กระบี่จงมา 396.2-397.2

 บทที่ 396.2 น้ำแกงไก่หนึ่งถ้วยยังไม่รู้

 

หลิ่วชิงเฟิงทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจัง “อย่าโทษที่ข้าทำตัวเหมือนพ่อค้าหน้าเลือด ใช้ใจของคนถ่อยไปวัดใจของวิญญูชน แต่เป็นเพราะวันนี้พวกเราคิดให้มากหน่อย ในอนาคตก็จะได้ทุกข์น้อยลง พูดไปร้อยอย่างพันอย่าง สุดท้ายก็แค่หวังให้เจ้าชิงซานมีชีวิตที่ดี ขณะเดียวกันข้าเองก็มีใจเห็นแก่ตัว ขนบธรรมเนียมประจำตระกูลของสกุลหลิ่วสวนสิงโต ข้าที่เป็นพี่ชายคนโตรู้ดีว่าตัวเองไม่มีความสามารถจะแบกรับเอาไว้ จึงต้องให้เจ้าเป็นผู้รับหน้าที่นี้แทน”


หลิ่วชิงซานลุกขึ้นยืน เนื่องจากขาพิการ ไหล่จึงเอียงไปข้างหนึ่ง เขากุมมือคารวะด้วยสีหน้าสง่างาม “ข้าจะไปถามให้แน่ชัดเดี๋ยวนี้”


สายตาหลิ่วชิงเฟิงมีประกายซับซ้อนผ่านไปวูบหนึ่ง พูดเบาๆ ว่า “บนโลกมีเทพเซียนอยู่มากมาย ชิงซาน เจ้าวางใจเถอะ ต้องรักษาหายแน่นอน พี่ใหญ่รับรองกับเจ้า”


หลิ่วชิงซานคิดแค่ว่าพี่ชายกำลังปลอบใจตนจึงจากไปด้วยรอยยิ้ม


หลิ่วจิ้งถิงกลับมีสายตาเฉียบคมที่ผ่านการฝึกฝนมาจากการเป็นขุนนาง เขารู้จักนิสัยของบุตรชายคนโตดีที่สุดว่าหนักแน่นแตกต่างไปจากคนทั่วไป ใจคอกว้างขวางเหนือกว่าคนธรรมดา ดังนั้นรองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่วจึงหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย


หลังจากหลิ่วชิงซานออกไปจากห้องหนังสือและปิดประตูลงแล้ว


หลิ่วชิงเฟิงที่มีสีหน้าเหนื่อยล้าก็เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ระหว่างที่เดินทางมาได้เจอกับเฉินผิงอันผู้นั้นพอดี”


หลิ่วจิ้งถิงระงับแรงสั่นสะเทือนในหัวใจขุมนั้นเอาไว้ ยิ้มพูดว่า “รู้สึกว่าเป็นอย่างไรบ้าง?”


หลิ่วชิงเฟิงพยักหน้า “เป็นคนบนภูเขาที่พบเจอได้ยากยิ่ง และยิ่งเหมือนบัณฑิตแท้จริงที่มาจากตระกูลชนชั้นสูง”


หลิ่วจิ้งถิงคลี่ยิ้ม “เป็นเช่นนี้จริง”


หลิ่วชิงเฟิงทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด


หลิ่วจิ้งถิงลุกขึ้นยืน ยื่นมือมากดไหล่บุตรชายคนโต “คนครอบครัวเดียวกันไม่พูดจาเกรงใจกัน วันหน้าชิงซานจะเข้าใจความหวังดีของเจ้าเอง ส่วนพ่อน่ะ บอกตามตรง ไม่รู้สึกว่าเจ้าทำถูก แต่ก็ไม่รู้สึกว่าเจ้าทำผิดเช่นกัน”


สีหน้าของหลิ่วชิงเฟิงหม่นหมอง


หลิ่วจิ้งถิงกล่าว “ไปดูชิงชิงหน่อยเถอะ นางสนิทกับชิงซาน แต่กลับเคารพนับถือเจ้ามาก ดังนั้นคำพูดบางอย่างหากเจ้าพูดจะได้ผลที่สุด”


หลิ่วชิงเฟิงพยักหน้ารับ “ข้าจะนั่งอยู่อีกสักพัก เดี๋ยวจะไปพบอาจารย์ทั้งสองท่านก่อนแล้วค่อยไปที่หอซิ่วโหลว”


หลิ่วจิ้งถิงถอนหายใจ “ตามหลักแล้วสมควรทำเช่นนี้”


รองเจ้ากรมผู้เฒ่าเดินออกไปจากห้องหนังสือก่อน


หลิ่วชิงเฟิงนั่งอยู่บนเก้าอี้เพียงลำพัง หันหน้าไปมองกลอนคู่บทนั้น


ใต้พู่กันค่ายพันทัพ บทกวีหมื่นทหารม้า มีคุณธรรมทัดเทียมอดีตและปัจจุบัน เก็บซ่อนตำราสอนลูกหลาน


อันที่จริงคนที่เขียนกลอนบทนี้ไม่ใช่หลิ่วชิงซานผู้เป็นเจ้าของห้องหนังสือ แต่เป็นพี่ชายอย่างเขาหลิ่วชิงเฟิง ปีนั้นที่น้องชายทำพิธีสวมกวาน (พิธีที่แสดงให้รู้ว่าเด็กหนุ่มกลายเป็นบุรุษเต็มตัวแล้ว) เขาเขียนมันด้วยตัวเองแล้วมอบให้หลิ่วชิงซานเป็นของขวัญ


หลิ่วชิงเฟิงเดินออกจากห้องหนังสือด้วยสีหน้าอ้างว้าง ไปเยี่ยมเยียนอาจารย์ผู้เฒ่าฝูเซิงและอาจารย์หลิวชายวัยกลางคนลัทธิขงจื๊อ ฝ่ายแรกไม่ได้อยู่ที่โรงเรียน มีเพียงฝ่ายหลังที่อยู่ หลิ่วชิงเฟิงจึงถามข้อสงสัยบางอย่างในด้านความรู้กับฝ่ายหลังแล้วถึงได้บอกลาจากมา ไปหาน้องสาวหลิ่วชิงชิงที่หอซิ่วโหลว


หลังจากหลิ่วชิงเฟิงจากไป อาจารย์ผู้เฒ่าฝูเซิงถึงได้ปรากฎตัวออกมาจากความว่างเปล่า


ชายวัยกลางคนลัทธิขงจื๊อถามขึ้น “อาจารย์ หลิ่วชิงเฟิงทำเช่นนี้จะลากหลิ่วชิงซานเข้าไปในน้ำวนแห่งการแก่งแย่งช่วงชิงของสามลัทธิแคว้นชิงหลวน เป็นการกระทำที่ถูกหรือว่าผิด?”


ฝูเซิงยิ้มกล่าว “ก็มีคนบอกแล้วไม่ใช่หรือว่า เรื่องราวของเมื่อวานตายไปเมื่อวาน เรื่องราวของวันนี้เกิดขึ้นวันนี้ ผิดถูกในวันนี้ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะผิดถูกในวันหน้า ยังต้องดูที่คน อีกอย่างนี่เป็นเรื่องของสกุลหลิว ข้าเองก็อยากยืมใช้โอกาสนี้มาลองดูว่าหลิ่วชิงซานอ่านตำราของอริยะปราชญ์เข้าท้องไปกี่มากน้อย เรื่องความหยิ่งในศักดิ์ศรีของบัณฑิตนี้ เดิมทีก็มีเพียงผ่านการขัดเกลาอย่างยากลำบากเท่านั้นถึงจะประสบความสำเร็จได้”


ชาวลัทธิขงจื๊อวัยกลางคนรู้สึกจนใจแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ อาจารย์ใช้คำกล่าวของลัทธิพุทธมาพูดถึงการกระทำของลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อ ไม่ถูกหลักมารยาทเลย เพียงแต่เขาเองก็รู้ดีว่าฐานะของอาจารย์ที่อยู่ในศาลบุ๋นดั้งเดิมของแผ่นดินกลางสูงส่งเท่าไหร่ สิ่งที่สายตาของอาจารย์มองไปเห็นนั้นกว้างไกลอย่างมาก หากไม่เกี่ยวพันกับความเบี่ยงเบนบนมหามรรคาใต้ฝ่าเท้าของหลิ่วชิงซาน อาจารย์ก็จะไม่ยื่นมือเข้าก้าวก่าย หากครั้งนี้ตอนที่อยู่ในศาลบรรพชน หลิ่วชิงซานไม่ได้ออกมาโต้เถียงเจ้าแม่ต้นหลิ่ว ถ้าเช่นนั้นชั่วชีวิตนี้หลิ่วชิงซานก็จะรู้แค่ว่าในโรงเรียนมีอาจารย์สองคนที่อยู่สวนสิงโตมานานหลายปี หลังจากนั้นก็มีวันหนึ่งที่พวกเขาเดินทางกลับบ้านเกิด แล้วก็ไม่มีข่าวคราวส่งมาอีก


อันที่จริงโชควาสนาทั้งหลายในโลกก็ล้วนเป็นเช่นนี้ อาจมีการแบ่งแยกเล็กใหญ่ รวมไปถึงการรับลูกศิษย์ของเมธีร้อยสำนักและตระกูลเซียนบนภูเขาที่ใต้ฝ่าเท้าของแต่ละคนต่างก็มีเส้นทางให้ต้องเดิน จุดเริ่มต้นในการเจาะเข้าหาลูกศิษย์ที่หมายตาก็แตกต่างกันออกไป ทว่าแท้จริงแล้วในด้านของลักษณะกลับเหมือนกัน นั่นคือยังต้องดูว่าคนที่ถูกทดสอบสามารถคว้าโชควาสนานั้นไว้ได้อยู่มือหรือไม่ เทพเซียนลัทธิเต๋าจะชอบใช้วิธีการนี้เป็นพิเศษ เมื่อเทียบกับการเฝ้ามองไปตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นของอาจารย์ฝูเซิงแล้ว พวกเขาจะเพิ่มอุปสรรคและความซับซ้อนให้มากขึ้น ทั้งเกียรติยศและความอัปยศล้วนสลับสับเปลี่ยนกันไป การพบพรากจากลา ความรักระหว่างพ่อลูก สามีภรรยา ห่วงพะวงมากมาย ความล่อลวงใจทั้งหลายก็ล้วนอาจต้องทดสอบให้ครบถ้วนไปหนึ่งรอบ ถึงขั้นที่ว่าในประวัติศาสตร์ยังมีขั้นตอนการรับลูกศิษย์ที่มีชื่อเสียงบางอย่างที่กินเวลาอย่างยาวนาน ถึงขนาดเกี่ยวพันไปถึงการมาจุติเกิดใหม่ในครรภ์ รวมไปถึงการฝึกประสบการณ์ในพื้นที่มงคล


น่าตะลึงพรึงเพริด อีกทั้งยังงดงามละลานตาไปหมด


ฝูเซิงพลันเอ่ยขึ้นว่า “อันที่จริงหลิ่วชิงเฟิงเหมาะที่จะเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเจ้ามาก”


ชาวลัทธิขงจื๊อวัยกลางคนส่ายหน้า “ข้ารู้ว่าจิตใจของคนผู้นี้ไม่เลว อีกทั้งยังมีปณิธานยิ่งใหญ่ ขณะเดียวกันก็ทำงานยิบย่อยได้ดี น่าเสียดายก็แต่ไม่ใช่ตัวเลือกที่เหมาะจะสืบทอดความรู้จากสายเล็กๆ ของข้า”


ฝูเซิงคลี่ยิ้ม ไม่เอ่ยอะไรอีก


เขาไม่ได้พูดชี้ชัด


อาจารย์ถ่ายทอดมรรคาให้ลูกศิษย์


ง่ายดายแค่ลูกศิษย์ตั้งใจรับฟังคำสั่งสอนของอาจารย์เท่านั้นจริงๆ หรือ?


ลูกศิษย์ไม่สามารถตรวจสอบแล้วชดเชยช่องโหว่ของความรู้อาจารย์ได้จริงๆ หรือ?


เพียงแต่ว่าเรื่องพวกนี้ไม่อาจบอกกล่าวแก่คนนอกได้ ต้องคิดได้เองเท่านั้น


ปรมาจารย์มหาปราชญ์เคยมีความกังวลว่า ยิ่งความรู้ของอริยะปราชญ์ลัทธิขงจื๊อสูงเท่าไหร่ ตำแหน่งฐานะก็จะยิ่งสูงเท่านั้น ตำแหน่งเทพจะถูกขยับให้ออกห่างจากโลกมนุษย์ไปเรื่อยๆ แบบนั้นโลกมนุษย์จะทำอย่างไร?


หลี่เซิ่ง หย่าเซิ่งและยังมีเขาฝูเซิง หรือควรจะเรียกว่าฝูเซิ่ง รวมไปถึงรองเจ้าลัทธิขงจื๊อสองคนนั้น ต่างคนต่างก็มีคำตอบเป็นของตัวเอง


เพียงแต่ว่าปรมาจารย์มหาปราชญ์ก็ยังขมวดคิ้วมุ่นไม่คลาย


ภายหลังจึงมีซิ่วไฉเฒ่าจากตรอกยากจนผู้นั้นโผล่มา


ยุคสมัยนั้นช่างส่องแสงรุ่งโรจน์ชัชวาล


งานโต้วาทีระหว่างสามลัทธิทั้งสองครั้งนั้น เมล็ดพันธ์เต๋าและพุทธสองกลุ่มที่มีความสามารถล้ำเลิศน่าตะลึงซึ่งตัดสินใจแปรพักตร์เข้าไปเป็นลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊ออย่างเด็ดเดี่ยวไม่ได้มีแค่คนสองคนเท่านั้น


เคยมีเซียนหนุ่มคนหนึ่งของป๋ายอวี้จิงที่เข้าร่วมการโต้วาทีถามคำถามว่า ‘ในเมื่อลัทธิขงจื๊อของพวกเจ้าศรัทธาในคำกล่าวที่ว่าสันดานเดิมของมนุษย์นั้นดีงาม ในเมื่อทุกคนต่างก็มีจิตใจที่ดีงามแล้ว ถ้าเช่นนั้นคุณความชอบจากการอบรมสั่งสอนของลัทธิขงจื๊อพวกเจ้าจะอยู่ที่ใด?’


ชายวัยกลางคนลัทธิขงจื๊อพลันเอ่ยถามว่า “หากหลิ่วชิงซานออกเดินทางไกลไปพร้อมกับนักพรตหญิงหลิ่วป๋อฉี สุดท้ายจะได้เป็นสามีภรรยากันอย่างนั้นหรือ?”


อาจารย์ผู้เฒ่าฝูเซิง หรือควรจะเรียกว่าฝูเซิ่งอริยะใหญ่แห่งลัทธิขงจื๊อยิ้มกล่าว “นี่ก็ไม่เห็นเป็นไร ความคิดเห็นของคนในสามลัทธิจะเอาจริงเอาจังก็ต่อเมื่อเป็นเรื่องของความรู้เท่านั้น”


ในใจชาวลัทธิขงจื๊อวัยกลางคนเกิดข้อสงสัยขึ้นมาอีก


อาจารย์ผู้เฒ่าพยักหน้ารับพลางกล่าวว่า “คาดว่าหลิ่วชิงเฟิงคงจะเดาตัวตนของพวกเราออกแล้ว เพราะสวนสิงโตมีทางให้ถอยแล้ว ดังนั้นถึงได้มีการเดิมพันชะตาบุ๋นระหว่างหลิ่วชิงเฟิงกับซิ่วหู่แห่งต้าหลีในครั้งนี้”


ชาวลัทธิขงจื๊อวัยกลางคนแค่นเสียงหยัน


ทว่าอาจารย์ผู้เฒ่ากลับพูดอย่างสะท้อนใจ “หากปีนั้นในบรรดาลูกศิษย์ของซิ่วไฉเฒ่ามีคนอย่างชุยฉาน หลิ่วชิงซานมากๆ หน่อย ก็คงไม่ถึงขั้นแพ้อย่าง…อาจจะยังแพ้อยู่ แต่อย่างน้อยก็ไม่แพ้อย่างน่าอนาถถึงเพียงนี้”


……


หลิ่วชิงเฟิงยืนอยู่ด้านล่างหอซิ่วโหลว บอกให้สาวใช้จ้าวหยาไปเชิญหลิ่วชิงชิงน้องสาวของเขาลงมาจากหอเรือน


จ้าวหยารู้สึกลำบากใจเล็กน้อย


หลายวันมานี้หลังจากที่คุณหนูได้รู้ความจริงคร่าวๆ ก็เจ็บปวดร้าวรานใจแทบใจสลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรู้ว่าพี่รองหลิ่วชิงซานเป็นคนพิการเพราะนาง แม้แต่ความคิดจะฆ่าตัวตายก็มีแล้ว หากไม่เป็นเพราะนางค้นพบได้เร็ว รีบย้ายพวกมีดกรรไกรออกไปจนหมดเกลี้ยง เกรงว่าสวนสิงโตที่หลังจากปิติยินดีกันอย่างยิ่งยวดไปแล้วคงต้องเจอกับความทุกข์ตรมเศร้าสร้อยอีกรอบ ดังนั้นนางจึงคอยอยู่ข้างกายคุณหนูทั้งวันทั้งคืนไม่ห่างไปไหนแม้แต่ก้าวเดียว สองวันมานี้คุณหนูทรุดโทรมเสียยิ่งกว่าตอนที่ประสบหายนะเสียอีก ผ่ายผอมจนแทบจะเหลือเพียงหนังหุ้มกระดูกแล้วจริงๆ


หลิ่วชิงเฟิงกล่าวอย่างเฉยเมยว่า “ไปเรียกนางลงมา”


จ้าวหยาหวาดผวา รีบหมุนตัววิ่งกลับไปบนหอทันที


หลิ่วชิงชิงลงจากหอมาอย่างขลาดกลัว ถึงขั้นไม่กล้าให้จ้าวหยาช่วยประคอง


หลิ่วชิงเฟิงมองน้องสาวแวบหนึ่ง ไม่ได้พูดอะไร


หลิ่วชิงชิงก้มหน้าลงต่ำ ในใจบังเกิดความหวาดหวั่น


นางกลัวพี่ชายใหญ่ที่เห็นได้ชัดว่าแต่ละด้านล้วนโดดเด่นได้ไม่เท่าหลิ่วชิงซานผู้นี้มาตั้งแต่เด็ก


หลิ่วชิงเฟิงพูดด้วยน้ำเสียงเนิบช้า “ฟ้าไม่ถล่มลงมาหรอก ข้าจะไปเดินเล่นเป็นเพื่อนเจ้า”


ครึ่งชั่วยามต่อมา จ้าวหยาที่ยืนรออยู่ตรงหอซิ่วโหลวชะเง้อคอยาวด้วยความกังวลใจ


พบว่าตอนที่คุณหนูของตนกลับมา แม้ใบหน้าจะยังมีคราบน้ำตาหลงเหลือ แต่ดูเหมือนว่าจะคลายปมในใจได้แล้ว


หลิ่วชิงชิงยกชายกระโปรงเดินขึ้นหอซิ่วโหลว จ้าวหยาที่มึนงงสงสัยเดินตามไปด้านหลัง


หลิ่วชิงชิงพลันถามขึ้นด้วยรอยยิ้ม “หยาเอ๋อร์ เจ้าขึ้นเขาไปฝึกตนเป็นเพื่อนข้าดีไหม?”


จ้าวหยาตะลึงพรึงเพริด มองคุณหนูที่ไม่เหลือความหมดอาลัยตายอยากแล้วพยักหน้ารับ


หลิ่วชิงเฟิงเดินอยู่ในสวนสิงโตเพียงลำพัง


เป็นผู้รอบรู้ที่สามารถสร้างความรู้ยิ่งใหญ่และสูงส่งอย่างถึงที่สุด แน่นอนว่าทำไม่ได้


ในเมื่อเขาหลิ่วชิงเฟิงก้าวข้ามก้าวนั้นออกไปแล้ว ถ้าเช่นนั้นชีวิตนี้ก็ถูกกำหนดมาแล้วว่าต้องป่ายปีนกลิ้งเกลือกอยู่ในบ่อดินโคลนเละๆ นี่เท่านั้น


ความทุกข์ทรมานในใจของหลิ่วชิงเฟิงไม่อาจบรรยายออกมาเป็นถ้อยคำได้


เป็นบัณฑิต ใครบ้างที่ไม่ยินดีขยันศึกษาหาความรู้อยู่ในห้องหนังสือ เขียนบทความผลงานคุณธรรมบทแล้วบทเล่าให้แพร่หลายไปร้อยปี


เป็นบัณฑิต ใครบ้างที่ไม่ยินดีมีลูกศิษย์ลูกหาอยู่เต็มบ้านเต็มเมือง ถูกขนานนามให้เป็นผู้นำด้านวัฒนธรรม เป็นประมุขแห่งปัญญาชน


เป็นบัณฑิต ใครบ้างที่ไม่ยินดีให้ชายเสื้อสองข้างมีลมเย็น เป็นผู้ปฏิรูปรากเหง้าแห่งความรู้สายลัทธิขงจื๊อ บุกเบิกโฉมหน้าใหม่


แต่ถึงที่สุดแล้วก็ต้องมีคนมาเป็นขุนนางซึ่งเป็นหน้าที่ที่ยากจะคิดคำนึงถึงผลประโยชน์ส่วนตนมากที่สุด และงานยิบย่อยหยุมหยิมที่เงินทุกแดงต้องคิดทำเพื่อชาวบ้าน ก็ต้องมีคนมาทำ


ยังดีที่ว่ากันว่าเมื่อเรียนหนังสือสร้างความรู้ได้ถึงจุดที่สูงที่สุดแล้วก็สามารถทำทั้งความรู้และทำงานได้ทั้งสองอย่างไปพร้อมๆ กัน


หลิ่วชิงเฟิงที่ยืนอยู่ตรงสะพานซึ่งมีสายน้ำไหลผ่านหันหน้าไป เห็นว่าหลิ่วชิงซานเดินเคียงบ่ามาพร้อมกับนักพรตหญิงผู้นั้น


สุดท้ายก็เป็นหลิ่วชิงซานที่เดินมาหาหลิ่วชิงเฟิงเพียงลำพัง เขายิ้มกล่าวว่า “ข้าอยากจะเดินทางไกลไปทั่วแจกันสมบัติทวีปพร้อมกับหลิ่วป๋อฉีก่อน อยากจะไปเยือนทะเลสาบกวานหู และยังมีสำนักศึกษาซานหยาต้าสุย รวมไปถึงสำนักศึกษาที่สร้างขึ้นใหม่ในเขตการปกครองหลงเฉวียนของต้าหลี”


หลิ่วชิงเฟิงยิ้มถาม “คิดดีแล้วหรือ? หากคิดดีแล้ว จำไว้ว่าต้องไปแจ้งอาจารย์ทั้งสองท่านก่อน ดูว่าพวกเขามีความเห็นอย่างไร”


หลิ่วชิงซานอืมรับหนึ่งที “หลิ่วป๋อฉีบอกว่าขาของข้าสามารถรักษาให้หายดีได้ แต่ข้ารู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องรีบร้อน ไม่อย่างนั้นจะต้องติดค้างน้ำใจนางอีก หากถึงเวลานั้น…”


หลิ่วชิงเฟิงเอ่ยสัพยอก “หากเป็นครอบครัวเดียวกันแล้วก็ไม่จำเป็นต้องคิดเล็กคิดน้อยมากขนาดนั้น”


หลิ่วชิงซานหมุนตัวเดินหนีไปทันที


หลิ่วชิงเฟิงพลันเอ่ยเรียกน้องชายเอาไว้ กล่าวว่า “ข้าขอบคุณเจ้าแทนบรรพบุรุษสกุลหลิ่วและบัณฑิตทุกคนในแคว้นชิงหลวน ความรู้ที่บริสุทธิ์ของสกุลหลิ่วไม่ลดทอนไปจากในอดีต บัณฑิตแคว้นชิงหลวนก็สามารถเงยหน้ายืดอกตั้งได้ไม่อายใคร”


หลิ่วชิงซานกล่าวอย่างฉงนสนเท่ห์ “เหตุใดต้องกล่าวเช่นนี้? พี่ใหญ่ ท่านกำลังพูดอะไรอยู่กันแน่ ทำไมข้าฟังไม่เข้าใจ?”


หลิ่วชิงเฟิงช่วยจัดสาบเสื้อให้หลิ่วชิงซาน ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “เด็กโง่ ไม่ต้องสนใจเรื่องพวกนี้ เจ้าแค่ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนหาความรู้อย่างสบายใจก็พอ วันหน้าจะได้เป็นอริยะลัทธิขงจื๊อมาสร้างเกียรติยศให้แก่สกุลหลิ่วของพวกเรา”


หลิ่วชิงซานพูดหยอกล้อ “พี่ใหญ่ ท่านเป็นขุนนางจนทึ่มไปแล้วหรือไร ตอนนี้เพิ่งได้เป็นนายอำเภอเท่านั้น วันหน้าหากท่านเป็นรองเจ้ากรม เป็นเจ้ากรมจะทำอย่างไร?”


หลิ่วชิงเฟิงยิ้มอ่อน “ก็คอยรอดูกัน”


หลิ่วชิงเฟิงถาม “ตอนที่เจ้าไปบอกลาอาจารย์ทั้งสอง ข้าขอคุยกับหลิ่วป๋อฉีหน่อยได้หรือไม่? วางใจเถอะ แค่พูดคุยกันไม่กี่คำเท่านั้น”


หลิ่วชิงซานพยักหน้ารับ “ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว”


หลิ่วชิงซานจึงไปบอกหลิ่วป๋อฉี หลิ่วป๋อฉีตอบรับ ตอนที่หลิ่วชิงซานไปหาอาจารย์ผู้เฒ่าฝูและอาจารย์หลิว


หลิ่วชิงเฟิงก็พาหลิ่วป๋อฉีเดินไปทางศาลบรรพชนสกุลหลิ่ว


ตลอดทางที่เดินกันไป หลิ่วชิงเฟิงไม่ได้เปิดปากพูดอะไร


ในใจหลิ่วป๋อฉีกลับเกิดความหวาดหวั่นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน


แน่นอนว่าหลักๆ เป็นเพราะเมื่อนางตกหลุมรักหลิ่วชิงซาน ยามที่เผชิญหน้ากับหลิ่วชิงเฟิงหรือหลิ่วจิ้งถิง นางจึงรู้สึกว่าลำดับศักดิ์ของตัวเองต่ำกว่าอีกฝ่ายอยู่เสมอ


แต่หลิ่วป๋อฉีก็มีลางสังหรณ์ที่แปลกประหลาดบางอย่างว่า หลิ่วชิงเฟิงผู้นี้อาจจะไม่ใช่คนธรรมดา


หลิ่วชิงเฟิงหยุดฝีเท้าอยู่ด้านนอกประตูศาลบรรพชน เอ่ยถามว่า “หลิ่วป๋อฉี หากหลิ่วชิงซานน้องชายของข้ามีอายุขัยแสนสั้นดั่งมนุษย์ธรรมดาทั่วไป เจ้าจะทำอย่างไร?”


หลิ่วป๋อฉีตอบ “ตอนนี้ข้ามีตบะเป็นเซียนดินแล้ว วันหน้าจะเลื่อนเป็นห้าขอบเขตบนไม่ใช่เรื่องยาก ดังนั้นข้ายินดีจะถ่วงเวลารอหลิ่วชิงซานหนึ่งร้อยปี”


หลิ่วชิงเฟิงถามอีก “แล้วหากอนาคตอันรุ่งโรจน์ของหลิ่วชิงซานอยู่ที่สามอมตะ (สูงสุดคือสร้างคุณธรรม รองลงมาคือสร้างคุณประโยชน์ จากนั้นคือรังสรรค์ถ้อยคำ แม้เนิ่นนานก็ไม่เสื่อมสลาย) ของลัทธิขงจื๊อพวกเรา อีกทั้งยังมีหวังว่าจะทำได้ เจ้าจะทำอย่างไร?”


หลิ่วป๋อฉีตอบ “แต่งกับไก่ตามไก่ แต่งกับหมาตามหมา ใครที่กล้าทำลายมหามรรคาของสามีข้าหลิ่วป๋อฉี ก็ต้องถามมีดเทพเจ้าจิ้งและเจี่ยจั้วมีดแห่งชะตาชีวิตของข้าก่อนว่ายอมหรือไม่”


หลิ่วชิงเฟิงส่ายหน้า


หลิ่วป๋อฉีขมวดคิ้ว “ถ้าอย่างนั้นข้าควรทำอย่างไร?”


หลิ่วชิงเฟิงเอ่ยเบาๆ “เมื่อเผชิญกับเรื่องใหญ่ โดยเฉพาะยามที่ต้องเลือกระหว่างความเป็นกับความตาย ข้าหวังว่าเจ้าที่เป็นภรรยาของน้องชายข้าจะสามารถพิจารณาปัญหาโดยยืนอยู่ในมุมมองของหลิ่วชิงซาน ไม่ใช่ว่าความคิดแรกที่ผุดขึ้นมาก็คือ ‘ข้าหลิ่วป๋อฉีรู้สึกว่าทำเช่นนี้ถึงจะดีต่อหลิ่วชิงซาน ดังนั้นข้าก็จะทำแทนเขา’ มหามรรคาขรุขระเดินได้ยากลำบาก การเข่นฆ่าสังหารเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ในเมื่อตัวเจ้าเองก็พูดแล้วว่าแต่งกับไก่ตามไก่ แต่งกับหมาตามหมา ถ้าอย่างนั้นข้าก็ยังหวังว่าเจ้าจะรู้ในสิ่งที่หลิ่วชิงซานคิดและต้องการจริงๆ ดังนั้นตอนนี้ข้าจึงสามารถพูดกับเจ้าได้อย่างชัดเจนว่า วันหน้าย่อมต้องมีช่วงเวลาที่เจ้าได้รับความน้อยเนื้อต่ำใจ หรือถึงขั้นได้รับความอยุติธรรมใหญ่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”


เดิมทีหลิ่วป๋อฉีได้ยินคำว่า ‘ภรรยาของน้องชาย’ ก็ให้รู้สึกพิพักพิพ่วน แต่พอได้ยินคำพูดประโยคหลัง หลิ่วป๋อฉีกลับเหลือเพียงแค่ความเคารพนับถือจากใจจริง นางคลี่ยิ้มกล่าวว่า “วางใจเถอะ คำพูดเหล่านี้ข้าฟังด้วยความนับถือ ยอมศิโรราบให้ทั้งกายและใจ! ข้าผู้นี้เป็นคนค่อนข้างดื้อรั้น แต่ยังฟังออกว่าคำพูดใดหวังดี คำพูดใดประสงค์ร้าย!”


หลิ่วชิงเฟิงรู้สึกเหมือนได้ปลดเปลื้องภาระหนักอึ้งออกจากบ่า ยิ้มกล่าวว่า “น้องชายของข้าคนนี้สายตาดีมาก”


หลิ่วชิงเฟิงผายฝ่ามือไปทางศาลบรรพชน “เจ้าคือเทพเซียนบนภูเขา แค่ไหว้ศาลบรรพชนสกุลหลิ่วของพวกเราสามครั้งก็พอ”


หลิ่วป๋อฉีทำตามคำบอก


แต่กลับค้นพบว่าหลิ่วชิงเฟิงก็คำนับสามครั้งอยู่ไกลๆ เช่นกัน


อารมณ์ของหลิ่วป๋อฉีหนักอึ้งขึ้นมา

 

 

 


บทที่ 396.3 น้ำแกงไก่หนึ่งถ้วยยังไม่รู้

 

หลิ่วชิงเฟิงเอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “หากไม่ผิดไปจากที่คาด อีกไม่นานข้าจะต้องถูกตัดชื่อออกจากทำเนียบวงศ์ตระกูลสกุลหลิ่ว เมื่อถึงเวลานั้นข้าจะไม่ใช่พี่ชายใหญ่ของหลิ่วชิงซานอีกต่อไป ถึงเวลานั้นหากหลิ่วชิงซานได้จดหมายจากทางบ้าน คิดจะล้มเลิกการเดินทางไกลหาประสบการณ์ ไม่ว่าตอนนั้นพวกเจ้าจะอยู่ในแจกันสมบัติทวีปหรือในแผ่นดินกลาง หากเขายืนกรานจะกลับสวนสิงโตเพื่อมาซักไซ้เอาความผิดกับข้าให้ได้ เจ้าต้องขัดขวางเขาเอาไว้ ปกป้องเขาให้เขาได้เดินทางไกลหมื่นลี้เพื่อศึกษาหาความรู้ต่อไป”


แม้หลิ่วป๋อฉีจะไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ แต่กระนั้นก็ยังพยักหน้ารับ แล้วยิ้มเจื่อนกล่าวว่า “จะให้ข้าเป็นคนชั่วเร็วขนาดนี้เชียวหรือ? ท่านไม่เห็นตัวเองเป็นคนนอกเลยจริงๆ”


หลิ่วชิงเฟิงเปลี่ยนไปพูดเรื่องอื่น “ได้ยินว่าเจ้าจัดการเจ้าแม่ต้นหลิ่วเสียจนอ่วม?”


หลิ่วป๋อฉีเริ่มรู้สึกร้อนตัวขึ้นมา


หลิ่วชิงเฟิงกลับยิ้มตาหยี “ข้านึกอยากทำแบบนี้มาตั้งแต่ตอนยังเด็กแล้ว เดิมทียังนึกว่าต้องให้ผ่านไปอีกเจ็ดแปดปีถึงจะทำได้ ต้องขอบคุณเจ้าอีกครั้งแล้ว”


จนกระทั่งบัดนี้หลิ่วป๋อฉีถึงได้เริ่มยอมรับ ‘ขนบธรรมเนียมประจำสกุลหลิ่ว’ อย่างแท้จริง


ห่างออกไปไกล หลิ่วชิงซานเดินกะเผลกตรงมาทางศาลบรรพชน


เห็นว่าพี่ชายและสตรีที่รักกำลังพูดคุยกันอย่างถูกคอ ขอแค่พี่ชายใหญ่พยักหน้าตอบรับ ถ้าอย่างนั้นงานแต่งงานระหว่างตนกับหลิ่วป๋อฉีก็น่าจะไม่มีปัญหาแล้ว หลิ่วชิงซานจึงคลี่ยิ้ม บัณฑิตที่ยังหนุ่มผู้นี้รู้สึกเพียงว่าใต้หล้านี้ไม่มีเรื่องใดที่ยากเกินไปอีกแล้ว


……


พวกเฉินผิงอันเดินทางเข้าสู่เมืองหลวงของแคว้นชิงหลวนได้อย่างราบรื่น


นี่เป็นอีกครั้งที่รู้สึกถึงความเจริญรุ่งเรืองผู้คนเบียดเสียดเนืองแน่นหลังเดินทางออกมาจากนครมังกรเฒ่า


สุดท้ายเฉินผิงอันก็ยังมอบเงินขาวทองก้อนให้จูเหลี่ยน ปล่อยให้เขาไปซื้อหนังสือภาพที่ทำให้สือโหรวสะอิดสะเอียนอย่างถึงที่สุดนั่น


ส่วนตัวเฉินผิงอันเองก็ตามหาร้านเก่าแก่มีอายุเป็นร้อยปีร้านหนึ่งเจอ ซื้อกระดาษเซวียนจื่อที่งามประณีตซึ่งคุณภาพสมกับราคามาส่วนหนึ่ง


ก่อนจะเข้าเมือง เฉินผิงอันก็หาพื้นที่ที่เงียบสงัดเอาของทั้งหมดในหีบไม้ไผ่ย้ายไปเก็บไว้ในวัตถุจื่อชื่อแล้ว


ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในโรงเตี๊ยมสวนร้อยบุปผา ชุยตงซานเคยพูดถึงเรื่องวงในของงานโต้วาทีพุทธเต๋าครั้งนี้ หนึ่งในนั้นก็มีอารามป๋ายอวิ๋นซึ่งไร้สัญชาติของแคว้นชิงหลวนอยู่ด้วย ดังนั้นเฉินผิงอันจึงจงใจเดินอ้อมผ่านพื้นที่นี้


เขามักรู้สึกว่าตอนอยู่ในสวนสิงโตตนเองโชคดีมากพอแล้ว อย่าได้ทำตัวโอ้อวดด้วยการเป็นฝ่ายบุกเข้าไปอยู่ในสายตาของฮ่องเต้สกุลถังแคว้นชิงหลวนและสกุลเจียงอวิ๋นหลินเลยจะดีกว่า


ตอนที่สวาปามอาหารมื้อใหญ่อยู่ในเหลาสุรากลางเมืองที่จอแจแห่งหนึ่ง คนของเมืองหลวงที่มากินอาหารต่างก็พูดคุยกันถึงงานโต้วาทีพุทธเต๋าที่ดำเนินมาถึงช่วงท้าย แต่กลับยังไม่สิ้นสุดลงอย่างแท้จริงด้วยสีหน้าชื่นมื่นเบิกบาน ไม่ว่าจะพูดถึงการไหว้พระหรือแสวงหาเต๋า ในถ้อยคำของพวกเขาก็ล้วนปกปิดความภาคภูมิใจในฐานะประชาชนแคว้นชิงหลวนไว้ไม่มิด อันที่จริงนี่ก็คือหนึ่งในการแสดงออกให้เห็นถึงกองกำลังและโชควาสนาแห่งแคว้น


เฉินผิงอันเคยเห็นมาจากสถานที่บางแห่ง ยกตัวอย่างเช่นเคยเห็นมาจากบนร่างของทหารลาดตระเวนริมชายแดนต้าหลีท่ามกลางพายุหิมะ เคยเห็นมาจากร่างของชาวบ้านเมืองหลวงต้าสุย เคยเห็นมาจากบนร่างของเด็กสาวที่อยู่บนรถม้าของนครมังกรเฒ่า แล้วก็เคยเห็นมาจากที่ภูเขาห้อยหัว


โต๊ะใกล้เคียงต่างก็กำลังพูดถึงเรื่องมหัศจรรย์เรื่องหนึ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นและแพร่หลายอยู่ในเมืองหลวง


เฉินผิงอันเงี่ยหูฟัง เผยเฉียนเห็นว่าเฉินผิงอันตั้งใจฟังมากจึงวางไก่ย่างรสชาติอร่อยล้ำซึ่งเหลืออยู่ครึ่งหนึ่งลงเงียบๆ แล้วเงี่ยหูตั้งใจฟังเช่นกัน


จูเหลี่ยนแอบยื่นตะเกียบออกมา หมายจะคีบน่องไก่ชิ้นหนึ่งใส่ในถ้วย แต่กลับถูกเผยเฉียนที่ตาไวใช้ตะเกียบขัดขวาง หนึ่งคนแก่หนึ่งเด็กถลึงตาใส่กัน ออกตะเกียบรวดเร็วราวกับบิน รอจนเฉินผิงอันเริ่มคีบอาหารอีกครั้ง คนทั้งสองก็เริ่มตีเครื่องทองสัมฤทธิ์ส่งสัญญาณหยุดทัพ พอเฉินผิงอันก้มหน้าพุ้ยข้าว เผยเฉียนและจูเหลี่ยนก็เริ่มปรึกษาหารือกัน


เฉินผิงอันคร้านจะสนใจสมบัติมีชีวิต (เปรียบเปรยถึงคนที่ชอบทำโก๊ะปล่อยไก่ น่าตลกขบขัน) คู่นี้ แค่สงสัยใคร่รู้ในปริศนาธรรมที่มองดูเหมือนจะเป็นความบังเอิญครั้งนั้น


เดิมทีเมื่อวานเมืองหลวงมีฝนตกครั้งใหญ่ บัณฑิตคนหนึ่งที่เดินทางเข้าเมืองหลวงไปหลบฝนอยู่ใต้ชายคา และมีภิกษุคนหนึ่งถือร่มอยู่กลางสายฝน


ดังนั้นจึงมีบทสนทนาที่มหัศจรรย์จนมิอาจบรรยายเป็นคำพูดครั้งนั้นเกิดขึ้น เนื้อหามีไม่มาก แต่ความหมายลึกซึ้ง ลูกค้าโต๊ะที่นั่งกินอาหารอยู่ใกล้กับเฉินผิงอันขบคิดใคร่ครวญถึงความลี้ลับได้นับไม่ถ้วน


ตอนนั้นบัณฑิตถามภิกษุว่าพาเขาเดินไปด้วยกันสักระยะทางหนึ่งได้ไหม จะได้สะดวกให้หลบฝน ภิกษุบอกว่าเขาอยู่ท่ามกลางสายฝน บัณฑิตอยู่ใต้ชายคาที่ไม่มีฝน ไม่จำเป็นต้องข้ามมา บัณฑิตจึงเดินออกมาจากใต้ชายคา มายืนอยู่ท่ามกลางน้ำฝน ภิกษุจึงตวาดเสียงดังว่าไปหาร่มเอาเอง สุดท้ายบัณฑิตจึงกลับเข้าไปใต้ชายคาอีกครั้งด้วยความอกสั่นขวัญผวา


ลูกค้าที่มาดื่มเหล้ากินอาหารหลายคนต่างก็ทอดถอนใจในพระธรรมที่สูงส่งลึกล้ำของภิกษุท่านนี้ บอกว่านี่ต่างหากถึงจะเป็นความเมตตาที่ยิ่งใหญ่ คือพระธรรมที่แท้จริง เพราะต่อให้บัณฑิตก็ตากฝนด้วย แต่การที่ภิกษุท่านนั้นไม่เปียกฝนก็เพราะในมือเขามีร่ม และร่มคันนั้นก็มีความหมายถึงพระธรรมที่ปลดปล่อยปวงประชาจากความทุกข์ยาก สิ่งที่บัณฑิตต้องการอย่างแท้จริงไม่ใช่ให้ภิกษุพาเขาไปส่ง แต่เป็นเพราะในใจของเขาขาดพระธรรมที่จะนำพาตัวเองให้ข้ามผ่านความทุกข์ไปได้ด้วยตัวเอง ดังนั้นสุดท้ายภิกษุถึงได้ตวาดเตือน


คีบน่องไก่มาจากใต้เปลือกตาของเผยเฉียนเป็นเรื่องยากจริงๆ จูเหลี่ยนจึงหันไปเทน้ำแกงไก่ให้ตัวเองชามหนึ่ง ดื่มไปหนึ่งคำก็เบ้ปาก “รสชาติงั้นๆ”


เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ลึกลงไปในกระดูกเจ้ายังคงเป็นบัณฑิต แน่นอนว่าย่อมรู้สึกว่ารสชาติธรรมดา”


จูเหลี่ยนพยักหน้ารับ “ก็นั่นน่ะสิ เหนื่อยกายเหนื่อยใจยังไม่ได้ดี หากเปลี่ยนมาเป็นนายน้อยหรือพี่น้องสกุลหลิ่วก็คงถือร่มเดินออกไปบังลมบังฝนให้บัณฑิตคนนั้น พาเขากลับบ้านแต่โดยดี ไม่แน่ว่าระหว่างทางอาจเหยียบแอ่งน้ำ หรือไม่บนไหล่ของคนผู้นั้นก็อาจเปียกไปด้วยน้ำฝน แต่คนผู้นั้นก็ยังไม่เห็นในความดีของพวกท่าน หากเปลี่ยนมาเป็นพวกจมูกโคหน้าเหม็น คาดว่าคงไม่มีเรื่องพวกนี้แล้ว คงไม่แม้แต่จะชายตามองใต้หลังคา เลือกจะเดินผ่านไปโดยตรงเลยด้วยซ้ำ”


เฉินผิงอันคิดแล้วก็ถามด้วยรอยยิ้ม “หากตวาดไปครั้งหนึ่งแล้วภิกษุค่อยให้บัณฑิตคนนั้นยืมร่ม เดินทางท่ามกลางสายลมสายฝนไปด้วยกัน น้ำแกงไก่ชามนี้จะมีรสชาติเป็นอย่างไร?”


จูเหลี่ยนแกว่งน้ำแกงไก่ที่อยู่ในถ้วย ยิ้มตอบว่า “อาจจะดีกว่าเดิมเยอะมาก”


ในที่สุดสือโหรวก็ฟังเข้าใจเสียที


เผยเฉียนฟังอย่างมึนงง แล้วนับประสาอะไรกับที่นางยังต้องง่วนอยู่กับการแทะน่องไก่ด้วย


เฉินผิงอันหันไปยิ้มพูดกับเผยเฉียน “อย่าเอาแต่กินน่องไก่ กินข้าวให้มากๆ ด้วย”


เผยเฉียนพยักหน้ารับอย่างแรง เอนตัวไปด้านหลังเล็กน้อย ดันพุงที่นูนป่องเพราะอิ่มจนพุงกางขึ้นมา พูดอย่างลำพองใจว่า “อาจารย์ ข้ากินไปไม่น้อยเลยล่ะ”


งานโต้วาทีพุทธเต๋าในเมืองหลวงแคว้นชิงหลวนครั้งนี้ อันที่จริงยังมีเรื่องประหลาดอีกมากมาย


มีภิกษุที่ฟันพระพุทธรูปจนเละเทะแล้วเอามาทำเป็นฟืนเผาไฟ และยังมีภิกษุที่ร้องโวยวายกลางตลาดว่าจะกินเนื้อจะดื่มเหล้า ตะโกนก้องว่าเหล้าและเนื้อไหลผ่านกระเพาะ พระพุทธเจ้ายังคงอยู่ในใจ (ความหมายคือหากในใจเรามีพุทธศาสนา จะดื่มเหล้าหรือกินเนื้อก็ไม่เป็นปัญหา) เรียกได้ว่าสั่นสะเทือนแก้วหูผู้คน อดทำให้คนขบคิดอย่างลึกซึ้งไม่ได้


ส่วนทางฝ่ายของนักพรตแคว้นชิงหลวนกลับมีคำพูดและการกระทำที่น่าตะลึงพรึงเพริดน้อยนัก พวกเขาเนิบนาบเกียจคร้าน อีกทั้งว่ากันว่าพวกเจินเหรินเทพเซียนจากอารามเต๋าที่มีชื่อเสียงแห่งต่างๆ เริ่มค่อยๆ ตกเป็นรองในการถกเถียงเรื่องหลักคำสอนของทั้งสองฝ่ายแล้ว


โดยเฉพาะอย่างยิ่งคดีภิกษุสมณศักดิ์สูงสังหารแมวที่วัดป๋ายสุ่ยทางทิศใต้ของเมืองหลวง แรกเริ่มดูเหมือนว่าเทพเซียนลัทธิเต๋าจะโจมตีที่ช่องโหว่ของลัทธิพุทธ แต่ดูเหมือนเหล่าภิกษุจะคาดการณ์ไว้ได้นานแล้ว จึงใช้คำกล่าวอันเคร่งขรึมตอกกลับเสียจนพวกนักพรตเต๋าพูดอะไรไม่ออก


เฉินผิงอันแค่ฟังเรื่องเล่าพวกนี้แล้วก็ปล่อยผ่านไป


เมื่อกินอาหารกลางวันเรียบร้อยก็พาพวกเผยเฉียนไปเดินเล่น


ซื้อโถกระเบื้องเก็บเม็ดหมากล้อมเคลือบสีเขียวฟ้ามาหนึ่งคู่ รูปร่างของภาชนะเหมือนโถธรรมดาทั่วไป ขนาดค่อนข้างใหญ่ แต่กลับวาดลวดลายอย่างวิจิตรบรรจง นับว่าไม่ง่ายเลย เจ้าของร้านบอกว่าวัตถุชิ้นนี้เคยเป็นเครื่องปั้นในจำนวนน้อยนิดที่เชื้อพระวงศ์ในวังหลวงแคว้นอวิ๋นเซียวใช้กัน อีกฝ่ายน่าจะไม่โกหก


เฉินผิงอันเคยเป็นช่างเผาเครื่องปั้นมาก่อน สายตาในส่วนนี้จึงยังพอมีอยู่บ้าง ประเด็นสำคัญคือโถเก็บเม็ดหมากยังมีฝาปิด ซึ่งไม่ได้ทำเพิ่มเติมขึ้นในภายหลัง ดังนั้นแม้จะแพงไปสักหน่อย โถหนึ่งคู่ ทางร้านขายราคาห้าสิบตำลึง แต่เฉินผิงอันกลับควักเงินจ่ายด้วยความเต็มใจ


จากนั้นก็ซื้อน้ำเต้าลูกจิ๋วให้เผยเฉียนหนึ่งใบ น้ำเต้านี้มีคำเรียกภาษาชาวบ้านว่าทองในหญ้า ขนาดเล็กมากแต่คุณภาพกลับดีเยี่ยม ตอนนั้นที่นักพรตหญิงหลิ่วป๋อฉียืนอยู่บนกำแพงของสวนสิงโตก็เคยเอาน้ำเต้าจิ๋วลักษณะใกล้เคียงกันนี้มาเก็บร่างจริงของปีศาจทากตัวนั้นไว้ภายใน


แน่นอนว่าน้ำเต้าจิ๋วหนังสีเหลืองใบนี้เป็นเพียงแค่วัตถุธรรมดาทั่วไปที่มีไว้ให้คนนำมาถือเล่นเท่านั้น


เฉินผิงอันชอบใจทันทีที่ได้เห็น แล้วก็เห็นว่าเผยเฉียนเองก็มองมันตาไม่กะพริบ ดังนั้นจึงซื้อเอาไว้


เพราะในใจของเผยเฉียนคิดว่า เมื่อท่องอยู่ในยุทธภพก็ต้องมีวัตถุเอาไว้บรรจุเหล้าดื่มอย่างเฉินผิงอันผู้เป็นอาจารย์บ้าง


น้ำเต้าสีเหลืองใบจิ๋วที่แค่มองก็รู้ว่าแพงจะตายชักใบนี้ เผยเฉียนรู้สึกว่าเหมาะกับอายุของนางพอดี แน่นอนว่านางไม่กล้าเปิดปากร้องขอ แต่พอเห็นว่าเฉินผิงอันซื้อให้ด้วยตัวเอง นางก็ยิ้มกว้างจนหุบปากไม่ลง นำมาถือประคองไว้ในมืออย่างระมัดระวัง ปากก็โหวกเหวกเสียงดังว่ามีเหล้าให้ดื่มแล้ว


ผลกลับถูกมะเหงกเขกหัวจนนางทรุดลงไปนั่งยองอยู่กับพื้น แม้ว่าจะเจ็บหัว แต่เผยเฉียนกลับอารมณ์ดีอย่างมาก


……


วัดป๋ายสุ่ย ภิกษุชุดขาวผู้นั้นนั่งอยู่บนปากบ่อน้ำที่ถูกปิดผนึกมานานหลายปี พึมพำอยู่กับตัวเอง “แพ้แล้ว แพ้แล้ว ไม่ใช่พระธรรมที่แพ้ แต่เป็นพวกเราที่แพ้”


น้ำตาอาบนองใบหน้าของภิกษุหนุ่ม เขาทอดสายตามองไปไกล “หากคนบนโลกเรียนรู้จากข้าก็เหมือนเข้าไปเยือนถ้ำมาร ข้าผิดแล้ว ข้าผิดไปแล้ว”


……


อารามป๋ายอวิ๋นของเมืองหลวง สตรีแต่งงานแล้วคนหนึ่งพาลูกที่ทำว่าวหายเพราะติดต้นไม้ของอารามเล็กมาเยือนอีกครั้ง เวลานี้กำลังเปิดปากด่าดังลั่นไม่หยุด เจ้าอารามวัยกลางคนไปหลบอยู่ไกลๆ นักพรตน้อยร้องไห้มาหาอาจารย์ผู้เป็นเจ้าอาราม พูดอย่างเสียใจว่า “อาจารย์ ไม่อย่างนั้นพวกเราก็ตัดต้นไม้พวกนั้นทิ้งไปเถอะ ต้องถูกชาวบ้านละแวกใกล้เคียงด่า พวกคนที่มีจิตศรัทธาได้ยินคำด่าก็พากันหนีหาย หลังจากนี้พวกเราคงไม่มีควันธูปแล้วจริงๆ จะต้องหิวตายแน่ วันหน้าอาจารย์ก็ซื้อตำราพวกนั้นไม่ได้อีก”


เจ้าอารามวัยกลางคนไม่มีทางตัดต้นไม้โบราณพวกนั้นทิ้งอยู่แล้ว แต่เห็นว่าลูกศิษย์คนเล็กร้องไห้อย่างเสียใจก็ได้แต่พูดดีๆ ปลอบใจ จูงมือนักพรตน้อยไปที่ห้องหนังสือ นักพรตน้อยสูดน้ำมูก ถึงอย่างไรก็เป็นนักพรตน้อยของอารามป๋ายอวิ๋นที่ผ่านลมผ่านฝนมานานแล้ว หลังจากความเสียใจผ่านพ้นไปก็กลับคืนมามีนิสัยไร้เดียงสาของเด็กน้อยอีกครั้ง เขายังถือว่าดีแล้ว ศิษย์พี่ยังถึงขั้นถูกสตรีดุร้ายบางคนที่บ่นว่าเสียงระฆังที่ตียามเช้าและเสียงกลองที่ตียามเย็นหนวกหูข่วนหน้าเชียวนะ ถึงอย่างนั้นทุกครั้งที่พวกศิษย์พี่ในอารามออกไปข้างนอกก็แทบไม่ต่างจากหนูที่วิ่งผ่านถนน แค่ทำตัวให้ชินก็จะดีไปเอง อาจารย์เจ้าอารามบอกว่านี่ก็คือการฝึกตน ในช่วงฤดูร้อนที่อากาศร้อนจัด ทุกคนต่างก็ร้อนจนนอนไม่หลับ อาจารย์เองก็นอนไม่หลับเหมือนกัน ต้องเดินออกมานอกห้อง หยิบพัดโบกรับลมอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่พร้อมกับพวกเขา เขาจึงถามอาจารย์ว่าพวกเราเป็นผู้ฝึกตน ทำตามบทเรียนและพิธีกรรมมากมาย เมื่อจิตใจสงบก็น่าจะเย็นสบายถึงจะถูก เหตุใดถึงยังร้อนอยู่อีก


อาจารย์เองก็บอกไม่ถูกว่าทำไม ได้แต่ยิ้มให้เขาเท่านั้น


นักพรตน้อยโมโหจนแย่งพัดมาจากมือของอาจารย์ ยังดีที่อาจารย์เจ้าอารามไม่เคยโกรธเขา


เวลานี้หลังจากจัดการกับลูกศิษย์คนเล็กที่เป็นดั่งท้องฟ้าใสหลังฝนตกเรียบร้อยแล้ว นักพรตวัยกลางคนก็ดึงตำราความรู้ชั้นประถมของลัทธิขงจื๊อเล่มหนึ่งออกมาให้เด็กชายอ่าน


ส่วนเจ้าอารามวัยกลางคนก็อ่านตำราของสำนักนิติธรรมเล่มที่อยู่บนโต๊ะต่อไป


ก่อนหน้านี้เขาอ่านเจอประโยคที่ว่า ‘ผู้ที่ปกครองบ้านเมืองก็เหมือนคนสระผม แม้ว่าผมจะร่วงก็ยังต้องสระ’


เขาจึงเริ่มจรดพู่กันเขียนคำอธิบาย หรือจะพูดให้ถูกต้องก็คือเขียนสรุปที่เกิดจากความเข้าใจของตัวเอง เพราะก่อนหน้านี้เขียนไว้เต็มหน้าหนังสือจนไม่มีแม้แต่พื้นให้ตั้งเข็มสักเล่มแล้ว จึงได้แต่เอากระดาษที่ราคาถูกที่สุดออกมาหนึ่งแผ่น พอเขียนเสร็จแล้วก็จะได้สอดแทรกไว้ตรงกลาง


นักพรตน้อยไม่ค่อยชอบอ่านหนังสือ เขาชอบเวลาที่อาจารย์เจ้าอารามเล่าเรื่องราวในตำราให้เขาฟังมากกว่า จึงวางตำราลง เดินไปหยุดอยู่ข้างกายอาจารย์ เห็นว่าอาจารย์จรดพู่กันรวดเร็วราวกับบิน เขียนเนื้อหาบางอย่างที่ต่อให้เขาอ่านออกก็ยังไม่เข้าใจ จึงเขย่งปลายเท้าเหลือบดูตำราเล่มที่เปิดกางไว้ พอหันมามองอาจารย์ นักพรตน้อยก็ถามด้วยความใคร่รู้ว่า “อาจารย์ ท่านเขียนอะไรน่ะ?”


เจ้าอารามวัยกลางคนวางพู่กันในมือลงบนแท่นวางพู่กันไม้ที่เขาแกะสลักด้วยตัวเอง ยิ้มกล่าวว่า “อ่านมาเจอประโยคหนึ่งของสำนักนิติธรรมซ้ำอีกครั้ง ในใจบังเกิดความรู้สึกจึงเขียนอะไรบางอย่างเพื่อให้สะดวกต่อการทบทวนตัวเองในการอ่านครั้งต่อไปเอาไว้ จะได้รู้ถึงความคิดของตัวเองเมื่อวานนี้ แล้วเอามาพิสูจน์ความคิดของวันพรุ่งนี้ ขัดเกลาใคร่ครวญซ้ำแล้วซ้ำเล่า ท่ามกลางตำราอริยะปราชญ์ของเมธีร้อยสำนัก ความรู้ถึงจะสามารถกลายมาเป็นความรู้ของพวกเราเองได้”


นักพรตน้อยร้องอ้อหนึ่งที แต่อารมณ์ก็ยังไม่ใคร่จะดีสักเท่าไหร่ ถามว่า “อาจารย์ ในเมื่อพวกเราตัดใจตัดต้นไม้ทิ้งไม่ลง แถมยังถูกพวกชาวบ้านที่อยู่ใกล้เคียงรังเกียจ คนนี้รังเกียจคนนั้นรำคาญ ราวกับว่าไม่ว่าพวกเราจะทำอะไรก็ผิดไปหมด สภาพเช่นนี้เมื่อไหร่ถึงจะจบสิ้น? ข้ากับพวกศิษย์พี่น่าสงสารมากเลยนะ”


สีหน้าของเจ้าอารามวัยกลางคนเมตตาปราณี คลี่ยิ้มบางๆ กล่าวขออภัย “อย่าไปโทษพวกชาวบ้านที่อยู่ใกล้เคียง หากจะโทษก็โทษอาจารย์เถอะ เพราะว่าอาจารย์…ยังไม่รู้”


นักพรตน้อยเกาหัว นักพรตของอารามป๋ายอวิ๋นจะสวมหมวกผ้าทรงเหลี่ยม ไม่สวมกวานเต๋าสามชนิดอย่างทรงดอกพุดตาน ทรงหางปลาและทรงดอกบัว นักพรตน้อยกะพริบตาปริบๆ กล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นเมื่อไหร่อาจารย์ถึงจะรู้คำตอบของการแก้ปัญหาล่ะขอรับ”


แม้คำว่า ‘รู้’ (คำว่า 知道 ภาษาจีนแปลว่ารู้/เข้าใจ แต่หากแปลตรงตามตัวอักษรจะหมายถึงรู้มรรคา/รู้วิถีทาง บรรลุเต๋า/บรรลุมรรคา คำกล่าวว่า 知道ของเจ้าอารามจึงน่าจะหมายถึงความหมายที่สอง) ที่อาจารย์และศิษย์สองคนพูดถึงจะห่างกันหนึ่งแสนแปดพันลี้ แต่เจ้าอารามวัยกลางคนก็ยังถอนหายใจ เอ่ยอธิบายอย่างอดทน “ก็ยังไม่รู้อยู่ดี”


นักพรตน้อยพลันคลี่ยิ้ม ตบหลังมือของอาจารย์ “อาจารย์ ไม่ต้องรีบร้อน พวกเราไม่รีบ ไม่อย่างนั้นให้ข้าบีบนวดแขนให้ท่านดีไหม?”


เจ้าอารามวัยกลางคนเขียนคำอธิบายประโยคนั้นเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ครุ่นคิด ก่อนจะหยิบคัมภีร์ลัทธิพุทธเล่มหนึ่งบนโต๊ะขึ้นมา ด้านบนบันทึกคดีทางพุทธศาสนาไว้เกือบร้อยบท เพียงแต่ว่าเขายังไม่รีบเปิดออก เขาพลันพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “พระพุทธเจ้าน่าจะกลัดกลุ้มยิ่งกว่าพวกเรา พระพุทธเจ้ายังไม่กลุ้ม พวกเราจะกลุ้มไปไย”


นักพรตน้อยพลันพูดขึ้นเสียงเบา “ใช่แล้ว อาจารย์ ศิษย์พี่บอกว่าข้าวสารเหลือติดก้นถังแล้ว”


เจ้าอารามวัยกลางคนพยักหน้ารับ เอ่ยเนิบช้า “รู้แล้ว”


นักพรตน้อยกลอกตามองบน


อาจารย์เป็นอย่างนี้ทุกทีเลย สุดท้ายแล้วอารามป๋ายอวิ๋นของพวกเขาก็ยังต้องรื้อผนังตะวันออกมาซ่อมผนังตะวันตก (เปรียบเปรยว่ารับมือกับภาวะขับคันแค่ให้ผ่านๆ พ้นไป ไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาจากต้นตออย่างแท้จริง) อยู่ดีไม่ใช่หรือ


เพียงแต่จู่ๆ นักพรตน้อยก็เห็นเรื่องประหลาดเรื่องหนึ่ง ดูเหมือนว่าจะมีลมเย็นสีทองระลอกหนึ่งพัดจากนอกหน้าต่างเข้ามาเปิดหน้าหนังสือบนโต๊ะของอาจารย์เจ้าอาราม จากนั้นตำราของทั้งห้องก็คล้ายจะถูกพลิกเปิดครบหนึ่งรอบ


นักพรตน้อยกะพริบตาแรงๆ จึงพบว่าตัวเองตาลายไปเอง


เห็นเพียงว่าอาจารย์กำลังหลับตาคล้ายงีบหลับ คงเป็นเพราะอาจารย์อ่านหนังสือจึงเหนื่อยเกินไปกระมัง นักพรตน้อยจึงเดินย่องเบาๆ ออกไปจากห้องแล้วปิดประตูลงอย่างไร้เสียง


……


เฉินผิงอันเงยหน้ามองไปยังมุมหนึ่ง


เผยเฉียนถาม “มีอะไรหรือ?”


เฉินผิงอันยิ้มตอบ “ไม่มีอะไร”

 

 

 


บทที่ 397.1 ตะกร้าไม้ไผ่ตักน้ำช้อนดวง...

 

ทุกคนต่างก็สังเกตเห็นความผิดปกติของเฉินผิงอัน จูเหลี่ยนกับสือโหรวหันมามองหน้ากัน ก่อนที่จูเหลี่ยนจะหัวเราะเฮอๆ พูดว่า “เจ้าลองพูดก่อนสิ”


สือโหรวข่มกลั้นความอึดอัดในใจ สายตาของตาเฒ่าบ้ากามผู้นี้ ต่อให้ผ่านไปอีกร้อยปีก็คงยังทำให้คนสะอิดสะเอียนได้แบบนี้กระมัง นางพูดเบาๆ ว่า “ข้าคือวัตถุหยิน เกิดมาก็ถูกสถานที่สำคัญอย่างเมืองหลวงข่มกำราบ จุดที่สายตาของคุณชายมองไปปรากฎสิ่งที่ทำให้จิตใจของข้ายิ่งไม่สงบสุข เจ้าล่ะ?”


จูเหลี่ยนพยักหน้ารับ “เมื่อครู่นี้จิตของนายน้อยเกิดการขานรับจึงหันหน้ามองไป ท่าทางที่แม่นางสือโหรวทอดสายตามองไกลตามไป สายตาเลื่อนลอยเช่นนั้นน่าประทับใจอย่างยิ่ง”


สือโหรวกล่าวอย่างขุ่นเคือง “ขนาดเผยเฉียนยังรู้ว่าควรปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความจริงใจ ตาแก่หน้าไม่อายอย่างเจ้าไม่เข้าใจบ้างหรือ?”


เผยเฉียนน้อยใจนิดหน่อย “พี่หญิงสือโหรว อะไรที่เรียกว่า ‘ขนาด’ เขียนตัวอักษรหรืออ่านหนังสือ ข้าก็ล้วนตั้งใจอย่างมากเลยนะ”


สือโหรวได้แต่หันมามองนางด้วยสายตาขออภัย


เผยเฉียนโบกมือเป็นวงกว้าง แล้วก็เริ่มยกหลักการยิ่งใหญ่ที่อ่านเจอในตำรามาประกอบกันส่งเดชอีกครั้ง “มนุษย์มิใช่ผู้วิเศษย่อมต้องเคยผิดพลาด ใต้หล้านี้ไม่มีใครที่ให้อภัยไม่ได้…”


เผยเฉียนสังหรณ์ได้ว่าท่าไม่ดี แล้วนางก็ต้องเกร็งเท้าเขย่งขึ้นเพราะถูกเฉินผิงอันดึงหูให้เดินไปข้างหน้าจริงดังคาด


เฉินผิงอันเอ่ยสั่งสอน “หลักการอริยะปราชญ์ที่ได้มาไม่ง่ายในตำราพวกนั้น ตอนนี้เจ้ายังรู้และเข้าใจได้ไม่ถึงครึ่งหนึ่งเลยด้วยซ้ำ กล้าเอามาโอ้อวดส่งเดชแล้วอย่างนั้นรึ?”


เผยเฉียนรีบยอมรับผิดทันใด


ใบหูปวดแสบปวดร้อนไปหมดแล้ว


หลังจากผ่านคลื่นลมมรสุมด้วยกันมา ตอนนี้เผยเฉียนก็พอจะรู้คร่าวๆ แล้วว่าแบบไหนถึงจะเรียกว่าอาจารย์โกรธมากและโกรธน้อย เขกมะเหงก ต่อให้แรงไปสักหน่อย แต่นั่นก็ยังดี เพราะอันที่จริงแล้วถือว่าอาจารย์ไม่โกรธเท่าไหร่นัก หากดึงหูก็หมายความว่าอาจารย์โกรธจริงๆ หากดึงกระชากแรงๆ นั่นก็ยิ่งร้าย แปลว่าโกรธไม่น้อย แต่ไม่ว่าจะได้กินมะเหงกหรือถูกดึงหูก็ล้วนเทียบกับตอนที่เฉินผิงอันโกรธแล้วเงียบ ไม่ทำอะไรสักอย่าง ไม่ตีไม่ด่าไม่ได้ เผยเฉียนกลัวเฉินผิงอันที่เป็นแบบนั้นมากที่สุด


เฉินผิงอันเลือกโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งที่อยู่กลางตลาดจอแจ ตั้งอยู่ในตรอกชางเล่อที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดในเมืองหลวง เป็นแถบที่มีร้านหนังสืออยู่มากมาย


เพียงแต่ว่าตอนนี้ห้องพักในโรงเตี๊ยมต่างๆ ของเมืองหลวงแคว้นชิงหลวนล้วนเป็นที่ต้องการ เหลืออยู่แค่ห้องสองแห่งที่อยู่แยกกัน ราคาก็ราวกับจะปลิดชีพคน หนุ่มลูกจ้างร้านที่อยู่ตรงโต๊ะคิดเงินมีสีหน้าประมาณว่าอยากพักก็พัก ไม่อยากพักก็ไสหัวไป แต่เฉินผิงอันก็ยังคงควักเงินจ่ายค่าเข้าพัก แน่นอนว่าต้องให้ลูกจ้างร้านดูเอกสารผ่านทางเสียก่อน เพราะจำเป็นต้องลงบันทึกเอาไว้ เตรียมไว้เวลาที่ทางการของเมืองหลวงมาตรวจสอบหลังจากนี้ เมื่อเฉินผิงอันหยิบเอกสารผ่านทางหลายฉบับที่ชุยตงซานเตรียมมาไว้ให้เรียบร้อยแล้วออกมา ลูกจ้างร้านแน่ใจว่าไม่มีปัญหา เขาก็รีบเปลี่ยนสีหน้าใหม่ คัดลอกข้อมูลเสร็จสิ้นก็ประคองส่งคืนให้ด้วยสองมืออย่างนอบน้อม ลูกจ้างร้านขมีขมันอย่างถึงที่สุด แถมยังเอ่ยขออภัยเฉินผิงอัน บอกว่าตอนนี้โรงเตี๊ยมหาห้องว่างมาเพิ่มไม่ได้อีกแล้ว แต่ขอแค่มีลูกค้าย้ายออก เขาจะต้องรีบแจ้งคุณชายเฉินให้รู้ทันที


เฉินผิงอันยิ้มพูดว่าตกลง ไม่นานลูกจ้างร้านก็เรียกเด็กสาวอายุน้อยคนหนึ่งออกมา ให้นางพาพวกเฉินผิงอันไปยังที่พัก


ส่วนลูกจ้างร้านนั้นรีบไปหาเถ้าแก่ทันที บอกว่ามีกลุ่มคนจากเมืองหลวงของราชวงศ์ต้าหลีเดินทางลงใต้มาท่องเที่ยวมาเข้าพักที่โรงเตี๊ยม


เถ้าแก่คือบุรุษอ้วนฉุที่แทบจะมองไม่เห็นดวงตา สวมอาภรณ์ผ้าแพรที่พวกเศรษฐีชอบสวมใส่กันเป็นประจำ เขากำลังลิ้มรสชาอย่างสบายอารมณ์อยู่ในห้องปีกข้างที่เงียบสงบประดับตกแต่งอย่างหรูหราห้องหนึ่ง พอฟังคำของลูกจ้างร้านจบก็เห็นท่าทางเงี่ยหูรอฟังอย่างโง่งมของฝ่ายหลัง อยู่ดีๆ ก็ไม่รู้ว่าโทสะพุ่งมาจากไหน ยกเท้าถีบออกไปพร้อมสบถด่า “มัวยืนบื้ออยู่ทำไม หรือยังต้องให้ข้าผู้อาวุโสยกน้ำชามาให้เจ้าดื่มดับกระหาย? ในเมื่อเป็นนายท่านใหญ่ที่มาจากเมืองหลวงต้าหลีแล้วยังไม่รีบไปปรนนิบัติรับใช้อีก! มารดามันเถอะ กองทัพม้าเหล็กของต้าหลีพวกเขาใกล้จะมาถึงราชวงศ์จูอิ๋งแล้ว หากพวกเขาเป็นคุณชายสูงศักดิ์ในตระกูลขุนนางคนใดของต้าหลีขึ้นมาจริงๆ …ช่างเถอะ ข้าผู้อาวุโสไปเองดีกว่า ให้เจ้าไปทำแล้วข้าไม่วางใจ…”


ลูกจ้างหนุ่มที่มาขอความดีความชอบไม่สำเร็จ กลับยังถูกถีบไปหนึ่งทีก็อดนินทาในใจไม่ได้ ผลกลับกลายเป็นว่าดันโดนเถ้าแก่ร้านตบแรงๆ อีกที “ข้าผู้อาวุโสใช้ก้นคิดยังนึกสีหน้าที่ใช้สายตาสุนัขมองคนต่ำของเจ้าก่อนหน้านี้ออกเลย หากไม่เป็นเพราะเห็นแก่ที่เจ้าเรียกข้าว่าพี่เขย ป่านนี้คงให้เจ้าออกไปเก็บขี้หมาบนถนนแล้ว”


คนหนุ่มที่อาศัยความสัมพันธ์ส่วนตัวถึงได้มาเป็นลูกจ้างโรงเตี๊ยมกลับไปที่โต๊ะคิดเงินแล้วถึงได้กล้าสบถด่า พี่สาวที่งดงามประหนึ่งบุปผาประหนึ่งหยกของตนต้องมาเป็นอนุภรรยาของเจ้าหมูตัวนี้ มันช่าง…เป็นเรื่องที่โชคดีซะจริง กินอยู่ไร้ทุกข์ไร้กังวล สวมใส่เครื่องประดับเงินทอง ทุกครั้งที่กลับไปเยือนตรอกโทรมๆ อันเป็นบ้านเดิมก็ราวกับเหนียงเนียงในวัง มีหน้ามีตาอย่างยิ่ง ขนาดน้องชายอย่างเขาก็ยังได้อาศัยใบบุญไปด้วย


เมื่อเถ้าแก่ออกโรงด้วยตัวเองจึงสามารถหาห้องมาเพิ่มให้เฉินผิงอันได้อีกห้องหนึ่ง ดังนั้นเผยเฉียนกับสือโหรวจึงพักอยู่ห้องเดียวกัน เดิมทีฝ่ายหลังก็เหมาะสำหรับการฝึกตนยามค่ำคืน ไม่จำเป็นต้องนอนหลับอยู่แล้ว จึงให้เผยเฉียนยึดเตียงไปนอนเพียงลำพัง เฉินผิงอันกังวลว่าเผยเฉียนจะหวาดกลัวตัวตนวัตถุหยินและร่างของตู้เม่าจึงถามเผยเฉียนก่อน เผยเฉียนกลับไม่ถือสา แน่นอนว่าสือโหรวยิ่งไม่ถือสา ให้อยู่ร่วมห้องกับจูเหลี่ยนต่างหากที่จะทำให้นางขนลุกขนพองเหมือนอยู่ในบ่อมังกรถ้ำพยัคฆ์


เรื่องราวในโลกมนุษย์มากมายดุจขนวัว เฉินผิงอันเคยชินกับการทำอะไรอย่างใส่ใจมานานมากแล้ว หากเขาใส่ใจ คนข้างกายก็สามารถลดเรื่องหยุมหยิมไปได้ ทำให้หันมาทำเรื่องที่ถูกต้องจริงจังได้มากขึ้น และเขาก็ใช้วิธีการเช่นนี้นับตั้งแต่ที่ปกป้องพวกหลี่เป่าผิงไปขอศึกษาต่อที่ต้าสุย


ห้องทั้งสองห่างกันค่อนข้างไกล เผยเฉียนจึงมาคัดตัวอักษรอยู่กับเฉินผิงอันก่อน


เฉินผิงอันฝึกท่าฟ้าดิน จูเหลี่ยนไม่มีอะไรทำจึงตั้งท่าวานรยืนอยู่ในมุมห้อง


อันที่จริงไม่ว่าจะเป็นจูเหลี่ยนที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเดินทางไกลก็ดี หรือจะเป็นเฉินผิงอันที่ยังไม่เลื่อนสู่ขอบเขตหกก็ช่าง พวกเขาต่างก็รู้กันมาตั้งนานแล้วว่า การฝึกวรยุทธ์นั้นอยู่ที่สิ่งละอันพันละน้อยในชีวิตประจำวัน ตั้งกระบวนท่าหมัดเวลาเดิน ขึ้นเขาลงห้วย ต่างคนต่างมีวิธีการที่แตกต่างกันออกไป นั่งหายใจ หรือแม้แต่ยามนอนหลับ ทั้งจูเหลี่ยนและเฉินผิงอันต่างก็มีวิธีในการบำรุงปณิธานหมัดให้อบอุ่นของใครของมัน ส่วนเผยเฉียน ถึงอย่างไรอายุของนางก็ยังน้อย ยังเดินมาไม่ถึงขอบเขตนี้ แต่เฉินผิงอันและจูเหลี่ยนก็จำต้องยอมรับว่า บางคนบนโลกมีพรสวรรค์ในการฝึกวรยุทธ์ที่โดดเด่นจริงๆ แม้แต่บนเส้นทางของการฝึกยุทธ์ที่มีชื่อเสียงในเรื่องการเหยียบยืนบนพื้นอย่างมั่นคง ไม่มีทางลัดให้เดิน เผยเฉียนก็ยังเหมือนจะใช้วิธีโกงได้ ยกตัวอย่างเช่นเฉินผิงอันสอนการโคจรปราณกระบี่สิบแปดหยุดให้กับเผยเฉียน ความเร็วในการพัฒนาของนาง ตอนที่อยู่ร้านยาฮุยเฉินของนครมังกรเฒ่า เฉินผิงอันก็รู้สึกละอายใจที่สู้ไม่ได้แล้ว


ในขณะที่เฉินผิงอันเก็บท่าฟ้าดิน จูเหลี่ยนก็ทำท่าคันไม้คันมือ เฉินผิงอันกระจ่างแจ้งในทันทีจึงบอกให้เผยเฉียนที่คัดตัวอักษรเสร็จเรียบร้อยแล้วใช้ไม้เท้าวาดวงกลมบนพื้น เขาจะประมือกับจูเหลี่ยนอยู่ในวงกลม หากใครออกนอกวงคนนั้นก็แพ้ ปีนั้นตอนที่อยู่บนถนนใหญ่แคว้นไฉ่อี เฉินผิงอันกับหม่าขู่เสวียน ‘ได้มาพบกันอีกครั้งหลังจากกันไปนาน’ ก็ใช้วิธีการแบบนี้มาตัดสินแพ้ชนะเช่นกัน หากไม่เป็นเพราะเฉินผิงอันรู้ว่าผู้ปกป้องมรรคาแห่งภูเขาเจินอู่ของหม่าขู่เสวียนจับตามองอยู่อย่างลับๆ เกรงว่าคนวัยเดียวกันสองคนที่มาจากตรอกหนีผิงและตรอกซิ่งฮวาก็คงต้องมีคนใดคนหนึ่งที่ตายไปแล้ว


สำหรับหม่าขู่เสวียนที่พ่อแม่ได้ครอบครองเตาเผามังกรเตาหนึ่งมาเนิ่นนานแล้ว เฉินผิงอันไม่มีทางเกรงใจ แค้นเก่าแค้นใหม่ ถึงอย่างไรก็ต้องมีวันที่สะสางความจริงให้แน่ชัดและมาคิดบัญชีย้อนหลังกันอีกที


หลังจากที่เผยเฉียนวาดวงกลมวงใหญ่เสร็จแล้วก็มีท่าทางกลัดกลุ้มเล็กน้อย วิชาตระกูลเซียนที่ชุยตงซานถ่ายทอดให้นางวิชานี้ ไม่ว่านางจะเรียนรู้อย่างไรก็ไม่เป็นผลเสียที


เฉินผิงอันกับจูเหลี่ยนยืนอยู่ในวงกลม พื้นที่แคบๆ เพียงเท่านี้แต่กลับเต็มไปด้วยเสียงออกหมัดดังทึบหนักอื้ออึง


จูเหลี่ยนย่อมต้องกดขอบเขตให้ต่ำลง ไม่ต่างจากตอนที่เจิ้งต้าเฟิงป้อนหมัดให้คนในภาพวาดทั้งสี่คนอย่างพวกเขา


หนึ่งก้านธูปต่อมา เฉินผิงอันก็ถูกจูเหลี่ยนต่อยหมัดหนึ่งจนผงะถอยไปด้านหลัง เท้าทั้งสองข้างยังปักตรึงอยู่ในวงกลม แล้วก็ถูกจูเหลี่ยนศอกเข้าที่หน้าอก ร่างถึงกับล้มตึงลงไป เฉินผิงอันใช้ฝ่ามือสองข้างยันพื้น ในขณะที่แผ่นหลังอยู่ห่างจากพื้นดินด้วยความสูงประมาณหนึ่งฉื่อ ร่างก็พลิกกลับ ชายแขนเสื้อกว้างใหญ่ส่ายสะบัดเหมือนลูกข่างหมุน เท้าทั้งสองข้างสัมผัสโดนเส้นขอบของวงกลมพอดี เขาเดินอ้อมไปทางด้านหนึ่งของจูเหลี่ยน ผลกลับถูกจูเหลี่ยนเตะเข้าที่หน้าอก ร่างกระเด็นไปกระแทกกำแพง


เฉินผิงอันใช้ฝ่ามือสองข้างยันกำแพงที่อยู่ด้านหลังไว้ก่อนเพื่อลดทอนพละกำลังทั้งหมด ไม่อย่างนั้นด้วยแรงเท้าข้างนั้นของจูเหลี่ยน ก็คงไม่ใช่แค่กระแทกกำแพงพังเท่านั้น สุดท้ายถึงพลิ้วกายลงบนพื้น ยิ้มกล่าวว่า “แพ้แล้ว”


จูเหลี่ยนยิ้มถาม “นายน้อยออกกระบวนท่าแปลกประหลาดมากมายขนาดนี้ แอบเรียนมาจากศึกสุดท้ายรอบหกสิบปีที่พื้นที่มงคลดอกบัวอย่างนั้นหรือ? ยกตัวอย่างเช่นเรียนรู้มาจากติงอิงที่เอากวานเต๋าชิ้นนั้นของข้าไปครอง?”


เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ติงอิงเรียนวรยุทธ์มาอย่างหลากหลาย ข้าเองก็เรียนรู้จากเขามาได้ไม่น้อย”


หลังจากคนทั้งสองนั่งลงเรียบร้อยแล้ว จูเหลี่ยนก็รินชาถ้วยหนึ่งให้เฉินผิงอัน พูดเนิบช้าว่า “ติงอิงคือคนที่มีพรสวรรค์ในการฝึกวรยุทธ์ดีที่สุดนับตั้งแต่ที่ข้าได้พบเจอมา อีกทั้งยังเป็นคนละเอียดรอบคอบ เขาได้แสดงออกถึงมาดของผู้นำที่แกร่งกร้าวมาตั้งนานแล้ว การเข่นฆ่าในแคว้นหนันเยวี่ยนครั้งนั้น ข้ารู้ว่าตัวเองทำไม่สำเร็จแล้ว สั่งสมปณิธานหมัดของทั้งชีวิตเอาไว้ แต่ให้ตายอย่างไรเสียงสายฟ้าฤดูใบไม้ผลิก็ไม่ดังขึ้นเสียที ตอนนั้นแม้ว่าข้าจะบาดเจ็บสาหัส ส่วนติงอิงเองก็อดทนข่มกลั้นมานานกว่าจะเผยไม้เด็ดในช่วงสุดท้าย แต่อันที่จริงหากข้าคิดจะสังหารเขาในตอนนั้นจริงๆ ก็ยังเป็นเรื่องที่ง่ายดายไม่ต่างจากบิดคอไก่คอกระต่าย แต่ข้าก็ยังเลือกจะละเว้นชีวิตเขา แถมยังมอบกวานเต๋าซึ่งเป็นมรดกตกทอดมาจากเจ๋อเซียนชิ้นนั้นให้กับเขาติงอิง คิดไม่ถึงว่าหกสิบปีให้หลัง คนหนุ่มผู้นี้ไม่เพียงแต่ไม่ทำให้ข้าผิดหวัง กลับกันความทะเยอทะยานของเขายังมากกว่าข้าเสียอีก”


เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “มิน่าเล่าติงอิงถึงไม่เคยพูดถึงศึกแห่งวิถีวรยุทธ์ที่ทำให้เขาร่ำรวยมีชื่อเสียงขึ้นมาในฉับพลันครั้งนั้น ทั้งยังเก็บงำไว้เป็นความลับอย่างเงียบเชียบ น่าจะเป็นเพราะรู้สึกอับอายเกินกว่าจะคุยโว แล้วก็ไม่ยินดีจะเปิดเผยข้อบกพร่องของตัวเองออกมาด้วย”


เผยเฉียนกล่าวอย่างขุ่นเคือง “เจ้าไม่รู้หรอกว่าตาแก่นั่นทำร้ายให้อาจารย์ของข้าต้องเหนื่อยยากแค่ไหน”


จูเหลี่ยนยิ้มตาหยี “หากรู้แต่แรกว่าจะเป็นเช่นนี้ ปีนั้นข้าก็ควรต่อยให้ติงอิงตายไปด้วยหมัดเดียวเลย ใช่ไหม?”


เผยเฉียนพลาดไปครั้งหนึ่งก็ฉลาดขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง นางมองเฉินผิงอันก่อน แล้วค่อยหันมามองจูเหลี่ยนที่มีสีหน้ากวนโอ้ยประมาณว่าขุดหลุมรอให้นางกระโดดลงไปไว้แล้ว และเขาจะเป็นคนกลบหลุมให้เอง เผยเฉียนส่ายหน้าทันที “ไม่ใช่ๆ”


เผยเฉียนเห็นว่าอาจารย์ไม่มีวี่แววว่าจะมอบมะเหงกให้เป็นรางวัลก็รู้ว่าตัวเองตอบถูกแล้ว


นางเอากระดาษ พู่กันและหมึกเก็บใส่ในหีบไม้ไผ่ของเฉินผิงอันอย่างระมัดระวังก่อน จากนั้นก็รินชาให้ตัวเองหนึ่งถ้วย แต่จู่ๆ ก็ผุดลุกขึ้นยืน มากระซิบกระซาบเสียงเบาอยู่ข้างหูเฉินผิงอัน “อาจารย์ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ช่วงนี้พอข้าเปิดอ่านหนังสือซ้ำอีกรอบ มองปราดๆ ก็เหมือนว่าตัวอักษรบนหนังสือจะสวยงามขึ้นกว่าเดิมเยอะมาก”


เฉินผิงอันไม่ได้เห็นเป็นจริงเป็นจัง แค่ถามยิ้มๆ ว่า “หมายความว่าไง?”


เพื่อป้องกันไม่ให้จูเหลี่ยนแอบฟัง เผยเฉียนจึงกดเสียงลงแผ่วต่ำต่อไป “เมื่อก่อนก้อนหมึกเล็กๆ พวกนั้นเป็นเหมือนข้าที่ตัวดำเมี่ยม แต่ตอนนี้มาลองดูแล้วกลับไม่เหมือนเก่า เหมือนใครกันนะ…”


เผยเฉียนเริ่มนับนิ้วตัวเอง “หวงถิงที่สอนวิชาดาบและเวทกระบี่ให้ข้า เหยาจิ้นจือที่ชอบมอมเมาผู้คนด้วยเสน่ห์ ฟ่านจวิ้นเม่าที่นิสัยไม่ค่อยดี จินซู่ที่อยู่ข้างกายน้ากุ้ย บอกไว้ก่อนว่าเป็นเหล่าเว่ยที่บอกว่าพี่หญิงจิ้นจือชอบมอมเมาผู้คนด้วยเสน่ห์ บอกว่านางเป็นโฉมสะคราญที่ทำให้บ้านเมืองล่มสลายได้ ข้าไม่ได้เป็นคนพูดเองหรอกนะ แม้แต่คำว่ามอมเมาผู้คนด้วยเสน่ห์หมายความว่าอย่างไร ข้าก็ยังไม่รู้เลย”


จูเหลี่ยนหัวเราะเสียงดังพูดขัดขาว่า “แต่เจ้าก็เห็นด้วยกระมัง…”


เผยเฉียนรีบวิ่งไป คิดจะปิดปากพล่อยๆ ของจูเหลี่ยนที่สมกับคำว่าปากสุนัขไม่งอกงาช้าง จูเหลี่ยนหรือจะปล่อยให้นางทำได้สมใจหวัง เขาเบี่ยงตัวหลบซ้ายหลบขวา ส่วนเผยเฉียนก็แยกเขี้ยวฟ้อนเล็บเข้าใส่

 

 

 


บทที่ 397.2 ตะกร้าไม้ไผ่ตักน้ำช้อนดวง...

 

เฉินผิงอันมองดูหนึ่งคนแก่หนึ่งเด็กตีกัน แล้วเอ่ยเตือนว่า “พวกเราซื้อของที่สนใจในเมืองหลวงเสร็จแล้วค่อยไปเที่ยวตามสถานที่ที่มีชื่อเสียงกัน อย่างมากสุดก็อยู่อีกสองวันแล้วค่อยไปที่ท่าเรือตระกูลเซียนทางทิศตะวันออกของแคว้นชิงหลวน เพื่อตรงไปที่สำนักศึกษาซานหยาต้าสุย”


จูเหลี่ยนหลบเลี่ยงเผยเฉียนพลางพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “นายน้อยไม่จำเป็นต้องห่วงบ่าวเฒ่า กลัวก็แต่ว่านังหนูนี่จะไร้ขื่อไร้แป ประหนึ่งม้าป่าที่หลุดออกจากบังเหียน ถึงเวลานั้นก็จะเหมือนรถเทียมวัวคันนั้นที่พุ่งพรวดเข้ารกเข้าพง…”


เผยเฉียนกล่าวอย่างขุ่นเคือง “จูเหลี่ยน ทำไมเจ้าชอบปากอีกาแบบนี้เสมอ ข้าจะไม่เกรงใจเจ้าแล้วจริงๆ นะ!”


จูเหลี่ยนกำลังจะพูดหยอกเด็กหญิงที่ผิวดำเป็นถ่านสักสองสามคำ นึกไม่ถึงว่าเฉินผิงอันจะเอ่ยว่า “ใช่ ไม่ควรปากอีกา”


จูเหลี่ยนรีบพยักหน้าตอบรับทันที “นายน้อยสั่งสอนได้ถูกต้อง”


เผยเฉียนนั่งลง เอามือหนึ่งกุมท้อง อีกมือหนึ่งชี้หน้าจูเหลี่ยน ในที่สุดก็คว้าโอกาสแก้แค้นได้ จึงพูดกลั้วหัวเราะเสียงดังว่า “ยังมีหน้ามาพูดว่าข้าขับเรือตามกระแสลม พ่อครัวเฒ่า เจ้ามั่วแล้วกระมัง”


จูเหลี่ยนพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “อย่างเจ้านั้นเรียกว่าหญ้าบนยอดกำแพง อย่างข้านี่เรียกว่าผู้รู้สถานการณ์คือผู้สง่างามและมีปัญญาเป็นเลิศ สง่างามมาจากคำว่าหล่อเหลาสง่างาม ปัญญามาจากคำว่าสติปัญญา”


เผยเฉียนกะพริบตาปริบๆ พูดด้วยน้ำเสียงใคร่รู้ “อาจารย์บอกว่าในพื้นที่มงคลดอกบัวของพวกเรา เจ้าเคยเป็นคุณชายที่หล่อเหลาหาผู้ใดมาเปรียบมิได้?”


ไม่รอให้จูเหลี่ยนพูดจ้อถึงวีรกรรมอันยิ่งใหญ่ในอดีต เผยเฉียนก็เอาสองมือกุมท้องหัวร่องอหงายจนหัวกระแทกกับโต๊ะ “เจ้าโม้เสียมากกว่ากระมัง ขำจะตายอยู่แล้ว โอ้ย ปวดท้อง…”


จูเหลี่ยนเห็นว่าเฉินผิงอันเองก็กลั้นยิ้มเหมือนกันก็ให้รู้สึกกลัดกลุ้มเล็กน้อย


……


ขณะที่งานโต้วาทีพุทธเต๋ากำลังจะปิดฉากลง ในคฤหาสน์หลบร้อนแห่งหนึ่งนอกชานเมืองหลวงแคว้นชิงหลวน ฮ่องเต้สกุลถังแอบเสด็จมาอย่างเงียบเชียบ เมื่อมีแขกผู้สูงศักดิ์มาเยือน แม้ว่าถังหลีจะเป็นกษัตริย์ในโลกมนุษย์ แต่ก็ยังไม่กล้าละเลยคนผู้นี้อยู่ดี


เพราะผู้ที่มาเยือนคือผู้เฒ่าที่มีชื่อเสียงและคุณธรรมสูงส่งคนหนึ่งของสกุลเจียงอวิ๋นหลิน เขาเป็นทั้งเทพเซียนผู้เฒ่าห้าขอบเขตบนที่ปานประหนึ่งเสาค้ำยันมหาสมุทร อีกทั้งยังเป็นอาจารย์ใหญ่ที่รับผิดชอบถ่ายทอดความรู้ให้กับลูกหลานสกุลเจียงอวิ๋นหลินทุกคนอีกด้วย เขามีนามว่าเจียงเม่า


นอกจากนี้ยังมีบุตรสาวสกุลเจียงสายตรงที่หลังจากแต่งงานไปอยู่ที่ตระกูลฝูนครมังกรเฒ่าก็ได้หวนกลับคืนมาเยี่ยมบ้านเดิม รวมไปถึงหมัวมัวผู้อบรมมารยาทคนหนึ่งที่ติดตามนางไปจากสกุลเจียงด้วย เล่าลือกันว่านางคือผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดที่มีพลังสังหารน่ากลัวท่านหนึ่ง


ส่วนข้างกายถังหลีก็มีผู้ติดตามสองคน คนหนึ่งคือผู้เฒ่าเชื้อพระวงศ์ที่สามารถทำให้เขาวางใจที่จะปล่อยอำนาจให้ได้ นามว่าถังจ้ง หากนับกันตามลำดับศักดิ์แล้ว อันที่จริงก็ถือว่าเป็นอาของฮ่องเต้ถังหลี เคยมีการเขียนจดหมายไปมาหาสู่กับหลิ่วจิ้งถิงรองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่วเป็นการส่วนตัวอยู่บ่อยครั้ง ส่วนใหญ่ล้วนเป็นจดหมายทะเลาะกันซะมากกว่า และอันที่จริงแล้วถังหลีก็เคยอ่านจดหมายเหล่านั้น


อีกคนหนึ่งก็คือผู้เฒ่าจมูกเหยี่ยว คืออันดับหนึ่งในบรรดาเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลทุกคนของแคว้นชิงหลวน นามว่าโจวหลิงจือ หลายคนล้วนลืมไปแล้วว่าเซียนซือผู้เฒ่าคนนี้มีชาติกำเนิดมาจากผู้ฝึกตนอิสระ แต่การที่เขาช่วยประคับประคองสนับสนุนฮ่องเต้สกุลถังมานานถึงสามรุ่น แม้ชื่อเสียงจะไม่ค่อยดี เพียงแต่ว่าถังหลีเติบโตขึ้นมาในครอบครัวเชื้อพระวงศ์ สายตาของเขามองเห็นเพียงการรวมบ้านเมืองให้เป็นปึกแผ่น เห็นเพียงโชคชะตาหมื่นปีของแคว้น ไหนเลยจะถือสาคำวิพากษ์วิจารณ์ที่ไม่เจ็บไม่คันพวกนี้


มาพบเทพเซียนผู้เฒ่าจากสกุลเจียงอวิ๋นหลินผู้นั้น ต่อให้กษัตริย์แห่งแคว้นชิงหลวนอย่างถังหลีจะไม่มีสีหน้าดีๆ ให้กับเซียนซือบนภูเขาในถิ่นของตัวเองมากแค่ไหน แต่ก็ยังคงรักษามารยาทที่ผู้น้อยพึงมีเอาไว้


ทั้งสองฝ่ายนั่งลงตรงข้ามกัน


ราวกับจงใจไม่แบ่งแยกเจ้าบ้านและแขก ยิ่งไม่มีการแบ่งแยกกษัตริย์กับขุนนางอะไร


ผู้เฒ่าไม่ได้วางท่าอย่างที่คิดเอาไว้ คำพูดคำจาก็สุภาพนุ่มนวล


ถังหลีบอกให้ขุนนางกรมพิธีการมอบเอกสารคดีปึกใหญ่และภาพวาดที่บันทึกวิธีคัดลอกลายของตระกูลเซียนจำนวนหนึ่งให้แก่เจียงเม่า ขุนนางผู้นี้คือขุนนางหนุ่มจากกรมพิธีการที่หน้าตาได้สัดส่วนงดงามและมีฝีปากคมกริบ ขณะที่เจียงเม่าพลิกเปิดเอกสารคดีและมองภาพวาด เลขาธิการของกรมพิธีการท่านนี้ก็รายงานเหตุการณ์คร่าวๆ ที่เกิดขึ้นในงานโต้วาทีพุทธเต๋าให้เทพเซียนผู้เฒ่าสกุลเจียงฟัง เพียงแต่ว่าเมื่อถึงจุดที่น่าตื่นตาตื่นใจ น่าตะลึงพรึงเพริด เขากลับเล่าอย่างละเอียด อีกทั้งยังพูดอย่างคล่องแคล่วว่องไว เผชิญหน้ากับผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนในตำนาน เขากลับไม่วางตัวต่ำต้อยและไม่เย่อหยิ่ง บางครั้งก็ตอบคำถามได้อย่างเหมาะสม เป็นหน้าเป็นตาให้กับฮ่องเต้อย่างยิ่ง


ดังนั้นถังหลีจึงถูกใจมาก เขาเบี่ยงตัวหันไปมองทางถังจ้งผู้เป็นอา


ฝ่ายหลังอธิบายเบาๆ ว่า “ซ่งซานซีแห่งกองงานระเบียบพิธีสังกัดกรมพิธีการ ลูกหลานสกุลซ่งเขตการปกครองชิงซง คือปั้งเหยี่ยน (คือบัณฑิตจิ้นชื่อที่สอบได้อันดับที่สอง หรือเป็นรองแค่บัณฑิตจอหงวนเท่านั้น) ปีที่สองของชิวขุย”


ถังหลีกล่าว “คราวหน้ามาสอบที่เมืองหลวง สามารถเลื่อนระดับได้”


ถังจ้งยิ้มพลางพยักหน้ารับ


ถังหลีพลันถามขึ้นว่า “เหตุใดวันนี้ผู้บัญชาการณ์เหวยถึงไม่อยู่ด้วย?”


ถังจ้งอธิบาย “ผู้บัญชาการณ์เหวยสนิทกับลูกหลานสกุลเจียงผู้หนึ่งที่ชื่อว่าเจียงอวิ้น เจียงอวิ้นมาพบกับพี่สาวของเขาที่นี่ จึงพาผู้บัญชาการณ์เหวยไปด้วย”


ผู้เฒ่าโจวหลิงจือเซียนซืออันดับหนึ่งในนามของแคว้นชิงหลวนนั่งฟังอยู่ด้านข้าง เมื่อได้ยินฮ่องเต้เอ่ยเรียกเหวยเลี่ยงว่า ‘ผู้บัญชาการณ์เหวย’ หนังตาก็สั่นกระตุกเบาๆ


อาณาบริเวณแถบตะวันออกเฉียงใต้ของแจกันสมบัติทวีป คนบนโลกรู้แค่ว่าภาคกลางของแคว้นชิงหลวนมีผู้บัญชาการณ์ใหญ่ตระกูลเหวยที่ได้รับสืบทอดบรรดาศักดิ์ต่อกันมาหลายยุคหลายสมัย อีกทั้งทุกรุ่นยังมีผู้สืบทอดเพียงคนเดียว ทว่าการสืบทอดควันธูปของพวกเขาแม้จะน่าหวาดหวั่นแต่ไร้อันตราย ทุกรุ่นมีแต่ความราบรื่นไร้อุปสรรค


นับตั้งแต่ที่ไท่จู่ (คำเรียกปฐมกษัตริย์) สกุลถังแคว้นชิงหลวนก่อตั้งประเทศ ฮ่องเต้ถูกผลัดเปลี่ยนไปตั้งมากมาย ทว่าแท้จริงแล้วผู้บัญชาการณ์เหวยกลับมีเพียงคนเดียวมาโดยตลอด


เหวยเลี่ยงที่เก็บงำตัวตนอย่างลึกล้ำ อีกทั้งยังมีความสัมพันธ์แนบแน่นกับสกุลถังผู้นี้ก็คือคนที่โจวหลิงจือกริ่งเกรงที่สุดในแคว้นชิงหลวน เพียงหนึ่งเดียวไม่มีหนึ่งใน


หลังจากอ่านและฟังจบ เจียงเม่าผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบก็ถามด้วยรอยยิ้มว่า “ได้ยินว่าหลิ่วชิงซานแห่งสวนสิงโตที่หลังจากถูกดึงเข้าไปในการทดสอบก็ได้แสดงออกอย่างโดดเด่น นอกจากบันทึกที่เป็นตัวอักษรแล้ว ยังมีภาพวาดให้ดูหรือไม่?”


ถังจ้งส่ายหน้า “เรียนท่านผู้อาวุโสเจียง มีคนเตือนพวกเราว่าทางที่ดีที่สุดอย่าบุกเข้าไปในสวนสิงโตโดยพลการ ต่อให้เป็นผู้ถวายงานโจวของพวกเราก็ได้แต่ยืนมองอยู่บนยอดเขาที่ห่างจากสวนสิงโตมาไกล แต่ฟังจากคำบอกเล่าของสายลับที่อยู่ด้านใน บวกกับการมองเหตุการณ์ผ่านฝ่ามือที่หยุดลงเมื่อถึงเวลาสมควรของผู้ถวายงานโจว หลิ่วชิงซานบุตรชายคนรองของหลิ่วจิ้งถิงก็ผ่านด่านได้ด้วยตัวเองจริงๆ หาได้อาศัยการช่วยเหลือจากภายนอกใดๆ ไม่”


เจียงเม่ายิ้มบางๆ กล่าวว่า “ก็แค่ชุยฉานราชครูต้าหลีไม่ใช่หรือ มีอะไรให้พวกเจ้าต้องหลบเลี่ยงกัน”


ถังจ้งยิ้มกล่าว “ก็คือราชครูชุยนั่นแหละ”


ในใจของฮ่องเต้ถังหลีกลับรู้สึกไม่ใคร่จะสบายใจนัก


เพื่อสถานการณ์ใหญ่ในทวีป แคว้นชิงหลวนถูกบีบให้จำต้องร่วมมือทำสิ่งเหล่านี้กับชุยฉานและต้าหลี เขาที่เป็นฮ่องเต้รู้ดีอยู่แก่ใจว่าเมื่อเผชิญหน้ากับซิ่วหู่ผู้นั้น ตนต้องตกเป็นรองมากมาย ตอนนี้เจียงเม่าเรียกชื่อของชุยฉานออกมาตรงๆ อย่างผ่อนคลายสบายอารมณ์เช่นนี้ไม่เท่ากับแสดงให้รู้ว่าเขาเจียงเม่าและสกุลเจียงอวิ๋นหลินที่อยู่เบื้องหลังไม่เห็นต้าหลีและชุยฉานอยู่ในสายตาหรอกหรือ ถ้าอย่างนั้นแม้ภายนอกจะแสดงว่าเกรงอกเกรงใจแคว้นชิงหลวนถึงเพียงนี้ แต่ลึกๆ ภายในกระดูกแล้ว สกุลเจียงจะดูแคลนสกุลถังของพวกเขาถึงระดับไหนกันแน่?


แม้ในใจถังหลีจะไม่สบอารมณ์ แต่กลับไม่แสดงออกมาทางสีหน้าแม้แต่น้อย


พูดประโยคที่ไม่น่าฟังสักหน่อย ต่อให้เจียงเม่าขากเสลดเขียวข้นใส่หน้าเขา เขาที่เป็นฮ่องเต้แคว้นชิงหลวนก็ยังทำได้แค่ยิ้มรับ ไม่แน่ว่ายังต้องเอ่ยประโยคว่าท่านเทพเซียนผู้เฒ่ากระหายน้ำหรือไม่อีกด้วย


เจียงเม่าไม่ได้ทำให้ถังหลีลำบากใจอีก เขาชักดึงม้วนภาพวาดออกมาสองสามม้วน บนม้วนภาพก็คือคนสองคนที่อยู่ในสองสถานที่ นั่นคือวัดป๋ายสุ่ยที่อยู่ทางทิศใต้ของเมืองหลวงซึ่งมีชื่อเสียงด้านน้ำพุใสกระจ่าง อีกสถานที่หนึ่งคืออารามป๋ายอวิ๋นที่ชื่อเสียงไม่โด่งดังในเมืองหลวง คนหนึ่งคือภิกษุชุดขาวอายุน้อย อีกคนหนึ่งคือเจ้าอารามวัยกลางคน เจียงเม่าผงกศีรษะพลางกล่าวว่า “หากดูจากสถานการณ์ในตอนนี้ ลัทธิพุทธชนะบนเวที ลัทธิเต๋าชนะหลังม่าน หลิ่วชิงซานแห่งสวนสิงโตที่ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อแคว้นชิงหลวนของพวกเจ้าแนะนำมาแสดงออกได้ไม่เลว ไม่แน่ว่าอาจจะยังมีโอกาส แต่หากยังไม่เอาสิ่งของที่ทำให้ดวงตาคนเป็นประกายออกมา อย่างมากสุดก็ได้แค่อันดับที่สอง จะเพียงพอหรือ? ไม่ว่าจะลัทธิเต๋าหรือลัทธิพุทธ ให้กลายมาเป็นศาสนาประจำแคว้นชิงหลวน จะดีหรือ?”


ท่าทางของเขาค่อนข้างบีบคั้น


ในฐานะตระกูลชั้นสูงที่เก่าแก่ที่สุดของแจกันสมบัติทวีป ในอดีตสกุลเจียงอวิ๋นหลินเคยเป็นถึงแซ่ใหญ่ตระกูลใหญ่อันดับหนึ่งของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง


สกุลเจียงเป็นผู้ควบคุมพิธีการก่อนที่ลัทธิขงจื๊อจะ ‘ก่อตั้งลัทธิ’ เสียอีก งานโต้วาทีสามลัทธิที่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของแจกันสมบัติทวีปครั้งนี้ สกุลเจียงอวิ๋นหลินจะเข้าข้างใครก็เห็นกันอย่างชัดเจนแล้ว


แต่หากแคว้นชิงหลวนเห็นแก่หน้าของเจียงเม่าและสกุลเจียง เลื่อนขั้นลัทธิขงจื๊อให้กลายเป็นศาสนาประจำแคว้นของสกุลถังทั้งที่เดิมทีลัทธิขงจื๊อไม่ได้มีส่วนในงานโต้วาทีพุทธเต๋าครั้งนี้ ถึงเวลานั้นคนที่สืบรู้สถานการณ์อย่างชัดเจนก็จะรู้ว่าสกุลเจียงเป็นผู้ลงมือ สกุลเจียงจะทนยอมให้ตัวเองกลายเป็น ‘หยกขาวมีตำหนิ’ ที่ถูกคนประณามลับหลังได้อย่างไร


ดังนั้นนี่ก็คือจุดที่ปรนนิบัติเอาใจได้ยากที่สุดของเจียงเม่า ต้องได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ ขณะเดียวกันขั้นตอนที่ใช้ก็ต้องไม่มีช่องโหว่ให้ใครมาตำหนิหรือนินทาจนชักนำให้เกิดปัญหากับสกุลเจียงอวิ๋นหลิน


ตอนนี้เหล่าปัญญาชนและชนชั้นสูงของแต่ละแคว้นที่อยู่ในภาคกลางของแจกันสมบัติทวีปต่างก็พากันมารวมตัวที่แคว้นชิงหลวน สำหรับงานโต้วาทีพุทธเต๋าที่ไม่มีบัณฑิตมาเข้าร่วมครั้งนี้ เดิมทีก็ทำให้ผู้คนไม่พอใจกันมากอยู่แล้ว เหล่าชนชั้นสูงของต่างถิ่นกู่ก้องร้องตะโกนอย่างไม่ชอบใจ และยังมีตระกูลเย่อหยิ่งที่นิสัยไม่ค่อยดีอีกไม่น้อยที่ป่าวประกาศว่าหากไม่เป็นเพราะยังสนใจว่าระหว่างพุทธกับเต๋าใครจะได้เป็นศาสนาประจำชาติแล้วล่ะก็ ป่านนี้ก็คงย้ายออกจากแคว้นชิงหลวนไปนานแล้ว อันที่จริงกลุ่มคนที่เป็นแกนกลางสำคัญในราชสำนักแคว้นชิงหลวน รวมไปถึงเทพเซียนลัทธิเต๋าและภิกษุสมณศักดิ์สูงของลัทธิพุทธต่างก็รู้กันดีว่า การแข่งขันระหว่างสองลัทธินี้เป็นการช่วงชิงอันดับที่สอง ช่วงชิงไม่ให้ตนเองกลายเป็นลำดับล่างสุดเท่านั้น


และการที่ฮ่องเต้แคว้นชิ่งซานเต็มใจพาสนมรักหลายคนที่มีภูมิหลังชวนตะลึงพรึงเพริดมาชมความครึกครื้นที่เมืองหลวงแคว้นชิงหลวน อันที่จริงก็แค่อยากดูว่าฮ่องเต้สกุลถังจะทำตัวหน้าไม่อายอย่างไร จะประจบเอาใจสกุลเจียงอวิ๋นหลินและเหล่าชนชั้นสูงที่พากันเดินทางลงใต้อย่างเอิกเกริกอย่างไร และท้ายที่สุดแล้วจะกลายเป็นตัวตลกของคนครึ่งทวีปเพราะไม่ว่าจะฝ่ายใดของสามลัทธิก็ล้วนเอาใจไม่สำเร็จหรือไม่


ฮ่องเต้ถังหลีคลี่ยิ้ม ยื่นมือข้างหนึ่งมาถูโต๊ะชาที่วางอยู่ด้านหน้าตัวเอง


ถังจ้งเปิดปากกล่าว “อันที่จริงคนที่ราชครูชุยฉานแห่งต้าหลีให้การแนะนำอย่างแท้จริงคือหลิ่วชิงเฟิง บุตรชายคนโตของหลิ่วจิ้งถิง เขาคือลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อคนหนึ่งที่ความรู้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง”


เจียงเม่าหรี่ตาลง “อ้อ? มีจุดใดที่เหนือกว่าคนปกติทั่วไป ข้าอยากจะลองฟังดูสักหน่อย”


ถังจ้งลุกขึ้นยืน หยิบตำราสีออกเหลืองสองเล่มที่เตรียมรอไว้นานแล้วออกมา เล่มหนึ่งคือตำราอริยะปราชญ์ลัทธิขงจื๊อ อีกเล่มหนึ่งคือผลงานของสำนักนิติธรรม


ถังจ้งคิดจะเดินไปยื่นหนังสือส่งให้


ไม่เห็นว่าเจียงเม่าจะเคลื่อนไหวอย่างไร ทว่าหนังสือสองเล่มกลับหลุดออกจากมือถังจ้งมาปรากฏอยู่บนโต๊ะเบื้องหน้าเจียงเม่าแล้ว เขาวางตำราลัทธิขงจื๊อไว้ตรงมุมโต๊ะ จะปรายตามองสักครั้งยังรังเกียจว่าเปลืองเวลา ในแจกันสมบัติทวีปมีสักกี่คนที่มีคุณสมบัติจะพูดถึง ‘พิธีการมารยาท’ ต่อหน้าสกุลเจียงอวิ๋นหลิน นี่หาใช่ว่าในสายตาของเทพเซียนผู้เฒ่าไม่เห็นหัวใคร แต่เป็นเพราะเขามีรากฐานของตระกูลและความรู้ของตัวเองคอยหนุนหลังไว้ จึงตั้งตระหง่านไม่ไหวติงดุจขุนเขา


เจียงเม่าเปิดตำราสำนักนิติธรรมที่หลิ่วชิงเฟิงอ่านแล้วเขียนอรรถาธิบายเอาไว้ เขาอ่านอย่างรวดเร็ว บ้างก็ไม่เห็นด้วย บ้างก็ผงกศีรษะเบาๆ สุดท้ายสายตาของเขาไปหยุดอยู่ข้างประโยคหนึ่งของหน้าหนึ่ง ดูจากร่องรอยตัวอักษรนั้นน่าจะผ่านการเขียนอธิบายมาสามรอบ ประโยคเดิมของผู้แต่งเขียนไว้ว่า ‘ไม่ประจบเอาใจคนที่รัก ไม่ทำร้ายคนที่เกลียด ปฏิบัติต่อรักและเกลียดอย่างตรงไปตรงมา ย่อมจัดการเรื่องราวได้ดี’ ตรงหน้าหนังสือจุดที่อยู่ใกล้กับประโยคนี้ที่สุด ครั้งแรกหลิ่วชิงเฟิงเขียนว่า ‘ใช้คำว่า ‘ย่อม’ ไม่เหมาะ สูงเกินไป ควรจะเปลี่ยนเป็นคำว่า ‘ก็จะ’’


เจียงเม่าอ่านข้อสรุปอีกสองประโยคที่เหลือแล้วยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ไม่เลว เอาไปลองวัดความสามารถกับนักพรตอารามป๋ายอวิ๋นผู้นั้นได้”


เทพเซียนผู้เฒ่าที่มองภายนอกมีตบะสูงที่สุดของสกุลเจียงอวิ๋นหลินฉีกหน้าหนังสือที่มีตราประทับส่วนตัวของหลิ่วชิงเฟิงประทับไว้ออกไป ตำราสองเล่มกลับมาวางอยู่บนโต๊ะตรงหน้าถังจ้งอีกครั้ง เจียงเม่ายิ้มกล่าวว่า “ช่วงนี้หาโอกาสให้นักพรตอารามป๋ายอวิ๋นผู้นั้นได้รับหนังสือเล่มนี้ไปโดยบังเอิญ ถึงเวลานั้นก็มาดูกันว่าเจ้าอารามผู้นี้จะพูดว่าอะไร”


ถังจ้งตอบรับว่าจะทำตามคำของอีกฝ่าย

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)