หมอดูยอดอัจฉริยะ 395-398

 ตอนที่ 395 ไม่เผาผีกัน

โดย

Ink Stone_Fantasy

มีโก่วซินเจียเป็นผู้นำ ในขณะนั้นลูกน้องสามคนก็ก้มลงไปกราบ เหมาซานที่เดิมทีเป็นภูเขาแห่งความเงียบและปลอดภัย จู่ๆด้านล่างภูเขาก็มีหมอกเป็นชั้นๆ ที่กระจายอยู่ตามไหล่เขา


ถ้ามองตรงนี้จากระยะไกล กลับเป็นหมอกเมฆที่อยู่ครึ่งภูเขา ราวกับดินแดนแห่งสวรรค์ หลังจากหมอกกลุ่มนั้นลอยขึ้นไปบนยอดเขา จู่ๆ ก็เกิดฝนตกปรอยๆ ลงมา ทำให้ทุกอย่างในภูเขาเปียกโชกไปหมด


“ท่านอาจารย์รู้ว่าพวกเราจะมาเยี่ยมเขาเหรอ”


ถึงแม้ในใจจะรู้ว่าหมอกพวกนี้ไม่ได้เกิดจากปรากฏการณ์ธรรมชาติ แต่โก่วซินเจียและจั่วเจียจวิ้นยังรู้สึกตื่นเต้นจนห้ามใจไม่อยู่  เยี่ยเทียนนำกระดาษสีเหลืองที่เตรียมมาจากกล่องพัสดุนั้น เผาต่อหน้าหลุมศพของท่านอาจารย์


พูดไปพูดมาก็แปลก ถึงแม้ว่านี้จะมีลมมีฝน แต่กระดาศพวกนั่นกลับไหม้อย่างรวดเร็ว และต่อให้ลมแรง กระดาษเหลืองที่ไหม้หมดพวกนั้นกลับไม่กระจายไปไหน ไม่มีการปลิวไปแม้แต่น้อย


ฉากนี้ทำให้โก่วซินเจียและจั่วเจียจวิ้นบนใบหน้าต่างเต็มไปด้วยน้ำตา เมื่อรวมอายุของทั้งสองคนแล้วเป็นคนชราที่เกือบร้อยห้าสิบปีแล้ว น้ำตาที่หยุดลงต่อหน้าหลุมศพของหลี่ซั่นหยวนอย่างไร้เสียงร้องไห้


ต้องรู้ว่า ทั้งสองคนรวมทั้งเยี่ยเทียน ต่างก็เป็นคนที่หลี่ซั่นหยวนเลี้ยงดูฟูมฟักมาตั้งแต่เด็ก ความรู้สึกผูกพันธ์มากกว่าพ่อเสียอีก แม้แต่ดินแดนเบื้องหน้ายังทำให้สวรรค์และโลกแยกจากกัน จะไม่ให้ศิษย์พี่น้องทั้งสามคนเสียใจได้อย่างไร


“ศิษย์พี่ทั้งสอง พอแล้ว อาจารย์ก็อายุยืนยาวแล้ว ลองถามสิในโลกนี้จะมีสักกี่คนที่อายุยาวจนถึงหนึ่งร้อยสามสิบปี ศิษย์พี่ไม่ต้องร้องไห้เสียใจไปเลย”


เยี่ยเทียนเช็ดน้ำตาที่อยู่บนใบหน้า ค่อยๆ ประคองศิษย์พี่ทั้งสองขึ้นมา ทั้งสองคนนี้อายุก็ไม่น้อยแล้ว มาเสียใจแบบนี้ จะส่งผลต่อร่างกายและสภาพจิตใจให้ไม่ดีเอาได้


“อาจารย์ ตอนที่ผมอายุแปดขวบดื้อมาก แอบไปเล่นน้ำจนเกือบจมน้ำ ถ้าไม่ใช่คนแก่อย่างท่าน ผมก็คงไม่มีชีวิตอยู่ถึงวันนี้……”


โก่วเจียซินนั่งอยู่หน้าหลุมศพของนักพรตเต๋า เปิดขวดเหล้าเหมาไถ ไม่หยุดพูดที่จะพรรณนาเรื่องราวในอดีต “ผมรู้ว่าอาจารย์ชอบกินเหล้า นี่คือเหล้าเหมาไถที่ศิษย์น้องเอามาให้ ท่านก็แก่แล้วก็พยายามกินแล้วกัน……”


พูดไปพูดมา น้ำตาก็เต็มทั่วใบหน้า เมื่อได้ยินเยี่ยเทียนและจั่วเจียจวิ้นก็อดที่จะเศร้าด้วยไม่ได้ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะอายุห่างกันมาก ประสบการณ์ก็แตกต่างกัน แต่ความรู้สึกที่มีต่อหลี่ซั่นหยวน กลับจริงใจและไม่มีวันลืมเหมือนกัน


โก่วซินเจียพูดจนเสร็จ จั่วเจียจวิ้นก็รำพันอีกรอบ ฉากบูชาเซ่นไหว้นี้ใช้เวลาทั้งวัน จนพระอาทิตย์ใกล้ตกทางทิศตะวันตก ศิษย์พี่ศิษย์น้องต้องจำใจกลับไปที่วัดเต๋า


ทั้งสามคนต่างไม่เรื่องที่จะต้องทำแล้ว ก็ไม่อยากที่จะจากท่านอาจารย์ไป อีกทั้งหลิวติ้งติ้งต้องรีบกลับไปฮ่องกงเพื่อไปดูอาการบาดเจ็บของแม่ ก็เลยไม่ได้มาด้วยกัน หลังจากที่ศิษย์พี่ศิษย์น้องเจรจากันเสร็จ ก็ลงจากภูเขา


ทุกวันนอกจากการฝึกบำเพ็ญเพียรแล้ว เยี่ยเทียนอีกสองคนก็นั่งอยู่หน้าศพท่านอาจารย์ การใช้ชีวิตแบบนี้ทำให้ห่างไกลจากโลกความเป็นจริง ทำให้พลังพิฆาตที่แปดเปื้อนเยี่ยเทียนก่อนหน้านี้ ก็ค่อยๆ หายไป ดูเหมือนว่าสภาพจิตใจจะดีขึ้นอีกครั้ง


เมื่ออาศัยอยู่บนภูเขาเป็นเวลาหนึ่งเดือนครึ่ง หลิวติ้งติ้งคนเดียวที่รีบมาจากฮ่องกง ศิษย์พี่ศิษย์น้อง รวมทั้งหลิวติ้งติ้งที่มาไหว้นักพรตเต๋าในครั้งนี้ด้วย แต่ครั้งนี้กลับเป็นเยี่ยเทียนที่เป็นผู้นำ ก็ถือว่ามาบอกกล่าวอาจารย์ด้วย ที่ต่อไปนี้สำนักพยาการณ์เสื้อป่านจะมีสมาชิกเพิ่มมาอีกหนึ่งคน


วัดเต๋ามีเพียงแค่สองห้อง จะให้อยู่ทั้งสี่คนก็ไม่สะดวก และอีกทั้งอยู่บนภูเขาเป็นเวลาหนึ่งเดือน วันที่สองที่หลิวติ้งติ้งมา เยี่ยเทียนพาทุกคนลงจากภูเขาแล้วกลับเมือง


วางแผนให้ศิษย์พี่สองท่านและหลิวติ้งติ้งกลับไปเมืองหลวงก่อน เยี่ยเทียนมาอาศัยที่บ้านเฟิงค่วงสองสามวัน หลังจากนั้นมาที่บ้านเหล่าจ้างสักวัน หลังจากไม่อยู่เมืองหลวงประมาณสองเดือน ในที่สุดก็กลับมาบ้าน


จั่วเจียจวิ้นยังคงมีธุรกิจมากมายในฮ่องกง แม้ว่าเขาจะยกให้กับลูกสะใภ้ไปแล้วก็ตาม แต่ยังมีบางเรื่องที่เขาต้องไปจัดการด้วยตัวเอง อยู่ที่เรือนสี่ประสานไม่กี่วัน ไม่รอให้เยี่ยเทียนกลับเมืองหลวงก็พาหลานสาวกลับฮ่องกงไปแล้ว


ส่วนโก่วซินเจียถึงแม้ว่าที่นี่จะเป็นบ้านของตัวเอง ทุกวันนอกจากนั่งสมาธิฝึกพลังแล้ว ก็จะไปเล่นหมากรุกกับสนทนากับกลุ่มคนชรา ทุกวันกลับไปอย่างสบายอกสบายใจ


วันนี้เป็นวันที่เยี่ยเทียนกลับเมืองหลวง คนในตระกูลเยี่ยก็มารวมตัวกันที่บ้านเก่า นอกนี้ยังมีแม่ของโก่วซินเจียและโจวเซี่ยวเทียนที่ออกจากโรงพยาบาล ทุกคนสนุกครึกครื้นอย่างมาก


แน่นอน เยี่ยเทียนหลายสิบวันมาวิ่งไปวิ่งมา ก็มีผู้คนจับเขามาต่อว่าอย่างดุๆ สักพักหนึ่ง  ด้านนอกของ“อาจารย์เยี่ย”นั้นดูน่าเกรงขาม ในเวลานั้นก็ได้แค่ อ้อนน้อมว่านอนสอนง่าย ก้มหน้าลงแต่โดยดี


ตอนที่ครอบครัวเจียกินข้าว ก็จะกินไม่ค่อยมีพิธีรีตอง พอกินได้ครึ่งหนึ่ง ทันใดนั้นหญิงชราก็พูดพร้อมรอยยิ้มว่า “ชิงหยา เธอก็เรียนจบแล้ว ก็เริ่มทำงานแล้ว ฉันว่า เธอกับเสี่ยวเทียนเริ่มคุยกันเรื่องการแต่งงานหรือยัง


จะบอกว่าฉันกับป้านายสองคนร่างกายยังแข็งแรงดี อยากจะมีหลานชายตัวอ้วนๆ สักคนเร็วๆ พวกเราก็จะช่วยดูแลให้”


ตระกูลเยี่ยรุ่นเก่าเหล่านี้จะมีผู้ชายสักคนได้รับการถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น ผู้ที่สืบตระกูลไม่อยากจะทำ พวกป้าๆ ของเยี่ยเทียนอดไม่ได้ที่จะอยากให้เขารีบแต่งงาน เพื่อสืบทอดตระกูลเยี่ยที่เก่าแก่


เมื่อมองอวี๋ชิงหย่าที่ถูกป้าใหญ่พูดจนหน้าแดงหรือหูแดงไปหมด เยี่ยเทียนก็รีบทำให้เรื่องจบลง แล้วพูดว่า “ป้าใหญ่ ผมเพิ่งจะ 22 ปี จะรีบอะไรขนาดนี้”


“นายนี่เด็กเหรอ อายุ22ปียังเล็กอยู่เหรอ ก่อนสงครามปลดแอกก็คงใช่ เด็กมีอายุแค่หกเจ็ดปี”หญิงชรากล่าวไม่ห่างจากเรื่องมีลูกเลย ทำให้อวี๋ชิงหย่ายิ่งรู้สึกอึดอัดใจ


“ป้าใหญ่ เรื่องนี้ค่อยพูดกันเถอะ ผมต้องพูดกับคุณลุงอวี๋สักหน่อย คุณก็อย่ารีบไปเลย”


“ฉันกับเสี่ยวอวี๋พูดกันแล้ว ที่นายพูดนี้จะเปลี่ยนเรื่องทำไมกัน”


เมื่อเห็นเยี่ยเทียนพูดแทรก หญิงชรากลับเปลี่ยนเป้าหมาย อบรมเยี่ยเทียนสักพักหนึ่ง ทันใดนั้นโทรศัพท์ของอวี๋ชิงหย่าก็ดังขึ้น รีบออกจากไปรับโทรศัพท์


หลังจากที่อวี๋ชิงหย่าออกไป จู่ๆ โก่วซินเจียที่ก้มหน้าก้มตากินข้าวดื่มเหล้า ก็พูดว่า “เยี่ยเทียน ต่อให้นายเปลี่ยนโชคชะตาให้กับพวกพี่ๆ น้องๆ แล้ว ก็ได้ลบการแปดเปื้อนทั้งหมดแล้ว การแต่งงานก็คงไม่เป็นไรหรอก”


หลังจากได้รับการสืบทอดความลับของเยี่ยเทียน วิธีการฝึกฝนกลวิชาของโก่วซินเจียนนั้นก้าวกระโดดอย่างรวดเร็ว แต่เพียงแค่นี้ เขาก็เคยทำนายตัวเลขโชคชะตาให้กับอวี๋ชิงหย่าแต่คำนวณไม่ออก นั่นเป็นเหตุผลที่พูดคำเหล่านี้


เมื่อเห็นโก่วเจียซินมีท่าทางที่กระตือรือร้นขึ้น เยี่ยเทียนยิ้มเจื่อนๆ แล้วพูดว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ เรื่องนี้คุณไม่ต้องยุ่งเลยครับ ชิงหย่าเพิ่งเรียนจบ นี่ก็เพิ่งทำงานไม่กี่วัน รอให้เธอทำไปสักพัก พวกเราค่อยแต่งงานกัน”


เนื่องจากการฝึกงานที่สถานีโทรทัศร์ครั้งก่อน บวกกับชิงหย่าโปรไฟล์ที่ดี หลังจากที่เรียนจบก็ได้เข้าไปทำงานที่สถานีโทรทัศน์อย่างราบรื่น


ถึงแม้ว่าเยี่ยเทียนจะเต็มใจอย่างมาก แต่อวี๋ชิงหย่าอายุยังไม่เยอะ อยากจะทำผลงานในการทำงานสักหน่อย แต่หลังจากที่คุยกันกับเยี่ยเทียน ทั้งสองก็ได้ตัดสินใจยืดเวลาการแต่งงานก่อน


“แล้วการทำงานกับแต่งงานกันมีความสัมพันธ์กันยังไง ฉันว่าพวกเธอสองคนนี้กำลังคิดอะไรกันนะ”ป้าใหญ่พูดอย่างไม่พอใจ


“เอ๋ ป้าใหญ่ เสียงอ๊อดประตูดังขึ้น ผมไปดูว่าใครมาน่ะ”


ในขณะที่เยี่ยเทียนกำลังอยากจะหลบจากประเด็นนี้ เสียงอ๊อดก็ได้ดังขึ้น ราวกับมีเชือกฝางมาช่วยชีวิตไว้ เยี่ยเทียนรีบวิ่งเพ่นพ่านออกไป ทำให้ในนั้นมีเสียงหัวเราะขึ้นมา


“หืม? ผู้อำนวยการเสวีย? ทำไมถึงเป็นคุณล่ะครับ?”หลังจากที่ประตูด้านข้าง เมื่อเยี่ยเทียนเห็นคนที่ยืนอยู่ข้างนอก ก็อดที่จะตะลึงไม่ได้


ตอนที่อยู่ที่ภูเขาเหมาซาน เยี่ยเทียนก็ได้รับโทรศัพท์จากป้าใหญ่ รู้ว่าเสวียชิงเฉิงมาเยี่ยมถึงบ้าน แต่เขาไม่ได้สนใจ คิดไม่ถึงว่าผ่านมาสองเดือน อีกฝ่ายก็ยังมาหาถึงบ้านอีก


“เยี่ยเทียน พูดกับนายไม่กี่ประโยคได้ไหม”


เมื่อเห็นคนที่มาเปิดประตูคือเยี่ยเทียน เสวียชิงเฉิงไม่เพียงแต่ที่จะถอนหายใจ วันนั้นตอนที่ได้เจอกับพ่อของเยี่ยเทียนเยี่ยตงผิง เสวียชิงเฉิงก็ได้อธิบายจุดประสงค์ในการมา แต่เมื่อรู้ว่าซ่งห้าวเทียนจะมาตามหาลูกชาย เยี่ยตงผิงไม่ได้สนใจและให้เสวียชิงเฉิงออกไป


“ผู้อำนวยการเสวีย ระหว่างเราไม่มีอะไรต้องคุยกันไม่ใช่เหรอ”


เมื่อเห็นคนที่มาคือเสวียชิงเฉิง เยี่ยเทียนก็ขมวดคิ้วแล้วก็ปิดประตู เขาไม่อยากรู้จุดประสงค์ของฝ่ายตรงข้ามที่มาเลยสักนิด แน่นอนว่าต้องเป็นจุดประสงค์ของตาที่ราคาถูกคนนั้น


เสวียชิงเฉิงรีบวางมือที่กรอบประตู ตะโกนพูดว่า “เอ้ เสี่ยวเยี่ย คุณอย่าปิดประตู ฟังผมพูดก่อน ……”


เยี่ยเทียนรีบหยุด สีหน้าไร้อารมณ์แล้วพูดว่า “ได้ คุณพูดมาสิ”


“ในวันนั้นฉันได้รายงานเรื่องนี้ต่อหัวหน้าผู้บริหารระดับสูงแล้ว หัวหน้าผู้บริหารรู้สึกอยากขอโทษคุณ และต้องการพบคุณสักหน่อย”


เมื่อเห็นใบหน้าที่น่ารำคาญของเยี่ยเทียน เสวียชิงเฉิงรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “เสี่ยวเยี่ย เรื่องของคุณกับหัวหน้าผมไม่รู้หรอกนะ แต่หัวหน้าก็เป็นคนที่อายุ 70 กว่าปีแล้ว ร่างกายไม่ค่อยดี ผมว่า……ในฐานะผู้น้อย ต่อให้มีเรื่องเข้าใจผิดอะไร ก็ควรที่จะไปดูท่านหน่อยนะ”


เสวียชิงเฉิงดำรงตำแหน่งที่เมืองเจียงหนาน เดือนถัดมาก็ได้เลื่อนตำแหน่ง แต่ก่อนหน้านี้ เขายังอยากที่จะเอาภารกิจของหัวหน้าให้สำเร็จ ก็เลยให้หัวหน้าเอาเรื่องส่วนตัวให้นายทำ นั้นก็แสดงถึงความเชื่อใจแล้ว


“ผู้อำนวยการเสวีย เขานามสกุลซ่ง ผมนามสกุลเยี่ย ก่อนหน้านี้พวกเราไม่มีความสัมพันธ์อะไรกัน ในบรรดาลูกสาวตระกูลซ่ง ก็คงไม่ปล่อยให้คนแก่ให้อยู่โดดเดี่ยวหรอกครับ”


ของเยี่ยเทียนเต็มไปด้วยสีหน้าที่เหน็บแนม พูดต่อว่า “ตระกูลเจียของพวกเราไม่อยากเกี่ยวข้องกับคนนั้น หวังว่าคุณจะเอาคำพูดนี้ไปบอกเขาด้วย”


ถ้าเป็นซ่งเว่ยหลันอยู่ เยี่ยเทียนก็อาจจะมีโอกาสที่จะได้เจอซ่งห้าวเทียน แต่แม่ของเขาจนถึงวันนี้ก็ยังไม่กลับมา นี่ทำให้เยี่ยเทียนกำจัดความเกลียดแค้นออกไปจากตระกูลซ่งได้อยางไร


“เสี่ยวเยี่ย นายคิดอีกสักรอบเถอะ หัวหน้าอยากเจอนายจริงๆ……”


“เยี่ยเทียน นายอยู่ทำอะไรที่ประตูน่ะ ฉันมีเรื่องที่จะพูดกับนาย!”


ตอนที่เสวียชิงเฉิงกำลังโน้มน้าวเยี่ยเทียนอยู่ ด้านในประตูจู่ๆ ก็มีเสียงของเด็กผู้หญิงออกมา ทำให้คำพูดเขาขาดตอน


“ขอโทษครับ ผู้อำนวยการเสวีย ความหมายของผมได้บอกคุณไปชัดเจนแล้ว นอกจากว่า……เอ๋ ช่างเถอะ คุณบอกคนนั้นให้ผม ตระกูลเยี่ยและตระกูลซ่งสองตระกูลจะไม่เผาผีกัน!”


ที่จริงเยี่ยเทียนจะพูดว่านอกเสียจากว่าแม่จะกลับมา แต่คำพูดแบบนี้ต่อให้บอกต่อหน้าคนนี้ก็คงไม่เหมาะสมเท่าไหร่ อีกอย่างซ่งเซียวหลงก็ให้คนมาตามฆ่าเขา เยี่ยเทียนถึงพูดคำพูดที่ดุร้ายออกมา


“เอ๊ะ เยี่ยเทียน นายฟังผมพูดสักสองสามประโยคก่อน!”เมื่อเห็นเยี่ยเทียนพูดเสร็จแล้วปิดประตูลง เสวียชิงเฉิงก็อดที่จะถอยหลังกลับไปไม่ได้ ในใจก็คิดว่าจะพูดกับหัวหน้ายังไงดี


“ชิงหย่า เกิดอะไรขึ้น ทำไมคุณถึงร้องไห้ล่ะ”


หันกลับหลัง เยี่ยเทียนก็เห็นอวี๋ชิงหย่าที่ยืนอยู่ไม่ไกล อยู่ๆ ก็มีคาบน้ำตา ก็อดที่จะตกใจไม่ได้ “คุณบังคับเธอใช่หรือไม่ ฉันจะไปคุยกับพวกเขาเอง


……


ตอนที่ 396 วิชาฉีเหมินตงเป่ย

โดย

Ink Stone_Fantasy

เยี่ยเทียนเป็นคนที่ไปไหนมาไหนอย่างอิสระตั้งแต่เด็ก เรื่องอะไรก็จะยึดความคิดเห็นของตัวเองเป็นหลัก แม้แต่เยี่ยตงผิงก็ไม่สามารถจัดการเขาได้ ภายใต้การบังคับการแต่งงานของป้าสองสามคน ทำให้ในใจของเยี่ยเทียนกลัดกลุ้มขึ้นมา


“เยี่ยเทียน อย่ายุ่งเรื่องของพวกป้าๆ เลยนะ”เมื่อเห็นเยี่ยเทียนโกรธแล้วพุ่งตรงเข้ามาในเรือนกลางบ้าน อวี๋ชิงหย่ารีบคว้าเขาทันที


“นั่นเกิดอะไรขึ้นน่ะ ต้องให้พวกเธอไม่โน้มน้าว เธอให้ลูกชายไม่ได้อย่างที่หวังเลยร้องไห้ใช่ไหม”เมื่อได้ยินว่าไม่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับพวกป้าๆ ทันใดนั้นในใจของเยี่ยเทียนถึงกับผ่อนคลายขึ้นมา แล้วก็เริ่มแซวเล่นว่า


“เธอนี่ เก็บท่าทางไม่อยู่เลยนะ”อวี๋ชิงหย่าที่ร้องไห้ต้องหัวเราะคำพูดของเยี่ยเทียน ตบตัวเขาให้จำสักหน่อย แล้วพูดว่า “เพื่อนของฉันหูเสี่ยวเซียนเกิดเรื่องขึ้นแล้ว”


“หูเสี่ยวเซียนเหรอ ตอนนี้เธออยู่ที่ไหนล่ะ เกิดเรื่องอะไรขึ้นล่ะ”


เยี่ยเทียนได้ยินแล้วถึงกับตะลึง ในสมองมีภาพเงาของเด็กผู้หญิงหน้ากลมๆนี้ขึ้นมา เด็กผู้หญิงตงเป่ยคนนี้มีนิสัยตรงไปตรงมา เยี่ยเทียนรู้สึกประทับใจไม่น้อย


“เสี่ยวเซียนเรียนจบก็กลับบ้านเกิด งานที่สถานีโทรทัศน์ในเมืองนั้น ทำงานเกือบจะสองเดือนแล้ว”


อวี๋ชิงหย่ามีความสัมพันธ์ที่ดีกับน้องๆไม่กี่คนที่อยู่หอพักเดียวกัน ถึงแม้จะเรียนจบแล้ว แต่ห่างกันไม่ถึงสองสามวันก็โทรศัพท์มาหากัน เมื่อกี้เป็นเพื่อนสาวที่อยู่ตงเป่ยอีกคนหนึ่งที่โทรมาหา


ชิงฮวาหยวนถึงแม้จะมหาลับที่มีชื่อเสียงระดับต้นของประเทศ แต่สาขาวารสารศาสตร์ก็ไม่ได้ดังเท่ากับสถาบันกระจายเสียงปักกิ่ง อยากทำงานในเมืองหลวง เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย


เหมือนเว่ยหรงหรงที่ได้ทำงานในสถานีโทรทัศน์ในปักกิ่ง หนึ่งเนื่องจากเธอมีสำมะโนครัวที่ปักกิ่ง สองเส้นสายของเว่ยหงจวินนั้นกว้างขวาง นี่ถึงทำให้ลูกสาวได้มีหน้ามีตาในการทำงาน ต้องรู้ว่า สถาบันกระจายเสียงทุกปีนักเรียนที่จบแบบเกียรตินิยมก็หางานทำไม่ได้


ที่อวี๋ชิงหย่าสามารถทำงานที่ซีเอ็นทีวีได้ ที่จริงอวี๋เฮ่าหรานก็ใช้ความพยายามไม่น้อย แต่แค่ไม่ได้บอกลูกสาวให้รู้เท่านั้น ส่วนหูเสี่ยวเซียนนั้น แค่มาจากที่ไหนก็ต้องกลับไปที่นั่น


แน่นอน แค่อาศัยชื่อชิงฮวาหยวน ตำแหน่งของหูเสี่ยวเซียนก็ตกลงอย่างรวดเร็ว แต่ตำแหน่งพิธีกรก็ไม่ได้ง่ายอย่างนั้น เขากลายเป็นนักข่าวในสถานีโทรทัศน์เมืองฉางไป๋คนแรก


“ตกลงว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่”ใบหน้าของเยี่ยเทียนเต็มไปด้วยความสงสัย เมื่อเห็นอวี๋ชิงหย่าแบะปากอยากร้องไห้ออกมา รีบพูดว่า “เธอก็อย่ารีบ ค่อยๆพูดก่อน”


เมื่อเห็นท่าทางของอวี๋ชิงหย่า เยี่ยเทียนก็อ่านชื่อของหูเสี่ยวเซียนในใจ มือขวาก็ดีดแต่ละนิ้วไปมา กลับทำนายโชคชะตาเธอขึ้น


“ไม่ดี เด็กผู้หญิงคนนี้น่าจะถูกบังคับขู่เข็ญ เกรงว่าน่าจะอันตรายถึงชีวิต!”เพิ่งจะทำนายโชคชะตาไปนิดหนึ่ง ใบหน้าของเยี่ยเทียนถึงกับตกใจ ขมวดคิ้วขึ้นมา


ถึงแม้ว่าตอนนั้นเยี่ยเทียนจะเจอหูเสี่ยวเซียนเมื่อสองเดือนกว่า แต่ไม่ได้ช่วยดูรูปลักษณ์ใบหน้าของเขาให้ละเอียด แต่เด็กผู้หญิงคนนั้นไม่เหมือนคนที่ตายก่อนวัยอันควร แต่การทำนายเมื่อสักครู่ เส้นกวาเซี่ยงกลับเห็นเคราะห์ร้ายมากๆ


แน่นอน โชชะตาของคนเปลี่ยนไม่ได้แน่นอน ด้วยการเพิ่มอายุและการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม ประสบการณ์ระหว่างบุคคลก็เป็นการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา หรือสิ่งเล็กน้อยที่อาจเปลี่ยนแปลงชีวิตของบุคคลได้


ในเวลานี้อวี๋ชิงหย่าได้ปรับอารมณ์ดีแล้ว เริ่มพูดว่า  “เยี่ยเทียน เสี่ยวเซียนเป็นโรคประหลาด ตอนบ่ายหลังจากที่เข้าโรงพยาบาล ก็เป็นลมยังไม่ฟื้น หมอบอกว่าสัญญาณชีพของเธออ่อนแอมากน่าจะ……น่าจะมีโอกาส……ที่จะตายได้”


เมื่อพูดถึงอาการป่วยของหูเสี่ยวเซียน อวี๋ชิงหย่าก็อดไม่ได้ที่ร้องไห้ขึ้นมาอีกครั้ง พวกเธอเพิ่งแยกออกจากกันแค่สองเดือน เมื่อพี่น้องที่อาศัยอยู่ด้วยเป็นเวลาสี่ห้าปีต้องมาเจอเรื่องอย่างนี้ อวี๋ชิงหย่าในใจที่ในอ่อนและขี้สงสารมาตลอดก็ไม่สามารถรับเรื่องนี้ได้


เยี่ยเทียนคว้าอวี๋ชิงหย่าเข้ามาร้องไห้ในอ้อมอก พูดเสียงที่นุ่มนวลว่า “เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ละเอียดสิ หูเสี่ยวเซียนก็คงจะรู้สึกตัวโดยไม่มีสาเหตุหรอกมั้ง”


อวี๋ชิงหย่าส่ายหน้า พิงไหล่ของเยี่ยเทียนอย่างอ่อนแรง มือทั้งสองกอดเยี่ยเทียนไว้ พูดว่า “ฉันไม่รู้ เสี่ยวจิ้งบอกว่าหูเสี่ยวเซียนไปสัมภาษณ์ที่หนึ่ง หลังจากนั้นพอกลับมาถึงที่หน้าประตูสถานีโทรทัศน์จู่ๆก็เป็นลม ถ้าไม่ได้ยามหน้าประตูมาส่งให้ทันเวลา ตอนนั้นอาจจะไม่มีชีวิตแล้วก็ได้”


เสี่ยวจิ้งก็เป็นเพื่อนนักเรียนของหยูชิงหย่าอีกคน และก็เป็นคนที่เพิ่งโทรศัพท์มา และยังเป็นเพื่อนที่ทำงานที่สถานีโทรทัศน์เดียวกัน หลังจากที่เกิดเรื่องขึ้น เธอก็เฝ้าที่โรงพยาบาลตลอด


“ชิงหย่า อย่ารีบร้อนไป คนดีผีคุ้ม หูเสี่ยวเซียนอายุน้อยขนาดนี้ น่าจะไม่เป็นไรหรอก


จากที่ทำนายและการบอกของอวี๋ชิงหย่าเยี่ยเทียนก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวของหูเสี่ยวเซียนกันแน่ แค่ตอนนี้ปลอบใจชิงหย่าเท่านั้น


อวี๋ชิงหย่าจู่ๆ ก็เงยหน้าขึ้น พูดอย่างมุ่งมั่นว่า “ไม่ได้ล่ะ ฉัน……ฉันจะต้องไปดูเสี่ยวเซียน ฉันจะโทรหาหรงหรง!”


“เอ๋ ฉันว่า ผมไม่ไปทำงานเหรอ”


เยี่ยเทียนยกมือของอวี๋ชิงหย่ากดหมายเลขโทรศัพท์ พูดอย่างจริงใจว่า เมื่อกี้เยี่ยเทียนได้ทำนายโชคชะตาออกมาเหมือนมีเคราะห์ร้ายนิดหน่อย เขาไม่อย่างให้อวี๋ชิงหย่าไปเจออันตรายในครั้งนี้


อวี๋ชิงหย่าโทรศัพท์ แล้วพูดว่า “พักร้อนได้ ที่จริงวันหยุดสิบห้าฉันจะกลับบ้านได้ ฉันไม่เคยได้พักเลยก็เท่านั้น”


“หรงหรง เธอก็รู้ ฉันต้องการไปเยี่ยมเสี่ยวเซียนที่เมืองฉางไป๋ เธอไปไหม ที่จริงๆ งั้นพวกเราไปด้วยกัน ได้ งั้นเธอจองตั๋วนะ จองตั๋วสองใบ!”


หลังจากที่พูดโทรศัพท์ อวี๋ชิงหย่าก็พูดกับเว่ยหรงหรงไม่กี่ประโยค ก็ร้องดีใจขึ้นมา มองไปที่เยี่ยเทียนที่ส่ายหัวตลอด เมื่อกี้เพิ่งเสียใจอยู่เลย จู่ๆตอนนี้ก็ยิ้มขึ้นมา ยังกล้าที่จะไปเที่ยวอยู่เหรอ


เยี่ยเทียนเอาปากไปพูดที่ข้างหูอวี๋ชิงหย่า พูดเสียงดังว่า  “จองตั๋วสามใบ ผมก็ไป !”


จะให้อวี๋ชิงหย่าไปยังเมืองที่อยู่ใกล้กับสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยของเกาหลีเหนือ  เยี่ยเทียนไม่วางใจ โดยเฉพาะหลังจากที่ทำนายไปแล้ว ดูเหมือนว่าที่นั่นจะไม่ค่อยสงบนัก ดูเหมือนว่าตัวเองคงเกิดเรื่องที่ยุ่งยากอีกแล้ว


หลังจากที่เยี่ยเทียนพูด อวี๋ชิงหย่าก็รีบโทรศัพท์พูดว่า “ได้ หรงหรง จองสามใบ เอ้อใช่ เธอถามสวี่เติ้นหนานสิจะไปหรือไม่ไป”


“อย่าเลย คือนี่ไปเยี่ยมเพื่อนที่ป่วย ไม่ใช่ไปเที่ยว!”


เยี่ยเทียนได้ฟังก็เดือดเป็นพืนเป็นไฟ พาผู้หญิงสองคนนี้ไป เขายังกลัวว่าจะดูแลพวกเธอไม่ได้ ถ้าต้องเพื่มสวี่เจิ้หนานไปอีก ยิ่งไม่ใช่เพิ่มภาระไปมากกว่านี้เหรอ


“ดี งั้นพวกเราสามคน เธอจองตั๋วนะ!”อวี๋ชิงหย่าถูกเยี่ยเทียนที่กำลังหน้าแดงพูดใส่ หลังจากที่พูดในโทรศัพท์สองสามประโยค ก็วางโทรศัพท์ลง


“พอแล้ว อย่าเป็นห่วงไปเลย มีสามีแบบคุณตามฉันไปด้วย เหยียนลั่วหวังก็เอาชีวิตหูเสี่ยวเซียนไปไม่ได้!”


เยี่ยเทียนส่ายหน้า เอามือไปบีบที่จมูกที่สวยๆเล็กๆของชิงหย่า ความจริงที่เขาต้องไปเมืองฉางไป๋ในครั้งนี้ ที่ทำนายว่าหูเสี่ยวเซียนรับเคราะห์ที่จริงเป็นแค่ความหวาดกลัว ไม่ได้มีอันตรายอะไร


เยี่ยเทียนรู้ ตัวเองเป็นผู้สูงศักดิ์ แต่นักพรตเต๋าเคยพูดกฎดวงสมพงศ์กัน หูเสี่ยวเซียนกับอวี๋ชิงหย่าสมพงศ์กัน ตัวเองเธอก็มีความประทับใจกันได้ไม่เลวนัก พูดอะไรไม่ได้ยังไงก็ต้องช่วยกัน


“พวกเธอสองคน คนหนึ่งโทรศัพท์คนหนึ่งเปิดประตู ทำไมถึงไปนานขนาดนี้ เอ๊ะ ชิงหย่า เยี่ยเทียนรังแกหนูหรือเปล่า”


หลังจากกลับมาที่ห้องอาหาร คนทั้งบ้านก็จ้องมาที่เยี่ยเทียนและสองคน อวี๋ชิงหย่าถึงแม้จะแต่งหน้ามาบ้างแล้ว แต่ตาที่แดงๆยังหลบจากสายผู้หญิงสองสามคนในนั้นไม่ได้


“ป้าใหญ่ ผมจะกล้าที่ไหนกัน”เยี่ยเทียนร้องความไม่เป็นธรรมขึ้นมา “เพื่อนของชิงหย๋าเกิดเรื่องขึ้นนิดหน่อย พรุ่งนี้ผมจะไปเมืองฉางไป๋เป็นเพื่อนเธอ พวกคุณก็อย่าคิดมากไป”


“จะไปอีกแล้วเหรอ เสี่ยวเทียน นาย……นายเพิ่งจะกลับบ้านมานะ!”เมื่อได้ยินว่าเสี่ยวเทียนจะต้องออกจากบ้านไปอีก พวกป้าๆสองสามคนก็อดที่จะตัดใจไม่ได้


เยี่ยเทียนพูดทีเล่นทีจริง “พวกเราถือโอกาสไปเที่ยว กลับมาไม่แน่ว่าอาจจะแต่งงานก็ได้นะ”


“งั้นก็ดี งั้นถึงอนุญาต ฉันว่าเสี่ยวเทียน นายก็ไม่เคยพาชิงหย่าไปเที่ยวนี่ ทั้งวันมั่วแต่ยุ่งเรื่องของตัวเอง ครั้งนี้พาชิงหย่าไปเที่ยวดีๆล่ะ!”


เมื่อเยี่ยเทียนพูดคำนี้ออกมา ทันใดนั้นใบหน้าของหญิงชราก็ยิ้มราวกับดอกไม้บาน แทบอยากจะให้เยี่ยเทียนแต่งงานสักที เมื่อได้ยินเยี่ยเทียนรีบมองบน ผู้หญิงในตระกูลเยี่ยทำไมถึงเป็นอย่างนี้นะ


หลังจากที่กินข้าว เยี่ยเทียนก็ให้ชิงหย่าอยู่คุยกับพวกป้าๆ ตัวเองกลับลากโก่วซินเจียกลับมาที่บ้านของตัวเอง พรุ่งนี้ต้องไปเมืองฉางไป๋ เขามีปัญหาบางอย่างที่อยากจะได้คำแนะนำจากศิษย์พี่


เยี่ยเทียนก็เอาเรื่องที่หยูชิงหย่าพูดให้โก่วซินเจียฟัง หลังจากนั้นก็พูดว่า “ศิษย์พี่ เรื่องนี้คุณคิดว่าเป็นว่าเป็นยังไง”


ถึงแม้ว่าการทำนายจะไม่ค่อยแม่นยำมาก แต่ไม่รู้ว่าทำไม เยี่ยเทียนถึงรู้สึกว่าเรื่องนี้ต้องเกี่ยวข้องกับวิชาฉีเหมินในยุทธภพ เกี่ยวข้องกับวิชาฉีเหมิน แน่นอนว่าต้องสอบถามกับโก่วซินเจีย


ต้องรู้ว่า โก่วซินเจียตอนที่ก่อนปลดแอก เคยคุมสำนักฉีเหมินในประเทศ รู้สถานการณ์ทุกสำนักของวิชาฉีเหมินเป็นอย่างดี ถึงแม้จะห่างกันครึ่งศตวรรษแล้ว แต่วิชาฉีเหมินการรุกล้ำพื้นที่ ในที่สุดก็มีคนรุ่นหลังที่ยังอยู่


“ไม่แน่ว่า อยู่ๆอาจจะมีโรคระบาดเกิดขึ้นก็ได้ ก็อาจจะถูกคนเสกคาถาอาคม ต้องเจอหน้าถึงจะพูดได้”โก่วซินเจียคิดสักพัก พูดว่า “ไม่งั้นเอาอย่างนี้เถอะ ศิษย์น้อง พรุ่งนี้ฉันไปเป็นเพื่อนนายสักรอบหน่อย”


“ศิษย์พี่ ไม่ต้องแล้ว คุณพูดสถานการณ์ของวิชาฉีเหมินที่นั่นให้ผมฟังก็พอ”เสี่ยเทียนส่ายหน้า ศิษย์พี่เป็นคนที่อายุแปดสิบกว่าปี จะให้วิ่งเต้นไปทั่วตามตัวเองไปได้ยังไง


“เมืองฉางไป๋บุกรุกเข้าไปในภูเขาฉางไป๋ ก็เป็นที่รู้จักกันทั่วไปว่าเป็นเขตแดนของมณฑลเหลียวหนิงตะวันออก นั่นเป็นที่กำเนิดของราชวงศ์ชิง เป็นบ้านเกิดของแมนจูเรีย ดังนั้นจึงเป็นสถานที่ที่เฟื่องฟูของหมอผีเชมัน”


โก่วซินเจียคิดสักพักแล้วก็พูดต่อว่า “ตอนปลายราชวงศ์ชิง เชมันได้เสื่อมสลายลงไปมาก หลังจากที่ราชวงศ์ชิงล้มสลาย ก็ไม่ปรากฎหมอผีเชมันในพื้นที่ราบแห่งนี้ ดังนั้นฉันจึงค่อยไม่รู้เรื่องพวกเขามาก”


“ศิษย์พี่ ความหมายของคุณ ยังมีหมอผีเชมันหลงเหลืออยู่ตรงนั้น”เยี่ยเทียนถาม เขารู้สึกว่าตัวเองเดินทางครั้งนี้เหมือนจะคลุกเคล้าไปกับวิชาฉีเหมินในท้องถิ่น


“แน่นอน ประวัติความเป็นมาของหมอผีเชมันกับเวลาของคนในปัจจุบันก็ยาวนานเท่ากันๆ จะล้มสลายไปหมดเหรอ”


โก่วซินเจียพยักหน้า น้ำเสียงพูดอย่างมุ่งมั่นมาก “นอกจากหมอผีเชมัน ทางนั่นยังมีพระลัทธิรื่อเยว่อยู่ มีนามสกุลหูและนามสกุลซงเป็นหัวหน้า ฉันกลับรู้จักชายชราคนหนึ่งที่เป็นคนตระกูลเจีย ไม่รู้ว่าตอนนี้ยังมีชีวิตอยู่ไหม”


พูดถึงตรงนี้ โก่วซินเจียก็ยิ้มขึ้นมา “พระลัทธิตะวันและจันทราจะเชื่อในวิญญาณแห่งสวรรค์และโลกบรรพบุรุษ บรรพบุรุษตระกูลหูและตระกูลซงทั้งสองตระกูล เดิมทีไม่ใช่สองตระกูลนี้ แค่อีกคนนับถือหวงต้าเซียน อีกคนนับถือซงลี่ซื่อ นี่ถึงได้เปลี่ยนนามสกุล!”


……


ตอนที่ 397 ลมหายใจของชีวิต

โดย

Ink Stone_Fantasy

“หวงต้าเซียน สงลี่ซื่อ?”


เยี่ยเทียนได้ยินแล้วงุนงงเล็กน้อย ยิ้มตอบ “ศิษย์พี่ นั่นคือไซอิ๋วแล้ว บนโลกนี้หรือจะมีภูติพรายอย่างนังปีศาจจิ้งจอกพวกนั้น? อีกอย่างผมไม่ยักจะเคยเห็น!”


นอกจากพื้นที่เขตทิเบตและเสินหนงเจี้ยที่เล่าขานกันว่ามีคนป่าอาศัยอยู่นั้น เยี่ยเทียนติดตามนักพรตชราไปกว่าครึ่งประเทศจีนแล้ว ยังไม่เคยพบเห็นสัตว์ประหลาดเหล่านั้น จึงรู้สึกคำพูดของโก่วซินเจียออกจะเกินคาดอยู่บ้าง


“ศิษย์น้อง ไม่เคยเห็นไม่ได้หมายความว่าไม่มี”


โก่วซินเจียได้ยินแล้วยิ้มออกมา ชี้ไปยังเหมาโถวที่กำลังจับปลากินกลางบ่อน้ำ กล่าวว่า “เจ้าหนูน้อยนั่นนอกจากไม่สามารถพูดได้แล้ว นายเห็นว่ามันต่างจากมนุษย์ตรงไหน?”


“เรื่อง……เรื่องนี้ เหมาโถวมีบางอย่างไม่เหมือนกับสัตว์ธรรมดาทั่วไป” โก่วซินเจียยกเหมาโถวขึ้นมาเปรียบเทียบ เยี่ยเทียนยังพูดอะไรไม่ออกจริง ๆ เจ้าหนูนี่ช่างเหมือนกับมนุษย์จริง ๆ


“จี จี!”


หูเล็กแหลมของเหมาโถว ได้ยินโก่วซินเจียกับเยี่ยเทียนพูดถึงตัวเอง ก็ส่งเสียงดังเข้ามาหา ยืดทั้งตัวตรงขึ้น ยื่นขาหน้าทั้งสองออกมาทางโก่วซินเจียราวกับกำลังประจบ


ช่วงเวลานี้โก่วซินเจียไม่มีธุระอะไร อ่านสูตรปรุงยาลับของหลี่ซั่นหยวนไปจำนวนหนึ่ง ใช้สมุนไพรเหล่านั้นในห้องเก็บของของเยี่ยเทียน ปรุงยาออกมาไม่น้อย และเหมาโถวที่ร้อยพิษไม่อาจกล้ำกรายก็เป็นตัวทดลองยาที่ดีที่สุด


บางทียาลูกกลอนเหล่านั้นอาจมีผลดีกับเหมาโถวเช่นกัน ตอนนี้นอกจากเยี่ยเทียนแล้ว คนที่สนิทกับเหมาโถวมากที่สุดก็คือโก่วซินเจีย หากนักพรตชราเริ่มปรุงยาเมื่อไหร่ มันจะคอยตามติดด้านหลังไม่ห่างตัว


“ไป ไปเล่นทางนู้น”


เยี่ยเทียนจับคอเหมาโถว เอาตัวมันกลับไปยังริมบ่อน้ำ ขมวดคิ้วแล้วกล่าว “แต่ว่า ต่อให้เหมาโถวสามารถใช้พลังวิญญาณได้ มันเองก็ไม่สามารถส่งพลังวิญญาณตนเองให้กับคนอื่นใช่ไหมครับ?”


“เยี่ยเทียน มีเรื่องราวมากมายบนโลกใบนี้ที่พวกเราไม่อาจเข้าใจได้ การเข้าทรงที่แพร่หลายทางใต้ ที่สามารถอัญเชิญเทพเจ้ากวนอูและฉีเทียนต้าเซิ่งมาเข้าทรงได้ เรื่องพวกนี้นายสามารถอธิบายให้เข้าใจได้หรือเปล่า?”


ยุคสมัยการใช้ชีวิตของโก่วซินเจียห่างไกลจากเยี่ยเทียนมาก เขาไม่ได้กีดกันเรื่องภูตผีปีศาจออกจากชีวิต นั่นเพราะขั้นตอนมากมายภายในสำนักเทพพยากรณ์เสื้อป่านดูแล้วราวเป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์ ไม่อาจใช้สามัญสำนึกทั่วไปตัดสิน


“อธิบายไม่เข้าใจ แล้วคนนอกเห็นการกระทำของพวกเรา อาจจะคิดว่าพวกเราเป็นเทพเซียนหรือเปล่า?”


เยี่ยเทียนนิ่งงันไปชั่วครู่ พลันสองมือก็ไขว้เคล็ดดัชนี กวัดแกว้งในห้วงอากาศด้านหน้า พลังหยินและหยางทั้งสองประสานกัน จนเกิดประกายไฟวาบขึ้นมากลางอากาศ ทำให้เหมาโถวที่อยู่ห่างออกไปส่งเสียง “จีๆ” ด้วยความตกใจ


“เป็นอย่างนั้นแหละ ความจริงแล้วมนุษย์ไม่ได้เป็นสิ่งมีชีวิตประเภทเดียว นายสามารถรับประกันได้หรือเปล่าว่าสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นจะไม่พัฒนาการจนมีจิตสำนัก มีความคิด มีภาษาเหมือนกัน?”


โก่วเจียซินตบบ่าเยี่ยเทียนแล้วกล่าว “เป็นเพราะนายยังอ่อนวัย จึงยอมรับเรื่องราวใดๆ ไม่ไวเท่าคนชราอย่างพี่ เรื่องใดๆ ก็ตามอย่าเพิ่งไปปฏิเสธ เพราะพี่เองก็ยังไม่กล้ายืนกรานว่าบนโลกใบนี้มีสิ่งเหนือธรรมชาติอยู่จริงหรือไม่”


เยี่ยเทียนพยักหน้า พึมพำตอบ “ท่านอาจารย์เคยกล่าวไว้ คนรู้จักพักทว่าไม่รู้จักพอ สัตว์รู้จักพอแต่ไม่รู้จักพัก บางทีนี่คงเป็นความแตกต่างยิ่งใหญ่ที่สุดระหว่างสัตว์กับคน”


โก่วซินเจียลุกขึ้นยืน ยิ้มกล่าว “เอาเถอะ อย่าคิดมากขนาดนั้นเลย ไปฉางไป๋ครั้งนี้ จะได้ทำความรู้จักกับลัทธิบูชาภูตผีและคนของลัทธิตะวันและจันทราเต้าพอดี ด้วยวิชาของนายในตอนนี้ ก็ไม่ต้องกลัวใครหน้าไหนทั้งนั้น


“พี่มีเพื่อนเก่าอยู่ที่นั่นหนึ่งคน แต่ว่าตอนนี้คงจะไม่อยู่บนโลกนี้แล้ว ถ้าหากนายได้พบกับรุ่นน้องของเขา พูดถึงชื่อพี่ขึ้นมาบางทีอาจมีคนรู้จักก็ได้”


“ครับ ขอบคุณศิษย์พี่มาก ไปคราวนี้น่าตื่นใจแต่ไร้อันตราย ราวกับพอมีวาสนาอยู่บ้าง ศิษย์พี่ ถ้าอย่างนั้นผมไปพักผ่อนก่อนล่ะ!”


ได้ยินคำพูดของศิษย์พี่ใหญ่แล้ว ภายในใจเยี่ยเทียนก็เบิกบานในทันใด ถึงอย่างไรการเดินทางครั้งนี้ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ไม่ว่าจะพบเจอกับอะไร เพียงข้าศึกมาตั้งรับไว้ น้ำไหลสร้างทำนบกั้นก็เพียงพอ


อีกทั้งตั้งแต่เยี่ยเทียนเข้าสู่ระดับที่สามารถหลอมพลังชี่เข้าสู่จิตวิญญาณแล้ว ก็สามารถคาดเดาโชคลาภภัยพิบัติที่จะเกิดกับตัวได้เนือง ๆ เมื่อครู่เขาเสี่ยงทายดวงชะตากลับเป็นรูปกว้าสุดทางเขาปลายสายน้ำ บุปผาบานร่มเงาหลิว ทำให้เยี่ยเทียนคลายใจลงไม่น้อย


คืนนั้นอวี๋ชิงหย่าค้างอยู่ที่บ้านเก่า เช้าวันต่อมาเว่ยหงจวินก็ขับรถพาเว่ยหรงหรงมายังเรือนสี่ประสาน หลังจากรับเยี่ยเทียนกับอวี๋ชิงหย่าแล้ว ก็พาทั้งสามคนไปส่งยังสนามบินของเมืองหลวง


เมืองฉางไป๋นั้นอยู่ตรงใจกลางเมือง เมื่อสมัยปี 98 นั้นยังไม่มีสนามบิน ทั้งสามคนรวมเยี่ยเทียนจึงต้องเครื่องบินไปลงยังสนามบินถงหัว


“หนาวจังเลย!”


เพิ่งออกมาจากสนามบิน อวี๋ชิงหย่าก็จามออกมา เวลานั้นเป็นเดือนพฤศจิกายนแล้ว อีกไม่กี่วันหิมะแรกทางฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือก็จะตกลงมา ที่แห่งนี้อุณภหูมิต่ำกว่าเมืองหลวงถึงสิบองศา


“ไงล่ะ ดูพี่ใหญ่เว่ยสิ สวมชุดครบครันตั้งนานแล้ว!”


เมื่อเช้าเวลากระชั้นมาก อวี๋ชิงหย่าไม่มีเวลาเตรียมหาเสื้อผ้าหนาๆ ทว่าเว่ยหรงหรงใส่ชุดกันหนาวตัวยาว ห่อหุ้มร่างกายไว้ได้อย่างมิดชิด


“ชิงหย่า ใส่เสื้อของฉันไปก่อน เดี๋ยวถึงเมืองฉางไป๋ค่อยซื้อชุดขนสัตว์ให้เธอแล้วกัน!” เยี่ยเทียนถอดแจ็กเก็ตบนร่างตัวเองออก ห่มลงบนตัวชิงหย่า ส่วนตัวเองเหลือเพียงเสื้อเชิ้ตตัวเดียว


“อย่าเลย มันหนาวเกินไป เดี๋ยวเธอจะไม่สบาย” แม้ในใจอวี๋ชิงหย่าจะซาบซึ้ง แต่ก็ยังส่งเสื้อคืนให้เยี่ยเทียน


“ไม่เป็นไรหรอก แค่ลบเก้าถึงสิบองศา ฉันใส่แค่นี้ไม่ถึงกับไม่สบายหรอก”


เยี่ยเทียนยิ้มแล้วส่ายหน้า เขาสามารถทนทานต่อความร้อนและความหนาวเย็นได้นานแล้ว หากไม่นับเรื่องการกินอาหาร เทียบกับเทพเซียนบนแผ่นดินในยุคโบราณแล้วก็ไม่แตกต่างกันเท่าไหร่


เห็นสองคนทางฝั่งเยี่ยเทียนกระหนุงกระนิงกัน เว่ยหรงหรงพึมพำออกมาอย่างไม่พอใจนัก “พอเถอะ เลิกจีบกันเสียที รู้อย่างนี้ให้เจิ้นหนาน ลางานสักสองสามวันมาด้วยก็ดีหรอก”


“เจ้าหมอนั่นของเธอทนน้ำแข็งเกาะได้ไม่เท่าฉันหรอก” เยี่ยเทียนได้ยินแล้วหัวเราะดัง ดึงตัวอวี๋ชิงหย่าขึ้นไปบนแท็กซี่


สนามบินถงหัวอยู่ไม่ไกลจากเมืองฉางไป๋ เพียงแค่หนึ่งร้อยกิโลเมตร อีกทั้งถนนหนทางปรับปรุงได้ไม่เลว สี่สิบกว่านาทีหลังจากนั้นก็ได้เข้ามาในเขตของฉางไป๋ สามารถมองเห็นทิวป่าหนาทึบตามสองข้างทาง


เยี่ยเทียนที่นั่งอยู่ด้านหน้าค่อยๆ เปิดหน้าต่างลงหน่อยหนึ่ง ลมเย็นพัดเข้ามากระทบหน้าหนึ่งระลอก ทำให้เยี่ยเทียนรู้สึกสดชื่นไปทั้งเนื้อตัว อาจเป็นด้วยสาเหตุทจากเนื้อที่ผืนป่าอันกว้างขวาง โรงงานอุตสาหกรรมยุคใหม่มีน้อย ท้องฟ้าจึงเป็นสีฟ้ายิ่งกว่าเมืองปักกิ่งหลายส่วน


แม่น้ำคดเคี้ยวตลอดเส้นทางที่รถวิ่งผ่าน แม้ว่าป่าไป๋ฮว่าและต้นหยางจะใบร่วงหล่นหมดแล้ว แต่ยังคงให้ความรู้สึกเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวาอยู่


“เจ้าหนู ฤดูนี้เดี๋ยวก็จะมีหิมะตกหนักทั้งเขา มาฉางไป๋ไม่มีอะไรให้เที่ยวหรอก จริงสิ เจ้าหนูใส่เสื้อผ้าแค่นี้ไม่หนาวหรือไง?”


ทีแรกเดาะลิ้นด้วยความสงสัยต่อเยี่ยเทียนที่ใส่เสื้อตัวเดียว ตอนนี้เห็นเยี่ยเทียนเปิดหน้าต่างแล้ว ยังเผยสีหน้าให้เห็นอารมณ์สุขสดชื่น พี่ชายคนขับรถคนนั้นจึงอดเอ่ยปากพูดออกมาไม่ได้


เยี่ยเทียนยิ้มตอบ “ตอนหน้าหนาวผมอาบน้ำด้วยน้ำเย็นตลอดครับ เลยชินแล้ว พี่ชายครับ ฉางไป๋อยู่ใกล้เกาหลีมากหรือเปล่า?”


คนขับรถพยักหน้าตอบ “ใช่ ทางด้านใต้ก็คือแม่น้ำยาลู่ ข้ามแม่น้ำยาลู่ไปก็เป็นเกาหลีแล้ว น่าเสียดายที่วันนี้อากาศหนาวเกินไป ไม่อย่างนั้นไปเล่นล่องแก่งที่แม่น้ำยาลู่ก็ไม่เลวเหมือนกัน”


ระหว่างที่คุยกับคนขับ ไม่นานรถก็เข้าสู่เมืองฉางไป๋ เมืองนี้มีขนาดไม่ใหญ่มากนัก แต่ถนนหนทางสะอาดสะอ้าน หลังจากอวี๋ชขิงหย่าและเเฉินเสี่ยวจิ้งเพื่อนนักเรียนของเธอคุยโทรศัพท์กันแล้ว รถก็มาหยุดอยู่หน้าทางเข้าโรงพยาบาลกลางของเมือง


“เสี่ยวจิ้ง ชิงหย่า หรงหรง!”


ยังไม่ทันลงจากรถ อวี๋ชิงหย่ากับเว่ยหรงหรงก็เห็นเฉินเสียวจิ้งยืนอยู่หน้าทางเข้าโรงพยาบาล พุ่งลงมาจากรถแล้วสามสาวก็เข้ากอดกัน


พอเอ่ยถึงหูเสี่ยวเซียนที่ยังคงหลับใหลไม่ได้สติอยู่ในโรงพยาบาล สาวๆ ทั้งหลายพลันก็ร้องไห้ออกมา จบการศึกษาครั้งนี้ยังไม่ถึงสองเดือนก็มาเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ทำให้หญิงสาวเหล่านี้ที่ยังไม่ผ่านร้อนผ่านหนาวบนโลก ล้วนรู้สึกเป็นเรื่องยากเกินจะรับไหว


เยี่ยเทียนรอให้พวกอวี๋ชิงหย่าอารมณ์สงบลงสักพักแล้ว ค่อยเอ่ยปาก “เอาล่ะ เข้าไปข้างในกันเถอะ ชิงหย่า ระวังเดี๋ยวจะเป็นหวัดเอานะ!”


“เยี่ยเทียน นายก็มาด้วยเหรอ?”


เห็นว่าแฟนหนุ่มของอวี๋ชิงหย่าก็มาด้วย เเฉินเสี่ยวจิ้งจึงปาดน้ำตาออกอย่างเขินอายเล็กน้อย กล่าวว่า “เสี่ยวเซียนอยู่ในห้องผู้ป่วยวิกฤตน่ะ ฉันพาพวกเธอไปก็แล้วกัน”


ขณะตามหญิงสาวทั้งหลาย เยี่ยเทียนก็ถามขึ้น “คุณเฉียน สาเหตุอาการป่วยของหูเสี่ยวเซียนตรวจออกมาแล้วหรือยังครับ?”


“เรียกฉันว่าเสี่ยวจิ้งเถอะค่ะ” เฉินเสี่ยวจิ้งหันมองมายังเยี่ยเทียนแวบหนึ่ง ส่ายหน้าตอบ “ตรวจร่างกายทุกอย่างหมดแล้ว แต่หมอยังคงบอกไม่ได้ว่าป่วยเป็นโรคอะไร แต่ว่า……แต่ว่า……”


เฉินเสี่ยวจิ้งลังเลอยู่ครู่หนึ่ง น้ำเสียงเคร่งเครียดลงหลายส่วน กล่าวว่า “แต่ว่าคุณปู่ของหูเสี่ยวเซียนบอกว่า เสี่ยวเซียนอาจจะ……อาจจะโดนของ ถูกคนทำคุณไสยมา!”


ด้วยตำแหน่งที่ตั้งเมืองฉางไป๋อยู่ค่อนข้างห่างไกล การคมนาคมไม่ค่อยสะดวกสบายนัก ในสมัยก่อนเวลาคนล้มป่วย หากไม่หาพ่อหมดหมอผีมาทำพิธีปัดเป่า ก็จะให้พ่อหมอแม่หมอของลัทธิตะวันและจันทราเต้าอัญเชิญเทพเข้าทรงรักษาอาการป่วย


ดังนั้นชีวิตของผู้คนที่นี่ จึงยังคงศรัทธาในวิถีไสยศาสตร์เชิญเจ้าเข้าทรงอยู่มาก เห็นสีหน้าของเฉินเสี่ยวจิ้งแล้ว ดูจะเชื่อสนิทใจกับคำพูดของคุณปู่หูเสี่ยวเซียน


เมื่อมาถึงห้องคนป่วย เฉินเสี่ยวจิ้งก็ค่อย ๆ ผลักประตูเปิดออก แนะนำหญิงวัยอายุสี่สิบกว่าปีสองคนที่อยู่ภายในห้องให้พวกเยี่ยเทียนได้รู้จัก


ด้วยหลายปีมานี้เมืองฉางไป๋มีนักศึกษาในวิทยาลัยหัวชิงถึงสองคน ทางสถานีโทรทัศน์จึงให้ความสำคัญกับหูเสี่ยวเซียนเป็นอย่างมาก ไม่เพียงจัดหาห้องผู้ป่วยวิกฤตเดี่ยวให้เป็นพิเศษ ยังเชิญพยาบาลและคนในครอบครัวของหูเสี่ยวเซียนให้มาร่วมกันดูแล


“เป็นเพื่อนร่วมชั้นของเสี่ยวเซียนเหรอคะ? ขอบคุณค่ะ ขอบคุณพวกเธอจริงๆ ลูกสาวที่น่าเวทนาของฉันคนนี้!”


ได้ยินเฉินเสี่ยวจิ้งแนะนำตัวแล้ว แม่ของหูเสี่ยวเซียนก็รีบร้อนลุกขึ้น มองยังลูกสาวที่มีท่อสอดอยู่ในจมูกนอนอยู่บนเตียงแล้ว อดร้องไห้สะอึกสะอื้นออกมาไม่ได้


จากคำพูดของคุณหมอ หัวใจของหูเสี่ยวเซียนเต้นอย่างเชื่องช้ามาก อีกทั้งยังต้องอาศัยเครื่องช่วยหายใจจึงจะหายใจได้ สามารถเข้าสู่สภาวะวิกฤตถึงแก่ชีวิตได้ตลอดเวลา


“คุณน้าคะ อย่าร้องไห้เลย เสี่ยวเซียนจะต้องไม่เป็นไรแน่ค่ะ”


ว่ากันว่าผู้หญิงถูกสร้างขึ้นจากน้ำ คำกล่าวนี้ไม่ผิดแม้แต่น้อย เดิมทีอวี๋ชิงหย่ากับเว่ยหรงหรงอยากจะปลอบโยนแม่ของหูเสี่ยวเซียน พูดไปพูดมากลายเป็นร้องไห้ไปด้วยกัน


“แปลกจัง ภายในร่างกายของเธอไม่มีพลังหยินร้าย ลักษณะร่างกายก็ไม่มีอะไรผิดปกติ แต่ทำไมลมหายใจชีวิตถึงได้อ่อนแรงอย่างนี้นะ?”


หลังจากที่เยี่ยเทียนเข้าไปกลางห้องแล้ว ก็เพ่งสมาธิไปยังร่างของหูเสี่ยวเซียนที่นอนอยู่บนเตียง ปลดปล่อยพลังวิญญาณเล็กน้อยเพื่อตรวจสอบ แล้วอดขมวดคิ้วขึ้นมาไม่ได้


 ……….


ตอนที่ 398 วิชาดูดวิญญาณ

โดย

Ink Stone_Fantasy

จะตัดสินมาตรฐานสุขภาพของใครคนหนึ่ง ต้องดูว่าลมปราณของคนคนนั้นแข็งแรงดีหรือไม่ ทว่าเวลานี้เสี่ยวเซียนลมปราณบกพร่อง สีหน้าหมองคล้ำ ลมหายใจแห่งชีวิตแผ่วเบา ใบหน้าเริ่มเผยให้เห็นไอแห่งความตายออกมาอย่างเลือนลาง


ถ้าหากเยี่ยเทียนใช้เวทมนตร์กับใครสักคนจะได้ผลออกมาอย่างนี้เช่นกัน แต่สิ่งที่ทำให้เขาสงสัยคือ ภายในร่างของหูเสี่ยวเซียนไม่มีพลังหยินร้ายคงอยู่ จึงสามารถตัดความเป็นไปได้เรื่องการใช้คุณไสยทำร้ายคน ซึ่งนอกจากวิธีนั้นเขาก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไร


“คุณน้าครับ เมื่อก่อนเสี่ยวเซียนเคยเจ็บป่วยด้วยโรคอะไรบ้างไหม?”


หลังรอให้อารมณ์ของพวกอวี๋ชิงหย่าสงบลงแล้ว เยี่ยเทียนก็เอ่ยถามขึ้น เขาจำได้ว่าเมื่อครั้งก่อนที่พบกับหูเสี่ยวเซียน ภายในร่างกายของเธอดูเหมือนจะมีจิตวิญญาณอันวุ่นวายสับสน แต่เวลานี้กลับสลายไปไม่มีให้เห็นอีก


แม่ของหูเสี่ยวเซียนนึกว่าเยี่ยเทียนก็คือเพื่อนร่วมชั้นของลูกสาวตนเอง จึงส่ายหน้าตอบ “ไม่มีจ้ะ เสี่ยวเซียนของพวกเราร่างกายแข็งแรงมาตั้งแต่เด็ก ตอนสิบขวบยังสามารถติดตามคุณปู่ขึ้นไปเก็บสมุนไพรบนภูเขา จนโตขนาดนี้ยังไม่เคยเกิดอาการเจ็บป่วยเลยสักครั้ง”


“นี่นับว่าแปลก” เยี่ยเทียนครุ่นคิดอยู่สักครู่ แล้วกล่าวต่อ “คุณน้าครับ ผมเคยเรียนแพทย์แผนจีนมานิดหน่อย ขอจับชีพจรให้เสี่ยวเซียนได้ไหมครับ?”


แม่ของหูเสี่ยวเซียนได้ยินแล้วก็ส่ายหน้า ตอบว่า “คุณปู่ของเธอเป็นหมอเก่า ก็ยังไม่สามารถอธิบายอะไรได้ พ่อหนุ่ม ถ้าเธอพอรู้เรื่องล่ะก็ วัดชีพจรให้เธอเถอะ”


คุณปู่ของหูเสี่ยวเซียนเมื่อยุคปี 60-70 เป็นหมอยาประจำหมู่บ้าน เล่าลือกันว่าฝีมือการรักษาสูงส่ง ได้รับการเคารพนับถือจากผู้คนในยุคนั้น


หลังจากยุคปฏิรูปเศรษฐกิจจีน คุณปู่จึงเปิดคลินิกแห่งหนึ่ง เพื่อรักษาโรคร้ายอันรักษาหายได้ยากเป็นหลัก แต่ว่าสำหรับหลานสาวคนนี้ของตน คุณปู่หูกลับไร้หนทางเยียวยา


ยื่นสองนิ้วแตะลงบนข้อมือของหูเสี่ยวเซียน เยี่ยเทียนค่อยๆ หลับตาลง สั่งกระแสพลังมงคลเข้าไปท่องภายในร่างกายของหูเสี่ยวเซียน แต่กลับไม่พบอะไรผิดปกติ


หลังจากครุ่นคิดอยู่สักครู่ เยี่ยเทียนก็ส่งกระแสพลังมงคลไปล้อมรอบชีพจรหัวใจของหูเสี่ยวเซียน เขาตรวจสอบอาการเจ็บป่วยของหูเสี่ยวเซียนไม่พบ จึงได้แค่ป้องกันชีพจรหัวใจของเธอเอาไว้ก่อน เผื่อที่จะได้ไม่เผชิญกับเหตุชีพจรขาดสะบั้นในช่วงเวลาสั้นๆ


“คุณน้าครับ ผมเองก็ตรวจไม่พบปัญหาในตัวของเสี่ยวเซียน แต่ว่าเธอยังอายุน้อยอย่างนี้ ต้องไม่เป็นไรแน่ครับ”


เยี่ยเทียนเห็นไอความตายบนใบหน้าของเสี่ยวเซียนจางลงเล็กน้อย ก็รู้ว่ากระแสพลังมงคลที่ตัวเองส่งเข้าไปใช่ได้ผล จึงค่อยวางใจลง เอ่ยปากถามขึ้น “ก่อนเสี่ยวเซียนจะมีอาการป่วย ได้พบเจอเรื่องอะไรหรือเปล่าครับ?”


ถ้าหากเป็นอาการป่วยก็ย่อมมีสัญญาณบอกเหตุ แต่หูเสี่ยวเซียนที่แข็งแรงดีกลับกลายเป็นแบบนี้ เยี่ยเทียนยังสงสัยว่าเธอคงได้รับคุณไสยอะไรบางอย่างทำร้าย เพียงแต่ตัวเขาตรวจสอบไม่พบเท่านั้น


คุณแม่ของหูเสี่ยวเซียนส่ายหน้าตอบ “เรื่องพวกนี้พวกแม่เองก็ไม่รู้เหมือนกันจ้ะ เรื่องการทำงานของหูเสี่ยวเซียน น้อยมากที่เธอจะเล่าให้พวกเราฟัง”


เวลานี้คุณแม่ของหูเสี่ยวเซียนมองมายังสายตาของเยี่ยเทียนอย่างเริ่มสงสัยขึ้นมาบ้าง ผู้ชายคนนี้ทำไมถึงตั้งคำถามมากมายอย่างนี้? หรือว่าเสี่ยวเซียนถูกคนทำร้ายจึงได้กลายเป็นแบบนี้?


“เสียววจิ้ง เธอรู้หรือเปล่า?” เยี่ยเทียนไม่ได้สังเกตสีหน้าของคุณแม่หู แต่มองไปทางเฉินเสียวจิ้ง พวกเธอทั้งสองคนทำงานที่สถานีโทรทัศน์ทั้งคู่ อีกทั้งต่างเป็นเพื่อนร่วมชั้น คงจะรู้เรื่องราวมากกว่า


ในสายตาของเยี่ยเทียน หากอยากจะรู้สาเหตุที่หูเสี่ยวเซียนหมดสติให้กระจ่างชัด ก่อนอื่นต้องรู้ว่าเธอไปทำให้ใครสักคนไม่พอใจหรือเปล่า? อีกทั้งหูเสี่ยวเซียนเพิ่งจะเรียนจบกลับจากเมืองหลวง ต่อให้ไปขัดหูขัดตาคนเข้า เกรงว่าน่าจะมีสาเหตุมาจากเรื่องงาน


“ไม่มีอะไรเลย ฉันทำงานอยู่ที่สถานีโทรทัศน์ เสี่ยวเซียนชอบออกไปทำงานข้างนอก ช่วงนี้ทำงานเป็นนักข่าว วันนึงได้พบเธอแค่ไม่กี่ครั้งเอง”


เฉินเสียวจิ้งแม้จะสนิทสนมกันดีกับหูเสี่ยวเซียน แต่ก็ไม่ได้อยู่แผนกเดียวกัน ปัจจุบันหูเสี่ยวเซียนทำข่าวอะไรอยู่นั้นเธอไม่รู้เลยสักนิด


อวี๋ชิงหย่าเห็นคุณแม่หูมีสีหน้าอดรนทนไม่ไหวก็รีบคว้าตัวเยี่ยเทียนมาพูดว่า “เยี่ยเทียน พวกเราไปหาที่พักกันก่อน ตอนบ่ายค่อยมาดูเสี่ยวเซียนกันอีกดีกว่า?”


“ตกลง คุณน้า งั้นพวกผมไปก่อนนะครับ!” เยี่ยเทียนได้ยินแล้วสะดุ้งเฮือก ตอบกลับในทันใด ตัวเขาถามซอกแซกในห้องคนป่วย แน่นอนว่าเป็นเรื่องไม่เหมาะสมสักเท่าไหร่


พอออกมาจากห้องผู้ป่วยแล้ว อวี๋ชิงหย่าก็หยิกที่เอวเยี่ยเทียนแรงๆ หนึ่งที กระซิบบอก “นายนี่ ทำไมต้องทำตัวเหมือนเชอร์ลอค โฮล์มด้วย เสี่ยวเซียนยังนอนอยู่บนเตียง นายถามเรื่องไร้ประโยชน์พวกนี้ไปเพื่ออะไรกัน?”


“แล้วกัน ทำคุณบูชาโทษแท้ ๆ “ เยี่ยเทียนส่ายหน้า พูดกับเฉินเสียวจิ้งที่อยู่ข้างหน้า “เสี่ยวจิ้ง เธอลองโทรสืบหน่อย ดูว่าช่วงนี้หูเสี่ยวเซียนไปทำข่าวที่ไหนบ้าง?”


“ได้ ฉันจะไปถามดูเดี๋ยวนี้ล่ะ” ได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว เฉินเสียวจิ้งก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากด


ผ่านไปสักพักเฉินเสียวจิ้งก็วางสายแล้วพูดกับเยี่ยเทียน “นักข่าวคนหนึ่งที่พาเสี่ยวเซียนไปบอกว่า ดูเหมือนเสี่ยวเซียนจะเข้าไปยุ่งกับเส้นทางลักลอบค้าสัตว์ป่า”


“ลักลอบ?”


“ใช่แล้ว ลักลอบนั่นแหละ ภายในเขาฉางไป๋ของพวกเรามีสัตว์ป่าอาศัยอยู่มากมาย มีคนขึ้นเขาไปฆ่าสัตว์เอาชิ้นส่วนอยู่บ่อย ๆ ช่วงหลังยังมีพวกลักลอบเอาสมุนไพรล้ำค่าอย่างพวกกระดูกเสือและดีหมีออกไปอยู่บ้าง”


ในฐานะชาวเขาฉางไป๋ ไม่มีใครไม่รู้ว่ามีเรื่องพวกนี้เกิดขึ้น เฉินเสียวจิ้งเองก็มีหูตากว้างไกล “ไม่เพียงแค่ยาสมุนไพร พวกมันยังล่าเอาแม้กระทั่งสัตว์ป่าเป็น ๆ ทุกปีล้วนสืบพบคดีพวกนี้อยู่หลายต่อหลายครั้ง…….”


ถึงแม้ทุกปีรัฐบาลจะทำโฆษณาชวนเชื่อเป็นจำนวนมาก อีกทั้งดำเนินการปลดอาวุธ แต่อยู่ในป่าก็อาศัยของป่า จึงยังมีผู้คนมากมายยอมเสี่ยงอันตรายลักลอบล่าสัตว์ป่าสงวน ห้ามได้ยากลำบากยิ่ง


“พวกลักลอบฆ่าสัตว์เหรอ?”


เยี่ยเทียนพึมพำอยู่ในใจหนึ่งเสียง เงยหน้าขึ้นกล่าว “ไปหาที่กินข้าวกันก่อนเถอะ เสี่ยวจิ้ง เดี๋ยวเธอพาชิงหย่าไปซื้อเสื้อกันหนาวหนาสักหน่อย จากนั้นพวกเราค่อยไปดูเสี่ยวเซียนกัน”


“ได้ ข้างโรงพยาบาลก็มีโรงแรม เป็นแห่งที่ดีที่สุดในฉางไป๋ ผู้ค้าสมุนไพรมากมายต่างอาศัยกันอยู่ที่นั่นแหละ”


เฉินเสียวจิ้งพยักหน้า เธอรู้ว่าอวี๋ชิงหย่าและเว่ยหรงหรงล้วนเงินไม่ขาดมือ และเยี่ยเทียนก็เป็นคนเปิดธุรกิจนำเข้ารถ จึงนำสองสามคนนั้นไปเช็คอินเปิดห้องที่โรงแรม 2 ห้อง


แน่นอนว่า ห้องคู่นั้นเว่ยหรงหรงกับอวี๋ชิงหย่าพักด้วยกัน นายเยี่ยเทียนจึงต้องพักห้องเดี่ยวคนเดียว


ข้าวเที่ยงก็กินที่โรงแรม แต่ละคนต่างไม่อยากอาหารกันสักเท่าไหร่ หลังจากกินกันไปคนละนิดหน่อย เฉินเสียวจิ้งก็พาหญิงสาวสองคนไปซื้อเสื้อผ้า ส่วนเยี่ยเทียนกลับไปที่ห้อง หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรหาโก่วซินเจีย


หลังจากเยี่ยเทียนอธิบายสถานการณ์ของหูเสี่ยวเซียนคร่าว ๆ แล้วก็กล่าวว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ เหตุการณ์ก็เป็นอย่างนี้แหละครับ ผมมองตำแหน่งอาการเจ็บป่วยในร่างกายของหูเสี่ยวเซียนไม่ออก แต่ผมมีความรู้สึกว่า เธอน่าจะถูกคนทำคุณไสยใส่!”


“ลมหายใจชีวิตอ่อนแรงมาก ลมปราณบกพร่อง แต่ร่างกายกลับไม่มีอาการบาดเจ็บอะไรเลย?”


โก่วซินเจียพึมพำอยู่ในโทรศัพท์สักครู่ พลันเอ่ยปากออกมา “เยี่ยเทียน ลัทธิบูชาผีเชื่อว่าสรรพสิ่งล้วนมีจิตวิญญาณ ในนั้นมีวิชาคาถาไม่น้อยล้วนพุ่งเป้าไปที่ดวงวิญญาณ พี่ว่า ครั้งนี้อาจเป็นไปได้ว่าเป็นวิชาดูดวิญญาณของลัทธิบูชาผี!”


“วิชาดูดวิญญาณ? ผมไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยครับ!” เยี่ยเทียนส่ายหน้าอัตโนมัติ รีบร้อนถามต่อ “ศิษย์พี่ ถ้าอย่างนั้นจะทำลายวิชาประเภทนี้ได้ยังไง?”


“พวกลัทธิบูชาผีน้อยมากจะออกจากสามมณฑลทางตะวันออก (เฮยหลงเจียง, จี๋หลิน, เหลียวหนิง) พี่เองก็ไม่เข้าใจวิชาของพวกเขามากนัก ส่วนชื่อนี้ก็ได้ยินมาจากปากของหัวหน้าพระลามะทิเบตท่านหนึ่ง”


โก่วซินเจียนิ่งไปสักพัก ราวกับครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ผ่านไปครู่หนึ่งจึงกล่าวขึ้น “เยี่ยเทียน นายลองใช้วิชาเรียกวิญญาณที่สืบทอดมาของพวกเราดู ว่าสามารถปลุกให้หญิงคนนั้นฟื้นได้ไหม ถ้าหากไม่ได้ล่ะก็ พี่เองก็ไม่มีวิธีอื่นเหมือนกัน”


วิชาดูดวิญญาณ ความหมายจากชื่อ ก็คือจับวิญญาณที่อยู่ภายในร่างคนดูดออกมา เมื่อไม่มีวิญญาณแล้ว ร่างก็ต้องสูญสลายไปตามธรรมชาติ หากไม่สามารถฝึกฝนวิชาแห่งเต๋า หลอมจิตสู่ความว่างเปล่าถอดจิตนอกร่างได้ล่ะก็จะต้องเสียชีวิตภายในเวลาไม่นาน


วิธีที่โก่วซินเจียเสนอขึ้นมานั้นเป็นการกระทำอันสิ้นคิด ในเมื่อฝ่ายตรงข้ามดูดวิญญาณไป เราก็จับวิญญาณมา เพียงแต่วิชาแห่งทุ่งหญ้าภาคกลางกับลัทธิบูชาผีนั้นมีความแตกต่างกันมาก เขาเองก็ไม่มั่นใจเท่าไหร่นัก


ทันใดนั้นเยี่ยเทียนคิดได้เรื่องหนึ่ง หัวเราะแห้งๆ ออกมา “ศิษย์พี่ หากจะใช้วิชาจับวิญญาณ ครอบ……ครอบครัวของฝ่ายหญิงคงจะไม่ยอมแน่!”


เมื่อครู่ตอนกินข้าวเยี่ยเทียนได้ยินเฉินเสียวจิ้งว่า พ่อแม่ของหูเสี่ยวเซียนเป็นอาจารย์ จึงไม่ค่อยถูกชะตากับเรื่องผีสางทางนั้นสักเท่าไหร่ ก่อนหน้านี้คุณปู่ของเสี่ยวเซียนอยากจะเชิญเจ้าเข้าทรงมา แต่กลับถูกพ่อแม่ของหูเสี่ยวเซียนห้ามเอาไว้


เวลาเยี่ยเทียนบริกรรมคาถา ถึงแม้จะไม่มีการเคาะฆ้องตีกลองร่ายรำอลังการอย่างนั้น แต่ก็ต้องเชื่อมต่อกับพลังชี่ดั้งเดิมของฟ้าดิน และเรียกขานชื่อของหูเสี่ยวเซียนจึงจะสำเร็จ


“นักพรต รื่อเยว่เต้าผู้นั้นที่พี่รู้จักเมื่อก่อนก็นามสกุลหู นายลองดูว่ามีความเกี่ยวพันกับตระกูลหูนี้หรือเปล่า ถ้าหากมล่ะก็ อาจสามารถคุยได้”


ทันใดนั้นโก่วซินเจียนึกขึ้นมาได้เรื่องหนึ่ง พูดต่อว่า “จริงสิ พี่ได้ยินว่าคนที่ถูกดูดวิญญาณดึงตัวไป ยังต้องใช้รากของหญ้าคืนวิญญาณเพื่อไปทำเป็นตัวยานำพา เมืองฉางไป๋ผลิตของพวกนั้น นายลองไปหาดูก่อนก็ได้!”


“หญ้าคืนวิญญาณ? ครับ ผมเข้าใจแล้ว ถ้ามีอะไรผมโทรหาศิษย์พี่อีกทีนะ?”


หลังจากวางสายแล้ว เยี่ยเทียนก็หัวเราะแห้งๆ ออกมา ดูท่าเมื่อก่อนตนเองจะเป็นกบในกะลาเสียจริงๆ ด้วย ไม่ว่าจะเป็นวิชาดูดวิญญาณที่โก่วซินเจียกล่าวถึง หรือว่าหญ้าคืนวิญญาณนั้น เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยสักอย่าง


แต่ยังดีที่เยี่ยเทียนได้ป้องกันชีพจรหัวใจของหูเสี่ยวเซียนเอาไว้แล้ว ภายในช่วงเวลานี้จะไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นกับเธอ เยี่ยเทียนจึงมีเวลาไปสืบหาเรื่องหญ้าคืนวิญญาณ


หนึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น พวกอวี๋ชิงหย่าที่ไปเดินถนนช็อปปิ้งเสื้อผ้าก็กลับมายังในโรงแรมเช่นเดียวกัน พักผ่อนสักครู่แล้วทั้งกลุ่มก็มายังห้องผู้ป่วยอีกครั้ง


นอกจากแม่ของหูเสี่ยวเซียนแล้วนางพยาบาลแล้ว เวลานี้ภายในห้องผู้ป่วยก็มีผู้เฒ่าวัยหกสิบกว่าอีกหนึ่งคน ผู้เฒ่าคนนั้นร่างสูงโปร่ง ใบหน้าน่าเกรงขาม ช่วงเอวแหละหลังตั้งตรงตระหง่าน ไม่เผยให้เห็นถึงความแก่ชราแม้แต่น้อย


“สุดยอด คนผู้นี้ฝึกวิชาสำนักอื่นจนถึงขั้นสูงสุดแล้วหรือไง?”


เยี่ยเทียนปราดสายตาไปยังร่างของผู้เฒ่าแล้ว ร่างอดสะท้านขึ้นมาไม่ได้ ผู้เฒ่าคนนี้เข้าถึงขอบเขตพลังงานแห่งความมืดทั้งจากภายนอกสู่ภายใน ลมปราณแข็งแกร่ง กระทั่งคนหนุ่มวัยยี่สิบกว่ายังเทียบเท่าเขาไม่ได้


“ฉันว่านะเสี่ยวเหลียน เชิญหมอผีมาทำพิธีแล้วจะเป็นอะไรไป? เมื่อก่อนฉันยังเชิญเทพเซียนจิ้งจอกมาดูอาการคนป่วยเลย พวกเธอคนหนุ่มสาวไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง เสี่ยวเซียนเป็นถึงขนาดนี้แล้ว ลองดูสักหน่อยจะกลัวอะไร?”


น้ำเสียงของผู้เฒ่าดังก้องกังวาน แม้ว่าขณะพูดจะจงใจกดเสียงให้ต่ำ แต่ก็ยังคงสั่นสะเทือนดัง “หึ่งๆ” ในหู


 …………..

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)