเข้าประเทศล้อมเอาไว้แล้ว……”
นับตั้งแต่ชาวญี่ปุ่นมาประชิดเขตสามมณฑล หูอวิ๋นเป้าที่เดิมทีเพียงเป็นนายพรานล่าสัตว์อยู่บนเขาฉางไป๋ จึงขึ้นเขาลุกต่อต้าน เรียกขานตัวเองว่านายพลหู รวบรวมสมัครพรรคพวกอีกกว่าร้อยคน
คนพวกนี้ส่วนใหญ่ล้วนเป็นนายพรานที่ปักหลักอยู่ในเขตเขาฉางไป๋หรือไม่ก็ผู้ค้าโสมเก่า มีกระสุนปืนผาหน้าไม้ไม่ขาดมือ อีกทั้งเชี่ยวชาญเก่งกาจการรบบนป่าเขา กี่ครั้งต่อกี่ครั้งที่ประมือกับชาวญี่ปุ่น ลุ้นทำให้ฝ่ายตรงข้ามสูญเสียอย่างหนัก
อีกทั้งหูอวิ๋นเป้าก็มีวิทยายุทธ์ช่ำชอง เคยนำพรรคพวกแปดคนบุกเข้าตำหนักเฟิ่งเทียน บุกปล้นธนาคารญี่ปุ่นแห่งหนึ่ง กวาดทรัพย์สินในคลังของธนาคารแห่งนั้นจนเกลี้ยง
ขณะที่ชาวญี่ปุ่นโอบล้อมเมืองรอบด้านอยู่นั้นเอง หูอวิ๋นเป้ากลับบุกเข้าค่ายทหารญี่ปุ่นเพียงลำพัง ลอบสังหารนายพลที่มีตำแหน่งสูงที่สุดในค่ายทหารในเวลานั้น ทั้งยังฉวยโอกาสขณะในเมืองกำลังสับสนวุ่นวาย พาพรรคพวกทั้งหลายหนีออกมาจากเฟิ่งเทียนได้อย่างปลอดภัย
หลังเหตุการณ์ครั้งนั้น หูอวิ๋นเป้าถูกคนในยุทธภพตะวันออกเฉียงเหนือยกย่องให้เป็นผู้ยิ่งใหญ่แห่งภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ชื่อเสียงโด่งดังไม่มีใครเทียบได้ แต่คนกลัวชื่อเสียงเหมือนกับที่หมูกลัวอ้วนพี เขาจึงถูกกดดันโอบล้อมโดยชาวญี่ปุ่นอย่างหนักหน่วงเช่นกัน
แต่ว่าป่าดิบบนเขาฉางไป๋ทั้งลึกและกว้างใหญ่ พวกหูอวิ๋นเป้านั้นอยู่บนเขาราวกับปลาได้น้ำ จึงรอดพ้นจากการถูกโอบล้อมไปได้อย่างปลอดภัยไร้อันตรายหลายต่อหลายครั้ง และนั่นยิ่งกลับทำให้ชื่อเสียงขจรขจายยิ่งขึ้น กลายเป็นขุนโจรแห่งยุทธภพตะวันออกเฉียงเหนืออย่างลับ ๆ
ไม่เพียงแต่ชาวญี่ปุ่นที่ตามหาหูอวิ๋นเป้า สมาคมต่อต้านญี่ปุ่นแห่งตะวันออกเฉียงเหนือและรัฐบาลพรรคการเมืองล้วนส่งคนไปตามตัวหลายต่อหลายครั้ง แต่ก็ไม่สามารถตามสืบร่องรอยของพวกเขาได้เลย
เวลานั้นคือฤดูหนาวหนึ่งที่เย็นเยียบจนหูสามารถแข็งจนหลุดออกมา หิมะปกคลุมภูเขาจนทั่วนานแล้ว ด้วยประสบการณ์ ที่ผ่านมา พวกลักลอบเข้าประเทศจึงไม่เข้าไปยังเขาฉางไป๋ จึงทำให้หูอวิ๋นเป้าคลายความระวังตัวลง เดิมที่เฝ้ายามทั้งสองด้านก็เปลี่ยนเป็นด้านเดียว
แต่ใครจะรู้ ว่าเมื่อเทศกาลตรุษจีนปี 40 นั้นเอง ขณะที่หูอวิ๋นเป้ากับพรรคพวกทั้งหลายกำลังดื่มเกล้ากันอย่างสุขสำราญอยู่นั้น กลุ่มลักลอบเข้าประเทศกลุ่มหนึ่งมายังตีนเขาภายใต้การนำทางของคนทรยศจากในค่าย
กองทหารกว่าร้อยคน กลุ่มลักลอบเข้าประเทศใช้กองพลนั้นทั้งหมด เห็นได้ว่ามีความตั้งใจจะปิดล้อมหูอวิ๋นเป้า แต่พวกหูอวิ๋นเป้าก็ยังคงวุ่นวายอยู่กับการเลี้ยงฉลองตรุษจีนกันอย่างไม่คิดชีวิต
ทว่ามีแขกผู้ไม่ได้รับเชิญมาถึงค่ายกองโจรบนเขานั้น ก่อนที่พวกกลุ่มลักลอบเข้าประเทศจะปิดล้อมป่าเขาลูกนั้นจนสนิท เขาก็คือโก่วซินเจีย
หูหงเต๋อที่อายุเพียงแปดขวบเวลานั้น ยังคงจำได้แม่นยำจนถึงบัดนี้ โก่วซินเจียใช้เพียงสามกระบวนท่า ก็สามารถจับตัวพ่อที่ได้รับขนานนามว่าไร้คู่ต่อกรทั่วทิศตะวันออกเฉียงเหนือได้สำเร็จ ทั้งยังกล่าวถึงการปิดล้อมเขาของชาวญี่ปุ่นอีกด้วย
ชาวยุทธภพยกย่องนับถือชายชาตรี โดยเฉพาะหากเป็นเรื่องเกี่ยวพันกับชีวิตของตนเองและครอบครัว หลังถูกปล่อยตัวแล้ว หูอวิ๋นเป้าจึงส่งคนไปตรวจสอบดูทันที ไม่นานนัก ด้านล่างเขาก็เกิดเสียงปืนดังขึ้น
โชคดีที่โก่วซินเจียมาถึงไว การปิดล้อมของพวกกลุ่มลักลอบเข้าประเทศยังไม่แล้วเสร็จ หูอวิ๋นเป้าก็นำพรรคพวกกว่าหนึ่งร้อยคนเสี่ยงชีวิต ออกสังหารเพื่อหลบหนีออกไปยังส่วนลึกของเขาฉางไป๋
แต่ว่าหลังผ่านปฏิบัติการครั้งนี้ พรรคพวกของหูอวิ๋นเป้ากลับเจ็บตายไปกว่าครึ่ง กระทั่งแม่ของหูหงเต๋อ ก็ยังถูกกระสุนเสียชีวิตลงขณะที่ถูกปิดล้อมกะทันหัน
บุญคุณที่ช่วยชีวิตยิ่งใหญ่เหนือฟ้า หลังจากที่หูอวิ๋นเป้าหลบหนีรอดพ้นออกมาได้ ย่อมรู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณของโก่วซินเจีย ทั้งสองคนจึงดื่มเหล้าโลหิตร่วมสาบานระหว่างที่อยู่ในเขตฉางไป๋เฮยหลงเจียง อีกทั้งหูอวิ๋นเป้ายังยอมรับภารกิจจากพรรคการเมืองรัฐบาล
นับตั้งแต่ขึ้นเขาลุกขึ้นต่อต้าน หูอวิ๋นเป้าก็ไม่สนใจเรื่องความเป็นความตายอีก แต่กับลูกชายคนเดียวอย่างหูหงเต๋อคนนี้ กลับไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไหร่นัก
เมื่อโก่วซินเจียออกจากเขตภูเขา เขาก็ส่งหูหงเต๋อให้กับพรรคพวก ให้โก่วซินเจียพาลูกชายไปยังบ้านของลูกพี่ลูกน้องชายห่าง ๆ ที่เปิดคลินิกแพทย์แผนจีนแห่งหนึ่ง
จวบจนห้าปีหลังจากนั้นเมื่อญี่ปุ่นแพ้สงครามและยอมจำนน หูหงเต๋อจึงได้พบกับพ่ออีกครั้ง เวลานั้นหูอวิ๋นเป้าก็มียศเป็นถึงนายพลในกองทัพรัฐบาลแล้ว
แต่ว่าหลังจากขับไล่ชาวญี่ปุ่นออกไปได้ หูอวิ๋นเป้าก็ไม่มีความสนใจทำสงครามภายในประเทศ จึงอาศัยอยู่ที่บ้านลูกพี่ลูกน้อง วรยุทธ์ของหูหงเต๋อจึงฝึกได้ถึงระดับพื้นฐานในเวลานั้น อีกทั้งยังได้รับสืบทอดความสามารถด้านการแพทย์แผนจีนมาจากท่านปู่ลูกพี่ลูกน้องผู้นั้นด้วย
“เหล่าหู คุณมีความเกี่ยวพันกับศิษย์พี่ของผมล้ำลึกขนาดนี้เชียว?”
หูหงเต๋อเล่ามาถึงตรงนี้ เยี่ยเทียนถึงกับฟังจนอ้าปากค้างหุบไม่ลง ตำนานสงครามต่อต้านสังหารผีญี่ปุ่นเมื่อครึ่งศตวรรษก่อน ได้ฟังแล้วเขายังเลือดร้อนพุ่งพล่าน นึกเสียดายที่ตนเองไม่ได้เกิดในยุคสมัยนั้น
อีกทั้งเยี่ยเทียนเองก็รู้สึกชื่นชมนับถือศิษย์พี่ใหญ่จากใจ เนื่องจากได้รับการสั่งสอนมาตั้งแต่เล็ก เขาไม่ได้ใส่ใจเรื่องพรรคประเทศชาติ ทีแรกจึงไม่นึกเห็นดีเห็นงามกับสถานะของโก่วซินเจียนัก
แต่วันนี้ถึงได้รู้ว่า ขณะที่ประเทศตกอยู่ในช่วงยากลำบาก ศิษย์พี่ใหญ่ของตนเองไม่ได้นั่งออกกฎอยู่ภายในห้องทำงาน แต่ว่าใช้มันสมองเพื่อต่อสู้กับพวกญี่ปุ่นอย่างสุดชีวิต!
“ใช่แล้ว เวลานั้นท่านอาเดินเคียงข้างฉันในพื้นที่หิมะสูงถึงเอวเป็นเวลาสามวัน ถึงออกมาจากป่าเก่าได้ หากไม่มีเขา ฉันกับพ่อคงไม่เหลือชีวิตไปนานแล้วล่ะ!”
ดวงตาของหูหงเต๋อแดงก่ำเล็กน้อย หลังออกจากเขา โก่วซินเจียยังอยู่กับเขาเป็นเวลาหนึ่งเดือน เมื่อเห็นว่าไม่มีอันตรายจึงได้จากไป ตอนจากยังทิ้งทองคำเล็ก ๆ จำนวนสิบก้อนที่ท่านพ่อให้เป็นของขวัญเอาไว้
“เยี่ยเทียน ตอนนี้ท่านอาอยู่ที่ไหน? ฉันอยากไปพบเขา อยากไปก้มศรีษะคำนับท่านอา!” หูหงเต๋อเงยหน้าขึ้น ในดวงตาเปี่ยมไปด้วยเส้นเลือดด้วยความรู้สึกตื่นเต้น
“เหลาหู่ ไม่ต้องตื่นเต้นไปครับ หลานสาวของคุณยังนอนอยู่บนเตียงอยู่เลย!” เยี่ยเทียนกล่าวเสียงต่ำ ในน้ำเสียงแฝงพลังวิญญาณเล็กน้อย แม้ว่าจะไม่เสียงดัง แต่ก็สะเทือนใจจนหูหงเต๋อได้สติขึ้นมา
“เฮ้อ ต้องโทษฉันที่ตอนนั้นเอาแต่เรียนวิชาต่อสู้ ไม่ยอมเรียนวรยุทธ์ที่สืบทอดต่อกันมา ไม่อย่างนั้น ไม่อย่างนั้น……” หูหงเต๋อถอนหายใจยาวด้วยความสำนึกผิดไม่เลิก
“ผมกำลังจะถามคุณเรื่องนี้อยู่พอดีครับ”
ได้ยินหูหงเต๋อเป็นฝ่ายพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาเอง เยี่ยเทียนจึงกล่าวว่า “เหล่าหู ในเมื่อคุณกับศิษย์พี่ของผมมีความเกี่ยวดองกันล้ำลึกอย่างนี้ คุณก็คงรู้จักสำนักของเราด้วยใช่หรือเปล่า?”
หูหงเต๋อพยักหน้ากล่าว “รู้สิ ท่านอาเคยบอกกับฉันว่า พวกเธอคือสำนักเทพพยากรณ์เสื้อป่าน เป็นผู้นำวรยุทธ์ในเขตทุ่งหญ้าภาคกลาง”
“งั้นตระกูลหูของคุณเดิมคือลัทธิตะวันและจันทรา รับสืบทอดมาอย่างไรจึงไม่สามารถถ่ายทอดต่อได้?” เยี่ยเทียนถาม
“เฮ้อ ต้องโทษฉันที่ตอนอายุน้อยโง่เขลา……” หูหงเต๋อกระดกเหล้าดื่มอีกแก้วด้วยความอึดอัดใจ พูดถึงเรื่องหลังจากพ่อลงจากภูเขา
หูหงเต๋อรู้จักวิชาที่สืบทอดกันมาในตระกูลของตน แต่ว่าเขาอายุยังน้อยสนใจฝึกแต่วิทยายุทธ์ ไม่มีความสนใจต่อการอัญเชิญเทพเขียนยันต์ร่ายคาถาอะไรพวกนั้นแม้แต่นิดเดียว หูอวิ๋นเป้าคว้าไม้เรียวมาจึงจะทำให้เขาเรียนได้สักนิดหนึ่ง
พอถึงช่วงหลังปฏิรูปเศรษฐกิจ เนื่องจากหูอวิ๋นเป้าเคยเป็นข้าราชการในรัฐบาลพรรคการเมือง ถูกคนกล่าวหาขับไล่ออกมา เมื่ออับจนหนทางจึงหนีกลับเข้าป่าลึกอีกครั้ง จวบจนปี 60 ก็ยังไม่ออกจากเขา จึงไม่สามารถแนะนำฝึกฝนวิชาความรู้ให้แก่ลูกชายอีก
จนถึงเวลาที่เกิดการกวาดล้างทั่วประเทศอย่างไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ครั้งนั้น ภรรยาของหูหงเต๋อเกิดกลัวว่าตำรายันต์คาถาภูตผีที่สืบต่อกันมาในตระกูลจะนำพาภัยพิบัติ จึงยัดลงเตาไฟเผาทิ้งจนหมดสิ้น
นับจากนั้น วิชาแถบตะวันออกเฉียงเหนือที่สืบทอดกันมาในตระกูลหู จึงมาจบสิ้นลงด้วยน้ำมือของหูหงเต๋อนั่นเอง
แม้ว่าหลังจากเกิดเรื่องหูหงเต๋อจะสำนึกเสียใจไม่สิ้นสุด แต่สิ่งที่ตกทอดกันมานั้นก็ถูกเผากลายเป็นเถ้าถ่านนานแล้ว เขาเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไร จึงอาศัยความรู้ทางด้านแพทย์แผนจีนที่ร่ำเรียนมาเมื่อยังเด็ก เปิดคลินิกเล็กๆ ขึ้นแห่งหนึ่ง
ดังนั้นแม้หูหงเต๋อจะรู้คาถาอาคม อีกทั้งรู้แนวในหนทางแห่งเต๋าอยู่บ้าง แต่ว่าตนเองก็ได้ถูกขับออกนอกสำนักไปแล้ว เฉกเช่นครั้งนี้ที่เขาสงสัยว่าหลานสาวจะถูกเวทมนตร์คาถา แต่ก็ไร้ความสามารถช่วยเหลือ
หูหงเต๋อพลันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ จึงคว้ามือของเยี่ยเทียนเอาไว้ กล่าวว่า “เยี่ยเทียน ท่านอาสามารถช่วยเซียนเอ๋อร์ ท่านอาจะต้องช่วยนางได้แน่!”
เวลานั้นที่ถูกกลุ่มลักลอบเข้าประเทศปิดล้อมเขา โก่วซินเจียเคยใช้ค่ายกลสกัดกั้นศัตรูเอาไว้ ให้ชาวญี่ปุ่นถูกกักอยู่ที่เดิมเป็นเวลาตลอดหนึ่งคืน ไม่อย่างนั้นทางหูอวิ๋นเป้าคงจะไม่สามารถหลบหนีออกมาได้อย่างง่ายดาย
พอคิดถึงตรงนี้ สายตาอันหม่นมัวของหูหงเต๋อที่พูดถึงหลานสาว ก็พลันสว่างไสวขึ้นมาในทันใด น้ำเสียงกลับกลายโหวกเหวกขึ้นไม่น้อยอย่างไม่รู้ตัว
“ท่านผู้เฒ่า ขืนท่านยังโวยวายอีกล่ะก็ ร้านนี้คงบริการท่านต่อไม่ได้แล้วนะ”
พนักงานคนหนึ่งเดินมาหาอย่างอารมณ์เสีย ตาแก่คนนี้โวยวายไม่ยอมเก็บเสียง เมื่อครู่พ่อครัวตกอกตกใจสะดุ้ง จนครั้งนี้สับถูกนิ้วเข้าจนได้
“อย่ายุ่งน่า ไม่เห็นเหรอว่าฉันกำลังคุยธุระอยู่?”
หูหงเต๋อถลึงตามอง ทำเอาพนักงานคนนั้นตกใจหดคอลงในทันที ล้วงมือลงไปหยิบเงินออกมากองหนึ่ง จำนวนกว่าเจ็ดแปดร้อยทิ้งเอาไว้ “ขืนยังมาวุ่นวายอีกฉันจะพังร้านนายเสีย!”
แม้คนภาคตะวันออกเฉียงเหนือจะอารมณ์ร้อน แต่ก็เป็นกับคนเท่านั้น หูหงเต๋อนั้นหนึ่งมีอายุมาก สองรูปลักษณ์หน้าตาดุดันน่าเกรงขาม ทำให้พนักงานร้านนั้นตกใจกลัวรับเงินไปแล้วไม่กล้าพูดอะไรอีก
“เยี่ยเทียน นายพาฉันไปหาท่านอาที เขาจะต้องช่วยเสี่ยวเซียนได้แน่!”
พอไล่พนักงานออกไปแล้ว หูหงเต๋อก็เอ่ยปากขอร้องเยี่ยเทียน ด้วยสาเหตุเพราะคู่ชีวิตจากไปครั้งนั้น ความสัมพันธ์ของเขากับลูกชายและลูกสะใภ้จึงไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ถึงได้ใส่อกใส่ใจหลานสาวคนเดียวผู้เฉลียวฉลาดว่านอนสอนง่ายคนนี้เป็นอย่างมาก
“เหล่าหู ไม่ต้องรีบร้อน ครั้งนี้เสี่ยวเซียนอาจสะเทือนใจแต่ไม่อันตราย ไม่บาดเจ็บถึงแก่ชีวิตครับ”
เยี่ยเทียนปลอบโยนหูหงเต๋อประโยคหนึ่ง พลันเปลี่ยนหัวข้อ เอ่ยถาม “ผมเห็นว่าภายในร่างกายเสี่ยวเซียนมีไอวิญญาณกระจัดกระจาย ไม่รู้ว่าเกิดขึ้นได้ยังไง? ถ้าหากไม่มีไอวิญญาณพวกนี้คอยป้องกันไว้ล่ะก็ เกรงว่าครั้งนี้เสี่ยวเซียนอาจจะต้านทานไม่ไหวไปแล้ว……”
“อ้อ นั่นคือเรื่องเมื่อตอนเสี่ยวเซียนอายุแปดขวบ ฉันเชิญเทพจิ้งจอกมาคุ้มครองร่างของเธอไว้ แต่ว่าวรยุทธ์ของฉันไม่ถึงขั้น พลังอัญเชิญเทพจิ้งจอกตนนั้นจึงไม่เพียงพอ”
พอได้ยินคำถามของเยี่ยเทียนแล้ว ใบหน้าชราของหูหงเต๋อก็แดงก่ำขึ้นอย่างหาได้ยาก นั่นเป็นครั้งเดียวในชีวิตที่เขาใช้คาถาอาคมสำเร็จ และหลังจากนั้นก็ไม่เคยอัญเชิญมาอีกเลย
……….
ตอนที่ 401 หญ้าคืนวิญญาณ
โดย
Ink Stone_Fantasy
ตอนที่โก่วซินเจียทำความรู้จักกับหูอวิ๋นเป้านั้น ถูกชาวญี่ปุ่นปิดล้อมพอดิบพอดี จากนั้นด้วยความเหน็ดเหนื่อยที่ต้องหนีเอาตัวรอดจากการปิดล้อมบนเขาฉางไป๋กะทันหัน โก่วซินเจียจึงไม่มีเวลาสอบถามวิชากับหูอวิ๋นเป้าอย่างลึกซึ้ง
ดังนั้นหูหงเต๋อจึงเป็นคนที่รู้วิชารื่อเยว่เต้าที่เยี่ยเทียนพบเป็นคนแรก ปัจจุบันพอได้ยินชื่อเทพจิ้งจอกจากปากเขาอีก เยี่ยเทียนจึงอดถามด้วยความสงสัยไม่ได้ “บนโลกนี้มีเทพจิ้งจอกอยู่จริง ๆ เหรอครับ?”
“เรื่องนี้……ฉัน……ฉันเองก็ไม่แน่ใจ เพียงแค่หลังจากร่ายคาถาแล้ว ก็สามารถสัมผัสพลังบางอย่างมาอยู่ในร่าง แล้วตั้งแต่ตอนแปดขวบที่อัญเชิญเทพจิ้งจอกมาคุ้มครองเสี่ยวเซียน เธอก็ไม่เคยเจ็บป่วยอีกเลย”
เมื่อเผชิญหน้ากับคำถามของเยี่ยเทียน หูหงเต๋อเองก็อธิบายออกมาไม่ถูก เรื่องนี้ต้องโทษที่เมื่อในอดีตเขาไม่ยอมศึกษาวิชาคาถาอาคม ตอนนี้จะมานึกเสียใจภายหลังก็ไม่ทันเสียแล้ว
แต่หูหงเต๋อกลับเคยได้ยินพ่อกล่าวไว้ ว่าเมื่อสมัยอดีตที่เขาสามารถบุกเข้าไปลอบสังหารนายพลกองทัพในค่ายทหารญี่ปุ่นได้เพียงลำพัง นั่นเป็นเพราะอาศัยวิชาหลบหลีกจากในวิชาคาถาอาคม หากไม่มีวิชาที่สืบทอดกันมาในตระกูลแล้ว เขาเองก็ไม่สามารถสร้างชื่อเสียงโด่งดังได้ขนาดนี้เช่นกัน
อีกทั้งหูหงเต๋อยังเคยเห็นท่านพ่อใช้เวทมนตร์ อัญเชิญเทพจิ้งจอกมาประทับร่างด้วยตาตนเอง ครั้งนั้นท่านพ่อที่อายุกว่าห้าสิบปีกลับเคลื่อนไหวคล่องแคล่วว่องไวราวกับลิงในเขาฉางไป๋ เป็นการเปิดหูเปิดตาหูหงเต๋ออย่างแท้จริง
แต่ว่าเรื่องนี้เกี่ยวพันต่อชีวิตของหลานสาว ตอนนี้หูหงเต๋อจึงไม่มีกะจิตกะใจจะถกเรื่องคาถาอาคมกับเยี่ยเทียน ละล่ำละลักกล่าวว่า “เยี่ยเทียน อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องนี้เลย เธอลองดูสิว่า จะสามารถติดต่อท่านอาหน่อยได้ไหม รบกวนเขาให้มาที่นี่สักหน่อยได้หรือเปล่า?”
หูหงเต๋อรู้ว่าโก่วซินเจียอายุล่วงเข้าเลขแปดแล้ว ว่ากันตามหลักควรจะให้ตนที่เป็นรุ่นหลังโขกหัวคำนับอัญเชิญมา แต่สถานการณ์ในปัจจุบันนี้ หูหงเต๋อเองก็ไม่คิดอะไรมากมายขนาดนั้น
เยี่ยเทียนส่ายหน้ากล่าวว่า “เหล่าหู เมื่อครู่ผมโทรศัพท์หาศิษย์พี่ใหญ่แล้ว เขาเองก็ไม่คุ้นเคยกับวิชาคาถาแถบนี้สักเท่าไหร่ เขาจะมาหรือไม่ความจริงเป็นเพราะสาเหตุนี้แหละ”
“ถ้า…… ถ้าอย่างนั้นเสี่ยวเซียนจะไม่?”
หูหงเต๋อได้ยินเข้าก็ตกตะลึงหนัก ถ้าหากแม้แต่โก่วซินเจียยังอับจนหนทางล่ะก็ บนโลกใบนี้เกรงว่าจะไม่มีใครสามารถช่วยชีวิตหลานสาวได้อีกแล้ว ใบหน้าของหูหงเต๋อพลันเผยให้เห็นถึงอารมณ์โศกเศร้า
” เหล่าหู ความหมายของผมก็คือ ผมอยู่ที่นี่ ศิษย์พี่จะมาหรือไม่ล้วนมีค่าเท่ากัน!” เห็นว่าหูหงเต๋อฟังความหมายของตนไม่เข้าใจ เยี่ยเทียนจึงกล่าวย้ำคำพูดเมื่อครู่อีกครั้ง
“เยี่ยเทียน เธอ……เธอหมายความว่า เธอสามารถช่วยเสี่ยวเซียนได้งั้นเหรอ? ” ครั้งนี้หูหงเต๋อฟังเข้าใจแล้ว มองยังเยี่ยเทียนด้วยสีหน้าประหลาดใจ ภายในใจค่อนไปทางไม่เชื่ออยู่หลายส่วน
ในอดีตโก่วซินเจียใช้สามกระบวนท่าล้มท่านพ่อของตน อีกทั้งยังใช้คาถาสร้างค่ายกลสกัดกั้นผีน้อยเอาไว้ เหตุการณ์พวกนี้หูหงเต๋อล้วนเห็น ด้วยตาตัวเอง ท่วงท่าของวีรบุรุษไร้คู่ต่อกรผู้นั้น กระทั่งเวลาล่วงเลยไปถึงห้าหกสิบปีแล้ว ยังคงประทับอยู่ในใจเขาอย่างไม่เคยจางหาย
แต่เยี่ยเทียนที่อยู่ตรงหน้าอายุเพียงยี่สิบต้นๆ เท่านั้น กระทั่งใบหน้ายังคงแฝงด้วยความไร้เดียงสา ไม่ว่าอย่างไรหูหงเต๋อก็ไม่อาจเชื่อมโยงเขากับจอมขมังเวทย์ในความทรงจำได้เลย
“ไม่อาจรับประกันได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ลองดูได้ครับ!”
จนถึงตอนนี้เยี่ยเทียนก็ยังไม่รู้ว่าเสี่ยวเซียนถูกคาถาอาคมประเภทไหน เพียงสามารถลองใช้วิชาจับวิญญาณดูเท่านั้น จึงไม่กล้ารับประกันต่อหูหงเต๋อ
ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เยี่ยเทียนก็ว่าต่อ” เหล่าหูครับ หากอยากให้ผมช่วยรักษาหลานสาวคุณ ต้องมีเงื่อนไขสองข้อ”
“เธอว่ามาเลย ขอให้เป็นเรื่องที่ฉันทำได้ เงื่อนไขสิบข้อก็ตกลง!”
หูหงเต๋อเร่งรีบตกลงทันใด เขาและโก่วซินเจียมีความเกี่ยวดองกัน แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าจะมีความสนิทสนมกับเยี่ยเทียนด้วย คนอื่นย่อมไม่ช่วยเหลือเรื่องของตนเปล่าๆ อยู่แล้ว
เยี่ยเทียนพยักหน้ากล่าว “อย่างแรก ตอนที่ผมร่ายอาคม ภายในห้องนอกจากคุณแล้ว ห้ามมีคนอื่นอีก ถ้าข้อนี้ทำไม่ได้ล่ะก็ หลังจากนั้นก็ไม่ต้องพูดถึงอีกเลย”
“เรื่องนี้ไม่มีปัญหา ฉันจะไล่พวกเธอออกไปเอง ฉันไม่โมโหโวยวาย เจ้าเด็กพวกนี้คงนึกว่าหลายปีมานี้ฉันถือศีลกินเจจริง ๆ แล้วกระมัง?”
หููหงเต๋อขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน เพื่อชีวิตของหลานสาว ถึงต้องพลิกสีหน้าใส่ลูกชายกับลูกสะใภ้ ก็ต้องรับประกันให้ได้ว่าขณะเยี่ยเทียนร่ายคาถาอาคมจะไม่ถูกก่อกวน
“งั้นก็ดีครับ เงื่อนไขที่สองคือ ผมจำเป็นต้องใช้รากของหญ้าคืนวิญญาณ สิ่งนี้คุณสามารถหาได้ไหม?”
จากคำพูดของศิษย์พี่ใหญ่นั้น ต้องนำหญ้าคืนวิญญาณมาบดให้เป็นผง จากนั้นนำมาผสมกับกำยานแล้วจุดไฟ หากไม่มีสิ่งนี้ ประสิทธิภาพการร่ายคาถาจับวิญญาณของเยี่ยเทียนจะลดลงอย่างมาก
” หญ้าคืนวิญญาณ? มันคืออะไรกันน่ะ? ” หูหงเต๋อได้ยินเข้าก็ตกตะลึง เขาไม่เคยได้ยินถึงเจ้าสิ่งนี้มาก่อน
“คุณไม่รู้จักเหรอครับ?” ใบหน้าของเยี่ยเทียนเผยให้เห็นความตกใจ ตามที่ศิษย์พี่ว่าไว้ พื้นที่อาณาเขตตะวันออกเฉียงเหนือนี้ควรจะมีหญ้าคืนวิญญาณขึ้นอยู่
หูหงเต๋อส่ายหน้ากล่าว “ไม่รู้จัก เธออธิบายรูปร่างลักษณะของมันมาหน่อยซิ? พวกต้นไม้ในป่าของพวกเรานี่ ล้วนมีชื่อเรียกหลายอย่างมาก
” มันเป็นพืชชนิดหนึ่ง สูงน่าจะระหว่างหกสิบเซนติเมตร ถึงหนึ่งเมตรครึ่ง รากแง่งหนาสั้น ขึ้นเป็นพุ่มส่วนใหญ่มีรากยาวละเอียด ผิวด้านนอกสีเทาอมน้ำตาล ใบไม้ทรงรีแบน
ต้นไม้นี้จะออกดอกหน้าร้อนและฤดูใบไม้ร่วง ช่อดอกมีจำนวนมาก ใบประดับมีสามชั้น ทรงครึ่งวงกลม สีเขียวเหลือบม่วงเล็กน้อย ขอบของดอกย่อยเป็นสีม่วงน้ำเงิน เหล่าหู ผมเองก็รู้เท่านี้แหละ คุณว่ามีพืชที่ลักษณะคล้ายคลึงบ้างไหม? “
ความทรงจำของเยี่ยเทียนดีเยี่ยม โก่วซินเจียอธิบายลักษณะพิเศษของหญ้าคืนวิญญาณให้เขาฟังทางโทรศัพท์รอบเดียว เวลานี้ก็สามารถถ่ายทอดออกมาได้โดยไม่มีขาดตกบกพร่องแม้แต่คำเดียว
หูหงเต๋อครุ่นคิดอย่างละเอียด พลันดวงตาก็สว่างวาบขึ้นมา กล่าวขึ้นเสียงดัง “ต้นนี้มันเรียกว่าผักเฝือกลานี่ มี ในป่าเราก็เห็นต้นพวกนี้เหมือนกัน!”
“ผักเฝือกลา? ชื่อนี้น่าสนใจดีนะครับ เหล่าหู คุณแน่ใจใช่ไหม?” พืชพรรณไม้บนเขาฉางไป๋มีนับหมื่นชนิด เยี่ยเทียนเพียงกลัวว่าหูหงเต๋อจะเข้าใจผิดเท่านั้นเอง
“แน่ใจ ก็คือผักเฝือกลานั่นแหละ!” ตั้งแต่วันแรกที่เกิดหูหงเต๋อก็เติบโตภายในป่าเขาฉางไป๋ จากนั้นก็ติดตามผู้อาวุโสในครอบครัวเรียนรู้การแพทย์แผนจีน สำหรับสมุนไพรพวกนี้แล้วสามารถพูดได้ว่ารู้ลึกเหมือนบนฝ่ามือของตัวเอง
“แต่ว่าในฤดูนี้ใบของผักเฝือกลาคงร่วงหล่นหมดแล้ว จะหารากของมันคงไม่ง่ายนัก”
หูหงเต๋อพูดพลางขมวดคิ้ว ถ้าหากเป็นฤดูใบไม้ผลิฤดูใบไม้ร่วงสองฤดูนี้ล่ะก็ จะเป็นช่วงเวลาบานของผักเฝือกลาพอดิบพอดี สามารถเห็นได้ในหลายๆ ที่
แต่เวลานี้ใกล้จะเข้าหน้าหนาวแล้ว บนเขานอกจากต้นสน พรรณไม้อื่นๆ ล้วนเตียนโล่งไปหมด อีกทั้งรากหญ้าสมุนไพรพวกนี้หลงเหลือก็ฝังอยู่ในดิน จะหาขุดขึ้นมานั้นค่อนข้างยากลำบาก
“เยี่ยเทียน เอาอย่างนี้ ฉันจะกลับขึ้นไปบนเขาเดี๋ยวนี้ เธอรอฉันที่นี่สักหนึ่งวัน อย่างช้าพรุ่งนี้ตอนบ่าย ฉันก็จะสามารถนำเอาหญ้าคืนวิญญาณมาได้ เธอเห็นว่าเป็นยังไง?”
เพื่อชีวิตของหลานสาว หูหงเต๋อเองก็ไม่คิดอะไรให้มากแล้ว ถึงต้องใช้มือขุด ก็จะต้องหาหญ้าคืนวิญญาณนี้มาให้ได้
“เหล่าหู ผมอยู่ที่นี่ก็ไม่มีธุระอะไร ถ้ายังไงผมตามไปกับคุณดีกว่าครับ!”
เยี่ยเทียนคิด ๆ ดูว่าตัวเองเฝ้าอยู่ในห้องผู้ป่วยเองก็น่าเบื่อเกิน โดยเฉพาะคนป่วยเป็นผู้หญิงแล้ว สู้ตามหูหงเต๋อไปเดินเล่นในเขาฉางไป๋สักรอบดีกว่า
“เยี่ยเทียน เขาฉางไป๋เดินทางไม่สะดวก เธอเป็นคนเติบโตภายในเมือง ถ้าไปเกรงว่าจะไม่เคยชินน่ะสิ” หูหงเต็อได้ยินแล้วส่ายหน้า เขากลัวว่าเยี่ยเทียนติดตามไปจะถ่วงเวลาเขาตามหาหญ้าคืนวิญญาณ
เยี่ยเทียนมองออกถึงความคิดของหูหงเต๋อ หัวเราะเสียงดังขึ้นมาทันใด กล่าวว่า “เหล่าหู ผมไม่ได้เติบโตมาในเมืองหรอกครับ ตั้งแต่ผมอายุห้าขวบก็เที่ยวเล่นในเขาเหมาซานตลอดทั้งวันแล้ว อย่าดูถูกผมเชียว!”
“งั้นก็ได้ พวกเราไปกันเดี๋ยวนี้เลย!”
หูหงเต๋อเป็นคนอารมณ์ร้อน ควักเงินออกมาจากกระเป๋าเสื้อหนังอีกสองร้อยเหรียญวางไว้บนโต๊ะ แล้วลากเยี่ยเทียนเดินออกมาจากร้านบะหมี่
หลังจากปิดคลินิกเล็กๆ ลงแล้ว หูหงเต๋อก็อาศัยอยู่ในเขาฉางไป๋ตลอดทั้งปี ช่วงปีหลังๆ มานี้มีการปิดเขาปลูกป่า ห้ามล่าสัตว์อย่างเข้มงวดแล้ว หูหงเต๋อก็มักไปเก็บสมุนไพรล้ำค่าอยู่บ่อยๆ จึงมีเงินใช้ไม่ขาดมือ
“เอ่อ ให้ผมโทรศัพท์ก่อนนะครับ”
เดิมทีเยี่ยเทียนตั้งใจจะกลับไปโรงพยาบาลเพื่อบอกอวี๋ชิงหย่าก่อนสักคำ นึกไม่ถึงว่าจะถูกหูหงเต๋อลากตรงขึ้นรถม้า ได้แต่หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาอย่างจะร้องไห้หรือหัวเราะก็ไม่ออก โทรหาอวี๋ชิงหย่า
ถึงแม้จะไม่รู้ว่าเยี่ยเทียนไปอยู่กับคุณปู่ของหูเสี่ยวเซียนได้ยังไง แต่อวี๋ชิงหย่าก็รู้ความสามารถของแฟนหนุ่มดี จึงไม่นึกเป็นห่วง เพียงให้เยี่ยเทียนระวังตัวหน่อยเท่านั้น
“เอ้า! ไป……”เยี่ยเทียนเคยนั่งรถยนต์รถไฟเครื่องบินมาหมดแล้ว แต่ว่าเพิ่งเคยนั่งรถม้าเป็นครั้งแรก เห็นหูหงเต๋อหวดแส้ฟาดม้า จึงรู้สึกแปลกใหม่อยู่บ้าง
เมืองฉางไป๋ไม่กว้างใหญ่นัก ครึ่งชั่วโมงต่อมา รถม้าก็ออกจากตัวเมืองแล้ว วิ่งบนพื้นดินขรุขระนั้น ยังไวกว่าในเมืองมาก
“เยี่ยเทียน วรยุทธ์ของเธอ เยี่ยมยอดจริงๆ”
หลังขึ้นรถม้ามาแล้ว หูหงเต๋อก็นั่งบนเพลารถคนละฝั่งซ้ายขวากับเยี่ยเทียน พอสองคนได้เคียงบ่าเคียงไหล่ จึงพบว่าภายในแจ็คเก็ตของเยี่ยเทียนนั้น สวมเพียงเสื้อเชิ้ตบางๆ เพียงตัวเดียว
ที่สำคัญ อุณหภูมิภายในเขาฉางไป๋เมื่อใกล้เดือนพฤษจิกายน ก็ติดลบแล้ว ต่อให้เป็นหูหงเต๋อ ก็ยังต้องใส่ทับด้วยเสื้อกั๊กขนจิ้งจอกไฟ ไม่อย่างนั้นก็ไม่สามารถต้านทานความหนาวเย็นขนาดนั้นได้
เวลานั้นหูหงเต๋อถึงเข้าใจว่าตนเองดูถูกเยี่ยเทียนเกินไป เรื่องอื่นนั้นยังไม่ต้องพูดถึง เพียงแค่ความสามารถในการทนร้อนทนหนาวอย่างนี้ของเยี่ยเทียน ตนเองก็ห่างชั้นไปไกลแล้ว
เยี่ยเทียนยิ้มแย้มกล่าว “ผมโชคดีเท่านั้นแหละ เหล่าหู อีกไกลแค่ไหนจะถึงสถานที่ที่คุณอยู่หรือครับ?”
เวลานั้นรถม้าขึ้นไปทางบนเขาแล้ว สองข้างทางล้วนเป็นทางแคบขรุขระเต็มไปด้วยป่าต้นไป๋ฮว่า นั่งอยู่บนรถม้าราวกับกำลังเต้นรำ กระเด้งกระดอนไปหมดทั้งตัว
หูหงเต๋อยกแส้ม้าขึ้น ชี้ไปยังด้านหน้าแล้วกล่าวว่า “ผ่านสถานีป่าไม้ด้านหน้า เดินเข้าไปข้างในแค่ประมาณครึ่งชั่วโมง รถม้านี่เป็นของสถานีป่าไม้ ฉันต้องเอาไปคืน”
ขณะที่พูดอยู่นั้น ทางแคบด้านหน้าก็เปิดออก สถานีป่าไม้ที่เต็มไปด้วยท่อนไม้ดิบก็ปรากฎอยู่ต่อหน้าสายตา
“ท่านปู่หู เสี่ยวเซียนไม่เป็นไรใช่ไหม? ทำไมถึงกลับมาไวอย่างนี้ล่ะ แล้วน้องชายคนนนี้คือ?”
หลังจากหยุดรถม้าแล้ว ชายวัยกลางคนอายุสี่สิบกว่าก็เข้ามาต้อนรับ มองยังเยี่ยเทียนที่นั่งอยู่ด้านข้างด้วยความสงสัยเล็กน้อย ยื่นห่อซิการ์ให้แก่หูหงเต๋อกับเยี่ยเทียนมวนหนึ่ง
“ยัยหนูมันดวงแข็ง ไม่ต้องกลัวหรอก บุหรี่นี่ฉันไม่สูบ สูบยาเส้นของฉันดีกว่า”
หูหงเต๋อผลักซิการ์กลับไป กล่าวว่า “หัวหน้าสถานีซ่ง นี่คือเพื่อนนักเรียนของเสี่ยวเซียนน่ะ เข้ามาเที่ยวเขากับฉัน นายเอาเหล้ามาให้ฉันหน่อย ตอนกลางคืนจะได้อุ่นๆ!”
“ได้สิ ท่านปู่หู เดี๋ยวถ้าท่านล่ากวางได้ ก็แบ่งเนื้อให้ผมหน่อยล่ะ”
หูหงเต๋ออาศัยอยู่ในป่ามาสิบกว่าปี ในสถานีป่าไม้ใครเจ็บป่วยขึ้นมาเป็นต้องเชิญเขาให้ไปดูทุกคน จึงได้รับการต้อนรับจากทุกคนเป็นอย่างดี หัวหน้าสถานีซ่งผู้นั้นตอบรับคำแล้ว ก็กลับห้องไปหยิบเหล้าออกมาสี่ขวด
……………..
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น