กระบี่จงมา 397.3-399.1

 บทที่ 397.3 ตะกร้าไม้ไผ่ตักน้ำช้อนดวง...

 

เมื่อเทียบกับสถานการณ์ประดุจคลื่นใต้น้ำทางฝั่งของเจียงเม่าแล้ว


ในศาลาลมแห่งหนึ่งที่มีต้นไผ่สีเขียวล้อมรอบของคฤหาสน์หลบร้อนกลับมีความปรองดองและบรรยากาศของการเฉลิมฉลองมากกว่า


เจียงอวิ้นคนหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่เคยได้โซ่เหล็กของถ้ำสวรรค์หลีจูไปครอง อาศัยอยู่สุดปลายตรอกเล็กของท่าเรือหางผึ้งกำลังพูดคุยกับพี่สาวที่แต่งงานไปอยู่นครมังกรเฒ่า


เหวยเลี่ยงผู้บัญชาการณ์ใหญ่นั่งอยู่ด้านหลัง กำลังพูดคุยกับหมัวมัวผู้อบรมมารยาทที่มีสีหน้าซีดเซียวอยู่เช่นกัน


เจียงอวิ้นมองใบหน้าของพี่สาวที่อยู่ตรงหน้าก็ไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี


หญิงสาวเลิกคิ้วขึ้นสูง “ทำไม ตัดสินคนด้วยรูปลักษณ์งั้นหรือ? ข้ากลับรู้สึกว่าแบบนี้งดงามมาก”


เจียงอวิ้นยิ้มกล่าว “ท่านพี่ ข้าขอพูดตามมโนธรรมในใจสักคำ รูปโฉมของท่านในเวลานี้ไม่ใกล้เคียงกับคำว่างดงามเลย”


สตรีร่างอ้วนฉุมองค้อน “ข้าล่ะอยากจะเห็นนักว่าในอนาคตเจ้าจะแต่งเทพธิดาคนใดมา ถึงเวลานั้นข้าจะช่วยดูให้เอง เจ้าจะได้ไม่ต้องถูกปีศาจจิ้งจอกสาวล่อลวง”


เจียงอวิ้นพนมมือ พูดวิงวอน “อย่านะ ข้ากลัวนิสัยของท่านพี่ แค่ประโยคสองประโยคของท่านก็คงทำให้ภรรยาข้าในอนาคตตกใจกลัวจนหนีไปเลย”


หญิงสาวกำลังจะบ่นต่อ เจียงอวิ้นกลับเปลี่ยนไปพูดเรื่องอื่นอย่างรู้กาลเทศะ “ท่านพี่ ฝูหนันหัวเป็นคนอย่างไร?”


หญิงสาวส่ายหน้า “ก็เป็นแบบนั้นแหละ ดีมากแล้ว ไม่ว่าใครก็ไม่ต้องสนใจใคร เคารพกันดุจแขกผู้มาเยือน ดีจะตายไป”


เจียงอวิ้นหัวเราะเสียงดัง “ถ้าอย่างนั้นหากมีโอกาสข้าคงต้องไปดื่มเหล้ากับพี่เขยที่น่าสงสารคนนี้ ระบายความทุกข์ให้กันฟังสักหน่อย พูดคุยกันหลายวันหลายคืน ไม่แน่ว่าอาจกลายเป็นเพื่อนกันได้”


สตรีที่เป็นบุตรสาวสายตรงสกุลเจียงกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “เจ้าอยากทำอะไรก็ตามใจเถอะ”


นางนึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้จึงถามเบาๆ ว่า “อาจารย์ของเจ้าไปตามหาสมบัติกับเพื่อนสนิท ได้มาหรือยัง? หากได้มาแล้ว ข้าจะแอบไปที่ท่าเรือหางผึ้งกับเจ้าสักรอบ ร่างทองแก้วใสหลังจากผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานมอดม้วยมรรคาดับสลาย ข้ายังไม่เคยเห็นกับตาตัวเองมาก่อนเลย ที่บ้านมีอยู่ชิ้นหนึ่งก็จริง แต่ท่านบรรพบุรุษเก็บซ่อนไว้มิดชิดนัก หลายปีที่ผ่านมานี้ข้าก็ยังหาไม่เจอสักที”


นางพูดเบาๆ ว่า “หากเจ้าให้ข้าได้เห็นของสิ่งนั้น พี่สาวจะมอบของขวัญชิ้นหนึ่งที่พิเศษมากให้เจ้า รับรองว่าจะทำให้เจ้าตกเป็นที่อิจฉาของผู้ฝึกตนหนุ่มทั้งทวีป”


เจียงอวิ้นโบกมือ “ช่างเถิด อาจารย์ของข้าก็นิสัยเจ้าอารมณ์หมือนกัน เกี่ยวพันกับเรื่องใหญ่อย่างเศษชิ้นส่วนของร่างทองแก้วใสนี้ หากข้ากล้าทำอะไรโดยพลการ ต่อให้เวลาปกติเขาพูดง่ายแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์ คงต้องถลกหนังข้าออกสักชั้นให้จงได้ ไม่ได้ล้อเล่นจริงๆ นะ ปีนั้นอาจารย์ก็บอกแล้วว่าหากข้าไม่ไปถ้ำสวรรค์หลีจูก็ต้องไปฝึกประสบการณ์ที่พื้นที่มงคลของสำนักโองการเทพ ต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ผลกลับกลายเป็นว่าพอข้ากลับมา อาจารย์ก็เริ่มกลับคำ บอกว่าการฝึกประสบการณ์ในพื้นที่มงคลก็จำเป็นเหมือนกัน ถึงอย่างไรก็ไปเยือนถ้ำสวรรค์หลีจูมาแล้ว เรื่องดีมาเป็นคู่ไงล่ะ ฉวยโอกาสที่สองปีนี้ยังโชคดีอยู่ ได้ของดีมาจากถ้ำสวรรค์แล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะได้ภรรยาที่งดงามฉลาดเฉลียวมาจากพื้นที่มงคลอีกคน…”


เจียงอวิ้นหน้านิ่วคิ้วขมวด กล่าวอย่างจนใจว่า “มาเจอกับอาจารย์ที่ช่างเล่นแง่แบบนี้ก็ไม่อาจพูดคุยกันด้วยเหตุผลได้เลย”


หญิงสาวหลุดหัวเราะพรืด “สมกับคำว่าอยู่ท่ามกลางโชคดีแต่สัมผัสโชคดีไม่ได้จริงๆ ในประวัติศาสตร์ของแจกันสมบัติทวีป มีสักกี่คนที่สามารถอาศัยสถานะผู้ฝึกตนอิสระเลื่อนขั้นสู่ห้าขอบเขตบนได้? และจะมีสักกี่คนที่ทำให้คนที่สายตาสูงมองไม่เห็นหัวใครอย่างหลี่ถวนจิ่งเคารพนับถือได้? จะมีสักกี่คนที่สามารถเป็นสหายร่วมทุกข์กับหัวหน้าพรรคผู้เฒ่าที่มีนิสัยประหลาดผู้นั้น? เจ้าน่ะหัดรู้จักพอเสียบ้าง มีเวลาว่างก็รีบกลับตระกูลไปจุดธูปกราบไหว้เหล่าบรรพบุรุษหลายๆ ดอก ขอบคุณบรรพบุรุษที่ช่วยสั่งสมบุญกุศลไว้ให้ดีๆ”


เจียงอวิ้นส่ายหน้าพูดด้วยสีหน้าเฉยชา “อย่าเกลี้ยกล่อมให้ข้ากลับไปเลย ไม่มีความสนใจจริงๆ”


หญิงสาวถอนหายใจหนึ่งที ยื่นมือมาดีดหน้าผากเจียงอวิ้น “ตั้งแต่เล็กจนโตก็ดื้อแบบนี้ ตอนนี้เป็นเทพเซียนบนภูเขาแล้วก็ยังไม่ปล่อยวางเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในอดีตนั่นอีกหรือ?”


เจียงอวิ้นไม่พูดตอบโต้


เขามองหมัวมัวผู้อบรมมารยาทผู้นั้นแวบหนึ่ง หญิงสาวส่ายหน้าเบาๆ บอกเป็นนัยแก่เจียงอวิ้นว่าอย่าถาม


ระหว่างที่คนทั้งสองเงียบงันกันไปนั้น ผู้บัญชาการณ์ใหญ่เหวยเลี่ยงก็กำลังพูดคุยกับหมัวมัวผู้อบรมมารยาทถึงถ้ำสวรรค์จู๋ไห่และเจ้าแม่ชิงเสินผู้นั้นพอดี


เหวยเลี่ยงกวาดตามองไปรอบด้าน ในสายตาเห็นแต่ต้นไผ่สูงเพรียวเขียวขจี ยิ้มพูดทีเล่นทีจริงว่า “บัณฑิต นักปราชญ์และวิญญูชนต่างก็ชอบไผ่เขียว ข้าล่ะอยากจะโค่นไผ่ชั่วช้าสักพันสักหมื่นต้นจริงๆ”


บุตรสาวสายตรงสกุลเจียงพูดสัพยอก “ท่านเหวย หากท่านมัวมาโค่นไม้ไผ่ของที่นี่ ทิ้งบรรพจารย์ท่านนั้นของพวกเราที่อยากขอความรู้จากท่านมาโดยตลอดไว้เพียงลำพังคนเดียว คงไม่ดีกระมัง?”


เหวยเลี่ยงยิ้มกล่าว “หากข้านั่งอยู่ตรงนั้นจะเกินหน้าเกินตาไปสักหน่อย เกินสถานะของขุนนางไปบ้าง”


นางกำลังจะพูดเหน็บแนมเขาสักสองคำ


เหวยเลี่ยงกลับยิ้มตาหยีชิงพูดก่อนว่า “เจ้าขิงน้อย ตอนเด็กข้าเคยอุ้มเจ้ามาก่อน เวลาผ่านไปเร็วจริงๆ เพียงแค่ชั่วพริบตา เด็กหญิงผิวดำเกรียมที่อยู่ในห่อผ้าอ้อมก็เติบโตเป็นแม่นางที่แต่งงานกับคนอื่นได้แล้ว”


นางถลึงตามองมาอย่างขุ่นเคือง หยิบขิงชิ้นหนึ่งที่ชอบกินตั้งแต่เด็กออกมายัดใส่ปากเคี้ยวแรงๆ


เหวยเลี่ยงหัวเราะเสียงดังอย่างเบิกบานใจ


เจียงอวิ้นนับถืออีกฝ่ายอย่างสุดจิตสุดใจ


……


ช่วงนี้หลายคนต่างพากันไปจากสวนสิงโตที่ตั้งอยู่ชานเมืองหลวง เมื่อปีศาจที่อาละวาดก่อความวุ่นวายถูกกำจัด คนต่างถิ่นจึงจากไป คนในครอบครัวตัวเองก็จากไปเช่นกัน


หลิ่วชิงหย่าบุตรสาวคนโตที่ถูกกักตัวอยู่ในบ้านเดิมมาเป็นเวลานานรีบร้อนพาสามีจากไปก่อนผู้ใด ถูกงูกัดครั้งหนึ่งก็กลัวเชือกไปสิบปี ครั้งนี้สามีของนางถูกทำให้ตกใจจนน่าเวทนาจริงๆ


หลังจากนั้นก็เป็นอาจารย์สองท่านที่สอนหนังสืออยู่ในโรงเรียนสกุลหลิ่วที่พากันจับคู่จากไป


ต่อมาก็เป็นบุตรชายคนรองหลิ่วชิงซานกับนักพรตหญิงหลิ่วป๋อฉี คนทั้งสองเตรียมขี่ม้าออกเดินทางไกล ขึ้นเหนือไปตลอดทาง เพราะจะไปเยือนสำนักศึกษากวานหูก่อน


ตามมาด้วยหลิ่วชิงชิงบุตรสาวคนเล็กที่เดินทางไปเยือนตระกูลเซียนแห่งหนึ่งพร้อมกับสาวใช้จ้าวหยา พี่ชายคนโตหลิ่วชิงเฟิงลาหยุดกับทางราชสำนักคุ้มครองพาน้องสาวไปส่งด้วยตัวเอง ตระกูลเซียนบนภูเขาแห่งนั้นห่างจากเมืองหลวงแคว้นชิงหลวนไม่ใกล้นัก ประมาณหกร้อยกว่าลี้ ตอนที่รองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่วยังรับราชการเคยมีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวกับคนที่มีอำนาจในสำนักแห่งนั้น ดังนั้นนอกจากจะเตรียมของขวัญชิ้นใหญ่ไปกราบไหว้อาจารย์แล้ว ยังเขียนจดหมายฉบับหนึ่งให้หลิ่วชิงเฟิงพกไป ความหมายคร่าวๆ ก็คือต่อให้พรสวรรค์ของหลิ่วชิงชิงไม่ดี ไม่เหมาะกับการฝึกตน แต่ก็โปรดรับตัวลูกสาวของเขาไว้เป็นลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อ ให้นางได้ฝึกตนอยู่บนภูเขาสองสามปี


ในความเป็นจริงแล้วต่อให้หลิ่วจิ้งถิงจะไม่ใช่รองเจ้ากรมพิธีการอีกต่อไป แต่ขอแค่เขายังมีชีวิตอยู่บนโลก ถ้าเช่นนั้นไม่ว่าหลิ่วชิงชิงจะเข้าไปฝึกตนในตระกูลเซียนแห่งใดของแคว้นชิงหลวนก็ล้วนไม่ใช่เรื่องยาก ถึงขั้นไม่จำเป็นต้องเตรียมจดหมายฉบับนี้เลยด้วยซ้ำ


รถม้าสองคันขับเคลื่อนไปเบื้องหน้าช้าๆ ตลอดทาง รอยยิ้มของหลิ่วชิงชิงเริ่มเพิ่มมากขึ้น สาวใช้จ้าวหยาก็ย่อมอารมณ์ดีตามไปด้วย


ส่วนใหญ่แล้วหลิ่วชิงเฟิงจะนั่งอ่านตำราอยู่ในห้องโดยสารของรถม้า พอถึงจุดพักม้าระหว่างทางถึงจะเชื่อมความสัมพันธ์ พบปะกับคนที่มารอต้อนรับ นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายดายเพียงแค่การมีมารยาทที่ไม่ขาดตกบกพร่องของครอบครัวชนชั้นสูงเท่านั้น ขุนนางชั้นผู้น้อยในระดับท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็นขุนนางตงฉินหรือกังฉิน ต่อให้ระดับขั้นจะต่ำเตี้ยเรี่ยดินแค่ไหน แต่มีใครบ้างที่ไม่ใช่พวกกลิ้งกลอก สายตาเฉียบคม? หลิ่วชิงเฟิงคือขุนนางที่เป็นดั่งบิดาของชาวบ้าน สามารถมองออกในปราดเดียวว่าพวกเขาเกรงใจตนตามมารยาทหรือปฏิบัติต่อตนด้วยความจริงใจ ดังนั้นหลิ่วชิงเฟิงจึงไม่วางตัวเหมือนบุตรชายคนโตของหลิ่วจิ้งถิงผู้นำแห่งวงการนักประพันธ์ของแคว้นชิงหลวน ไม่ว่ากับใครก็ล้วนมอบความประทับใจที่ไม่เลวให้ จึงกลายเป็นหัวข้อสนทนาที่จุดพักม้าแต่ละแห่งให้ความสนใจพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย


เดิมทีหลิ่วชิงชิงก็เป็นสตรี อีกทั้งยังอายุไม่มาก ดังนั้นจึงมองรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ในการกระทำของหลิ่วชิงเฟิงผู้เป็นพี่ชายไม่ออก ทว่าจ้าวหยาที่เป็นคนละเอียดอ่อนกลับทอดถอนใจด้วยความชื่นชม มักรู้สึกว่าคุณชายใหญ่ตอนที่อยู่ในสวนสิงโตกับนายอำเภอหลิ่วที่เดินออกมาจากสวนสิงโตคือคนสองคนที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง


เมื่อไปถึงสำนักตระกูลเซียนที่ยอดเขาเขียวขจีสลับสล้างแห่งนั้น การกราบเซียนเป็นอาจารย์ของหลิ่วชิงชิงก็ผ่านไปอย่างราบรื่น


หลังจากจัดการธุระของหลิ่วชิงชิงจนเข้าที่เข้าทางแล้ว หลิ่วชิงเฟิงก็ไม่ได้รีบร้อนลงจากภูเขาไปทันที แต่ถูกคนพาไปเยือนหอสูงชมทัศนียภาพที่ตั้งอยู่ริมหน้าผาแห่งหนึ่ง พอขึ้นหอเรือนมาแล้วก็มองเห็นผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อสวมชุดเขียวที่กำลังยืนพิงราวระเบียงชมทิวทัศน์กับคุณชายหน้าตาหล่อเหลาบุคลิกสง่างาม


หลิ่วชิงเฟิงถอนหายใจอยู่ในใจ เก็บอารมณ์ที่ซับซ้อนทั้งหลายลงไป ประสานมือคารวะ “หลิ่วชิงเฟิงคารวะราชครูชุย”


ชุยฉานราชครูต้าหลี


เขาถึงขั้นมาเยือนแคว้นชิงหลวนด้วยตัวเอง


ชุยฉานยิ้มพลางยื่นมือออกมากดลงบนความว่างเปล่าเป็นการบอกแก่หลิ่วชิงเฟิงว่าไม่ต้องเกรงใจกันขนาดนี้ จากนั้นก็ชี้ไปยังคนข้างกาย “หลี่เป่าเจิน คนจากเขตการปกครองหลงเฉวียน ตอนนี้กุมอำนาจหลักทั้งหมดของศาลาคลื่นมรกตต้าหลีที่อยู่ในแถบทิศตะวันออกเฉียงใต้ของแจกันสมบัติทวีป วันหน้าพวกเจ้าจะต้องไปมาหาสู่กันเป็นประจำ”


คนหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาผู้นั้นประสานมือคารวะหลิ่วชิงเฟิง “คารวะท่านหลิ่ว”


หลิ่วชิงเฟิงได้แต่คารวะกลับคืน


หลี่เป่าเจินพูดภาษาทางการแคว้นชิงหลวนด้วยสำเนียงถูกต้องแม่นยำ “ท่านหลิ่ว เดินทางลงใต้มาเยือนแคว้นชิงหลวนครั้งนี้ทำให้ข้าได้เปิดโลกทัศน์อย่างยิ่ง ยอดบุคคลมีให้เห็นมากมาย ลำพังเพียงแค่นักพรตอารามป๋ายอวิ๋นผู้นั้น แม้ตบะต่ำต้อย แต่ก็กล้ารวบรวมหลักการเหตุผล คิดจะช่วงชิงความลับสวรรค์ แล้วเขาก็สามารถข้ามด่านปราการธรรมชาติที่แม้แต่เซียนดินก่อกำเนิดก็ยังข้ามไปได้ยากยิ่งไปได้จริงๆ เพียงแต่ว่าสะดุดตาเกินไป จะเป็นโชคหรือภัย คาดว่าคงต้องดูที่ความต้องการของสกุลเจียงอวิ๋นหลินแล้ว”


หลิ่วชิงเฟิงหัวเราะ แต่ไม่ได้ส่งเสียง


คิดจะวางอำนาจแสดงบารมี?


สมกับเป็นคนหนุ่มอารมณ์ร้อนซะจริง


หลี่เป่าเจินรอฟังคำพูดของอีกฝ่าย เห็นว่าหลิ่วชิงเฟิงเงียบงันไม่ต่อคำสักทีก็หัวเราะเช่นกัน


ชุยฉานมองหลิ่วชิงเฟิงแวบหนึ่ง ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “หลิ่วชิงเฟิง วันหน้าเรื่องใหญ่ของสามแคว้นอย่างชิงหลวน ชิ่งซานและอวิ๋นเซียว ไม่ต้องให้พวกเจ้าสองคนเหน็ดเหนื่อยแล้ว ส่วนเรื่องเล็กๆ เจ้าต้องเรียนรู้จากหลี่เป่าเจินให้มาก”


หลิ่วชิงเฟิงพยักหน้ารับ


หลี่เป่าเจินมีสีหน้าเป็นธรรมชาติ คลี่ยิ้มน้อยๆ โค้งตัวลงต่ำคำนับอีกฝ่าย “รบกวนท่านหลิ่วแล้ว”


……


ศาลพ่อปู่ลำคลองที่เฉินผิงอันเคยเขียนตัวอักษรไว้บนผนัง


ช่วงนี้มีผู้แสวงบุญกลุ่มหนึ่งที่ทุ่มเงินก้อนใหญ่ อีกทั้งยังมาพักอยู่ในศาลอีกด้วย


คนสองคนกับวัวสีเหลืองหนึ่งตัว


นี่ทำให้คนเฝ้าศาลรับเงินค่าธูปมาอย่างกล้าๆ กลัวๆ


เด็กหนุ่มชุดขาวชายแขนเสื้อพลิ้วไสวซึ่งมีใฝแดงกลางหว่างคิ้วชอบเดินไปตามระเบียงชมศิลาหินที่สลักถ้อยคำ


เขาก็คือชุยตงซานที่ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงยังอยู่ในแคว้นชิงหลวน


คืนนี้พระจันทร์กลมโตลอยอยู่กลางอากาศ ชุยตงซานขอตะกร้าไม้ไผ่ใบหนึ่งมาจากทางศาลเจ้า เขาเอาไปตักน้ำในลำคลองกลับมาหนึ่งตะกร้า ไม่มีน้ำหยดลงมาแม้แต่หยดเดียวก็ถือว่ามหัศจรรย์มากแล้ว แต่จุดที่ลี้ลับยิ่งไปกว่านั้นก็คือในตะกร้าไม้ไผ่ยังมีดวงจันทร์กลมดิกสาดสะท้อนอยู่บนผิวน้ำ แกว่งส่ายไปตามน้ำในตะกร้า ต่อให้เดินเข้ามาในระเบียงที่มืดสลัวแล้ว ดวงจันทร์ในน้ำก็ยังคงส่องแสงงดงามชวนมอง


ชุยตงซานเดินมาถึงระเบียงจุดหนึ่ง เขานั่งลงบนราวระเบียง วางตะกร้าไม้ไผ่ไว้ข้างกาย เงยหน้ามองดวงจันทร์


มีเพียงน้ำในตะกร้าไม้ไผ่และดวงจันทร์ในน้ำที่อยู่เคียงข้างเขา


ความคิดของชุยตงซานล่องลอยไปไกล


พระพุทธเจ้ากลัดกลุ้มกับความทุกข์ของปวงประชา ความรู้ของลัทธิขงจื๊อที่ปรมาจารย์มหาปราชญ์เป็นกังวล ถึงท้ายที่สุดก็กลายเป็นเพียงแค่ความรู้ของพวกคนที่ท้องไม่หิวเท่านั้น


ส่วนมรรคาจารย์เต๋า


ว่ากันว่ากำลังพิศมองคนคนหนึ่ง


หวังจูที่ถูกกักขังอยู่ใต้บ่ออาจเป็นคนหนึ่งนั้น ผู้เฒ่าในร้านยาตระกูลหยางก็อาจเป็นคนหนึ่งนั้น


หรือว่าในสายตาของมรรคาจารย์เต๋าที่มรรคกถาสูงส่งจนไร้ขอบเขตสิ้นสุด ไม่ว่าใครก็ล้วนเป็นคนหนึ่งนั้น?


ชุยตงซานขยี้ซีกแก้ม หยิบม้วนภาพสองม้วนที่แกนทำมาจากไม้พุทราธรรมดาออกมาจากวัตถุจื่อชื่อ คลี่ม้วนภาพทั้งสองออก ให้มันลอยกลางอากาศอยู่ตรงหน้าเขา


บนม้วนภาพหนึ่ง


เป็นภาพของซิ่วไฉเฒ่าที่สวมอาภรณ์เก่าซีดนั่งอยู่ตรงกลางม้านั่งตัวยาว ชุยฉานในวัยยี่สิบปีนั่งอยู่ด้านหนึ่ง เด็กหนุ่มจั่วโย่วและเด็กหนุ่มฉีจิ้งชุนนั่งอยู่อีกฝั่งหนึ่ง


ม้านั่งยาวหนึ่งตัวมีคนนั่งอยู่ถึงสี่คน ค่อนข้างเบียดเสียดเล็กน้อย


มีศีรษะหนึ่งโผล่เข้ามาในม้วนภาพที่เดิมทีควรมีแค่พวกเขาอาจารย์และศิษย์สี่คนเท่านั้น คนผู้นั้นเอียงศีรษะ ยิ้มกว้าง แถมยังชูนิ้วสองนิ้ว


อีกมุมหนึ่งของภาพมีเงาร่างกำยำล่ำสันของคนผู้หนึ่งนั่งยองอยู่ในมุม หันหลังให้กับทุกคน


ภาพที่สอง


เจ้าคนที่ยื่นหัวออกมาในภาพแรกยืนอยู่ใจกลางภาพวาดอย่างเปิดเผย กางแขนทั้งสองออกกว้าง เด็กหนุ่มจั่วโย่วและเด็กหนุ่มฉีจิ้งชุนใช้สองมือกอดแขนของบุรุษผู้นั้น หัวเข่างอเก็บขา ลอยตัวอยู่กลางอากาศ เด็กหนุ่มทั้งสองยิ้มกว้างอย่างเบิกบาน


บัณฑิตหนุ่มชุยฉานยืนอยู่ด้านหลังคนผู้นั้น รอยยิ้มค่อนข้างมีเลศนัย เพียงแต่ว่าก็เป็นรอยยิ้มที่จริงใจอย่างมาก


……


ชุยตงซานคิดว่าเมื่อไหร่ที่เขา เฉินผิงอันและนังหนูน้อยตัวดำผู้นั้นจะมีภาพวาดแบบนี้ด้วยกันสักภาพบ้างนะ?

 

 

 


บทที่ 398.1 เจอคนบ้านเดิมในต่างแดน

 

สองวันต่อมา เฉินผิงอันก็พาสือโหรวและจูเหลี่ยนไปเดินเที่ยวตามร้านต่างๆ ทั่วเมืองหลวง เดิมทีคิดจะให้สือโหรวอยู่โรงเตี๊ยมเพื่อเฝ้าที่พัก นางเองก็จะได้ไม่ต้องคอยอกสั่นขวัญผวา คิดไม่ถึงว่าสือโหรวจะขอติดตามไปด้วยตัวเอง


บรรยากาศในเมืองหลวงเต็มไปด้วยความครึกครื้นอย่างแท้จริง นี่ก็เป็นเพราะงานโต้วาทีพุทธเต๋าที่มีชื่อเสียงยิ่งใหญ่ และแคว้นชิงหลวนก็คือพื้นที่หลักที่สำคัญ สามลัทธิเก้าสาขา ปลาและมังกรปะปนกัน คนที่หวังชื่อเสียงก็หวังชื่อเสียง คนที่หวังโชคลาภก็หวังโชคลาภ แน่นอนว่ายังมีคนประเภทเฉินผิงอันที่มาเพื่อชมภาพบรรยากาศและทัศนียภาพอย่างเดียว แล้วก็ถือโอกาสซื้อผลิตภัณฑ์พิเศษที่มีเฉพาะในแคว้นชิงหลวนกลับไปด้วย


คงเป็นเพราะเผยเฉียนและจูเหลี่ยนเป็นดั่งเงาดำใต้โคมไฟจึงมองไม่ออกถึงความประหลาดในการเดินเที่ยวชมร้านหนังสือของเฉินผิงอัน แต่สือโหรวที่จิตใจละเอียดอ่อนดุจเส้นผมกลับมองเบาะแสบางอย่างออก ร้านหนังสือน้อยใหญ่ที่เฉินผิงอันแวะเวียนเข้าไปเยือน หากเป็นหนังสือใหม่เอี่ยมที่จัดพิมพ์อย่างประณีตงดงาม เฉินผิงอันแทบจะไม่เคยแตะ แล้วก็ไม่ค่อยสนใจตำราของร้อยเมธีสักเท่าไหร่ กลับเป็นหนังสือประวัติศาสตร์ที่จัดพิมพ์ขึ้นเป็นการส่วนตัวและหนังสือเบ็ดเตล็ดประเภทอักขรานุกรมของแต่ละแคว้นมากกว่าที่เขาให้ความสนใจ บางครั้งก็ยังเปิดอ่านเทียบวงศ์ตระกูลที่ถูกวางไว้ในมุมห่างไกล เจอเล่มหนึ่งก็เปิดอ่านเป็นครึ่งๆ เล่ม เพียงแต่ว่าหลังจากอ่านจบแล้วเฉินผิงอันกลับไม่ซื้อ


ทำเอาเจ้าของร้านมองค้อนปะหลับปะเหลือกใส่ไม่น้อย


ยังดีที่มีจูเหลี่ยนซึ่งพอมีเงินก็ชอบใช้จ่ายอย่างมือเติบคอยให้ความช่วยเหลือ ถึงได้ไม่ถูกคนในร้านหนังสือพูดจาบาดหูหยาบคาบใส่


ส่วนเผยเฉียนก็คงเป็นเพราะรู้สึกว่าพอมาถึงเมืองหลวง ตอนแรกเฉินผิงอันก็ซื้อกระดาษเซวียนจื่อราคาแพงที่มีชื่อเสียงที่สุดในแคว้นชิงหลวนมาสิบกว่าปึก จากนั้นยังซื้อโถเก็บเม็ดหมากคู่หนึ่งที่เป็นเครื่องเคลือบสีเขียวฟ้ามาให้หลูป๋ายเซี่ยง แล้วยังซื้อน้ำเต้าจิ๋วให้นางอีก จ่ายเงินไปก้อนใหญ่มากกว่าเวลาปกติแล้ว ต่อให้เจอกับของที่ถูกตาและชื่นชอบอย่างแท้จริงก็ทำเพียงแค่แอบมองอยู่หลายครั้งเท่านั้น แล้วนับประสาอะไรกับที่กล่องเก็บสมบัติที่มีหลายช่องซึ่งเหยาจิ้นจือมอบให้ ทุกวันนี้แต่ละช่องล้วนเต็มแน่นไปหมดแล้ว ไม่อาจยัดของเพิ่มได้อีก หรือว่านางควรจะขอให้อาจารย์ซื้อกล่องเก็บสมบัติใบใหม่ให้ดี? เผยเฉียนชั่งน้ำหนักอยู่ครู่หนึ่งก็ล้มเลิกความคิดนี้ไป รู้สึกว่าถึงแม้การเดินทางไปสวนสิงโตจะทำให้อาจารย์ได้เงินฝนธัญพืชมาจำนวนหนึ่ง แต่ตนก็ได้ของติดไม้ติดมือมาแล้วหนึ่งชิ้น รอให้คราวหน้าได้เงินมาเพิ่มก่อนแล้วค่อยพูดกับอาจารย์อีกที


สุดท้ายก็ยังยากจนอยู่ดี


เผยเฉียนรู้สึกเสียใจเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ตนถึงจะสามารถสะสมกล่องเก็บสมบัติได้หลายๆ ใบ ด้านในกล่องล้วนบรรจุสมบัติจนเต็มแน่น พ่อครัวเฒ่าบอกว่าสิ่งที่ใหญ่กว่าและดีกว่ากล่องเก็บสมบัติก็คือชั้นวางสมบัติที่ตระกูลเศรษฐีต้องมี พอวางสิ่งของไว้จนเต็มชั้น นั่นถึงจะเรียกได้ว่าละลานตาอย่างแท้จริง ทำให้คนมองตาถลนออกมานอกเบ้า ลูกตาหล่นลงพื้นแล้วก็ยังไม่เก็บขึ้นมา


การเดินเล่นสองวันนี้ พวกเขาได้ยินข่าวเล็กๆ บางส่วนที่ถือว่าพอจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกเขา


ตามคำบอกของจูเหลี่ยน รสนิยมของฮ่องเต้แคว้นชิ่งซานช่างเป็น ‘นกกระเรียนในฝูงไก่’ ทำให้เขานับถืออย่างสุดจิตสุดใจ กษัตริย์แห่งแคว้นชิ่งซานที่คำพูดหนักดุจเก้ากระถางผู้นี้ไม่ชอบสาวงามเรือนกายสะโอดสะอง แต่ชอบสตรีที่ร่างอวบอิ่ม ในบรรดาพระสนมที่ได้รับความโปรดปรานมากที่สุดของวังหลวงแคว้นชิ่งซานก็มีอยู่สี่คน พวกนางทุกคนล้วนไม่สามารถใช้คำว่าอวบอิ่มมาบรรยายได้แล้ว แต่ละคนหนักเกินสองร้อยจิน (ประมาณหนึ่งร้อยกิโล) ขึ้นไป ซึ่งต่างก็ถูกฮ่องเต้แคว้นชิ่งซานตั้งชื่อให้ว่าเม่ยจู (หมูงดงาม) เม่ยเฉวี่ยน (สุนัขงดงาม) เม่ยผี (หมีงดงาม) และเม่ยเชวี่ย (นกกระจอกงดงาม)


และเม่ยจูหรือหยวนเย่ที่เป็นผู้นำของสี่เม่ยก็ยังมีสถานะอีกอย่างหนึ่งที่มีชื่อเสียงยิ่งกว่า นั่นคือเป็นหนึ่งในสี่ปรมาจารย์ใหญ่วิถีวรยุทธ์ของสิบกว่าแคว้นในแถบตะวันออกเฉียงใต้ของแจกันสมบัติทวีป


ตอนนี้เหอขุยฮ่องเต้แคว้นชิ่งซานพักอยู่ในจุดพักม้าเมืองหลวงแคว้นชิงหลวน ข้างกายก็มีสี่เม่ยติดตามมา


เมื่อวันก่อนเหอขุยปลอมตัวเป็นคนธรรมดาพาเม่ยเชวี่ยที่ ‘เรือนร่างเพรียวบาง’ ที่สุดในบรรดาเหล่านางสนมไปเที่ยวชมวัดวาอารามในเมืองหลวงด้วยกัน ผลคือตอนที่จุดธูปไหว้พระกลับเกิดข้อพิพาทกับลูกหลานชนชั้นสูงกลุ่มหนึ่ง เม่ยเชวี่ยลงมืออย่างดุดัน ถึงขั้นเล่นงานให้คนผู้หนึ่งเกือบตาย ก่อให้เกิดคลื่นมรสุมครั้งใหญ่ ที่ว่าการที่ดูแลความสงบสุขปลอดภัยในเมืองหลวง หรือแม้แต่ขุนนางชั้นสูงจากกรมพิธีการของแคว้นชิงหลวนต่างก็พากันปรากฏตัว ถึงอย่างไรนี่ก็เกี่ยวพันกับความสัมพันธ์ของสองแคว้น กว่าจะปลอบใจทุกคนให้สงบลงได้ไม่ใช่เรื่องง่าย คนก่อเรื่องคือคนวัยเดียวกันซึ่งเป็นลูกหลานสกุลใหญ่ของเมืองหลวงและชนชั้นสูงอีกหลายคนที่เดินทางลงใต้ พอรู้สถานะฮ่องเต้ของเหอขุยก็พากันหยุดลงแต่โดยดี แต่คลื่นลูกหนึ่งเพิ่งสงบก็มีคลื่นลูกใหม่โถมตัวขึ้นมาอีกครั้ง คืนนั้นในบรรดาคนที่ก่อเรื่องก็มีคนมากมายที่เพิ่งมาลงหลักปักฐานอยู่ในแคว้นชิงหลวนได้ไม่นานตายอย่างเฉียบพลัน สภาพการตายอเนจอนาถอย่างยิ่ง ว่ากันว่าแม้แต่เจ้าหน้าที่ชันสูตรศพของที่ว่าการก็ยังพะอืดพะอมแทบอาเจียน


ไม่นานก็มีข่าวลือที่น่าเชื่อถือแพร่ไปทั่วทั้งเมืองหลวง วิธีการที่ฆาตรกรใช้ก็คือวิธีที่เม่ยจูปรมาจารย์ใหญ่แห่งแคว้นชิ่งซานถนัดที่สุด นั่นคือดึงแขนขาทั้งสี่ออก เหลือไว้แค่หัวกับร่างกาย สกัดจุดใบ้ และยังช่วยห้ามเลือดให้เพื่อให้คนคนนั้นทรมานจนกว่าจะตาย


ราชสำนักแคว้นชิงหลวนเร่งรีบระดมคนจากฝ่ายต่างๆ มาตรวจสอบเรื่องนี้ และยิ่งมีขุนนางกรมอาญาที่ประสบการณ์ในการสืบสวนคดีความโชกโชน เซียนซือที่ถวายการรับใช้ราชสำนักและกลุ่มคนมีชื่อเสียงจากยุทธภพต่างก็พากันกรูเข้าไปยังจุดพักม้าที่เหอขุยพักอาศัยในทันที


แต่ก็ยังไม่อาจต้านทานความแค้นเคืองของฝูงชนได้ บัณฑิตและปัญญาชนจำนวนนับไม่ถ้วนพากันมาล้อมจุดพักม้าที่ฮ่องเต้เหอขุยพักค้างแรม หากไม่เป็นเพราะเหล่ามือปราบของเมืองหลวงขัดขวางเอาไว้ อีกทั้งยังมีทหารชุดเกราะสองร้อยนายที่ผู้บัญชาการณ์ใหญ่เหวยเลี่ยงส่งมาคอยจับตามองอย่างดุดัน ไม่ยอมปล่อยให้สถานการณ์เละเทะต่อไป หาไม่แล้วผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคงยากเกินกว่าจะคาดการณ์ได้ถึง บัณฑิตที่ไม่มีแม้แต่แรงจับไก่พวกนั้นมีแต่จะถูกหนึ่งในสี่เม่ยผู้เป็นสนมรักของเหอขุยฆ่าตายคาที่เท่านั้น


เม่ยจูหยวนเย่ประกาศออกมาแล้วว่า นางจะเปิดฉากเข่นฆ่ากับจู๋เฟิ่งเซียนแห่งพรรคต้าเจ๋อซึ่งเป็นหนึ่งในสี่ปรมาจารย์ใหญ่เช่นกัน หากนางแพ้ แคว้นชิ่งซานจะยอมรับน้ำสกปรกที่สาดใส่อ่างนี้เอาไว้ แต่หากนางชนะ พวกปัญญาชนแคว้นชิงหลวนที่มาเอะอะโวยวายล้อมจุดพักม้าจะต้องพากันคุกเข่าโขกหัวอภัยอยู่นอกจุดพักม้า


และจู๋เฟิ่งเซียนมารเฒ่าที่เล่าลือกันว่าเคยโดยสารรถม้าสีแดงสดคันหนึ่งสร้างลมคาวฝนเลือดในยุทธภพของหลายแคว้นก็พักอยู่ในอารามเต๋าแห่งหนึ่งใกล้กับเมืองหลวงจริงๆ


ซึ่งเมื่อวานนี้จู๋เฟิ่งเซียนที่เมื่อสามสิบปีก่อนมีชื่อเสียงฉาวโฉ่ระบือไปทั่วก็กลับมาเผยกายในยุทธภพอีกครั้ง เขาถึงขั้นใช้สถานะของวีรบุรุษผู้กล้าอันดับหนึ่งของแคว้นชิงหลวนมาเยือนจุดพักม้าตามนัดหมาย แล้วก็เปิดฉากสังหารเข่นฆ่ากับเม่ยจูหยวนเย่จริงๆ


นับตั้งแต่ที่จู๋เฟิ่งเซียนโดยสารรถม้าออกมาจากอารามเต๋า ระหว่างทางก็มีชาวบ้านและคนในยุทธภพของแคว้นชิงหลวนจำนวนนับไม่ถ้วนช่วยโบกธงร้องตะโกนแทนคนผู้นี้


เพียงแต่ว่าธรรมะสูงหนึ่งฉื่อ อธรรมสูงหนึ่งจั้ง จู๋เฟิ่งเซียนที่ถูกฝากความหวังไว้มากกลับมีพลังการต่อสู้ด้อยกว่าเม่ยจู สุดท้ายเขาก็บาดเจ็บสาหัส พ่ายแพ้ให้กับหยวนเย่ที่อยู่ในอันดับสองของสี่ปรมาจารย์ใหญ่ จู๋เฟิ่งเซียนถูกหยวนเย่ที่ร่างท่วมไปด้วยเลือด แต่กลับไม่เป็นอะไรมากกระชากคอเดินอาดๆ ไปถึงหน้าประตูใหญ่ของจุดพักม้า นางกวาดตามองผู้คนรอบด้านที่บื้อใบ้เงียบกริบแล้วโยนจู๋เฟิ่งเซียนที่สลบไปแล้วลงบนถนนใหญ่ ทิ้งประโยคหนึ่งไว้ว่า พรุ่งนี้อย่าลืมมาโขกหัว


จู๋เฟิ่งเซียนถูกลูกศิษย์พรรคต้าเจ๋อที่น้ำตานองหน้าหามเข้าไปไว้ในห้องโดยสารรถม้า ออกจากจุดพักม้ากลับไปรักษาตัวที่อารามเต๋าแห่งนั้น


นอกจุดพักม้าเงียบสงัด นอกอารามเต๋ากลับเต็มไปด้วยเสียงด่าทอดังไม่ขาดสาย


ตอนที่ได้ยินเรื่องราวมรสุมครั้งนี้ในร้านหนังสือโดยบังเอิญ เฉินผิงอันก็ยังคงหาหนังสือต่อไป


เผยเฉียนใจจืดใจดำ รู้สึกเพียงว่าจู๋เฟิ่งเซียนผู้นั้นช่างน่าอนาถจริงๆ ความสามารถไม่สูงพอ กลับยังชอบโอ้อวดตัว ไม่รู้จักหลบอยู่ในอารามไม่ต้องออกมาหรือไร? นี่ต้องมาถูกเม่ยจูที่หนักสองร้อยกว่าจินผู้นั้นซ้อมจนไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย แล้วนับประสาอะไรกับที่ชื่อเสียงดีงามที่สั่งสมมาทั้งชาติก็ต้องสูญเสียไปด้วย ตามคำบรรยายถึงบุคลิกของชาวยุทธ์ การแก่งแย่งแข่งขันในยุทธภพที่บอกไว้ในนิยายเล่มนั้น พวกคนที่หากินอยู่ในยุทธภพ หากไม่มีชื่อเสียงก็ไม่เท่ากับว่าไร้ชีวิตแล้วหรือไร? ความเสียดายเพียงหนึ่งเดียวของเผยเฉียนก็คือตอนนั้นที่ขึ้นเขาไปเยือนอารามจินกุ้ย พวกเขายังเคยไปพักที่เรือนหรูหราใหญ่โตซึ่งจู๋เฟิ่งเซียนสร้างไว้ให้หลานสาวที่กึ่งกลางภูเขา นับว่าเขาเป็นคนมีเงินแถมยังใจกว้าง นางชื่นชอบอย่างมาก น่าเสียดายที่ตอนนี้มาลองย้อนนึกดูแล้ว ต่อให้ตาเฒ่าจู๋ชะตาแข็ง ไม่ตายอยู่ในอารามเต๋าแห่งนั้น แต่ครั้งหน้าที่ทั้งสองฝ่ายได้พบหน้ากัน คาดว่านางคงไม่คิดอยากกินดื่มของของตาเฒ่าผู้นั้นเปล่าๆ โดยไม่จ่ายเงินอีก


ครั้งนั้นคนทั้งสองกลุ่มมาพบกันโดยบังเอิญ ตอนแรกก็หลบฝนด้วยกัน จากนั้นก็ขึ้นเขาไปด้วยกัน สุดท้ายจู๋จื่อหยางหลานสาวของผู้เฒ่าและหลิวชิงเฉิงเด็กสาวจากเรือนแยนจือแคว้นอวิ๋นเซียวต่างก็ได้เป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของจางกั่วเทพเซียนผู้เฒ่าของอารามจินกุ้ย


เผยเฉียนและเฉินผิงอันเคยได้ชมพิธีรับศิษย์ของที่นั่น เรียกได้ว่าเป็นพิธีการที่ซับซ้อนยืดเยื้อ ใช้เวลาหมดไปเกือบหนึ่งชั่วยาม ดูถึงช่วงท้ายเผยเฉียนก็ถึงกับปวดหัว นางต้องนั่งนิ่งไม่ขยับเป็นหุ่นไม้อยู่ตั้งนาน รู้สึกเหนื่อยยิ่งกว่าตอนคัดตัวอักษรเสียอีก


เฉินผิงอันเดินออกมาจากร้านหนังสือ เป็นช่วงเที่ยงวันพอดี เขายืนคิดอะไรบางอย่างอยู่บนขั้นบันได


จูเหลี่ยนถามเบาๆ “นายน้อย เอาอย่างไรต่อ?”


หัวใจของสือโหรวหดรัดเกร็ง ในใจท่องพึมพำว่าอย่าได้เข้าไปมีส่วนร่วม อย่าเข้าไปเหยียบน้ำขุ่นบ่อนี้เด็ดขาดเชียว


คำตอบของเฉินผิงอันทำให้สือโหรวทั้งรู้สึกดีใจและทั้งเป็นกังวล


เฉินผิงอันกล่าวว่า “ไปเยี่ยมจู๋เฟิ่งเซียนสักหน่อย หากเขาบาดเจ็บสาหัส ที่ตัวข้ามียาอยู่บางส่วน มอบยาและเยี่ยมคนเรียบร้อย พวกเราก็ออกมาจากอารามแห่งนั้น”


จูเหลี่ยนเอ่ยชื่นชม “นายน้อยมีทั้งคุณธรรมและน้ำใจ ประเด็นสำคัญคือยังมีสติสุขุม”


เผยเฉียนถลึงตาใส่ “เจ้าแย่งข้าพูดทำไม พ่อครัวเฒ่าเจ้าพูดไปหมดแล้ว ข้าจะทำอย่างไร?”


จูเหลี่ยนเองก็ไม่เกรงใจ “ทำอย่างไร? ก็ไปกินขี้สิ ไม่ต้องจ่ายเงิน ถึงเวลาหากกินไม่อิ่มก็มาบอกข้า กลับไปถึงโรงเตี๊ยมแล้วก็ไปรอข้านอกห้องส้วม รับรองว่าออกมาร้อนๆ เลยล่ะ”


เผยเฉียนมองค้อน “น่าขยะแขยงจริงๆ”


เฉินผิงอันไม่ได้สนใจการโต้คารมของหนึ่งคนแก่หนึ่งเด็กที่เกิดขึ้นเป็นประจำทุกวัน สอบถามเส้นทางเรียบร้อยแล้วก็เดินทางไปยังอารามในเมืองหลวงที่ชื่อเสียงระบือไกลภายในเวลาเพียงชั่วข้ามคืน


เดินกันไปเกินครึ่งชั่วยามกว่าจะขยับเข้ามาใกล้อาราม รอบนอกกำแพงมีผู้คนอยู่บางตา บางคนก็ขว้างหินสบถด่าหลายคำแล้วก็วิ่งหนีไป คนส่วนใหญ่คือมาชมความครึกครื้น ได้เดินเตร่อยู่รอบนอกอารามเต๋ารอบหนึ่งก็พึงพอใจแล้ว และยังมีคนในยุทธภพที่เร่งรุดเดินทางมาเพราะได้ข่าว น่าจะเป็นพวกคนที่รุ่นบรรพบุรุษรุ่นบิดาเคยได้รับความทุกข์ยากด้วยฝีมือของพรรคต้าเจ๋อมาก่อน แต่พวกเขากลับไม่กล้าอ้าปากด่าทอ ยิ่งไม่มีทางซ้ำเติมอย่างโง่งม ถึงอย่างไรก็ยังไม่รู้ว่ามารเฒ่าจู๋เฟิ่งเซียนเป็นหรือตาย อีกทั้งก็ยังมีลูกศิษย์ของเขาที่มีชื่อเสียงด้านความโหดร้ายอยู่ในอารามด้วยหลายคน ต่อให้เดินออกมาแค่คนเดียวก็สามารถทำให้ยอดฝีมือทั่วไปในยุทธภพแคว้นชิงหลวนดื่มสุราลงทัณฑ์ได้กาใหญ่


อารามแห่งนี้ไม่ใหญ่มาก วันนี้ปิดประตูไม่ต้อนรับแขก เฉินผิงอันเคาะประตูข้างอยู่นานมากกว่าจะมีนักพรตมาเปิดประตูให้ สีหน้าของเขาระแวดระวัง เฉินผิงอันจึงบอกว่าตัวเองเป็นคนรู้จักของเจ้าประมุขผู้เฒ่าจู๋ รบกวนให้ทางอารามช่วยนำความไปแจ้งสักหน่อย แค่บอกว่าเฉินผิงอันมาเยี่ยมเยียน


นักพรตหนุ่มพยักหน้ารับ บอกให้เฉินผิงอันรอสักครู่ พอปิดประตูเรียบร้อย ประมาณครึ่งก้านธูป นอกจากนักพรตที่กลับไปแจ้งข่าวแล้วก็ยังมีหนึ่งในลูกศิษย์ที่ตอนนั้นติดตามจู๋เฟิ่งเซียนพาจู๋จื่อหยางขึ้นเขาไปกราบไหว้อาจารย์ตามมาด้วย เขาจำเฉินผิงอันได้ในทันที นี่ทำให้ลูกศิษย์คนสุดท้ายของจู๋เฟิ่งเซียนถอนหายใจโล่งอก พาเฉินผิงอันเดินไปยังเรือนหลังที่อยู่ลึกเข้าไปในอารามเต๋า ตลอดทางที่เดินกันมาคนผู้นี้ไม่ได้พูดอะไรมาก แค่เอ่ยขอบคุณที่เฉินผิงอันยังจดจำมิตรภาพในยุทธภพได้ตามมารยาท


ทุกคนมาถึงห้องห้องหนึ่ง กลิ่นยาเข้มข้นอบอวล ลูกศิษย์หลายคนของจู๋เฟิ่งเซียนยืนกุมมือประสานอยู่บนระเบียงนอกประตูอย่างเคร่งขรึม แต่ละคนสีหน้าหนักอึ้ง พอเห็นเฉินผิงอันก็ทำเพียงแค่ผงกศีรษะทักทาย อีกทั้งยังไม่มีท่าทางผ่อนคลายใดๆ ถึงอย่างไรการเดินทางไปเยือนอารามจินกุ้ยร่วมกันในครานั้นก็เป็นแค่การพบกันอย่างผิวเผินในช่วงระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น ใจคนมีหนังท้องกั้น (เปรียบเปรยว่าจิตใจคนยากจะคาดการณ์ได้ถึง) สวรรค์เท่านั้นที่ถึงจะรู้ว่าคนต่างถิ่นแซ่เฉินผู้นี้มีเจตนาใด หากไม่เป็นเพราะจู๋เฟิ่งเซียนที่นอนป่วยอยู่บนเตียงออกปากเองว่าให้พาพวกเฉินผิงอันเข้ามา ก็คงไม่มีใครกล้าพาเขามาที่นี่


เฉินผิงอันบอกให้พวกจูเหลี่ยนสามคนรอที่มุมหัวเลี้ยวของระเบียง ไม่ยอมให้พวกเขาขยับเข้าใกล้ห้องแห่งนั้น


หลังจากที่ลูกศิษย์ผู้สืบทอดคนหนึ่งของจู๋เฟิ่งเซียนมาเปิดประตูให้ เฉินผิงอันที่สะพายกระบี่และหีบไม้ไผ่ก็เดินเข้าไปในห้องเพียงลำพัง


จู๋เฟิ่งเซียนนอนพิงหมอน สีหน้าซีดขาว คลุมผ้าห่มทับกาย ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “จากลากันบนภูเขา ได้มาพบกันอีกครั้งในต่างแดน ข้าจู๋เฟิ่งเซียนกลับมีสภาพน่าสังเวชถึงเพียงนี้ ทำให้คุณชายเฉินขบขันเสียแล้ว”


เขาบาดเจ็บสาหัสมาก


ในห้องนอกจากจู๋เฟิ่งเซียนที่อยู่บนเตียงแล้วยังมีนักพรตเฒ่าสีหน้าเฉยชาอยู่อีกคนหนึ่ง หลังจากลูกศิษย์ที่มาเปิดประตูให้ปิดประตูลงแล้วก็ยกเก้าอี้มาให้เฉินผิงอันนั่ง ส่วนตัวเองไปยืนอยู่ในมุมหนึ่ง ไม่ได้จากไป หลีกเลี่ยงไม่ให้เฉินผิงอันเกิดคิดอยากสังหารคนในฉับพลัน


เฉินผิงอันปลดหีบไม้ไผ่วางไว้ข้างเท้า นั่งลงบนเก้าอี้ ถามเบาๆ ว่า “เจ้าประมุขผู้เฒ่าเข้าเมืองหลวงมาครั้งนี้ไม่ได้ปกปิดร่องรอยของตัวเองหรือ?”


จู๋เฟิ่งเซียนกระแอมไออยู่หลายที พยายามฝืนยิ้มกล่าวว่า “ทำไมจะไม่ปิดบังเล่า เพียงแต่หูตาของทางราชสำนักดีเกินไป อำพรางได้ไม่ดีพอ อารามเต๋าของเมืองหลวงแห่งนี้คือหนึ่งในสาขาที่พรรคต้าเจ๋อตั้งใจดำเนินงานมาเกือบสามสิบปี ไม่แน่ว่าอาจถูกราชสำนักจับตามองมานานแล้ว นี่ไม่นับเป็นอะไร ฮ่องเต้สกุลถังแคว้นชิงหลวนของพวกเราท่านนั้น ตอนยังหนุ่มก็วาดฝันต่อยุทธภพมาโดยตลอด พอขึ้นครองราชย์ก็ยังถือว่าปฏิบัติต่อยุทธภพเป็นอย่างดี การเข่นฆ่าสังหารของพวกคนส่วนใหญ่ที่มีบุญคุณความแค้นต่อกัน ขอแค่ไม่เกินขอบเขตที่พอดี ทางการก็จะไม่ค่อยให้ความสนใจนัก”


“ในความเป็นจริงแล้ว ปีนั้นที่ข้าห้อตะบึงอยู่ในยุทธภพของหลายแคว้น บุกไปที่ใดที่นั่นก็พังราบเป็นหน้ากลอง เวลานั้นถังหลียังเป็นองค์ชายอยู่ในจวนมังกรซ่อน ว่ากันว่าเขาเลื่อมใสในตัวข้าอย่างยิ่ง จึงป่าวประกาศว่าสักวันหนึ่งจะต้องเรียกผู้ฝึกยุทธ์ที่สร้างชื่อเสียงและหน้าตาให้กับแคว้นชิงหลวนอย่างข้าเข้าพบให้ได้ ดังนั้นครั้งนี้อยู่ดีๆ ก็ถูกเม่ยจูผู้นั้นท้าทาย แม้ข้าจะรู้ดีว่ามีคนจงใจใส่ร้ายข้า แต่ข้าก็ยังไม่มีหน้าหนีออกไปจากเมืองหลวงเงียบๆ จริงๆ”


เฉินผิงอันเห็นว่าจู๋เฟิ่งเซียนพูดอย่างเปลืองแรง เดี๋ยวพูดเดี๋ยวหยุดพัก จึงไม่คิดจะถามอะไรอีก เพียงก้มตัวลงไปเปิดหีบไม้ไผ่


เมื่อเขาทำท่าทางนี้ นักพรตเฒ่าและบุรุษที่อยู่ในห้องต่างก็ตั้งท่าเตรียมพร้อม เฉินผิงอันจึงหยุดชะงัก เอ่ยอธิบายว่า “ข้ามียาที่หลอมขึ้นบนภูเขาอยู่หลายขวด แน่นอนว่าไม่สามารถทำให้กระดูกขาวมีเนื้องอกขึ้นมา หรือช่วยฟื้นฟูความเสียหายของเส้นเอ็นและชีพจรอย่างรวดเร็ว แต่พอจะบำรุงลมปราณได้ดี ในด้านการซ่อมแซมชดเชยให้กับจิตวิญญาณและร่างกายของผู้ฝึกยุทธ์ ถือว่าได้ผลดีพอสมควร”


จู๋เฟิ่งเซียนอยากจะยกมือขึ้น แต่กลับไร้เรี่ยวแรง จึงได้แต่วางมือไว้บนผ้าห่มแล้วขยับส่ายเบาๆ หันไปยิ้มพูดกับคนสนิททั้งสองคนว่า “พวกเจ้าไม่ต้องตื่นเต้น ความสามารถในการมองคนของข้าจู๋เฟิ่งเซียนดีกว่าการเรียนวรยุทธ์มากนัก ในเมืองหลวงตอนนี้ ไม่ว่าใครก็อาจมาฉกฉวยผลประโยชน์ได้ มีเพียงคุณชายเฉินที่ไม่มีทางทำเช่นนั้น”


ตอนที่เฉินผิงอันเดินทางมาที่นี่ก็เลือกหาตรอกเล็กๆ ที่เงียบสงัดแห่งหนึ่งย้ายยาสามขวดออกจากวัตถุฟางชุ่นมาใส่ในหีบไม้ไผ่แล้ว ไม่อย่างนั้นจู่ๆ เอาของออกมาจากความว่างเปล่าจะสะดุดตาเกินไป


หลังจากหยิบขวดยาทั้งสามใบออกมาแล้ว เฉินผิงอันก็ยื่นมันส่งให้กับนักพรตผู้เฒ่า “รบกวนเจินเหรินผู้เฒ่าช่วยวินิจฉัยประสิทธิภาพของยาก่อนว่าเหมาะจะนำมารักษาบาดแผลของเจ้าประมุขผู้เฒ่าหรือไม่”


จู๋เฟิ่งเซียนกลั้นยิ้ม “คุณชายเฉิน อุตส่าห์หวังดีเอายาช่วยชีวิตมามอบให้คนอื่น แต่กลับต้องมอบให้ด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจอย่างนี้ ใต้หล้านี้ก็คงมีแค่เจ้าคนเดียวแล้ว”


นักพรตเฒ่ารับขวดยาทั้งสามใบมา ยังคงไม่มีรอยยิ้มหรือเอ่ยคำใด เขาเดินไปที่ข้างโต๊ะ เทยาออกมาขวดละหนึ่งเม็ด จากนั้นหยิบเข็มเงินเล่มหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อแล้วทิ่มเม็ดยาให้แตกละเอียด

 

 

 


บทที่ 399.1 เรื่องที่ไม่กลัวที่สุดในใ...

 

หลี่เป่าเจินมองคนหนุ่มที่ไม่ควรมาปรากฏตัวบนทางสายนี้ที่สุดผู้นั้น ความคิดก็พลันแล่นเร็วจี๋


เป็นหลิ่วชิงเฟิงที่อยู่ด้านหลังที่เล่นงานตน หวังจะยึดครองแผ่นดินเบื้องหลังของแคว้นชิงหลวนเพียงลำพัง? ไม่น่าจะใช่ ใต้เท้าราชครูไม่มีทางปล่อยให้หลิ่วชิงเฟิงกุมอำนาจใหญ่เพียงลำพัง ให้ตนคอยถ่วงดุลกับหลิ่วชิงเฟิงจึงจะเป็นหลักการที่ถูกต้องเหมาะสม


ถ้าอย่างนั้นก็คงเป็นความบังเอิญ คืนนี้เป็นเพียงแค่การพบเจอกันโดยบังเอิญที่เกิดขึ้นกะทันหันเท่านั้น?


หลี่เป่าเจินถอนหายใจ หากตนโชคร้ายขนาดนี้ก็ไม่สู้ให้ถูกคนวางแผนทำร้ายเสียยังดีกว่า ถึงอย่างไรการแข่งขันด้านทักษะการเล่นหมากล้อมก็สามารถใช้สมองมางัดข้อกับผู้อื่นได้ แต่หากเป็นโชควาสนาที่ย่ำแย่ ถ้าอย่างนั้นเขาหลี่เป่าเจินจะต้องไปจุดธูปไหว้พระจริงๆ น่ะหรือ?


หลี่เป่าเจินลุกขึ้นยืนอยู่ด้านหลังสารถีเฒ่า ถามเสียงเบา “เป็นยังไง?”


สารถีเฒ่าพูดเสียงหนัก “หนึ่งในผู้ติดตามที่อยู่ด้านหลังคนผู้นี้ ผู้ที่เป็นคนแก่หลังค่อม มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเดินทางไกล ขอบเขตไม่ต่ำไปกว่าข้า”


หลี่เป่าเจินตบหน้าผากตัวเอง “รายงานลับทำให้ข้าเข้าใจผิดซะแล้ว”


ตามคำบอกในรายงานที่สายลับส่งให้ช่วงที่ผ่านมานี้ เฉินผิงอันพักอยู่ในโรงเตี๊ยมสวนร้อยบุปผาของเมืองหลวง ปรมาจารย์สี่คนที่เป็นผู้ติดตามจากไปแล้วสามคน ข้างกายเหลือแค่ผู้ติดตามสองคนเท่านั้น คนหนึ่งมีชื่อว่าจูเหลี่ยน ยังไม่รู้ตบะตื้นลึก อาจเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตร่างทอง ส่วนอีกคนหนึ่งมีพฤติกรรมแปลกประหลาด ท่ามกลางคลื่นลมของสวนสิงโต เขาแสดงออกอย่างธรรมดาสามัญ ความสามารถที่แท้จริงน่าจะสู้จูเหลี่ยนไม่ได้ ส่วนตัวเฉินผิงอันเองนั้น ดูจากมาตรฐานการออกหมัดบนหัวกำแพงสวนสิงโต ขอบเขตต่ำสุดคือผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวขอบเขตห้า สามารถวาดยันต์ บนร่างสวมชุดคลุมอาคมตระกูลเซียนตัวหนึ่งที่บอกระดับได้ยากยิ่ง พกน้ำเต้าห้อยติดตัว คือน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่มีชื่อว่า ‘เจียงหู’ ด้านในเลี้ยงกระบี่บินไว้หรือไม่ ยังไม่รู้ได้


แม้จะบอกว่าเมื่อเอาเนื้อหาในรายงานที่กระจัดกระจายมาประกอบเข้าด้วยกันก็ยังไม่สามารถรู้รากฐานที่แท้จริงของเฉินผิงอันได้อยู่ดี


แต่นี่ไม่สำคัญ หลี่เป่าเจินตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่า ต่อให้เฉินผิงอันที่อยู่ในเมืองหลวงแคว้นชิงหลวนกลายมาเป็นเทพเซียนพสุธาภายในชั่วข้ามคืนเดียว ก็ยังไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขาหลี่เป่าเจินอยู่ดี


หลี่เป่าเจินคิดจะอาศัยสถานการณ์ใหญ่ของต้าหลีมาเป็นกระดานหมากของตัวเอง เพื่อปั่นหัวเฉินผิงอันที่อยู่ในสถานการณ์


เมื่อหมากแต่ละตัวบนกระดานขยับเคลื่อนอย่างเงียบเชียบ รายงานของพื้นที่บริเวณตะวันออกเฉียงใต้ของแจกันสมบัติทวีปที่ศาลาคลื่นมรกตของต้าหลีรวบรวมมาก็เหมือนใยแมงมุมที่ถูกถักทออย่างไม่หยุดนิ่ง


ก่อนจะออกมาจากต้าหลี ราชครูชุยฉานมอบทางเลือกให้หลี่เป่าเจินสามทาง ไปต้าสุย รับผิดชอบจับตามองพื้นที่แคว้นใต้อาณัติเก่าของต้าสุยซึ่งรวมไปถึงเชื้อพระวงศ์สกุลเกาและแคว้นหวงถิงด้วย หรือไปเยือนราชวงศ์จูอิ๋งที่มีผู้ฝึกกระบี่มากมายและเป็นหินขวางทางก้อนใหญ่สุดที่ขวางอยู่เบื้องหน้ากีบเท้าม้าเหล็กของต้าหลี ความเคลื่อนไหวของสำนักศึกษากวานหูที่อยู่ทางทิศใต้ก็ถือว่าสำคัญในสำคัญ สุดท้ายก็คือแคว้นชิงหลวน เพียงแต่ว่าเมื่อเปรียบเทียบกับสองแห่งแรก พื้นที่บ้านนอกเล็กๆ ที่ในอดีตถือเป็นพื้นที่รกร้างห่างไกลแห่งนี้ เมื่อมีปัญญาชนและชนชั้นสูงที่อยู่ภาคกลางของแจกันสมบัติทวีปย้ายถิ่นฐานลงใต้ สองปีที่ผ่านมานี้ศาลาคลื่นมรกตถึงได้เริ่มเพิ่มการลงทุนครั้งใหญ่ แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงการแสดงออกให้เห็นภายนอกซึ่งเขาหลี่เป่าเจินมองเห็นหลังจากขึ้นรับตำแหน่งขุนนางใหม่เท่านั้น ไม่อย่างนั้นแม้แต่คดีของสารถีเฒ่าผู้นี้ เขาก็คงไม่ถึงขั้นตรวจสอบไม่ได้ แต่หลี่เป่าเจินไม่ใช่คนโง่ วงการขุนนางมีผู้เฒ่าถังจ้งแคว้นชิงหลวน ยุทธภพมีพวกคนอย่างจู๋เฟิ่งเซียนพรรคต้าเจ๋อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อราชครูชุยฉานมาเยือนที่แห่งนี้ด้วยตัวเอง และถึงขั้นยอมแหกกฎมาพบหลิ่วชิงเฟิงแห่งสวนสิงโต…ทั้งหมดนี้ต่างก็แสดงให้เห็นว่าสายตาของหลี่เป่าเจินไม่แย่ เลือกสถานที่แห่งนี้มาเป็น ‘สถานที่มังกรลุกผงาด’ ให้กับตัวเองที่อยู่ในราชสำนักต้าหลี อยู่ห่างจากน้ำวนใจกลางสกุลซ่งต้าหลีที่แม้แต่กระดูกคนก็ยังถูกบดให้แหลกเป็นผุยผงนั่นชั่วคราว ย่อมเป็นการเดิมพันที่ถูกต้องแล้ว


หลี่เป่าเจินโมโหเล็กน้อย หากรออีกสักสองสามวัน รอให้บุคคลยิ่งใหญ่ที่มีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยของเขาเข้ามาในแคว้นชิงหลวนเสียก่อน นั่นก็จะเป็นสถานการณ์ดีเยี่ยมที่ไม่ว่าเรื่องใดก็ไม่ต้องหวาดกลัว ผู้บัญชาการณ์ใหญ่เหวยเลี่ยงเอย ผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของสกุลถังอย่างโจวหลิงจืออะไรเอย ล้วนไม่มีค่าพอให้พูดถึง


แล้วทำไมเจ้าเด็กบ้านนอกตรอกหนีผิงผู้นี้ถึงได้เลือกเวลาและสถานที่อย่างในตอนนี้ได้เล่า?


หลี่เป่าเจินหันกลับไปค้อมตัวเลิกม่านขึ้น ยิ้มบางๆ ถามว่า “ท่านหลิ่ว มีทางหนีทีไล่หรือไม่?”


หลิ่วชิงเฟิงส่ายหน้า “ก็เหมือนกับเจ้า ต้องรออีกสองสามวันถึงจะมีเลขาธิการฝ่ายบู๊คนหนึ่งมาทำหน้าที่รับผิดชอบเป็นผู้ติดตามประจำตัวข้า”


หลี่เป่าเจินหน้ามุ่ย “หรือท่านหลิ่วจะทนเห็นพันธมิตรอย่างข้าตายไปก่อนจะทันได้ออกรบได้ลงคอ?”


หลิ่วชิงเฟิงคิดแล้วก็ตอบว่า “ข้าเชื่อว่าแผนการของราชครูชุยฉานต้องไม่มีข้อผิดพลาดแน่นอน”


หลี่เป่าเจินถอนหายใจหนึ่งที ปล่อยผ้าม่านลง ดูท่าไม่ว่าคืนนี้จะเป็นโชคหรือหายนะก็ล้วนหลบเลี่ยงไม่พ้นแล้ว


ใช่ว่าหลี่เป่าเจินจะไม่เชื่อมั่นในฝีมือการเล่นหมากล้อมของซิ่วหู่ แต่เป็นเพราะไม่แน่เสมอไปว่าใต้เท้าราชครูจะเห็นหญ้าบนยอดกำแพงอย่างเขาอยู่ในสายตาจริงๆ นี่นา หลี่เป่าเจินถึงขั้นเชื่อด้วยว่า หากต้องให้ชุยฉานตัดใจเลือกระหว่างตนกับหลิ่วชิงเฟิง อย่างน้อยตอนนี้ชุยฉานก็คงจะเลือกเก็บหลิ่วชิงเฟิงไว้บนกระดานหมากอย่างไม่ลังเล ส่วนเขาหลี่เป่าเจินก็จะถูกคีบขึ้นมาอย่างไม่ใส่ใจแล้วโยนกลับเข้าไปในโถเก็บเม็ดหมากให้จบๆ เรื่องกันไป ภูเขาเศษเครื่องกระเบื้องที่บ้านเกิดเกิดขึ้นมาได้อย่างไร นั่นก็ล้วนเป็นเม็ดหมากน่าสงสารที่ถูกทอดทิ้งเพราะน้ำหนักไม่มากพอ จึงแหลกสลายกลายเป็นผุยผงท่ามกลางการช่วงชิงบนมหามรรคาไม่ใช่หรือ?


หลี่เป่าเจินชอบที่จะปีนขึ้นไปอยู่บนยอดเขาเครื่องกระเบื้องเพียงลำพังมานานมากแล้ว เพราะมักจะรู้สึกเหมือนได้เหยียบย่ำขึ้นไปยืนอยู่บนจุดสูงสุดของกองกระดูกขาวโพลน ความรู้สึกนั้นดีเยี่ยมอย่างยิ่ง


เฉินผิงอันบอกให้สือโหรวปกป้องเผยเฉียนไปยืนอยู่ไกลๆ เพียงแค่พาจูเหลี่ยนเดินหน้าไปด้วยกันต่ออีกครั้ง


ชุยตงซานพลันส่งจดหมายลับฉบับหนึ่งมาให้ตน บอกว่าหลี่เป่าเจินมาปรากฏตัวที่สวนสิงโต ถ้อยคำที่เขียนกระชับและรัดกุม ปิดท้ายด้วยสองคำว่า ‘ฆ่าได้’


เฉินผิงอันไม่มีความสงสัยหรือลังเลใดๆ เขารีบออกจากเมืองหลวงอย่างรวดเร็ว ตรงดิ่งมาที่สวนสิงโต


สำหรับเรื่องบางเรื่องที่ไม่เกี่ยวพันกับรากฐานมหามรรคา เฉินผิงอันเลือกที่จะเชื่อใจชุยตงซาน ยกตัวอย่างเช่นเลือกสือโหรวผีสาวโครงกระดูกให้เป็นผู้ยึดครองคราบร่างเซียนของตู้เม่า แล้วก็ตามมาด้วยครั้งนี้


พออยู่ห่างจากรถม้าไม่ถึงห้าสิบก้าว เฉินผิงอันก็เดินไปข้างหน้าช้าๆ จนกระทั่งมองเห็นคุณชายหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านหลังสารถีได้ชัดเจน


คือคนผู้นี้ที่หลอกใช้ความรักของเด็กสาวและจิตใจที่เลื่อมใสศรัทธาของจูลู่ จากนั้นก็โยนเหยื่อล่อนางโดยบอกว่าการที่ตัวเองเอาชื่อพวกเขาพ่อลูกออกจากความเป็นทาสก็เพื่อจะได้ช่วงชิงตำแหน่งฮูหยินตราตั้งมาให้นาง เป็นเหตุให้ปีนั้นจูลู่ที่เดินอยู่ท่ามกลางระเบียงพูดจายิ้มแย้มเดินเข้าหาเฉินผิงอัน ทว่าสองมือที่ไพล่หลังกลับมีแต่ปราณสังหาร


นั่นเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เฉินผิงอันออกมาจากถ้ำสวรรค์หลีจูแล้วรู้สึกถึงความลึกล้ำและความอันตรายของใจคนได้ดีขึ้นนับจากคุมเชิงกับวานรเฒ่าแห่งภูเขาตะวันเที่ยงซึ่งมีเพียงเส้นกั้นบางๆ ขวางระหว่างความเป็นและความตาย


“เฉินผิงอัน นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเราได้พบกันกระมัง?”


หลี่เป่าเจินยืนอยู่ด้านหลังสารถีเฒ่า เอ่ยทักทายด้วยรอยยิ้มบางๆ “ลืมแนะนำตัวเองไป ข้าชื่อหลี่เป่าเจิน เป็นน้องชายของหลี่ซีเซิ่ง เป็นพี่ชายของหลี่เป่าผิง”


เฉินผิงอันหยุดยืนนิ่ง ถามว่า “หากคืนนี้เจ้าตายอยู่ที่นี่ จะเสียใจภายหลังหรือไม่?”


หลี่เป่าเจินพยักหน้ารับ “ต้องเสียใจจนไส้เขียวอย่างแน่นอน”


เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เสียใจที่ทำงานได้ไม่ละเอียดรอบคอบพอมากกว่ากระมัง?”


ดูเหมือนหลี่เป่าเจินจะรู้สึกว่าไหแตกแล้วก็ทุ่มให้แหลกไปเสียเลย จึงกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “ก็ใช่น่ะสิ พอออกมาจากถนนฝูลวี่เขตการปกครองหลงเฉวียนและราชวงศ์ต้าหลีของพวกเราก็รู้สึกว่าเป็นนกที่โบยบินขึ้นไปบนฟ้าสูงได้แล้ว ไม่ค่อยจะฉลาดสักเท่าไหร่ เฉินผิงอันเจ้าสอนหลักการที่ล้ำค่าในการเป็นคนให้กับข้าถึงสองครั้ง เรื่องเดิมไม่ทำซ้ำสาม วันหน้าเจ้าเดินไปบนเส้นทางกว้างใหญ่ของเจ้า ข้าเดินไปบนทางสะพานไม้ของข้า ตกลงไหม?”


จูเหลี่ยนยกมือขึ้น ถูสองฝ่ามือเข้าด้วยกันท่าทางคันไม้คันมือเต็มแก่ ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ตาเฒ่าคนขับรถผู้นั้น แม้จะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเดินทางไกล แต่บ่าวเฒ่าก็สามารถรับมือได้ นายน้อย จะดีจะชั่วก็เป็นคนขอบเขตเดียวกัน ถึงเวลานั้นหากบ่าวเฒ่าไม่ทันระวัง หยุดมือไม่ทันกาลก็อย่าถือสาเลยนะ”


สายตาสารถีเฒ่าฉายประกายร้อนแรง จ้องผู้เฒ่าหลังค่อมเขม็ง สามแคว้นอย่างชิงหลวน ชิ่งซานและอวิ๋นเซียว รวมไปถึงแคว้นเล็กๆ ที่อยู่รอบด้าน น้ำในยุทธภพตื้นเขิน อีกทั้งยังมีภารกิจติดตัว ไม่อาจเดินทางไกลโดยพลการ ย่ำยีคำเรียกขานว่าผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวขอบเขตแปดไปอย่างเสียเปล่า ไม่ใช่เรื่องง่ายกว่าที่คืนนี้จะได้มาเจอกับคนคนหนึ่งที่ฝีมือทัดเทียมกัน มีหรือจะยอมปล่อยผ่านไป เพียงแต่ว่าด้านหลังยังมีเจ้าสารเลวหลี่เป่าเจิน รวมไปถึงท่านหลิ่วที่อยู่ในห้องโดยสาร ทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกมัดมือมัดเท้าอย่างเลี่ยงไม่ได้ จึงถามว่า “รับมือกับผู้ติดตามคนนี้ก็หนักหนาพออยู่แล้ว ใต้เท้าหลี่ เจ้ามีแผนการแยบยลอะไรจะถ่ายทอดให้ข้าหรือไม่? แผนการที่ทั้งปกป้องเจ้าไม่ให้ตาย แล้วก็ทั้งช่วยให้ข้าต่อสู้ได้อย่างสาแก่ใจ?”


หลี่เป่าเจินยิ้มจืดเจื่อน “ข้าจะคิดแผนการอะไรแบบนั้นออกได้อย่างไร แผนการอันแยบยลทั้งหลายของข้ามีไว้แค่ทำร้ายคนอื่น ไม่ได้มีไว้ช่วยตัวเอง”


สารถีลุกขึ้นยืน หัวเราะหยันกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีอะไรเลยสินะ? คิดคำนวณไปมา มองดูเหมือนจะทำให้คนหูตาพร่าลาย ผลกลับกลายเป็นว่ามีปัญญาเท่านี้เอง”


หลี่เป่าเจินยิ้มกล่าว “ถ้าอย่างนั้นคืนนี้ก็คงต้องรบกวนให้เจ้าออกแรงมากหน่อย ช่วงชิงโอกาสให้ข้าได้ล้อมคอกหลังวัวหาย”


ในฐานะผู้ฝึกยุทธ์อันดับหนึ่งของแจกันสมบัติทวีป ศักยภาพของสารถีเฒ่าสูง ภาระที่แบกไว้บนบ่าย่อมหนักอึ้งเป็นธรรมดา จึงไม่ถึงขั้นที่ว่าแค่รู้สึกรังเกียจหลี่เป่าเจินแล้วจะเดินหนีทิ้งเขาไปทั้งอย่างนี้


รถม้าสั่นสะเทือนน้อยๆ หลี่เป่าเจินรู้สึกเพียงว่ามีลมเบาๆ พัดผ่านใบหน้าไปวูบหนึ่ง สารถีเฒ่าพุ่งวูบออกไปเป็นสายยาว กระโจนเข้าหาเฉินผิงอัน


พงต้นกกต้นอ้อที่ขึ้นอยู่สองฝั่งทางสายเล็กล้วนโน้มเอียงเข้าหาเฉินผิงอันและจูเหลี่ยน


จูเหลี่ยนเดินค้อมเอวไปด้านหน้าสองสามก้าวด้วยความเคยชิน เรือนกายว่องไวปราดเปรียวดุจสายฟ้า ยื่นฝ่ามือออกไปข้างหนึ่ง


เป็นหมัดที่ต่อยออกไปอย่างว่องไวเพื่อต้านรับพายุหมัดกระโชกแรงจนชายแขนเสื้อสองข้างพองโป่งของสารถีเฒ่า


จูเหลี่ยนถอยกรูดออกไปด้านหลัง มายืนเคียงไหล่กับเฉินผิงอันพอดี ส่วนสารถีเฒ่าก็ใช้โอกาสนี้พลิ้วกายลงยืนบนพื้น


พงต้นกกต้นออกสองข้างทางพากันเอนเอียงไปฝั่งซ้ายฝั่งขวาอีกครั้ง ก่อให้เกิดเสียงดังซู่ๆ ท่ามกลางค่ำคืนที่เดิมทีสรรพสิ่งเงียบสงัด จึงฟังแล้วบาดหูเป็นพิเศษ


หลี่เป่าเจินมองกระแสลมปราณของพายุหมัดที่กระจายออกไปสี่ทิศ ในขณะที่ล่องลอยไปหยุดอยู่เบื้องหน้าเฉินผิงอันซึ่งยืนนิ่งไม่ขยับก็เหมือนลมพัดฝนโปรยปรายที่เจอเข้ากับร่มกระดาษน้ำมันคันหนึ่ง หยดน้ำจึงไม่อาจสัมผัสโดนคนกางร่มได้แม้แต่น้อย


หนังตาหลี่เป่าเจินกระตุกอย่างห้ามไม่ได้ ไม่เสียแรงที่เป็นคนอายุยังน้อยก็มีตบะวิถีวรยุทธ์ขอบเขตห้า


เจ้าเศษสวะตรอกหนีผิงผู้นี้ พอออกมาจากถ้ำสวรรค์หลีจูแล้ว ดูท่าจะพบเจอกับโชควาสนาที่ไม่เลวเลยทีเดียว


หลี่เป่าเจินรู้สึกเสียดายเล็กน้อย หรือว่าตอนนั้นตนควรเลือกเดินบนเส้นทางของการฝึกตนจริงๆ?


ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวขอบเขตห้าขั้นสูงสุดที่อายุไม่ถึงสิบแปด เอาไปวางไว้ในราชสำนักต้าหลีที่เลื่อมใสผู้ฝึกยุทธ์ เกรงว่าคงสามารถเรียกขานว่าอัจฉริยะผู้มีพรสวรรค์ได้แล้วกระมัง?


หรือว่าหลังจากที่ถ้ำสวรรค์หลีจูปริแตกแล้วร่วงลงมา โชคชะตาบู๊ที่ยิ่งใหญ่มหาศาลขุมนั้นจะถูกไอ้หมอนี่ยึดครองไปเพียงลำพัง? ไม่ถูกสิ ซ่งจ่างจิ้งอ๋องเจ้าเมือง หลี่เอ้อร์ บวกกับเจิ้งต้าเฟิง สามคนนี้แบ่งสัดส่วนกันแล้ว อย่างมากสุดก็เหลือแค่เศษน้ำแกงเย็นๆ เท่านั้น


จูเหลี่ยนสะบัดข้อมือ หัวเราะเฮอๆ “พี่ชายท่านนี้ หมัดของเจ้านุ่มนิ่มไปหน่อยนะ ทำไม เกรงใจข้างั้นหรือ? กลัวว่าต่อยข้าให้ตายด้วยหมัดเดียวแล้วจะไม่มีอะไรให้เล่นสนุกอีก? ไม่ต้องๆ ออกหมัดมาได้เต็มที่ ต่อยแบบเอาให้ถึงตาย ข้าคนนี้หนังหนาทนการทุบตีได้ดีที่สุด หากพี่ชายยังเก็บๆ ซ่อนๆ อยู่แบบนี้ ข้าจะไม่เกรงใจเจ้าแล้วนะ!”


ร่างของจูเหลี่ยนเหมือนวานรที่เผ่นโผนโจนทะยานอยู่ในป่า ความเร็วนั้นราวกับเซียนซือใช้ยันต์ฟางชุ่นหดย่อพื้นที่พันลี้ พริบตาเดียวก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าสารถีเฒ่า ปล่อยหมัดตรงๆ กลับคืนไปให้อีกฝ่าย


ความสามารถในการมองเห็นของหลี่เป่าเจินมีจำกัด เห็นเพียงว่าหลังจากจูเหลี่ยนปล่อยหมัดนั้นออกมา ทั้งสองฝ่ายก็คุมเชิงกัน ตอบโต้กลับคืนให้กันและกันอย่างมีมารยาทอยู่ในพื้นที่เล็กๆ มองจนเขาเวียนหัวตาลาย


และเพียงไม่นานหลี่เป่าเจินก็รู้สึกว่าหูอื้อจนเจ็บแปลบ ต้องกลืนน้ำลายถึงจะรู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อย


สารถีเฒ่าตวาดเบาๆ หนึ่งที ปล่อยสองหมัดรัวไปติดๆ กัน ทำเอาจูเหลี่ยนกระเด็นเข้าไปในพงต้นกกต้นอ้อ ส่วนตัวเขาเองก็ถอยไปข้างหลังหนึ่งก้าว ต้องกระทืบพื้นแรงๆ ยกเท้าอีกข้างขึ้นเบาๆ เพื่อหยุดร่างให้มั่นคง


หากไม่เป็นเพราะเป็นห่วงหลี่เป่าเจินที่อยู่ด้านหลัง สารถีเฒ่าย่อมออกหมัดได้เต็มคราบยิ่งกว่านี้


จูเหลี่ยนคลายร่างอยู่กลางอากาศ เหยียบอยู่บนต้นกกเล็กบางต้นหนึ่งด้วยเท้าข้างเดียว ร่างส่ายซ้ายเอียงขวาอยู่ครู่หนึ่ง ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “พี่ชาย ดูท่าเจ้าเลื่อนสู่ขอบเขตแปดมานานหลายปีขนาดนี้ คงเดินมาได้ไม่ราบรื่นเท่าไหร่สินะ เส้นทางที่พาขึ้นสู่ที่สูง เจ้าก็คงต้องคลานไปกระมัง?”


สารถีเฒ่าเอ่ยเย้ยหยัน “รีบพูดประโยคนี้เร็วไปหน่อยกระมัง?”


จูเหลี่ยนเดินอยู่บนยอดต้นกกต้นอ้อที่เป็นพุ่มเป็นพงประหนึ่งกบกระโดดแตะผิวน้ำ เมื่อเส้นเอ็นและกระดูกยืดขยายก็เกิดเสียงลั่นดังเป็นทอดๆ ดุจถั่วเหลืองระเบิดแตก เขาพูดพลางหัวเราะหึหึ “ไม่เร็วๆ ข้ากังวลว่าพวกเราสองพี่น้องจะเล่นกันเลยเถิด แล้วถึงเวลานั้นเจ้าไม่ทันได้ทิ้งคำสั่งเสียเอาไว้ ได้ยินมาว่าผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตแปดใต้หล้านี้ค่อนข้างจะหาได้ยาก หากเจ้าตายไปทั้งอย่างนี้ ข้าจะเกิดความรู้สึกคล้ายกระต่ายตายหมาจิ้งจอกโศกเศร้าอะไรทำนองนั้น ฉวยโอกาสตอนที่นายน้อยของข้ายังไม่รู้สึกว่าเจ้าขวางหูขวางตา เลยต้องรีบพูดกับเจ้าก่อน”


สารถีเฒ่าไม่พูดไม่จา


—–

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)