ท่านเทพมาแล้ว 396-399
บทที่ 396 ให้เจ้าเลือก
โดย
Ink Stone_Romance
พวกลู่ยากลับมาถึงบ้าน ซ่างกวนสุ่นที่กลับมาก่อนและเสี่ยวซิงจุดโคมให้สว่างไปทั่วบ้านนานแล้ว มู่จิ่วหันหน้ากลับมามองเหล่าเซียนที่มาส่งอยู่ตรงประตู ก่อนจะมองลู่ยาคราหนึ่ง ลู่ยาจึงต้องบอกให้พวกเขากลับไปอีกครั้ง ลานบ้านนี้จึงสงบลงได้
เสี่ยวซิงยุ่งอยู่กับการจัดเตรียมชาและผลไม้ วิ่งเข้าวิ่งออกยุ่งไม่หยุด มู่จิ่วลองขับเคลื่อนพลังเรียกนกรับใช้ออกมาหลายตัว พวกมันรวมตัวค้อมคำนับอยู่ด้านหน้าแล้วเรียก ‘นายท่าน’ มู่จิ่วยินดียิ่งนัก เรียกเสี่ยวซิงมา “นับจากนี้เจ้าเป็นมือขวาของข้าแล้ว ให้พวกนางช่วยเจ้าทำงาน เจ้าเพียงแค่ควบคุมดูแลก็พอ”
เหล่านกข้ารับใช้หมุนตัวไปทำความเคารพเสี่ยวซิง
เสี่ยวซิงทั้งตื่นเต้นและดีใจ ทั้งยังซาบซึ้ง คิดไม่ถึงว่าตัวนางจะกลายเป็นมือขวาของเทพหญิง ถึงแม้ไม่รู้ว่าตนเองจะสามารถช่วยเหลืออะไรได้บ้าง แต่ก็รู้ว่าความหมายของมู่จิ่วคือไม่อยากให้นางจากไปไหน ความยินดีนี้ยากจะบรรยายออกมา
ซ่างกวนสุ่นออกมาเร่ง นางถึงได้ค้อมคำนับให้เล็กน้อยก่อนนำพวกนางไป
เทพหญิงแห่งหกวิญญาณสามารถควบคุมวิญญาณในหกภพ เรียกนกกี่ตัวมาทำเป็นข้ารับใช้ก็ได้ ไม่ใช่เรื่องยากอะไร วิชาเรียกนกนี้แน่นอนว่าลู่ยาเป็นคนสอน
เพียงแต่ถึงแม้ตอนนี้พลังวิญญาณกลับมาแล้ว ทว่ายังไม่ได้รับการแต่งตั้ง ยังไม่ได้รับการยอมรับจากฟ้าดิน วิชาอาคมบางอย่างจึงยังไม่ถูกคลายออก
ถึงแม้รุ่ยเจี๋ยกับอาฝูจะดีใจกับนางด้วย แต่เรื่องดีใจก็ส่วนดีใจ พวกเขาไม่เคยคิดว่านางจะมีกำลังมากขนาดนี้ ตอนนี้เห็นเหล่านกพวกนั้นอ่อนน้อมเชื่อฟังนางแบบนั้น ถึงได้รู้ว่าแท้จริงแล้วพลังของนางไร้ขอบเขต เหนือกว่าที่พวกเขาคาดคิดไว้มากนัก! ทั้งสองรู้สึกว่าเป็นเกียรติมาก สุดยอดยิ่งนัก
มู่จิ่วเห็นลู่ยากำลังรักษาแผลให้หลินเจี้ยนหรู จึงเดินเข้าไป
“เป็นอย่างไรบ้าง?”
“ไม่มีปัญหา” ลู่ยาตอบ “เพียงแต่เลือดลมรุ่มร้อนไปหน่อย แต่ตามหลักการแล้วไม่ควรมีสภาพดีเช่นนี้ ข้าเดาว่าคงพอดีกับที่เจ้าออกมาดึงดูดอสุนีบาตสามสายสุดท้าย จึงทำให้เขาหลบเลี่ยงไปได้ และอสุนีบาตสามสายนั้นนำมาซึ่งด่านเคราะห์ของเจ้าพอดี สองสิ่งนี้เกิดในเวลาเดียวกันอย่างประจวบเหมาะ”
เขาให้หลินเจี้ยนหรูกินยา ก่อนจะลุกขึ้นเอ่ย
“ลำบากมู่จิ่วแล้ว” หลินเจี้ยนหรูกลืนยาลงไปก่อนมองมา “แต่ข้าก็ไม่รู้ว่าจะตอบแทนบุญคุณเจ้าในชาตินี้ได้หมดหรือไม่”
“จะเอ่ยถึงเรื่องนี้ทำไม?” มู่จิ่วทนฟังเรื่องเหล่านี้ไม่ได้มากที่สุด นางเอ่ย “ข้าเพียงทำเรื่องที่ข้าควรทำ ข้าเชื่อมาตลอดว่าทำดีได้ดีก็เท่านั้น”
ลู่ยารับคำของนางอย่างเชื่องช้า “หากเจ้าอยากชดใช้คืนจริง ชาตินี้ใช้ได้ไม่หมด ชาติหน้าค่อยมาชดใช้คืนต่อก็เหมือนกัน”
มู่จิ่วผลักเขาไปทีหนึ่ง แล้วหันไปเอ่ยกับหลินเจี้ยนหรู “ข้ายังรู้สึกว่าเจ้าคือดาวนำโชคของข้า เจ้าดูสิ หากไม่ใช่เพราะอสุนีบาตเก้าสายนี้ของเจ้า ข้าจะสำเร็จเป็นเซียนหรือ? ตอนนี้สำเร็จสมปรารถนาแล้ว เจ้าไม่ต้องคิดมากอีก” นางพูดพลางหยิบขวดใบหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ เอ่ยอีกว่า “ข้ายังมีเรื่องต้องบอกเจ้า”
หลินเจี้ยนหรูพยักหน้า “เจ้าว่ามาเถิด”
“ข้าถามเจ้าก่อน ต่อไปเจ้าคิดจะทำอย่างไร?”
“คิดจะทำอย่างไรหรือ?” เขาชะงัก มองไปยังแสงอาทิตย์ยามเช้าที่ด้านนอก เอ่ยเบาๆ ว่า “ข้าบำเพ็ญเซียนมาครึ่งๆ กลางๆ ไม่รู้ว่ายังมีหวังอีกหรือไม่ ข้าไม่อยากเป็นมาร ฟ้าดินกว้างใหญ่เช่นนี้ คิดแล้วคงไม่ขาดที่ซุกหัวนอนให้ข้า คงหลบเร้นกายฝึกบำเพ็ญอย่างสงบ แล้วปล่อยไปตามลิขิตฟ้า”
“เพียงเจ้าคนเดียวหรือ?” มู่จิ่วถาม
เขาเงียบมองนาง ไม่ได้ตอบอะไร
คิดอยากมีชีวิตสงบสุข สามารถหาคนที่จะเคียงคู่กันไปจนแก่เฒ่า ใช้ชีวิตที่เหลือด้วยกัน แต่ตอนนี้เขาเหลือตัวคนเดียว ไม่อยู่คนเดียวแล้วจะยังมีใครมาเคียงคู่เขาด้วยหรือ?
“ข้าฝังร่างของศิษย์พี่เหลียงไว้ที่ภูเขาจิตอสุนีบาต ข้าคิดจะไปสร้างเพิงอยู่ที่นั่น” เขาลอบกำหมัดพลางเอ่ย
มู่จิ่วเงียบไม่เอ่ยอันใด อาศัยตอนที่เขาไม่ได้ระวังเปิดฝาขวดออกอย่างเงียบๆ
กลุ่มควันวิญญาณลอยออกมาจากปากขวดไปปรากฏตัวอยู่หลังเขา ก่อนค่อยๆ ผสานขึ้นเป็นร่าง
“เจ้าอยากดูแลหลุมศพนางหรือ?” มู่จิ่วปิดฝาขวดก่อนถามอีก
“ไม่ใช่เฝ้าดูแลหลุมศพ เพียงคิดว่าที่ที่มีนางอยู่จะทำให้รู้สึกถึงความมีชีวิตบ้าง”
เขาก้มมองเท้า ปากพึมพำ “แต่ก่อนตอนอยู่ที่ทัพทหารสวรรค์ นางซักผ้าให้ข้า เก็บห้องให้ข้า บางครั้งข้าก็รู้สึกเคยชินกับการที่มีนางอยู่ข้างกาย แต่ข้าเอาแต่จดจำว่าข้าไม่อาจอยู่กับนางได้ตลอดชีวิต ดังนั้นจึงไม่เคยยินดี และก็ไม่เคยคิดเลยว่าหากนางจริงใจกับข้าจริงๆ เล่า?”
“ตอนนี้ข้าร่อนเร่ไปทั่ว นางเองก็ไม่อาจกลับสำนักแรกพยับแล้ว หากได้อยู่ข้างกายนาง นับวันเวลาเฝ้านาง บางทีอาจจะรู้สึกว่าใกล้ชิดขึ้นบ้าง อย่างน้อยก็คงไม่โดดเดี่ยวขนาดนั้น ข้าติดค้างนางไว้ ข้าสละทั้งชีวิตเพื่ออยู่เคียงข้างนางก็เหมาะสมแล้ว”
ทั้งห้องพลันตกอยู่ในความเงียบราวกับเวลาหยุดนิ่ง
มู่จิ่วมองเหลียงชิวฉานที่ร้องไห้อยู่ข้างหลัง ก่อนเอ่ย “หากนางสามารถกลับมามีชีวิต คงดีมาก เจ้าไม่ลองคิดหาวิธีให้นางคืนชีพดู”
เขายกริมฝีปากยิ้มขมขื่น พูดช้าๆ ว่า “เมื่อก่อนข้ารบกวนเจ้าไว้มาก หากยังมีโอกาสช่วยนางกลับมา ข้าย่อมหน้าด้านหน้าทนเพื่อขอร้องเจ้า แต่ข้ารู้ว่าแม้ข้าจะร้องขอเจ้าไปก็ไม่มีประโยชน์ วิญญาณของนางได้กลับคืนสู่ปรโลก ร่างของนางก็ฝังไว้นานแล้ว คงไม่ทันอีกต่อไป”
มู่จิ่วมองลู่ยาที่กอดอก เอ่ยว่า “เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ สำคัญคือเจ้าอยากเจอนางหรือไม่?”
หลินเจี้ยนหรูเงียบไปนาน สุดท้ายก็ส่ายหน้า “ข้าทำร้ายนางมาหลายครั้ง นางคงไม่อยากเจอข้า อีกอย่างเจ้าจะให้ข้าเจอหน้านางอย่างสบายใจได้อย่างไร? ให้นางกลับไปเวียนว่ายตายเกิดจะดีกว่า มีชาติหน้าที่สงบสุขย่อมดีกว่าอะไรทั้งหมด ข้าแค่ทำเหมือนไม่มีวาสนาต่อนางเท่านั้น”
“ที่แท้เป็นเพราะเจ้าไม่อาจทำใจเจอข้าได้ หรือเจ้าคิดว่าข้าไม่อาจมอบความสงบสุขมั่นคงให้เจ้าได้กันแน่?” เขาเพิ่งพูดจบ ก็มีเสียงสะอื้นเจือด้วยความแข็งกร้าวดังขึ้นมาจากด้านหลัง “เจ้าไม่ใช่ซือมิ่งซิงจวิน จะรู้ได้อย่างไรว่าชาติหน้าของข้าสงบสุขและต้องดีกว่าชาตินี้? แล้วข้าเคยบอกเจ้าเมื่อไหร่ว่าข้าไม่อยากอยู่กับเจ้าจนแก่เฒ่า ล้วนเป็นเจ้าคิดไปเองทั้งนั้น”
หลินเจี้ยนหรูชะงัก รีบหมุนตัวกลับไป
เหลียงชิวฉานตรงหน้าเขา ใบหน้าไม่ได้ต่างจากเมื่อก่อนเลยแม้แต่น้อย ตรงหางตามีคราบน้ำตาอยู่
เขายืนอยู่ตรงนั้น สองมือและริมฝีปากพลันสั่นเบาๆ!
เขามองมู่จิ่วก่อนมองลู่ยา ฝ่ายลู่ยาเลิกคิ้ว ไม่ได้เอ่ยอะไร
มู่จิ่วก้าวไปข้างหน้า “ลู่ยาเก็บวิญญาณไว้ให้เจ้านานแล้ว ส่วนร่างก็เก็บรักษาไว้ที่คุนหลุนตะวันออก แต่การตัดสินใจอยู่ที่เจ้า หากเจ้าไม่อยากให้นางมีชีวิตอยู่ต่อ พวกเราจะส่งนางไปเกิดทันที หากเจ้ายินยอม ตอนนี้พวกเราสามารถพาเจ้าไปที่คุนหลุนตะวันออกแล้วฟื้นคืนชีวิตให้นาง”
หลินเจี้ยนหรูมองเหลียงชิวฉานที่อยู่เพียงเอื้อม คิ้วขมวดแน่น ขอบตาทั้งสองแดงเรื่อทันใด
เหลียงชิวฉานตากุมมือเขาไว้ทั้งใบหน้าเปื้อนน้ำ “ชีวิตที่เหลืออยู่ ให้ข้าได้ชดใช้ให้เจ้าแทนสำนักแรกพยับ ให้ข้าดูแลเจ้าเถิด ชีวิตสงบสุขที่เจ้าต้องการ รู้ได้อย่างไรว่าไม่ใช่ชีวิตที่ข้าต้องการด้วย”
………………………………..
บทที่ 397 ความปรารถนาของนาง
โดย
Ink Stone_Romance
มือของหลินเจี้ยนหรูแข็งเกร็ง กุมมือของนางไว้กลางฝ่ามือตน
ลู่ยาดึงแขนเสื้อมู่จิ่ว พานางออกไปข้างนอก
แสงอาทิตย์ยามเช้าสาดส่องผ่านดอกพุดตานสีขาวเข้ามายังระเบียงทางเดิน แสงทองสว่างเป็นหย่อมๆ ส่องจนใจรู้สึกสบายอย่างบอกไม่ถูก
ลู่ยาเด็ดดอกไม้ลงมาทัดหูนาง กล่าวว่า “พวกเราอยู่ที่สวรรค์สักสามวัน ให้เจ้าจัดการเรื่องราวให้เรียบร้อย จากนั้นพวกเราค่อยไปสวรรค์อันสูงส่ง พวกเสี่ยวซิงกับซ่างกวนสุ่นก็ไปด้วยกันให้หมด วังชิงเสวียนจะมีนายหญิงแล้ว ก็ต้องมีคนมาเพิ่มความคึกคักเสียหน่อย เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องแรงกดดันบนสวรรค์อันสูงส่ง ข้าให้พวกเขากินยาต้านทานไว้ก่อนได้ อีกอย่างบนสวรรค์อันสูงส่งยังฝึกบำเพ็ญเซียนได้ง่ายกว่า ผ่านไปอีกสักพันกว่าปีเสี่ยวซิงก็คงบรรลุเป็นเซียนแล้ว ถึงตอนนั้นก็ไม่ต้องกลัวอีก”
“แต่หากเจ้าไม่อยากอยู่ที่วังชิงเสวียน รอจนพวกเราทำลายพลังร้ายได้แล้วค่อยย้ายไปอยู่ที่คลื่นจิตพสุธาก็ได้ หลังจากเจ้าได้รับการแต่งตั้ง วังคลื่นจิตพสุธาคงกลายเป็นอีกแบบ ไม่ต้องสนใจความกันดารในถิ่นทุรกันดารทางเหนือ พวกเราสามารถใช้ชีวิตได้อย่างที่ใจต้องการ เจ้าสามารถเรียกสหายมาเยี่ยมได้ จะจัดงานเลี้ยงลูกท้อหรืออะไรอย่างที่หวังหมู่ทำก็ยังได้”
“ชีวิตนี้ของข้าจะไม่ยอมให้เจ้าต้องโดดเดี่ยวแน่นอน”
มู่จิ่วเอนหัวพิงไหล่เขาพลางถาม “เช่นนั้นข้าเชิญหลิวจวิ้นกับหลินเจี้ยนหรูมาได้หรือไม่?”
ลู่ยาโอบนาง ยกยิ้มแล้วตอบ “เจ้าอยากจะเชิญใครมาก็ได้ทั้งนั้น วังคลื่นจิตพสุธาคือบ้านของเจ้า”
“หากเจ้าตามข้ามาที่คลื่นจิตพสุธา แบบนี้มิใช่ว่าเป็นการแต่งเข้าหรือ?” มู่จิ่วเงยหน้าขึ้นหยอกล้อเขา
เขายิ้มตอบ “จะเป็นไปได้อย่างไร? ไม่ว่าอยู่ที่ไหน ข้าย่อมเป็นเสาหลักของบ้าน”
“ใครว่าไม่เป็นล่ะ?” มู่จิ่วหัวเราะเสียงดัง
…
บนสวรรค์เก้าชั้นไอมงคลแผ่กระจาย ต้นไม้เจริญงอกงามราวกับฤดูใบไม้ผลิ
สามวันที่ลู่ยาบอกนั้นครบกำหนดพอดี
วันแรกนางพาเสี่ยวซิงและจุ่นถีกลับไปที่หงชางก่อน ทำให้ทั้งสำนักตื่นตกใจ นี่ยังเป็นผลหลังจากที่จุ่นถีกำชับให้ลู่ยากับมู่จิ่วแอบซ่อนพลังไว้แล้ว
มู่จิ่วทำความเคารพทุกคนในฐานะศิษย์น้อง จากนั้นก็ยกชาให้จุ่นถี ภายหลังนางกลับมาในฐานะเทพหญิง ไม่ว่าจะเป็นฐานะของนางหรือฐานะของลู่ยา แม้เกี่ยวข้องกับจุ่นถีในฐานะศิษย์อาจารย์ แต่ก็ไม่อาจพบเจอกันในฐานะศิษย์อาจารย์ได้อีก
ยามค่ำคืนกลับสู่สวรรค์
หลังจากถึงบ้านแล้วนางจึงเรียกทุกคนออกมาเพื่อสั่งการ ทุกคนล้วนตามกลับไปยังวังชิงเสวียน รอจนทำลายพลังร้ายได้ก่อนค่อยตัดสินใจว่าหลังจากนั้นจะอยู่ที่วังชิงเสวียนหรือไปยังคลื่นจิตพสุธา
เสี่ยวซิงไม่มีปัญหาใด แต่ซ่างกวนสุ่นกลับอยากพานางกลับบ้านก่อนไปยังสวรรค์อันสูงส่ง ที่จริงทั้งเผ่าต้าเผิงยังไม่เคยมีใครได้ขึ้นไปยังสวรรค์อันสูงส่งมาก่อน นี่เป็นการสร้างหน้าให้ตระกูล ภายหลังไม่ต้องกังวลว่าจะโดนดูแคลนอีก อย่างไรก็ต้องกลับไปร่ำลาพ่อแม่
อีกอย่างเขาอยากพาเสี่ยวซิงกลับไปทำความคุ้นเคยกับบรรยากาศของครอบครัวเขาก่อน ถึงแม้ตามความคิดของมู่จิ่วจะไม่ควรให้เสี่ยวซิงแยกจากนางไป แต่ช้าเร็วเสี่ยวซิงก็ต้องกลับไปเจอแม่สามีอยู่ดี
มู่จิ่วเล่าความต้องการของซ่างกวนสุ่นให้เสี่ยวซิงฟังจนเข้าใจแล้ว อย่างไรนางก็ไม่อาจให้เสี่ยวซิงไปแบบไม่รู้เรื่องรู้ราว ใบหน้าของปีศาจกระต่ายแดงอยู่พักหนึ่ง สุดหน้าก็ผงกศีรษะกระแอมรับด้วยใบหน้าแดงเถือก
ถึงแม้นางจะยังดูเหมือนเด็กอายุสิบสองสิบสาม แต่ที่จริงอายุถึงห้าร้อยปีแล้ว ไม่ใช่ว่าจะไม่รู้ความอะไรเลย
ยังเหลืออีกสองวันพอดี พวกเขาพูดจบก็เดินทางทันที ออกจากประตูสวรรค์แดนใต้ไปในคืนนั้น
มู่จิ่วกำลังจะเตรียมส่งอาฝูและรุ่ยเจี๋ยกลับไป เช้าวันถัดมาซื่ออินและเหลียงจีรวมถึงคู่สามีภรรยาเฒ่าแห่งชิงชิวกลับจะพาองค์หญิงองค์ชายมายังสวรรค์ บวกกับอวี้ตี้หวังหมู่ก็เกรงอกเกรงใจลู่ยาและมู่จิ่ว มักจะให้คนนำของมาให้อยู่บ่อยครั้ง เหล่าเซียนในสวรรค์ต่างก็มาแสดงความยินดี ดังนั้นจึงไม่มีเวลาสงบเงียบเลย
ตกบ่าย อ๋าวเชินก็พารัชทายาทมา ตามด้วยปี้เสียหยวนจวิน มหาเทพตงเยวี่ย และเซียนคนอื่นๆ ลู่ยารำคาญยิ่งนักจึงสั่งไว้ ไม่ว่าใครก็ไม่อนุญาตให้เข้ามา
ตกกลางคืนมีคนมาร้องเรียก มู่จิ่วรู้สึกว่าเป็นกลิ่นอายที่คุ้นเคย จึงส่งเสี่ยวซิงไปเปิดประตู ผู้มาเยือนเป็นอ๋าวเจียงนั่นเอง
สีหน้าอ๋าวเจียงดูดีขึ้น ใบหน้าเปลี่ยนไปมาก เขาอยู่ที่เกาะเป่ยอี๋ปีกว่านั้นราวกับปลาได้น้ำ ทั้งยังผูกมิตรกับเทพน้ำได้หลายองค์
หลังเขาจากไป หลินเจี้ยนหรูก็มาพร้อมขวดที่เก็บวิญญาณของเหลียงชิวฉาน
ไม่ต่างจากที่คาดไว้ เขายังเลือกที่จะเผชิญหน้ากับเหลียงชิวฉานอย่างกล้าหาญ
บางทีอาจไม่มีอุปสรรคอะไรที่จะเอาชนะความรักได้ ตั้งแต่ออกมาจากคุกจิตใจของเขาสงบลงมาก และตอนนี้รอบตัวเขามีไอมงคลแผ่ออกมา มู่จิ่วไม่กล้าพูดว่าเขารักเหลียงชิวฉานลึกซึ้งเพียงไหน แต่ไหนแต่ไรเขาก็ไม่เคยพูด แต่นางกลับดูออกว่าพื้นที่ของเหลียงชิวฉานในใจเขาไม่มีสิ่งใดมาแทนที่ได้
นางคืออดีตและอนาคตของเขา เป็นทั้งฝันร้ายในวัยเด็กและแสงสว่างเพียงหนึ่งเดียวในชีวิตที่เหลืออยู่
ตอนแรกเขาเกลียดนางปฏิเสธนาง เย็นชาต่อนาง นั่นคือการป้องกันอย่างหนึ่ง ต่อหน้าความแค้นถึงเป็นถึงตายระหว่างเขากับแรกพยับ นั่นอาจเป็นสิ่งเดียวที่เขาสามารถทำให้นางได้
บางทีความรักอาจเกิดขึ้นนานแล้ว เพียงแต่เขาไม่ยอมรับมัน
พวกเขาไปคุนหลุนตะวันออกตอนค่ำ
ลู่ยานำร่างของเหลียงชิวฉานมาไว้บนแท่นดอกบัวเหนือบึงน้ำดำ
ผิวน้ำในบึงพลิกไหวเป็นคลื่น เพียงมู่จิ่วพ่นลมหายใจออกไป ผิวน้ำนั้นก็สงบราบเรียบราวกระจก
เหลียงชิวฉานบนแท่นดอกบัวไม่ต่างอะไรกับก่อนหน้านี้เลย วิญญาณออกมาจากขวด มู่จิ่วใช้ยันต์ชีวิตนำทาง พริบตาเดียววิญญาณก็เข้าร่าง จากนั้นนางถึงลืมตาขึ้น หลินเจี้ยนหรูที่บีบมือนางแน่นลุกขึ้นมาคุกเข่าคำนับพวกเขา
เหลียงชิวฉานคุกเข่าคำนับเช่นกัน
จากตายแล้วฟื้น จากวิญญาณเร่ร่อนกลับคืนสู่ร่าง นางก็ไม่ได้ร้องไห้ฟูมฟายหรือตื่นเต้นจนเสียกิริยา ทุกอย่างคือความนิ่งสงบ ราวกับถูกกำหนดไว้แบบนี้ทุกชาติภพไป
มู่จิ่วตื้นตันกับความรักเช่นนี้ ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างสงบหลังจากผ่านโศกนาฏกรรมมา สำหรับพวกเขาแล้วคงมีค่าที่สุดกระมัง มันเรียบง่ายเหมือนกับล้างแป้งบนหน้าออกจากหมด ละทิ้งความหวานชื่นที่ควรมีดั่งเช่นบนโลกมนุษย์ ความรักของพวกเขาก็เป็นเช่นนี้ เคียงคู่กันไปอย่างมั่นคงแน่วแน่ ใครจะพูดได้ว่าไม่ใช่ความสุขชนิดหนึ่ง?
“ข้ายังมีอีกเรื่องอยากขอร้อง”
เมื่อออกมาจากคุนหลุนตะวันออกก็ถึงเวลาลาจากแล้ว หลินเจี้ยนหรูมองดวงจันทร์บนฟ้า พลันหันมองลู่ยากับมู่จิ่ว “ข้าอยากให้ท่านทั้งสองเป็นพยานให้ข้า ข้าหลินเจี้ยนหรู ยินดีรับเหลียงชิวฉานเป็นภรรยา เป็นตายไม่แยกจาก อยู่ด้วยกันตราบนิจนิรันดร์”
เขาดึงเหลียงชิวฉานให้คุกเข่าลง
มู่จิ่วมองลู่ยา
ลู่ยากอดอกอยู่พักหนึ่งก่อนเอ่ย “เจ้าได้พลังของข้าไป นับว่าเป็นศิษย์ของข้ากึ่งหนึ่ง ทว่าข้าไม่อาจรับเจ้าได้ แต่ในเมื่อเจ้าเป็นเพื่อนอาจิ่วก็ว่ากันยาก ฉะนั้นข้าจะเป็นพยานให้พวกเจ้า ถือว่าเป็นมิตรภาพแล้วกัน”
พูดจบเขาก็สะบัดมือเรียกโต๊ะมงคลและเทียนมงคลออกมา จากนั้นยังเปลี่ยนชุดแต่งงานให้พวกเขาด้วย
มู่จิ่วยินดีนัก นั่งรับการคำนับของพวกเขาอย่างตั้งใจ คิดๆ แล้วก็ยกมือขึ้นลูบกระหม่อมเหลียงชิวฉาน มอบพลังให้นางเล็กน้อย
ไม่ง่ายนักที่จะมีคนจริงใจกับหลินเจี้ยนหรู นางหวังเพียงว่าพวกเขาจะอยู่ด้วยกันจนแก่เฒ่า เป็นตายไม่แยกจาก พลังของเขาไม่น้อยแล้ว แต่เหลียงชิวฉานยังห่างจากเขามากนัก หากขาดพลังไป นางคงสำเร็จเป็นเซียนช้ากว่าหลินเจี้ยนหรูนานนัก
ความจริงพวกเขาทั้งคู่คงไม่ใส่ใจเรื่องนี้ แต่ในฐานะที่เป็นพยานของพวกเขา จะไม่ให้ของขวัญยินดีสักหน่อยได้อย่างไร?
เหลียงชิวฉานคำนับขอบคุณนางทั้งน้ำตา มู่จิ่วยิ้มพลางกลับไปหาลู่ยา หวนคืนสู่สวรรค์ภายใต้แสงจันทร์
สำหรับนางแล้ว การให้นั้นมีความสุขมากกว่าการรับ
นางเชื่อว่าบนโลกนี้มีเรื่องราวมากมายที่ใช้กำปั้นและแผนการแก้ไขปัญหาให้ลุล่วงได้ นางไม่ชอบแสร้งทำใสซื่อเป็นดอกบัวขาวเช่นกัน แต่ในขณะเดียวกัน นางก็เชื่อว่าความขัดแย้งบนโลกนี้ใช้การให้และความปรารถนาดีเข้าแก้ไขจะเหมาะสมกว่า
………………………..
บทที่ 398 สงครามครั้งสุดท้าย (1)
โดย
Ink Stone_Romance
คืนสุดท้ายในสวรรค์ผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ยามเช้าค่อยๆ เผยโฉมออกมา ทุกคนต่างรวมตัวกันมุ่งหน้าไปยังประตูสวรรค์แดนใต้
เทพเซียนเกือบทั้งสวรรค์ต่างก็พากันติดตามอวี้ตี้หวังหมู่ไป ทั้งตระกูลมู่หรง ตระกูลซ่างกวน กระทั่งพ่อแม่บรรพบุรุษของอาฝูก็มา
บริเวณประตูสวรรค์แดนใต้นั้นแน่นขนัด ไอมงคลตลบอบอวลไปเกือบทั้งฟ้าดิน อาฝูและจิ้งจอกทองน้อยรุ่ยเจี๋ยที่กลับคืนสู่ร่างเดิมเดินนำหน้า ตามด้วยซ่างกวนสุ่นและเสี่ยวซิง จากนั้นก็เป็นมู่จิ่วและลู่ยา เหล่าคนที่มารอรับเทพเซียนแห่งสวรรค์อันสูงส่งรออยู่ที่ประตูนานแล้ว เรียงแถวยืนกันเต็มพื้นที่
ลู่ยาจูงมือมู่จิ่วออกมารับการคารวะของเหล่าเซียน เดินไปตามทางที่ไร้ดอกไม้แต่กลับมีกลิ่นของมันกำจายไปทั่ว
นางเกิดมาต้อยต่ำ เดิมไม่เคยคิดหวังต้องนำคนหมู่มากเช่นนี้ แต่ลู่ยาบอกว่าช้าเร็วเดี๋ยวนางก็เคยชินไปเอง นางเลยทำได้เพียงยอมรับ
เดินออกจากประตูสวรรค์แดนใต้ ขึ้นไปยังเกี้ยวที่หนี่ว์วาส่งมารับ พยักหน้าให้กับเหล่าเซียน ก่อนที่คณะเดินทางจะมุ่งหน้าไปยังสวรรค์สามสิบเก้าชั้น
บนสวรรค์สามสิบเก้าชั้นมีเหล่าหวงเตี้ยน ตี้เจียง และนกชิงหลวนมารอรับที่ประตูสวรรค์แล้ว เมื่อเกี้ยวลงเทียบ หงจวินหุนคุนและหนี่ว์วาก็ปรากฏตัวขึ้น หลังจากทักทายทำความเคารพเรียบร้อยแล้ว ทั้งหมดก็มุ่งหน้าไปยังแท่นที่อยู่บนยอดเขาที่สูงที่สุดทางตะวันออก ที่นี่กำยานธูปหอมและโต๊ะพิธีล้วนจัดเตรียมไว้หมดแล้ว ลู่ยาจูงมือมู่จิ่วขึ้นไปยังบันไดหยกได้ครึ่งทางก็ปล่อยมือนาง ก่อนจะเข้าไปสมทบกับพวกหงจวินที่ยืนอยู่คนละทิศทั้งสี่ทิศ
มู่จิ่วเดินขึ้นไปยังขั้นบันไดขั้นสุดท้าย ทันใดนั้นก็มีพลังลอยวนอยู่ตรงดอกกล้วยไม้ที่ระหว่างคิ้ว ทุกย่างก้าวที่เดินไปจะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับร่างกายมากขึ้นหนึ่งอย่าง จนเมื่อถึงใจกลางของแท่น เส้นผมดำขลับของนางก็สยายลงจนหมด หนี่ว์วาหยิบเสื้อคลุมตัวหนึ่งขึ้นคลุมร่างนาง เสื้อให้เรียบร้อยโดยที่นางไม่ต้องลงมือเลย
เสื้อคลุมตัวใหญ่นี้มีพื้นสีเรียบกุ๊นด้วยสีแดง ไม่รู้ว่าใช้วัสดุอะไร ช่วงอกและช่วงล่างมีสัตว์วิเศษวิญญาณทั้งหกภพ แต่ละตัวทำท่าจะโผทะยาน พ่นลมปราณเซียนออกมา เฟิ่งหวงสองตัวที่โดนเข้าพลันสยายปีกออกมากลางอากาศ จากนั้นก็กลายร่างเป็นหญิงสาว คุกเข่าลงไปก่อนเอ่ยพร้อมกัน “นายหญิง”
หนี่ว์วายิ้มน้อยๆ “นี่คือสิ่งที่สร้างขึ้นจากพลังของเจ้า แต่ละตัวสามารถเรียกทั้งเผ่าพันธุ์ของมันมาได้ ใช้แทนกระเรียนกระดาษของเจ้าได้เลย”
สามารถเรียกสัตว์วิเศษของแต่ละเผ่าพันธุ์มาได้ทั้งหมด นี่ใช้แทนได้แค่กระเรียนกระดาษเสียที่ไหน?
มู่จิ่วเอ่ยขอบคุณ นิ้วมือขยับเบาๆ เหล่าสัตว์วิเศษก็กลับไปในเสื้อ
ทางหุนคุนก็ถือเตาทองคำท่าทางประณีตซับซ้อนขนาดเท่าฝ่ามือเข้ามา เอ่ยว่า “นี่คือเตาหกวิญญาณฟ้าดิน เป็นของที่อาจารย์สร้างขึ้นมาจากหินวิญญาณที่เหลือจากหกวิญญาณนั้น เหมาะจะให้เจ้าใช้ และมีเพียงเจ้าเท่านั้นที่จะนำประสิทธิภาพของมันออกมาได้มากที่สุด”
มู่จิ่วมองบนฝาเตา มีคำว่าวิญญาณแห่งหกภพสลักไว้อยู่ดังคาด จากนั้นก็ทำให้มันเล็กลงแล้วเก็บเข้าแขนเสื้อไป
หงจวินกวักมือเรียกให้นางเข้าไปใกล้ ส่งจอกเหล้าหยกให้นาง ก่อนส่งสัญญาณให้นางคุกเข่าคำนับทางทิศเหนือ
นางคือวิญญาณแห่งฟ้า ฟ้าดินคือพ่อแม่ของนาง จากนี้นางก็ไม่ต้องทำความเคารพใครอีกแล้ว
หลังจากทำความเคารพเสร็จสิ้น หงจวินก็หยิบพู่กันทองขึ้นมา แต้มให้ดอกกล้วยไม้กลางหน้าผากนางกลายเป็นสีทอง ตอนที่ลดพู่กันลงก็เห็นว่าดอกไม้รอบตัวในระยะหมื่นลี้บานสะพรั่ง นกนับพันนับหมื่นชนิดต่างส่งเสียงร้อง แสงอาทิตย์แสงจันทร์ส่องแสงพร้อมกัน ส่องผ่านชั้นเมฆไปทั่วทั้งแปดทิศ
“เอาละ” หงจวินประสานมือเอ่ย “พลังร้ายสัมผัสได้แว่าเทพหญิงกลับมา พวกเราต้องรีบตีเหล็กตอนยังร้อน พวกเจ้าจัดการธุระให้เรียบร้อยก่อน หลังจากนี้สามวันต้องทุ่มพละกำลังทั้งหมดที่คลื่นจิตพสุธา รีบจัดการเรื่องสำคัญให้เรียบร้อย พวกเจ้าจะได้แต่งงานกันเร็วขึ้น”
พูดจบเขาก็เหลือบมองลู่ยาอย่างเย็นชาคราหนึ่ง ก่อนจะเดินลงบันไดหยกไป
ลู่ยาจับมือมู่จิ่วไว้แน่น ใบหน้าพออกพอใจยิ่งนัก
ทั้งสวรรค์สามสิบเก้าชั้นมีเพียงเทพเซียนทั้งสี่อยู่เท่านั้น ดังนั้นจึงสงบกว่าสวรรค์เก้าชั้นตั้งไม่รู้เท่าไหร่
มู่จิ่วตามลู่ยากลับวังชิงเสวียน จากนั้นก็มีเหล่าสัตว์วิเศษหลากหลายในวังมาต้อนรับ เรื่องเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องเอ่ยถึง กล่าวถึงเพียงสามวันให้หลังต้องเดินทางไปทำลายพลังร้ายที่คลื่นจิตพสุธา นางย่อมต้องกังวลอยู่หลายส่วน
นางไม่เคยกลัวใครบนโลกใบนี้มาก่อน แต่ลู่จีกลับตายด้วยน้ำมือของพลังร้าย ทำให้นางจำต้องระแวดระวังมากขึ้นเป็นพิเศษ หากมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น นางก็อาจทำผิดพลาดแบบเดิมได้ และการกำจัดพลังร้ายเป็นชะตาชีวิตที่ถูกกำหนดมา นอกจากลู่ยาที่ไปเป็นเพื่อนนางแล้ว คนอื่นไปก็ไม่มีประโยชน์อันใด แม้จุ่นถีจะเคยบอกว่าพาคนไปด้วยได้ แต่ก็ทำได้เพียงช่วยเหลืออยู่ด้านนอกเท่านั้น
ดังนั้นหลังจากนี้นางต้องอยู่ในตำหนัก รีบใช้เวลาสั่งสมพลังในร่าง
ลู่ยาก็ไม่ไปรบกวนนาง
ในความเป็นจริง ตอนนี้คือขั้นสุดท้ายแล้ว และก็เป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุด หากไม่มีการพ่ายแพ้ในอีกหนึ่งหมื่นปีต่อมา เขาคงไม่มองเรื่องคลื่นจิตพสุธาเป็นเรื่องสำคัญ แต่มู่จิ่วในอีกหนึ่งหมื่นปีให้หลังเคยตายมาแล้วครั้งหนึ่ง ความล้มเหลวนี้เหมือนฝันร้ายที่ฝังอยู่ในหัวเขาไม่ไปไหน จึงต้องตื่นตัวให้มากขึ้น
ถึงแม้หลายวันนี้พวกเขาจะอยู่ด้วยกันที่วังชิงเสวียน มู่จิ่วกลับไม่มีกะจิตกะใจจะออกไปเดินเล่น และก็ไม่ได้ไปเจอหน้าลู่ยาเลย
เมื่อมาถึงคืนวันที่สาม ตนเองรู้สึกว่าสามารถควบคุมพลังดั่งใจได้แล้ว จึงได้วางใจลงหลายส่วน
เพิ่งจะเดินออกจากประตูวัง ก็เห็นหนี่ว์วาหุนคุนอยู่ที่โถงใหญ่ กำลังนั่งล้อมวงดื่มชาร่วมกับลู่ยา
เมื่อเห็นนางออกมา หนี่ว์วาก็เอ่ยถาม “เป็นอย่างไรบ้าง?”
มู่จิ่วพยักหน้า “ตอนนี้ไร้อุปสรรคใดๆ สามารถควบคุมได้สมบูรณ์แล้ว”
“เช่นนั้นก็ดี” หนี่ว์วาก็วางใจลงหน่อย ดึงนางมานั่งลงเคียงข้างก่อนเอ่ย “ถึงแม้อานุภาพของพลังร้ายจะมาก แต่มันยังไม่เป็นรูปร่าง พลังที่แท้จริงย่อมไม่อาจสู้อีกหนึ่งหมื่นปีให้หลังได้ แต่ในขณะเดียวกันเจ้าก็เพิ่งฟื้นจิตต้นกำเนิดขึ้นมาได้ไม่นาน ดังนั้นก็นับได้ว่าไม่มีใครเสียเปรียบใคร พรุ่งนี้พวกเราไปกันทั้งหมดได้ แต่ตอนสำคัญพวกเราไม่อาจยื่นมือเข้ายุ่ง เจ้าพึ่งตัวเจ้าเองได้เท่านั้น”
มู่จิ่วพยักหน้า “แน่นอนอยู่แล้ว”
นี่เป็นชะตาชีวิตของนาง และเป็นอุปสรรคอย่างหนึ่งระหว่างนางและลู่ยา หากไม่ทำลายพลังร้ายจนสิ้น ก็ไม่อาจทำภารกิจให้เสร็จสมบูรณ์ นางและลู่ยาจะไม่อาจเคียงคู่กันได้ เรื่องนี้ไม่ว่าใครก็ไม่อาจยื่นมือเข้าช่วย นางไม่ต้องการเช่นนั้นเหมือนกัน
ลู่ยาไม่ได้เอ่ยอะไร ยกชาขึ้นจิบ
เช้าวันถัดมา พวกเขาก็เตรียมตัวออกเดินทาง
เสี่ยวซิงกับซ่างกวนสุ่นอยากตามไปด้วย พวกหงจวินทั้งสามคนสามารถตามไปถึงคลื่นจิตพสุธาได้ ยังมีจุ่นถีที่ส่งข่าวมาแต่เช้าว่าพวกมู่หัวไปถึงถิ่นทุรกันดารทางเหนือแล้ว มู่จิ่วไม่ขัดข้อง ใครอยากไปก็ไป ไม่ว่าเป็นหรือตาย ครั้งนี้นางก็อยากจะกำจัดพลังร้ายให้สิ้นซาก
มู่จิ่วหยิบเตาฟ้าดินขึ้นมา ก่อนจะขึ้นเมฆไปพร้อมกับลู่ยาและพวกเสี่ยวซิง มุ่งหน้าไปยังถิ่นทุรกันดารทางเหนือ
หนึ่งวันบนสวรรค์อันสูงส่งเท่ากับหนึ่งเดือนในสวรรค์เก้าชั้น อยู่ที่นี่ไม่กี่วัน ที่โลกเซียนก็ผ่านไปหลายเดือนแล้ว
ไม่ถึงพริบตาเดียวก็มาถึงคลื่นจิตพสุธา มีเหล่าเทพเซียนผู้ยิ่งใหญ่อยู่ด้วย พวกเสี่ยวซิงที่พลังบำเพ็ญต่ำจึงไม่กลัว อีกทั้งมู่จิ่วยังเป็นผู้นำหกวิญญาณ ตอนนี้นางสามารถควบคุมพลังได้ดั่งใจ เมื่อกดพลังทั้งสี่ทิศให้คลายไปเพื่อไม่ให้พวกมันทำร้ายใคร ก็ไม่ใช่เรื่องสิ้นเปลืองเรี่ยวแรง
พวกมู่จิ่วเพิ่งมาถึง จุ่นถีกับพวกมู่หัวก็มาถึงเช่นกัน พื้นที่โล่งกันดารแห่งนี้พลันคึกคักขึ้นมาทันที
ประตูใหญ่ของวังคลื่นจิตพสุธาค่อยๆ ปรากฏขึ้นมากลางพื้นที่โล่ง พืชพรรณรอบด้านพากันผุดขึ้นราวกับถูกปลุกจิตวิญญาณ เพียงพริบตาเดียวรอบด้านก็เต็มไปด้วยต้นไม้ดอกไม้นานาพรรณ
มู่จิ่วครุ่นคิด ก่อนเรียกนกกระจอกสีขาวบนเสื้อออกมา นกจำนวนมากพลันบินมาจากที่ไกลๆ ต่อจากนั้นสัตว์น้อยใหญ่มากมายก็ค่อยๆ โผล่หน้าจากในป่า
พื้นที่ที่เดิมทีกันดารไร้ผู้คนอุดมสมบูรณ์ขึ้นทันใด
………………………………………………
บทที่ 399 สงครามครั้งสุดท้าย (2)
โดย
Ink Stone_Romance
มู่จิ่วหันกลับไปหาเหล่าคน ดึงเสี่ยวซิงเข้ามากอด จากนั้นเดินเข้าไปในคลื่นจิตพสุธากับลู่ยาและพวกหงจวิน
เสี่ยวซิงที่รออยู่ด้านนอกอดกังวลใจไม่ได้ ซ่างกวนสุ่นกอดนางไว้ ไม่รู้ว่าใจจะพะวงอยู่กับเบื้องหน้าหรือเบื้องหลังประตูดี
วังคลื่นจิตพสุธาที่มีต้นไม้ดอกไม้นั้นดูไม่เหมือนกับเมื่อก่อนยิ่งนัก แต่เมื่อเดินไปบนเส้นทางเดิม กลับรู้สึกว่ามีคลื่นพลังกระทบเข้ามาคลื่นแล้วคลื่นเล่า เมื่อพิจารณาดูดีๆ ถึงพบว่าเป็นพลังวิญญาณของหกวิญญาณ มู่จิ่วพลันเอ่ย “พลังของหกวิญญาณคล้ายสั่นไหวเล็กน้อย แต่ไม่ใช่เพราะข้า”
หงจวินพยักหน้า “นี่คือการเคลื่อนไหวของวิญญาณร้าย ถึงแม้พวกมันจะยังไม่ก่อร่าง ทว่าก็มีแรงตอบสนอง พวกเจ้าไปครั้งนี้ต้องระวังให้ดี พวกเราเข้าไปไม่ได้ แต่หากมันฝ่าออกมา ต่อให้จะสร้างเขตพลังกันไว้ ขอแค่มีพลังชั่วร้ายหลุดลอดมาเพียงนิด ก็สามารถรวบรวมปราณร้ายบนโลกไปทำเรื่องเลวร้ายได้”
“ดังนั้นเจ้าควรใช้เวลาเพียงหนึ่งชั่วยามเท่านั้น หากเกินหนึ่งชั่วยามยังไม่ออกมา พวกเราจะปิดผนึกผังแปดทิศ พวกเจ้าต้องรออีกหนึ่งพันปีผังแปดทิศนี้ถึงจะเปิดออกอีกครั้ง และภายในหนึ่งพันปีนั้น พวกเจ้าจะสามารถอยู่ท่ามกลางพลังร้ายได้โดยไม่เป็นอะไรหรือไม่นั้นก็พูดยาก”
“รู้แล้ว” ลู่ยาจับมือมู่จิ่วขึ้นมา ก้าวยาวๆ เข้าไปในวังวิญญาณเทพ
พวกหงจวินก็ตามเข้าไป
เมื่อเปิดประตู คลื่นพลังอันยิ่งใหญ่พลันพัดเสื้อของพวกเขาลอยขึ้น
ลมพัดเข้าไปด้านในตามทางเดิน ไม่นานก็ค่อยแยกแยะความโกรธที่เจือมากับพลังวิญญาณได้ ถึงแม้วิญญาณร้ายจะไม่เคยออกมา แต่ความบ้าคลั่งของมันก็กระตุ้นความโกรธของหกวิญญาณ ในวังนี้ได้เกิดสงครามแบบไร้รูปขึ้นแล้ว
ลู่ยาเดินไปทางซ้ายของกำแพงวิญญาณ มองลูกแสงที่สว่างวูบไหวรอบๆ ก่อนหันกลับมาหามู่จิ่ว มู่จิ่วพยักหน้า รวมพลังมาไว้ที่มือแล้วสะบัดมันออกไป หกวิญญาณค่อยๆ สงบลง คลื่นที่ออกมาจากพลังวิญญาณสงบลงทีละน้อย ลู่ยายกมือกดลงบนผังแปดทิศ ผังนั้นก็ปล่อยแสงสว่างออกมาหมื่นจั้ง! พริบตาเดียวประตูก็เปิดออก เขาไม่พูดพร่ำทำเพลงดึงมือมู่จิ่วเข้าไปข้างใน!
ราวกับเข้าไปในบ่อน้ำลึก ตลอดทางมืดมิด ไม่มีแสงสว่าง ไม่มีสิ่งของอะไรให้จับต้องได้ หากไม่ใช่เพราะพลังวิญญาณแข็งแกร่งพอจนสามารถพยุงร่างไว้ได้ เกรงว่าคงสามารถแตกสลายไปได้ตลอด แต่ข้างล่างนี่จะเป็นเพียงที่ไร้แสงไร้ก้นบึ้งเท่านั้นหรือ? ในระยะร้อยจั้งไม่มีอะไรแปลกประหลาด จนกระทั่งลึกลงไปอีกร้อยจั้งถึงค่อยๆ มีพลังวิญญาณไร้นามเข้ามาวนเวียนรอบร่าง
“นี่คือด้านนอกของคลื่นจิตพสุธาเท่านั้น รังของวิญญาณร้ายอยู่ที่เขาเสียงสื่อวิญญาณ พวกเรายังต้องลงไปอีก”
ลู่ยาพูดพลางดึงดอกบัวทองออกมาไว้ข้างหน้า แสงสว่างของดอกบัวทองส่องไปทั่วทั้งสี่ทิศ มู่จิ่วถึงได้รู้ว่าที่นี่ว่างเปล่า มีเพียงหินประหลาดตั้งสูง เนินเขาคดเคี้ยว เพียงแต่ไม่มีร่องรอยของสิ่งมีชีวิตเลย นอกจากพื้นที่ว่างเปล่าก็ไม่เจอหญ้าสักต้น หนอนสักตัว ทั้งอากาศยังหายใจลำบากยิ่งนัก
ความจริงลู่ยาก็ไม่เคยเข้ามา นอกจากปฐมวิญญาณ พวกเขาคงเป็นคนกลุ่มแรกที่เข้ามาในนี้
ที่นี่พวกเขาไม่ใช่เทพสูงศักดิ์ เป็นเพียงนักรบที่ต้องทำหน้าที่ให้สำเร็จและมีชีวิตรอดกลับไปให้ได้
เมื่อลงไปอีกหลายพันจั้ง เหล่าหินงอกค่อยๆ หยาบขึ้น จนกลายเป็นทรงยอดเขาอยู่เลาๆ น่าจะเข้าใกล้พื้นหุบเขาแล้ว
ทั้งสองรีบดึงพลังวิญญาณมาเป็นม่านเซียน ลดความเร็วลง สุดท้ายเมื่อมาถึงพื้นด้านล่างถึงค่อยลุกขึ้นมองสำรวจโดยรอบ
ในถ้ำหินแห่งนี้กลับมีสิ่งมีชีวิต เถาวัลย์สีดำและสีม่วงเกือบดำคดเคี้ยวอยู่บนยอดหิน ต่ำลงมามีเพียงกิ่งไม้แห้งกับต้นไม้ใหญ่ไร้ใบ มีคางคกดำเก้าหัว ยุงตัวเท่าฝ่ามือบินไปมา รอบด้านมีกลิ่นเหม็นเน่าลอยคละคลุ้ง มู่จิ่วเพียงยื่นมือไปสัมผัสหญ้าเจ็ดใบตรงซอกหิน มันก็แห้งเหี่ยวโรยราในฉับพลัน
“ของประหลาดที่นี่เติบโตได้เพราะวิญญาณร้ายหล่อเลี้ยง เจ้าเป็นคู่พิฆาตกับมัน ดังนั้นทุกที่ที่เจ้าไป ของพวกนี้จะไม่อาจอยู่รอดได้” ลู่ยามองต้นหญ้าในมือตนที่ยังปลอดภัยไม่เปลี่ยนแปลง ก่อนกล่าว “เราต้องหาจุดที่วิญญาณร้ายถือกำเนิดก่อน อย่าเพิ่งทำให้พวกมันแตกตื่น”
มู่จิ่วพยักหน้า เก็บพลังวิญญาณเข้าไป รอลู่ยาคำนวณทิศทาง แล้วจึงเดินเลียบไปบนทางเส้นเล็กสายหนึ่งด้านตะวันตก
ถึงแม้ไม่เคยมา แต่พวกเขาก็ยังคุ้นเคยกับสภาพโดยรวมของด้านล่าง ปฐมวิญญาณทำนายล่วงหน้าว่าวิญญาณร้ายจะถือกำเนิดขึ้น ย่อมต้องทำให้ที่นี่ไม่ผิดแผกมากไป
จุดกำเนิดของวิญญาณร้ายอยู่ที่เขาเสียงสื่อวิญญาณ เขานี้มีปราณร้ายหนาแน่นที่สุดในคลื่นจิตพสุธา ทั้งยังเป็นจุดที่ลึกและมืดที่สุดด้วย
ทั้งสองคนเคลื่อนไหวผลีผลามไม่ได้เพื่อไม่ให้วิญญาณร้ายแตกตื่นวุ่นวาย หากลดอานุภาพกดดันลงได้ต่ำสุดก็ทำ
แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นก็ใกล้ถึงที่หมายแล้ว…ด้านใต้เขาหินตั้งโดดเดี่ยวแต่ละลูกท่ามกลาง ‘แสงสายัณห์’
เหตุที่บอกว่า ‘แสงสายัณห์’ เป็นเพราะที่นี่พลันมีแสงสว่างปรากฏขึ้น ไม่มีใครรู้ว่าแสงนี้มาจากที่ใด และเขาหินก็ตั้งตระหง่านอยู่บนพื้นที่แอ่งกระทะ หินแหลมทั้งหมดชี้ขึ้นข้างบน ดูไปแล้วเหมือนกระถางใบใหญ่ก็ไม่ปาน
ตรงตีนเขามีไอพิษลอยกระจาย อากาศสกปรกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก หากไม่มีพลังวิญญาณมหาศาลในร่าง คนธรรมดาจะอยู่รอดปลอดภัยที่นี่ถึงครึ่งเค่อได้ที่ไหน?
รอบด้านเขาหินมีบึงน้ำมีควันดำโชยกลิ่นเหม็น
ในบึงน้ำดำสนิทดุจน้ำหมึก หากไม่มีแสงสว่าง ‘ยามสายัณห์’ ส่องสะท้อนก็มองไม่เห็นน้ำใดๆ เลย
มู่จิ่วชะโงกหน้าไปมองเขาหินที่ค่อยๆ มืดสลัวลง กล่าวว่า “อากาศพิษรอบด้านยิ่งหนาแน่นขึ้นอีก เราต้องรีบไปแล้ว ข้าจะบุกนำหน้า เจ้าระวังหลังแทนข้าก็พอ” นางพูดพลางทะยานไปยังหินภูเขา
ลู่ยาดึงนางไว้ “วางใจเถิด ข้าไม่แย่งเจ้าหรอก แต่ข้าก็จะไม่ทิ้งเจ้าไปไหนด้วย พวกเราไปด้วยกัน อีกเดี๋ยวเจอมันแล้วเจ้าค่อยเข้าไป ทางข้าจะคอยเตรียมระวังอยู่ด้านข้าง”
มู่จิ่วไม่ทันได้ตอบกลับ ก็ถูกเขาดึงให้ทะยานขึ้นฟ้าแล้ว
และต่อจากนั้นนางก็ไม่มีเวลาตอบโต้และไม่มีใจจะต่อรองกับเขา เพราะเพิ่งลอยจากพื้น กลิ่นเหม็นก็ถาโถมเข้าใส่! เวลาเดียวกัน จิตสังหารเหี้ยมโหดเข้ามาใกล้ตัวในทันใด! มู่จิ่วขยับมือตามความคิด พลันหมุนตัวอยู่จุดเดิมแล้วทะยานขึ้น ไอดำสามสี่กลุ่มแล่นผ่านข้างแก้มนางไปด้วยความเร็วราวสายฟ้าแลบ!
“นี่คือพลังของวิญญาณร้าย ระวังไว้!”
ลู่ยารีบตะโกนพลางถอยออกไปสิบกว่าจั้ง
ฝั่งเขาก็ไม่ง่ายดาย ไอดำนั้นเหมือนมังกรร่อนและผ้าไหมดำ เคลื่อนไหวฉวัดเฉวียนจนแม้แต่เขายังต้องตั้งสมาธิให้มั่น
ผืนฟ้าที่มีแสงส่องลงมาอยู่ส่วนหนึ่ง บัดนี้เต็มไปด้วยหมอกดำ บนอากาศมีเพียงไอดำนับไม่ถ้วนวิ่งไปมา พวกมันเคลื่อนไหวไวว่อง ทุกครั้งที่หักโค้งจะทะลวงไปไกลหลายพันลี้ ร่างขาวทั้งสองกลางอากาศราวขนนกสีขาวปลิวว่อน ยามทะลวงผ่านหมอกดูเหมือนกระฉับกระเฉง แต่หากดูดีๆ จะเห็นว่าไม่มีกิริยาใดเลยที่ไม่ลำบาก
ภายในคลื่นจิตพสุธาดุจมีเพลิงกัลป์ลุกไหม้ ไม่เพียงมีหมอกดำวนเวียน ความร้อนแผดเผาจากใต้พื้นดินยังเพิ่มสูงขึ้นทุกขณะ!
…………………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น