หมอดูยอดอัจฉริยะ 393-394

 ตอนที่ 393 รายงาน

โดย

Ink Stone_Fantasy

เห็นฉากตรงหน้าพัคจุนฮีถึงกับหน้าซีด เธอเคยภาคภูมิใจในฝีมือดาบของตัวเอง แต่ตอนนี้มาอยู่ต่อหน้าเยี่ยเทียน แม้แต่จะชักดาบออกมาเธอยังทำไม่ได้ จึงรู้สึกท้อแท้ใจเป็นอย่างยิ่ง


“ดาบดี!”


ดาบนี้ยาวแค่สามคืบ ตัวดาบกว้างแค่สองนิ้ว สันดาบเป็นแนวโค้ง คมดาบเป็นลวดลายสวยงามราวเกล็ดน้ำแข็ง เยี่ยเทียนรู้ว่านี่เป็นเทคนิคการตีดาบของญี่ปุ่น


มือขวาของเยี่ยเทียนกำด้ามดาบไว้ มือซ้ายใช้นิ้วชี้ดีดเบาๆ เสียง “วิ้งๆ”สะท้อนใสก้องกังวาน ใบดาบสั่นพลิ้ว ราวกับว่าดาบมีชีวิต


“มีดาบแต่ไม่มีปณิทาน ถึงดาบจะดีแต่ก็ไม่มีประโยชน์” เยี่ยเทียนพลิกวาดดาบไปมา เกิดแสงสะท้อนกับตัวดาบวิบวับ อากาศเย็นลงเล็กน้อย


“ตึง!” เสียงเยี่ยเทียนเสียบดาบคืนสู่ฝักตามเดิม แล้วโยนให้พัคจุนฮี พูดต่อว่า “วิชาดาบญี่ปุ่น เป็นแค่วิชาหลอกเด็ก กลับไปบอกผู้กล้าคิตะมิยะว่าถ้าอยากเรียนรู้วิชาการต่อสู้ที่แท้จริง มาเมืองจีนหาฉันได้”


“นายรู้จักอาจารย์ของฉันเหรอ?!” พัคจุนฮีเงยศีรษะขึ้นมาถาม หลุดจากสภาพจิตใจท้อแท้เมื่อครู่


“ไม่รู้จัก แต่เธอเอาดาบเล่มนี้กลับไปให้เขาดู เขาจะรู้จักฉันเอง”


เยี่ยเทียนส่ายหน้า เดินออกจากสวนสาธารณะไป ดูเหมือนเขาจะเดินช้า แต่เพียงครู่เดียวไปไกลสิบกว่าเมตรแล้ว เสียงเขาลอยตามลมมา “วันหลังถ้าฉันไม่อนุญาต ห้ามเข้ามาในบริเวณห้าร้อยเมตรรอบบ้านของฉัน ไม่งั้นฉันจะฆ่าไม่เว้น!”


ประโยคสุดท้ายของเยี่ยเทียนทำให้พัคจุนฮีเหงื่อแตกพลั่ก บัดนี้เธอเข้าใจแล้วว่าทำไมสีหน้าของเยี่ยเทียนตอนนั้นจึงดูไม่ดี เพราะว่าเธอได้ละเมิดกฎของยุทธภพเข้าให้


“ทำไมต้องให้ฉันเอาดาบเล่มนี้ให้อาจารย์ด้วย?” พัคจุนฮียังไม่เข้าใจ มองดูดาบเรเชในมือ ชักดาบออกมา


“หา?!”


ตอนที่ดาบออกมาจากฝัก เธอรู้สึกมีบางอย่างผิดปกติ ดาบที่เคยหนัก ตอนนี้มันเปลี่ยนเป็นเบาหวิว


พอดาบถูกชักออกมา พัคจุนฮีพบว่า ดาบที่เคยยาวสามคืบตอนนี้มันเหลือความยาวไม่ถึงครึ่งคืบของเนื้อดาบช่วงที่ติดกับด้าม


พัคจุนฮีตกตะลึง รีบนำฝักดาบมาคว่ำดู เสียง “แก๊งๆ”สองที เศษดาบสองท่อนหลุดตกลงบนพื้นหิน


“เขา…เขาอาศัยตอนที่เก็บดาบทำให้มันหักเป็นท่อน?”


มองไปทางที่เยี่ยเทียนหายตัวไป พัคจุนฮีมองค้างอยู่อย่างนั้นพักใหญ่ ในใจทั้งตระหนกทั้งหวาดกลัว ต่อไปไม่กล้ามา


ใช้ทั้งเคล็ดลับการตีดาบแบบญี่ปุ่นและเทคนิคการหลอมดาบในยุคปัจจุบัน  จะว่าเป็นสุดยอดอาวุธชิ้นหนึ่งเลยก็ว่าได้ แต่กลับถูกเยี่ยเทียนหักเป็นสามท่อนโดยไม่รู้ตัว


กำลังภายในอย่างนี้ พัคจุนฮีคิดไม่ถึง แม้แต่ปู่ของเธอพัคจองไทกับอาจารย์ผู้กล้าแห่งคิตะมิยะยังทำไม่ได้


คราวนี้ฝีมือเยี่ยเทียนทำให้พัคจุนฮีรู้จักประเทศจีนดีขึ้น ต่อไปความยโสโอหังอย่างคนเกาหลีคงดูน่าขำสิ้นดี


…………


เยี่ยเทียนไม่สนใจความพ่ายแพ้ของพัคจุนฮี เมื่อกลับถึงบ้านก็พบว่าอาติงและศิษย์พี่ทั้งสองของเขากลับมาแล้วเช่นกัน กำลังนั่งคุยกันอยู่ในบ้าน


“ศิษย์น้องเล็ก มีอะไรหรือ? ทำไมจิตสังหารจึงได้แรงขนาดนั้น?”


โก่วซินเจียเห็นเยี่ยเทียนเดินหน้านิ่วคิ้วขมวดเข้ามาจึงถามขึ้น อยู่ในเมืองใหญ่ไม่เหมือนกับอยู่ที่เขาฝอกว่างซาน ถ้าเยี่ยเทียนไม่รู้จักเก็บงำจิตสังหารเสียบ้าง วันหน้าอาจจะเกิดเรื่องเดือดร้อนได้


“ศิษย์พี่ ไม่มีอะไร วันนี้ผมไม่ได้ดูดวงก่อนออกจากบ้าน เลยเจอเรื่องวุ่นวายทั้งวัน”


เยี่ยเทียนส่ายหน้า “เมื่อครู่ได้สู้กับลูกศิษย์ของคิตะมิยะ ก็อย่างนั้นเอง ศิษย์พี่ใหญ่ วันหลังถ้ามีโอกาส ผมจะไปท้าสู้กับคิตะมิยะเพื่อทวงความยุติธรรมให้พี่”


เยี่ยเทียนรู้ว่าตอนนั้นคนญี่ปุ่นมีที่พึ่งหลายทาง จึงทำให้คิตะมิยะมาลอบลงมือ ตัดแขนซ้ายของศิษย์พี่ใหญ่ขาดช่างเป็นการกระทำที่ต่ำทรามที่สุด


ถ้าพัคจุนฮีไม่ได้เป็นผู้หญิง ถ้าเธอได้ทำร้ายหลี่เฟิงตอนที่ประลองกัน เยี่ยเทียนจะต้องตอบโต้เธอให้บาดเจ็บไปบ้าง


“ศิษย์ของคิตะมิยะ?” โก่วซินเจียตะลึง “เล่าเหตุการณ์การประลองให้ฟังหน่อย”


เยี่ยเทียนพยักหน้า พูดว่า “พัคจุนฮีน่าจะเรียนวิชาดาบของตระกูลคิตะมิยะ แต่ผมไม่ยอมให้เธอชักดาบออกมาได้…”


โก่วซินเจียเอ่ยต่อ “ศิษย์น้องเล็ก ตระกูลคิตะมิยะมีประวัติยาวนานเป็นร้อยปี เพราะมีที่มา วิชาดาบที่ดุดันรุนแรง เคล็ดลับอยู่ที่วิถีดาบตอนที่ชักดาบออกจากฝัก


ผู้กล้าแห่งคิตะมิยะตอนนั้นได้รับการยกย่องจากลูกหลานในตระกูล วิชาดาบนั้นไร้ที่ติ รุกรานคู่ต่อสู้อย่างกัดไม่ปล่อย ถ้าวันหนึ่งนายพบกับเขาเข้าต้องระวังตัวให้มาก”


“ครับ ศิษย์พี่ ผมจะระวัง” เยี่ยเทียนจดจำคำสอนของศิษย์พี่จนขึ้นใจ ตั้งแต่เหตุการณ์ครั้งชาญทองทวน เยี่ยเทียนเข้าใจแล้วว่าสิงโตโจมตีกระต่ายโดยใช้พลกำลังทั้งหมดอย่างไร


“เอาเถอะ เยี่ยเทียน ไปตามแขกมากินข้าวไป”


ป้าใหญ่ทำอาหารเสร็จแล้ว เดินบอกตามว่า “เสี่ยวเยี่ยเทียน ฉันจะบอกให้นะ อย่าไปยุ่งเกี่ยวกับสาวเกาหลีคนนั้นเชียว บ้านเยี่ยของเราจะเสียหายเพราะเขาไม่ได้”


“ป้าใหญ่ พูดอะไรอย่างนั้นเล่า? เห็นผมเป็นคนยังไง?” เยี่ยเทียนยิ้มแหย โชคดี่อวี๋ชิงหย่ามีธุระกลับไปที่มหาวิทยาลัยแล้ว ไม่อย่างนั้นวันนี้ถึงเยี่ยเทียนโดดลงแม่น้ำฮวงโหก็ยังไม่สามารถล้างคำครหาได้


…………-


เยี่ยเทียนรับประทานอาหารกับสมาชิกครอบครัวอยู่ในบ้านอย่างอบอุ่น ห่างไปไม่มากภายในบ้านหลังใหญ่โตโอ่อ่าและได้รับการคุ้มกันแน่นหนา มีชายชรากำลังนั่งรับประทานอาหารเงียบๆอย่างโดดเดี่ยว


อาหารบนโต๊ะเป็นอาหารพื้นๆ มีกับข้าวสี่อย่างเป็นเนื้อสัตว์หนึ่งอย่างและผักสามอย่าง ยังมีน้ำแกงชามหนึ่ง แล้วก็ข้าวเปล่าหนึ่งถ้วย ซ่งเฮ่าเทียนเป็นคนทางใต้จึงไม่นิยมรับประทานหมั่นโถว


คนมีอายุกินข้าวช้า ทุกคำต้องเคี้ยวให้ละเอียดอย่างตั้งใจ อย่างกับกำลังลิ้มรสอาหารทะเลของแพง


ด้านซ้ายของชายชรามีชายอีกคนยืนอยู่ เขาคือหัวหน้าเซวียชิงเซิ่งผู้เกรียงไกรเมื่อตอนบ่าย ตอนที่อยู่ต่อหน้าคนอื่นเขากล้าแสดงอำนาจใหญ่โต แต่ตอนนี้ที่อยู่ตรงหน้าชายชรากลับไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง อย่างกับความเงียบของชายชรากำลังกดทับเขาอยู่


ตอนนี้ซ่งเฮ่าเทียนกำลังเผชิญหน้ากับศึกวาระครบตำแหน่ง ตารางงานของเขาจึงแน่นมากทุกวัน วันนี้เซวียชิงเซิ่งพอจัดการเรื่องเยี่ยเทียนเสร็จแล้วต้องกลับมารอที่นี่สองชั่วโมงเต็ม


แม้ว่าในใจอยากจะรายงานเหตุการณ์ในวันนี้ให้ท่านผู้นำฟัง แต่เขาทราบว่าท่านผู้นำไม่ค่อยชอบพูดคุยตอนรับประทานอาหาร จึงได้แต่ยืนรออยู่ข้าง จนท่านเสร็จมื้ออาหาร


“เสี่ยวเซวีย ไป ไปเดินเล่นกับฉันหน่อย”


หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมงซ่งเฮ่าเทียนส่งข้าวเม็ดสุดท้ายเข้าปาก แล้วยืนขึ้น ถึงจะอายุเจ็ดสิบกว่าปีแล้ว แต่ด้วยรูปร่างสูงใหญ่ของท่านไม่มีหลังโก่งโค้งเหมือนคนแก่ทั่วไป ยังยืนหลังตรงสง่าอยู่เสมอ


“ครับ ท่าน ค่อยๆเดินนะครับ”


ซ่งเฮ่าเทียนเดินนำออกจากห้องเซวียชิงเซิ่งรีบเดินตามหลัง ข้างกายเขายังมีหมอดูแลสุขภาพเดินถือแก้วน้ำชากับเลขาอีกคนเดินตามไปด้วย คนสี่ห้าเดินรายล้อมซ่งเฮ่าเทียนไปที่สวนสาธารณะโส่วผู่เหอ


ซ่งเฮ่าเทียนใช้ชีวิตหรูหรามาตั้งแต่เด็ก นอนดึกตื่นสายเป็นเรื่องปกติ ใช้ชีวิตเหมือนฮ่องเต้สมัยก่อน และทุกวันหลังจากรับประทานอาหารเย็นเสร็จต้องออกไปเดินเล่น


สวนสาธารณะโส่วผู่เหอเป็นสวนเล็กๆ อยู่ใกล้กับซุ้มประตูเทียนอันเหมิน คนที่อาศัยในถิ่นชาววังบางคนยังไม่รู้จัก  แต่สวนนี้มักเป็นที่เดินเล่นพักผ่อนของท่านผู้นำหลายท่านที่อาศัยอยู่ในเขตกำแพงสีแดงแห่งนี้


“พวกเธอไม่ต้องมาใกล้มาก ร่างกายฉันยังไหวอยู่!”


เมื่อเดินมาถึงปากทางเข้าสวน ซ่งเฮ่าเทียนโบกมือไล่พวกหมอและเลขาที่รายล้อมอยู่ ทุกคนเข้าใจในทันทีว่าท่านต้องการคุยเรื่องส่วนตัว จึงเดินล้าหลังมาหลายก้าว


ซ่งเฮ่าเทียนกางแขนออกสบายๆ มองดูเซวียชิงเซิ่งพูดว่า “เล่ามาเถอะ เด็กนั่นปากเสียอีกแล้วใช่ไหม?” ในโลกนี้เวลาเป็นเครื่องบรรเทาความโกรธแค้นได้ดีที่สุด


ลุงแท้ๆของซ่งเฮ่าเทียนเสียชีวิตด้วยน้ำมือของบรรพบุรุษตระกูลเยี่ยแม้โดยทางอ้อม แต่เวลาเกือบศตวรรษผ่านไปแล้ว คนรุ่นก่อนของทั้งสองตระกูลก็จากไปเกือบหมดแล้ว ความแค้นในใจของซ่งเฮ่าเทียนเจือจางลงไปมาก


อีกทั้งความรู้สึกผิดต่อบุตรสาวคนโตของตน ตอนนั้นถ้าไม่ใช่เพราะเขาบีบบังคับ บุตรสาวคงจะไม่ต้องอยู่อเมริกาคนเดียวจนต้องแยกจากลูกเขยและหลานชายมายี่สิบกว่าปี


ถึงซ่งเฮ่าเทียนจะไม่ได้รู้สึกผูกพันกับเยี่ยเทียนในฐานะตาหลานสักเท่าไหร่ แต่พอบุตรสาวโทรมาว่าหลานชายของเขามีปัญหาเธอจะต้องเดินทางกลับมาประเทศจีนด้วยตัวเอง ซ่งเฮ่าเทียนฟังแล้วโมโหสุดขีด จึงสั่งให้หัวหน้าเซวียไปจัดการเรื่องนี้ที่สถานีตำรวจ


แน่นอนว่าเซวียชิงเซิ่งไม่กล้าถ่ายทอดคำพูดของเยี่ยเทียนชนิดคำต่อคำ เขายิ้มแล้วเริ่มเล่า “ท่านผู้นำครับ เยี่ย…เยี่ยเทียนเขาพูดจาประสาเด็ก ไม่มีอะไรมากหรอกครับ”


ซ่งเฮ่าเทียนจ้องตาเซวียชิงเซิ่งแล้วหัวเราะออกมา “ไม่เป็นไร นายพูดเถอะ เด็กคนนั้นจะโกรธแค้นฉันบ้างฉันก็เข้าใจ!”


“เยี่ยเทียนเขา….เขาบอกว่า เขายอมเสียเหงื่อไปทำงานแลกเงินซื้อข้าวดีกว่าจะยอมรับการคุ้มครองดูแลจากท่านครับ เขายังพูดอีกว่า…ว่าท่านไม่มีสิทธิ์มาสั่งสอนเขาครับ!”


ถูกซ่งเฮ่าเทียนจ้องเอาขนาดนี้ เซวียชิงเซิ่งเหงื่อซึมไปทั้งหลัง แต่ก็พูดตามตรงไม่ได้ปิดบัง บอกเล่าคำพูดของเยี่ยเทียนอย่างครบถ้วนทุกคำ


“เจ้าเด็กนี่ วู่วามเหมือนพ่อมันไม่มีผิด แต่การที่เขาไม่ยอมให้ใช้อำนาจ ไม่กลัวอิทธิพล เขา…ก็ถือว่าเขาเป็นเด็กดีคนหนึ่ง”


ได้ฟังที่เยี่ยเทียนฝากมาจบแล้ว ซ่งเฮ่าเทียนหัวเราะรื่นรู้สึกชื่นชมหลานชายที่ยังไม่เคยพบหน้าคนนี้อย่างประหลาด อย่างน้อยคนในบ้านตระกูลซ่งรุ่นนี้ไม่มีใครหยิ่งทรนงได้เท่าเยี่ยเทียนอีกแล้ว


“ท่านผู้นำครับ เยี่ยเทียนเขาซี้ซั้วพูด ท่านอย่าได้นำมาใส่ใจเลยนะครับ” เซวียชิงเซิ่งติดตามซ่งเฮ่าเทียนมาเป็นสิบปี ไม่เคยเห็นเขาชื่นชมใครแบบนี้มาก่อน ยังคิดว่าท่านพูดประชดเอา


“เหอะๆ เสี่ยวเซวีย เด็กคนนั้นเป็นหลานของฉัน เขาแค่เข้าใจผิดในตัวฉันนิดหน่อยเท่านั้นเอง”


ประโยคเมื่อครู่ของซ่งเฮ่าเทียน ทำให้เซวียชิงเซิ่งวางใจ ยังโล่งใจที่วันนี้เขาไม่ได้ทำท่าวางก้ามใส่เยี่ยเทียน เยี่ยเทียนเป็นหลานที่ทำให้ท่านผู้นำชมเชยได้ ความสัมพันธ์คงจะไม่ธรรมดา


 …………..


ตอนที่ 394 กราบหลุมศพอาจารย์

โดย

Ink Stone_Fantasy

ซ่งเฮ่าเทียนเปลี่ยนเรื่องคุย “เสี่ยวเซวีย นายติดตามฉันมาสิบปีแล้วใช่ไหม?”


“ครับ ผมติดตามท่านตั้งแต่อยู่เจียงหนาน ตอนนี้ครบสิบปีพอดีครับ” เซวียชิงเซิ่งแอบตกใจ รู้สึกได้ว่ามีบางสิ่งกำลังจะเกิดขึ้น แต่ยังพยายามรักษาสีหน้าให้ดูเรียบเฉย


ซ่งเฮ่าเทียนพยักหน้า เอ่ยเสียงเรียบว่า “ครั้งนี้เปลี่ยนสมัยแล้ว นายกลับไปเจียงหนานไปเป็นเลขารัฐบาลเถอะ ขืนอยู่ในส่วนกลางต่อไปถึงจะดูใหญ่โต แต่นายไม่มีประสบการณ์ด้านงานบริหารเลย!”


ในใจของเซวียชิงเซิ่งลิงโลดขึ้น รีบยืนตัวตรงแล้วพูดเสียงดังหนักแน่นว่า “ครับ ท่านผู้นำ ผมจะตั้งใจทำงาน ไม่ให้เสียชื่อท่านเลยครับ”


เมืองเจียงหนานอยู่ที่ไหน? ตั้งแต่โบราณมาเป็นสถานที่ๆความเจริญฟุ้งเฟ้อรายล้อมอยู่ ยังเป็นเมืองระดับปริมณฑล ถ้าเซวียชิงเซิ่งได้ไปอยู่ที่นั่น จะต้องได้เลื่อนตำแหน่งอย่างน้อยเป็นรองผู้ว่า


“อยู่กับฉันมาก็นาน ลำบากนายแล้ว ควรจะให้นายลงไปเสียตั้งนานแล้ว”


ซ่งเฮ่าเทียนส่ายหัวเบาๆ เดินไปข้างหน้าเรื่อยๆ พูดอย่างสบายๆว่า  “ถ้ามีเวลาก็พาเด็กคนนั้นมาหาฉันหน่อยเถอะ ฉันติดค้างเขาเยอะเหลือเกิน”


พูดจบซ่งเฮ่าเทียนโบกมือให้สัญญาณว่าไม่ให้เซวียชิงเซิ่งตามมา เซวียชิงเซิ่งจึงยืนอยู่ด้านหลัง พบว่าเงาแผ่นหลังของท่านผู้นำแลดูชราภาพลงไปมาก


“อะไรนะ? เยี่ยเทียนไปแล้ว ไปไหน?”


เซวียชิงเซิ่งไม่ทราบที่อยู่ของเยี่ยเทียน วันรุ่งขึ้นพอสืบได้ถึงที่อยู่ของเยี่ยเทียนก็รีบไปหาถึงที่ และได้พบกับป้าใหญ่ของเยี่ยเทียนแล้วทำให้รู้ว่า เยี่ยเทียนออกเดินทางไปตั้งแต่เช้า


“ไปที่เมืองเจียงหนาน อีกสองสามสัปดาห์ถึงจะกลับ”


เยี่ยตงจู๋มองดูชายวัยกลางคนตรงหน้าอย่างแปลกใจ เธอรับหน้าที่เป็นหัวหน้าชุมชนมาหลายสิบปี แม้ตำแหน่งทางราชการจะไม่สูง แต่พอเดาออกว่าผู้ที่มาเยือนเป็นข้าราชการเหมือนกัน ตำแหน่งก็ไม่ได้เล็กด้วย


“อ่อครับ คุณป้า ถ้าเขากลับมาแล้วช่วยบอกผมด้วยนะครับ”


เซวียชิงเซิ่งมอบนามบัตรของตนให้หญิงชราไว้ใบหนึ่ง เขาไม่สามารถตามไปถึงเมืองเจียงหนานได้หรอก อีกอย่างท่าทีของเยี่ยเทียนที่มีต่อท่านผู้นำนั้น จะพบหรือไม่พบก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง


……


“พี่เฟิงจื่อ รบกวนพี่อีกแล้ว นิวนิวสบายดีไหม?”


ขบวนรถไฟเข้าท่าที่เมืองเจียงหนานเป็นเวลาบ่ายสี่โมงกว่าแล้ว เฟิงคว่างพอได้รับโทรศัพท์ของเยี่ยเทียนก็มารออยู่ที่สถานีรถไฟแต่หัววัน


นิวนิวเป็นชื่อเล่นของลูกสาวเขา ตอนนี้อายุสามสี่ขวบแล้ว ปีที่แล้วหวังอวิ๋นพาเด็กน้อยไปปักกิ่งพักอยู่หลายวัน เด็กน้อยนั้นติดเยี่ยเทียนแจ


“สบายดี สบายดี พี่อวิ๋นอวิ๋นของนายบ่นถึงนายออกบ่อย จะว่าไปนายไม่ได้กลับมาครึ่งปีกว่าแล้วนะ” เฟิงคว่างรับกระเป๋าเดินทางของเยี่ยเทียน รู้สึกแปลกใจที่มีอีกสองคนติดตามมาด้วย


เวลาผ่านไปสิบกว่าปีแล้ว เฟิงคว่างจากที่เคยเป็นคนหนุ่มเลือดร้อน ตอนนี้เติบโตเป็นชายวัยฉกรรจ์อายุสามสิบกว่า ดูมีความสุขุมมากขึ้น ความวู่วามแบบวัยรุ่นนั้นหายไปหมด


“พี่เฟิงจื่อ สองคนนี้เป็นศิษย์พี่ของผม คนหนึ่งมาจากไต้หวัน อีกคนมาจากฮ่องกง”


เยี่ยเทียนแนะนำให้เฟิงคว่างรู้จัก ตั้งแต่เยี่ยเทียนอายุสิบขวบก็เหมือนโตมาในบ้านของเฟิงคว่าง สนิทอย่างกับคนครอบครัวเดียวกัน ไม่มีเรื่องอะไรต้องปิดบัง


“ทั้งสองท่านเชิญขึ้นรถครับ” เฟิงคว่างผงกหัวให้แล้วเปิดประตูรถ รถแล่นไปใช้เวลาอีกสามชั่วโมง เยี่ยเทียนก็พาโก่วซินเจียและจั่วเจียจวิ้นมาถึงตีนเขาเหมาซาน


เมื่อเห็นท่าเฟิงคว่างจะขึ้นเขาตามมาด้วยเยี่ยเทียนก็รีบห้ามไว้ “พี่เฟิงจื่อ พี่ไม่ต้องขึ้นไปหรอก อีกสองวันพวกผมจะลงจากเขาแล้วค่อยโทรศัพท์หาพี่ แล้วจะได้ไปเยี่ยมพี่อวิ๋นอวิ๋นด้วย”


“ได้สิ ถ้าต้องการอะไรก็บอก ฉันจะส่งขึ้นไปให้” เฟิงคว่างพยักหน้า บอกลาจั่วเจียจวิ้นกับโก่วซินเจียแล้วขับรถจากไป


“เป็นที่ๆดีจริงๆ อาจารย์สายตาแหลมคม สามารถมาพบที่นี่ได้ ต้องเป็นเพราะความประสงค์ของอาจารย์”


ระหว่างทางเดินหินเล็กแคบขึ้นไปบนเขา มีเสียงนกร้องและแมลงกรีดปีก สองข้างทางปกคลุมด้วยป่าไผ่เขียวชอุ่มร่มรื่น ทำให้โก่วซินเจียที่กำลังเดินขึ้นเขาเอ่ยชมทัศนียภาพไม่ขาดปาก


“ถนนเส้นนี้เยี่ยเทียนมาสร้างเอาตอนหลัง เมื่อก่อนเดินยากกว่านี้” ทุกครั้งที่กลับมาที่นี่ เยี่ยเทียนจะสัมผัสได้ถึงความสุขสงบในจิตใจ คล้ายกับว่าคำสั่งสอนของอาจารย์เมื่อครั้งก่อนได้ฉายภาพย้อนขึ้นมาในความทรงจำอีกครั้ง


“ศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่รอง ที่นี่เป็นอารามเต๋าที่อาจารย์เคยพักอยู่ตอนบั้นปลายชีวิต อาจารย์อาศัยอยู่ที่นี่ถึงสามสิบปีเต็ม”


หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง ทั้งสามก็เดินมาถึงอารามเต๋าตรงเนินเขา ตัวอารามยังคงเหมือนกับเมื่อครั้งที่เยี่ยเทียนจากไปทุกอย่าง เพียงแต่เพิ่มเล้าเป็ดเล้าไก่ขึ้นมารายล้อม ทำให้เกิดความรู้สึกน่าโมโห


“นี่ เยี่ยเทียน เธอกลับมาแล้ว!”


เมื่อทั้งสามมาหยุดตรงหน้าอารามมีเสียงผู้หญิงคนหนึ่งดังออกมา พี่สะใภ้เมียของพี่ทึ่มกำลังไล่แพะลงจากเนินเขาด้านบน


“พี่สะใภ้ พี่ทึ่มล่ะ?”


เยี่ยเทียนรีบเดินเข้าไปหา พิจารณาดูพี่สะใภ้อย่างละเอียดเห็นว่านางแก่ลงพอสมควร จากหญิงสาวที่เคยมีผิวพรรณเนียนละเอียด ตอนนี้ใบหน้าเริ่มปรากฎริ้วรอยแห่งกาลเวลา


พี่สะใภ้ไล่แพะกลับเข้าคอกตรงข้างอารามแล้วยิ้ม “หลานคนโตของนายขึ้นชั้นมัธยมแล้ว พี่ทึ่มไปเช่าบ้านอยู่ในตัวอำเภอแล้วอยู่กับลูก เยี่ยเทียน สองท่านนี้คือ?”


“พี่สะใภ้ ทั้งสองคนเป็นศิษย์ของอาจารย์ผมเหมือนกัน พวกเขามากราบหลุมศพของอาจารย์” เยี่ยเทียนอธิบายถึงสถานะของโก่วซินเจียและจั่วเจียจวิ้นให้พี่สะใภ้ฟัง


แม้ว่าโก่วซินเจียกับจั่วเจียจวิ้นรู้ว่าเยี่ยเทียนได้ออกเงินจ้างคนมาเฝ้าอารามแห่งนี้ แต่ทั้งสองคนก็ยังให้ความเคารพพี่สะใภ้มาก จั่วเจียจวิ้นถึงกับนำอั่งเปาให้ที่เตรียมมายัดใส่มือเธอ


รอจนพี่สะใภ้รับอั่งเปาแล้ว เยี่ยเทียนยิ้ม “พี่สะใภ้ วันนี้พี่ลงเขาไปเถอะ ผมกับพวกศิษย์พี่จะอยู่เอง พรุ่งนี้เช้าค่อยไปไหว้หลุมศพอาจารย์”


“ได้สิ เยี่ยเทียน ข้าวสารอาหารในอารามมีไม่ขาด ทั้งเป็ดไก่พวกนี้ พวกเธอฆ่ากินได้ตามสบายเลย ไม่เป็นไร” เมื่อสั่งเสียกับเยี่ยเทียนเสร็จ พี่สะใภ้ก็หยิบเอาของเล็กน้อยลงจากเขาไป


“ศิษย์พี่ คืนนี้เราพักที่นี่แล้วกัน ห้องด้านข้างใช้นอนได้ทั้งสองห้อง”


เยี่ยเทียนเดินไปดูห้องทางด้านหลังอาราม พี่สะใภ้เก็บกวาดไว้สะอาดเรียบร้อยมาก ห้องทั้งสองมีเตียงไม้ไผ่อยู่สามเตียง ยังมีอีกห้องที่มีตำราหนังสือเรียนระดับชั้นประถม น่าจะเป็นของลูกชายพี่ทึ่มที่มาอยู่ตอนปิดเทอม


ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว เยี่ยเทียนไปที่ห้องครัวทางสวนด้านหลังก่อไฟต้มน้ำ จากนั้นจับเป็ดไก่มาฆ่าถอนขน เด็ดพริกเขียวจากแปลงผักมาทำอาหารมื้อเย็นที่ไม่ได้อู้ฟู่หรูหราแต่ได้รสชาติอาหารป่า


เสียงน้ำค้างหยดลงพื้นกับเสียงแมลงกลางคืนทำให้เยี่ยเทียนนอนหลับสนิทยันเช้า ความวุ่นวายในเมืองหลวงที่แออัดคึกคักไปด้วยเสียงแตรรถและผู้คนไม่เคยปรากฎในสถานที่นี้เลย


วันรุ่งขึ้นตอนตีห้ากว่า ศิษย์พี่น้องทั้งสามก็ลุกขึ้นแต่งตัว ออกกำลังกายเดินเล่นสำรวจรอบๆอารามแล้ว เยี่ยเทียนต้มโจ๊กเป็นอาหารเช้าสำหรับทุกคน


เมื่อพระอาทิตย์ขึ้น นั่งชมแสงแรกของวันอยู่หน้าอาราม พลางรับประทานโจ๊กข้าวกล้องรสหวานกับผักดองที่ทำเอง เสียงลมกระทบอยู่ข้างหู ดื่มด่ำกับธรรมชาติอันน่ารื่นรมย์


“อยากจะทิ้งทุกอย่างแล้วมาอยู่ที่นี่เสียจริง!” จั่วเจียจวิ้นรู้สึกว่าบ้านวิลล่าหลังงามของเขาเทียบไม่ได้เลยกับสถานที่แห่งนี้


โก่วซินเจียพยักหน้าเห็นด้วย ถามเยี่ยเทียนขึ้นว่า “ศิษย์น้องเล็ก อีกสองปีฉันจะกลับมาอยู่ที่นี่กับอาจารย์!”


“ทำไมต้องสองปีด้วย?”


เยี่ยเทียนอึ้งไป หัวเราะแก้เก้อแล้วตอบว่า “ได้สิ ศิษย์พี่ใหญ่ พี่พูดเองนะ สองปีให้หลังถ้าผมสร้างค่ายกลรวมพลังจักรวาลได้ที่ฮ่องกงพี่ห้ามกลับคำนะ!”


เยี่ยเทียนทราบว่าโก่วซินเจียเสียไปข้างหนึ่ง เส้นลมปราณของร่างกายครึ่งหนึ่งได้รับความเสียหายและอยากได้พลังจากค่ายกลในบ้านเรือนสี่ประสานของเยี่ยเทียนเพื่อรักษาโรคเก่า จึงบอกว่าขอเวลาสองปี


โก่วซินเจียหัวเราะออกมา พูดว่า “ฉันอยู่ในป่าในเขามาก่อน ถ้าไม่ได้จะมากราบอาจารย์ ฉันคงไม่ออกจากเขาฝอกว่างซานหรอก จะกลับเข้าป่าอีกครั้งจะเป็นไร”


สภาพภูมิทัศน์ของเขาฝอกว่างซานนั้น แตกต่างจากเขาเหมาซานแห่งนี้มาก ที่นั่นเป็นภูเขาที่ถูกสร้างจากภูเขาร้างกลายเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม จะเทียบกับเขาเหมาซานที่เป็นพื้นที่อันเป็นมงคลได้อย่างไร?


“ได้สิ เราไปกราบหลุมศพอาจารย์กัน”


เยี่ยเทียนกลับไปเก็บของในห้องเล็กน้อย ตอนที่ออมาได้ถือห่อของอันใหญ่ติดมือมาด้วย โก่วซินเจียและจัวเจียจวิ้นเปลี่ยนชุดเป็นเสื้อผ้าสะอาด เดินตามหลังเยี่ยเทียนไปอย่างเงียบๆ


“好地方……”


“เป็นสถานที่ๆดีจริง…”


เดินขึ้นไปตามทางเขาประมาณยี่สิบนาที ทางเดินเล็กๆหายไป แต่ทิวทัศน์ตรงหน้าเปิดเผยสู่สายตา ทั้งโก่วซินเจียและจั่วเจียจวิ้นอุทานชื่นชมออกมาพร้อมกัน


มือข้างที่เหลืออยู่ของโก่วซินเจียถือจานเข็มทิศไว้ หมุนมองตามทิศทาง กล่าวด้วยความอัศจรรย์ใจว่า “หลังพิงภูเขา ซ้ายมีมังกรเขียว ขวามีพยัคฆ์ขาว ด้านหน้ามีเขาเตี้ย ตรงกลางเป็นห้องโถง แม่น้ำไหลคดเคี้ยว เป็นที่ดินฮวงจุ้ยชั้นยอด!”


ตอนที่เยี่ยเทียนเลือกตำแหน่งที่ฝังศพของอาจารย์ กลับพบว่าฮวงจุ้ยที่ดีที่สุดบนเขาเหมาซานถูกครองไปแล้ว ที่นี่มีเขาล้อมรอบสามทิศ จุดที่ยืนอยู่นี้เป็นแหล่งน้ำใหญ่ของเขาเหมาซาน สมกับคำที่ว่า “อิงเขาเลียบน้ำเป็นจุดศูนย์รวมของพลัง”


มาถึงตรงนี้ไม่ต้องให้เยี่ยเทียนบอก ทั้งโก่วซินเจียและจั่วเจียจวิ้นเดินต่อเพียงไม่กี่ก้าวก็พบกับหลุมศพของอาจารย์ หน้าหลุมศพมีแท่นหินแกะสลักด้านบนเขียนว่า: หลุมศพของอาจารย์หลี่ซั่นหยวน โดย:ลูกศิษย์เยี่ยเทียนเป็นผู้ตั้ง!


ด้านหลังของแท่นหินได้มีการสลักด้วยตัวอักษรเล็กๆกล่าวถึงเรื่องราวเมื่อครั้งนักพรตเฒ่ายังมีชีวิตและวันเดือนปีเกิด


เยี่ยเทียนทำแบบนี้เพื่อว่าหากหลี่ซั่นหยวนยังมีเชื้อสายสืบสกุลหลงเหลืออยู่ ด้วยพลังแห่งฮวงซุ้ยหลุมศพบรรพชนสามารถดลบันดาลให้ลูกหลานในตระกูลมีความเจริญรุ่งเรืองร่ำรวยไปทุกรุ่น


“อาจารย์!”


มองดูตัวอักษรบนแท่นหิน ศิษย์มีอายุทั้งสองคุกเข่าลงที่พื้น เดินเข่าเข้าไปใกล้กับหลุมศพ โขกศีรษะลงบนพื้นอย่างแรง น้ำตาไหลเป็นสายอย่างควบคุมไม่อยู่


“ศิษย์พี่ ลุกขึ้นมา จุดธูปให้อาจารย์ก่อน!”


เยี่ยเทียนรุดเข้าไปประคองศิษย์พี่ทั้งสองให้ลุกขึ้น หยิบธูปเทียนและเครื่องเซ่นออกมาจากห่อ ยังมีเหล้าเหมาไถสี่ขวด ตั้งไว้ที่หน้าป้ายวิญญาณของอาจารย์


ปักธูปเสร็จ เยี่ยเทียนพูดว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ ตาท่านแล้ว!”


“ได้!”


โก่วซินเจียเช็ดคราบน้ำตาบนใบหน้า ยืนอยู่ตรงกลางระหว่างศิษย์น้องทั้งสอง พูดวา “ศิษย์โก่วซินเจีย หลายสิบปีไม่ได้มาหาอาจารย์เลย เพราะศิษย์อกตัญญู วันนี้ได้มาถึงที่นี่ เพื่อมาคารวะวิญญาณอาจารย์ที่อยู่ในปรโลก!”


 ……..

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)