หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา 394-395
บทที่ 394 ลมพัด!
โดย
Ink Stone_Fantasy
ความคิดที่ว่าวันหนึ่งทุกคนไม่ว่าชายหรือหญิง จะต้องเรียกเขาว่า ‘ท่านปรมาจารย์’ หลังจากที่เขาหลอมอาวุธเวทได้สำเร็จ ทำให้หวังเป่าเล่อทั้งตื่นเต้นและยุ่งยากใจ
พวกเขาจะเรียกข้าว่าท่านปรมาจารย์หวัง ท่านปรมาจารย์เป่า หรือท่านปรมาจารย์เล่อกันนะ
ไม่ว่าจะมองจากมุมใด หวังเป่าเล่อก็ยังคิดว่าคำว่า ‘ท่าน’ นั้นดูไม่ค่อยเข้าทีนัก ชายหนุ่มตั้งใจว่าหลังจากที่หลอมอาวุธเวทได้สำเร็จ เขาจะบอกคนอื่นๆ เช่น หลิวต้าวปินและพรรคพวก ว่าให้เรียกเขาว่าปรมาจารย์หวังเฉยๆ คนอื่นจะได้เรียกเขาด้วยสมญานามที่ถูกต้อง
ปรมาจารย์หวัง! หวังเป่าเล่อพอใจกับชื่อนี้เป็นอันมาก เขานั่งฝันกลางวันอยู่สักพัก ก่อนจะรู้สึกมีกำลังวังชาขึ้นมา และเริ่มศึกษาการหลอมอาวุธเวทต่อทันที โดยการจินตนาการวิธีการหลอมในหัว
อาวุธเวทมีโครงสร้างเหมือนสมบัติเวท ทั้งคู่มีแก่นวิญญาณและอักขราจารึก แต่เมื่อดูให้ละเอียดแล้ว ก็มีหลายส่วนที่แตกต่างกันเช่นกัน อาวุธเวทมีอีกสองสิ่งที่สมบัติเวทไม่มี ซึ่งก็คือการหลอมรวมวิญญาณและทักษะการหลอมสวรรค์สร้าง!
หวังเป่าเล่อเรียนรู้จากการศึกษาที่สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ ว่าไม่ว่าจะเป็นวัตถุเวทหรือสมบัติเวท ล้วนอยู่ที่การควบคุมพลังปราณให้ไหลวนเข้าออกตามอักขระที่สลักไว้ เพื่อสร้างการระเบิดพลังที่แตกต่างกัน
สิ่งที่ทำให้อาวุธเวทแตกต่างไปก็คือ อาวุธเวทไม่ได้ใช้เพียงการหลอมรวมวิญญาณ แต่ยังใช้พลังของสวรรค์และพื้นพิภพด้วย!
พลังของสวรรค์และพื้นพิภพที่ว่านี้ฟังดูล้ำและจับต้องยากในเชิงทฤษฎี สำนักศึกษาเต๋ากล่าวไว้ว่า พลังนี้ทำให้สวรรค์และโลกมนุษย์รวมถึงทุกสิ่งทุกอย่างในธรรมชาติดูเหมือนมีชีวิตขึ้นมา แรงกระเพื่อมนี้สะสมและจุนเจือโลกทั้งใบ พลังที่ทั้งแยกและรวมทุกสิ่งเข้าด้วยกันนี้… มีนามว่า พลังของสวรรค์และพื้นพิภพ!
พลังที่ว่านี้ก็คือพลังแม่เหล็ก สวรรค์มีเจตจำนงเป็นของตนเอง เพราะฉะนั้นจึงสร้างพลังแม่เหล็กของจักรวาลขึ้นมา ผืนดินเองก็เช่นกัน รวมถึงภูเขา สายธาร แม้กระทั่งโคลนตม หินผา สายฟ้า สายลม และเม็ดฝนก็ด้วย… หวังเป่าเล่อนวดกลางหน้าผากตนเอง ขณะคิดทวนบทเรียนที่เรียนมาจากสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์
วัตถุเวทและสมบัติเวทควบคุมพลังปราณ ส่วนอาวุธเวทควบคุมทั้งพลังปราณและพลังของสวรรค์และพื้นพิภพ ดังนั้นการปลุกพลังอำนาจของอาวุธเวทจึงเป็นการส่งคลื่นกระแทกไปทั่วทุกสารทิศ แม้จะไม่ถึงขั้นทำให้โลกสั่นสะเทือน แต่ก็ยิ่งใหญ่พอตัวเลยทีเดียว
การควบคุมพลังของสวรรค์และพื้นพิภพ ทำได้โดยการรวมหนึ่งในสองส่วนประกอบที่ทำให้อาวุธเวทและสมบัติเวทแตกต่างกัน ซึ่งก็คือ… ทักษะการหลอมสวรรค์สร้าง!
ทักษะการหลอมสวรรค์สร้างนี้ คือการรวมพลังเร้นลับที่ปล่อยคลื่นแม่เหล็กออกจากทุกสรรพสิ่งในสวรรค์และพื้นพิภพเข้าไปในอาวุธเวท ซึ่งจะเปลี่ยนอาวุธเวทให้กลายเป็นตัวกลางที่เชื่อมพลังของทั้งจักรวาลและโลกมนุษย์เข้าด้วยกัน!
หากทำเช่นนี้ได้จะถือว่ากระบวนการหลอมอาวุธเวทขั้นต้นสำเร็จเสร็จสิ้น สมบัติเวทที่เชื่อมต่อพลังแห่งสวรรค์และพื้นพิภพได้นั้น จะเรียกว่าอาวุธเวทครึ่งใบ และมีพลังที่แข็งแกร่งกว่าสมบัติเวทหลายเท่านัก แม้จะยังด้อยกว่าอาวุธเวทสมบูรณ์แบบอย่างมากก็ตาม
มาถึงจุดนี้ก็จะเริ่มกระบวนการหลอมขั้นที่สอง… ซึ่งคือการหลอมรวมวิญญาณ!
การหลอมรวมวิญญาณนั้นตรงตามชื่อเรียก มันคือการนำวิญญาณมารวมเข้ากับอาวุธเวทที่ต้องการหลอม!
ขั้นตอนนี้ไม่ต้องใช้วิญญาณวุธที่มีปัญญาวิญญาณ เพียงแต่หากวิญญาณวุธนั้นตรงตามข้อกำหนด เมื่อหลอมรวมแล้วก็จะได้เป็นโครงสร้างของสมบัติเวทที่มีพลังของสวรรค์และพื้นพิภพ และวิญญาณวุธจะช่วยสร้างพลังอันเหลือล้นให้อาวุธเวท
ยกตัวอย่างเช่น พายุมืดในกระบี่อาวุธเวทของหวังเป่าเล่อปรากฏขึ้นทุกครั้งที่เขาใช้อาวุธเวทต่อสู้ เนื่องจากอาวุธเวทชิ้นนี้หลอมรวมเข้ากับพลังแห่งสวรรค์และพื้นพิภพที่มาจากลมพายุ ส่วนจระเข้ภายในพายุมืดก็คือวิญญาณวุธนั่นเอง!
ทักษะการหลอมสวรรค์สร้างและการหลอมรวมวิญญาณ… สองขั้นตอนนี้ท้าทายความสามารถนัก หวังเป่าเล่อทบทวนความรู้ที่ตนเองได้ร่ำเรียนไป ท่ามกลลางความเงียบ เขาเริ่มนึกถึงสองขั้นตอนหลอมที่ทำให้อาวุธเวทแตกต่างจากอาวุธอื่นๆ สำหรับขั้นทักษะการหลอมสวรรค์สร้างนั้น เขาต้องพยายามทดลองดูว่าจะเป็นอย่างไร ส่วนการหลอมรวมวิญญาณนั้นน่าจะเป็นขั้นตอนที่ง่ายที่สุดในสองขั้นตอน
ข้าต้องจับวิญญาณวุธของอสูรร้ายมาให้ได้ ส่วนจะเป็นชนิดไหนนั้น ก็ควรจะเป็นชนิดที่ทำให้อาวุธเวทของข้าแข็งแกร่งขึ้น ดังนั้นในเมื่อข้าต้องการหลอมโทรโข่งอาวุธเวท ข้าก็ควรหาอสูรที่คำรามเสียงดังสนั่น… หวังเป่าเล่อคิดได้ดังนั้น ก็อดนึกถึงลาของตนเองขึ้นมาไม่ได้ ดวงตาของเขาสว่างวาบขึ้นมา แต่ไม่นานนักชายหนุ่มก็ถอนหายใจ เขารู้สึกว่าการฆ่าเจ้าลาที่ไม่ได้ทำอะไรผิดนั้นค่อนข้างไร้มนุษยธรรม
แต่ชายหนุ่มก็ยังรู้สึกว่าวิญญาณของเจ้าลาในฐานะวิญญาณวุธ จะทำให้โทรโข่งอาวุธเวทของเขาทรงอานุภาพและแข็งแกร่งเป็นที่สุด
หวังเป่าเล่อคิดอยู่อีกชั่วครู่ แล้วก็ผลักความคิดที่จะใช้เจ้าลาเป็นวิญญาณวุธทิ้งไป เขาเริ่มศึกษาทักษะการหลอมสวรรค์สร้าง ไม่นานนักเวลาก็เดินหน้าผ่านไปอีกเจ็ดวัน
ในเจ็ดวันนั้น แม้หวังเป่าเล่อไม่ได้ตั้งหน้าตั้งหาหาข้อมูลจนลืมกินลืมนอน แต่เขาก็ยังใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการศึกษาอาวุธเวท ชายหนุ่มใช้เวลาเล็กน้อยไปกับการรับรายงานจากหลิวต้าวปินและพรรคพวก ทำให้เขารู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นเหมือนเป็นหลังมือของตนเอง
ยกตัวอย่างเช่น เฉินมู่และพวกพยายามเป็นอย่างมากกับการสร้างอาณาเขตของตัวเองในเจ็ดวันที่ผ่านมา แต่เมื่อเทียบกับเวินไหวและฟางจิ้งที่ก้มหน้าก้มตาทำงานของตนเองไปนั้น เฉินมู่จัดงานเลี้ยงต้อนรับเล็กๆ ในเขตของตนเองไปเมื่อสามวันก่อน เขาเชิญผู้คนมากมาย รวมถึงหลี่หว่านเอ๋อร์ด้วย นางปรากฏตัวที่งานและปฏิบัติต่อเฉินมู่ด้วยไมตรีจิตเป็นอย่างมาก
อีกตัวอย่างหนึ่งคือการที่วัสดุอุปกรณ์ในเขตของเฉินมู่และพรรคพวกหายไปอย่างปริศนา เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง และทั้งก่อนและหลังเหตุการณ์ของหายทุกครั้งจะมีเจ้าลาอยู่ในที่เกิดเหตุด้วย ปัญหานี้จบลงได้เมื่อผู้ฝึกตนระดับกำเนิดแก่นในหลายคนจากทั้งสามกลุ่มอำนาจเริ่มเฝ้ายามทรัพยากรของตน แต่เมื่อรวมความเสียหายจากหลายเหตุการณ์เข้าด้วยกันแล้วก็ถือว่ามากโขเลยทีเดียว
หวังเป่าเล่อคิดถึงเรื่องนี้และอดพอใจความสามารถของเจ้าลาไม่ได้ นอกจากนี้เขาเองยังได้รับข้อความจากหลี่หว่านเอ๋อร์อีกด้วย น้ำเสียงของนางเป็นทางการขณะขอควบคุมตัวเจ้าลา
แน่นอนว่าหวังเป่าเล่อปฏิเสธคำขอนี้ หลี่หว่านเอ๋อร์ไม่ได้พูดอะไรอีกเมื่อได้ยินดังนั้น นางเพียงแต่เอ่ยว่าหากมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีก นางจะแจ้งให้เจ้านครดาวอังคารทราบ นั่นเพราะการก่อสร้างนครใหม่ต้องมาก่อนทุกสิ่งเสมอ ใครหรืออะไรก็ตามที่ทำให้การก่อสร้างต้องหยุดชะงักสมควรที่จะได้รับโทษ
นางข่มขู่ข้าเช่นนั้นหรือ หวังเป่าเล่อไม่พอใจ แววตาของเขาเย็นเยียบลงกว่าเดิม ชายหนุ่มรู้สึกว่าหลี่หว่านเอ๋อร์ได้เปลี่ยนใจไปเสียแล้ว นางเพียงหมั้นหมายเท่านั้น แต่กลับใช้อำนาจของตนเองเข้าข้างเฉินมู่
นางพยายามเตือนข้าไม่ให้แอบเล่นงานเฉินมู่หรือ… หวังเป่าเล่อหรี่ตา ช่วงเวลาหลายปีที่เขาใช้ไปกับการศึกษาอัตชีวประวัติเจ้าพนักงานระดับสูงนั้น ทำให้เขาเข้าใจความหมายที่แท้จริงของการกระทำของหลี่หว่านเอ๋อร์
เมื่อเข้าใจดังนั้น หวังเป่าเล่อก็แสดงความเย็นชาออกทางแววตา แต่เขาก็ไม่ได้ทำอะไรไปมากกว่านั้น ชายหนุ่มรู้ดีว่านี่ไม่ใช่เวลาเหมาะควรที่จะเข้าไปยุ่มย่ามกับเฉินมู่ อย่างไรเสียการก่อสร้างนครก็ยังไม่เสร็จสิ้น…
อีกครึ่งเดือนเดินหน้าผ่านไป หวังเป่าเล่อยังคงตั้งหน้าตั้งตาศึกษาการหลอมอาวุธเวท โดยเฉพาะทักษะการหลอมสวรรค์สร้างที่เดินหน้าไปไกล ชายหนุ่มคิดว่าจะลองทำดู แต่พื้นดินก็กลับสั่นสะเทือนเสียก่อนในคืนนั้น เสียงระเบิดดังกึกก้องไปทั่ว และสุสานอาวุธเทพใต้ดินก็เปิดออกอีกครั้ง
ผู้ฝึกตนมากมายเริ่มปฏิบัติหน้าที่ทันทีที่เสียงระเบิดดังขึ้น ด้วยความที่เรียนรู้มาก่อนหน้าแล้วจากกรณีของหลี่อี้ โดยเฉพาะกงเต๋า จินตั้วหมิง และพรรคพวก
หลี่หว่านเอ๋อร์เองก็เดินหน้าปฏิบัติการเช่นกัน แม้นางจะไม่มีประสบการณ์มาก่อนแต่ก็มีหน้าที่ค้ำคออยู่ นางศึกษาเรื่องนครใหม่นี้และสุสานใต้ดินมาสักพัก จึงรู้ว่าเสียงระเบิดนี้เกี่ยวกับสุสานใต้ดินแน่นอน
หวังเป่าเล่อรีบออกจากการถือสันโดษทันทีที่ได้ยินเสียงระเบิด ชายหนุ่มรีบเปิดใช้งานวงแหวนปราณ และใช้อำนาจของตนเองในการตรวจตราทุกเขต
ทุกที่ในนคร รวมถึงส่วนที่ยังไม่มีการก่อสร้าง และปากทางเข้าสุสานของหลี่อี้ หรือแม้กระทั่งทางเข้าสุสานหลักล้วนดูปกติดี ทว่าในพื้นที่รกร้างไม่ไกลจากนคร มีทางเข้าสุสานใหม่ปรากฏขึ้น
สุสานใหม่นี้ปรากฏขึ้นหลังทางเข้าสุสานของหลี่อี้ไม่นาน ซึ่งแปลว่าแรงอัดภายใต้สุสานอาวุธเทพใต้ดินกลับมาเคลื่อนไหวอีกครั้ง แม้ว่ามันจะตรงกับการคาดการณ์ของเจ้านครดาวอังคารก่อนหน้านี้ แต่หวังเป่าเล่อก็ยังรู้สึกกดดันกับปรากฏการณ์นี้อยู่
ชายหนุ่มรู้ดีว่าเมื่อสุสานใต้ดินใหม่ปรากฏขึ้น เขาจะต้องรีบผนึกมันให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ แม้สุสานใหม่นี้จะเกิดขึ้นนอกนคร จึงทำให้ผนึกยากกว่าสุสานที่เกิดขึ้นในนคร เนื่องจากจุดประสงค์ของการสร้างนครใหม่คือการทำให้ผู้ฝึกตนมาอาศัยอยู่ในเขตแดนของสุสานอาวุธเทพใต้ดินมากขึ้นนั้นเอง ดังนั้นหวังเป่าเล่อจึงออกคำสั่งให้ผู้ฝึกตนจากลำดับชั้นต่างๆ รวมถึงผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในจากทั้งหกเขต เดินทางไปที่ปากทางเข้าสุสานใต้ดินใหม่ทันที เพื่อผนึกมันให้ได้อย่างพร้อมเพรียงกัน
การรวมตัวของกลุ่มอำนาจมากมายในนครใหม่แห่งนี้ ทำให้จำนวนผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก หวังเป่าเล่อส่งคำสั่งของตนไปทั่วนคร จินตั้วหมิง กงเต๋า รวมถึงคนอื่นๆ เช่นหลี่หว่านเอ๋อร์ ก็ทำหน้าที่ส่งคำสั่งต่อไปเป็นทอดๆ ไม่นานนักผู้ฝึกตนมากมายก็เดินทางออกจากนคร มุ่งหน้าไปสู่ปากทางเข้าใหม่ของสุสานใต้ดินด้วยความเร็วสูง
ผู้คนที่เดินทางไปถึงต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอกทันทีที่เห็นสุสานเกิดใหม่ ขนาดของปากทางเข้าสุสานนี้เล็กกว่ากรณีของหลี่อี้อย่างเห็นได้ชัด แม้จะมีอสูรร้ายและซากศพจำนวนมากหลั่งไหลออกจากปากทางเข้าพร้อมเสียงคำรามก้อง แต่ก็ไม่ได้มากจนจัดการยาก ทว่าทันทีที่มาถึง หวังเป่าเล่อก็มองไปรอบๆ พร้อมขมวดขึงคิ้ว ไม่นานนักสีหน้าของเขาก็พลันบึ้งตึง
กงเต๋า จินตั้วหมิง หลินเทียนหาว รวมถึงคนอื่นๆ จากสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าล้วนมารวมตัวกันอยู่ที่นี่… แต่มีผู้ฝึกตนเพียงหยิบมือเดียวจากเขตของเฉินมู่ เวินไหว และฟางจิ้งที่เดินทางมายังปากทางเข้าสุสานใหม่ ส่วนผู้ฝึกตนระดับกำเนิดแก่นใน รวมถึงนายกเทศมนตรีใหม่จากทั้งสามเขตกลับไม่มาปรากฏกาย!
บทที่ 395 เลือกความอัปยศแทนศักดิ์ศรี!
โดย
Ink Stone_Fantasy
ไม่เกรงกลัวสิ่งใดเพราะมีอำนาจหนุนหลังอยู่เช่นนั้นหรือ หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง หากเฉินมู่และพรรคพวกไม่ได้ส่งคนมาช่วยเหลือเลยแม้แต่คนเดียว เขาคงหาเหตุเอาเรื่องและสอบสวนได้ แต่ทั้งสามกลับส่งคนมาบ้าง แม้ผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในและตัวพวกเขาเองไม่ได้ปรากฏกายเลยก็ตาม แต่ก็ทำให้หวังเป่าเล่อเอาเรื่องได้ยาก แม้จะเห็นได้ชัดว่าจงใจทำเช่นนี้ก็ตามที เพราะอย่างไรเสีย แต่ยังถือว่าทำตามคำสั่งที่ได้รับ
น่าสนใจดี! แววเย็นเยียบวาบขึ้นในดวงตาของหวังเป่าเล่อ เขาตั้งใจว่าจะพยายามหาข้อผิดพลาดเพื่อเอาเรื่องเฉินมู่และพรรคพวกหลังจากที่ทั้งสามสร้างนครในส่วนตนเสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่บัดนี้ชายหนุ่มไม่อาจทนรอได้อีกต่อไป
ข้าจะให้โอกาสพวกเจ้าอีกครั้งหนึ่ง หากยังทำตัวเช่นนี้อยู่ก็อย่ามาโทษข้าว่าเกรี้ยวกราด เจ้าคิดว่าข้าไม่มีน้ำยาทำอะไรได้เพราะเขตของพวกเจ้าเป็นเขตปกครองตนเองเช่นนั้นหรือ หวังเป่าเล่อพ่นลมเยาะเย้ย ชายหนุ่มรีบส่งคำสั่งเรียกตัวเฉินมู่และพรรคพวกรวมถึงผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในของพวกเขาให้มาช่วยสะกดสุสานใต้ดิน
หลังจากที่ส่งคำสั่งออกไปเรียบร้อย หวังเป่าเล่อก็ไม่มีเวลามาสนใจอีก เขารีบเดินหน้าปฏิบัติการทันที ด้วยความช่วยเหลือของจินตั้วหมิงและพรรคพวก ชายหนุ่มจึงสามารถสกัดกั้นอสูรร้ายที่เริ่มกระจายตัว และตีวงล้อมพวกมันให้หนีไปไหนไม่ได้
ตอนนั้นเองเสียงคำรามของอสูรร้ายก็ดังก้องไปทั่วบริเวณ จินตั้วหมิง กงเต๋า และคนอื่นๆ ที่เคยอยู่ในเหตุการณ์สุสานใต้ดินที่เกี่ยวข้องกับหลี่อี้ก่อนหน้านี้ รู้หน้าที่ดีว่าหลังจากที่ตีวงล้อมพวกมันให้กลับเข้าไปในสุสานเรียบร้อย พวกเขาต้องผนึกปากทางเข้าทันที ด้วยเหตุนี้ทุกคนจึงใช้พละกำลังทั้งหมดไปกับการพยายามสกัดอสูรเอาไว้ แต่ก็ยังเห็นว่าเฉินมู่และพรรคพวกไม่ออกมาช่วยเหลือ อีกทั้งได้ยินหวังเป่าเล่อส่งคำสั่งเรียกตัวคนทั้งสามอีกรอบ ทุกคนหันมามองหน้ากัน และหันไปมองหลินเทียนหาวที่อยู่ไกลๆ เป็นครั้งคราว แต่ละคนล้วนมีประกายในแววตา
“ข้าสงสัยว่าหวังเป่าเล่อจะจัดการเฉินมู่และพรรคพวกอย่างไรในคราวนี้… จะว่าไปแล้วก็ดูเป็นการยากพอสมควร เฉินมู่ไม่ได้โง่ขนาดไม่ส่งคนมาเลย…”
“ที่สำคัญคือ พวกเขาเป็นเขตปกครองตนเอง แม้หวังเป่าเล่อจะเป็นเจ้าเมือง แต่ก็ไม่มีอำนาจไปสั่งการ…”
“หน้าที่ของทั้งสามคนนั้นในฐานะนายกเทศมนตรีของเขตปกครองตนเองก็ระบุไว้ชัดเจนว่ามีอะไรบ้าง ทั้งสามขึ้นตรงต่อท่านเจ้านครดาวอังคารและสหพันธรัฐ และไม่ถือว่าเกี่ยวข้องกับนครใหม่เลยแม้แต่น้อย” ขณะที่ทั้งสามเดินหน้าสกัดกั้นอสูรร้ายให้อยู่ในสุสาน พวกเขาก็ส่งข้อความเพื่อคุยกันเองไปด้วย หลินเทียนหาวมีท่าทีไม่พอใจในตัวเฉินมู่และพรรคพวกอย่างชัดเจน เมื่อเทียบกับจินตั้วหมิงและกงเต๋า
ทว่ากฎของเขตปกครองตนเองก็เป็นเสมือนเกราะป้องกันที่ทำให้ใครทำอะไรไม่ได้ หลินเทียนหาวจึงทำได้เพียงถอนใจ และคิดคนเดียวเงียบๆ ว่าหวังเป่าเล่อจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร ความจริงแล้วไม่ใช่แค่ทั้งสามที่คิดเรื่องนี้ แต่ผู้ฝึกตนที่อยู่รายรอบก็ไม่ใช่คนโง่ พวกเขาเข้าใจดีว่าสถานการณ์นี้ผิดปกติ และกำลังจับจ้องว่าเรื่องนี้จะจบลงอย่างไรเช่นกัน
วิธีการที่หวังเป่าเล่อเลือกจัดการเรื่องในครั้งนี้ จะทำให้พวกเขาทั้งหมดรู้ว่าควรปฏิบัติตัวต่อเฉินมู่และอีกสองคนที่เหลืออย่างไร ความเคารพนับถือในตัวของหวังเป่าเล่อจะอยู่หรือจะไปขึ้นอยู่กับเหตุการณ์นี้
หากเขาจัดการเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี ความเคารพในตัวเขาก็จะแข็งแกร่งขึ้น แต่หากเขาตัดสินใจพลาดตั้งแต่ครั้งแรกที่คิดปะทะ ความน่าเชื่อถือในตัวเขาก็จะลดลงไปมากเช่นกัน
หลี่หว่านเอ๋อร์กำลังมุ่นคิ้ว นี่คือสถานการณ์ที่นางไม่ต้องการให้เกิดขึ้นมากที่สุด ตามแผนการของนางแล้ว ไม่มีประโยชน์เลยที่เฉินมู่และพรรคพวกจะท้าทายอำนาจของหวังเป่าเล่ออย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ นางพยายามพูดชักจูงแล้ว แต่ก็ไม่เป็นผล
แม้ฉากหน้าของการพยายามผนึกสุสานใต้ดินใหม่จะดูอึกทึกครึกโครม ทุกคนต่อสู้กับอสูรหลั่งไหลด้วยพลังทั้งหมดที่ตนเอง และการผนึกปากทางเข้าสุสานก็เป็นไปด้วยดีด้วยความช่วยเหลือของผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นใน แต่ความจริงแล้วทุกคนกำลังพุ่งความสนใจไปที่หวังเป่าเล่อ เพราะอยากรู้ว่าเรื่องนี้จะจบลงอย่างไร
หวังเป่าเล่อที่คุ้นเคยกับอัตชีวประวัติของเจ้าพนักงานระดับสูงเป็นอย่างดี เข้าใจความเป็นไปทั้งหมดราวกับเป็นหลังมือของตนเอง และให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นอันมาก เขาดูสงบตั้งแต่ต้นจนจบ นอกจากการส่งคำสั่งไปสำทับเป็นครั้งที่สอง เขาก็ไม่ได้ทำอะไรอีก และพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่การพยายามผนึกสุสานใต้ดินเท่านั้น
แม้สุสานที่เกิดใหม่นี้จะไม่ใหญ่ แต่จำนวนอสูรที่ปรากฏกายก็ยังถือว่าล้นหลาม อสูรทั้งหมดถูกจำกัดไว้ในพื้นที่เล็กๆ ก่อนถูกสังหารด้วยน้ำมือของผู้ฝึกตนและวัตถุเวทมากมาย จำนวนอสูรที่หลั่งไหลออกจากปากทางเข้าลดจำนวนลง และการผนึกสุสานใหม่ก็ใกล้จะเสร็จสมบูรณ์แล้ว
ทว่าตอนนั้นเอง เสียงกรีดร้องดังสนั่นจนแทบหูดับก็ลอดออกมาจากปากทางเข้า หมอกหนาระเบิดจากภายในสุสาน ทำลายผนึกจนหายไปกว่าครึ่งก่อนลอยขึ้นไปในอากาศ หมอกนั้นเปลี่ยนรูปร่างกลายเป็นงูเหลือมยักษ์ที่กรีดร้องเสียงแหลมขณะปรากฏกาย
ทันทีที่หมอกทะมึนกลายร่างเป็นงูยักษ์ หมอกทะมึนอีกจำนวนมากก็พวยพุ่งออกมาจากปากทางเข้าสุสาน มันลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าเหมือนน้ำทะเลไหลหลาก กระจายไปทั่วบริเวณอย่างบ้าคลั่ง งูเหลือมตัวเล็กจำนวนมากอัดแน่นอยู่ในหมอกนั้น ทุกตัวต่างกรีดร้องออกมาขณะเคลื่อนที่ไปข้างหน้า
ประกายเย็นเยือกวาบขึ้นในตาของหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มไม่มีเวลาคิดเรื่องเฉินมู่และพรรคพวกอีกต่อไป เขามีหน้าที่ให้ต้องทำ และรีบรุดออกไปจัดการทันที พลังปราณระดับรากฐานตั้งมั่นขั้นปลายของเขาระเบิดออกมาพร้อมกระบี่อาวุธเวทที่อยู่ในมือ ชายหนุ่มพุ่งเข้าไปจัดการงูเหลือมยักษ์ที่กำลังคำรามก้องอยู่กลางอากาศ!
ทันทีที่หวังเป่าเล่อพุ่งเข้าจัดการ องครักษ์เต๋าขั้นกำเนิดแก่นในสี่คนจากสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าที่ถูกส่งมาคุ้มกันหวังเป่าเล่อก็พลันมีสีหน้าจริงจัง ทุกคนเข้าล้อมตัวของหวังเป่าเล่อเอาไว้ หน้าที่คุ้มครองหวังเป่าเล่อเป็นภารกิจที่สำคัญที่สุด ส่วนการผนึกสุสานเป็นเรื่องรอง ดังนั้นทั้งสี่จึงพุ่งเข้าคุ้มกันหวังเป่าเล่อ ก่อนจะพุ่งออกไปต่อกรกับงูยักษ์
องครักษ์เต๋าขั้นกำเนิดแก่นในที่อยู่ข้างกายจินตั้วหมิงและกงเต๋าก็ปฏิบัติเช่นเดียวกัน หน้าที่หลักของพวกเขาคือการปกป้องคนของตนเองจากรับอันตราย และตอนนี้ที่นี่มีผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในอยู่มากกว่าสิบคน ดังนั้นเมื่อทุกคนทำหน้าที่พร้อมกัน ผลลัพธ์ที่ออกมาจึงน่าตกใจมาก แรงระเบิดดังก้องไปทั่วบริเวณ แสงสว่างจากพลังเวทของพวกเขากระจายออกเป็นสีต่างๆ งูเหลือมยักษ์ต้านทานแรงนั้นเอาไว้ไม่ไหว ไม่นานนักมันก็ระเบิดและตายลง
ลำแสงจากกระบี่ของหวังเป่าเล่อไม่ได้ส่งผลรุนแรงที่สุด แต่ก็เป็นจุดเริ่มต้นการโจมตีที่ทำให้ทุกคนปฏิบัติตาม
หลังจากนั้นไม่นาน ทุกคนก็ร่วมมือร่วมใจกันผนึกสุสานใต้ดินใหม่ที่มีขนาดไม่ใหญ่ไว้ได้โดยสมบูรณ์ เมื่อหมอกทะมึนที่พวยพุ่งออกจากปากทางเข้าสลายหายไปและปากทางเข้าสุสานถูกผนึกเรียบร้อย หวังเป่าเล่อก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ชายหนุ่มยืนอยู่หน้าปากทางเข้าสุสาน มองสุสานที่ยังคงเรืองแสงอยู่ ก่อนส่งคำสั่งออกไปเพิ่มเติมด้วยความใจเย็น รวมถึงคำสั่งให้สร้างฐานที่มั่นที่ปากทางเข้านี้ เพื่อให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของนครใหม่ จะได้เป็นการผนึกสุสานใหม่แห่งนี้ต่อไป
บัดนี้มีกฎใหม่ในนครดาวอังคารที่เอาไว้จัดการสุสานอาวุธเทพใต้ดินเกิดใหม่ หลักการคือวงแหวนปราณของนครที่สองบนดาวอังคารนี้มีหน้าที่ทำลายกำแพงอาวุธเทพ และสร้างรากฐานการกำจัดอสูรหลั่งไหล หากมีสุสานใต้ดินแห่งใหม่เกิดขึ้น มันจะถูกผนึกและต้องสร้างฐานที่มั่นขึ้นที่นั่น
แม้วิธีนี้จะดูเหมือนวัวหายล้อมคอก แต่หากทำเช่นนี้ต่อไปจนกว่ากำแพงจะทลายลงอย่างสมบูรณ์ ก็จะช่วยกำจัดปัญหาเรื่องสุสานอาวุธเทพใต้ดินไปได้
หลังจากที่หวังเป่าเล่อจัดการเรื่องสุสานใหม่เรียบร้อย ชายหนุ่มก็หันหน้าไปมองทางนครใหม่ ความเย็นชาในดวงตาของเขารุนแรงขึ้น ตั้งแต่ที่ชายหนุ่มเดินทางมาถึงจุดที่มีปากทางเข้าใหม่ จนถึงขั้นผนึกมันได้สำเร็จเวลาก็ล่วงเลยมาได้สองชั่วโมงแล้ว ทว่าเฉินมู่และพรรคพวกก็ไม่ได้ปรากฏกายแต่อย่างใด เป็นอันชัดเจนว่าทั้งสามเพิกเฉยต่อคำสั่งครั้งที่สองของเขา
“เลือกความอัปยศแทนศักดิ์ศรีเช่นนั้นหรือ” หวังเป่าเล่อพูดเบาๆ จินตั้วหมิงและกงเต๋ามองหน้ากันโดยไม่ได้พูดอะไร พวกเขารู้สึกได้ถึงไอเย็นเยือกที่แผ่ออกจากร่างของหวังเป่าเล่อ ซึ่งรุนแรงเสียจนสะกดเอาไว้ไม่ได้อีกต่อไป
คนอื่นๆ ที่ล้อมรอบอยู่ก็สัมผัสได้เช่นกัน ทุกคนคงความเงียบเอาไว้ ซึ่งยิ่งทำให้ภายนอกสุสานใต้ดินไร้สรรพเสียงเข้าไปอีก
หลี่หว่านเอ๋อร์ต้องการพูดอะไรบางอย่างเพื่อทำลายความเงียบนี้ แต่ก็หยุดตนเองเอาไว้ หลินเทียนหาวเองก็เช่นกัน จากความคิดของเขา การที่เขตของเฉินมู่และอีกสองคนที่เหลือเป็นเขตปกครองตนเองก็ถือว่าแก้ปัญหาได้ทั้งหมดแล้ว ชายหนุ่มจึงอยากก้าวออกมาเพื่อหยุดหวังเป่าเล่อ เนื่องจากการพยายามหาข้อผิดของทั้งสามในตอนนี้อาจไม่เกิดผลดีตามมา หากเหตุการณ์ดำเนินไปในรูปนั้นแล้วละก็ ความน่าเชื่อถือของหวังเป่าเล่อในนครใหม่แห่งนี้จะได้รับผลกระทบแน่นอน
แต่ก่อนที่เขาจะได้เอ่ยอะไร หวังเป่าเล่อก็ชิงพูดออกมาก่อนด้วยเสียงดังก้องไปทั่วบริเวณ
“ทุกคนโปรดตามข้าไปที่เขตปกครองตนเองทั้งสามเขต เพื่อดูว่ามีสุสานใต้ดินใหม่ปรากฏขึ้นเช่นกันหรือไม่” หวังเป่าเล่อพูดและเริ่มออกเดินทางไปยังนครใหม่ หลินเทียนหาวลังเลอยู่ชั่วครู่แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เขาหายใจเข้าลึกและเดินตามไปข้างหลัง ผู้ฝึกตนจากสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าที่อยู่ฝั่งเดียวกับหวังเป่าเล่อก็ต่างเดินตามไปแต่โดยดี
จินตั้วหมิงและกงเต๋ามองหน้ากันก่อนตามไปเช่นกัน รวมถึงคนอื่นๆ ที่เหลือด้วย ทุกคนอยากรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อหวังเป่าเล่อต้องเผชิญหน้ากับสามคนนั้น
“ท่านเจ้าเมืองหวัง ท่านไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ก็ได้ ข้าจัดการได้ ท่าน…” หลี่หว่านเอ๋อร์พูดขึ้นเมื่อเห็นว่าสถานการณ์กำลังเดินหน้าไปทางใด แต่ก่อนที่นางจะพูดจบ หวังเป่าเล่อก็ขัดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด
“หุบปากเสีย! หลี่หว่านเอ่อร์ เจ้าช่วยดูตนเองด้วย เจ้าเป็นเพียงรองเจ้าเมืองเท่านั้น!”
คำพูดนั้นดังแหวกอากาศมาพร้อมรังสีเย็นเยียบจากหวังเป่าเล่อที่ทวีความรุนแรงขึ้น หวังเป่าเล่อไม่ได้ปลดปล่อยพลังของตนเองออกเต็มที่หรือถอยหลังกลับ แม้หลี่หว่านเอ๋อร์จะมีปราณอยู่ในขั้นรากฐานตั้งมั่นชั้นสมบูรณ์ก็ตาม ชายหนุ่มหยิบเรือบินของตนเองออกมาและมุ่งหน้าไปทางนครใหม่ทันที จุดหมายปลายทางของเขาคือ เขตของเฉินมู่!
หลี่หว่านเอ่อร์หายใจเข้าด้วยความตกใจหลังจากโดนปราม นางตามไปอย่างเงียบๆ ในที่สุด
หลังจากที่คณะเดินทางออกไปเรียบร้อย ยังมีผู้ฝึกตนบางคนที่ยืนเฝ้าทางเข้าสุสานใหม่อยู่ และเดินหน้าจัดการศพของเหล่าอสูรต่อไป ทว่าไม่มีใครสังเกตเห็นก้อนเนื้อก้อนหนึ่งของอสูรร้ายที่สลายรวมเป็นหนึ่งเดียวกับพื้นดิน ก่อนจะหายวับไปจากสายตา
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น