หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา 396-403

 บทที่ 396 จองจำ!

โดย

Ink Stone_Fantasy

ที่นอกนครใหม่ ผู้คนที่อยู่ในคณะของหวังเป่าเล่อล้วนเงียบกริบ มีเพียงเสียงเรือบินเท่านั้นที่ดังอยู่ในอากาศ เรือบินนั้นพุ่งผ่านอาณาเขตวงแหวนปราณของนครใหม่ และมุ่งหน้าไปยังเขตปกครองตนเองของเฉินมู่ทันที


ตลอดทาง หวังเป่าเล่อไม่ได้มีสีหน้าเครียดขึงหรือโกรธเกรี้ยวแต่อย่างใด เขาดูสงบและสงวนท่าที พร้อมประกายประหลาดที่ฉายอยู่ในแววตา หวังเป่าเล่อดูแตกต่างไปจากปกติ จินตั้วหมิงและคนอื่นๆ หรี่ตามองชายหนุ่มด้วยสายตาพินิจพิจารณา


ทุกคนทำงานร่วมกับหวังเป่าเล่อบนดาวอังคารแห่งนี้ จึงเข้าใจอุปนิสัยของชายหนุ่มดีกว่าใคร พวกเขารู้ดีว่าชายร่างอ้วนที่ดูอารมณ์ดีผู้นี้ ความจริงแล้วเป็นคนโหดเหี้ยมอำมหิตมาก หวังเป่าเล่อไม่ปรานีคนอื่น และไม่ปรานีตนเองเสียยิ่งกว่า เขาคือคนที่พรั่งพร้อมทั้งความเจ้าเล่ห์และความเด็ดขาด สิ่งที่เกิดขึ้นกับหลี่อี้เป็นข้อพิสูจน์ชั้นดี


หลังจากที่เกิดเรื่องกับหลี่อี้ จินตั้วหมิงและกงเต๋าต่างพอเดาได้ว่าความจริงแล้ว… หวังเป่าเล่อสร้างกับดักเตรียมรอหลี่อี้ไว้ตั้งแต่แรก เขาเฝ้ารอให้หลี่อี้เดินเข้ามาในเงื้อมมือของตนเอง


จินตั้วหมิงชื่มชมและยอมรับในความเหี้ยมเกรียมของกลยุทธ์นี้มาก แต่กงเต๋าคิดว่านี่ไม่ใช่วิธีการที่ถูกต้อง กระนั้นชายหนุ่มก็เข้าใจดีว่าหลี่อี้เดินเข้าไปติดกับและก่อเรื่องเอง นอกจากนี้หวังเป่าเล่อยังเคยช่วยชีวิตเขาเอาไว้ แม้กงเต๋าไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้ แต่ชายหนุ่มก็ไม่เคยลืม


ความคิดของหวังเป่าเล่อยอดเยี่ยมและชาญฉลาด เขาคิดสิ่งที่จะทำให้ทุกคนได้ประโยชน์กันอย่างถ้วนหน้าและมหาศาล แต่สิ่งสำคัญที่สุดไม่ใช่ความคิด หากแต่เป็นการที่เขาทำมันได้สำเร็จ ทั้งหมดทั้งมวลนี้ทำให้จินตั้วหมิงและกงเต๋าเคารพหวังเป่าเล่อในฐานะเจ้าเมือง


ตอนนี้ทั้งสองไม่มีอารมณ์ที่จะยืนดูอยู่ข้างสนาม แต่ก็ไม่ทราบเช่นกันว่าหวังเป่าเล่อจะจัดการเฉินมู่และคณะอย่างไร


หวังเป่าเล่อจะทำอย่างไรกันนะ จินตั้วหมิงหรี่ตามอง ชายหนุ่มลองคิดดูว่าหากตนเองเป็นหวังเป่าเล่อจะทำอย่างไร และได้ข้อสรุปว่าตนเองจะใช้อำนาจและอิทธิพลของครอบครัวแก้ปัญหานี้


กงเต๋าและหลินเทียนหาวก็คิดเช่นกันว่าตนเองจะทำอย่างไรหากเจอปัญหานี้ แม้แต่หลี่หว่านเอ๋อร์ยังครุ่นคิดว่าหวังเป่าเล่อจะจัดการเช่นไร ตอนนั้นเองที่หญิงสาวคิดได้ว่าตนเองไม่ได้รู้จักตัวตนของหวังเป่าเล่อแม้แต่น้อย นางเพียงรู้สึกว่าตอนนี้หวังเป่าเล่อกำลังหาเหาใส่หัวเท่านั้น แต่นางก็เข้าใจดีว่าหวังเป่าเล่อไต่เต้าขึ้นมาได้เรื่อยๆ จากคนที่ไม่มีอะไรเลย จนกลายมาเป็นขุนนางระดับสามชั้นสูงได้ ชายหนุ่มย่อมไม่ใช่คนโง่อย่างแน่นอน


ความคิดเช่นนั้นอยู่ในใจทุกคนที่อยู่ด้านหลังหวังเป่าเล่อเช่นกัน โดยเฉพาะผู้ฝึกตนจากสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋า หากพวกเขาเดินทางกันไกลกว่านี้ อาจมีคนคิดขึ้นมาได้ว่าควรแก้ปัญหานี้อย่างไร แต่ระยะทางระหว่างสุสานแห่งใหม่กับเขตของเฉินมู่ไม่ได้ไกลมาก ทุกคนจึงยังคิดไม่ออก แม้จะเดินทางมาถึงที่หมายเรียบร้อยแล้ว


เขตปกครองตนเองภายใต้อาณัติของเฉินมู่อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของนครใหม่ ขนาดของมันใกล้เคียงกับเขตนครที่หวังเป่าเล่อสร้างสมัยที่ยังดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีอยู่ ขนาดของพื้นที่นั้นใหญ่มาก และเฉินมู่ก็วางแผนการก่อสร้างมาอย่างดี อีกทั้งตระกูลนภาห้าสมัยยังให้การสนับสนุนเขาอย่างเต็มที่ ด้วยเหตุนี้แม้เฉินมู่จะเพิ่งมาถึงไม่นาน แต่โครงสร้างของเมืองก็ถูกจัดวางเรียบร้อยแล้ว


เมื่อมองจากระยะไกล พื้นที่ที่ก่อนหน้าเคยรกร้าง บัดนี้มีถนนเรียบและพื้นโล่งเข้ามาแทนที่ มีตึกสูงเสียดฟ้ามากมาย สิ่งปลูกสร้างล้วนเป็นรูปแบบของตระกูลนภาห้าสมัยทั้งสิ้น มันช่างงดงาม แปลกตา และเต็มไปด้วยหอคอยนับไม่ถ้วน เขตของเฉินมู่ดูราวกับไม่ใช่เขตเมือง แต่เหมือนบ้านพักตากอากาศขนาดใหญ่ของตระกูลอันแสนมั่งคั่งมากกว่า


ทั้งเขตแบ่งออกเป็นสิบวงแหวนอาณาเขต แต่ละวงแหวนเชื่อมต่อกันแต่ก็แยกออกจากกันได้ในทันที และสามารถตั้งอยู่ได้ด้วยตนเองโดยไม่ต้องพึ่งพาเขตอื่น ทุกพื้นที่มีเวรยามของสมาชิกตระกูลนภาห้าสมัยคอยตรวจตรา โดยเฉพาะจุดที่บรรจบกับเขตนครใหม่นั้นเวรยามดูจะหนาแน่นเป็นพิเศษ


ทุกองค์ประกอบบอกอย่างชัดเจนว่าเขตนี้เป็นเขตปกครองตนเอง พวกเขาแยกตัวออกมาเป็นเอกเทศอย่างชัดเจนเพื่อประกาศเจตนารมณ์ หวังเป่าเล่อเพิ่งเคยมาเยือนเขตนี้เป็นครั้งแรก แต่เขาก็ได้ข่าวมานานแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง เรื่องนี้จึงไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ แต่ชายหนุ่มก็อดเลิกคิ้วขึ้นไม่ได้เมื่อเห็นภาพตรงหน้า


แม้เขตนี้จะดูเหมือนบ้านพักตากอากาศของตระกูลนภาห้าสมัย แต่การสร้างวงแหวนปราณหลักก็ยังเป็นไปอย่างเรียบร้อย ตระกูลนภาห้าสมัยไม่ปล่อยให้มีการผิดพลาดแต่อย่างใด


เฉินมู่รู้ล่วงหน้าแล้วว่าหวังเป่าเล่อจะมาเยือน ชายหนุ่มไม่คิดเปิดโอกาสให้หวังเป่าเล่อวิพากษ์วิจารณ์มารยาททางสังคมของเขา ดังนั้นก่อนที่หวังเป่าเล่อจะมาถึง เฉินมู่ เวินไหว และฟางจิ้งพร้อมด้วยกองทัพผู้อารักขาของตนก็ได้มายืนรออยู่หน้าเขต พวกเขาทำมือคารวะหวังเป่าเล่อจากระยะไกล เมื่อเงยหน้าขึ้น ทุกคนล้วนมีรอยยิ้มเป็นมิตรอยู่บนใบหน้า เสียงอ่อนโยนของพวกเขาลอยมาตามอากาศ


“คารวะท่านเจ้าเมือง ท่านรองเจ้าเมือง และสหายทุกท่าน ยินดีต้อนรับสู่เขตนครใหม่”


ขณะที่พูดออกมานั้น เฉินมู่ก็สบสายตาหวังเป่าเล่อ เขามองร่างท้วมนั้นด้วยสีหน้าอ่อนโยน แต่ภายในใจกลับกำลังหัวเราะเยาะเย้ย ชายหนุ่มเชื่อว่าผู้ที่ไม่สามารถรักษาแม้แต่รูปร่างของตนเองให้ดูสมส่วนได้นั้น คงเต็มไปด้วยข้อเสียมากมายในด้านอื่นๆ อย่างแน่นอน


แม้เฉินมู่จะเยาะเย้ยหวังเป่าเล่ออยู่ในใจ แต่เขาก็ไม่เคยบอกเวินไหวและฟางจิ้งว่าคิดอย่างไรกับหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มทำแม้กระทั่งศึกษาเรื่องราวของหวังเป่าเล่อเพื่อที่จะได้รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนอย่างไร แม้กระนั้นเฉินมู่ก็ไม่ได้ใส่ใจเรื่องที่ได้รับรู้มามากนัก ซึ่งนั่นแปลว่าชายหนุ่มมองว่าคู่แข่งของเขาคนนี้ไม่ได้จัดการยากเย็นอะไร


นี่เป็นครั้งแรกเช่นกันที่หวังเป่าเล่อได้พบเฉินมู่ ชายหนุ่มมองรอยยิ้มเป็นมิตรซึ่งอาบอยู่บนใบหน้าหล่อเหลานั้น เฉินมู่มีร่างสูง หุ่นดี และมีบรรยากาศของความเป็นชนชั้นสูงอยู่รอบกาย ที่ดูก็รู้ว่ามาจากการเติบโตในครอบครัวขุนนางเก่าแก่ ทั้งหมดนี้ยิ่งทำให้หวังเป่าเล่อไม่ชอบใจอีกฝ่ายขึ้นไปอีก


สมาชิกสมาคมคนหน้าตาดีขั้นเทพทุกคนดูดีกว่าหมอนี่เยอะ! หวังเป่าเล่อพ่นลมเยาะอยู่ในใจ เขาก้าวเท้ายาวออกไปข้างหน้า สายตามองผ่านเฉินมู่ไปหาเวินไหวและฟางจิ้งที่ยืนอยู่ข้างๆ นี่เป็นครั้งแรกที่หวังเป่าเล่อได้พบฟางจิ้ง ส่วนเวินไหวนั้นเขาได้เคยลอกคราบเสียจนหมดตัวเมื่อครั้งอยู่บนดวงจันทร์ ชายหนุ่มรู้กระทั่งว่าเวินไหวดูเป็นอย่างไรตอนไม่ได้ใส่เสื้อผ้า


ฟางจิ้งดูพอใจกับสายตาที่หวังเป่าเล่อมองนาง ในสายตาของนางเองมีแววความยั่วยุอยู่ ทว่าเวินไหวกลับตัวสั่นเทา ภาพฉากการเผชิญหน้าของพวกเขาบนดวงจันทร์ปรากฏขึ้นมาในจิตใจ ชายหนุ่มหลบสายตาหวังเป่าเล่อโดยสัญชาตญาณ หากเฉินมู่ไม่ย้ำนักย้ำหนาว่าจะต้องมาเจอ และสำนักของเขาไม่ได้จัดการให้เขามาประจำที่นี่ เวินไหวก็ไม่ต้องการพบหน้าหวังเป่าเล่ออีกในชาตินี้


ดวงตาของเฉินมู่เป็นประกายวาบเมื่อเห็นเวินไหวก้มหน้าลงต่อหน้าหวังเป่าเล่อ เขาก้าวออกไปข้างหน้าเพื่อเรียกความสนใจของหวังเป่าเล่อ จากนั้นก็ยิ้มอย่างอ่อนโยนก่อนเอื้อนเอ่ย “ท่านเจ้าเมือง มีเหตุอันใดให้ท่านต้องมาเยี่ยมเยือนเขตปกครองตนเองของข้าพร้อมคณะใหญ่โตเช่นนี้” เฉินมู่เน้นคำว่า “เขตปกครองตนเอง” ขณะพูด เขาตัดสินใจมาอย่างดีแล้ว ในเมื่อหวังเป่าเล่อต้องการมาหาเรื่อง เฉินมู่ก็จะไม่ปล่อยให้โอกาสนี้สูญเปล่า แต่จะใช้มันเพื่อทำให้อำนาจของหวังเป่าเล่ออ่อนแอลง!


เมื่อโดนบังสายตา หวังเป่าเล่อก็หันกลับไปมองเฉินมู่อีกครั้ง ทั้งคู่ประสานสายตากัน ความเงียบเข้าปกคลุมระหว่างทั้งสอง สายตาทุกคู่ในที่แห่งนั้นล้วนจับจ้องไปที่การเผชิญหน้าของพวกเขา


“เฉิน…” หวังเป่าเล่อเริ่มเปิดปาก แต่เฉินมู่ก็พูดขัดขึ้นมาก่อนที่เขาจะได้พูดสิ่งที่นึก


“หากท่านมาเพราะเรื่องที่มีสุสานใต้ดินเกิดใหม่ละก็ ข้าได้จัดการส่งคนออกไปช่วยเหลือแล้วมิใช่หรือ คนที่ข้าส่งไปได้บิดพลิ้วหรือทำผิดต่อหน้าที่หรือไม่” เฉินมู่ยิ้มขณะมองหวังเป่าเล่อ ภายในใจคุกรุ่นด้วยความจงเกลียดจงชัง


แววเย็นชาในดวงตาของหวังเป่าเล่อทวีความรุนแรงขึ้นกว่าเดิมเมื่อถูกขัดจังหวะ ชายหนุ่มกำลังจะเอ่ยปากอีกครั้ง แต่เฉินมู่ก็ยิ้มและพูดขึ้นมาอีก


“ข้าไม่เชื่อว่าท่านเจ้าเมืองจะมาเพราะเหตุนี้ หรือเป็นเพราะข้าไม่ได้ทำตามคำสั่งครั้งที่สองของท่าน ข้าร้องขอความเข้าใจจากท่านเจ้าเมืองด้วย ข้าเสียใจมากจริงๆ แต่ท่านก็น่าจะรู้อยู่แล้วว่าเขตใหม่นี้ยังอยู่ระหว่างการก่อสร้าง ไม่ว่าจะเป็นเขตของข้าหรือคนอื่นๆ ทุกคนล้วนยุ่งอยู่กับการก่อสร้างจนไม่มีเวลาปลีกตัวไปจัดการเรื่องอื่น…”


“นั่นเพราะเราเป็นเขตปกครองตนเอง ดังนั้นการสร้างเมืองให้เสร็จสมบูรณ์จึงเป็นภารกิจที่สำคัญสุด พวกข้าขอร้องให้ท่านเจ้าเมืองเข้าใจในความจำเป็นนี้ด้วย” เฉินมู่ทำมือคารวะ และก้มตัวลมคำนับหวังเป่าเล่อหลังจากพูดจบ เฉินมู่มีสีหน้ายิ้มแย้มอยู่ตลอดทั้งตอนพูดและแสดงท่าทาง คำพูดของเขาไม่ได้หยาบกร้าว น้ำเสียงของเขาถ้อยทีถ้อยอาศัย แต่เขาจงใจพูดขัดหวังเป่าเล่อถึงสองครั้ง และนั่นก็ทำให้ทัศนคติของเขาที่มีต่อหวังเป่าเล่อแจ่มชัดต่อหน้าทุกคน


ผู้คนรอบกายล้วนมีปฏิกิริยาตอบรับแตกต่างกัน จินตั้วหมิงและกงเต๋าขมวดคิ้ว ขณะที่ความโมโหเข้าปกคลุมดวงตาของหลินเทียนหาว ส่วนหลี่หว่านเอ๋อร์ได้แต่ถอนใจอยู่ในอก ทุกอย่างเป็นตามที่นางคิดไว้ไม่มีผิดเพี้ยน


แต่ท่ามกลางปฏิกิริยาที่แตกต่างกันของผู้คนที่อยู่รายรอบ หวังเป่าเล่อกลับระเบิดเสียงหัวเราะออกมา รอยยิ้มเบ่งบานบนใบหน้าของชายหนุ่มราวกับเป็นดอกไม้ที่กำลังคลี่แย้ม ในดวงตาของเขามีแววชื่นชมยอมรับ


“ข้าเข้าใจดี ท่านเจ้าเมืองของเจ้าเข้าใจดี แน่นอนอยู่แล้วว่าเขตปกครองตนเองไม่ได้ขึ้นตรงต่ออำนาจของนครใหม่ เพราะเป็นคนละภาคส่วนกัน ข้ารู้ดี… ความจริงแล้ว หากข้าเดินไปไกลกว่านี้อีกไม่กี่ก้าว ก็คงจะเป็นการล่วงล้ำเขตของเจ้าแล้ว” หวังเป่าเล่อหัวเราะเสียงดัง เฉินมู่นิ่งอึ้งกับท่าทีที่เปลี่ยนไปอย่างฉับพลันของชายหนุ่มตรงหน้า


แต่ก่อนที่เขาจะได้พูดอะไร หวังเป่าเล่อก็หุบยิ้มและพูดอย่างไร้อารมณ์ “หลินเทียนหาว!”


“ผู้ใต้บังคับบัญชาของท่านพร้อมรับใช้ขอรับ!” หลินเทียนหาวก้าวมาข้างหน้าอย่างฉับพลัน พร้อมค้อมหัวลงคำนับ


“จงไปจัดการเรื่องต่อไปนี้ ข้าต้องการสร้างกำแพงล้อมรอบเขตปกครองตนเองที่อยู่ใต้อาณัติของนายกเทศมนตรีเฉิน นายกเทศมนตรีเวิน และนายกเทศมนตรีฟาง จดเอาไว้ให้ดี กำแพงนี้จะต้องสร้างในอาณาเขตของนครใหม่ ไม่ใช่อาณาเขตของเขตปกครองตนเอง” ทันทีที่หวังเป่าเล่อพูดออกมา หลินเทียนหาวก็เข้าใจโดยพลัน ชายหนุ่มตอบรับคำสั่งด้วยเสียงดังฟังชัด สีหน้าของเฉินมู่เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ ทุกคนรอบกายพวกเขาล้วนนิ่งอึ้ง ดวงตาเบิกกว้าง


แต่นี่ยังแค่เริ่มต้นเท่านั้น หวังเป่าเล่อที่มีสีหน้าไร้อารมณ์เอ่ยอีกครั้ง


“กงเต๋า!”


“ผู้ใต้บังคับบัญชาของท่านพร้อมรับใช้ขอรับ!” กงเต๋าเงยหน้าขึ้นมองหวังเป่าเล่อในทันที


“รวบรวมคนของเจ้า ข้าต้องการให้กำแพงเมืองที่สร้างใหม่ได้รับการคุ้มกันอย่างแน่นหนา ล้อมกำแพงเอาไว้ ห้ามใครเข้าหรือออกเขตปกครองตนเองอย่างเด็ดขาด!”


ทันทีที่คำสั่งของหวังเป่าเล่อสะท้อนก้องไปในอากาศ ทุกคนก็อ้าปากค้างด้วยความตกใจ ในที่สุดเฉินมู่ก็มีปฏิกิริยาต่อคำพูดของหวังเป่าเล่อ อารมณ์มากมายผ่านเข้ามาบนใบหน้าของชายหนุ่มขณะที่เขาพยายามจะเอ่ยปากพูด แต่ก่อนที่จะได้พูดอะไร หวังเป่าเล่อก็ขัดขึ้นมาโดยไม่แม้แต่จะพยายามฉีกยิ้มเสแสร้ง ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “นายกเทศมนตรีเฉิน เจ้าปกครองเขตปกครองตนเองเช่นนั้นสินะ ได้เลย ไม่เป็นปัญหา ข้า หวังเป่าเล่อ จะไม่ยุ่มย่ามกับเหตุบ้านการเมืองใดๆ ที่เกิดในเขตของเจ้า แต่นอกเขตของเจ้าคือที่ของข้า นครใหม่ของข้า และในนครของข้านี้ ข้าจะตั้งใจอย่างสุดความสามารถที่จะช่วยให้เจ้าได้ปกครองตนเอง ข้าช่วยเจ้าสร้างกำแพงเมือง และยังช่วยเจ้าจองจำตนเองเอาไว้ภายใต้กำแพงนั้น ข้าขอบอกเอาไว้ตรงนี้ให้ทราบโดยทั่วกันเลยก็แล้วกัน อย่าคิดเป็นอันขาดว่าจะได้ก้าวออกจากเขตของเจ้าแม้แต่ก้าวเดียว ข้ามีวงแหวนปราณที่แผ่พลังอยู่ในอากาศ หากข้าไม่ออกคำสั่ง จะไม่มีแม้แต่วิญญาณสักตนได้เข้าไปในเขตของเจ้า ข้ายอมทิ้งแซ่ของตัวเองเสียดีกว่า หากยอมให้พวกเจ้าคนใดออกมาได้!”


บทที่ 397 เหตุผลที่ตรงไปตรงมาและยุติธรรม!

โดย

Ink Stone_Fantasy

ทันทีที่สิ้นสุดคำพูด ทุกคนรอบตัวหวังเป่าเล่อก็แสดงสีหน้าที่แตกต่างกันออกไป แต่ทุกคนล้วนเบิกตากว้างอย่างพร้อมเพรียง และพากันกลั้นหายใจ แม้กระทั่งคนที่สงบนิ่งกว่าเพื่อนยังรู้สึกเหมือนหัวใจหยุดเต้น ทุกคนคิดว่าการโต้กลับของหวังเป่าเล่อนั้นเหนือความคาดหมายมาก แต่ก็ตรงกับนิสัยที่โหดเหี้ยมอำมหิตของชายหนุ่มเป็นอย่างดี


สิ่งที่หวังเป่าเล่อกล่าวนั้นถูกต้อง ทั้งสามคนเน้นย้ำตลอดถึงความเป็นเอกเทศของเขตที่ตนเองปกครอง และไม่ทิ้งโอกาสที่จะได้บอกทุกคนว่าเขตของพวกเขาทั้งสามขึ้นตรงต่อสหพันธรัฐและเจ้านครดาวอังคาร โดยไม่ต้องรายงานกิจการใดๆ ก็ตามกับนครใหม่ ด้วยเหตุนี้ทั้งสามจึงไม่เกรงกลัวสิ่งใด ไม่สนใจจะไว้หน้าใคร และกล้าแสดงท่าทีต่อต้านอย่างออกหน้าออกตา…


เมื่ออีกฝ่ายหนึ่งยืนกราน หวังเป่าเล่อก็พร้อมสนองโดยการขังทั้งสามเอาไว้ภายใต้กำแพงสูงที่โอบล้อมทั้งสามเขต ถือเป็นการจองจำพวกเขาให้อยู่แต่ในเขตของตน เพียงเท่านี้ก็ถือว่าส่งผลไม่น้อยแล้ว


สิ่งที่แย่ที่สุดคือการที่เฉินมู่และพรรคพวกไม่มีอำนาจหยุดคำสั่งของหวังเป่าเล่อได้ เนื่องจากหวังเป่าเล่อออกคำสั่งอย่างรัดกุม ชายหนุ่มสั่งหลินเทียนหาวให้สร้างกำแพงภายในอาณาเขตที่เป็นของนครใหม่เท่านั้น จึงไม่ได้ก้าวล้ำเข้าไปในเขตของเฉินมู่และพรรคพวกแม้แต่น้อย ความนักเลงของหวังเป่าเล่อที่กล้าพอประกาศจุดยืนต่อหน้าเฉินมู่และอีกสองคนที่เหลือ ทำให้ทุกคนที่ยืนอยู่ ณ ที่แห่งนี้เข้าใจนิสัยของหวังเป่าเล่อได้ถ่องแท้ยิ่งขึ้น


“นี่มันโหดร้ายเหลือเกิน เกินจินตนาการเลยทีเดียวเชียว!”


“ข้าว่านี่มันใจร้ายแถมยังโหดเหี้ยมเกินไปแล้ว แต่เฉินมู่กับอีกสองคนนั้นต้องเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ เหตุใดจึงกล้าปีนเกลียวกับหวังเป่าเล่อกัน”


“หวังเป่าเล่อนี่ทำให้โกรธไม่ได้เด็ดขาด ในที่สุดข้าก็ได้เห็นตัวตนแท้จริงของเขา หมอนี่เป็นจอมชั่วช้า ในหัวมีแต่ความคิดชั่วร้าย!” ผู้คนรอบหายหวังเป่าเล่อไม่กล้าพูดออกมาดังๆ ทำได้เพียงส่งข้อความไปหาสหายของตนเพื่อพูดคุยเรื่องนี้เท่านั้น


ทันทีที่หลินเทียนหาวและกงเต๋าตอบรับคำสั่งของหวังเป่าเล่อด้วยเสียงดังฟังชัด ทั้งสองก็เข้าใจในทันทีว่าหวังเป่าเล่อกำลังทำอะไร พวกเขาหันมามองหน้าหวังเป่าเล่อสองถึงสามครั้ง และกงเต๋าก็ตัดสินใจในทันทีว่าจะไม่มีวันตั้งตนเป็นศัตรูกับหวังเป่าเล่อเด็ดขาด บทลงโทษอันแสนโหดร้ายนี้ทำให้กงเต๋าเข้าใจอุปนิสัยของหวังเป่าเล่อมากขึ้น…


หลินเทียนหาวเกือบเผลอตัวตบเข่าฉาดและส่งเสียงร้องยินดี ก่อนหน้านี้เขาคิดอยู่นานว่าควรแก้ปัญหาเรื่องนี้อย่างไร ชายหนุ่มรู้ดีว่าโชคชะตาของตนผูกติดอยู่กับหวังเป่าเล่อ ทั้งสองแบ่งปันสิ่งต่างๆ กันทั้งความเจริญรุ่งเรืองและภัยอันตราย ทันทีที่เขาได้ยินคำสั่งของหวังเป่าเล่อ และได้เห็นสีหน้าของเฉินมู่และพรรคพวกที่เหมือนถูกอาจมสุนัขป้ายหน้า หัวใจที่หนักอึ้งของหลินเทียนหาวก็กลับมาลิงโลดอีกครั้ง


เจ้าเฉินมู่นี่มีกลเม็ดเด็ดๆ อยู่ไม่กี่อย่างเท่านั้น แค่คิดว่าบิดาข้าเคยบอกให้ดูมันเป็นแบบอย่างแล้วละก็ ดูเหมือนบิดาข้าจะไม่ได้ยอดเยี่ยมเรื่องการตัดสินคนขนาดนั้น ขณะที่หลินเทียนหาวกำลังคิดอย่างพึงพอใจ จินตั้วหมิงก็ดูเหมือนเพิ่งรู้สึกตัวว่าเกิดอะไรขึ้น ชายหนุ่มสูดหายใจลึกเข้าปากและยิ้ม ดูก็รู้ว่าจินตั้วหมิงไม่ชอบเฉินมู่และพรรคพวก พวกนั้นไม่ได้ลงทุนลงแรงอะไรเลย แต่กลับมาแบ่งผลประโยชน์ที่ตนเองไม่สมควรได้รับไปอย่างหน้าด้านๆ แถมยังทำด้วยท่าทีหยิ่งยโสและต่อต้านอีกต่างหาก นี่คือเหตุที่ทำให้จินตั้วหมิงไม่ชอบขี้หน้าคนทั้งสาม


หลี่หว่านเอ๋อร์ตื่นตระหนกเป็นอย่างมากเมื่อเทียบกับปฏิกิริยาของกงเต๋าและคนอื่นๆ นางสองจิตสองใจคิดจะก้าวออกไปเพื่อพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็หาช่องโหว่ในคำสั่งของหวังเป่าเล่อไม่ได้เลย หวังเป่าเล่อออกคำสั่งอย่างระมัดระวังเป็นเหตุเป็นผล อย่างไรเสียความโอหังของเฉินมู่และพรรคพวกก็เป็นที่ประจักษ์ให้เห็นในสายตาของทุกคน


หวังเป่าเล่อวางหลุมพรางดักทั้งสามคนนี้ หมอนี่เป็นพวกชอบวางกับดักอยู่แล้ว เรื่องที่เกิดขึ้นกับหลี่อี้เป็นข้อพิสูจน์ได้เป็นอย่างดี! หลี่หว่านเอ๋อร์ขมวดคิ้ว นางรู้ดีว่านี่ไม่ใช่เวลาที่ตนควรพูดหรือเสนอความช่วยเหลือ นางจึงทำได้เพียงเงียบเท่านั้น


คนที่ตกใจที่สุดดูเหมือนจะเป็นเฉินมู่และนายกเทศมนตรีอีกสองคนที่เหลือ เวินไหวและฟางจิ้งหายใจหอบ ทั้งสองตกใจในสิ่งที่ได้ยิน และหันไปมองเฉินมู่ในทันที ในใจเต็มไปด้วยความตกใจกลัวและโทสะ


สีหน้าของเฉินมู่มืดมนและบูดเบี้ยว ชายหนุ่มมองหวังเป่าเล่อ ในสมองเต็มไปด้วยความคิดมากมายนับไม่หมด เขาพยายามคิดหาวิธีโต้กลับ แต่หวังเป่าเล่อออกคำสั่งที่เขาไม่คาดคิด แม้ฟันเฟืองในหัวของเฉินมู่จะทำงานหนัก แต่เขายังคิดทางแก้ไม่ออกในทันที ชายหนุ่มจึงหายใจเข้าลึก และมุ่งหน้าโจมตีน้ำเสียงประสงค์ร้ายของหวังเป่าเล่อแทน


“ท่านเจ้าเมืองหวัง การตัดสินใจของท่านแสดงให้เห็นว่าท่านไม่พอใจในอำนาจการปกครองตนเองของพวกเรา ซึ่งเป็นมติของสหพันธรัฐ ท่านต้องการจองจำพวกเราหรือ ได้ ถ้าเป็นเช่นนั้นข้าจะรายงานเรื่องนี้ให้สหพันธรัฐรับทราบ จากนั้น…”


คำโต้กลับของเฉินมู่รวดเร็วทันใจ แม้เขาจะยังคิดทางแก้ไม่ออก แต่ก็จับน้ำเสียงขุ่นมัวของหวังเป่าเล่อได้ เขากำลังจะเลิกแสดงละครบังหน้าและเปิดโปงความจริงของเรื่องนี้ แต่ก่อนที่จะพูดจบ หวังเป่าเล่อก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอีกครั้ง และพูดอย่างไร้อารมณ์


“ปากทางเข้าสุสานอาวุธเทพใต้ดินใหม่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่ ข้าเกรงว่าอาจมีอสูรร้ายที่พวกเรายังกำจัดไม่หมดเพ่นพ่านอยู่ ด้วยเหตุนี้จึงต้องจัดกำลังพลเข้าคุ้มครองความปลอดภัยของเขตปกครองตนเองทั้งสาม ทางเราใคร่ขอความร่วมมือจากนายกเทศมนตรีเฉิน นายกเทศมนตรีเวิน และนายกเทศมนตรีฟางด้วย!” หวังเป่าเล่อหันหลังกลับทันทีที่พูดจบโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง ชายหนุ่มไม่ได้แยแสสีหน้าเหมือนอมยาขมของเฉินมู่และพรรคพวกแม้แต่น้อย และจากไปท่ามกลางใบหน้าประหลาดใจของผู้คนที่รายล้อม


คำพูดทิ้งท้ายของหวังเป่าเล่อทำให้เฉินมู่ต้องกลืนคำโต้แย้งของตนเองลงคอไป แม้เขาจะรู้ดีว่าหวังเป่าเล่อเพียงโยนเหตุผลมั่วซั่วมาให้ แต่ก็เป็นเหตุผลที่ยากจะตอกกลับ


เจ้าเก่งด้านการมองทะลุเรื่องไร้สาระและประเมินสถานการณ์จริงหรือ ได้ เช่นนั้นขอข้าโยนเหตุผลไร้สาระให้เจ้าหน่อยก็แล้วกัน มาดูกันว่าจะทำได้ไหม เจ้ามันก็แค่ขุนนางระดับสี่ชั้นสูงที่พยายามจะเอาชนะขุนนางระดับสามชั้นสูง ดูก็รู้ว่ามวยคนละชั้น ไอ้สมองขี้เลื่อย ขอดูให้เห็นกับตาหน่อยเถิดว่าใครจะยอมแพ้และร้องไห้เรียกหาบิดาก่อนกัน! หวังเป่าเล่อคิดอย่างพึงพอใจในผลงานของตนเองขณะออกมาจากจุดเกิดเหตุ เขาเดินทอดน่องกลับห้องทำงาน ทันทีที่กลับมาถึง ชายหนุ่มก็ได้รับข้อความขอเข้าพบจากหลี่หว่านเอ๋อร์


หวังเป่าเล่อปฏิเสธคำขอเข้าพบของนางทันที เขาเพิกเฉยและเริ่มถือสันโดษต่อ ทั้งยังสืบค้นข้อมูลการหลอมอาวุธเวทเพิ่มเติม หวังเป่าเล่อมั่นใจว่าด้วยความสามารถของหลินเทียนหาว อีกฝ่ายต้องจัดการทำตามคำสั่งของเขาได้อย่างไร้ที่ติแน่นอน


แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เสียด้วย หลินเทียนหาวรู้ดีว่าชะตาชีวิตของตนเองผูกติดอยู่กับหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มจึงไม่รีรอ รีบรวบรวมกำลังคนเพื่อสร้างกำแพงในทันที เขาใส่ความคิดสร้างสรรค์ของตนเองเข้าไปด้วย และเริ่มสร้างกำแพงสูงหลายสิบเมตรอย่างรวดเร็ว!


ความเร็วในการสร้างกำแพงของผู้ฝึกตนนั้นเร็วจนน่าตกใจ เฉินมู่และพรรคพวกเดือดพล่านด้วยโทสะและความรู้สึกสิ้นไร้ไม้ตอก ขณะมองกำแพงสูงเหมือนภูเขาตระหง่านขึ้นจากพื้น


ความเร็วอันเหลือเชื่อในการก่อสร้างนี้แปลว่ากำแพงน่าจะสร้างเสร็จภายในวันเดียว แม้จะเป็นแค่แม่แบบแรกเริ่ม แต่ก็ยังดูสูงเด่นน่าเกรงขามจากมุมบน กำแพงที่หลินเทียนหาวสร้างนี้ทั้งกว้างขวางและใหญ่โต จนทำให้เกิดเงาปกคลุมเขตทั้งสามเขตที่เฉินมู่และพรรคพวกปกครอง ผู้ที่ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางคงคิดว่าเบื้องหลังกำแพงนี้คือเรือนจำของดาวอังคาร


นั่นเป็นเพราะ… นอกกำแพงสูงนี้มีกองทัพเฝ้าเวรยามที่จัดโดยกงเต๋ายืนควบคุมอยู่อย่างแน่นหนา กองทัพเฝ้าเวรยามนี้ยืนกันเขตทั้งสามอย่างกระตือรือร้น และมีหน้าที่ห้ามใครก็ตามเข้าหรือออกเขตใหม่


ข่าวเรื่องนี้แพร่กระจายไปทั่วนครเหมือนไฟลามทุ่ม หลายคนที่ทราบเรื่องต่างพากันตกใจกับการตัดสินใจของหวังเป่าเล่อ การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นดุเดือดสะพัดไปทั่วนครใหม่บนดาวอังคาร เวินไหวและฟางจิ้งเริ่มกระวนกระวายร้อนอกร้อนใจ ทั้งสองรู้ดีว่าสถานการณ์เช่นนี้จะดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ไม่ได้ เพราะหากปล่อยให้อยู่ในสภาพนี้นานเกินไป เขตของตนจะได้รับผลกระทบใหญ่หลวง ส่วนเฉินมู่ยังคงรักษาความเงียบเอาไว้ได้ เขาคิดว่าจะขอความช่วยเหลือจากตระกูลของตนดีหรือไม่ แต่สุดท้ายก็ละทิ้งความคิดนั้นไป


ข้าเพิ่งมาถึงเอง จะหันหน้ากลับไปพึ่งตระกูลทุกครั้งที่เกิดปัญหาไม่ได้… ถ้าเป็นเช่นนั้นข้าจะเหลือศักดิ์ศรีอะไรอีกเล่า! สีหน้าของเฉินมู่มืดมนและอมทุกข์ เขาคิดอยู่สักพักก่อนหยิบแผ่นหยกของตนออกมา ชายหนุ่มติดต่อสหพันธรัฐเพื่อร้องทุกข์การใช้อำนาจโดยมิชอบของหวังเป่าเล่อ ซึ่งทำให้การดำเนินงานภายในเขตปกครองตนเองต้องหยุดชะงัก และยังบอกเวินไหวและฟางจิ้งให้ติดต่อเจ้านครดาวอังคารด้วย


เฉินมู่ตั้งใจจะแก้ปัญหานี้โดยการใช้อำนาจรัฐ!


ขณะที่ทั้งสองฝ่ายกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือดเรื่องกำแพง ไม่มีผู้ใดรับรู้ว่าภายนอกนครใหม่ ณ บริเวณที่ปากทางเข้าสุสานใหม่เพิ่งถูกผนึก แม้ซากศพของอสูรร้ายจะถูกกำจัดไปเรียบร้อย และการก่อสร้างฐานที่มั่นก็เดินหน้าตามคำสั่งของหวังเป่าเล่อ ทว่าก้อนเนื้อก้อนหนึ่งเริ่มสั่นไหวอย่างช้าๆ มันค่อยๆ ขยายขนาดใหญ่ขึ้นใต้ผืนดิน จนกระทั่งกลายเป็นรูปร่างของมนุษย์ จากนั้นมือของร่างที่อยู่ใต้ดินก็ค่อยๆ ทะลวงออกมาเหนือพื้นดิน


มือนั้นปลดปล่อยพลังประหลาดออกมา ที่ทำให้ทุกคนซึ่งอยู่รายรอบสัมผัสไม่ได้และมองไม่เห็น มันตะครุบพื้นดินเอาไว้ และค่อยๆ ลากร่างที่อยู่ใต้ดินของตนขึ้นมาเหนือพื้น


ร่างนั้นดูยังไม่คุ้นชินกับกายใหม่ของตนเอง มันยืนอยู่ตรงนั้นหลังจากปีนออกจากพื้นดินเรียบร้อย และขยับร่างกายของตนเองในท่วงท่าแสนประหลาด หลังจากผ่านไปสักพัก ชายผู้นั้นก็เริ่มเคยชินกับร่างใหม่ ชุดคลุมสีดำปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่าเพื่อห่อหุ้มร่างกายของเขาเอาไว้ ริมฝีปากที่แอบซ่อนอยู่เบื้องหลังชุดคลุม ค่อยๆ ขยับขึ้นเป็นรอยยิ้มบาง


“ในที่สุดข้าก็เป็นอิสระ” เสียงแหบหยาบดังลอดออกจากริมฝีปาก ชายผู้นั้นเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย พร้อมประกายประหลาดในดวงตาขณะมองไปยังนครใหม่


ในตอนที่แสงอาทิตย์อัสดงกำลังลาลับโลก ใบหน้าของชายผู้นั้นก็เผยออกเล็กน้อยจากภายใต้ผ้าคลุม ใบหน้านั้นเหี่ยวย่นด้วยริ้วรอย… ผ่านไปพักใหญ่ชายผู้นั้นก็ก้มหน้าลง ร่างของเขาสั่นเทาก่อนจะหายวับไป ดูเหมือนว่าชายผู้หน้ากำลังมุ่งหน้าไปที่นครใหม่…


บทที่ 398 เด็ดเดี่ยวจนวินาทีสุดท้าย!

โดย

Ink Stone_Fantasy

เวลาเดินหน้าผ่านไป จนล่วงเลยไปถึงสามวัน!


กำแพงสูงที่โอบล้อมเขตปกครองตนเองทั้งสามสร้างเสร็จเมื่อหนึ่งวันก่อน ภายใต้การนำภารกิจของหลินเทียนหาว ความสูงของกำแพงได้เพิ่มขึ้นมากจากที่คาดคิดไว้ในตอนแรก หากมองจากระยะไกลแล้ว กำแพงนี้ดูเหมือนขุนเขาที่สูงนำหน้าตึกระฟ้าภายในเขตปกครองตนเองทั้งสามเขตไปไกล เห็นได้ชัดว่าการก่อสร้างนี้เป็นโครงการที่ยิ่งใหญ่และใช้ทรัพยากรมากล้น


นครใหม่พรั่งพร้อมด้วยทรัพยากรและแรงงาน ไม่ว่ากำแพงจะสูงหรือหนาเพียงใด ก็สามารถสร้างให้เสร็จได้ภายในเวลาอันสั้น หลังจากที่สร้างกำแพงเสร็จเรียบร้อย หลินเทียนหาวก็ไม่ได้สนใจแม้แต่น้อยว่าเฉินมู่และคนอื่นๆ ที่อยู่ในเขตของตนจะรู้สึกอย่างไร แต่ก็พอเดาได้ว่าเมื่อมองออกมาเห็นกำแพงยักษ์สูงสามร้อยเมตร พวกเขาน่าจะตึงเครียดและกดดันไม่น้อย


หลินเทียนหาวคาดการณ์ถูกจริงๆ เสียด้วย…


เวินไหวกำลังแทบคลั่งอยู่หลังกำแพง เขามองกำแพงยักษ์ที่ตระหง่านอยู่นอกเขตของตนแล้วก็อดรู้สึกกดดันไม่ได้ ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนตัวเองและพรรคพวกกลายเป็นอาชญากร ที่ต้องถูกคุมขังปิดตายไม่ให้เห็นเดือนเห็นตะวัน


ฟางจิ้งก็รู้สึกเช่นเดียวกัน สีหน้าของนางมืดมน ความรู้สึกไม่พอใจของนางไม่เพียงพุ่งตรงไปที่ยังหวังเป่าเล่อนางยังรู้สึกขุ่นเคืองเฉินมู่อีกด้วย แรกเริ่มเดิมที หลังจากที่เดินทางมาถึงและเริ่มปกครองอาณาเขตของตนเอง ฟางจิ้งและเวินไหวไม่จำเป็นต้องสร้างความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดกับหวังเป่าเล่อแม้แต่น้อย แต่เฉินมู่กลับโอหังเกินตัว และทั้งสองที่ยังรู้สึกลังเลไม่แน่ใจก็ไม่ได้โต้แย้งความคิดของเฉินมู่


ตอนนี้หวังเป่าเล่อเพียงแค่แสดงความโหดเหี้ยมให้พวกเขาเห็นเป็นน้ำจิ้มเท่านั้น แต่นั่นก็ทำให้พวกเขารู้สึกอึดอัดใจเหลือเกินแล้ว แม้คนทั้งสามจะติดต่อสหพันธรัฐและนครดาวอังคารเป็นที่เรียบร้อย แต่พวกเขาไม่ได้รับคำตอบทันใจ และยิ่งทำให้ทุกคนปวดหัวมากขึ้นไปอีก


เฉินมู่เองก็ปวดหัวตุบเช่นกัน เขาร้องเรียนเรื่องหวังเป่าเล่อไปที่สหพันธรัฐ และทำแม้กระทั่งส่งข้อความไปหาเจ้านครดาวอังคารเพื่อขอร้องทุกข์ แต่ก็ได้รับกลับมาเพียงความเงียบ… และเฉินมู่ก็รู้สึกว่าการจี้เอาคำตอบไม่ใช่เรื่องฉลาด ชายหนุ่มมองสามวันเคลื่อนผ่านไป กำแพงสูงตระหง่านล้อมรอบอาณาเขตของเขาไว้เหมือนเทือกเขาสูงบดบังแสงสว่างไม่ให้ส่องเข้ามา ชายหนุ่มเริ่มกระวนกระวายนั่งไม่ติดเช่นกัน


หากเรื่องจบเพียงแค่นั้น… เขาก็คงพอทนไปก่อนจนกว่าจะได้รับคำตอบจากสหพันธรัฐและนครดาวอังคารได้ แต่เฉินมู่ไม่เข้าใจว่าหลินเทียนหาวคิดอะไรอยู่กันแน่ หลังจากที่สร้างกำแพงเสร็จเรียบร้อยแล้ว หลินเทียนหาวดูเหมือนจะคิดว่ากำแพงนั้นยังสูงไม่พอ จึงเข้าพบหวังเป่าเล่อเพื่อขออนุมัติสร้างกำแพงให้สูงขึ้นกว่าเดิม


หวังเป่าเล่อรู้สึกว่าตนไม่ควรหักหาญความตั้งใจทำงานของหลินเทียนหาว จึงพยักหน้าอนุมัติคำขอ หลินเทียนหาวรีบเดินหน้าสร้างกำแพงต่อทันที โดยกำชับให้สร้างกำแพงให้สูงขึ้นอีก!


ข้าเพียงแต่ตอบรับข้อกังวลของท่านเจ้าเมืองเท่านั้น และตั้งใจจะแก้ปัญหาเพื่อให้ท่านเจ้าเมืองสุขกายสบายใจ หากทำแบบนี้ ข้าก็จะได้ประกาศตัวอย่างชัดเจนว่ายืนอยู่ข้างใคร และจะเป็นการสานสัมพันธ์ของเราให้แน่นแฟ้นขึ้นไปอีก! หลินเทียนหาวพอใจกับการตัดสินใจของตนเองเป็นอันมาก ตั้งแต่กลายมาเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของหวังเป่าเล่อ เขาก็เข้าใจดีว่าตนเองยืนอยู่ตรงไหน และยังรู้ด้วยว่าตนเองไม่มีเหตุให้ต้องไปแข่งขันกับหลิวต้าวปิน


หลิวต้าวปินเป็นเพียงเลขานุการเท่านั้น ทำได้อย่างมากก็จัดการเรื่องต่างๆ ให้เรียบร้อย แต่ที่ข้าอยากเป็นคือ… ผู้ที่ทำภารกิจสำคัญต่างๆ ให้ลุล่วง อย่างที่หาใครมาแทนที่ไม่ได้!


หลินเทียนหาวเริ่มกระวีกระวาดทำงานอีกครั้ง ส่วนเฉินมู่และพรรคพวกก็กำลังจะใกล้คลั่ง เมื่อมองเห็นกำแพงสูงขึ้นเรื่อยๆ ผู้ฝึกตนนับไม่ถ้วนเดินหน้าก่อสร้างกำแพงเมืองต่อไปทั้งวันทั้งคืน ความกดดันที่ถาโถมลงมาใส่คนทั้งสามเริ่มทวีความรุนแรงมากขึ้น ทั้งสามเริ่มกลัวใจหลินเทียนหาว ว่าจะสร้างฝามาครอบกำแพงเอาไว้ให้ปิดตายสมบูรณ์แบบ…


“หลินเทียนหาวมันสุนัขรับใช้ชัดๆ !”


“หวังเป่าเล่อบอกแค่ให้สร้างกำแพง แต่หลินเทียนหาวกลับทำเกินหน้าที่ นี่เขาคิดจะสร้างสุสานหินให้พวกเราเช่นนั้นหรือ พยายามจะปิดให้เราเน่าตายอยู่ในนี้หรืออย่างไร”


ไม่ได้มีเพียงเฉินมู่และพรรคพวกเท่านั้นที่กำลังคลั่งและหวาดกลัว ผู้ฝึกตนจากกลุ่มอำนาจต่างๆ ที่ถูกจองจำอยู่เบื้องหลังกำแพงก็เช่นกัน ทุกคนล้วนตกใจกับการตัดสินใจสุดบ้าบิ่นของหลินเทียนหาว และเริ่มก่นด่าชายหนุ่มอยู่ในใจ เฉินมู่และพรรคพวกควบคุมโทสะของตนเอาไว้ไม่ได้อีกต่อไป พวกเขานำฝูงชนไปที่กำแพงเพื่อที่จะพังมันและปลดปล่อยตนเองให้เป็นอิสระ


ขณะที่กลุ่มผู้ประท้วงกำลังจะแหกกำแพงออกมา ผู้ฝึกตนที่เฝ้าเวรยามอยู่ก็รีบรุดมาถึง พวกเขาล้อมกำแพงเอาไว้ในทันที หลินเทียนหาวปรากฏตัวเหนือกำแพง มองลงมายังเฉินมู่และพรรคพวก ก่อนพูดอย่างไร้ความรู้สึก


“นายกเทศมนตรีเฉิน จงหยุดเดี๋ยวนี้!”


“หลินเทียนหาว เจ้ากล้าสั่งให้ข้าหยุดเช่นนั้นหรือ!” เฉินมู่เงยหน้าขึ้นมองหลินเทียนหาวตาไม่กะพริบ ประกายเย็นชาวาบเข้ามาในแววตา


“หยุดเจ้าเช่นนั้นหรือ” หลินเทียนหาวเลิกคิ้วหรี่ตา เสียงของเขาก้องกังวานในอากาศ


“ท่านเจ้าเมืองออกคำสั่งมา เนื่องจากยังมีอสูรร้ายเพ่นพ่านอยู่ภายนอกหลังจากที่เกิดปากทางเข้าสุสานใหม่ กองทัพจึงต้องควบคุมความปลอดภัยให้เขตปกครองตนเองทั้งสาม ห้ามใครเข้าออกแม้แต่คนเดียวหากไม่ได้รับอนุญาต!”


“หลินเทียนหาว เจ้าต้องการตั้งตนเป็นปฏิปักษ์กับตระกูลนภาห้าสมัยเช่นนั้นหรือ” เฉินมู่ไม่พูดพร่ำทำเพลงอีกต่อไปขณะพูดคุยกับหลินเทียนหาว ความเย็นชาในแววตาของเขาทวีความรุนแรงขึ้นอีก พลังปราณในกายเริ่มกระจายออกมารอบตัว


เวินไหว ฟางจิ้ง และผู้ฝึกตนคนอื่นๆ ก็เช่นกัน ทุกคนดูพร้อมออกศึก


หลินเทียนหาวเพียงแต่หัวเราะเยาะเมื่อได้เห็นภาพนั้น เขาตั้งหน้าตั้งตาพูดสิ่งที่ตนเองต้องการสื่อต่อ


“ผู้ที่ฝ่าฝืนจะถูกประหาร!”


“เจ้ากล้าทำถึงเพียงนั้น!” เฉินมู่ตะโกนก้อง เขากำลังจะพุ่งตัวขึ้นในอากาศ แต่เมื่อหลินเทียนหาวโบกมือ เหล่าผู้ฝึกตนที่คุ้มกันกำแพงอยู่ก็ระเบิดพลังปราณออกมาทันที หลายคนยังหยิบวัตถุเวทออกมาด้วย หากเฉินมู่และนายกเทศมนตรีอีกสองคนกล้าเข้ามาโจมตี พวกเขาก็จะจัดการผู้ประท้วงเหล่านี้ได้โดยปราศจากข้อกังขา


ตอนนั้นเอง พลังปราณของผู้ฝึกตนระดับกำเนิดแก่นในจากกองทัพ ก็พุ่งตรงไปที่ผู้ฝึกตนระดับกำเนิดแก่นในในเขตของเฉินมู่และพรรคพวก พลังปราณจากทั้งสองฝั่งพุ่งเข้าปะทะกัน แม้กระทั่งหวังเป่าเล่อยังต้องหยุดการถือสันโดษ ชายหนุ่มโบกมือปลุกพลังของวงแหวนปราณ เพื่อที่จะได้สังเกตการณ์ว่ามีอะไรเกิดขึ้นในนครของเขากันแน่ แววความคาดหวังลุกโชนอยู่ในดวงตา


บรรยากาศเต็มไปด้วยความตึงเครียด การต่อสู้ปะทุขึ้นได้ทุกเมื่อ สีหน้าของเฉินมู่นิ่งขึงและเต็มไปด้วยโทสะ ดูเหมือนว่าเขากำลังจะพุ่งเข้าโจมตี แต่ทันใดนั้นเอง ร่างหนึ่งก็พุ่งเข้ามาจากกำแพงที่อยู่ไกลๆ ร่างนั้นปรากฏโดยฉับพลัน หลี่หว่านเอ๋อร์นั่นเอง


“พอได้แล้ว!” หลี่หว่านเอ่อร์ปรากฏกาย สีหน้าเต็มไปด้วยความโกรธ นางตะโกนก้อง เสียงตะโกนนั้นไม่ได้หมายให้ไปถึงหลินเทียนหาวเท่านั้น แต่เป็นเฉินมู่และพรรคพวกด้วย


หลินเทียนหาวลังเลอยู่ในใจ แต่หลี่หว่านเอ๋อร์เป็นถึงรองเจ้าเมือง ชายหนุ่มจึงก้มศีรษะและถอยหลังไปสองสามก้าว เมื่อเฉินมู่เห็นหลี่หว่านเอ๋อร์ปรากฎกาย ความกล้าของเขาก็พุ่งกลับมาเหมือนเดิมอีกครั้ง ชายหนุ่มกำลังจะกระโจนขึ้นไปในอากาศ แต่หลี่หว่านเอ๋อร์ก็หันหน้ากลับมาจ้องเขาเขม็ง


สายตาของนางเต็มไปด้วยความไม่พอใจและความโกรธเคือง ทำให้เฉินมู่ตัวแข็งอยู่กับที่ สีหน้าของเขาก็มืดมนลงเช่นกัน


“นายกเทศมนตรีเฉินและทุกคน กรุณากลับไปที่ของท่านด้วย ข้าจะจัดการเรื่องนี้เอง!”


“ท่านรองเจ้าเมืองหลี่ การกระทำของเจ้าเมืองหวังทำให้ความคืบหน้าในการก่อสร้างเขตใหม่ต้องหยุดชะงัก!” เฉินมู่จิตใจปั่นป่วน เขารู้สึกว่าหากหลี่หว่านเอ๋อร์พยายามต่อต้านหวังเป่าเล่อมากกว่านี้ หวังเป่าเล่ออาจยอมอ่อนข้อให้ จากที่เขาสังเกตดูแล้ว หลี่หว่านเอ๋อร์อาจต่อกรกับหวังเป่าเล่อได้ด้วยการสนับสนุนจากเขาและนายกเทศมนตรีอีกสองคน แม้โอกาสชนะอาจไม่เต็มร้อย แต่นางก็น่าจะสู้กับหวังเป่าเล่อได้พอสูสี


“เรื่องนี้…” หลี่หว่านเอ๋อร์ขมวดคิ้ว นางกำลังจะเอ่ยปาก แต่ทันใดนั้นก็มีเสียงเคลื่อนไหวดังวูบมาจากระยะไกล หลี่หว่านเอ๋อร์เงยหน้าขึ้นมอง ไม่นานนักทุกคนก็เห็นเรือบินยักษ์สิบกว่าลำเคลื่อนตรงมายังเขตนครใหม่จากระยะไกล


เรือบินนับสิบลำมีสัญลักษณ์ของตระกูลนภาห้าสมัยสลักอยู่ และดูเหมือนจะมาเพื่อส่งทรัพยากรรอบสุดท้าย ก่อนที่จะมีกำแพง เรือบินส่งทรัพยากรเหล่านี้จะมาส่งของทุกสองสัปดาห์ และมักลงจอดเทียบท่าภายในเขตปกครองตนเองเสมอ นอกจากทรัพยากรเพื่อการสร้างเมืองแล้ว เรือบินเหล่านี้ยังขนวัสดุอุปกรณ์ในการฝึกปราณมาเต็มลำ


ในตอนนี้ เรือบินเหล่านี้ยังคงเดินหน้ามาที่เขตปกครองตนเองเหมือนที่เคยทำเป็นประจำ แต่ก่อนที่จะเข้าถึงเขตปกครองตนเอง วงแหวนปราณขนาดยักษ์ก็เรืองแสงขึ้น และลดระดับลงมาจากท้องฟ้า ก่อนกระจายตัวออกจนปกคลุมเรือบินไว้ครบทุกลำ พลังจากวงแหวนปราณหยุดยั้งเรือบินเอาไว้ไม่ให้ไปต่อ กักเรือทุกลำเอาไว้ในวงแหวนปราณเรืองแสง เรือบินเหล่านั้นเดินหน้าต่อไปไม่ได้ แต่ก็ถอยหลังกลับไม่ได้เช่นกัน


ภาพนี้ทำให้เฉินมู่และพรรคพวกตกใจมาก สมาชิกตระกูลนภาห้าสมัยที่อยู่ภายในเรือบินก็ตกใจเช่นกัน ก่อนที่ทุกคนจะได้ทำอะไร กงเต๋าซึ่งมีหน้าที่รักษาน่านฟ้าและควบคุมกองทัพของนครใหม่ก็ปรากฏกายพร้อมผู้ใต้บังคับบัญชา ก่อนทะยานขึ้นไปในอากาศเพื่อเผชิญหน้ากับฝูงเรือบินเหล่านั้น


“ไม่นานมานี้ปากทางเข้าสุสานอาวุธเทพใต้ดินใหม่เพิ่งปรากฏออกมา ท่านเจ้าเมืองออกคำสั่งให้ใช้กฎทางทหารอย่างรัดกุม ห้ามเรือบินลำใดเดินทางเข้าออกเขตเมืองใหม่โดยเด็ดขาด ผู้ใดที่ขัดขืนจะถูกกำจัด!”


ทันทีที่พูดจบ กงเต๋าก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงอีกต่อไป เขาสั่งให้ยึดเรือบินทั้งหมดเอาไว้ทันที เรือบินเหล่านั้นถูกบังคับให้ลงจอดเทียบท่ายังจุดที่จัดเอาไว้ให้ ทั้งถูกกองทัพเข้าล้อม และยังถูกกักอยู่ในวงแหวนปราณอีกด้วย หวังเป่าเล่อที่นั่งอยู่ในห้องทำงานของตนปลุกพลังของวงแหวนปราณขึ้นอีกเพื่อป้องกันเรื่องไม่น่าพึงประสงค์ ผู้ที่อยู่ในเรือบินรู้สึกได้ถึงพลังคุกคามทันที หลังจากนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง ทุกคนก็ตัดสินใจว่าจะไม่ขัดขืน


ทันทีที่ทุกคนออกจากเรือบินเรียบร้อย พวกเขาก็ตระหนักว่ากงเต๋าและกองทัพกำลังจะยึดทรัพยากรที่ตนเองขนมาจากโลก ผู้อาวุโสที่มีขั้นปราณระดับรากฐานตั้งมั่นชั้นสมบูรณ์ผู้หนึ่งบันดาลโทสะขึ้นมาทันที


“ผู้ใดกันที่บังอาจแตะทรัพยากรของตระกูลนภาห้าสมัย หรือจะเป็นหวังเป่าเล่อ บอกให้หมอนั่นมาพบข้าเดี๋ยวนี้!”


ทันทีที่ผู้อาวุโสคนนั้นพูดจบ วงแหวนปราณที่ปกคลุมทั้งนครเอาไว้ก็สั่นสะเทือน สายฟ้ามากมายนับไม่ถ้วนพันเกี่ยวกันอยู่บนท้องฟ้า ก่อนก่อตัวเป็นใบหน้าหนึ่งจากระยะไกล ใบหน้าของหวังเป่าเล่อนั่นเอง


ใบหน้านั้นเกิดจากการรวมตัวกันของพลังวงแหวนปราณ ทั้งยังปล่อยพลังรุนแรงออกมา พลังดังกล่าวโถมลงมายังผู้อาวุโสที่กำลังโกรธเกรี้ยว ทำให้ชายผู้ซึ่งก่อนหน้านี้เต็มไปด้วยโทสะตื่นตกใจในทันที


ความรู้สึกมากมายวาบขึ้นบนใบหน้าของผู้อาวุโส จากนั้นเสียงของหวังเป่าเล่อก็ดังก้องไปทั่วฟ้า ผ่านวงแหวนปราณที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลาง


“เจ้าอยากพบข้าหรือ”


บทที่ 399 หลักประกันทางการทหารของหวังเป่าเล่อ!

โดย

Ink Stone_Fantasy

วงแหวนปราณประจำนครอาวุธเทพใหม่มีต้นกำเนิดมาจากอภิมหาวงแหวนปราณดาวอังคาร ซึ่งเป็นวงแหวนปราณที่ทรงพลังมาก ก่อนที่จะสร้างเขตนครใหม่ เจ้านครดาวอังคารเป็นผู้เดียวในดาวอังคารที่มีอำนาจควบคุมวงแหวนปราณมากที่สุด ผู้อื่นไม่สามารถใช้พลังของวงแหวนปราณได้จนถึงขีดสุด ทำได้เพียงยืมพลังของมันมาใช้เป็นครั้งคราวเพื่อช่วยในการทำภารกิจเท่านั้น


แต่เมื่อเริ่มก่อสร้างเขตนครใหม่ ภาระในการผนึกสุสานอาวุธเทพใหม่ที่เกิดขึ้นนั้นหนักหนาเกินไป เจ้านครดาวอังคารจึงมอบอำนาจให้หวังเป่าเล่อสามารถควบคุมพลังของวงแหวนปราณได้พอสมควร ทำให้ชายหนุ่มควบคุมวงแหวนปราณภายในเขตนครใหม่ได้


แม้ขอบเขตการเข้าถึงพลังวงแหวนปราณของหวังเป่าเล่อจะสูง แต่ก็ยังมีข้อจำกัดอยู่ จนกระทั่งหวังเป่าเล่อส่งคำขอเปลี่ยนเขตนครให้เป็นนครอย่างเป็นทางการ จึงทำให้เกิดนครแห่งที่สองบนดาวอังคารขึ้น หลังจากนั้นจึงมีการปรับปรุงโครงสร้างของวงแหวนปราณ ผลก็คือวงแหวนปราณที่เจ้าเยี่ยเหมิงออกแบบกลายมาเป็นวงแหวนปราณหลักที่ผสานเข้ากับอภิมหาวงแหวนปราณดาวอังคาร


หวังเป่าเล่อมีสิทธิ์เข้าถึงและควบคุมวงแหวนปราณเป่าเล่อผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งเจ้าเยี่ยเหมิงออกแบบได้อย่างเบ็ดเสร็จ เขาสามารถใช้วงแหวนปราณของเจ้าเยี่ยเหมิงปลุกพลังของอภิมหาวงแหวนปราณดาวอังคารได้ นอกจากนี้ เมื่อได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าเมือง เขายังได้สิทธิ์ควบคุมอภิมหาวงแปวนปราณดาวอังคารอีกด้วย ผลก็คือ แม้พลังปราณของหวังเป่าเล่อจะยังอยู่ในขั้นรากฐานตั้งมั่นชั้นปลาย แต่เขาก็สามารถสำแดงพลังที่แข็งแกร่งผ่านวงแหวนปราณภายในนครแห่งที่สองของดาวอังคารแห่งนี้!


นี่คืออำนาจที่เจ้าเมืองของนครใหม่ และขุนนางระดับสามชั้นสูงมีอยู่ในมือ ไม่เช่นนั้นหากเขามีปราณเพียงขั้นรากฐานตั้งมั่นชั้นปลาย เขาจะสร้างความน่าเกรงขามและยำเกรงจากผู้คน หรือแบกรับภาระในการควบคุมสุสานที่เกิดใหม่ไว้ได้อย่างไร


แต่อำนาจการเข้าถึงพลังของวงแหวนปราณที่หวังเป่าเล่อมีก็จำกัดอยู่ภายในนครใหม่เท่านั้น เมื่อออกไปนอกนคร เขาแทบไม่สามารถควบคุมอภิมหาวงแหวนปราณดาวอังคารได้เลย ทันทีที่พลังของวงแหวนปราณระเบิดออกมา ผู้อาวุโสจากตระกูลนภาห้าสมัยที่มีปราณขั้นรากฐานตั้งมั่นชั้นสมบูรณ์ก็หยุดหายใจไปชั่วขณะ เขารู้สึกได้ถึงรังสีรุนแรงที่กดทับลงมาบนศีรษะของเขา และมันมีพลังมากพอที่จะตัดสินความเป็นความตายของเขาได้


เฉินมู่และพรรคพวกก็ตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าเช่นกัน แม้แต่หลี่หว่านเอ๋อร์ยังหันไปมองใบหน้าพร่ามัวของหวังเป่าเล่อบนฟ้าด้วยสายตาเปี่ยมความหมาย นางเองก็เข้าถึงพลังของอภิมหาวงแหวนปราณดาวอังคารได้ระดับหนึ่งเช่นกัน แต่ด้วยเหตุการณ์นี้ทำให้หญิงสาวเข้าใจแจ่มแจ้งว่าระดับการเข้าถึงพลังวงแหวนปราณภายในนครใหม่นี้ของนางไม่ได้สูงเท่าของหวังเป่าเล่อ


เมื่อหวังเป่าเล่อพูดจบ ความเงียบก็เข้าปกคลุมทั้งบริเวณ ผู้อาวุโสจากตระกูลนภาห้าสมัยที่มีปราณขั้นรากฐานตั้งมั่นชั้นสมบูรณ์เริ่มมีเหงื่อผุดบนหน้าผากอย่างควบคุมไม่ได้ เขาสูดหายใจเข้าลึก ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องก้มหัวยกมือขึ้นคารวะใบหน้าหวังเป่าเล่อที่อยู่บนฟากฟ้า


เขารู้ดีว่าตนเองสู้หวังเป่าเล่อไม่ได้ แม้ตนเองจะมีปราณขั้นรากฐานตั้งมั่นชั้นสมบูรณ์ หรือที่เรียกกันว่าปราณขั้นกำเนิดแก่นในแบบครึ่งใบ แต่เขายังตามหลังหวังเป่าเล่ออยู่ไกลทั้งด้านความสามารถและบรรดาศักดิ์ หวังเป่าเล่อมีอนาคตที่สดใสทอดยาวอยู่เบื้องหน้า การที่เขาบรรลุขั้นปราณระดับสูงได้ก็เป็นเครื่องพิสูจน์เป็นอย่างดีว่าชายหนุ่มมีความสามารถที่ยอดเยี่ยมเพียงใด นอกจากนี้เขายังมียศเป็นถึงขุนนางระดับสามชั้นสูงด้วย


หากนี่เป็นอารยธรรมแบบเต๋าที่แท้จริง ผู้อาวุโสคนนี้อาจทำอะไรได้ง่ายกว่านี้ แต่โลกมนุษย์เต็มไปด้วยกฎระเบียบมากมาย รวมถึงมีลำดับขั้นของการปกครองและระบบอุปถัมภ์ ระบอบนี้มีมาช้านานหลายพันปี และไม่ใช่สิ่งที่จะแก้ไขกันได้ภายในเวลาไม่กี่สิบปีของยุคกำเนิดวิญญาณ


“ข้าบันดาลโทสะจึงทำให้ไม่ระมัดระวังคำพูด โปรดให้อภัยข้าด้วยเถิดขอรับท่านเจ้าเมือง… แต่ข้าได้รับมอบหมายให้ส่งทรัพยากรให้ถึงที่หมาย จึงใคร่ขอทราบเหตุผลของท่านในการยึดทรัพยากรที่พวกข้าต้องการนำมาส่งด้วย!” ผู้อาวุโสที่มีปราณขั้นรากฐานตั้งมั่นชั้นสมบูรณ์ก้มหัวลงพร้อมเอื้อนเอ่ย เขาตั้งใจเลือกคำพูดเป็นอย่างดี ไม่เช่นนั้นหากปล่อยให้ทรัพยากรของตระกูลนภาห้าสมัยถูกยึดไป เขาคงต้องถูกลงโทษเมื่อกลับไปเหยียบตระกูลเป็นแน่


ผู้อาวุโสใจเย็นลงแล้ว จึงทำให้น้ำเสียงของเขาอ่อนลงด้วย เขาเลือกใช้คำว่า “เหตุผล” แทน “คำอธิบาย” ความแตกต่างระหว่างสองคำนี้บอกได้เป็นอย่างดีว่าเขาต้องการจะสื่อสิ่งใด


“เหตุผลเช่นนั้นหรือ” สีหน้าของหวังเป่าเล่อที่อยู่บนฟากฟ้าซึ่งเกิดจากพลังอำนาจของวงแหวนปราณดูสงบนิ่ง น้ำเสียงที่เปล่งออกมาไร้ความรู้สึกใดๆ


“นายกเทศมนตรีกงเต๋าไม่ได้แจ้งให้ท่านทราบหรือ มีสุสานใต้ดินแห่งใหม่เกิดขึ้นเมื่อหลายวันก่อน ทั้งนครกำลังเฝ้าระวังภัยเป็นอย่างมาก เรื่องนี้อาจชี้เป็นชี้ตายว่านครจะตกอยู่ในอันตรายใหญ่หลวงหรือไม่ เรือบินลำใดก็ตามที่เข้ามาในน่านฟ้าจะต้องอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของเรา ส่วนเรื่องทรัพยากรนั้น… จะถูกนำไปเก็บไว้ในที่ปลอดภัยภายในนครใหม่!”


“นอกจากนี้… พวกเจ้ามีเวลาสองชั่วโมงที่จะออกไปจากที่นี่!” เสียงของหวังเป่าเล่อก้องกังวานในอากาศ ใบหน้าของเขาค่อยๆ สลายหายไปจากสายตา แม้ใบหน้าของชายหนุ่มจะหายไปแล้ว แต่พลังกดดันจากคำพูดของเขายังคงอยู่ และทำให้ผู้อาวุโสจากตระกูลนภาห้าสมัยที่มีปราณขั้นรากฐานตั้งมั่นชั้นสมบูรณ์ได้สติในทันที


ไม่ใช่เพียงเขาเท่านั้น กงเต๋ายังเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าที่ค่อยๆ สลายหายไปด้วย เขารู้สึกได้ถึงความเด็ดขาดจากคำพูดของหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มรู้ดีว่าหวังเป่าเล่อตัดสินใจแล้วว่าจะสั่งสอนเฉินมู่และพรรคพวกให้ถึงที่สุด ด้วยเหตุนี้ กงเต๋าจึงจริงจังกับการปฏิบัติหน้าที่มาก


กงเต๋าไม่สนใจว่าตนเองจะไปทำให้ใครไม่พอใจเข้า หวังเป่าเล่อไม่เพียงช่วยชีวิตเขาไว้ แต่ยังมีบุญคุณในการช่วยให้เขาได้เลื่อนตำแหน่ง ทั้งความรู้สึกและเหตุผลบอกกงเต๋าว่า เขาต้องช่วยเหลือหวังเป่าเล่อ


ผู้อาวุโสจากตระกูลนภาห้าสมัยที่มีปราณขั้นรากฐานตั้งมั่นชั้นสมบูรณ์ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องสละทรัพยากรทั้งหมด ท่ามกลางการควบคุมดูแลอย่างเข้มงวดของกงเต๋า ก่อนจะจากไป เขามีโอกาสได้มองกำแพงยักษ์ที่โอบล้อมเขตปกครองตนเองอย่างเต็มตา ผู้อาวุโสส่ายหน้าและถอนหายใจ ก่อนจะรีบรายงานเรื่องนี้ให้ผู้บังคับบัญชาทราบ


เฉินมู่และพรรคพวกเงียบลงเช่นกัน แม้จะไม่เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นโดยละเอียด แต่ก็พอเดาได้จากระยะไกล พวกเขาเห็นทรัพยากรของตนถูกยึดไป ขณะที่ตัวเองถูกจองจำอยู่ในเขตของตน ความรู้สึกที่ว่าตนเองถูกตัดแข้งตัดขาทำให้ความโกรธเกลียดทวีขึ้นในใจ แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้


ทุกคนรู้อยู่แก่ใจดีว่าเรื่องนี้มีทางออกอยู่ทางเดียวเท่านั้น แต่ก็เป็นทางออกที่เฉินมู่ เวินไหว และฟางจิ้ง ไม่อยากยอมรับ ทางออกนั้นก็คือ… ยอมศิโรราบอยู่แทบเท้าหวังเป่าเล่อ และยอมให้หวังเป่าเล่อเข้าควบคุมเขตของพวกเขา!


“ไม่มีทางอื่นอีกแล้ว ข้าต้องรายงานให้ตระกูลของข้าทราบ เวินไหว ฟางจิ้ง พวกเจ้าก็ควรรีบรายงานให้สำนักของตัวเองทราบเรื่องนี้เช่นกัน เราจะไม่มีวันยอมอ่อนข้อให้หมอนั่นเป็นอันขาด!” ผ่านไปสักพัก เฉินมู่ก็กัดฟันแน่นและเงยหน้าขึ้นมองหลินเทียนหาวที่ยืนอยู่บนกำแพง ชายหนุ่มมองหน้าหลี่หว่านเอ๋อร์ด้วยสายตาสื่อความนัย ก่อนจะหันหลังกลับไปในเขตของตนและรีบติดต่อตระกูลในทันที


ตระกูลนภาห้าสมัยก็ได้รับรายงานจากผู้อาวุโสคนนั้นแล้วเช่นกัน เมื่อได้ยินเรื่องราวจากมุมของเฉินมู่ พวกเขาก็เดือดพล่านด้วยความโกรธ และก้าวเข้ามายุ่งเกี่ยวด้วย


แต่ทุกคนประเมินความดื้อรั้นของหวังเป่าเล่อในการดัดนิสัยนายกเทศมนตรีใหม่ทั้งสามคนต่ำไป นอกจากตอนที่หวังเป่าเล่อจัดการปลดหลี่อี้กลางอากาศแล้ว ชายหนุ่มก็ไม่เคยแสดงนิสัยดื้อหัวชนฝาเช่นนี้อีก หวังเป่าเล่อปักธงเรียบร้อยแล้วว่าจะดำเนินการเรื่องนี้ให้ถึงที่สุด และจะไม่ยอมอ่อนข้อเด็ดขาดไม่ว่าจะด้วยอะไรก็ตาม!


ต่อให้ใครพยายามเปลี่ยนใจข้าก็ไม่เป็นผลทั้งนั้น เปล่าประโยชน์ ข้าจะรอดูจนกว่าคนพวกนั้นจะยอมจำนนอยู่แทบเท้าข้า! หวังเป่าเล่อที่นั่งอยู่ในห้องทำงานของตนเพิ่งวางสายจากเจ้านครไป ตอนแรกเขาเถียงอีกฝ่ายว่า ตนเองดำเนินตามมาตรการ เพราะปากทางเจ้าสุสานใต้ดินใหม่เพิ่งผุดขึ้นเมื่อไม่กี่วันก่อน เขาจำเป็นต้องทำเพื่อให้เขตทั้งสามอยู่รอดปลอดภัย จากนั้นชายหนุ่มยังบอกอีกว่าเขาถูกปรักปรำ สุดท้ายเขาก็ส่งเอกสารไปให้เจ้านคร หลังจากที่เจ้านครอ่านเอกสารเรียบร้อย หญิงสาวก็ไม่ได้พูดสิ่งใดอีกนอกจากยิ้ม นางไม่ประสงค์จะตามจี้เรื่องนี้อีกต่อไป


หลังจากวางสายจากเจ้านคร แหวนสื่อสารของหวังเป่าเล่อก็สั่นไม่หยุดด้วยข้อความที่ถาโถม ชายหนุ่มมองแหวนสื่อสารของตนเองอย่างรำคาญใจ และตัดสินใจไม่ตอบแม้แต่ข้อความเดียว หนึ่งในคนที่พยายามติดต่อเขาคือหลี่หว่านเอ๋อร์ อาการนิ่งเงียบของหวังเป่าเล่อทำให้นางตัดสินใจมาหาเขาถึงห้องทำงาน


สีหน้าของหลี่หว่านเอ๋อร์มืดหม่น ขณะบุกเข้ามาที่ห้องทำงานของหวังเป่าเล่อ นางพูดด้วยน้ำเสียงไร้ความรู้สึก


“ท่านเจ้าเมืองหวัง ทรัพยากรที่มาส่งรอบนี้มีความสำคัญมาก ท่านคิดจะคืนให้เขตปกครองตนเองได้เมื่อใด”


สีหน้าทะมึนและน้ำเสียงไม่เป็นมิตรของหลี่หว่านเอ๋อร์ หลังจากที่นางเห็นเขาดัดนิสัยเฉินมู่ทำให้หวังเป่าเล่อไม่พอใจเป็นอันมาก ชายหนุ่มหยิบขนมถุงออกมาเคี้ยวกินก่อนอ้าปากหาว


“ทรัพยากรที่มาส่งรอบนี้ต้องได้รับการตรวจสอบอย่างละเอียดถี่ถ้วนก่อน อาจคืนได้หลังคำสั่งจำกัดการเข้าออกเมืองถูกยกเลิกกระมัง”


“แล้วมันจะจบเมื่อไหร่เล่า” หลี่หว่านเอ๋อร์มองหวังเป่าเล่อด้วยสายตาเย็นชา


“เจ้าไม่น่ามาถามข้านะ เจ้าควรไปยืนถามสุสานอาวุธเทพใต้ดินมากกว่า มันเลิกผุดปากทางเข้าใหม่และเลิกก่อเหตุอสูรหลั่งไหลเมื่อใด ก็เมื่อนั้นอย่างไรเล่าที่ข้าจะยกเลิกคำสั่งจำกัดอาณาเขต” หวังเป่าเล่อกลอกตา เขาหยิบขวดน้ำเย็นหล่อวิญญาณมาดื่มอึกใหญ่ และรู้สึกได้ว่าอารมณ์ของตนดีขึ้นอย่างมาก


“ท่าน!” หลี่หว่านเอ๋อร์บันดาลโทสะขึ้นมาเมื่อได้ยิน นางรู้ดีว่าหวังเป่าเล่อตั้งใจจะบีบเฉินมู่และพรรคพวกให้ยอมจำนนให้จงได้ จึงหันหลังกลับและเดินจากไป ก่อนที่นางจะออกจากห้องไป หลี่หว่านเอ๋อร์ก็หายใจเข้าลึกและเอ่ยออกมาอย่างเย็นชา


“ท่านเจ้าเมืองหวัง ตอนที่ข้ามาถึงใหม่ๆ ท่านบอกเองว่าการก่อสร้างนครต้องมาเป็นอันดับหนึ่งเสมอ หากเรื่องยังเป็นเช่นนี้ต่อไป ข้าไม่รับประกันว่าความคืบหน้าในการก่อสร้างจะเป็นไปโดยเรียบร้อย” เมื่อพูดจบนางก็เปิดประตูห้องและเดินจากไปทันที


หวังเป่าเล่อวางขวดน้ำลงทันทีที่หลี่หว่านเอ๋อร์ออกไป ชายหนุ่มหรี่ตา จับน้ำเสียงข่มขู่ของหลี่หว่านเอ๋อร์ได้อย่างชัดเจน เขารู้ดีว่าหากเกิดอะไรขึ้นกับกระบวนการก่อสร้างนครใหม่ แม้ทุกคนจะได้รับผลกระทบถ้วนหน้า แต่ก็เป็นตัวเขาเองในฐานะเจ้าเมืองที่จะต้องแบกความรับผิดชอบหนักสุด


แต่หลี่หว่านเอ๋อร์ เจ้าไม่รู้เรื่องเอาเสียเลย สิ่งที่สหพันธรัฐสนใจจริงๆ ไม่ใช่เรื่องการสร้างนคร หากแต่เป็นกำแพงอาวุธเทพต่างหากเล่า… หวังเป่าเล่อยิ้มบาง หากเขาไม่ได้เริ่มเผด็จศึกแต่แรกก็คงไม่เป็นไร แต่ในเมื่อปฏิบัติการดัดนิสัยได้เริ่มขึ้นแล้ว หวังเป่าเล่อก็จะไม่ยอมถอยจนกว่าเฉินมู่และอีกสองคนที่เหลือจะยอมคุกเข่าลงต่อหน้า ด้วยเหตุนี้ชายหนุ่มจึงปัดคำขู่ของหลี่หว่านเอ๋อร์ออกจากความคิดทันที


นั่นเพราะเอกสารที่เขาส่งไปให้เจ้านคร คือเอกสารที่ระบุรายละเอียดการสำรวจสุสานใต้ดินของกงเต๋า ว่าความคืบหน้าในการสลายกำแพงเป็นไปถึงไหนแล้ว


รายงานนั้นระบุไว้อย่างชัดเจนว่า วงแหวนปราณของนครใหม่ทำให้กำแพงกร่อนไปได้อย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มยังระบุลงไปด้วยว่า ภายในเวลาสามปี กำแพงอาวุธเทพนี้จะไม่มีอีกต่อไป!


นี่คือหลักประกันทางการทหาร เป็นเหตุผลที่ทำให้หวังเป่าเล่อกล้าแสดงตนเป็นปฏิปักษ์กับตระกูลนภาห้าสมัย สำนักรุ่งสางจักรพิภพ และสำนักสหชุมนุมสกุณา!


การมองทะลุเปลือกนอกเข้าไปถึงแก่นของปัญหาที่แท้จริงนี่แหละ คือสิ่งที่ข้าเรียนรู้มาจากอัตชีวประวัติของเจ้าพนักงานระดับสูง ดูก็รู้ว่านี่คือสิ่งที่หลี่หว่านเอ๋อร์ไม่เข้าใจ! หวังเป่าเล่อตบพุงตนเองอย่างปรีดา ชายหนุ่มหยิบขนมออกมาอีกถุง และเริ่มเปิดออกเคี้ยวกร้วมๆ ด้วยสีหน้าภาคภูมิใจในตนเอง


บทที่ 400 จดหมาย

โดย

Ink Stone_Fantasy

ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังพึงพอใจในผลงานของตนเอง เฉินมู่และพรรคพวกกำลังเดือดพล่านด้วยความเกลียดชัง และหลี่หว่านเอ๋อร์กำลังพ่นควันออกหูพร้อมคำข่มขู่… ตระกูลนภาห้าสมัย สำนักรุ่งสางจักรพิภพ และสำนักสหชุมนุมสกุณา ก็ได้รับรายงานจากศิษย์ของตน ทุกคนทราบสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นที่นครใหม่ และต่างพลุ่งพล่านด้วยโทสะ


โดยเฉพาะตระกูลนภาห้าสมัยที่ถูกยึดทรัพยากรไป พวกเขาได้รับความเสียหายเป็นอันมาก และรีบเข้าพบประธานสหพันธรัฐโดยทันที


ประธานสหพันธรัฐให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นอันมาก เขาตั้งคณะสืบสวนสอบสวนพิเศษขึ้น โดยมีเจ้านครดาวอังคารเป็นผู้นำทัพ คณะนี้มีหน้าที่ดูแลสืบค้นเรื่องนี้โดยเฉพาะ


แม้สหพันธรัฐดูเหมือนตั้งใจเข้ามาช่วยแก้ปัญหาเรื่องนี้อย่างจริงจัง แต่ทั้งตระกูลนภาห้าสมัย สำนักรุ่งสางจักรพิภพ และสำนักสหชุมนุมสกุณา ก็กลับโกรธเกรี้ยวยิ่งกว่าเดิม พวกเขาไม่ใช่เด็กอมมือไม่ทันคนอย่างเฉินมู่ ทั้งสามกลุ่มอำนาจเต็มไปด้วยคนที่มากความสามารถและสติปัญญา และคุ้นเคยกับกลเม็ดทางการเมืองของสหพันธรัฐเป็นอย่างดี ทุกคนรู้ดีกว่า ท่าทีขึงขังในการรับมือปัญหาของสหพันธรัฐ เป็นเพียงฉากหน้าเพื่อที่จะหนีปัญหาและหลบเลี่ยงความรับผิดชอบที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต!


แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงเสียด้วย เจ้านครดาวอังคารนำคณะเข้าสอบสวนสิ่งที่เกิดขึ้น โดยสัญญาว่าจะให้คำตอบทุกคนภายในสองสัปดาห์


ความทุกข์ของเฉินมู่และพรรคพวกทวีขึ้นเมื่อทราบเรื่อง พวกเขาต้องอดทนกับการถูกจองจำมาระยะหนึ่งแล้ว คนนอกห้ามเข้า ส่วนคนในก็ห้ามออก แถมทรัพยากรทุกอย่างก็ถูกยึดเอาไว้เสียหมดสิ้น สำนักรุ่งสางจักรพิภพและสำนักสหชุมนุมสั่งให้เรือบินขนทรัพยากรของตนถอยหลังกลับกลางคันเมื่อได้เห็นตัวอย่าง


ผู้ฝึกตนส่วนใหญ่ที่ถูกขังอยู่ภายในเขตต่างรู้สึกอับจนหนทาง หากเรื่องนี้ดำเนินไปอีกสองสัปดาห์ ทุกคนคงได้อดตายของจริง


นั่นเพราะ… ผู้ฝึกตนหลังกำแพงส่วนใหญ่มีปราณเพียงขั้นการฝึกตนโบราณ ลมหายใจเที่ยงแท้ และรากฐานตั้งมั่นเท่านั้น จึงไม่สามารถอดทนต่อการไม่ได้รับอาหารและน้ำอย่างผู้ฝึกตนระดับกำเนิดแก่นในได้ พืชพันธุ์และข้าวล้วนยังเป็นสิ่งสำคัญในการดำรงชีวิตของพวกเขา น้ำเองก็เช่นกัน


ดาวอังคารมีระบบจัดการน้ำดื่มเป็นของตนเอง แต่ก็ยังต้องใช้พลังงานจำนวนมากในการเดินเครื่องผลิตน้ำดื่ม เมื่อเขตปกครองตนเองทั้งสามถูกปิดตาย ทรัพยากรที่เริ่มร่อยหรอทำให้พวกเขาไม่มีพลังงานมากพอจะเดินเครื่องผลิตน้ำดื่ม ทุกคนจึงต้องจำกัดการดื่มน้ำของตน


ผู้ฝึกตนหลังกำแพงเขตปกครองตนเองทั้งสามเขตล้วนเป็นคนของสามกลุ่มอำนาจทั้งสิ้น เนื่องจากการก่อสร้างของสามเขตนี้ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ดี บุคคลทั่วไปจึงยังย้ายเข้ามาตั้งถิ่นฐานไม่ได้ ด้วยเหตุนี้หวังเป่าเล่อจึงไร้ซึ่งความเมตตาสงสารในการต่อกรกับเฉินมู่และพรรคพวกอย่างสิ้นเชิง


ในที่สุดผู้อยู่อาศัยของเขตปกครองตนเองทั้งสามเขตก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป พวกเขาเริ่มร้องทุกข์ เฉินมู่และนายกเทศมนตรีอีกสองคนก็กระวนกระวายใกล้คลั่ง ส่วนหลี่หว่านเอ๋อร์ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ ด้วยเหตุนี้กลุ่มอำนาจทั้งสามจึงขอให้หัวหน้าเสนาบดีเข้ามาจัดการเรื่องนี้โดยเร็ว


แม้แต่ประธานสหพันธรัฐและเจ้านครดาวอังคารยังต้องเกรงใจหัวหน้าเสนาบดี เจ้านครดาวอังคารยอมอธิบายเหตุการณ์ให้อีกฝ่ายฟังในที่สุด


“หวังเป่าเล่อมีอำนาจเบ็ดเสร็จเรื่องความปลอดภัยของนครใหม่ แม้แต่ตัวข้าเองก็เข้าไปยุ่มย่ามไม่ได้!” เจ้านครดาวอังคารส่งข้อความไปหาหัวหน้าเสนาบดี รวมถึงแนบเอกสารไปให้ด้วย


เอกสารนั้นคือเอกสารที่หวังเป่าเล่อส่งให้นาง ซึ่งระบุรายละเอียดเรื่องการกัดกร่อนของกำแพงอาวุธเทพ รวมถึงคำมั่นว่ากำแพงนั้นจะสลายไปหมดภายในสามปี ซึ่งเป็นเครื่องรับประกันทางการทหารของหวังเป่าเล่อ


หัวหน้าเสนาบดีเงียบไปเมื่อได้อ่านเอกสาร ไม่นานนักแสงประหลาดก็วาบขึ้นในดวงตาของเขา การเดินหมากของหวังเป่าเล่อทำให้หัวหน้าเสนาบดีมองชายหนุ่มในมุมมองใหม่อย่างจริงจังเป็นครั้งแรก


“เฉินมู่กับหวังเป่าเล่อนี่มวยคนละชั้นจริงๆ !” หัวหน้าเสนาบดีส่งเอกสาร ข้อความของเจ้านครดาวอังคาร และความคิดเห็นของตนต่อสถานการณ์นี้ให้ตระกูลนภาห้าสมัย สำนักรุ่งสางจักรพิภพ และสำนักสหชุมนุมสกุณา จากนั้นก็ถอนตัวจากเรื่องนี้ในทันที


หัวหน้าเสนาบดีรู้ดีว่า ตราบใดที่ข้อมูลนี้เป็นความจริง และเครื่องรับประกันทางการทหารของหวังเป่าเล่อยังมีผล อีกทั้งกำแพงยังกร่อนไปเรื่อยๆ ด้วยความเร็วเท่านี้ และหากหวังเป่าเล่อไม่เลื่อยขาเก้าอี้ตนเอง ตำแหน่งเจ้าเมืองก็ไม่มีวันหลุดจากมือเขาไปได้


หลังได้รับคำตอบจากหัวหน้าเสนาบดี สำนักรุ่งสางจักรพิภพและสำนักสหชุมนุมสกุณาก็เงียบไป สำนักรุ่งสางจักรพิภพเป็นกลุ่มแรกที่มีปฏิกิริยา พวกเขาติดต่อเวินไหวในทันที แจ้งให้ชายหนุ่มตีตนออกห่างเฉินมู่เสีย และให้เข้าเป็นพวกเดียวกับหวังเป่าเล่อ ทางสำนักรู้ดีว่าความสัมพันธ์ระหว่างสำนักและหวังเป่าเล่อตึงเครียดมานาน กลุ่มผู้อาวุโสประจำสำนักตัดสินใจแทนประมุขสำนักที่บัดนี้ถูกลงโทษให้ถือสันโดษ พวกเขาค้นคว้าข้อมูลและตัดสินใจจะเพิ่มจำนวนทรัพยากรที่ส่งให้นครอาวุธเทพใหม่


นอกจากนี้ พวกเขายังยอมรับและสนับสนุนการตัดสินใจของหวังเป่าเล่อที่จะรวบรวมทรัพยากรทั้งหมดเข้าด้วยกันภายใต้การควบคุมดูแลชั่วคราวของกองทัพ


เขตปกครองตนเองของเวินไหวไม่ได้ต้องการทรัพยากรมากมายในการก่อสร้าง ด้วยเหตุนี้ ทรัพยากรส่วนเกินที่สำนักมอบให้จึงชัดเจนว่าพวกเขาต้องการทำสิ่งใด การตัดสินใจนี้แสดงให้เห็นว่าสำนักรุ่งสางจักรพิภพกล้าหาญและเด็ดขาดเพียงใด เมื่อเวินไหวได้รับข้อความจากสำนักของตน ชายหนุ่มก็รวบรวมความกล้าส่งข้อความไปหาหวังเป่าเล่อเพื่ออธิบายว่าสำนักของเขาต้องการจะทำอะไร เมื่อได้ยิน หวังเป่าเล่อก็อึ้งไปชั่วครู่


สำนักรุ่งสางจักรพิภพนี่เหลือเชื่อจริงๆ หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง แม้ภายในใจลึกๆ เขาจะพอใจกับการตัดสินใจของสำนักรุ่งสางจักรพิภพ แต่เขาก็ยังอยากลองบีบให้ได้ผลประโยชน์มากกว่านี้ดู ชายหนุ่มกระแอมกระไอก่อนส่งข้อความกลับไปหาเวินไหว


“เวินไหว ข้าเข้าใจดีว่างานในเขตปกครองตนเองของเจ้าคงมีอยู่ล้นมือ เจ้ายังหนุ่มแน่นและอยู่ในวัยกำลังโต ข้าเกรงว่าเจ้าอาจจัดการได้ไม่ครอบคลุมด้วยตนเอง” หวังเป่าเล่อพยายามสื่อความหมายแฝง


เวินไหวเงียบไป เขาไม่ใช่คนโง่และรู้ดีว่าหวังเป่าเล่อต้องการจะสื่อสิ่งใด หากเป็นเมื่อก่อน เวินไหวคงพยายามต่อต้านหัวชนฝา แต่ในเมื่อสำนักของเขายอมจำนนเรียบร้อยแล้ว เวินไหวก็ไม่รู้สึกเสียหน้าที่จะทำเช่นเดียวกัน ชายหนุ่มยิ้มบิดเบี้ยวก่อนเอ่ยตอบ


“ข้าขอขอบพระคุณท่านเจ้าเมือง ผู้ใต้บังคับบัญชาของท่านคนนี้มีงานล้นมือมากจริงเสียด้วย ข้าจึงต้องการให้ท่านเจ้าเมืองส่งลูกมือมาช่วยเหลือ…”


หวังเป่าเล่อสบายใจต่อทัศนคติคล้อยตามของเวินไหว ทั้งสองพูดคุยกันอีกเล็กน้อย หวังเป่าเล่อแนะนำหลิวต้าวปินให้เวินไหวทราบโดยย่อ เวินไหวจับนัยได้ทันที และเสนอให้หลิวต้าวปินมารับหน้าที่รองนายกเทศมนตรีในเขตของเขา โดยเวินไหวจะเป็นฝ่ายจัดการเอกสารการส่งตัวเอง


หลังจากที่พูดคุยกันจบ หวังเป่าเล่อก็เดินไปที่หน้าต่างเพื่อมองออกไปข้างนอก เขาตบพุงตนเอง ใจเอ่อล้นด้วยความสุข ชายหนุ่มรู้สึกได้ว่าตนเองปรับตัวให้เข้ากับการเป็นเจ้าเมืองได้เรียบร้อยแล้ว บัดนี้เขาใช้อำนาจได้อย่างคล่องมือ หวังเป่าเล่อส่งข้อความไปหาหลิวต้าวปินเพื่อชี้แจงเรื่องนี้เล็กน้อย หลิวต้าวปินแทบกระโดดตัวลอยด้วยความตื่นเต้นดีใจ เสียงของเขาสั่นเทา


“ท่านเจ้าเมืองไม่ต้องกังวลใจไปนะขอรับ ข้า หลิวต้าวปินคนนี้ จะคอยจับตามองทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในเขตใหม่อย่างละเอียดถี่ถ้วน ข้าขอเอาหัวตนเองเป็นประกันว่าจะไม่มีเรื่องไม่พึงประสงค์เกิดขึ้นอย่างแน่นอน ข้าจะไม่มีวันทำให้ท่านเจ้าเมืองผิดหวัง!”


หวังเป่าเล่อพอใจกับคำมั่นสัญญาของหลิวต้าวปินเป็นอันมาก จึงเริ่มออกคำสั่งหลิวต้าวปินต่อไป หลิวต้าวปินน้ำตาคลอแทบสะอึกสะอื้น ก่อนจะวางสายลงในที่สุด


เวินไหวเองก็รวดเร็วฉับไวในการทำงานเช่นกัน เขาใช้เวลาเพียงวันเดียวในการจัดการเอกสารการส่งตัว หลิวต้าวปินได้รับการเลื่อนตำแหน่งอย่างไร้อุปสรรค และก้าวขึ้นมาเป็นรองนายกเทศมนตรีประจำเขตของเวินไหว แม้ตำแหน่งขุนนางของเขาจะยังปรับขึ้นไม่ได้ด้วยเวลาทำงานที่น้อยเกินไป แต่ชายหนุ่มก็สามารถเข้ารับตำแหน่งรองนายกเทศมนตรีได้โดยไร้ปัญหา


หวังเป่าเล่อที่กำลังสบายอกสบายใจสั่งให้หลินเทียนหาวเลิกปิดตายเขตของเวินไหว ประตูเมืองเปิดออกอีกครั้ง เวินไหวได้รับอิสรภาพในที่สุด ทรัพยากรมากมายมหาศาลเริ่มหลั่งไหลเข้าในเขต


ในที่สุดเวินไหวก็หายใจได้โล่งปอดอีกครั้ง เขาตัดสินใจได้แล้วว่าตัวเองควรทำอย่างไร ต่อจากนี้ใครก็ตามที่ต้องการหาเหาใส่หัว ควรจะจัดการเองโดยไม่ดึงเขาเข้าไปยุ่งเกี่ยว เวินไหวคนนี้จะไม่มีวันยืนฝั่งตรงข้ามกับหวังเป่าเล่ออีก หากไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายจริงๆ


การทรยศของเวินไหวทำให้เฉินมู่เดือดพล่านด้วยโทสะ แต่ก็ไม่มีอำนาจพอจะทำอะไรได้ ฟางจิ้งที่ดูเหตุการณ์อยู่ตั้งแต่ต้นจนจบก็ได้รับคำสั่งจากสำนักของตนเช่นกัน แม้นางจะไม่พอใจ แต่ก็ต้องยอมจำนนตามเวินไหวไปในที่สุด


หวังเป่าเล่อจัดการทำลายความตึงเครียดระหว่างตัวเขาและสองกลุ่มอำนาจได้สำเร็จ มีแต่เฉินมู่เท่านั้นที่ยังคงยืนหยัดต่อสู้อยู่ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ผลกระทบจากการที่เขตถูกปิดตายก็เริ่มทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เขตปกครองตนเองของเฉินมู่แทบจะหมดสิ้นทั้งอาหาร น้ำ และทรัพยากรอื่นๆ ด้วยความที่ไม่ได้รับทรัพยากรเพิ่มจากโลกภายนอกเลย การก่อสร้างจึงชะงักลง กำแพงสูงที่โอบล้อมทำให้ความตึงเครียดทางจิตใจเพิ่มสูงขึ้น ทุกคนรู้สึกเหมือนตนเองกำลังติดอยู่ในเรือนจำปิดตาย ผู้ฝึกตนจากตระกูลนภาห้าสมัยภายใต้การนำของเฉินมู่ล้วนอดอยากและซึมเศร้า


ท้ายที่สุดแล้ว ตระกูลนภาห้าสมัยก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมแพ้ แม้เฉินมู่จะไม่ต้องการเช่นนั้นแม้แต่น้อย แต่เขาก็ต้องยอมศิโรราบต่อหวังเป่าเล่อในที่สุด… เฉินมู่จำใจส่งคำขอไปที่นครดาวอังคาร เนื้อหาระบุว่าจะขอสละความเป็นเขตปกครองตนเอง และขึ้นตรงต่อนครอาวุธเทพใหม่ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป!


การต่อสู้แสนดุเดือดที่ดำเนินไปเป็นเวลาสองสัปดาห์ก็มาถึงจุดจบทันทีที่เฉินมู่และคนอื่นๆ ยอมรับความปราชัยและศิโรราบต่อหวังเป่าเล่อ ผู้ฝึกตนทุกคนในนครใหม่ล้วนติดตามเรื่องนี้อย่างติดขอบจอตลอดสองสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากที่เห็นว่าเรื่องนี้จบอย่างไร ทุกคนก็ตระหนักได้ทันทีว่าเก้าอี้ของหวังเป่าเล่าในนครแห่งนี้ยังมั่นคงแข็งแรง เขาจะไม่มีวันก้าวลงจากอำนาจแน่นอน


นั่นเพราะตระกูลนภาห้าสมัย สำนักรุ่งสางจักรพิภพ และสำนักสหชุมนุมสกุณา ล้วนยอมอ่อนข้อให้หวังเป่าเล่อทั้งสิ้น เพียงเท่านี้ก็บอกได้แล้วว่าอนาคตของหวังเป่าเล่อในนครแห่งนี้จะสดใสเพียงใด


กลุ่มอำนาจอื่นในสหพันธรัฐก็ติดตามเรื่องนี้ด้วยความสนใจอย่างไม่คลาดสายตา เหตุการณ์นี้ทำให้ทุกกลุ่มอำนาจในสหพันธรัฐมองหวังเป่าเล่อด้วยความสนอกสนใจและเป็นจริงเป็นจังมากขึ้น


ยิ่งไปกว่านั้น… ตั้งแต่เริ่มต้นเหตุการณ์นี้มา หวังเป่าเล่อไม่ได้ขอความช่วยเหลือจากสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าเลยแม้แต่ครั้งเดียว เขาจัดการเรื่องทั้งหมดได้สำเร็จลุล่วงด้วยความสามารถของตนเอง!


ในตอนเดียวกันนั้น ในเขตหนึ่งของสหพันธรัฐที่ไม่ระบุอยู่ในแผนที่ มีเทือกเขาที่แต่งแต้มด้วยสายธารใสราวแก้ว ที่แห่งนี้เป็นสถานที่ลับในสหพันธรัฐ ไม่มีผู้ฝึกตนคนใดตรวจจับการมีอยู่ของที่แห่งนี้ได้ด้วยพลังปราณของตน


ภายในเขตมีตำหนักหลังหนึ่งตั้งอยู่ เวลานี้ท้องฟ้าแต้มด้วยสีส้มสว่างจากอาทิตย์อัสดง ดวงอาทิตย์ที่กำลังจะลาลับส่องแสงสุดท้ายลงบนพื้นชั้นบนสุดของตำหนัก ภายในห้องมีชายวัยกลางคนนั่งอยู่ เขาแต่งกายด้วยชุดคลุมแขนยาวเรียบง่ายแลดูโบราณ และกำลังอ่านจดหมายที่ถืออยู่ในมือ โดยมีแสงสุดท้ายของดวงอาทิตย์ส่องให้เห็นตัวหนังสือที่เขียนอยู่บนแผ่นกระดาษ


ใบหน้าของชายผู้นี้ดูธรรมดา แต่หากมีผู้ใดได้อยู่ในห้องนี้ คงรู้สึกเหมือนตนเองตาฝาดเห็นภาพหลอน เพราะชายหน้าตาธรรมดาผู้นี้ดูเหมือนจะรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับท้องฟ้าและผืนดิน เมื่อได้มองเห็นชายผู้นี้ ก็รู้สึกเสมือนได้เห็นกฎแห่งสวรรค์และพื้นพิภพในร่างมนุษย์!


ในยุคกำเนิดวิญญาณ คนส่วนมากใช้แผ่นหยกในการสื่อสาร มีน้อยคนนักที่ยังคงอ่านจดหมายเหมือนชายผู้นี้ เขากำลังเพ่งสมาธิไปที่จดหมายในมือ ไม่นานนักชายวัยกลางคนผู้นี้ก็วางจดหมายลง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่อยู่ไกลออกไป ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มบาง


“ให้พ่อหนุ่มคนนี้เป็นสมาชิกพันธุ์กล้าเช่นนั้นหรือ เช่นนั้นก็เอาเถิด ลองดูสถานการณ์กันไปก่อนแล้วกัน” เมื่อพูดจบ ชายผู้นี้ก็วางจดหมายลงบนชั้นวางหนังสือชั้นล่างสุดที่อยู่เบื้องหน้า


ชั้นวางหนังสือนี้มีอยู่ทั้งหมดสามชั้นด้วยกัน ชั้นบนสุดมีจดหมายสีแดงวางอยู่สามฉบับ ชั้นที่สองมีจดหมายสีน้ำเงินอยู่เจ็ดถึงแปดฉบับ และชั้นสุดท้ายมีจดหมายที่หน้าตาเหมือนกับที่เขาถืออยู่ในมือหน้าหน้านี้วางอยู่สิบเจ็ดฉบับ!


บทที่ 401 ความเพียรของเจ้าลาน้อย

โดย

Ink Stone_Fantasy

ในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา นอกจากเขตปกครองตนเองทั้งสามเขตแล้ว การก่อสร้างในพื้นที่ส่วนอื่นๆ ที่เหลือก็เป็นไปตามปกติ ทว่าทุกคนต่างให้ความสนใจการต่อสู้ระหว่างหวังเป่าเล่อกับสามเขตปกครองตนเองจนไม่มีใครสังเกตเห็นว่ามีคนแปลกหน้าเข้ามาในนครใหม่


แต่แน่นอนว่าต่อให้ไม่มีการห้ำหั่นกันระหว่างทั้งสองฝ่าย ก็คงไม่มีใครสังเกตเห็นคนแปลกหน้าผู้นี้อยู่ดี เพราะแม้ตอนนี้จะยังไม่มีประชากรใหม่ล้นทะลักเข้ามา แต่ประชากรในตอนนี้ของนครใหม่ก็เกินสองร้อยล้านคนไปแล้ว


คนหนึ่งคนท่ามกลางนครกว้างใหญ่ก็ไม่ต่างอะไรกับเม็ดทรายเม็ดหนึ่งในทะเลทรายกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา


อีกทั้งคนผู้นี้ยังชำนาญด้านการจำแลงกายและพรางตัว ไม่แน่ว่า…ระดับการฝึกตนของเขาอาจจะสูงมากเสียจนผู้อื่นไม่สามารถล่วงรู้ได้เมื่อเขาพรางตัว


ณ ตรอกแห่งหนึ่งในเขตนครใหม่ภายใต้การดูแลของจินตั้วหมิง มีผู้ฝึกตนหนุ่มสวมชุดคลุมสีฟ้าคนหนึ่งกำลังพูดคุยอย่างสนุกสนานกับใครบางคนที่เขาเพิ่งจะรู้จักแต่กลับสนิทสนมอย่างรวดเร็ว


“พี่เจียง คนที่พี่พูดถึงคือเจ้าเมืองหวังของเราใช่หรือไม่ ช่างเป็นคนยิ่งใหญ่และมีความสามารถเยี่ยมยอดเสียจริง!” ผู้ฝึกตนข้างๆ ชายหนุ่มชุดฟ้าเหมือนจะจิบสุราไปไม่น้อย ชายผู้นั้นพูดบางอย่างขึ้นมา เขาหัวเราะและตอบกลับ


“เจ้าเมืองหวังมาจากสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นหนึ่งในสี่ยอดสำนักเต๋า เขาไต่เต้าขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เป็นคนที่แม้จะไม่ได้มาจากตระกูลใหญ่โตแต่กลับพัฒนาตนจนปัจจุบันมีชื่อเสียงและอำนาจมากมาย!”


ชายชุดฟ้ายิ้มและพยักหน้ารับเมื่อได้ฟังที่อีกฝ่ายอธิบาย ไม่ได้พูดอะไรต่ออีก ทั้งสองเดินไปตามทางเรื่อยๆ ชายที่เดินอยู่เคียงข้างไม่รู้ตัวเลยว่ามีเปลวไฟลุกโชติช่วงอยู่ในดวงตาของชายชุดฟ้า ราวดั่งเปลวไฟสีดำที่ลุกโชนไร้วี่แววจะดับแสง


เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าชายชุดฟ้าที่ตนเพิ่งสนิทสนมด้วยนั้นไม่ใช่คนในนครนี้ รูปลักษณ์ที่ปรากฏตรงหน้าก็ไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง


ร่างที่แท้จริงของชายชุดฟ้าคือตัวตนในชุดคลุมสีดำที่ปิดบังตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า…


พวกเขาเดินจากไปไกลแล้ว หนึ่งชั่วโมงผ่านไป ทันใดนั้น…ก็มีร่างเงาสีดำพุ่งมายังตรอกที่แสนเงียบสงบแห่งนี้ ร่างนั้นเริ่มเผยออกเมื่อเดินเข้ามาใกล้มากขึ้น มันคือเจ้าลานั่นเอง!


ผู้คนในเมืองไม่มีใครสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลของชายชุดฟ้า แต่กลิ่นอายจางๆ จากตัวเขาก็ไม่สามารถเล็ดลอดผ่านจมูกของเจ้าลาที่กระหายอาหารอย่างหนักไปได้


ตั้งแต่เริ่มก่อสร้างเขตนครจนแปรเปลี่ยนมาเป็นนครในปัจจุบัน เจ้าลานั้นเหมือนจะเดินมั่วๆ ไปรอบนครโดยที่ทิ้งรอยเท้าทั่วซั่วดูไม่ออกเอาไว้ แต่แท้จริงแล้วมันคอยตามหาอาหารเลิศรสที่ได้กินเมื่อครั้งก่อน รสชาตินั้นยังฝังลึกอยู่ในหัว


แต่อาหารชิ้นนี้ก็ช่างหายากยิ่งนัก มันออกตามหาเป็นเวลานานแต่ก็หาไม่เจอเสียที มันไม่ยอมแพ้ คอยบากบั่นตามหามาโดยตลอด ในที่สุดมันก็จับกลิ่นที่คล้ายคลึงกับอาหารชิ้นนั้นได้ แม้จะแตกต่างกันเล็กน้อย แต่ก็ดูเหมือนมาจากแหล่งเดียวกัน!


เจ้าลารีบพุ่งไปตามกลิ่นด้วยความตื่นเต้น เริ่มดมฟุดฟิดไปรอบๆ ตรอก ราวกับสงสัยว่ากลิ่นนี้จะว่าเหมือนก็เหมือนจะว่าต่างก็ต่าง เจ้าลาไม่ได้คิดอะไรต่อให้มากความ มันกลืนน้ำลายอึกใหญ่ จากนั้นก็เริ่มออกตามหาเป้าหมายต่อด้วยดวงตาเป็นประกาย…


เจ้าลาอยากครอบครองอาหารชิ้นนี้แต่เพียงผู้เดียว มันจึงตัดสินใจจะไม่รายงานสิ่งที่พบให้หวังเป่าเล่อทราบ ถึงกระนั้นชายหนุ่มก็ไม่มีเวลามายุ่งวุ่นวายกับมันอยู่ดี


หวังเป่าเล่อมองว่าการที่เจ้าลาออกลาดตระเวนหาอาหารให้ตัวเองนั้นเป็นเรื่องดี เพราะหากมันตามตนติดตลอด กระเพาะหลุมดำที่ไม่มีวันอิ่มของมันคงจะทำให้ชายหนุ่มคิดเชือดมันเข้าสักวัน


ด้วยเหตุนี้เขาจึงทำเพียงตรวจสภาพของเจ้าลาดูวันละครั้งว่ามันอยู่ดีมีสุขหรือเปล่า นอกจากนั้นก็ไม่ได้สนใจอะไรมันมาก เสร็จจากนั้นเขาก็กลับที่พักไป


นานๆ ครั้งหวังเป่าเล่อจึงจะกลับที่พักใหม่ในนครแห่งใหม่ เพราะเขามีตึกสำนักงานของตนเอง ซึ่งมีทั้งพื้นที่เฉพาะสำหรับถือสันโดษและหลอมวัตถุเวท นอกจากเขาแล้วยังมีผู้ฝึกตนและเจ้าพนักงานมากมายจากหลายฝ่ายอยู่ในตึกนี้ด้วย มองดูแล้วก็สบายตาเนื่องจากมีผู้ฝึกตนหญิงมากกว่าผู้ฝึกตนชาย


แต่สุดท้ายชายหนุ่มก็รู้สึกว่าคงไม่เหมาะเท่าไรที่จะใช้เวลาอยู่ในตึกสำนักงานนานเกินไป โดยเฉพาะเมื่อเขากำลังศึกษาเรื่องอาวุธเวทและวัตถุดิบต่างๆ เพราะหากมีอะไรผิดพลาดจนทำให้ตึกถล่ม ก็คงจะสร้างปัญหาให้ผู้อื่นเป็นการใหญ่


หลังจากครุ่นคิดอยู่สักพัก หวังเป่าเล่อก็ตัดสินใจศึกษาเรื่องอาวุธเวทในที่พักส่วนตัวของตน ที่พักของเขาอยู่ในพื้นที่ที่จัดสรรไว้รวมกับอาคารอื่นๆ ในนครใหม่ ไม่ไกลจากตึกสำนักงานของชายหนุ่มมากนัก โดยพื้นที่บริเวณนั้นแยกจากส่วนอื่นๆ และมีการคุ้มกันอย่างแน่นหนา


เขาไม่ใช่ผู้อาศัยเพียงคนเดียวในบริเวณนั้น ทั้งพื้นที่มีการแบ่งออกเป็นส่วนๆ สำหรับที่พำนักสิบตำหนัก


นอกจากชายหนุ่มแล้ว คนที่มีสิทธิ์อาศัยอยู่ภายในพื้นที่นี้ก็มีเหล่านายกเทศมนตรี รวมถึงหลี่หว่านเอ๋อร์ที่เป็นรองเจ้าเมือง แต่พวกเขาก็ไม่ค่อยพักอยู่บริเวณนี้เช่นกัน


หวังเป่าเล่อกลับมาถึงที่พัก เขาเปิดใช้วงแหวนปราณเพื่อป้องกันการรบกวนจากภายนอก ก่อนจะเริ่มฝึกวิชาประจำวัน การฝึกวิชาเป็นประจำและการเสริมพลังจากปราณมืดทำให้ระดับพลังปราณของชายหนุ่มเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ภายในเวลาไม่นานก็รุดหน้ามาจนถึงจุดสูงสุดของขั้นรากฐานตั้งมั่นชั้นปลาย ห่างจากชั้นสมบูรณ์อีกไม่มาก


ชายหนุ่มสุขใจกับการพัฒนาอย่างรวดเร็วเป็นอย่างมาก คิดว่าการจะบรรลุขั้นกำเนิดแก่นในภายในเวลาสามปีคงไม่ใช่เพียงแค่ฝัน เมื่อใดที่เขาได้บรรลุไปขั้นกำเนิดแก่นใน แม้จะมีอะไรผิดพลาดกับการรับประกันทางการทหาร ชายหนุ่มก็ยังมีระดับการฝึกตนที่สูงพอจะปกป้องตัวเองพร้อมกับไต่เต้าขึ้นไปยังตำแหน่งที่สูงขึ้นได้!


ทั้งผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในและผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธเวท หากสามารถครอบครองทั้งสองตำแหน่งนี้…ข้าอาจจะไต่เต้าขึ้นไปเป็นขุนนางระดับสองชั้นสูงได้! หวังเป่าเล่อเงยหน้าขึ้นอย่างภาคภูมิใจ รู้สึกว่าตนได้ก้าวเข้าใกล้เป้าหมายในการขึ้นเป็นผู้นำสหพันธรัฐขึ้นไปอีกขั้น หากเขามุ่งหน้าฝึกตนอย่างหนักก็คงจะเอื้อมถึงได้ในที่สุด


ผู้นำสหพันธรัฐ! ชายหนุ่มตื่นเต้นกับความคิดในหัว ต้องใช้เวลาอยู่พักใหญ่กว่าจะสงบใจลงได้ จากนั้นก็เริ่มฝึกตนต่อ ผ่านไปหลายวันเขาก็หยุดทำสมาธิและหันมาศึกษาเรื่องอาวุธเวท


เรื่องการหลอมรวมวิญญาณและทักษะการหลอมสวรรค์สร้างที่ต้องใช้ในการหลอมอาวุธเวทนั้น หวังเอ่าเล่อรู้สึกว่าอย่างแรงนั้นง่ายหว่า ขั้นตอนสำคัญคืออย่างหลังต่างหาก ทว่าแม้จะศึกษามาเป็นเวลานานชายหนุ่มก็ยังไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร แต่เขาก็ไม่ย่อท้อเนื่องจากรู้ดีว่าการจะหลอมอาวุธเวทนั้นต้องพบเจออุปสรรคมากมาย แค่ต้องคอยแก้ไปทีละเรื่องเท่านั้น


หวังเป่าเล่อเก็บตัวฝึกตนต่อไปเรื่อยๆ นอกจากเจ้าลาแล้ว สถานการณ์ในนครใหม่ก็เป็นเช่นเคยเหมือนทุกๆ วัน การก่อสร้างในเขตปกครองตนเองเป็นไปอย่างรวดเร็ว นครใหม่แห่งนี้เปลี่ยนแปลงไปทุกวัน เมื่อการก่อสร้างและการปรับแต่งดำเนินไป มันก็เริ่มเผยให้เห็นเค้าโครงความเป็นนครที่ยิ่งใหญ่


ระหว่างนั้น เจ้าลาก็ง่วนอยู่กับการตามหาอาหารไปทั่วทั้งนคร ความอยากอาหารทำให้มันลืมความเหนื่อยล้าไปหมด เจ้าลาถึงกับคอยเฝ้าสังเกตการณ์ในบางจุดอยู่หลายครั้ง แม้จะคลาดกับเป้าหมายไปอย่างเฉียดฉิวสองสามครั้ง ก็ก็ไม่ได้ทำให้ความตั้งมั่นของมันลดทอนลงเลย


มีชายหนึ่งคนในนครแห่งใหม่ที่เพิ่งสงบใจได้ แต่ไม่นานเขาก็เริ่มโกรธเกรี้ยวขึ้นมา ก่อนจะกัดฟันแน่น


ชายผู้นั้นคือเวินไหว…หลิวต้าวปินเป็นคนที่ทำให้เขาต้องกัดฟันกรอดเช่นนี้ หวังเป่าเล่อส่งหลิวต้าวปินมาจับตาดูการเคลื่อนไหวของเขาโดยที่เขาเองก็ทำอะไรกับเรื่องนี้ไม่ได้ หลิวต้าวปินทำงานได้เป็นอย่างดี ชายหนุ่มเข้ามาจัดการเรื่องวินัยในเขตได้อย่างช่ำชอง มากล้นไปด้วยประสบการณ์


เวินไหวเริ่มสงสัยว่าหลิวต้าวปินน่าจะเคยทำงานเช่นนี้มาตั้งแต่เด็ก และก็เป็นอย่างที่เขาคิด หลิวต้าวปินนั้นทำงานช่วยหวังเป่าเล่อมาตั้งแต่เข้าสำนัก จนกระทั่งหวังเป่าเล่อออกจากสำนักไปชายหนุ่มก็ยังทำงานต่อจนเชี่ยวชาญในด้านนี้


ผู้คนในเขตใหม่ของเวินไหวต่างตกอยู่ในภาวะเสี่ยงเมื่อมีสายตาแหลมคมของหลิวต้าวปินคอยจับตาดูอยู่ เวินไหวเองก็มีแววจะโดนเด้ง ชายหนุ่มหงุดหงิดใจจนแทบจะระเบิดอยู่หลายครั้งเพราะหาที่ลงไม่ได้


เขาไม่ใช่คนเดียวที่ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ฟางจิ้งและเฉินมู่เองก็ประสบปัญหาเดียวกันในเขตปกครองตนเองของตน แต่ก็ไม่ได้ตกที่นั่งลำบากเท่าเวินไหว เนื่องจากคนอื่นๆ ไม่ได้เก่งกาจเท่าหลิวต้าวปิน


เวินไหวและฟางฟางจิ้งตระหนักดีว่าหวังเป่าเล่อนั้นรับมือยากเพียงใดจึงได้แต่กล้ำกลืนเก็บงำความขุ่นเคืองเอาไว้ ส่วนเฉินมู่นั้นปล่อยวางเรื่องนี้ไม่ได้ เขาแค้นเคืองหวังเป่าเล่ออย่างหนัก นอกจากนี้ยังไม่พอใจหลี่หว่านเอ๋อร์ ที่เป็นคู่หมั้นตนเองอีกด้วย


เรื่องนี้ทำให้ชายหนุ่มนึกถึงบันทึกภาพน่าสงสัยอันเลื่องลือของทั้งคู่ หากเป็นเมื่อก่อน เขาคงจะปล่อยเรื่องนี้ไป โดยไม่คิดอะไรมาก แต่ ณ ปัจจุบัน ด้วยความโกรธแค้นที่มีในใจทำให้เฉินมู่ยึดติดกับเรื่องนี้ ยิ่งคิดยิ่งอึดอัดใจจนต้องติดต่อไปหาจั่วอี้เซียนอีกครั้งเพื่อถามหาบันทึกภาพดังกล่าว


“จั่วอี้เซียน ข้ารู้ว่าเจ้ามีน้องชื่อจั่วอี้ฟาน เจ้านั่นเป็นองครักษ์สงครามที่ทางตระกูลปั้นมาให้เจ้า ได้ข่าวว่าเจ้ากำราบเขา เพราะได้ยินว่าช่วงนี้เจ้านั่นชักจะเหิมเกริมไปกันใหญ่…


“ข้าช่วยเจ้าจัดการเรื่องนี้ได้ ที่เจ้าต้องทำก็แค่เอาบันทึกภาพทั้งหมดมาให้ข้า!”


บทที่ 402 ตอบโต้!

โดย

Ink Stone_Fantasy

จั่วอี้เซียนที่พ่ายแพ้ในศึกบนดาวอังคารและต้องกลับตระกูลใคร่ครวญข้อเสนอของเฉินมู่อย่างจริงจัง ดวงตาของเขาฉายแสงวาบ ก่อนหน้านี้ชายหนุ่มไม่ได้ปล่อยบันทึกภาพและพูดในสิ่งที่ต้องพูด ถึงเบื้องหน้าจะดูหวังดี แต่จริงๆ แล้วเขาตั้งใจจะกระตุ้นให้เฉินมู่และหวังเป่าเล่อทะเลาะกันใหญ่โตต่างหาก


ไม่ว่าใครจะเป็นฝ่ายแพ้เขาก็ยินดี แม้ตนเองจะเกลียดหวังเป่าเล่อเข้ากระดูกดำ แต่ก็ละเลยความขัดแย้งระหว่างตระกูลจั่วและตระกูลเฉินไปไม่ได้ แม้ทั้งสองตระกูลจะมาจากตระกูลนภาห้าสมัยที่มีอุดมการณ์ร่วมกันเป็นหนึ่ง


หลายคนในตระกูลจั่วอยากปัดตระกูลเฉินให้พ้นทางและยึดครองตำแหน่งรวมทั้งอำนาจของพวกเขา


ด้วยเหตุนี้จั่วอี้เซียนจึงไม่ได้ทำตามที่ตนต้องการในทีแรกเพื่อให้เฉินมู่ลดความระวังตนลง เขารู้ว่าหากเฉินมู่ยังไม่ได้ดูบันทึกภาพนี้อีกฝ่ายก็จะยึดติดกับมันไปตลอด หลายต่อหลายครั้งที่ความแค้นไม่ได้จู่ๆ ก็เกิดขึ้นมาโต้งๆ แต่เกิดจากการยึดติดเหมือนดังถูกมารร้ายเข้าควบคุมจิตใจ ก่อให้เกิดความแค้นและตั้งอีกฝ่ายเป็นศัตรูตัวฉกาจ


แต่จั่วอี้เซียนก็รู้ดีว่าเฉินมู่ไม่ได้โง่ขนาดนั้น แม้อีกฝ่ายจะไม่รู้ว่าตนพยายามทำอะไร แต่ใช้เวลาไม่นานก็คงอ่านแผนการของเขาออก หากเป็นเช่นนั้นชายหนุ่มก็จะตกที่นั่งลำบาก


เขาพอใจข้อเสนอที่เฉินมู่ยื่นให้ เรื่องเดียวที่ยังกังวลคือหวังเป่าเล่อจะคิดเช่นไร หากเป็นเมื่อก่อน ชายหนุ่มคงไม่สนว่าหวังเป่าเล่อจะรู้สึกนึกคิดอย่างไร แต่ตอนนี้เขาเป็นถึงเจ้าเมือง มีตำแหน่งเป็นขุนนางระดับสามชั้นสูง สถานะของอีกฝ่ายตอนนี้แตกต่างจากในอดีตมาก


แม้จะมีตำแหน่งในปัจจุบันอยู่ แต่เจ้านั่นก็ยังอยู่ในขั้นรากฐานตั้งมั่น จะให้มาต่อกรกับตระกูลจั่วก็คงไม่ไหว ต่อให้แค้นเคืองเพียงใดก็เอาไปลงได้แค่กับเฉินมู่ แฃะข้าก็จะลอยตัว! จั่วอี้เซียนครุ่นคิดอย่างหนัก ไม่นานก็ได้ข้อสรุป


“ตกลง!”


เฉินมู่ที่อยู่ในเขตปกครองตนเองในนครใหม่ของดาวอังคารหรี่ตาลงเล็กน้อยและเหยียดยิ้มเมื่อตกลงกับจั่วอี้เซียนได้


จั่วอี้เซียนเป็นคนทะเยอทะยานแต่ก็ขาดความสามารถ เจ้านั่นคิดจริงๆ หรือว่ากลยุทธ์โง่ๆ เช่นนี้จะหลอกข้าได้ ดวงตาของเฉินมู่ฉายแววเย็นชา เขามองทะลุแผนการล่อลวงสาดน้ำมันใส่เพลิงของจั่วอี้เซียนแต่ก็ไม่ได้สนใจ พลางคิดว่าไว้ค่อยหาทางเอาคืนในภายหลัง ที่สำคัญในตอนนี้คือต้องดูเนื้อหาในบันทึกภาพเพื่อตัดสินใจว่าจะปฏิบัติต่อหลี่หว่านเอ๋อร์เช่นไร


ส่วนหนึ่งก็มาจากศักดิ์ศรีความเป็นผู้ชาย อีกส่วนเขากลัวจะเกิดผลกระทบด้านลบหากหลี่หว่านเอ๋อร์เปลี่ยนข้างในช่วงวิกฤติ


เฉินมู่ครุ่นคิดถึงความกังวลต่างๆ ในใจอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็ติดต่อไปยังผู้คนในตระกูลให้ออกตามล่าตัวจั่วอี้ฟานทันที!


พลังอำนาจของเฉินมู่บนดาวอังคารนั้นมีจำกัด จึงไม่สามารถแสดงให้หวังเป่าเล่อเห็นได้ แต่บนโลกนั้น ในฐานะที่เป็นบุตรคนโตของตระกูลเฉิน แม้จะยังไม่แน่ว่าเขาจะได้เป็นทายาทผู้สืบสกุล แต่เส้นสายและอำนาจที่ชายหนุ่มมีถือว่ามากพอตัวเลยทีเดียว


ไม่นานเขาก็พบตัวจั่วอี้ฟานจากการใช้คนในเครือข่ายช่วยตามหา…


หนึ่งสัปดาห์ผ่านไป หวังเป่าเล่อที่กำลังนั่งสมาธิอยู่ในที่พักไปพร้อมๆ กับศึกษาทักษะการหลอมสวรรค์สร้างก็ได้รับข้อความเสียงจากประมุขสำนักเต๋าศักดิ์สิทธิ์


ชายหนุ่มหันไปตอบข้อความเสียงที่ได้รับขณะกำลังพยายามควบคุมก้อนปราณวิญญาณที่สร้างขึ้น สิ่งนี้เป็นผลมาจากการควบคุมพลังของสวรรค์และพื้นพิภพโดยใช้ปราณวิญญาณของตนเป็นตัวกลาง กระบวนการนี้ได้มาจากการศึกษาอาวุธเวทของเขา


“มีอะไรหรือท่านประมุขสำนัก ข้ากำลังหลอมอาวุธเวทอยู่” หวังเป่าเล่อคุมก้อนปราณวิญญาณที่กำลังส่องแสงไปด้วยขณะคุยโม้ คิดว่าประมุขสำนักคงจะตกใจไม่น้อยเมื่อได้ยินว่าตนกำลังทำอะไรอยู่


แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้ยินการตอบรับอย่างที่คาดไว้ ประมุขสำนักเหมือนจะไม่ได้ยินที่หวังเป่าเล่อพูดว่ากำลังหลอมอาวุธเวทอยู่ น้ำเสียงของอีกฝ่ายฟังดูจริงจัง ราวกับมีสายฟ้าฟาดลงในหูของหวังเป่าเล่อ


“เป่าเล่อ ข้ามีอะไรจะบอก…จั่วอี้ฟานควรจะกลับถึงสำนักเมื่อเย็นวานนี้ แต่เขาโดนซุ่มโจมตีจนบาดเจ็บหนัก บังเอิญว่ามีกลุ่มพ่อค้าจากตระกูลนภาห้าสมัยบังเอิญอยู่แถวนั้นพอดี ด้วยสถานะของจั่วอี้ฟาน กลุ่มพ่อค้าเลยช่วยเอาไว้…”


เมื่อได้ยินที่ประมุขสำนักพูด อารมณ์ของหวังเป่าเล่อก็เปลี่ยนไปในทันที ก้อนปราณวิญญาณตรงหน้าเริ่มสั่นคลอนก่อนจะระเบิดเสียงดังกลายเป็นคลื่นพลังงานกระจายไปกระทบผนัง เส้นผมของเขาปลิวไหวเมื่อคลื่นพลังงานเคลื่อนตัวผ่าน ดวงตาฉายแววเย็นชา


“แล้วเป็นอย่างไรต่อ” น้ำเสียงของชายหนุ่มทุ้มต่ำ เขานั่งนิ่งไม่ไหวติง


“กลุ่มพ่อค้าส่งตัวเขาไปยังตระกูลจั่วโดยตรง…หลังจากนั้นก็ไม่ได้ข่าวคราวอะไรอีก พวกเราติดต่อตระกูลจั่วไปทันทีที่ทราบเรื่อง แต่จั่วอี้ฟานก็เป็นคนของตระกูลจั่ว ทางสำนักไม่ได้อยู่ในจุดที่จะพูดอะไรได้มาก ผู้อาวุโสสูงสุดก็เดินทางไปที่อื่นไม่ได้อยู่ในสำนัก ข้ารู้ว่าเจ้าสนิทกับจั่วอี้ฟานเลยติดต่อมาเพื่อบอกข่าว


“แต่ไม่ต้องเป็นกังวลไป จั่วอี้ฟานเป็นศิษย์สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ ข้าจะหาทางทำให้ตระกูลจั่วรีบปล่อยตัวจั่วอี้ฟานออกมาโดยเร็ว…หากเจ้ามีใครที่พอจะช่วยได้ก็ลองถามไถ่ดูแล้วกัน อาจจะช่วยเร่งเรื่องให้เร็วขึ้นได้” ประมุขสำนักตัดสายไปหลังพูดจบ เขารู้ว่าหวังเป่าเล่อคงไม่นั่งอยู่เฉยๆ ไม่คิดทำอะไรหลังจากได้ยินเรื่องนี้


หากหวังเป่าเล่อไม่ได้อยู่ในตำแหน่งขุนนางระดับสามชั้นสูงและเป็นเจ้าเมือง มีชื่อเสียงและอำนาจมากมายเช่นนี้ ประมุขสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์คงไม่มาบอกเรื่องนี้กับชายหนุ่ม แต่ในสายตาประมุขสำนัก สถานะและตำแหน่งของหวังเป่าเล่อในตอนนี้เทียบเท่ากับเจ้าพนักงานระดับสูงสุดในเขตปกครองอิสระ หากชายหนุ่มเข้ามาจัดการเรื่องนี้ จะต้องสร้างผลกระทบอย่างมากทีเดียว


หวังเป่าเล่อเองก็คิดเช่นเดียวกับประมุขสำนัก แต่สิ่งที่เขาคิดนั้นอาจจะรุนแรงกว่ามาก หลังจากประมุขสำนักวางสายไป ชายหนุ่มก็หายใจถี่ขึ้นเล็กน้อย สายตาเย็นชาฉายแววอาฆาตแค้น เขาลุกยืนขึ้น พลังปราณในกายเริ่มปั่นป่วน ชั้นน้ำแข็งขึ้นเกาะผนังรอบๆ


จั่วอี้เซียน! หวังเป่าเล่อมีสีหน้าเคร่งเครียด เขาเป็นดังภูเขาไฟที่จวนจะปะทุ จั่วอี้ฟานเป็นเพื่อนรักของตน เป็นสมาชิกสมาคมคนหน้าตาดีขั้นเทพ อีกทั้งยังเป็นพี่น้องที่เสี่ยงตายมาด้วยกัน ใครๆ ก็ดูออกว่าเรื่องนี้มีอะไรไม่ชอบมาพากล


หวังเล่อรู้ว่าจั่วอี้ฟานเป็นองครักษ์สงครามที่ทางตระกูลปั้นมาให้จั่วอี้เซียน ทว่าตั้งแต่จั่วอี้ฟานเข้าสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์และได้เป็นเพื่อนกับหวังเป่าเล่อ โชคชะตาของเขาก็เปลี่ยนไป ทำให้เกิดเรื่องมากมายที่อยู่เหนือการควบคุมของจั่วอี้เซียน


ตอนนี้จั่วอี้ฟานที่ถูกตระกูลจั่วกักตัวไว้คงกำลังตกอยู่ในอันตรายร้ายแรง หวังเป่าเล่อรู้ว่าแม้ตนจะมีตำแหน่งขุนนางระดับสามชั้นสูงและเป็นเจ้าเมืองของนครใหม่บนดาวอังคาร แต่เขาก็ไม่ได้อยู่ในขั้นกำเนิดแก่นใน จึงเป็นเรื่องยากสำหรับชายหนุ่มที่จะทำให้ตระกูลจั่วยอมถอยได้…


ถึงแม้ว่าสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าจะแข็งแกร่ง แต่สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ใช่ผู้นำกลุ่ม ทำให้สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์อยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก นอกจากนั้น แม้ประมุขสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์จะเป็นคนจิตใจดีและเขาก็เคารพอีกฝ่ายอย่างมาก แต่ชายหนุ่มก็เริ่มรู้สึกว่าที่หลินโยวเคยประเมินประมุขสำนักไว้ดูจะเป็นเรื่องจริง เขามองว่าประมุขสำนักเป็นคนหัวอ่อนเกินไป…ไม่มีความแน่วแน่เด็ดเดี่ยว!


ชายหนุ่มคิดเรื่องนี้ต่ออีกสักพัก จากนั้นก็สูดหายใจลึก นึกถึงใครคนหนึ่งที่จะสามารถต่อกรกับตระกูลจั่วได้ ชายหนุ่มหยิบแหวนสื่อสารขึ้นมา จากนั้นก็ติดต่อไปบอกกงเต๋าให้มาพบเขา!


ไม่นานกงเต๋าก็มาปรากฏตัว ณ ที่พักของหวังเป่าเล่อ ทันทีที่เขาเข้ามาก็สัมผัสได้ถึงสายตาแข็งกร้าวของอีกฝ่าย ชายหนุ่มมองไปทางผนังรอบๆ เงียบๆ ด้วยสีหน้าพินิจพิเคราะห์ เขายืนรอให้หวังเป่าเล่อเปิดบทสนทนา


“พี่กง ข้ามีเรื่องส่วนตัวที่ต้องใช้ภูมิหลังของพี่มาช่วย รวมไปถึงอำนาจของกองทัพทั้งบนดาวอังคารและบนโลก ถ้าพี่ไม่สะดวกใจจะช่วยก็บอกข้าได้” หวังเป่าเล่อมองไปทางกงเต๋าพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง


“บอกมา” กงเต๋าหรี่ตามองเมื่อได้ยินที่อีกฝ่ายพูด เขาตอบกลับด้วยความจริงจังไม่แพ้กัน ไม่ได้เลี่ยงประเด็นไปพูดเรื่องอื่น


“โปรดไปยังที่พำนักของตระกูลจั่ว ช่วยจั่วอี้ฟานออกมาและพาเขามายังดาวอังคาร!”


กงเต๋าครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งเมื่อได้ยินอีกฝ่ายพูดว่า ‘ตระกูลจั่ว’ เขานึกถึงเรื่องที่หวังเป่าเล่อเคยช่วยชีวิตตนเองไว้ อีกทั้งยังช่วยให้ได้เลื่อนขั้น จึงพยักหน้าด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความแน่วแน่


“วางใจได้! ข้าจะออกเดินทางไปยังโลกทันที ข้าจะช่วยเขาออกมาจากที่พำนักของตระกูลจั่วและพามาที่นี่เอง!”


“ขอบใจมากจริงๆ!” ช่วงเวลาวิกฤติเช่นนี้ทำให้รู้ได้ว่าใครเป็นมิตรแท้ กงเต๋าไม่ลังเลใจที่จะยื่นมือเข้ามาช่วยแม้แต่น้อย หวังเป่าเล่อตื้นตันใจมาก เขากุมกำปั้นและก้มหัวให้


กงเต๋ากุมกำปั้นก้มหัวตอบ ก่อนจะหันกลับออกไป ชายหนุ่มรีบใช้สิทธิ์ของกองทัพในการควบคุมอภิมหาวงแหวนปราณดาวอังคารเพื่อเคลื่อนย้ายชั่วพริบตาไปยังนครหลักแห่งดาวอังคาร จากนั้นก็ขึ้นเรือบินมุ่งหน้าไปยังโลก!


กงเต๋ามีสีหน้าเคร่งเครียดตั้งแต่ก่อนขึ้นเรือบินแล้ว เขารู้ดีว่าภารกิจที่ได้รับมอบหมายมานั้นท้าทายเพียงใด แต่ก็นึกได้ว่าหวังเป่าเล่อไม่เคยขออะไรจากตนเลย จึงตัดสินใจว่าจะต้องทำภารกิจนี้ให้ดีที่สุด!


ระหว่างที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น กงเต๋าก็เปิดใช้งานแหวนสื่อสารเพื่อส่งข้อความเสียงไปยังสำนักผู้นำสหพันธรัฐที่บิดาบุญธรรมของตนประจำการอยู่…


บทที่ 403 ด้วยคำสั่งของเจ้าเมืองหวัง!

โดย

Ink Stone_Fantasy

กงเต๋าเคารพต้วนมู่ฉี่ บิดาบุญธรรมของตนจากก้นบึ้งของหัวใจ สัญชาตญาณสัตว์ป่าของเขาสัมผัสได้ว่าต้วนมู่ฉีนั้นรักและห่วงใยตนมากแม้จะมีท่าทีเข้มงวดอยู่ตลอด ชายหนุ่มเชื่อในสัญชาตญาณของตนแต่ก็ไม่กล้าเอ่ยขออะไรออกไปง่ายๆ


ด้วยเหตุนี้เขาจึงเลือกติดต่อไปยังสำนักผู้นำสหพันธรัฐแทนเพื่อแจ้งให้ทราบว่าตนจะเดินทางออกจากดาวอังคารและส่งคำร้องไปทางสำนักปกครองบนโลก คนที่รับสายเป็นหญิงสาวเสียงเสนาะหูนางหนึ่ง ชายหนุ่มจำเสียงนางได้รางๆ แต่ก็ไม่แน่ใจว่าเป็นเสียงของใคร เขาไม่ได้คิดอะไรต่อให้มากความ หลังจากตัดสายไปก็ติดต่อไปยังกองทัพบนดาวอังคาร


เมื่อเตรียมการทุกอย่างเสร็จ กงเต๋าก็ขึ้นเรือบินมุ่งหน้าไปยังโลกพร้อมผู้ฝึกตนกว่าสามร้อยคน พวกเขาล้วนเป็นผู้ฝึกตนจากกองทัพ มีระดับการฝึกตนอยู่ในขั้นรากฐานตั้งมั่น ฝีมือแกร่งกล้ากันทุกนาย นอกจากนี้กองทัพประจำดาวอังคารยังส่งนักพรตขั้นกำเนิดแก่นในไปช่วยคุ้มกันกงเต๋าด้วยอีกแรง


ที่กองทัพทำเช่นนี้เป็นเพราะกงเต๋ามีสถานะเป็นตัวแทนกองทัพในเขตนครใหม่ อีกทั้งยังมีภูมิหลังที่ไม่เหมือนใคร ประกอบกับที่ชายหนุ่มต้องเดินทางไปยังโลกเป็นเพราะหวังเป่าเล่อขอความช่วยเหลือมา ทางกองทัพจึงให้การช่วยเหลืออย่างเต็มที่


กงเต๋าติดต่อไปยังกองทัพบนโลกเผื่อไว้ด้วย และตระเตรียมทุกอย่างไว้พร้อมสรรพ เมื่อเรือบินลงจอดบนโลก ชายหนุ่มก็พบกลุ่มคนจำนวนสามร้อยคนที่ทางกองทัพบนโลกส่งมา พวกเขาอยู่ในขั้นรากฐานตั้งมั่นเช่นกัน


ทุกคนได้รับคำสั่งให้มาช่วยเหลือกงเต๋าปฏิบัติภารกิจให้สำเร็จลุล่วง!


มีสามคนในกลุ่มที่สะดุดตากงเต๋า ในสามคนนั้นมีหญิงสาวแต่งกายด้วยเครื่องแบบเรียบหรูนางหนึ่ง ความงดงามของนางทำให้ผู้คนรอบๆ ใจเต้นระส่ำ แต่สายตาและรัศมีใสซื่อบริสุทธิ์ที่แผ่ออกมาจากตัวนางทำให้ทุกคนรู้สึกละอายแก่ใจ ราวกับว่าความคิดผิดศีลธรรมต่างๆ ได้ปลิวหายไปหมดเมื่อได้มาอยู่เบื้องหน้านาง


หญิงสาวนางนั้นคือ…เจ้าเยี่ยเหมิง


นางเป็นผู้ช่วยประจำสำนักผู้นำสหพันธรัฐ การมาปรากฏตัวของนางบ่งบอกได้ว่าผู้นำสหพันธรัฐคิดเห็นอย่างไรกับเรื่องนี้ ด้านหลังของนางคือผู้อาวุโสสองคนที่มีระดับพลังปราณสูงและอยู่ในขั้นกำเนิดแก่นใน


กงเต๋าไม่คุ้นหน้าผู้อาวุโสทั้งสอง เขารู้ว่าในสหพันธรัฐมีสมาคมนักพรตที่มีผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในมากมายในสังกัด ผู้ฝึกตนเหล่านี้ขึ้นตรงต่อผู้นำสหพันธรัฐ การที่ผู้อาวุโสทั้งสองคนมาร่วมปฏิบัติภารกิจในครั้งนี้ด้วยก็ทำให้เห็นได้ชัดว่าผู้นำสหพันธรัฐมีจุดยืนอย่างไร


กงเต๋าตื่นเต้นดีใจเมื่อได้เห็นการสนับสนุนจากทางกองทัพบนโลกและจากบิดาบุญธรรมของตน แต่ก็ยังเคลือบแคลงใจอยู่เล็กน้อย การสนับสนุนที่ได้รับนั้นเกินกว่าที่เขาคาดไว้มาก ชายหนุ่มคิดว่าบิดาบุญธรรมคงจะตอบอนุมัติเฉยๆ จึงเตรียมการเผื่อในส่วนนี้ไว้ แต่ก็ดูเหมือนจะไม่จำเป็นต้องใช้แล้ว


ผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นหกร้อยคนและขั้นกำเนิดแก่นในอีกสามคน ไม่ว่ากลุ่มอำนาจทางการเมืองใดก็คงไม่กล้าต่อกรกับกองกำลังนี้เป็นแน่ อีกทั้งกลุ่มอำนาจที่ให้การสนับสนุนกองกำลังนี้ก็น่ากลัวไม่แพ้กัน


ตระกูลจั่วตื่นตกใจเมื่อได้เห็นกองกำลังที่ว่านี้ จั่วอี้เซียนเริ่มเป็นกังวลจนพูดไม่ออกเมื่อพบว่ากงเต๋าพากองกำลังมาถึงหน้าที่พำนัก เขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะมาหากันซึ่งๆ หน้าเช่นนี้


“ข้าคือกงเต๋า พันเอกประจำกองทัพดาวอังคาร นายกเทศมนตรีแห่งนครอาวุธเทพใหม่ และมีตำแหน่งเป็นขุนนางระดับสามชั้นรอง ข้ามาที่นี่ตามคำสั่งของหวังเป่าเล่อ เจ้าเมืองของนครอาวุธเทพใหม่ เพื่อรับตัวจั่วอี้ฟานกลับ ขอความร่วมมือจากตระกูลจั่วให้ปล่อยตัวเขาในทันทีด้วย!”


นายใหญ่ประจำตระกูลจั่วรวมถึงคนอื่นๆ อีกหลายคนไม่ได้ทราบเรื่องจั่วอี้ฟานมาก่อน พวกเขามารู้เรื่องข้อตกลงระหว่างเฉินมู่กับจั่วอี้เซียนตอนที่จั่วอี้เซียนนำตัวจั่วอี้ฟานมาคุมขังไว้ แต่เมื่อลงมือไปแล้วก็แก้ไขอะไรไม่ได้ พูดอะไรไปก็คงเปล่าประโยชน์ แม้จะมีเหตุการณ์วุ่นวายต่างๆ เกิดขึ้น ตระกูลจั่วก็ถือเป็นตระกูลสูงศักดิ์มีชื่อเสียงต้องปกปักรักษา ไม่มีทางที่พวกเขาจะทำตามคำสั่งคนอื่นง่ายๆ ตามธรรมเนียมแล้วต้องมีการประชุมตกลงกันจนกว่าจะได้ข้อสรุปที่พึงพอใจทั้งสองฝ่าย ซึ่งต้องใช้เวลาประมาณสองถึงสามวันถึงจะได้ข้อสรุป


ผลก็คือเมื่อเผชิญกับการบังคับขู่เข็ญจากพวกกงเต๋า ผู้อาวุโสที่เป็นตัวแทนของตระกูลจั่วจึงปฏิเสธเสียงแข็งไม่ยอมทำตามคำสั่ง


ทันใดที่อีกฝ่ายบอกปฏิเสธ และก่อนที่กงเต๋าจะทันได้ทำอะไร เจ้าเยี่ยเหมิงที่โกรธเคืองอยู่ในใจก็เปิดฉากจู่โจม การโจมตีของนางไม่ได้รุนแรงมาก แต่นักพรตขั้นกำเนิดแก่นในด้านหลังนางก็ลงมือจู่โจมพร้อมกัน พลังปราณของพวกเขาประสานพวยพุ่งเพิ่มความตึงเครียดให้สถานการณ์ปัจจุบันโดยพลัน


ตระกูลจั่วที่ตั้งใจจะแข็งขืนเปลี่ยนท่าทีในทันที เห็นได้ชัดว่าผู้อาวุโสของตระกูลจั่วระมัดระวังตัวต่อเจ้าเยี่ยหมิง กงเต๋ารู้สึกสงสัยแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร ก่อนลงมือเขาได้ติดต่อไปยังหวังเป่าเล่อเพื่อขออนุญาตก่อน


อย่างไรเสียสถานการณ์คงจะเปลี่ยนไปหากกงเต๋าเป็นคนสั่งโจมตี เขาอยากรู้ว่าหวังเป่าเล่อจะรับมือกับสถานการณ์นี้อย่างไร


หวังเป่าเล่อคอยติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พอได้รับรายงานผ่านข้อความเสียงและเข้าใจสถานการณ์มากขึ้น เขาก็ไม่ลังเลใจ ส่งคำสั่งผ่านแหวนสื่อสารด้วยน้ำเสียงเย็นชา


“โจมตีได้! ถ้ามีอะไร ข้าจะรับผิดชอบเองทั้งหมด!”


เมื่อได้รับคำสั่งอันเด็ดขาดจากหวังเป่าเล่อ รังสีสังหารก็ฉายวาบในดวงตาของกงเต๋า เขาสั่งการให้กองกำลังโจมตีทันที การต่อสู้ระหว่างทั้งสองฝ่ายกำลังจะปะทุขึ้น ตระกูลจั่วไม่กลัวการรบ แต่พวกเขารู้ว่าตนต้องเป็นฝ่ายแพ้อย่างแน่นอน อีกฝ่ายมีทั้งกงเต๋า เจ้าเยี่ยเหมิง กองกำลังจากกองทัพ ทั้งยังมีผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในอีกสามคนที่มีกลุ่มอำนาจทางการเมืองสนับสนุน ทำให้ตระกูลจั่วเสียเปรียบอย่างมาก


ผู้นำสหพันธรัฐ กองทัพของสหพันธรัฐ กองทัพของอาณานิคมดาวอังคาร และหวังเป่าเล่อ…บัดซบ เจ้าจั่วอี้เซียนตั้งใจจะฆ่าล้างบางตระกูลตนเองหรืออย่างไร ขณะที่สถานการณ์เริ่มคุกรุ่นและตึงเครียดมากขึ้น ผู้นำตระกูลจั่วก็สูดหายใจลึก ตัดสินใจที่จะหยุดทั้งสองฝ่ายไม่ให้สู้กันเพื่อไม่ให้เรื่องเลยเถิดไปมากกว่านี้ เขาไม่ได้ออกมายุติความขัดแย้งด้วยตนเอง แต่ให้คนนำตัวจั่วอี้ฟานออกมาส่งแทน


ทว่าทีที่จั่วอี้ฟานปรากฏตัวด้านนอก ก็มีพลังปราณขั้นกำเนิดแก่นในชั้นปลายผนวกกับพลังวิญญาณของอาวุธเวทระดับเก้าพวยพุ่งออกมาจากด้านหลังที่พำนักตระกูลจั่ว พลังที่ปะทุออกมาสั่นสะท้านฟ้าดิน อัสนีบาทส่งเสียงคำรามฉายสีบนท้องฟ้า ล้อมรอบเจ้าเยี่ยเหมิง กงเต๋า และกองกำลังพลของพวกเขาเอาไว้


เหมือนว่าผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในของตระกูลจั่วสามารถจัดการเหล่ากองกำลังได้อย่างง่ายดาย แต่กลับเลือกที่จะปลดปล่อยพลังให้ชิมลางก่อนก็จะหายวับไป ที่ทำเช่นนี้ก็เพื่อทำให้อีกฝ่ายพรั่นพรึง และเป็นการส่งข้อความให้ทุกคนที่จับตาดูอยู่ได้รู้ว่าตระกูลจั่วไม่ได้ส่งตัวจั่วอี้ฟานให้เพราะพวกเขาเกรงกลัว แต่เพราะพวกเขาให้ความสำคัญกับเรื่องอื่นมากกว่าเท่านั้น!


ขณะที่ตระกูลจั่วส่งตัวจั่วอี้ฟานออกมา ผู้อาวุโสที่เป็นตัวแทนเจรจาก็ออกมาอธิบายว่าพวกเขาไม่ได้มีส่วนรู้เห็นกับเรื่องนี้ มีคนนำตัวจั่วอี้ฟานมาให้พวกเขาอีกที


 สถานการณ์ความวุ่นวายยุติลง ไม่ต่างจากพายุฝนที่ส่งเสียงดังอึกทึกครึกโครมแต่กลับมีฝนปรอยลงมาเพียงเล็กน้อย คนอื่นๆ ที่จับตาดูสถานการณ์อยู่ไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไร เป็นใครก็คงยอมจำนนเมื่อต้องมาประจันหน้ากับการร่วมมือของกลุ่มอำนาจทางการเมืองเหล่านี้


จั่วอี้ฟานหน้าซีดเซียว แต่หวังเป่าเล่อช่วยไว้ได้ทันเวลา ชายหนุ่มได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้เป็นอันตรายมากนัก เขาดูสิ้นหวัง ความรู้สึกผูกพันกับตระกูลจั่วที่หลงเหลืออยู่น้อยนิดหายวับไป


ไม่มีใครรู้เลยว่าชายหนุ่มต้องพบเจอกับอะไรระหว่างที่ถูกคุมขัง เขาไม่ปริปากพูดแม้แต่คำเดียว ไม่บอกอะไรแม้แต่กับเจ้าเยี่ยเหมิง เห็นได้ชัดว่าจั่วอี้ฟานต้องพบเจอสถานการณ์สุดเลวร้ายที่ส่งผลกระทบต่อตัวเขาอย่างรุนแรง


ระหว่างทางขากลับ กงเต๋าแนะให้จั่วอี้ฟานเดินทางไปดาวอังคาร แต่จั่วอี้ฟานกลับส่ายหน้าปฏิเสธ


“บอกเป่าเล่อด้วยว่าข้าจะไม่ไปดาวอังคาร ข้าจะไปฝึกฝีมือบนดวงจันทร์และจะไม่กลับมาจนกว่าจะบรรลุขั้นกำเนิดแก่นใน!” จั่วอี้ฟานตอบกลับด้วยแววตามุ่งมั่นแฝงความดื้อรั้น


 กงเต๋าถอนหายใจเมื่อได้ฟังคำตอบของจั่วอี้ฟาน ก่อนจะกลับออกไป เขาก็พูดขึ้น “เจ้าน่าจะลองไปท้องทะเลแห่งอสูร หากคิดจะบรรลุระดับการฝึกตนโดยเอาตัวเข้าไปเสี่ยงภัยอันตราย ท้องทะเลแห่งอสูรเป็นสถานที่ที่เหมาะจะทำเช่นนั้นมากกว่าดวงจันทร์!” พูดจบ ชายหนุ่มก็กุมกำปั้นโค้งให้เจ้าเยี่ยเหมิงก่อนจะนำกองกำลังกลับ


กงเต๋าเคยชื่นชมและรู้สึกบางอย่างกับเจ้าเยี่ยเหมิง แต่ตอนนี้เขาเข้าใจจิตใจของตนแจ่มชัดขึ้น ที่ชายหนุ่มอยากทำในตอนนี้คือมุ่งหน้าฝึกฝีมือเพื่อพัฒนาเป็นผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่ง หนทางเบื้องหน้านั้นเต็มไปด้วยความท้าทายมากมาย เขาไม่อาจมีข้อผูกมัดหรือสิ่งที่ทำให้ไขว้เขวใดๆ ชายหนุ่มจึงเลือกที่จะกลบฝังความรู้สึกนี้ไว้ลึกสุดของหัวใจและหันหลังให้เจ้าเยี่ยเหมิง


ชายหนุ่มไม่ได้กลับดาวอังคารในทันทีที่หลังจากที่แยกกับจั่วอี้ฟาน เขาเริ่มสืบหาข้อมูลเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยใช้เส้นสายต่างๆ ที่มี อีกทั้งยังติดต่อไปหาจินตั้วหมิงด้วย พอสืบสาวราวเรื่องจากเบาะแสที่มีก็พบหลักฐานชี้ว่าเฉินมู่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ทั้งหมด


เขาขึ้นเรือบินกลับดาวอังคารและรายงานผลการสืบสวนให้หวังเป่าเล่อทราบ เรือบินทะยานขึ้นสู่ฟ้าเป็นสัญญาณว่าภารกิจได้สำเร็จลุล่วงแล้ว!


แม้เหตุการณ์ทั้งหมดจะเกิดขึ้นเพียงไม่นาน แต่ก็สร้างความโกลาหลภายในสหพันธรัฐได้ไม่น้อย ทุกๆ คน ไม่ว่าจะเป็นสี่ยอดสำนักเต๋าศักดิ์สิทธิ์ คณะเสนาบดี และกลุ่มอำนาจทางการเมืองอื่นๆ ที่ได้เห็นบทสรุปของเหตุการณ์นี้ต่างจับจ้องไปทางดาวอังคารพร้อมๆ กัน


ครั้งหนึ่งเมื่อคิดถึงดาวอังคาร ทุกคนล้วนนึกถึงเจ้านครอาณานิคมดาวอังคาร แต่ ณ บัดนี้มีผู้อื่นปรากฏขึ้นในความคิดของเหล่ากลุ่มอำนาจทางการเมือง ชายผู้นั้นยังอยู่ในขั้นรากฐานตั้งมั่น แต่กลับสามารถออกคำสั่งส่งคนมายังโลกเพื่อปฏิบัติภารกิจโดยที่ตนเองอยู่บนดาวอังคาร ได้รับการสนับสนุนจากทางกองทัพและฝ่ายปกครองของดาวอังคาร รวมทั้งการอนุมัติจากผู้นำสหพันธรัฐ ทุกๆ สิ่ง…ชี้ให้เห็นว่าดาวรุ่งดวงใหม่บนดาวอังคารผู้นี้ได้ไต่เต้าขึ้นมาจนเป็นบุคคลสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม!


หวังเป่าเล่อมองว่าการปฏิบัติภารกิจครั้งนี้เป็นการแสดงให้เห็นถึงความไม่พอใจต่อตระกูลจั่วและความปรารถนาอยากช่วยเหลือเพื่อน ส่วนกลุ่มอำนาจทางการเมืองอื่นๆ มองว่า…หวังเป่าเล่อตั้งใจจะแสดงอำนาจของตนให้เป็นที่ประจักษ์ พวกเขามองว่าชายหนุ่มลงมือเช่นนี้เพื่อบอกทุกฝ่ายว่าอย่ามาแตะต้องครอบครัวและเพื่อนๆ ของตน!


หากมาแตะต้องพวกเขาแม้แต่นิดเดียว ชายหนุ่มก็ไม่กลัวที่จะแสดงให้เห็นว่าเขาทำอะไรได้บ้าง!

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)