กระบี่จงมา 393.2-394.2
บทที่ 393.2 ลมมรสุมมาเยือนหอเรือนที่เ...
สือโหรวพูดอย่างตรงไปตรงมา
จ้าวหยาที่ได้ฟังถึงกับหน้าซีดขาว
ตอนแรกหลิ่วชิงชิงบังเกิดความหวาดกลัว แต่ก็ยังไม่ยอมจำนนง่ายๆ เพียงไม่นานนางก็หาเหตุผลที่เหมาะสมให้กับตัวเองได้ คิดแค่ว่าสตรีผู้นี้มีวิสัยทัศน์คับแคบ มองความมหัศจรรย์ในส่วนที่ลึกซึ้งกว่านั้นของยาสงบใจไม่ออก
เฉินผิงอันสีหน้ามืดทะมึน
วิชาของตระกูลเซียนประเภทนี้
ไม่เหมือนการเผาเครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตของถ้ำสวรรค์หลีจูหรอกหรือ?
หากจะบอกว่าก่อนหน้านี้เฉินผิงอันเปลี่ยนเส้นทางไม่ไปเมืองหลวง แต่เลือกจะมาเหยียบน้ำขุ่นบ่อนี้ของสวนสิงโต ก็เพื่อประโยค ‘ที่ใดมีปีศาจและมารออกอาละวาด ย่อมต้องมีกระบี่ไม้ท้อของเทียนซือ’ ของบัณฑิตที่คนส่งธูปศาลพ่อปู่ลำคลองพูดถึง นั่นเป็นเพราะเฉินผิงอันนึกถึงเพื่อนรักอย่างจางซานเฟิงที่เป็นเทียนซือต่างแซ่ของภูเขามังกรพยัคฆ์ หากจางซานเฟิงไม่ได้ติดตามอาจารย์ไปที่ภูเขามังกรพยัคฆ์แล้วได้ยินว่ามีเรื่องนี้ก็ต้องมาที่นี่แน่นอน
ถ้าอย่างนั้นตอนนี้เฉินผิงอันก็ไม่เชื่อแล้วจริงๆ หายนะที่ไม่แน่ว่าแม้แต่สถานะจิ้งจอกก็อาจเป็นเรื่องโกหก หากสามารถก่อกรรมทำเข็ญ ไม่เพียงแต่โยกย้ายโชคชะตาแห่งภูเขาแม่น้ำและชะตาบุ๋นของสกุลหลิ่วไปได้ ยังคิดจะเอาชีวิตของคนอื่น จิตใจชั่วช้าสามานย์ วิธีการอำมหิตโหดเหี้ยม เรียกได้ว่าตายครั้งเดียวก็ยังไม่พอ
เฉินผิงอันเดินไปตรงหน้าประตู บอกให้เผยเฉียนเดินเข้ามาในห้องก่อน จากนั้นค่อยบอกให้จูเหลี่ยนไปขอทองก้อนของราชสำนักจากสวนสิงโตเอามาบดเป็นผงทันที เพื่อจะนำมาทำเป็นสีทองที่มากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี
เขาจะวาดยันต์สยบความชั่วร้ายคว้าชัยชนะ!
……
หญิงชราที่เป็นเทพแห่งผืนดินในแถบพื้นที่ของสวนสิงโตไม่ได้ขึ้นหอเรือนไปด้วย เหตุผลก็เพราะในหอเรือนมีเฉินเซียนซือเฝ้าพิทักษ์อยู่แล้ว หลิ่วชิงชิงย่อมไม่มีอันตรายใดๆ แน่นอน นางจำเป็นต้องไปปกป้องลูกหลานสกุลหลิ่วคนอื่นๆ ซึ่งรวมไปถึงรองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่วด้วย
ในศาลบรรพชนของสกุลหลิ่ว หญิงชราที่พอไม่ถูกกักขังด้วยเชือกพันธนาการปีศาจห้าสีของปีศาจจิ้งจอกก็เปี่ยมล้นไปด้วยพลังแห่งความมีชีวิตชีวา
ในความเป็นจริงแล้ว เจ้าประมุขสกุลหลิ่วหลายรุ่นล้วนรู้จักเจ้าแม่ต้นหลิ่วที่อายุมากกว่าสวนสิงโตแห่งนี้เป็นอย่างดี ควันธูปอันโชติช่วงในงานบวงสรวงบรรพบุรุษของทุกปี สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ปกป้องสกุลหลิ่วผู้นี้ล้วนต้องได้รับส่วนแบ่งก้อนใหญ่
เวลานี้ในศาลบรรพชนเต็มไปด้วยผู้คน ส่วนใหญ่เป็นข้ารับใช้ที่เดิมทีไม่มีคุณสมบัติจะเดินเข้ามาในนี้ แต่ก็ยังถูกรองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่วสั่งให้ผู้เฒ่าจ้าวซึ่งเป็นพ่อบ้านพามา หากเรื่องนี้แพร่ออกไป รองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่วคงถูกประณามว่า ‘ทำลายความสุภาพสง่างาม ดูหมิ่นบรรพบุรุษ’ อย่างเลี่ยงไม่ได้
รองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่วและคนสกุลหลิ่วอีกยี่สิบกว่าคน เวลานี้ต่างก็มารวมตัวกันอยู่ในศาลบรรพชนที่เงียบสงบ หลายคนเพิ่งเคยมาที่นี่เป็นครั้งแรก และเพิ่งเคยได้เห็นเจ้าแม่ต้นหลิ่วผู้นี้กับตาของตัวเอง
นอกจากนี้ยังมีคนต่างแซ่สองคนที่พักอาศัยอยู่ในสวนสิงโตมานานหลายปีแล้ว พวกเขายืนอยู่ตำแหน่งนอกสุด ไม่คิดจะสอดมือเข้ายุ่งเกี่ยวกับเรื่องภายในตระกูลหลิ่ว
สวนสิงโตมีโรงเรียนส่วนตัวเป็นของตัวเอง หลังจากที่บัณฑิตใหญ่ที่มีชื่อเสียงโด่งดังและคุณธรรมสูงส่งท่านหนึ่งลาออกไปเมื่อสามสิบปีก่อน ก็ได้เชิญอาจารย์สอนหนังสือที่ไร้สัญชาติไร้นามมาคนหนึ่ง
นี่ก็เป็นเรื่องที่ประหลาดมาก ตอนนั้นราชสำนักและวงการวรรณกรรมต่างก็สงสัยใคร่รู้อย่างยิ่งว่าเป็นผู้รอบรู้คนใดกันแน่ที่ถูกใจรองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่ว จนเขาถึงกับเชื้อเชิญให้มาเป็นอาจารย์ถ่ายทอดความรู้ให้แก่ลูกหลานสกุลหลิ่ว
เพียงแต่ว่าภายหลังบุตรชายคนโตของรองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่วไม่ราบรื่นในการสอบเคอจวี่ ได้เป็นแค่จิ้นซื่อเท่านั้น แถมลำดับยังรั้งท้าย บทความใต้ปลายพู่กันและพรสวรรค์ในการเขียนบทกวีของเขาต่างก็ไม่นับว่าโดดเด่น เมื่อเทียบกับรองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่วที่จรดพู่กันดุจบุปผาผลิบานแล้วก็เรียกได้ว่าบิดาเป็นพยัคฆ์บุตรเป็นสุนัข ดังนั้นผู้คนจึงไม่สนใจจะคาดเดาตัวตนของอาจารย์คนใหม่ผู้นั้นอีก ขนาดลูกศิษย์ยังอบรมสั่งสอนมาได้ธรรมดาสามัญขนาดนี้ คนเป็นอาจารย์จะดีได้สักเท่าไหร่กันเชียว?
ส่วนหลิ่วชิงซานนั้นเหมือนหลิ่วจิ้งถิงผู้เป็นบิดามาตั้งแต่เด็ก คือเด็กอัจฉริยะที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปสี่ทิศ ผลงานการประพันธ์เปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา ทว่าความสามารถของตัวเขาเองนั้นไม่เกี่ยวข้องกับความรู้ของอาจารย์สักเท่าไหร่
ตอนนี้หลิ่วจิ้งถิงกำลังโต้เถียงอยู่กับเจ้าแม่ต้นหลิ่ว
ความเห็นของเจ้าแม่ต้นหลิ่วก็คือไม่ว่าจะอย่างไรก็ต้องพยายามช่วงชิง ต่อให้ต้องไปขอร้องคนหนุ่มแซ่เฉินผู้นั้นอย่างไร้ศักดิ์ศรีก็ต้องทำให้เขาลงมือสังหารปีศาจให้จงได้ ห้ามปล่อยให้เขาช่วยคนไม่ฆ่าปีศาจอะไรนั่นเด็ดขาด จำเป็นต้องให้เขาลงมือตัดรากถอนโคนโดยไม่ทิ้งภัยร้ายไว้เบื้องหลัง
หลิ่วจิ้งถิงจึงพูดถึงเรื่องที่นักพรตหญิงลงมือทำลายภาพมายาของปีศาจจิ้งจอก
เจ้าแม่ต้นหลิ่วตอบกลับด้วยเสียงหัวเราะเย็นชา นักพรตหญิงต่างถิ่นคนหนึ่ง หากสวนสิงโตนำความหวังทั้งหมดไปฝากไว้ที่ตัวนาง จุดจบจะดีได้สักแค่ไหนกันเชียว
หลิ่วชิงหย่าบุตรสาวคนโตจึงพูดด้วยน้ำเสียงขลาดกลัวขึ้นมาคำหนึ่งว่า แต่เฉินเซียนซือผู้นั้นก็เป็นคนต่างถิ่นเหมือนกันนะ
เจ้าแม่ต้นหลิ่วชำเลืองตามองสตรีผมยาวความรู้สั้นผู้นี้แวบหนึ่ง ทำเอาฝ่ายหลังตกใจกลัวจนต้องหุบปากฉับ
จากนั้นหญิงชราก็เอ่ยประโยคหนึ่งที่ทำให้คนคิดลึก “จะดีจะชั่วคนหนุ่มแซ่เฉินผู้นั้นก็เป็นบัณฑิต!”
หลังจากชั่งน้ำหนักอยู่พักหนึ่ง หลิ่วจิ้งถิงก็ยังไม่ยอมใช้วิธีการสกปรกที่ขัดต่อเจตจำนงของตัวเองไปจับคนหนุ่มผู้นั้นมัดไว้กับสวนสิงโต
เจ้าแม่ต้นหลิ่วชี้หน้ารองเจ้ากรมผู้เฒ่าแล้วด่ากราดอย่างไม่ไว้หน้า “คนสกุลหลิ่วเจ็ดรุ่นก่อตั้งรากฐานกันมาอย่างลำบากลำบนกว่าจะเจริญรุ่งเรืองได้อย่างทุกวันนี้ เจ้าหลิ่วจิ้งถิงตายไปแล้ว ควันธูปขาดสะบั้นด้วยน้ำมือของเจ้า เจ้าจะมีหน้าไปพบบรรพบุรุษหรือ? ไม่รู้สึกผิดต่อชื่อที่เขียนไว้บนป้ายวิญญาณในศาลบรรพชนสวนสิงโตเลยหรือไร? คนที่ต้องตายเพราะถวายคำทัดทานเพื่อปกป้องระบบสืบทอดดั้งเดิมสกุลถัง ตายเพราะถูกโบย ตายเพราะช่วยเหลือขุนนางผู้จงรักภักดี ถูกเนรเทศไปไกลสามพันลี้จนกระทั่งตายไป คนที่ทุ่มเทชีวิตและจิตใจเพื่อสร้างความผาสุกให้กับปวงประชาจนตาย เจ้าต้องให้ข้าร่ายรายชื่อของพวกเขาให้ฟังไหม?”
ใบหน้าหลิ่วจิ้งถิงเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้ม
หญิงชรายังด่าต่อ “หากเจ้าหน้าไม่หนาพอ ต้องการวางมาดเป็นรองเจ้ากรมผู้เฒ่าผายลมสุนัขอะไรนั่น ถ้าอย่างนั้นสกุลหลิ่วของพวกเจ้าก็ไม่มีทางข้ามผ่านอุปสรรคนี้ไปได้ เจ้าหลิ่วจิ้งถิงตายแล้วก็ตายไป แต่ยังทำร้ายให้สวนสิงโตต้องเปลี่ยนแซ่ ลูกหลานพลัดที่นาคาที่อยู่ ตำราหายากมากมายที่เก็บไว้ในหอเก็บตำรา เมื่อมาถึงช่วงที่คนรุ่นหลิ่วชิงซานแก่ชรา สุดท้ายจะหลงเหลืออยู่สักกี่เล่ม?”
หลิ่วจิ้งถิงไม่อาจตอบได้
คนอื่นๆ ก็ยิ่งไม่กล้าพูดอะไร
เงียบงันกันไปนาน บรรยากาศเคร่งเครียด
สุดท้ายหลิ่วชิงซานที่ขากะเผลกเดินออกมาสองสามก้าว พูดกับหญิงชราว่า “เจ้าแม่ต้นหลิ่ว ดูเหมือนท่านพูดผิดไปเรื่องหนึ่ง”
หญิงชราหรี่ตา “อ้อ? เจ้าหนูน้อยมีอะไรจะสอนข้ารึ?”
หลิ่วชิงซานกล่าวเสียงหนัก “สกุลหลิ่วของข้าสามารถสืบทอดมาจนถึงทุกวันนี้โดยที่ควันธูปไม่ขาดสาย นั่นก็เป็นเพราะบรรพบุรุษหยัดยืนอย่างเที่ยงตรง กฎตระกูลที่บรรพบุรุษทิ้งเอาไว้ ลูกหลานต่างก็รักษากันอย่างเข้มงวด เมื่อวันนี้สวนสิงโตได้รับหายนะ ถึงได้มีคนจากทั่วสารทิศมาให้ความช่วยเหลือ หากวันนี้กระทำเรื่องที่ผิดต่อเจตจำนง ผิดต่อมารยาทกฎเกณฑ์ ต่อให้โชคดีรักษาสวนสิงโตเอาไว้ได้ แต่ขนบธรรมเนียมประจำตระกูลของสกุลหลิ่วข้าก็จะไม่เที่ยงตรงอีกต่อไป”
หญิงชราหัวเราะเสียงดังลั่น ก่อนจะพูดเยาะหยัน “เจ้าหนูน้อยอย่าได้คิดว่าอ่านหนังสือมาแค่ไม่กี่เล่มก็มีความสามารถให้มาพูดเรื่องไร้ประโยชน์กับหญิงชราอย่างข้า หากคนตายกันไปหมดแล้ว อีกร้อยปีให้หลัง นอกจากตำรารวมผลงานของสวนสิงโตเล่มนั้น ยังจะมีใครนึกถึงสกุลหลิ่วที่ตกอับอย่างพวกเจ้าอีก!”
แล้วหญิงชราก็พูดต่อโดยไม่เปิดโอกาสให้บัณฑิตหลิ่วชิงซานได้โต้แย้ง “เจ้าเป็นแค่คนพิการที่ไม่มีหวังว่าจะได้รับยศถาบรรดาศักดิ์ ยังมีหน้ามายืนพล่ามพูดเรื่องไร้สาระพวกนี้อีกหรือ ฮ่าๆ ตอนนี้เจ้าหลิ่วชิงซานยืนเองได้มั่นคงหรือไม่?”
ตอนนั้นเพื่อช่วยเหลือน้องสาว หลิ่วชิงซานจึงแอบออกจากสวนสิงโตไปพร้อมกับเทพเซียนผู้เฒ่าเจ้าอารามเต๋า เพื่อไปตามหาเซียนซือตัวจริง ทว่ากลับประสบหายนะกลางทาง ขาพิการคือความเจ็บปวดทางร่างกาย ทว่าเส้นทางอนาคตอันยาวไกลกลับต้องขาดสะบั้นนับตั้งแต่นี้ ความหวังทั้งหมดล้วนไหลหายไปพร้อมกับสายน้ำ นี่ต่างหากถึงจะเป็นความเจ็บปวดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของบัณฑิตหลิ่วชิงซาน ด้วยสาเหตุนี้ สาวใช้จ้าวหยาที่อยู่ในหอซิ่วโหลวก็ยังไม่กล้ายกเรื่องน่าเวทนานี้มาพูดกับคุณหนู ไม่อย่างนั้นหลิ่วชิงชิงที่สนิทกับพี่รองหลิ่วชิงซานมากที่สุดมาตั้งแต่เด็กจะต้องรู้สึกผิดอย่างแน่นอน และในความเป็นจริงแล้วเมื่อครั้งที่หลิ่วชิงซานถูกคนหามกลับมาถึงสวนสิงโตก็ได้ขอร้องให้บิดาหลิ่วจิ้งถิงปกปิดเรื่องนี้ต่อน้องสาว
คราวนี้มาถูกเจ้าแม่ต้นหลิ่วเทพแห่งผืนดินที่ปกป้องสวนสิงโตมาสองร้อยกว่าปีสะกิดเปิดบาดแผลในหัวใจ ต่อให้เป็นบัณฑิตหลิ่วชิงซานที่แม้ว่าหลังจากพิการ ยามอยู่ต่อหน้าคนนอกก็ไม่เคยเสียกิริยาสักครั้งก็ยังอดหน้าเขียว กำสองหมัดแน่นอย่างห้ามไม่ได้
หญิงชรายังคงสาดเกลือลงบนบาดแผลในหัวใจของบัณฑิตหนุ่มต่ออีกครั้ง “ก่อนจะขาพิการ ข้ายังเคารพเจ้าสามส่วน แต่พอพิการแล้ว เจ้าหลิ่วชิงซานก็ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะต้องเป็นสวะไร้ค่าที่ได้แต่หลบอยู่ในสวนสิงโตไปชั่วชีวิต ข้าว่าเจ้ารีบไปปลดกลอนคู่ที่ติดไว้หน้าห้องหนังสือลงมาเสียโดยเร็วเถอะ ไม่กลัวว่าจะถูกคนอื่นหัวเราะเยาะบ้างหรือไร?!”
หลิ่วจิ้งถิงหน้าดำทะมึน “เจ้าแม่ต้นหลิ่ว ท่านผู้อาวุโสพูดแต่พอสมควรเถอะ!”
หญิงชราแค่นเสียงเย็น
หลิ่วจิ้งถิงตบไหล่บุตรชายคนรอง
น้ำตาเอ่อคลอเต็มดวงตาของหลิ่วชิงซาน เขาพยักหน้าให้กับบิดาที่ตนเคารพมากที่สุดในชีวิต บอกให้รู้ว่าตนไม่เป็นอะไร จากนั้นก็ก้มหน้าลง ใบหน้านองไปด้วยน้ำตา
มนุษย์มีชีวิตอยู่ในฟ้าดิน เมื่อชายชาตรีหลั่งน้ำตา ย่อมต้องเป็นเวลาที่ใจสลาย
โรงเรียนส่วนตัวของสวนสิงโตมีอาจารย์อยู่สองท่าน ท่านหนึ่งคือผู้เฒ่าวัยไม้ใกล้ฝั่งที่ไม่ชอบยิ้มแย้มพูดคุย อีกท่านหนึ่งคือชาวลัทธิขงจื๊อวัยกลางคนที่สุภาพนุ่มนวล
ฝ่ายหลังขมวดคิ้วมุ่น
ผู้เฒ่าส่ายหน้าเบาๆ ชายวัยกลางคนลัทธิขงจื๊อจึงปิดปากเงียบ
พ่อบ้านแซ่จ้าวที่รอคอยอยู่ด้านล่างหอซิ่วโหลวตลอดเวลาเดินปรี่เข้ามาในศาลบรรพชนอย่างเร่งร้อน กระทั่งมาหยุดอยู่ข้างกายรองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่วและเจ้าแม่ต้นหลิ่ว เขาจึงปาดเหงื่อบนหน้าผากแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “คุณชายเฉินต้องการให้สวนสิงโตของพวกเราเตรียมสีทองไว้ใช้วาดยันต์ โดยให้เอาทองก้อนของทางการมาบดเป็นผง คุณชายเฉินบอกว่ายิ่งมากยิ่งดี เขาจะวาดยันต์ที่หอซิ่วโหลวของคุณหนู”
หญิงชราตวาดกร้าว “แล้วทำไมยังไม่รีบไปเตรียมเล่า เงินทองพวกนี้จะนับเป็นอะไรได้!”
พ่อบ้านวัยชราหันไปมองหลิ่วจิ้งถิง
รองเจ้ากรมผู้เฒ่าพยักหน้าให้ “ไปเถอะ”
แต่จู่ๆ รองเจ้ากรมผู้เฒ่าก็ตะโกนเรียกพ่อบ้านวัยชราพลางก้าวเร็วๆ ออกไป “เหล่าจ้าว ข้าไปกับเจ้าดีกว่า เรียกพวกชายฉกรรจ์ที่ใจกล้าไปด้วย แต่ว่าต้องถามความสมัครใจของพวกเขาก่อน”
คิดไม่ถึงว่าหญิงชราจะคว้าไหล่ของรองเจ้ากรมผู้เฒ่าเอาไว้ “เจ้าจะไป? หลิ่วจิ้งถิงเจ้าเสียสติไปแล้วหรือไร? หากปีศาจจิ้งจอกตนนั้นคิดจะทุบไหที่แตกให้แหลกละเอียด สังหารเจ้าที่เป็นคนสำคัญก่อนแล้วค่อยหนีไป ต่อให้บุตรสาวของเจ้ามีชีวิตรอด แต่ถึงเวลานั้นสถานการณ์ของสวนสิงโตก็ยังเละเทะเกินเยียวยาอยู่ดี ใครจะมาประคับประคองตระกูลแห่งนี้? อาศัยคนพิการคนหนึ่ง หรือบุตรชายคนโตความสามารถสามัญ วันหน้าหากได้เป็นเจ้าเมืองก็ถือว่าถูไถเต็มทีแล้วน่ะหรือ?”
ใบหน้าของหลิ่วจิ้งถิงเต็มไปด้วยโทสะเดือดดาล
คิดจริงๆ หรือว่าตลอดหลายปีที่มีชีวิตอยู่ในวงการขุนนาง เขาหลิ่วจิ้งถิงกินแต่หญ้า เทพแห่งผืนดินตรงหน้าผู้นี้ร้อนรนกระวนกระวายขนาดนี้เพราะคิดอะไรอยู่? สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้วก็ไม่ใช่เพราะหากควันธูปน้อยนิดของสกุลหลิ่วสวนสิงโตขาดสะบั้นลง จะไปสร้างความเดือดร้อนให้กับมหามรรคาร่างทองของนางหรอกหรือ?!
หญิงชราเห็นว่าหลิ่วจิ้งถิงโมโหอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนก็ลังเลไปชั่วขณะ ก่อนจะเอ่ยเกลี้ยกล่อมด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง “ในตำราก็บอกเตือนบัณฑิตอย่างพวกเจ้าแล้วไม่ใช่หรือว่า วิญญูชนต้องอยู่ให้ห่างไกลจากสถานที่อันตราย เจ้าหลิ่วจิ้งถิงเป็นเพียงบัณฑิตอ่อนแอ จะยกทองก้อนไหวสักกี่ก้อนกันเชียว จะสู้พวกคนหนุ่มที่ทำงานจิปาถะในสวนสิงโตได้อย่างไร เจ้าไปแล้วจะมีประโยชน์อะไร? ไม่กลัวว่าปีศาจจิ้งจอกจะจับตัวเจ้าแล้วเอามาข่มขู่สวนสิงโตหรอกหรือ?”
หลิ่วชิงซานพลันเงยหน้าขึ้นด้วยสีหน้าเด็ดเดี่ยว “ข้าไปเอง ต่อให้ขนย้ายทองก้อนได้แค่ไม่กี่ก้อน แต่คอยจับตามองอยู่ข้างๆ ก็ช่วยหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดได้”
หลิ่วจิ้งถิงช่วยจัดสาบเสื้อให้บุตรชาย “ระวังตัวหน่อย ไม่เป็นขุนนางแล้วอย่างไร บัณฑิตที่จิตใจไม่เที่ยงตรง แต่กลับละโมบในตำแหน่งสูงก็ไม่ถือว่าเป็นบัณฑิตที่แท้จริงแล้ว บุตรชายข้าขาเป๋ เป็นขุนนางไม่ได้ แต่กลับยังสามารถเป็นบัณฑิตไปได้ชั่วชีวิต ในเมื่อไม่อาจปกครองบ้านเมืองนำพาความสงบสุขมาให้แก่คนใต้หล้า ถ้าอย่างนั้นก็บ่มเพาะปลูกฝังตัวเองให้ดี ดูแลครอบครัวให้ร่มเย็น ทำได้หรือไม่?”
ในที่สุดหลิ่วชิงซานก็ยิ้มออก “ท่านพ่อ เรื่องนี้ไม่ยาก”
หลิ่วชิงซานติดตามพ่อบ้านวัยชราพาคนงานร่างกำยำของสวนสิงโตที่แต่ละคนเดินปรี่ออกมาด้วยสีหน้าห้าวเหิมออกไปจากศาลบรรพชน
หลิ่วจิ้งถิงไม่แม้แต่จะชายตามองหญิงชราผู้นั้น เขาเดินไปหยุดตรงหน้าอาจารย์ต่างแซ่สองท่านที่อยู่กันคนละวัย แล้วคารวะเอ่ยขอบคุณ “ขอบคุณท่านอาจารย์ฝู ท่านอาจารย์หลิวที่ช่วยสั่งสอนให้คนสกุลหลิ่วของข้าเป็นบัณฑิตที่มีปราณเที่ยงธรรมอยู่เต็มตัว”
อาจารย์ผู้เฒ่ายังคงมีสีหน้าเฉยชาดังเดิม แม้แต่จะผงกศีรษะรับเบาๆ ยังไม่ทำ ยังดีที่สวนสิงโตเคยชินกับท่าทางเช่นนี้ของเขาเสียแล้ว เพราะไม่ว่าอยู่ต่อหน้าใครผู้เฒ่าก็มีสีหน้าเคร่งขรึมแบบนี้เสมอ
บุรุษลัทธิขงจื๊อวัยกลางคนคลี่ยิ้ม “ถ่ายทอดวิชาไขข้อข้องใจให้ลูกศิษย์เป็นหน้าที่ของคนเป็นอาจารย์อยู่แล้ว”
……
ในเรือนเล็กแห่งหนึ่งมีจอมยุทธ์ผู้ผดุงธรรมสี่ท่านที่เดินทางมาไกลอาศัยอยู่ เป็นแขกผู้ทรงเกียรติของสวนสิงโตมาก่อนเฉินผิงอันเสียอีก
คุณชายหนุ่มแซ่สองพยางค์ว่าตู๋กูและสาวใช้หน้าตางดงามที่มีชื่อว่าเหมิงหลง บวกกับผู้ฝึกตนที่เป็นอาจารย์และศิษย์ซึ่งคนหนึ่งเลี้ยงจิ้งจอกตัวเล็ก คนหนึ่งเลี้ยงงูสีเขียวมรกต
ทั้งสองฝ่ายมาพบเจอกันโดยบังเอิญ เคยร่วมกันกำราบปีศาจตนหนึ่งที่อาละวาดอยู่บนภูเขา ฝั่งคุณชายตู๋กูลงแรงมากกว่าใคร แต่กลับเลือกของเชลยศึกบางส่วนที่เป็นแค่วัตถุธรรมดาซึ่งไม่ใกล้เคียงกับคำว่าสง่างาม ส่วนสมบัติวิเศษล้ำค่าหลายชิ้นและเงินเทพเซียนกองใหญ่ล้วนยกให้อาจารย์และศิษย์สองคนนั้น
อาจารย์และศิษย์สองคนปรึกษากันเป็นการส่วนตัว รู้สึกว่าชีวิตของพวกเขาทั้งสองรวมกันแล้วน่าจะไม่มีค่าเท่ากับปลาตัวใหญ่ที่คุณชายท่านนั้นปล่อยเบ็ดยาวไว้ จึงทำหน้าหนามาขอใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับนายบ่าวคู่นี้ และภายหลังพวกเขาก็ได้เปรียบในบางเรื่องจริงๆ การกำจัดปีศาจปราบมารทั้งสองครั้งทำให้ได้เงินเกล็ดหิมะหลายร้อยเหรียญเข้ากระเป๋า แน่นอนว่านี่ยังเป็นเพราะผู้ฝึกตนผู้เฒ่ามีใจคิดหยั่งเชิงอย่างระมัดระวัง แล้วก็ได้รู้ว่าคุณชายสูงศักดิ์ที่บอกว่าตัวเองมาจากราชวงศ์จูอิ๋งผู้นี้มีนิสัยไม่ชอบแย่งชิงทรัพย์สินเงินทองกับใครจริงๆ
คุณชายยังไม่เคยลงมือจริงๆ จังๆ บอกว่าเขาเป็นเพียงผู้ฝึกยุทธ์มุทะลุที่เรียนวิชายุทธ์มาอย่างงูๆ ปลาๆ อาจารย์และศิษย์สองคนไม่ใช่คนโง่ ย่อมไม่เชื่อในเรื่องนี้อยู่แล้ว
แต่สาวใช้ผู้นั้นลงมืออยู่หลายครั้ง ซึ่งแต่ละครั้งก็น่าตื่นตะลึงจริงๆ
บทที่ 393.3 ลมมรสุมมาเยือนหอเรือนที่เ...
นางคือผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่ง
ไม่เพียงเท่านี้ นางถึงขั้นสามารถใช้วิชาดินแดนเซียนในตำนานมาบังคับเทพท่องราตรีสูงสามจั้งตนหนึ่งได้!
สาวใช้เหมิงหลงไม่ใช่ปีศาจหญิงแก่ที่มีโฉมหน้าเป็นเด็กสาวอะไร แต่เป็นสตรีที่อายุไม่ถึงยี่สิบปีจริงๆ
ผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งที่กำลังจะเลื่อนสู่ห้าขอบเขตกลาง ดูจากวิธีการอำมหิตที่ใช้ลงมืออยู่หลายครั้ง เห็นได้ชัดว่าเป็นระดับขั้นของขอบเขตถ้ำสถิต
เอาผู้มีพรสวรรค์ซึ่งมีความหวังว่าจะเป็นเซียนกระบี่พสุธามาเป็นสาวใช้ที่คอยยกน้ำส่งชา โดยที่ฝ่ายหลังก็เห็นว่าเป็นเรื่องถูกต้องตามหลักฟ้าดิน
คนที่มีสมองหน่อยล้วนรู้ว่าภูมิหลังและชาติกำเนิดของคุณชายตู๋กูผู้นี้ต้องลึกจนมองไม่เห็นก้นบึ้งอย่างแน่นอน
น่าเสียดายก็แต่ผู้เฒ่าเค้นสมองคิดแทบตายก็ยังนึกไม่ออกว่าราชวงศ์จูอิ๋งมีบุคคลยิ่งใหญ่คนไหนที่มีแซ่ว่าตู๋กู ค้นหาทั่วทั้งเหนือและใต้ครบรอบหนึ่งก็พอจะค้นเจอตระกูลชนชั้นสูงและสำนักอยู่สองแห่ง หากไม่ใช่เสาหลักของราชสำนักในหนึ่งแคว้น ก็เป็นตระกูลที่มีโอสถทองนั่งบัญชาการณ์ แต่เมื่อเอามาเปรียบเทียบกับรากฐานที่ชายหนุ่มแสดงออกมาให้เห็นก็ยังไม่สอดคล้องกันอยู่ดี
คิดไปคิดมาก็คิดได้แค่ว่าคงเป็นเพราะราชวงศ์จูอิ๋งที่มีผู้ฝึกกระบี่มากมายดุจต้นไม้ในผืนป่าแห่งนั้นมีตะพาบเฒ่าที่ซ่อนตัวอยู่ใต้น้ำมากเกินไป คนหนุ่มจึงอาจจะมาจากตระกูลเซียนบางแห่งที่ไม่ชอบโอ้อวดตน
นี่ก็เป็นสาเหตุที่อาจารย์และศิษย์ผู้ฝึกตนอิสระสองคนที่มีนิสัยหากไม่มีผลประโยชน์ก็ไม่ตื่นเช้า กล้ายั่วยุให้สองนายบ่าวเดินทางมากำราบปีศาจที่สวนสิงโต
เวลานี้คุณชายตู๋กูยืนอยู่ตรงหน้าต่าง มองไปยังสีท้องฟ้าด้านนอกที่ไม่ค่อยจะปกติ “ดูท่าปีศาจตนนั้นคงถูกคนหนุ่มแซ่เฉินเหยียบหางเข้าให้แล้ว เป็นแบบนี้ก็ยิ่งดี พวกเราไม่ต้องลงมือเอง แต่น่าเสียดายขวดดอกเหมยและอักษรภาพหนึ่งในของสามชิ้นของสวนสิงโตเหลือเกิน ล้วนเป็นของตกแต่งชั้นเยี่ยม ไม่รู้ว่าถึงเวลาที่คนแซ่เฉินได้ไปครองแล้วจะยินดีตัดใจขายของรักให้ข้าหรือไม่”
สาวใช้เหมิงหลงยิ้มกล่าวว่า “คนที่มองของออกล้วนหมายตาสมบัติอาคมที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษซึ่งเป็นดั่งซี่โครงไก่ในมือของคนสกุลหลิ่ว คุณชายกลับดีนัก คิดแต่อยากจะได้ของเล่นที่มีค่าไม่กี่เหรียญเงินเทพเซียน”
คุณชายตู๋กูถอนหายใจ “เมื่อเรื่องทางนี้ยุติลง พวกเราต้องเหนื่อยยากกันอีกแล้ว”
เหมิงหลงเองก็ขมวดคิ้วมุ่น “คุณชาย พวกเราหาคนหาเบาะแสกันอยู่อย่างนี้ไม่ต่างจากงมเข็มในมหาสมุทร ดูเหมือนว่าจะค่อนข้างยากนะเจ้าคะ”
คนหนุ่มกล่าวอย่างจนใจ “ไม่มีทางลัดทางอื่นให้เลือกเดินนี่นา ก็ได้แต่ใช้วิธีที่โง่งมที่สุดวิธีนี้แล้ว พวกเราก็ถือซะว่ามาเที่ยวเล่นก็แล้วกัน เที่ยวเล่นพลางรอฟังข่าวจากบนภูเขาไปด้วย”
เหมิงหลงโมโหเล็กน้อย “คนที่เต็มใจพูด พวกเราล้วนตามหาตัวเจอหมดแล้ว ผลกลับกลายเป็นว่าพวกเขาไม่รู้อะไรสักอย่าง พวกคนที่ไม่เต็มใจพูด แต่ละคนก็ล้วนมีประวัติความเป็นมาไม่ธรรมดา ไปมีเรื่องด้วยไม่ได้ และพวกเราก็ไม่อาจเปิดเผยตัวตน พวกคนที่อาศัยสถานะของกุรุทวีป ตาไม่ใช่ตา จมูกก็ไม่ใช่จมูก มีอะไรร้ายกาจนักเชียว ก็แค่อาศัยว่าตัวเองมีชีวิตอยู่มาได้หลายร้อยปี ตอนนี้ก็แค่มีขอบเขตสูงขึ้นมาหน่อยเท่านั้น หากจะถามความเห็นข้า ไม่ต้องรอสามสิบปี คุณชายก็สามารถจัดการกับพวกเขาได้ด้วยมือเดียว”
คุณชายตู๋กูไม่ได้สนใจคำบ่นของสาวใช้ “หาหญิงสาวผู้นั้นให้เจอก่อนค่อยว่ากันเถอะ”
เหมิงหลงนั่งลงข้างโต๊ะ เพราะอยู่ว่างไม่มีอะไรทำจึงขยับเม็ดหมากที่อยู่บนกระดานกลางโต๊ะให้มั่วซั่ววุ่นวายไปหมด “รู้แค่ชื่อแซ่ แล้วก็รู้ว่าอยู่บนเรือข้ามฟากของภูเขาต่าเจี้ยว เป็นแค่นักพรตเล็กๆ ที่ไร้แซ่ไร้นามเท่านั้น เบาะแสมีน้อยเกินไป หากไม่เป็นเพราะภิกษุที่เดินทางท่องเที่ยวไปทั่วหล้าผู้นั้นเอ่ยถึงนาง พวกเราก็คงไม่ต่างจากแมลงวันไร้หัวที่พุ่งชนสะเปะสะปะ คุณชาย ข้าเริ่มคิดถึงบ้านแล้ว ท่านห้ามโกหกข้านะ หาผู้ฝึกตนน้อยคนนั้นเจอเมื่อไหร่ พวกเราจะได้กลับจวนกันสักที”
คุณชายตู๋กูเอ่ยสัพยอก “โอ้โห เจ้าเป็นแค่ผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตล่างคนหนึ่งก็กล้าพูดว่าคนอื่นคือผู้ฝึกตนน้อยด้วยหรือ?”
เหมิงหลงยิ้มตาหยี “แต่จะดีจะชั่วบ่าวก็เป็นผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งนี่นา”
คุณชายตู๋กูถลึงตาดุดันใส่ “ผีซิว (ปี่เซียะ) อย่างผู้ฝึกกระบี่กินทั้งเงินและทำลายทั้งความรู้สึก มีค่าอะไรให้เอามาโอ้อวดกัน”
เหมิงหลงปิดปากหัวเราะคิกคัก “ประโยคนี้คนอื่นพูดได้ มีแต่คุณชายที่พูดไม่ได้ บ่าวกินเงินเทพเซียนไปจนหมดแล้ว ยังไม่ต้องพูดถึงว่าท่านจะต้องได้กำไรกลับคืนมา อยู่ในบ้านของคุณชาย เงินแค่นี้ก็ไม่ได้ต่างจากขนหนึ่งเส้นของวัวเก้าตัวหรอกหรือ?”
คุณชายตู๋กูส่ายหน้า “รอให้เจ้าเลื่อนสู่ห้าขอบเขตกลางจริงๆ เมื่อไหร่ก็พูดแบบนี้ไม่ได้แล้ว วัตถุดิบวิเศษที่ผู้ฝึกกระบี่เซียนดินคนหนึ่งต้องเผาผลาญไปบนเส้นทางของการฝึกตน อย่างน้อยก็คือสองเท่าของเทพเซียนพสุธาทั่วไป”
เหมิงหลงพยักหน้ารับ พูดเบาๆ ว่า “นายท่านกับนายแม่จ่ายเงินราวกับสายน้ำไหลจริงๆ ไม่อย่างนั้นพวกเราก็คงไม่เป็นรองตระกูลฝูของนครมังกรเฒ่าหรอก”
คุณชายตู๋กูหัวเราะอย่างถอนฉุน “ใจกล้าใหญ่แล้วนะ อยู่ต่อหน้าข้าก็กล้านินทาพ่อแม่ของข้าแล้วรึ?”
เหมิงหลงพูดออดอ้อน “คุณชายเป็นคนดีนี่นา บ่าวจะต้องกลัวอะไร”
คุณชายตู๋กูยิ้ม “เจ้าเป็นสตรี ไม่ช้าก็เร็วเมื่อออกเรือนก็เหมือนน้ำที่สาดออกไป คุณชายอย่างข้าก็ต้องเปลืองเงินเปล่าแล้ว”
เหมิงหลงส่ายหน้า “ข้าไม่แต่งงาน จะแต่งให้กับหมอนปักลายบุปผาพวกนั้นไปทำไม ชั่วชีวิตนี้บ่าวจะติดตามอยู่ข้างกายคุณชายเท่านั้น”
คุณชายตู๋กูไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ หันหน้าไปมองสีท้องฟ้าต่ออีกครั้ง “ปีศาจจิ้งจอกตนนั้นทำแต่เรื่องประหลาด รับมือได้ยากยิ่ง หวังว่าคนหนุ่มที่ร่วมมือกับนักพรตหญิงใช้มีดจะไม่เป็นอันตรายอะไรนะ”
เหมิงหลงยิ้มกล่าว “คุณชายมีจิตใจเมตตาดุจพระโพธิสัตว์จริงๆ”
คุณชายตู๋กูเอ่ยเย้ยหยันตัวเอง “ข้าแค่หวังว่าจะซื้อของสองชิ้นนั้นมาได้โดยออกแค่เงินไม่ต้องออกแรง ส่วนเรื่องวงในวงนอกของสวนสิงโตแห่งนี้จะมีจุดจบอย่างไร ข้าไม่สนใจ จะดีหรือเลว จะเป็นหรือตายก็ล้วนเป็นพวกเขาที่รนหาเรื่องเอง”
……
ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วยาม ทางฝั่งของหอซิ่วโหลว จูเหลี่ยน พ่อบ้านเฒ่าและหลิ่วชิงซานสามคนพากันเร่งรุดมาถึง ต่างคนต่างถือสีทองที่ทำขึ้นเป็นพิเศษไหหนึ่งซึ่งมีขนาดพอๆ กับกาเหล้า
ในหอซิ่วโหลว วิญญาณของสือโหรวกลับเข้ามาในคราบร่างเซียนเหรินแล้ว กำลังนั่งหลับตาทำสมาธิอยู่ในมุม
ตอนแรกเผยเฉียนรู้สึกเจ็บใจว่าตนไม่อาจคัดหนังสือได้ วันนี้คงต้องขาดวิชาเรียนไปอย่างหนึ่ง รอคอยอยู่ว่างๆ ก็ช่างน่าเบื่อหน่าย
ภายหลังจ้าวหยาเห็นว่าบนหน้าผากเด็กหญิงแปะแผ่นยันต์ก็คิดว่าน่าสนใจอย่างมาก จึงขยับเข้ามาชวนคุย ไปๆ มาๆ ก็พาเผยเฉียนที่หวั่นไหวตั้งแต่แรกเห็น แต่เกรงใจที่จะเปิดปากไปดูกรงหลวนกรงนั้น พอเผยเฉียนได้พินิจมองอย่างละเอียดก็รู้สึกเหมือนได้เปิดโลกทัศน์ครั้งใหญ่
ผู้ดูแลเฒ่าและหลิ่วชิงซานต่างก็ไม่ได้ขึ้นมาบนหอเรือน พวกเขาย้อนกลับไปที่ศาลบรรพชนด้วยกัน
ก่อนจะจากไป หลิ่วชิงซานหันไปโค้งตัวคารวะทางหอสูงหนึ่งครั้ง
ในห้อง เฉินผิงอันรับพู่กันมา จูเหลี่ยนที่ยืนอยู่ด้านข้างถือ ‘แท่นฝนหมึก’ ที่เป็นไหบรรจุ ‘น้ำหมึก’ สีทองไว้จนเต็ม และเฉินผิงอันก็เริ่มวาดยันต์ไว้บนเสาต้นหนึ่งก่อน
ล้วนเป็นยันต์ที่เฉินผิงอันเรียนรู้มาจาก ‘มหัศจรรย์ที่แท้จริงตำราสีชาด’ ที่หลี่ซีเซิ่งมอบให้เล่มนั้น
แตะปลายพู่กันจุ่มน้ำสีทอง ขนพู่กันก็ชุ่มฉ่ำอิ่มน้ำ
ไม่จำเป็นต้องให้เฉินผิงอันพูดอะไรมาก จูเหลี่ยนก็สะบัดไหล่ยิ้มกล่าวว่า “คุณชาย เชิญ”
เฉินผิงอันเขย่งปลายเท้า มือถือพู่กันตวัดขึ้น เท้าเหยียบลงบนไหล่ของจูเหลี่ยน วาดยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจไว้บนสุดของเสาเสร็จในรวดเดียว
จูเหลี่ยนงอเข่าทั้งสองข้างลงเล็กน้อย จากนั้นเฉินผิงอันก็ใช้ปราณวิญญาณที่สะสมไว้ในชุดคลุมอาคมจินหลี่และจวนน้ำวาดยันต์สยบปีศาจอีกแผ่นหนึ่งโดยขยับลงมาเบื้องล่าง
หลังจากวาดไปแล้วสองแผ่น เฉินผิงอันก็เหยียบไหล่จูเหลี่ยนอีกครั้ง วาดยันต์ไว้เต็มทุกพื้นที่ของคานในห้อง
พอลงมายืนบนพื้นก็วาดยันต์ต่อบนหน้าต่าง บนผนังห้อง นอกจากยันต์สยบปีศาจที่ได้ประสิทธิผลที่สุดแล้วยังมีอีกสามชนิด นั่นคือยันต์จิตใจสงบสุขและยันต์ชำระสิ่งสกปรกซึ่งเป็นยันต์ขั้นพื้นฐานที่สุดของมหัศจรรย์ที่แท้จริงตำราสีชาด นอกจากนี้ก็วาดยันต์ปราณหยางส่องไฟอีกสองสามแผ่นไว้บนหน้าประตู
ระหว่างนี้จูเหลี่ยนถามเบาๆ ว่า “คุณชายต้องการพักผ่อนสักครู่หรือไม่”
เฉินผิงอันเพียงส่ายหน้า “ไม่แน่ว่าปีศาจใหญ่ตนนั้นอาจจะกำลังเดินทางมาแล้ว จะมัวล่าช้าไม่ได้ วาดได้มากขึ้นแผ่นหนึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องดี”
ยันต์ในห้องหอถูกวาดจนเสร็จครบถ้วน
เฉินผิงอันเพิ่งจะใช้สีทองไปเกินครึ่งไห จากนั้นเขาก็ไปที่ระเบียงนอกห้อง วาดยันต์สยบปีศาจตรงระเบียงคนงามต่ออีกครั้ง และยังพยายามวาดยันต์สั่งกระบี่และยันต์ตัดโซ่อีกสองสามแผ่น ซึ่งค่อนข้างจะกินแรงอยู่สักหน่อย
หัวใจของยันต์วาดสำเร็จแล้ว เพียงแต่ว่าเมื่อวาดยันต์แผ่นหนึ่งเสร็จ แสงศักดิ์สิทธิ์จะดำรงอยู่ได้นานเท่าไหร่ จะต้านทานปราณชั่วร้ายทอดยาวที่พุ่งเข้ามารุกรานมาแปดเปื้อนได้หรือไม่เป็นเรื่องหนึ่ง จะสามารถรับการโจมตีจากเวทคาถาของปีศาจใหญ่ได้มากน้อยเท่าไหร่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
เฉินผิงอันได้แต่ทำเหมือนว่าตนเองเป็นชาวนาที่ขยันขันแข็งคนหนึ่ง ดินในนาของตนสารอาหารบางเบา ไม่ใช่นาที่ดี เป็นเหตุให้ผลเก็บเกี่ยวแต่ละไร่มีคุณภาพจำกัด ถ้าอย่างนั้นก็เอาชนะกันที่จำนวนก็แล้วกัน
ในไหยังเหลือสีทองอยู่อีก เฉินผิงอันจึงเหยียบบนรั้วระเบียงด้านนอกแล้วพลิ้วกายขึ้นไปบนหลังคาพร้อมกับจูเหลี่ยน นั่งยองวาดยันต์อยู่บนสันหลังคานั่น
ในที่สุดเผยเฉียนก็หาโอกาสโอ้อวดได้ ขณะที่เฉินผิงอันเพิ่งเริ่มวาดยันต์ได้ไม่กี่แผ่น นางก็ยกสองแขนกอดอก เชิดศีรษะน้อยๆ ขึ้นสูงแล้วคุยโว “พี่หญิงหยาเอ๋อร์ ความสามารถในการวาดยันต์ของอาจารย์ข้าร้ายกาจไหมล่ะ? ท่านรู้สึกว่าเหมือนตัวอักษรฮวาเหนี่ยวจ้วน (ตัวอักษรที่คล้ายภาพวาดนกและดอกไม้) ไหม สวยหรือไม่? มีท่วงทำนองของนักประพันธ์ใหญ่เลยใช่ไหมล่ะ?”
จ้าวหยาไม่ใช่ผู้ฝึกตน มองตื้นลึกหนาบางในฝีมือการวาดยันต์ของเฉินผิงอันไม่ออก แต่นางเป็นสาวใช้ประจำตัวของคุณหนูหลิ่วชิงชิง สำหรับเรื่องพิณ หมากล้อม พู่กันและภาพวาดจึงพอจะมีความรู้อยู่บ้าง เป็นเหตุให้ไม่รู้สึกว่าตัวอักษรโบราณที่เซียนซือชุดขาวใช้วาดเป็นยันต์มีพลังสักเท่าไหร่ แต่พอได้ยินเผยเฉียนถามแบบนี้ นางก็ได้แต่ตอบรับอย่างขอไปทีเพื่อไม่ให้เด็กหญิงต้องผิดหวัง
คิดไม่ถึงว่าพอเผยเฉียนได้ยินจ้าวหยาพูดเออออคล้อยตามนางอย่างแห้งแล้งสองสามประโยคจะส่ายหน้า “พี่หญิงหยาเอ๋อร์ ท่านไม่เข้าใจ ตัวอักษรของอาจารย์ข้ามีดีที่…มีกลิ่นอายแห่งเซียน!”
สำหรับคำพูดที่หลุดมากะทันหันนี้ของตัวเอง เผยเฉียนรู้สึกพึงพอใจอย่างมาก
จ้าวหยาหัวเราะอย่างอดไม่อยู่ ก่อนจะแสร้งทำเป็นกระจ่างแจ้ง “ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง ต้องโทษที่ข้าสายตาไม่ดี ช่วยไม่ได้ ถึงอย่างไรข้าก็ไม่ใช่เทพเซียนบนภูเขาอย่างพวกเจ้า จึงมองฝีมือที่แท้จริงไม่ออก”
เผยเฉียนยังคงมองออกในปราดเดียวว่านางพูดกับตนอย่างขอไปที จึงแอบกลอกตามองบน คร้านจะพูดอะไรอีก เพียงฟุบหน้าลงบนโต๊ะ เบิกตากว้างมองประเมินภาพเหตุการณ์ในกรงหลวนต่อไป
ตาใหญ่จ้องตาเล็ก
ภูตประหลาดมากมายที่อยู่ในกรงหลวนล้วนพากันบินจากหอเรือน มาจ้องมองเด็กหญิงผิวดำเป็นถ่านคนนี้ด้วยกัน
จ้าวหยาเดินมาหยุดอยู่ข้างกายหลิ่วชิงชิง กล่าวอย่างตกตะลึงว่า “คุณหนู ท่านรู้สึกหรือไม่? ดูเหมือนในห้องจะมีกลิ่นอายสดชื่นและสว่างขึ้นเยอะมาก?”
หลิ่วชิงชิงยิ้มขื่น “ข้าไม่เห็นรู้สึกอะไร”
จ้าวหยายกม้านั่งมานั่งข้างกายนาง กุมมือเล็กที่เย็นเฉียบของคุณหนูตัวเองไว้เบาๆ
เฉินผิงอันและจูเหลี่ยนพลิ้วกายกลับมาที่ระเบียงนอกห้อง จูเหลี่ยนที่สองมือว่างเปล่าบอกให้สือโหรวอุ้มไหบรรจุของเหลวสีทองที่เหลืออีกสองใบขึ้นมา สือโหรวไม่เข้าใจ แต่ก็ยังคงทำตามที่อีกฝ่ายบอก ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตแปดตนนี้ ตอนนี้นางไม่อาจไปแหยมด้วยได้ ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ในลานบ้านของเรือนเล็ก จูเหลี่ยนปล่อยปราณสังหารท่วมเทียมฟ้าอย่างไม่คิดปิดบัง หันหัวหอกพุ่งเข้าหานางสือโหรว อันที่จริงนางหวาดกลัวอย่างมาก
เผยเฉียนเห็นเฉินผิงอันที่เหงื่อแตกเต็มศีรษะก็รีบวิ่งเข้าไปหา “อาจารย์ ข้าเช็ดเหงื่อให้ท่านดีไหม?”
เฉินผิงอันยิ้มส่ายหน้า “ข้ากับสือโหรวจะไปวาดยันต์ตามสถานที่ต่างๆ ของสวนสิงโตต่อ เมื่อเป็นเช่นนี้หากมีลมพัดต้นหญ้าขยับ ยันต์ก็จะเกิดการขานรับ ที่นี่มีจูเหลี่ยนปกป้องพวกเจ้าย่อมไม่มีอันตรายมากนัก ต่อให้ปีศาจมาที่นี่ก็ไม่อาจบุกเข้าประตูหน้าต่างของหอซิ่วโหลวได้ทันทีทันใด ข้าสามารถกลับมาทัน”
เผยเฉียนตบกระบี่และดาบที่ทำจากไม้ไผ่ตรงเอวพลางพยักหน้ารับ “อาจารย์ท่านวางใจได้ ข้าจะปกป้องคุณหนูหลิ่วและพี่หญิงหยาเอ๋อร์เอง!”
เฉินผิงอันตบศีรษะเล็กๆ ของนาง พูดเบาๆ ว่า “ปกป้องตัวเองให้ดีก่อน”
เผยเฉียนคลี่ยิ้มดั่งบุปผาผลิบาน
จูเหลี่ยนยิ้มบางๆ ไม่เอ่ยคำใด
เมื่อครู่นี้ตอนอยู่บนหลังคา เฉินผิงอันก็กำชับสั่งความเขาไว้ก่อนแล้วว่าจะต้องปกป้องเผยเฉียนให้ดี
ความหมายในคำพูดนั้น
ทำให้จูเหลี่ยนรู้สึกสบายใจมากเป็นพิเศษ
หากต้องติดตามนายน้อยที่แต่ละก้าวล้วนเดินเข้าหาอริยะผู้ทรงคุณธรรม ปณิธานอยู่ที่ตำแหน่งเทพของศาลบุ๋น จูเหลี่ยนมีแต่จะรู้สึกหงุดหงิดใจ
เฉินผิงอันพาสือโหรวพลิ้วกายลงไปที่ลานบ้านด้วยกัน
เฉินผิงอันบอกให้สือโหรวยื่นไหใบหนึ่งมาให้เขา “เจ้าไปเตือนกลุ่มคนของคุณชายตู๋กูกับผู้ฝึกตนคู่รักนั่น หากพวกเขายินดีก็ให้ไปเฝ้าที่ศาลบรรพชนเอาไว้ ทางที่ดีที่สุดควรเลือกมุมสูงที่การมองเห็นเปิดกว้าง ไม่แน่ว่าปีศาจจิ้งจอกอาจจะเผยกายในมุมใดมุมหนึ่งในอีกไม่นานนี้”
สือโหรวไปทำตามคำสั่งเงียบๆ
……
บนสะพานโค้งแห่งหนึ่งของสวนสิงโต สองฝั่งของสะพานมีคนหนุ่มชุดคลุมสีดำและนักพรตหญิงมีดอาคม สองฝ่ายกำลังคุมเชิงกัน
คนหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาเอามือหนึ่งกดลงบนรั้วสะพาน รั้วสะพานใต้ฝ่ามือก็แหลกละเอียดเป็นผุยผง “นักพรตหญิงหน้าเหม็น เจ้าตัดสินใจดีแล้วหรือว่าจะขัดขวางข้าจริงๆ?”
นักพรตหญิงที่ยืนอยู่บนสะพานส่ายหน้า “ขัดขวาง? ข้าจะสังหารเจ้าชิงทรัพย์”
สีหน้าของเด็กหนุ่มหล่อเหลาเปลี่ยนไปเล็กน้อย
นักพรตหญิงจากเรือนซือเตาหัวเราะหยัน “ละโมบในชะตาบุ๋นบนโลกมนุษย์ ปีศาจอย่างเจ้าข้ามบ่อสายฟ้ามาไม่ใช่แค่ก้าวครึ่งก้าวแล้ว”
เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน “เจ้าไม่อยากรู้เลยหรือว่าเหตุใดข้าที่เป็นปีศาจถึงสามารถวางแผนทำเรื่องใหญ่ขนาดนี้ใกล้เมืองหลวงเหมือนมานอนกรนอยู่ข้างเตียงฮ่องเต้สกุลถังได้?”
นักพรตหญิงวัยกลางคนเอามือกุมมีดอาคมตรงเอว “เรื่องราวยิบย่อยในโลกมนุษย์ ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับข้า”
บทที่ 394.1 แสงสว่างผุดวาบ ภูเขาค่อยๆ...
ปีศาจจิ้งจอกที่เรียกตัวเองว่านายท่านชิงพลันถามขึ้นว่า “สตรีต่างถิ่นอย่างเจ้าคือนักพรตเรือนซือเตาที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วแผ่นดินกลางจริงรึ?”
ดูเหมือนนักพรตหญิงวัยกลางคนจะรู้สึกว่าคำถามนี้น่าสนใจ มือหนึ่งจึงจับด้ามมีด อีกมือหนึ่งดีดกวานหางปลาของตัวเอง “ทำไม ยังมีใครในแจกันสมบัติทวีปกล้าสวมรอยพวกเราอีกหรือ? หากว่ามี เจ้าก็บอกชื่อแซ่มา ถือว่าเจ้าสร้างคุณความชอบครั้งหนึ่ง ข้าสามารถรับปากเจ้าได้ว่าจะให้เจ้าตายเร็วหน่อย”
เด็กหนุ่มชุดดำที่ใช้กำลังของคนคนเดียวสร้างคลื่นลมมรสุมปั่นป่วนให้สวนสิงโตวุ่นวายจุ๊ปากพูด “มีชาติกำเนิดมาจากเรือนซือเตาจริงๆ หรือนี่ เพียงแต่ไม่รู้ว่ากินโอสถทองล้ำค่าของเจ้าเม็ดนั้นไปแล้ว นายท่านใหญ่อย่างข้าจะท้องแตกตายหรือไม่”
มุมปากของนักพรตหญิงตวัดโค้งขึ้น “ไม่เสียทีที่เป็นแคว้นเล็กสุดในใต้หล้าไพศาล ไม่ว่าจะบนหรือล่างภูเขา ขอแค่เกี่ยวข้องกับผู้ฝึกลมปราณ แต่ละคนล้วนความสามารถไม่มาก แต่ปากดีไม่น้อย ใช่แล้ว ข้าชื่อหลิ่วป๋อฉี การที่ข้ามาเยือนที่นี่ แรกเริ่มนั้นก็เพราะแซ่สกุลหลิ่วของสวนสิงโตแห่งนี้ ผลกลับพบว่าข้าที่โชคร้ายมาตลอดการเดินทาง ในที่สุดโชคก็เข้าข้างเสียที ข้าต้องขอบคุณเจ้า และที่ข้าพูดเรื่องพวกนี้กับเจ้าก็เพื่อให้ปีศาจที่ร่างจริงคือตัวทากอย่างเจ้าตายไปพร้อมกับความเข้าใจ”
เด็กหนุ่มหน้าเปลี่ยนสีอย่างรุนแรง ต่อให้คิดจนหัวแตกก็คิดไม่ออกว่าสตรีน่ารังเกียจผู้นี้รู้ตัวตนที่แท้จริงของตนได้อย่างไร
มันไม่รู้ว่าน้ำเต้าบรรจุเหล้าสีชาดตรงเอวเฉินผิงอันใบนั้นมีเวทอำพรางตาที่สามารถบดบังการตรวจสอบของเซียนดินโอสถทองได้ แต่พอนักพรตหญิงร่ายเวทคาถากลับมองออกว่านั่นคือน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่ไม่ธรรมดาได้ในปราดเดียว
นักพรตหญิงวัยกลางคนยังคงพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ดังนั้นข้าถึงได้บอกว่าภูตต้นหลิ่วนั่นไม่ต่างจากคนตาบอด เจ้าเข้าๆ ออกๆ สวนสิงโตหลายครั้งขนาดนี้ก็ยังมองรากฐานของเจ้าไม่ออก แค่อาศัยกลิ่นสาปจิ้งจอกน้อยนิดและเชือกขนจิ้งจอกไม่กี่เส้นก็เชื่อจริงๆ ว่าเจ้าคือปีศาจจิ้งจอก เข้าใจผิดไปไม่ใช่น้อยๆ คนเบื้องหลังที่สนับสนุนให้เจ้าทำร้ายสวนสิงโตก็เป็นคนตาบอดเช่นกัน ไม่อย่างนั้นคงถลกเอาหนังจิ้งจอกของเจ้ามานานแล้วกระมัง? ความรุ่งโรจน์และความเสื่อมถอยของชะตาบุ๋นสกุลหลิ่วน้อยนิดแค่นี้จะนับเป็นอะไรได้ ไหนเลยจะมีค่าเท่ากับทรัพย์สมบัติในท้องของเจ้า”
เด็กหนุ่มที่เคยป่าวประกาศว่าต่อให้ถูกก่อกำเนิดไล่ฆ่าก็ไม่กลัวบังเกิดความขลาดกลัวขึ้นมาในใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ใช้น้ำเสียงปรึกษาหารือถามว่า “หากข้าไปจากสวนสิงโตเสียตั้งแต่ตอนนี้ เจ้าจะปล่อยข้าไปได้หรือไม่?”
นักพรตหญิงวัยกลางคนตอบไม่ตรงคำถาม คงเป็นเพราะดูแคลนที่จะตอบคำถามที่ไม่ใช้สมองประเภทนี้ นางใช้ฝ่ามือเคาะด้ามมีดเบาๆ พูดพึมพำกับตัวเองว่า “มีดอาคมที่พกติดตัวตลอดเวลาเล่มนี้มีชื่อว่าเทพเจ้าจิ้ง (จิ้งคือสัตว์ที่มีรูปร่างคล้ายกับเสือดาวชนิดหนึ่งในหนังสือโบราณ ซึ่งเมื่อเกิดมาแล้ว มันจะกินแต่สัตว์ประเภทเดียวกันเอง) อยู่ในอันดับที่เจ็ดของเรือนซือเตาภูเขาห้อยหัว ส่วนวัตถุแห่งชะตาชีวิตของข้าก็ยังคงเป็นมีด มีชื่อว่าเจี่ยจั้ว (เทพในตำนานโบราณที่ว่ากันว่ากินผีเป็นอาหาร) แต่เจ้าก็วางใจเถอะ เจ้าไม่ได้เห็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตของข้าหรอก นี่ก็คือโชคดีใหญ่เทียมฟ้าของเจ้า”
เด็กหนุ่มเข่าอ่อนยวบ
เขาพูดอย่างน่าสงสารว่า “อดีตเจ้าของร่างปีศาจจิ้งจอกที่ข้ากินไปนี้ เดิมทีก็ไม่ใช่คนดีอะไร มันนึกอยากจะอาศัยการแต่งงานมาสร้างโอสถทอง และยังอยากจะใช้โอกาสนี้มาดูดดึงโชคชะตาบุ๋นของสกุลหลิ่ว ซ้ำยังเพ้อฝันว่าจะเข้าร่วมการสอบเคอจวี่ ข้าฆ่ามัน กินมันลงท้อง อันที่จริงก็ถือว่าได้ช่วยสวนสิงโตต้านทานหายนะไปครั้งหนึ่ง หลังจากนั้นก็แค่มีเซียนซือผู้เฒ่าแคว้นชิงหลวนคนหนึ่งที่ปรารถนาอยากครอบครองหยกลัญจกรของแคว้นที่ล่มสลายซึ่งสืบทอดมาจากบรรพบุรุษสกุลหลิ่ว จึงร่วมมือกับบุคคลใหญ่ในราชสำนักที่มีวิชาอภินิหารใหญ่เทียมฟ้าคนหนึ่ง ส่วนข้าก็แค่คล้อยไปตามสถานการณ์เท่านั้น ทั้งสามฝ่ายต่างก็ได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ เป็นแค่การค้าขายเล็กๆ ไม่มีค่าพอให้พูดถึง กูไหน่ไน่ (คำเรียกสตรีที่แต่งงานออกไปแล้วของคนบ้านเดิม) เจ้าเป็นผู้ใหญ่ใจกว้าง ถือซะว่าข้าเป็นแค่ผายลมเถอะนะ? หากข้าไปรบกวนอารมณ์ชื่นชมทัศนียภาพของกูไหน่ไน ข้าก็ยินดีจะประคองโอสถทองครึ่งดวงของปีศาจจิ้งจอกส่งให้เจ้าด้วยสองมือ ถือเป็นของไถ่โทษ ตกลงไหม?”
นักพรตหญิงเรือนซือเตานามหลิ่วป๋อฉีหลุดหัวเราะ “เป็นเพราะรู้สึกว่าข้าไม่มีทางหาร่างจริงของเจ้าเจอก็เลยแสร้งทำเป็นบ้าบออยู่ตรงนี้ใช่ไหม?”
เด็กหนุ่มพลันเปลี่ยนสีหน้าใหม่ หัวเราะฮ่าๆ อย่างเบิกบาน “โอ้โหแหะ สตรีหน้าเหม็นอย่างเจ้าน้ำไม่ได้เข้าสมองอย่างที่ข้าคิดเลยนี่นา เรือนซือเตาแล้วอย่างไร มีดอาคมเทพเจ้าจิ้งภูเขาห้อยหัวอะไรทั้งหลายเหล่นั่น แล้วอย่างไร? อย่าลืมล่ะว่าที่นี่คือแจกันสมบัติทวีป คือแคว้นชิงหลวนที่อยู่ข้างกายสกุลเจียงอวิ๋นหลิน! นังอัปลักษณ์ นังหญิงหน้าเหม็น จะแลกเปลี่ยนกับเจ้าดีๆ แต่เจ้าไม่ยอมตอบรับ ต้องให้นายท่านชิงอย่างข้าด่าเจ้าหลายๆ คำ เจ้าถึงจะสบายใจสินะ? สมกับเป็นหญิงต่ำช้าซะจริง รีบไปไหว้พระขอพรที่เมืองหลวงซะเถอะ ไม่อย่างนั้นวันใดอยู่ในแจกันสมบัติทวีปแล้วตกอยู่ในน้ำมือของนายท่านใหญ่อย่างข้า ข้าจะต้องโบยให้เนื้อหนังของเจ้าแตกเหวอะหวะให้จงได้! ไม่แน่ว่าถึงเวลานั้นเจ้าอาจจะชื่นชอบก็ได้นี่นะ ถูกไหม?”
หลิ่วป๋อฉีกลับไม่โกรธเคืองแม้แต่น้อย กลับกันยังยกยิ้มมีเลศนัย “คำโบราณว่าไว้ ศาลเล็กลมปีศาจแรง ช่างเป็นคำที่จี้ใจดำจริงๆ พูดคุยกับปีศาจทากอย่างเจ้าสนุกยิ่งนัก เมื่อเทียบกับพวกภูตผีปีศาจยักษ์ใหญ่หลายตนในอดีตที่พอข้าออกมีด บ้างก็โขกหัววิงวอนอย่างสุดชีวิต บ้างก็บ้าคลั่งก่อนตายแล้ว เจ้าน่าสนใจกว่ามาก”
มองดูเหมือนเด็กหนุ่มจะกำเริบเสิบสาน แต่อันที่จริงในใจกลับบ่นพึมพำไม่หยุด สตรีผู้นี้มัวอืดอาดยืดยาด ไม่เหมือนนิสัยของนางเลย หรือว่ามีกับดัก?
แต่ไม่มีใครรู้ว่ามันแอบเล่นตุกติกบางอย่างบนร่างของภูตต้นหลิ่วซึ่งเป็นเทพแห่งผืนดินของที่แห่งนี้ หากสวนสิงโตมีการหมุนเวียนของลมและน้ำซึ่งความเคลื่อนไหวค่อนข้างรุนแรงเกิดขึ้น มันจะรับสัมผัสได้ทันที
หากจะบอกว่ามีแผนการร้ายรอมันอยู่ที่หอซิ่วโหลว มันก็แค่อดทนข่มกลั้นไว้ชั่วคราว ไม่ไปเก็บดอกผลชะตาบุ๋นที่วางไว้บนร่างของสตรีผู้นั้นกินก่อนก็แค่นั้น ดูแค่ว่าใครจะทนได้นานกว่ากัน นักพรตหญิงเรือนซือเตาผู้นี้กับคนหนุ่มสะพายกระบี่ผู้นั้นจะเฝ้าอยู่ในสวนสิงโตได้เป็นปีครึ่งปีเลยหรือไร?
ถ้าอย่างนั้นจะเป็นที่พึ่งแบบใดที่สามารถทำให้นักพรตหญิงอัปลักษณ์ผู้นี้เกิดตบะและความอดทนขึ้นมา? จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ยอมใช้มีดฟันร่างมายานี้ของตนเหมือนตอนที่อยู่บนกำแพงของเรือนเล็กก่อนหน้านั้น?
หลิ่วป๋อฉีเบี่ยงตัวพิงราวสะพาน ยื่นมือบอกเป็นนัยให้ปีศาจเดินข้ามสะพานมาได้ตามสบาย นางจะไม่ขัดขวางเด็ดขาด “หากเจ้าเดินไปถึงหอซิ่วโหลวก็จะรู้ความจริงเอง”
ก่อนหน้านี้หลิ่วป๋อฉีขัดขวางเอาไว้ มันนึกอยากจะฝ่าออกไปดูที่หอซิ่วโหลวให้รู้แล้วรู้รอดว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ตอนนี้พอหลิ่วป๋อฉีเปิดทางให้ มันกลับเริ่มรู้สึกว่าสะพานโค้งเล็กๆ แห่งนี้กลายเป็นภูเขามีดทะเลเพลิง
จิตใจคนดุจผีร้าย น่ากลัวยิ่งกว่าปีศาจอย่างพวกมันเสียอีก
ท่ามกลางการเวลาอันยาวนาน มันเคยเสียเปรียบครั้งใหญ่มาแล้วหลายครั้ง ไม่อย่างนั้นบางทีวันนี้ก็อาจจะคลำเจอธรณีประตูของห้าขอบเขตบนแล้วก็เป็นได้
เด็กหนุ่มหล่อเหลาที่กินปีศาจจิ้งจอก ใช้เนื้อหนังมังสาของปีศาจจิ้งจอกเป็นเวทอำพรางตาตนนี้ ไม่เพียงแต่ร่างจริงคือตัวทากที่หาได้ยาก การที่หลิ่วป๋อฉีไม่ยอมปล่อยมันไปง่ายๆ ยังมีปัจจัยใหญ่อีกข้อหนึ่ง
เพราะว่ามันคือหนึ่งในปีศาจจำแลงสมบัติที่ ‘ฟ้าดินโคจรเปลี่ยนผัน โชควาสนามากมายไร้สิ้นสุด’ เดิมทีตัวทากก็กลายเป็นภูติได้ยากยิ่งอยู่แล้ว และการที่กลายมาเป็นปีศาจจำแลงสมบัติตัวหนึ่งได้ก็ยิ่งเป็นเรื่องที่หาได้ยากบนโลก พวกมันชอบกินภูตผีปีศาจหลากหลายชนิด จุดที่มหัศจรรย์ที่สุดไม่ใช่ด้านที่มันเชี่ยวชาญการเสแสร้ง อำพราง หลบหนีและยากที่จะถูกสมบัติอาคมสังหาร
แต่เป็นข้อที่ว่าเมื่อปีศาจตนนี้กินภูตผีประหลาดไปมากมาย ก็จะได้รับโชควาสนาของสิ่งที่มันกินเข้าไปบนเส้นทางของการฝึกตน สามารถบุกรุดหน้าไปพร้อมกันบนเส้นทางหลายสาย ใช้โอสถปีศาจดั้งเดิมมาเป็นบันไดเดินทีละก้าวจนกระทั่งสร้างโอสถทองได้หลายเม็ด
ไม่ต่างจากปลาวาฬกลืนสมบัติที่มาอยู่บนแผ่นดินเลยสักนิด ใครสามารถฆ่าได้ คนผู้นั้นก็รวยเละ!
เป็นเหตุให้แม้แต่หลิ่วป๋อฉีที่สายตาสูงส่งไม่เห็นหัวใครก็ยังรู้สึกอยากครอบครองเซียนดินตัวทากที่น่าหัวเราะตัวนี้ หากคนหนุ่มแซ่เฉินผู้นั้นกล้ามาแย่งชิงกับนาง เทพเจ้าจิ้งมีดอาคมตรงเอวของนาง รวมไปถึง ‘เจี่ยจั้ว’ มีดโบราณอันเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตก็คงไม่มีตาแล้วจริงๆ
หลิ่วป๋อฉีเห็นท่าทางกวาดตามองไปรอบทิศอย่างขลาดกลัวของเจ้าหมอนี่ก็ยิ้มกล่าวว่า “ข้ารู้ว่าร่างจริงของเจ้าอยู่ในใต้ดินลึกบริเวณใกล้ๆ นี้ อาศัยเส้นสายลมปราณของรากภูเขามาหลบเลี่ยงการตรวจสอบของข้า”
เด็กหนุ่มเอียงศีรษะ “ในเมื่อเจ้าเก่งกาจปานนี้ ไยไม่ปล่อยมีดออกมาฟันให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยเล่า สถานที่ซ่อนร่างที่มีรากภูเขาและสายน้ำน้อยนิดแค่นั้นไม่อาจต้านทานการขุดดินลึกสามฉื่อของเจ้าถึงครึ่งก้านธูปหรอก ถึงเวลานั้นข้าก็ไร้ที่ให้ซ่อนตัวแล้วไม่ใช่หรือ เหตุใดถึงไม่ทำเช่นนี้เล่า? คงมีเรื่องที่เจ้าใส่ใจสินะ”
มันถามเองตอบเอง “อ้อ ข้าเดาได้ถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่ง ถึงอย่างไรข้าก็ใส่ใจทุกการกระทำของเจ้าในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้มากกว่าการกระทำของคุณชายที่มีผู้ฝึกกระบี่เป็นสาวใช้คนนั้น”
หลิ่วป๋อฉีหรี่ตาลง
เด็กหนุ่มยกมือสองข้างขึ้น หัวเราะคิกคัก “รู้ว่าเจ้าไม่มีทางยอมให้ข้าพูดออกมาหรอก มาเถอะ เสียบมีดใส่นายท่านใหญ่สักที ให้ว่องไวหน่อย ภูเขาเขียวไม่เปลี่ยน สายน้ำมรกตไหลยาว พวกเรามาคอยดูกันไปเถอะ!”
หลิ่วป๋อฉีเงื้อมีดฟันให้ภาพลวงตาของเด็กหนุ่มที่อยู่อีกฝั่งของหัวสะพานแหลกสลายจริงๆ
ยังคงมีขนจิ้งจอกหนึ่งเส้นร่วงลงสู่พื้นดิน
หลิ่วป๋อฉีมองไกลไปรอบด้าน สี่ทิศของสวนสิงโตล้วนมีแต่ภูเขาเขียว
นางเห็นภูเขาเขียว (ชิงซาน) ที่งดงามก็เกิดความรักตั้งแต่แรกพบ
หลิ่วป๋อฉีหน้าแดงก่ำน้อยๆ โชคดีที่รอบด้านไร้ผู้คน อีกทั้งผิวนางก็ค่อนข้างคล้ำจึงไม่สะดุดตานัก
เก็บความคิดวุ่นวายนี้ไปแล้ว นางก็กลับมามีสีหน้าเย็นชาแข็งกระด้างอีกครั้ง สัมผัสถึงการไหลเวียนอย่างบางเบาของลมปราณจากสี่ด้านแปดทิศ หลิ่วป๋อฉีก็เตรียมรอดูเรื่องสนุก คราวนี้ตัวทากที่ทั่วร่างมีแต่สมบัติล้ำค่านั่นต้องสะดุดล้มหัวทิ่มแล้ว (เปรียบเปรยว่าทำบางอย่างล้มเหลวจึงได้รับบทเรียนหรือพบอุปสรรค)
ในเมื่อเป็นสถานการณ์ที่ช่วยคนอื่นแล้วยังช่วยเหลือตัวเอง ถ้าอย่างนั้นหลิ่วป๋อฉีก็ยินดีชักดึงเทพเจ้าจิ้งมีดอาคมที่มีชื่อเสียงของเรือนซือเตาออกมาจากฝัก ร่างทะยานวูบผ่านสถานที่ต่างๆ ของสวนสิงโตติดต่อกัน ครั้นจึงเริ่มออกมีดอย่างแม่นยำ หากไม่สะบั้นความเชื่อมโยงระหว่างรากภูเขาและสายน้ำก็จ้วงแทงไปยังตำแหน่งที่มีความเป็นไปได้มากสุดว่าจะเป็นที่ซ่อนตัวของปีศาจ นอกจากนี้นางยังจงใจทำให้เกิดความเคลื่อนไหวรุนแรง พายุลมกรดพัดกระโชก ลมและน้ำของสวนสิงโตถูกก่อกวนจนปั่นป่วนขุ่นคลั่กไปชั่วขณะ
ช่วยถ่วงเวลาให้คนหนุ่มชุดขาวที่ตรงเอวรัดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่คนนั้นต่ออีกครั้ง
มาเจอกับปีศาจเจ้าเล่ห์อย่างปีศาจตัวทากที่ฆ่าง่ายแต่จับตัวยากตนนี้ หลิ่วป๋อฉีก็ได้แต่ฝืนใจทำเรื่องที่น่าเบื่อเช่นนี้แล้ว
……
นอกห้องหนังสือที่ประตูปิดสนิท ร่างมายาของเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาปรากฏตัวอีกครั้ง สองมือไพล่หลัง หนึ่งเท้าเตะเปิดประตูใหญ่ ก้าวข้ามผ่านธรณีประตูไป
สูดจมูกดมกลิ่นก็รู้สึกไม่ใคร่สบายตัวนัก มันเหลือกตามองบน พึมพำกับตัวเองว่า “ไม่รู้จริงๆ ว่าบรรพบุรุษของสกุลหลิ่วสะสมบุญอย่างไรถึงได้มีกลิ่นอายชะตาบุ๋นที่เข้มข้นวนเวียนอยู่ในสวนสิงโตไม่จางหายอย่างนี้ ก็ไม่แปลกที่ปีศาจจิ้งจอกขอบเขตประตูมังกรตัวนั้นจะอยากครอบครอง น่าเสียดายที่ชะตาชีวิตของมันไม่ดี ทุกอย่างที่ทำมาจึงเปลืองแรงเปล่า”
มันเริ่มเคาะตรงโน้นลูบคลำตรงนี้ กระทืบเท้าไม่หยุดนิ่งดูว่ามีพวกกลไกห้องลับอะไรหรือไม่ สุดท้ายไม่พบอะไรก็เริ่มพลิกค้นลังและชั้นวางที่ซ่อนของได้ง่าย
สมบัติชิ้นนั้นควรจะถูกซ่อนไว้ในห้องหนังสือแห่งนี้ถึงจะถูก
ครั้งนี้สวนสิงโตประสบหายนะ เบื้องหลังมีผู้อาวุโสใหญ่สองคน ซึ่งมันล้วนเคยพูดคุยด้วยมาก่อน แน่นอนว่าทั้งสองคนล้วนเป็นพวกที่ตอแยด้วยยาก คนหนึ่งตบะสูงส่ง คนหนึ่งกุมอำนาจใหญ่ แม้แต่มันก็ยังไม่กล้าสนิทสนมด้วยมากนัก
ตาเฒ่าที่ชอบเก็บสะสมหยกลัญจกรของแคว้นต่างๆ ในแจกันสมบัติทวีปผู้นั้นมีจมูกเหยี่ยวงองุ้ม เวลายิ้มน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าภูตผีเสียอีก คำกล่าวถึงลักษณะหน้าตาของคนที่สำนักหยินหยางสรุปออกมาเหมาะสมกับคนผู้นี้อย่างมาก ‘จมูกเหมือนปากเหยี่ยว จิกทึ้งใจคน’ ประโยคนี้เข้าเป้าตรงเผง
ตาเฒ่าวิปริตใช้ช่องทางสนับสนุนมังกร (เปรียบเปรยถึงฮ่องเต้) ในราชสำนัก ชอบกวาดเอามรดกทรัพย์สินของแคว้นที่ล่มสลายมาที่สุด ยิ่งเป็นของเล่นที่ใกล้ชิดกับฮ่องเต้องค์สุดท้ายมากเท่าไหร่ ตาเฒ่าก็ยิ่งถูกใจและให้ราคาสูงมากเท่านั้น
ว่ากันว่าคนผู้นั้นได้เก็บสะสมตราลัญจกรหยกของฮ่องเต้หลายยุคหลายสมัยมาเกือบร้อยชิ้นแล้ว ไม่ว่ารูปแบบใดก็มีหมด แต่เขาก็มีเรื่องที่เสียดายอยู่สองเรื่องใหญ่ หนึ่งคือตราลัญจกรหยกที่ควรมีครบชุดกลับขาดไปชิ้นหนึ่ง มีข่าวลือเล็กๆ บอกว่ามันมาปรากฏอยู่ที่ท่าเรือหางผึ้ง เพียงแต่ว่าตาเฒ่าค่อนข้างกริ่งเกรงตรอกที่เคยมีผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนปรากฏมาก่อนเส้นนั้น จึงไม่กล้าไปปล้นชิงของของผู้อื่น
เรื่องเสียดายเรื่องที่สองก็คือ ‘ตระเวนไล่ล่าสมบัติแห่งใต้หล้า’ (ในสมัยราชวงศ์ชิงมีหยกลัญจกรทั้งหมดยี่สิบห้าชิ้น หยกตระเวนไล่ล่าสมบัติแห่งใต้หล้านี้คือหยกอันดับที่ยี่สิบ ซึ่งฮ่องเต้จะใช้ประทับยามที่มีการออกตรวจตราลาดตระเวน) ซึ่งปรารถนามานานแต่ก็ไม่อาจได้ครอบครอง สมบัติชิ้นนี้คือมรดกตกทอดของราชวงศ์ใหญ่ทางทิศใต้ของแจกันสมบัติทวีปที่ล่มสลายไปแล้ว สมบัติชิ้นสำคัญที่สืบทอดต่อกันมาของแว่นแคว้นชิ้นนี้ อันที่จริงมีขนาดไม่ใหญ่นัก แค่สองชุ่นเท่านั้น ทำมาจากวัสดุสีทองอร่าม เพียงแต่ทองก้อนเล็กๆ แค่นี้กลับสามารถสลักตัวอักษรได้มากมายเป็นประโยคว่า ‘อาณาบริเวณทั่วฟ้าดิน ทวยเทพช่วยเหลืออย่างลับๆ เกราะสีทองส่องสว่างอร่ามจ้า ตระเวนไล่ล่าไปสี่ทิศ’
บางครั้งมันก็เงยหน้าขึ้นมองไปนอกหน้าต่างอยู่สองสามครั้ง
สตรีหน้าเหม็นผู้นั้นไม่ยอมเลิกราจริงๆ เริ่มใช้วิธีการที่โง่งมที่สุดมาตามหาร่างจริงของตนแล้ว ฮ่าๆ หากนางหาพบก็ถือว่านางมีความสามารถแล้ว!
มันหัวเราะชอบใจอยู่กับตัวเอง นี่ต้องยกความดีความชอบให้กับนิยายจอมยุทธ์ในยุทธภพเล่มหนึ่ง ในนิยายกล่าวประโยคหนึ่งว่าสถานที่ที่อันตรายที่สุดก็คือสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุด ประโยคนี้ยิ่งมันขบคิดใคร่ครวญก็ยิ่งรู้สึกว่าน่าสนใจ
มันยังคงค้นหาก้อนทองเล็กๆ ก้อนนั้นต่อ เริ่มหงุดหงิดใจน้อยๆ
เจ้าเป๋น้อยหลิ่วรู้จักซ่อนของดีจริงๆ
แม้จะบอกว่าต่อให้มันหาเจอแล้วก็ยังเอาไปไม่ได้ แต่ขอให้เห็นก่อนก็ยังดี
พูดไปแล้วอาจฟังดูไร้สาระ ตอนนี้หลังจากมีความเชื่อมโยงกับฮวงจุ้ยของสวนสิงโต มันกลับกลายเป็นคนน่าสงสารที่แม้แต่ทองก้อนเล็กๆ ก็ยังไม่อาจเคลื่อนย้ายไปได้
หากไม่สนใจผลลัพธ์ที่จะตามมาก็อาจทำได้อยู่ แต่มันไม่เต็มใจทำ บนเส้นทางการฝึกตนของปีศาจ สิ่งที่ไม่ขาดแคลนมากที่สุดก็คือเวลา
นี่น่าจะเป็นการชดเชยอย่างหนึ่งที่สวรรค์มีให้เผ่าปีศาจที่ฝึกตนได้ยากกว่าเผ่าอื่นๆ กระมัง กลายมาเป็นภูตที่มีสติปัญญานั้นยาก นั่นคือธรณีประตูบานหนึ่ง หากจะจำแลงร่างกลายเป็นคนแล้วไปฝึกตนก็ยิ่งเป็นธรณีประตูอีกบานหนึ่ง สุดท้ายตามหาวิชาลับตระกูลเซียนที่ชี้ตรงไปยังมหามรรคา หรือไม่ก็เหยียบโชคขี้หมาก้อนใหญ่ ถูก ‘แต่งตั้งอย่างถูกต้องชอบธรรม’ โดยตรง ถือเป็นธรณีประตูบานที่สาม จากบันทึกที่ระบุไว้ในประวัติศาสตร์ จวนเทียนซือของภูเขามังกรพยัคฆ์ก็มีปีศาจจิ้งจอกห้าขอบเขตบนที่โชคดีอย่างถึงที่สุดอยู่ตนหนึ่ง เพียงแค่ถูกตราประทับเทียนซือประทับลงบนขนเบาๆ ทีเดียวก็ต้องเจอกับทัณฑ์สายฟ้าอันยิ่งใหญ่ที่ก่อกำเนิดทุกคนซึ่งต้องฝ่าทะลุขอบเขตต้องเจอ กระโดดโลดเต้นไม่กี่ทีก็ข้ามผ่านปราการธรรมชาติที่แทบไม่อาจก้าวข้ามไปได้ เผ่าปีศาจในใต้หล้าไพศาลแห่งนี้ ใครบ้างที่ไม่อิจฉา?
แค่มันได้ยินคนเล่าต่อๆ กันมาก็ยังอิจฉาแทบตายอยู่แล้ว
หางตาของมันชำเลืองไปเห็นกลอนคู่ที่แขวนไว้สูงบนผนังห้องหนังสือโดยบังเอิญ เจ้าเป๋น้อยหลิ่วชิงซานเขียนด้วยตัวเอง ส่วนเนื้อความนั้นยกมาจากตำราอริยะปราชญ์หรือว่าเจ้าเป๋คิดขึ้นมาเอง มันเพิ่งเคยอ่านตำราแค่ไม่กี่เล่มย่อมไม่รู้คำตอบ
ฝั่งหนึ่งเขียนคำว่า ‘ใต้พู่กันค่ายพันทัพ บทกวีหมื่นทหารม้า’
อีกฝั่งหนึ่งเขียนว่า ‘มีคุณธรรมทัดเทียมอดีตและปัจจุบัน เก็บซ่อนตำราสอนลูกหลาน’
หนึ่งพลังอำนาจปลดปล่อยไปภายนอก อีกหนึ่งจิตใจและปณิธานเก็บไว้ภายใน
ความหมายเล็กๆ น้อยๆ นี่ มันยังพอจะมองออก
มันเงยหน้าขึ้น มองซ้ายมองขวาแล้วถ่มน้ำลายใส่กลอนคู่
จากนั้นก็หัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง
ได้เห็นบัณฑิตมากความรู้ที่เปี่ยมไปด้วยปณิธานอันฮึกเหิมต้องสะดุดล้มจมบ่อโคลน สภาพทุเรศยิ่งกว่าไก่ตกน้ำ หมาตกน้ำเสียอีก ช่างทำให้คนเบิกบานใจได้ดีจริงๆ
บทที่ 394.2 แสงสว่างผุดวาบ ภูเขาค่อยๆ...
มันเดินอาดๆ อ้อมผ่านโต๊ะที่วางของตกแต่งประณีตงดงามจนเต็มมานั่งบนเก้าอี้ แหงนเงยศีรษะไปด้านหลัง ขยับก้นไปมา แต่กลับไม่รู้สึกสบายตัวสักทีจึงเริ่มสบถด่าหยาบคาย มารดามันเถอะ พวกบัณฑิตนี่แม่งดีแต่กินอิ่มแล้วไม่ทำงานทำการอะไรจริงๆ ขนาดเก้าอี้ที่นั่งสบายสักตัวก็ยังไม่เต็มใจทำ จะต้องให้คนลำบากนั่งอกตั้งหลังตรงอยู่ได้
มันจ้องเป๋งไปยังเบื้องบน
ไพล่นึกไปถึงผู้อาวุโสใหญ่อีกคนหนึ่งที่อยู่เบื้องหลัง ผู้เฒ่าสกุลถังที่กุมอำนาจใหญ่ของแคว้นชิงหลวน
คนผู้นี้เกลียดขี้หน้าหลิ่วจิ้งถิงมานานมากแล้ว
นี่ช่างน่าแปลกนัก ขนาดมันที่เป็นคนนอกยังรู้ว่าหลิ่วจิ้งถิงเป็นขุนนางน้ำดีมากความสามารถ คือเสาคานสำคัญที่ค้ำยันราชสำนัก เจ้าเป็นอาแท้ๆ ของฮ่องเต้สกุลถังองค์ปัจจุบัน เหตุใดถึงมองหลิ่วจิ้งถิงเป็นดั่งศัตรูคู่อาฆาตเสียเล่า?
สองปีมานี้มีปัญญาชนและชนชั้นสูงมากน้อยเท่าไหร่ที่เดินทางลงใต้เพราะชื่นชมในชื่อเสียงอันดีงามของรองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่ว?
ต่อให้มันคิดจนหัวแตกก็ยังไม่เข้าใจ
นี่กลับทำให้มันไพล่นึกไปถึงเมื่อปลายปีที่มันไปนอนอยู่บนคานแอบฟังบทสนทนาในวงเหล้าระหว่างพ่อลูกสวนสิงโต
หลิ่วจิ้งถิงและบุตรชายของเขาสองคนดื่มเหล้าพูดคุยกัน เรื่องที่คุยก็หนีไม่พ้นความกังวลต่อบ้านเมืองความเป็นห่วงปวงประชาของหลิ่วจิ้งถิง ข่าวใหม่ล่าสุดที่บุตรชายคนโตได้ยินมา รวมไปถึงการเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาสังคมในปัจจุบันของหลิ่วชิงซาน
พวกปัญญาชนและขุนนางบุ๋นที่เกลียดแค้นหลิ่วจิ้งถิงที่สุดนั้นน่าสนใจมาก ไม่ใช่พวกศัตรูในราชสำนักที่ความเห็นด้านการปกครองไม่ตรงกัน แต่กลับเป็นพวกบัณฑิตที่พยายามพึ่งพารองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่วแต่ไม่ได้ผล ทุ่มเทสุดความสามารถเพื่อประจบเอาใจแต่กลับไม่ได้รับการตอบรับ จากนั้นก็เป็นคนกลุ่มหนึ่งที่โต้เถียงเอาชนะคะคานกับลูกศิษย์ของรองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่วอย่างไม่ยอมเลิกรา ถกเถียงกันในวงการวรรณกรรมจนหน้าดำหน้าแดง สุดท้ายด้วยความอับอายที่พานเป็นความโกรธจึงหันมาเคียดแค้นหลิ่วจิ้งถิงเข้ากระดูกดำตามไปด้วย
ขนาดหลิ่วจิ้งถิงเองยังรู้สึกประหลาดใจ อันที่จริงการปฏิบัติตัวที่เขามีต่อคนอื่นล้วนไม่เคยแบ่งแยกว่าตำแหน่งขุนนางสูงหรือต่ำ ชาติกำเนิดดีหรือเลว อย่างมากสุดก็แค่ไม่เอ่ยวิจารณ์ผลงานที่ใช้ถ้อยคำเลิศลอยสวยหรูเกินไป ไม่สนใจถ้อยคำที่จงใจประจบเอาใจเขา แต่ท่าทีเช่นนี้ของหลิ่วจิ้งถิงกลับทิ่มแทงใจคนบางคนมากที่สุด สำหรับเรื่องนี้ หลังจากที่หลิ่วจิ้งถิงลาออกจากราชการแล้วมีครั้งหนึ่งได้พูดคุยเรื่องวงการขุนนางกับบุตรชายคนโต นายอำเภอเล็กๆ ที่ภาพลักษณ์ภายนอกไม่โดดเด่นเท่าน้องชายหลิ่วชิงซานได้พูดหลักการเหล่านี้ให้บิดาฟังอย่างกระจ่างแจ้ง ตอนนั้นหลิ่วจิ้งถิงทำเพียงกระดกจอกเหล้าดื่มจนหมดจอกเท่านั้น
ส่วนหลิ่วชิงซานกลับไม่เห็นด้วย เขาพูดจาโผงผางตรงไปตรงมา กลับกลายเป็นตำหนิพี่ชายคนโตที่สนิทสนมกันมาตั้งแต่เด็กไปคำรบหนึ่ง
ยังดีที่พี่ชายรู้นิสัยของหลิ่วชิงซานดีจึงไม่โกรธเคือง เอ่ยแค่ว่าตนเข้าไปอยู่ในอ่างโรคติดต่ออย่างวงการขุนนางแล้ว หวังว่าวันหน้าหลิ่วชิงซานอย่าได้เลียนแบบเขาก็พอ
ช่างเป็นบรรยากาศกลมเกลียวปรองดองที่บิดาเมตตาบุตรกตัญญู พี่ชายมีน้ำใจน้องชายให้ความเคารพนับถือซะจริง
อันที่จริงตอนนั้นในใจมันก็มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา ปีศาจจิ้งจอกที่ถูกตนกินไปตนนั้นคิดจะทำตัวกลมกลืนเข้ามาในตระกูลหลิ่วของสวนสิงโตจริงๆ ใช่หรือไม่? การที่มันอยากจะสอบเคอจวี่เพราะคิดว่าวันหนึ่งจะใช้สถานะลูกเขยของหลิ่วจิ้งถิงมาสร้างคุณงามความดีในราชสำนักและด้านงานวรรณกรรม สุดท้ายหันกลับมาหล่อเลี้ยงชะตาบุ๋นของสกุลหลิ่วซะเอง?
เพียงแต่ว่าตอนนั้นมันน้ำลายสอมากจริงๆ จึงกินปีศาจจิ้งจอกที่ยังไม่ทันสร้างโอสถทองตนนั้นหมดในคำเดียว จำได้ว่าตัวเองยังเรออยู่อีกหลายทีด้วยนี่นะ?
มันหันหน้ากลับไป รับสัมผัสได้ถึงการออกมีดของสตรีหน้าเหม็นเรือนซือเตาที่ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะกลับไปมือเปล่า พูดอย่างเคียดแค้น “หน้าตาอัปลักษณ์ถึงเพียงนั้น คู่กับเจ้าคนขาเป๋ก็เหมาะสมกันพอดี!”
น่าเสียดายที่มันไม่ใช่อริยะลัทธิขงจื๊อที่แค่เอื้อนเอ่ยก็สามารถตัดสินความเป็นความตายของคนอื่นได้
ทอดถอนใจหนึ่งที ก่อนจะดึงสายตากลับมา กวาดตามองไล่ไปบนสี่สมบัติแห่งห้องหนังสือจำนวนมากมายที่ไร้ราคาเหล่านั้นอย่างไม่มีอะไรทำ
มันพลันเบิกตากว้าง ยื่นมือไปคลำกล่องใบเล็กที่อยู่ด้านข้างที่ทับกระดาษไม้ทรงยาว
ร้อนลวกมือ!
มันรีบหดมือกลับมา อารมณ์ผ่อนคลายอย่างยิ่งยวด ด่ายิ้มๆ ว่า “เจ้าหลิ่วชิงซานผู้นี้ ร้ายนักนะ!”
……
ทางฝั่งของศาลบรรพชนสกุลหลิ่ว
อาจารย์สอนหนังสือสองคน อาจารย์วัยชราคอยอยู่ข้างกายหลิ่วจิ้งถิง
หลิ่วจิ้งถิงยิ้มเจื่อนกล่าวว่า “ลำบากอาจารย์ฝูแล้ว”
ผู้เฒ่าแค่ส่ายหน้า
นอกจากสอนหนังสือแล้ว อาจารย์ผู้เฒ่าท่านนี้แทบไม่เคยพูดจา แล้วสีหน้าก็แทบไม่เคยมีการเปลี่ยนแปลง
อันที่จริงคนตลอดทั้งสวนสิงโตต่างก็หวาดกลัวอาจารย์ผู้เฒ่าท่านนี้
ส่วนอาจารย์หลิวที่เป็นศิษย์ลัทธิขงจื๊อวัยกลางคนผู้นั้น แม้จะไม่ถือว่าน่าใกล้ชิดสนิทสนมเช่นกัน อีกทั้งยังเป็นคนที่เข้มงวดกับกฎระเบียบอย่างมาก ลูกหลานสกุลหลิ่วและลูกหลานบ่าวรับใช้ที่เคยเรียนหนังสือกับเขาล้วนถูกเขาตีและสั่งสอนอบรมมาแทบทุกคน แต่กระนั้นก็ยังน่าเข้าใกล้ยิ่งกว่าผู้เฒ่าแซ่ฝู
เวลานี้ชายวัยกลางคนลัทธิขงจื๊อเดินมาที่หน้าประตูศาลบรรพชน รอคอยให้หลิ่วชิงซานกลับมา
พอเห็นว่าหลิ่วชิงซานกลับมาจากหอซิ่วโหลวอย่างปลอดภัย อาจารย์หลิวท่านนี้ก็ยังมีสีหน้าไร้อารมณ์ จนกระทั่งหลิ่วชิงซานที่เดินกะเผลกคารวะเขาด้วยพิธีการที่ศิษย์คารวะอาจารย์ เขาถึงได้ผงกศีรษะตอบรับ
หลิ่วชิงซานข้ามธรณีประตูเข้ามา เดินไปหาหลิ่วจิ้งถิงผู้เป็นบิดา
ชายวัยกลางคนลัทธิขงจื๊อยังคงยืนอยู่หน้าประตู จากนั้นสายตาของเขาก็ไล่มองขึ้นไปเบื้องบน มองเห็นเงาร่างสองเงาที่หอเก็บตำรา นั่นคือคู่นายบ่าวที่มาจากภาคกลางของแจกันสมบัติทวีป
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสายตาของชายวัยกลางคนลัทธิขงจื๊อไม่ดีหรือเห็นแล้วแต่แสร้งทำเป็นไม่เห็น เพราะเพียงไม่นานเขาก็หมุนตัวเดินกลับเข้าไปในศาลบรรพชน
ตรงราวระเบียงใต้ชายคาหอเก็บตำรา สาวใช้เหมิงหลงยิ้มถามว่า “คุณชาย ท่านว่าฝูเซิงกับคนแซ่หลิวผู้นี้จะเป็นยอดฝีมือนอกโลกเหมือนพวกเราหรือเปล่า?”
คุณชายตู๋กูหัวเราะขำคำพูดอีกฝ่าย “เจ้าอธิบายให้คุณชายอย่างข้าฟังก่อนเถอะว่า พวกเราเป็นยอดฝีมือนอกโลกตั้งแต่เมื่อไหร่?”
เหมิงหลงคลี่ยิ้มรู้ใจ ก่อนจะฟุบตัวบนราวระเบียงทอดสายตามองไปไกล
ในแจกันสมบัติทวีป พวกเขาไม่นับเป็นยอดฝีมือนอกโลกหรอกหรือ?
คุณชายก็แค่ถ่อมตัวเท่านั้น
ราชวงศ์จูอิ๋งที่นางอยู่มีผู้ฝึกกระบี่มากมายดุจต้นไม้ในผืนป่า จำนวนผู้ฝึกกระบี่มากเป็นอันดับหนึ่งของทวีป กองกำลังของแคว้นก็แข็งแกร่ง ลำพังเพียงแค่แคว้นใต้อาณัติก็มีมากหลายสิบแคว้น
ในบรรดาลูกหลานมังกรที่ตัดสินใจสละตำแหน่งผู้สืบทอดราชบัลลังก์มาตั้งแต่เนิ่นๆ คนหนึ่งคือผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสิบ เคยประมือกับหลี่ถวนจิ่งแห่งสวนลมฟ้าที่เคยเป็นก่อกำเนิดอันดับหนึ่งในแจกันสมบัติทวีปมาสามครั้ง แม้ว่าจะแพ้ทุกครั้ง แต่ก็ไม่มีใครกล้าสงสัยในพลังการต่อสู้ของผู้ฝึกกระบี่ท่านนี้ ในแจกันสมบัติทวีปมีเซียนดินสักกี่คนที่กล้าต้านรับหนึ่งกระบี่จากหลี่ถวนจิ่ง? หลี่ถวนจิ่งใช้หนึ่งคนหนึ่งกระบี่ข่มกำราบภูเขาตะวันเที่ยงมาหลายร้อยปี ถ้าเช่นนั้นหลังจากที่ผู้ฝึกกระบี่ของราชวงศ์จูอิ๋งผู้นี้พ่ายแพ้ไปแล้ว แต่กลับยังสามารถทำให้หลี่ถวนจิ่งรับปากจะต่อสู้กับเขาอีกสองครั้งก็แสดงให้เห็นแล้วว่าวิชากระบี่ของเขาสูงส่งเพียงใด
ยังมีผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเก้าอีกสองคน คือคู่รักเทพเซียนที่มองข้ามความสัมพันธ์ทางสายเลือด ด้วยเหตุนี้จึงแตกหักกับราชวงศ์จูอิ๋ง อย่างน้อยภายนอกก็เป็นเช่นนี้ สามีภรรยาคู่นี้ปรากฏตัวน้อยครั้ง พวกเขาเอาแต่มุ่งมั่นฝึกฝนวิถีกระบี่ เล่าลือกันว่าอันที่จริงแล้วฮ่องเต้ราชวงศ์จูอิ๋งได้มอบท้องพระคลังให้คนทั้งสองช่วยดูแล มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับแซ่ใหญ่หลายแซ่ในนครมังกรเฒ่าที่อยู่ทางทิศใต้สุด เงินทองจึงไหลมาเทมาไม่ขาดสาย
เหมิงหลงกล่าวอย่างขุ่นเคือง “คุณชาย ผู้ฝึกตนของอุตรกุรุทวีปเผด็จการเกินไปแล้วจริงๆ โดยเฉพาะเทียนจวินลัทธิเต๋าที่สมควรโดนแทงพันครั้งนั่น”
คุณชายตู๋กูยิ้มบางๆ “พวกเราก็เป็นอย่างนี้ในสายตาของภูตผีปีศาจบนภูเขาที่พวกเราไปถอนรากถอนโคน เหมือนกันไม่ใช่หรือ? หรือว่าพวกนักการพวกสาวใช้ที่ตายใต้ฝ่าเท้าเทพท่องราตรีของเจ้าตนนั้นล้วนสมควรตาย? แน่นอนว่าไม่ใช่ เพียงแต่ว่าพวกเราคร้านจะสนใจก็เท่านั้น”
เหมิงหลงสะอึกอึ้งพูดไม่ออก
ได้แต่ใช้ปลายเท้าเตะราวระเบียงของหอสูงอย่างขุ่นเคือง
……
เฉินผิงอันไม่ได้วาดยันต์บริเวณใกล้เคียงของหอซิ่วโหลวต่อ แต่พาสือโหรวตรงดิ่งไปที่ประตูใหญ่ของสวนสิงโต
ปราณวิญญาณของเทพทวารบาลหลากสีสันสององค์บางเบาจนไม่อาจประคับประคองให้พวกมันปกป้องสกุลหลิ่วได้อีก
เฉินผิงอันพึมพำถ้อยคำขออภัย จากนั้นก็เริ่มวาดยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจไว้บนประตูใหญ่สองบาน
ไม่เหมือนกับ ‘การละเล่นเล็กๆ น้อยๆ’ ที่หอซิ่วโหลว ยันต์สยบปีศาจสองแผ่นบนประตูจวนต่างก็ถูกวาดเสร็จในรวดเดียว เปิดอย่างยิ่งใหญ่และปิดอย่างยิ่งใหญ่ ประหนึ่งเทพสาดน้ำหมึก
สือโหรวที่ยืนอยู่ด้านหลังเฉินผิงอันแอบพยักหน้ากับตัวเอง หากไม่เป็นเพราะวัสดุของพู่กันที่อยู่ในมือธรรมดาเกินไป อีกทั้งสีทองในไหก็ไม่ถือว่ามีคุณภาพยอดเยี่ยม อันที่จริงยันต์ที่เฉินผิงอันวาดก็ถือว่ามีจิตวิญญาณแห่งยันต์เปี่ยมล้น และยังสามารถเพิ่มพลานุภาพให้มากขึ้นไปได้อีก
หลังจากวาดยันต์เสร็จแล้ว เฉินผิงอันก็ก้าวถอยหลังไปหลายก้าว ยืนเคียงไหล่อยู่กับสือโหรว เมื่อแน่ใจว่าไร้ช่องโหว่แล้วถึงได้เดินตามทางที่ปูด้วยก้อนหินริมกำแพงรอบนอกออกไป ห่างไปประมาณห้าสิบกว่าก้าวก็วาดยันต์ต่ออีกครั้ง
ระหว่างที่เดิน เฉินผิงอันหันไปพูดกับสือโหรวที่เงียบงันมาตลอดทางว่า “ระหว่างที่ข้าวาดยันต์จำเป็นต้องรวบรวมสมาธิ อาจไม่สามารถค้นพบร่องรอยของปีศาจตนนั้นได้ทันที ดังนั้นเจ้าต้องระวังไว้ให้มาก”
สือโหรวพูดอย่างเฉยเมย “ไม่พูดถึงหน้าที่ที่ต้องช่วยแบ่งเบาความกลัดกลุ้มให้กับนายท่าน นี่ยังเกี่ยวพันไปถึงชีวิตของบ่าวเองด้วย แน่นอนว่าต้องไม่กล้าประมาทอยู่แล้ว นายท่านไม่ต้องเป็นกังวลให้มากความ”
เฉินผิงอันหันหน้ามามองนางแวบหนึ่ง “เป็นเพราะคนคนหนึ่งยากจนจนหวาดกลัวไปแล้ว อยู่ดีๆ มีเงินขึ้นมาก็เลยกลายเป็นคนตระหนี่ถี่เหนียวสินะ”
สือโหรวฟังความหมายเหน็บแนมบางเบาในคำพูดนี้ออก แต่ไม่คิดจะโต้เถียง
ไม่ใช่ว่านางกระดากใจหรือละอายใจ แต่สาเหตุเป็นเพราะข้อความในกระดาษแผ่นนั้น
หลังจากเปิดกระดาษพับรูปม้าที่ชุยตงซานฝากไว้ที่จูเหลี่ยน เนื้อหาในกระดาษแผ่นนั้นกระชับเรียบง่าย มีแค่ประโยคเดียว หกคำเท่านั้น
“น้องสาวเอ๋ย อย่ารนหาที่ตาย”
มองดูเหมือนเป็นคำเย้าหยอก แต่กลับทำให้สือโหรวที่อยู่ในคราบร่างเซียนรู้สึกเย็นยะเยือกไปทั้งตัว
เฉินผิงอันวาดยันต์แต่ละครั้งอย่างรวดเร็ว น่าจะเป็นเพราะเคยฝึกฝนอย่างยากลำบากมาก่อน ไม่อย่างนั้นก็เป็นเพราะมีอาจารย์เป็นผู้สูงส่ง
สือโหรวจำต้องยอมรับในความทนทานของเฉินผิงอัน ไม่ว่าจะความมั่นคงของจิงชี่เสินในทุกลมหายใจ หรือความนิ่งของร่างกายและจิตวิญญาณก็ล้วนเป็นตัวช่วยที่สำคัญ จะขาดข้อใดไปไม่ได้เลย
การวาดยันต์เผาผลาญพลังกายใจที่สุด
นี่เป็นประโยคแห่งสัจธรรมแท้จริงที่โด่งดังและแพร่หลายของพรรคมหายันต์
หนึ่งเค่อต่อมา สือโหรวฉวยโอกาสที่เฉินผิงอันเพิ่งวาดยันต์แผ่นใหม่ล่าสุดเสร็จ กำลังเอนหลังพิงผนังหายใจหอบรัว เอ่ยถามขึ้นเบาๆ ว่า “นายท่านกำลังสร้างค่ายกลหรือ?”
เฉินผิงอันถลึงตามองนาง รีบยกนิ้วมาวางไว้บนริมฝีปาก บอกให้รู้เป็นนัยว่าความลับสวรรค์มิอาจแพร่งพราย และตอนที่ก้าวเดินไปข้างหน้าต่ออีกครั้ง คงเป็นเพราะโมโหมากจริงๆ จึงหันกลับมาถลึงตาใส่สือโหรวที่ปากไม่มีหูรูดซ้ำอีกที
สือโหรวที่มือโอบอุ้มไหของเหลวสีทองเหนียวหนืดข้างละไหเดินติดตามไปด้านหลังเฉินผิงอันแต่โดยดี นึกไปด้วยว่าเจ้าหมอนี่ก็มีช่วงเวลาที่ตระหนกลนกับเขาด้วย มุมปากของนางตวัดโค้งบางๆ แต่ก็ถูกนางกดลงอย่างรวดเร็ว
อาณาบริเวณของสวนสิงโตนั้นกว้างขวางมาก เฉินผิงอันที่พยายามวาดยันต์สร้างค่ายกลเงียบๆ อย่างยากลำบาก หมายฉวยโอกาสตอนที่ปีศาจใหญ่ตนนั้นยังสัมผัสไม่ได้วาดยันต์ให้สำเร็จ ก็เรียกได้ว่าทุ่มสุดชีวิตไว้บนปลายพู่กันที่ตวัดลงบนผนังสีขาวแล้วจริงๆ
ไม่ได้ผ่อนคลายกว่าการรบราเข่นฆ่ากับใครเลย
สือโหรวไม่เหมือนกับคนทั้งสี่ในภาพวาด นางไม่เคยผ่านคลื่นมรสุมลูกแล้วลูกเล่าติดต่อกัน ยิ่งไม่มีประสบการณ์เดินทางข้ามผ่านสองทวีปใหญ่อันยาวนาน ดังนั้นจึงไม่คุ้นเคยกับนิสัยใจคอและความสามารถที่แท้จริงของเฉินผิงอันได้เหมือนพวกจูเหลี่ยน แต่เกี่ยวกับเรื่องสมบัติพัสถานของเฉินผิงอัน สือโหรวกลับเข้าใจค่อนข้างมาก จิตหยางกายนอกกายของผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานหนึ่งร่าง ลูกศิษย์อย่างชุยตงซานหนึ่งคน แค่สองอย่างนี้เท่านั้น ไม่มีมากกว่านี้อีกแล้ว
แต่เมื่อเห็นว่าเฉินผิงอันพยายามปิดประตูตีสุนัข และเอามานึกเชื่อมโยงกับการจัดการในหอซิ่วโหลวและศาลบรรพชนสกุลหลิ่วก่อนหน้านี้
สือโหรวกลับรู้สึกนับถือการกระทำของเจ้าหมอนี่จากใจจริง
รอบคอบรัดกุมจนแม้แต่น้ำสักหยดก็ไม่อาจลอดผ่าน
หากจะบอกว่าวิญญูชนควรอยู่ให้ห่างจากสถานที่อันตราย ถ้าอย่างนั้นหากเฉินผิงอันตัดสินใจแล้วว่าจะไปเยือนสถานที่อันตราย ยังไม่ต้องพูดถึงว่าความตั้งใจเดิมเป็นเช่นไร ลำพังแค่การจัดการทั้งหลายแหล่หลังจากนั้น เขาก็เป็นคนประเภทที่ว่าแทบอยากจะจัดเตรียมทุกอย่างไว้ให้พร้อมสรรพครบถ้วน ประมาณว่ากางร่มแล้วก็ยังจะสวมงอบ หรือห่มเสื้อเกราะเพิ่มเติมเข้าไปอีก
แน่นอนว่าเฉินผิงอันไม่อาจคาดเดาความคิดของสือโหรวได้
สิ่งหนึ่งมักจะสยบสิ่งหนึ่งได้เสมอ ก็ให้ชุยตงซานเป็นคนจัดการสือโหรวแล้วกัน
เมื่อเฉินผิงอันเดินวนรอบสวนสิงโตครบหนึ่งรอบ วาดยันต์แผ่นสุดท้ายเสร็จก็รู้สึกว่านี่อาจจะยังไม่พอ จึงเดินวนซ้ำอีกหนึ่งรอบ เอายันต์จำนวนมากที่เก็บรักษาไว้เป็นอย่างดีซึ่งวาดเสร็จนานแล้วแต่กลับไม่มีโอกาสเอามาใช้ออกมากรอกลมปราณที่แท้จริงเข้าไป แล้วแปะไปทั่วทุกหนแห่งบนกำแพงโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น
นี่คือการค้าที่ขาดทุนย่อยยับ
เฉินผิงอันพุ่งตัวขึ้นไปบนหัวกำแพง ในใจคิดว่าจะต้องหาข้ออ้างไปดึงหูเผยเฉียนสักที
ลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของตนนี่นะ ต่อให้ไม่ใช่เหตุผลกับนางในบางเรื่องก็ไม่เป็นไรหรอก!
เฉินผิงอันยืดแขนบิดขี้เกียจ ยิ้มมองไปรอบด้าน
นี่เป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิแล้ว ภูเขาเริ่มเขียวทีละน้อย
สือโหรวที่ยืนอยู่ข้างกายเฉินผิงอันยังคงอุ้มไหสองใบเอาไว้
เห็นสีหน้าผิดปกติของเฉินผิงอัน สือโหรวก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
เฉินผิงอันเอื้อมสองมือผ่านไหล่ สิบนิ้วสอดประสานกัน ฝ่ามือแนบติดกับด้ามกระบี่ ‘เจี้ยนเซียน’ ที่อยู่ด้านหลังพอดี
สะพายกระบี่เจี้ยนเซียน (เซียนกระบี่) แล้วเมื่อไหร่จะได้เป็นเซียนกระบี่ที่แท้จริงกันนะ?
จำได้ว่าก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่บนเรือข้ามฝากแล้วก้มหน้ามองพื้นที่บางแห่งของแจกันสมบัติทวีป มีคนคลี่ยิ้มหวานพูดพลางชี้มือไปยังพื้นดิน บอกว่าราชวงศ์ใหญ่สองแห่งใต้ฝ่าเท้าของพวกเราที่สู้รบกันเอาเป็นเอาตายยังจะนับเป็นอะไรได้ หากเรือข้ามฝากเคลื่อนลงใต้ไปอีกนิดก็จะมีราชวงศ์จูอิ๋ง เป็นราชวงศ์ที่มีผู้ฝึกกระบี่มากที่สุดในแจกันสมบัติทวีปของพวกเจ้า เพียงแต่ว่าเมื่อเปรียบเทียบกับบ้านเกิดของนางแล้วกลับเหมือนฝนปรอยๆ เท่านั้น นางยังบอกเฉินผิงอันว่าหากวันหน้ามีโอกาสต้องไปเยือนราชวงศ์จูอิ๋งก่อน แล้วค่อยไปเยือนอุตรกุรุทวีป แล้วก็จะรู้เองว่าที่ไหนถึงจะเรียกว่าผู้ฝึกกระบี่มากดุจต้นไม้ในผืนป่า ที่ไหนถึงควรจะใช้คำเปรียบเปรยว่าอันดับหนึ่งของทวีปอย่างแท้จริง
สำหรับอุตรกุรุทวีปแห่งนั้น เฉินผิงอันรู้สึกเลื่อมใสอยู่บ้าง
เก็บความคิดที่อยู่ในส่วนลึกของจิตใจเหล่านี้ลงไปแล้ว เฉินผิงอันก็ปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ ‘เจียงหู’ ลงมา แต่กลับไม่ได้ดื่มเหล้า
เขารู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย
ก่อนจะเก็บมันไปเงียบๆ หวังว่าสือโหรวจะไม่เห็น
สือโหรวรู้สึกตลก แล้วก็ถามขึ้นอย่างไม่ดูกาลเทศะ “ไม่อย่างนั้นให้ข้าไปเอาเหล้าสักกามาให้นายท่านดีไหม?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า กระทืบเท้าหนึ่งครั้ง
บนผนังด้านนอกของสวนสิงโต ยันต์แต่ละแผ่นพลันมีแสงสว่างวาบขึ้นตรงใจกลางอันเป็นจิตวิญญาณของแผ่นยันต์
ส่องประกายแสงสีทองเจิดจ้าบาดตาออกมาในเวลาเดียวกันประหนึ่งรับคำสั่ง
ทันใดนั้นก็ราวกับว่ามีเจียวหลงสีทองตัวหนึ่งล้อมพันอยู่รอบสวนสิงโต
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น