กระบี่จงมา 392.1-393.1

 บทที่ 392.1 วิญญูชนช่วยหรือไม่ช่วย

 

หลังจากนักพรตหญิงของเรือนซือเตาจากไปได้ไม่นาน เผยเฉียนก็ค่อยๆ เดินออกมาจากในห้อง หน้าผากแปะแผ่นยันต์กระดาษสีเหลือง


สือโหรวยืนอยู่ในห้องของตัวเองด้วยสีหน้าตึงเครียด ต่อให้สัมผัสถึงลมปราณของนักพรตหญิงไม่ได้แล้ว แต่ก็ยังหวาดผวาไม่คลาย


นางคือผีสาววัตถุหยิน มาเดินอาดๆ อยู่ในโลกคนเป็น อันที่จริงล้วนเต็มไปด้วยภยันตราย ลิงสวมหมวก มีแต่จะทำให้ผู้คนหัวเราะเยาะ แต่นางที่ใช้วิธีนอกรีตดั่งนกพิราบยึดรังนกกางเขน ยึดครองคราบร่างเซียนมา หากถูกผู้ฝึกตนใหญ่ซึ่งเป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลมองรากฐานของนางออก ผลลัพธ์ที่จะตามมาย่อมยากเกินกว่าจะคาดการณ์ได้


เผยเฉียนเดินมาหยุดอยู่ข้างกายเฉินผิงอันและจูเหลี่ยน สายตาก็ชำเลืองมองไปทางผนังแถบนั้น


จูเหลี่ยนยิ้มกล่าว “ก็แค่ขนจิ้งจอกหนึ่งเส้นที่ปราณวิญญาณหมดสิ้นไปแล้วเท่านั้น อยากจะเก็บเอามาเป็นสมบัติด้วยหรือ?”


เขายื่นมือไปรับขนจิ้งจอกสีดำที่จำแลงมาจากเวทอำพรางตาของปีศาจจิ้งจอกแล้วคีบไว้ด้วยสองนิ้ว ยื่นส่งให้เผยเฉียน “อยากได้ก็เอาไป”


เผยเฉียนหลบอยู่ด้านหลังเฉินผิงอัน ถามอย่างระมัดระวัง “เอาไปขายแลกเงินได้ไหม?”


จูเหลี่ยนขยี้ขนจิ้งจอกตรงปลายนิ้วที่มีความยืดหยุ่นอย่างถึงที่สุด แต่มันกลับไม่แหลกสลายกลายเป็นผุยผง เขาแปลกใจเล็กน้อย ต้องพินิจมองอย่างละเอียด “ของนี่เป็นของดี เพียงแต่ว่าไม่มีประโยชน์ที่แท้จริง หากสามารถถลกเอาหนังจิ้งจอกทั้งผืนมาได้ ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นเสื้อคลุมอาคมตามธรรมชาติได้ชิ้นหนึ่งกระมัง”


เฉินผิงอันเอ่ยเตือน “คำพูดแบบนี้พูดให้น้อยจะดีกว่า”


จูเหลี่ยนคลี่ยิ้ม “บ่าวเฒ่าไม่ระวังคำพูดจริงๆ”


เห็นได้ชัดว่าความเคลื่อนไหวของทางด้านนี้ไปดึงดูดความสนใจของคนจับปีศาจสองกลุ่มนั้น กลุ่มของคุณชายหนุ่มแซ่สองพยางค์ว่าตู๋กู และคู่บำเพ็ญเพียรคู่นั้นต่างก็พากันเร่งรุดมา พอเข้ามาในลานบ้านแล้ว แต่ละคนก็มีสีหน้าแปลกประหลาด สายตาที่มีต่อเฉินผิงอันยิ่งเปลี่ยนมาเป็นซับซ้อน ปีศาจจิ้งจอกที่เดิมทีควรเผยกายในอีกห้าวันให้หลังกลับเผยตัวล่วงหน้า นี่เป็นเพราะอะไร? แสงมีดเฉียบคมเส้นนั้นมีพลังอำนาจกร้าวแกร่ง ที่ยิ่งทำให้ทั้งสองฝ่ายตื่นตะลึงก็เพราะไม่เคยคิดว่าตบะของนักพรตหญิงพกมีดผู้นั้นจะสูงส่งถึงเพียงนี้ มีดเดียวก็ฟันให้ภาพมายาของปีศาจจิ้งจอกแหลกสลายไปได้ รายงานที่ทางสวนสิงโตให้มาก่อนหน้านี้ ปีศาจจิ้งจอกไม่อยู่กับร่องกับรอย ไม่ว่าจะเป็นค่ายกลหรือสมบัติอาคมก็ล้วนไม่สามารถสัมผัสโดนชายอาภรณ์ของมันได้


เฉินผิงอันเล่าฉากการปะทะระหว่างปีศาจจิ้งจอกกับนักพรตหญิงซือเตาให้ทั้งสองฝ่ายฟังอย่างรวบรัด แล้วก็ยิ่งไม่ได้บอกให้รู้ถึงสถานะของนักพรตหญิง


ผู้เฒ่าที่บนไหล่มีจิ้งจอกน้อยสีแดงเพลิงนั่งยองอยู่พลันเอ่ยขึ้นว่า “คุณชายเฉิน ขนจิ้งจอกเส้นนี้ขายให้ข้าได้ไหม? ไม่แน่ว่าข้าอาจจะอาศัยโอกาสนี้มาสืบสาวเบาะแสจนขุดค้นเจอที่ซ่อนตัวของปีศาจจิ้งจอกตัวนี้ก็เป็นได้”


เฉินผิงอันยิ้มถาม “ให้ราคาเท่าไหร่?”


ผู้เฒ่าชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสียอยู่ครู่หนึ่งก็กล่าวว่า “ขนจิ้งจอกสูญเสียสติปัญญาทั้งหมดไปแล้ว อันที่จริงก็มีค่าไม่ถึงหนึ่งเหรียญเงินเกล็ดหิมะแล้ว”


เฉินผิงอันไม่ได้ให้คำตอบทันที


ดวงตาเรียวยาวทอประกายน้ำฤดูใบไม้ร่วงของสาวใช้หน้าตางดงามที่อยู่ด้านหลังคุณชายตู๋กูท่านนั้นกระเพื่อมเป็นริ้วของความดูแคลน


ดูท่าเซียนซือหนุ่มสะพายกระบี่ยาวฝักขาว สวมชุดขาวผู้นี้ มองดูเหมือนคนบนภูเขา แต่แท้จริงแล้วกลับไม่ต่างจากพ่อค้าหน้าเลือด ขนจิ้งจอกหนึ่งเหรียญเงินเกล็ดหิมะ ยังจะต้องเล่นแง่อีกหรือ? แต่เพียงไม่นานนางก็ปล่อยวางได้ ก็พวกเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลล้วนเป็นพวกที่ชอบแสร้งทำท่าให้ดูภูมิฐานไม่ใช่หรือ?


นางติดตามคุณชายของตัวเองท่องไปทั่วภูเขาและแม่น้ำ ตลอดทางได้พบเห็นเรื่องราวมากมายในยุทธภพ แล้วก็ได้ขึ้นเขาลงห้วยไปเยี่ยมเยียนเซียนอยู่หลายครั้ง แต่มีสักกี่คนที่สามารถทำให้คุณชายต้องหันไปมองใหม่? มิน่าเล่าคุณชายถึงได้ไปอย่างฮึกเหิมแต่กลับมาอย่างห่อเหี่ยวเสียทุกครั้ง


สาวใช้ผู้นี้พลันค้นพบว่าเด็กหญิงผิวดำเกรียมที่อยู่ด้านหลังคนผู้นั้นกำลังมองมายังตน


สาวใช้พลันคลี่ยิ้มให้อีกฝ่าย


เผยเฉียนก็แสยะยิ้มกลับคืน


เฉินผิงอันพูดกับผู้เฒ่าคนนั้นว่า “ข้าพลันนึกขึ้นได้ว่าตัวเองก็มีวิชาที่ไม่เข้าขั้นบางอย่างซึ่งสามารถใช้มันไปค้นหาปีศาจจิ้งจอกได้เช่นกัน คงไม่ขายแล้ว”


ผู้เฒ่ายิ้มสง่างาม “ทุกคนต่างก็มาเพื่อกำจัดปีศาจ ในเมื่อคุณชายเฉินเก็บไว้แล้วเอาไปใช้ประโยชน์ได้ วิญญูชนไม่แย่งชิงของรักของผู้อื่น ข้าก็ไม่บังคับฝืนใจท่านแล้ว”


พอพวกเขาจากไป เฉินผิงอันลังเลอยู่ชั่วขณะก็พูดกับเผยเฉียนด้วยสีหน้าจริงจังว่า “รู้หรือไม่ว่าทำไมอาจารย์ถึงไม่ยอมขายขนจิ้งจอกเส้นนั้น?”


เผยเฉียนตอบรับฉับไว “คนผู้นั้นโกหก จงใจกดราคา จิตใจคิดคด อาจารย์ฉลาดปราดเปรื่อง มองปราดเดียวก็เห็นไปถึงไหนต่อไหน ในใจรู้สึกไม่ชอบ ไม่อยากให้เกิดเหตุไม่คาดฝัน หากปีศาจจิ้งจอกตนนั้นแอบจับตามองอยู่อย่างลับๆ นี่จะเป็นการทำให้ปีศาจจิ้งจอกขุ่นเคือง แล้วพวกเราจะตกเป็นเป้าที่ผู้คนรุมโจมตี ทำให้แผนการของอาจารย์วุ่นวาย เดิมทียังคิดจะดูไฟชายฝั่ง แค่ชมทัศนียภาพพลางจิบชาไปให้สบายใจ ผลกลับกลายเป็นว่าพาให้ไฟลุกลามมาไหม้ตัว เรือนหลังเล็กย่อมเต็มไปด้วยลมคาวฝนเลือด…อาจารย์ ข้าพูดมาตั้งมากขนาดนี้ ต้องมีสักเหตุผลที่ถูกต้องกระมัง? ฮ่าๆ ข้าฉลาดมากเลยใช่ไหมล่ะ?”


จูเหลี่ยนจุ๊ปากพูด “ใครบางคนต้องกินมะเหงกอีกแล้ว”


แล้วก็จริงดังคำของเขา เฉินผิงอันเขกมะเหงกลงมาจริงๆ


เผยเฉียนหันขวับมามองจูเหลี่ยนอย่างเดือดดาล “ปากอีกา!”


จูเหลี่ยนยิ้มพูด “หวาดกลัวคนแข็งแกร่ง รังแกคนที่อ่อนแอกว่า? คิดว่าข้ารังแกได้ง่ายใช่ไหม เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะโปรยดินลงไปในกับข้าวที่เจ้าชอบกินมากที่สุด?”


เผยเฉียนรู้สึกร้อนตัวเล็กน้อย หันไปมองเฉินผิงอัน ทำไหล่ลู่คอตก


นับตั้งแต่ครั้งแรกที่พบเจอกันในพื้นที่มงคลดอกบัว จนกระทั่งถูกนักพรตเฒ่าจมูกวัวโยนออกมา เผยเฉียนรู้สึกว่าเฉินผิงอันคือคนที่รู้ไส้รู้พุงตนดีที่สุดในใต้หล้า หากใช้คำกล่าวตามในตำราก็คือ นางคือคนที่มีประวัติชั่วร้ายด่างพร้อย ดังนั้นตอนนี้นางถึงได้รู้สึกกลัว


เฉินผิงอันลูบศีรษะของเจ้าตัวน้อยพลางพูดเบาๆ ว่า “ข้าอ่านเจอในผลงานของนักประพันธ์ผู้หนึ่ง ในพระไตรปิฎกบอกไว้ว่า เรื่องราวของเมื่อวานตายไปเมื่อวาน เรื่องราวของวันนี้เกิดขึ้นวันนี้ รู้หรือไม่ว่าหมายความว่าอย่างไร?”


เผยเฉียนเงยหน้าขึ้น ส่ายหน้าเบาๆ


เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “วันหน้าก็จะเข้าใจเอง”


เผยเฉียนดวงตาเป็นประกาย “อาจารย์ ประโยคนี้สลักไว้บนแผ่นไม้ไผ่แผ่นเล็กแล้วมอบให้ข้าได้ไหม? หากเป็นไปได้ก็รวมสองประโยคในศาลพ่อปู่ลำคลองนั่นด้วย?”


เฉินผิงอันพยักหน้ารับตอบรับ จากนั้นก็ยกเอาเรื่องเล็กๆ อย่างขายไม่ขายขนจิ้งจอกนี้มาอธิบายด้วยหลักการยิ่งใหญ่ให้เผยเฉียนฟังซึ่งถือว่าหาได้ยากยิ่ง “ท่องอยู่ในยุทธภพต้องระวังตัวให้มาก ไม่ควรมีใจคิดทำร้ายผู้อื่น แต่หากไม่มีใจคิดป้องกันผู้อื่นเลย นั่นจะไม่เท่ากับปล่อยให้คนชั่วได้เปรียบไปเปล่าๆ หรอกหรือ? จะต้องยึดหลักภายนอกปฏิบัติต่อคนอื่นด้วยความจริงใจไว้ตลอดเวลา ควักใจให้กับทุกคนหรือหวั่นไหวไปกับทรัพย์สินกลับมีแต่จะทำให้ยุทธภพอันตรายมากขึ้น การปฏิบัติต่อคนอื่นด้วยความจริงใจที่แท้จริงก็คือเรื่องที่งดงามมากเรื่องหนึ่ง แต่ควรจะปกป้องมันให้ดี ไม่ทำร้ายคนอื่นและไม่ทำร้ายตัวเองได้อย่างไร ก็จำเป็นต้องสั่งสมประสบการณ์ในยุทธภพไปด้วยตัวเอง”


จูเหลี่ยนยิ้มบางๆ “จิตใจดีงามแต่ไม่ไร้เดียงสา สุขุมเชี่ยวชาญหาใช่มากอุบาย ถ้อยคำที่ล้ำค่าเช่นนี้คือหลักการที่แท้จริงในตำรา”


เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งที “จูเหลี่ยนพูดได้ดีกว่าข้า คำพูดไม่เยิ่นเย้อ”


เฉินผิงอันหยิบเหล้าหมักกุ้ยฮวาหนึ่งในสามกาสุดท้ายออกมาส่งให้จูเหลี่ยน ตอนนั้นตระกูลฟ่านนำเหล้าหมักกุ้ยฮวามามอบให้ไม่น้อย เพียงแต่ว่าแบ่งเป็นสองชนิด ชนิดหนึ่งคือไว้ให้เฉินผิงอันดื่มระหว่างทาง จำนวนมีไม่น้อย เพียงแต่ว่าตลอดทางมานี้ดื่มอยู่ตลอด วันนี้ให้สวีหย่วนเสียหนึ่งกา พรุ่งนี้ให้จางซานเฟิงหนึ่งกา นี่ยังไม่ทันเดินถึงเมืองหลวงแคว้นชิงหลวนก็ใกล้จะหมดแล้ว ส่วนอีกชนิดหนึ่งมีค่อนข้างน้อย ว่ากันว่าเป็นเหล้าหมักที่กุ้ยฮูหยินหมักเองบนเกาะกุ้ยฮวา มีเพียงหกไหเท่านั้น ตอนนั้นขนาดฟ่านจวิ้นเม่าก็ยังอยากได้ จึงตื๊อเอาไปหนึ่งไห


เผยเฉียนหันไปมองจูเหลี่ยน ถามอย่างใคร่รู้ “ตำราเล่มไหนกล่าวไว้?”


จูเหลี่ยนหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “ตำราชีวิตคนลำบากยากเข็ญ สามารถสอนคนได้ดีที่สุด”


เผยเฉียนรับไม่ได้ที่อาจารย์ถูกคนอื่นข่มจึงหัวเราะเยาะใส่จูเหลี่ยน “ถ้าอย่างนั้นข้าก็ยังต้องเรียนรู้จากมหาสมุทรไร้ขอบเขต จากถุงหนังสือไร้ก้น พูดมั่วๆ แค่สองสามประโยค ใครบ้างที่ทำไม่ได้ ยังคงเป็นอาจารย์ข้าที่พูดได้ดี ดีกว่าเยอะเลย!”


จูเหลี่ยนโคลงศีรษะดื่มเหล้า มีสุราดีให้ดื่มจึงไม่มีอารมณ์มาต่อปากต่อคำกับนังหนูนี่แล้ว


เฉินผิงอันพูดกับเผยเฉียน “เป็นเพราะเจ้าไม่สนิทกับจูเหลี่ยนจึงไม่ยอมรับว่าคำพูดของเขามีเหตุผล ช่างเถิด เรื่องพวกนี้ไว้ค่อยว่ากันวันหลัง”


สุดท้ายเฉินผิงอันรู้สึกว่าจะรีบร้อนไม่ได้ ไม่จำเป็นต้องเอาหลักการที่ตนคิดว่ามีเหตุผลทั้งหมดกรอกใส่หัวเผยเฉียนในคราวเดียว


คนที่ความจำดีอย่างเผยเฉียน ท่องตำราอริยะปราชญ์หลายหมื่นหลายแสนตัวอักษรก็ไม่สู้คำสอนบนตำราสองสามประโยคที่ตัวนางเข้าใจได้อย่างแท้จริง


มีประโยคหนึ่งตอนอยู่ศาลพ่อปู่ลำคลองที่จูเหลี่ยนเอ่ยโดยไม่ได้ตั้งใจ ทำให้เฉินผิงอันครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง ตำราอริยะปราชญ์ยังคงเป็นอริยะปราชญ์ เฉินผิงอันจึงเริ่มทบทวนตัวเอง เมื่อเทียบกับบัณฑิตที่แท้จริงแล้ว ตนอ่านตำรามาไม่มาก แต่หากเทียบกับชาวบ้านทั่วไป อันที่จริงกลับไม่ถือว่าน้อยแล้ว ถ้าอย่างนั้นลองคิดคำนวณอย่างละเอียด หลายปีมานี้ตำราอริยะปราชญ์ที่คืนให้อริยะปราชญ์ไปมีน้อยนักหรือ?


เฉินผิงอันถอนหายใจหนึ่งที บอกว่าจะไปฝึกวิชาหมัดในห้อง


ฝึกที่ลานบ้านแห่งนี้ออกจะสะดุดตาเกินไป


ผีสาวสือโหรวที่อยู่ในห้องได้ยินเฉินผิงอันพูดประโยคที่มาจากคัมภีร์พุทธประโยคนั้นก็เหม่อลอยไปนาน สุดท้ายถอนหายใจเบาๆ เก็บความคิดวุ่นวายทั้งหลายลงไป กลั้นหายใจทำสมาธิ เริ่มหายใจเข้าออกโดยทำตามคาถาที่ชุยตงซานถ่ายทอดให้ เพื่อหล่อหลอมคราบร่างเซียนนี้ไปทีละนิด


หลังจากเฉินผิงอันปิดประตูลงแล้ว เผยเฉียนก็ถามเบาๆ ว่า “พ่อครัวเฒ่า ดูเหมือนอาจารย์ของข้าจะอารมณ์ไม่ค่อยดีนะ? เป็นเพราะรังเกียจที่ข้าโง่หรือเปล่า?”


จูเหลี่ยนยิ้มตาหยีถามกลับ “อยากดื่มเหล้าไหม? ใช้เหล้าดับทุกข์อันไร้ที่สิ้นสุดอย่างไรล่ะ”


เผยเฉียนยกสองแขนกอดอก พูดอย่างขุ่นเคือง “ข้าเคยเสียเปรียบครั้งใหญ่ให้กับชุยตงซานไปแล้ว เจ้าอย่าหวังว่าจะทำลายจิตแห่งการฝึกตนของข้าได้!”


จูเหลี่ยนเกือบจะพ่นเหล้าออกมา “เด็กน้อยอย่างเจ้ามีจิตแห่งการฝึกตนอะไรกับเขาด้วย?”


เผยเฉียนลุกขึ้นยืน เอาสองมือไพล่หลัง ทอดถอนใจเฮือกๆ ไม่ลืมหันมาใช้สายตาเวทนามองจูเหลี่ยน น่าจะอยากพูดว่าข้าไม่คิดจะสีซอให้ควายฟังหรอกนะ


พอนางหันหน้ากลับไป จูเหลี่ยนก็ยกเท้าถีบก้นเผยเฉียนจนเด็กหญิงผิวดำเป็นถ่านเกือบจะล้มหน้าทิ่ม ฝึกวรยุทธ์และฝึกเดินนิ่งระหว่างเดินทางตามป่าเขามานาน ทำให้เผยเฉียนใช้สองมือยันพื้น พลิกตัวกลับ พอยืนได้มั่นคงแล้วก็พูดอย่างอับอายจนพานเป็นความโกรธ “จูเหลี่ยน เหตุใดเจ้าต้องแอบทำร้ายคนอื่นด้วย ยังมีศีลธรรมของชาวยุทธ์อยู่หรือไม่?! บนร่างข้าคือเสื้อผ้าชุดใหม่ที่เพิ่งสวมได้ไม่นานเองนะ!”


จูเหลี่ยนถาม “อยากเรียนวรยุทธ์ที่ข้าคิดค้นขึ้นเองหรือไม่ มีชื่อว่าแมลงตื่นจากจำศีล แค่ฝึกได้สำเร็จในระดับต้นๆ ก็สามารถออกหมัดเหมือนสายฟ้าฤดูใบไม้ผลิ อย่าว่าแต่คุมเชิงกับคนในยุทธภพเลย คิดจะต่อยให้เส้นเอ็นและกระดูกของพวกเขาอ่อนยวบยาบก็ยังได้ ต่อให้เจอกับภูตผีปีศาจก็ให้ประสิทธิผลที่มหัศจรรย์ไม่ต่างกัน”


เผยเฉียนถามกลับ “เจ้าเป็นใครกัน?”


จูเหลี่ยนไม่ถือสาที่อีกฝ่ายเห็นความหวังดีของตนเป็นเจตนาร้าย เพียงแต่ไม่อยากฟังเหตุผลบิดๆ เบี้ยวๆ ของเจ้าเด็กนี่อีกจึงโบกมือไล่ “ไปๆๆ ไปฝึกวิชากระบี่มารคลั่งของเจ้าโน่นไป”


เผยเฉียนมีคำพูดเต็มท้องที่ไม่ได้พูดออกมาจึงรู้สึกอัดอั้นเล็กน้อย นางไปหยิบไม้เท้าเดินป่าในห้องตัวเองออกมา เริ่มฝึกวิชายุทธ์ที่นาง ‘คิดค้น’ ขึ้นเองเช่นกัน หลังจากที่กำราบหมาพันธ์พื้นบ้านได้ระหว่างทางในครั้งนั้น ความมั่นใจของนางก็เพิ่มขึ้นพรวดพราด ช่วงที่ผ่านมานี้นอกจากฝึกเดินนิ่งหกก้าวกับเฉินผิงอันอย่างว่าง่ายแล้ว วิชาวานรขาวสะพายกระบี่และวิชาลากดาบล้วนถูกนางเก็บไว้ชั่วคราว มีบางครั้งที่เอามาฝึกอย่างขอไปที ส่วนใหญ่ที่ฝึกยังคงเป็นวิชากระบี่ล้ำโลกที่มีพลานุภาพมหาศาลซึ่งเห็นผลทันตานี่มากกว่า


เผยเฉียนมีความสุขกับการฝึกของตัวเอง


ทำเอาจูเหลี่ยนที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเดินทางไกลรู้สึก…เสียสายตายิ่งนัก


จูเหลี่ยนกวาดตามองไปรอบด้าน


ไร้ความผิดปกติใดๆ


ดูท่าพอเจอมีดอาคมนั้นไป ปีศาจจิ้งจอกก็เริ่มหวาดเกรงขึ้นมาบ้างแล้ว


ในสองห้องของเรือนหลังเล็ก สือโหรวใช้จิตวิญญาณของผีสาว ร่างของเซียนฝึกวิชาลับชั้นสูงที่ชุยตงซานถ่ายทอดให้


ส่วนเฉินผิงอันใช้ท่าฟ้าดินเดินกลับหัว มือสองข้างยื่นนิ้วออกมาแค่นิ้วเดียว


ขณะเดียวกันจิตใจก็จ่มจอมอยู่ใน ‘จวนน้ำ’ ที่หลอมมาจากตราประทับตัวอักษรน้ำ


ตามคำอธิบายของชุยตงซาน ตอนที่เขาหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตอยู่บนทะเลเมฆเหนือนครมังกรเฒ่า มีความเป็นไปได้มากว่าแผ่นหยกจวนปี้โหยวที่สร้างภาพปรากฎการณ์ผิดปกตินั้นอาจจะเป็นวัตถุตกทอดล้ำค่าของวังมังกรแม่น้ำสายใหญ่บางแห่งในยุคบรรพกาล แก่นน้ำของแม่น้ำสายใหญ่ได้มารวมตัวกันจนกลายเป็นแผ่นหยกโชคชะตาน้ำ ตอนนั้นชุยตงซานพูดด้วยรอยยิ้มว่าในด้านของการแจกจ่ายสมบัติ เจ้าแม่เทพวารีลำคลองหมายเหอท่านนั้นค่อนข้างคล้ายคลึงกับอาจารย์ไม่น้อย ส่วนตัวอักษรที่สลักอยู่บนแผ่นหยก สุดท้ายเกิดจิตเชื่อมโยงกับเฉินผิงอันผู้เป็นคนหล่อหลอม เมื่อความคิดของเขาผุดขึ้น พวกมันก็ถือกำเนิด กลายมาเป็นคนจิ๋วสวมชุดสีเขียวมรกตที่พากันแบกแผ่นหยกเข้าไปในช่องโพรงลมปราณของเฉินผิงอัน ช่วยเฉินผิงอันวาดภาพเทพทวารบาลลงบน ‘ประตูจวน’ และยังวาดน้ำของแม่น้ำใหญ่สายหนึ่งขึ้นมาบนผนังช่องโพรงลมปราณ นั่นก็คือโชควาสนาแห่งมหามรรคาที่พันปียากจะพานพบสักครั้ง


เป็นเหตุให้ชุยตงซานที่หยิ่งทระนงก็ยังอดพูดอย่างตรงไปตรงมาไม่ได้ว่า เว้นเสียจากความจริงใจของอาจารย์และศิษย์สองคนสั่นคลอนสวรรค์ หาไม่แล้วต่อให้เขาที่เป็นลูกศิษย์ทุ่มเทกำลังกายใจจนหมดสิ้น วางแผนนับหมื่นอย่าง ก็ยากมากๆ ที่ระดับของหัวใจบุ๋นสีทองซึ่งจะหลอมเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตชิ้นที่สองในต้าสุยนั้นจะทัดเทียมได้กับตราประทับตัวอักษรน้ำชิ้นแรก


สำหรับเรื่องพวกนี้ เฉินผิงอันย่อมปล่อยวางได้ ได้มาคือความโชคดีของข้า สูญเสียไปคือชะตากรรมของข้า


แต่ระหว่างการได้มาและการสูญเสียที่เป็นดั่งมายาล่องลอยนี้ เฉินผิงอันยังคงชื่นชอบสี่คำของแผ่นป้ายหนึ่งในกรอบซุ้มประตูก้ามปูของบ้านเกิดมากกว่า โม่เซี่ยงว่ายฉิว ไม่แสวงหาสิ่งที่อยู่นอกกาย


คิดจะขอร้องเทพกราบไหว้พระ ตัวเองต้องมีความจริงใจเสียก่อน แล้วค่อยปล่อยให้เป็นไปตามชะตาฟ้าลิขิต

 

 

 


บทที่ 392.2 วิญญูชนช่วยหรือไม่ช่วย

 

เมื่อดื่มเหล้าดองยาหลอมเล็กในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่จนหมด บวกกับการพักฟื้นตลอดทางที่ผ่านมา ตอนนี้อาการบาดเจ็บของเฉินผิงอันฟื้นตัวมาเกินครึ่งแล้ว ตบะวิถีวรยุทธ์มีระดับพอๆ กับตอนก่อนจะเปิดศึกกับติงอิงในพื้นที่มงคลดอกบัว


แต่หลังจากที่เขียนตัวอักษรลงบนผนังของศาลพ่อปู่ลำคลอง เฉินผิงอันก็ค้นพบได้อย่างเลือนๆ ว่าช่องโพรงจวนน้ำในกายคล้ายจะเกิดการขานรับบางอย่าง ระดับความเร็วของสายน้ำที่ไหลรินเพิ่มสูงขึ้นเยอะมาก ไอหมอกลอยอวลปกคลุมไปทั่วผิวน้ำ บางครั้งยังถึงกับมี ‘เส้นทางน้ำ’ เอ่อล้นออกมาอบอวลไปเต็มช่องโพรงลมปราณ เพียงแต่ว่าถูกสกัดขวางไว้ตรงประตูใหญ่ของจวนน้ำ ช่องทางน้ำที่ย้อนกลับไปบนผนังอีกครั้งจึงกลับคืนสู่ความนิ่งสงบดังเดิม


ดังนั้นวันนี้เฉินผิงอันจึงคิดจะใช้วิชา ‘มองภายใน’ ที่ตื้นเขินของบนภูเขามาตรวจสอบดูสักหน่อย


คิดไม่ถึงว่าเขาเป็นเจ้านาย แต่กลับเกือบจะผ่านประตูเข้าไปไม่ได้ ปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์ซึ่งฟูมฟักมาจากการเป็นผู้ฝึกยุทธ์พุ่งเข้ามาอย่างดุดัน น่าจะมีรู้สึกประมาณว่า ‘นายได้รับความอัปยศ ลูกน้องสมควรตาย’ จึงต้องการทวงความยุติธรรมให้กับเฉินผิงอัน แน่นอนว่าเฉินผิงอันไม่กล้าปล่อยให้ ‘มังกรเพลิง’ ตัวนี้บุกเข้าประตูไป ไม่อย่างนั้นจะไม่กลายเป็นว่าตัวเองทุบประตูบ้านของตัวเองหรอกหรือ นี่ก็คือสาเหตุสำคัญที่ว่าเหตุใดยอดฝีมือบนโลกสามารถทำได้ แต่กลับไม่ยอมฝึกควบสองเส้นทาง


แค่ปลอบประโลมมังกรเพลิงตัวนั้น เฉินผิงอันก็เกือบจะหัวทิ่มลงพื้น ได้แต่เปลี่ยนจากใช้นิ้วยันพื้นมาเป็นใช้หมัดแทน


หลังจากมังกรเพลิงเคลื่อนย้ายไปอยู่ ‘ทางเดินม้า’ เส้นอื่นแล้ว ลมหายใจของเขาถึงได้ดีขึ้นเล็กน้อย ขณะเดียวกันเทพทวารบาลสององค์ที่อยู่ตรงหน้าประตู เมื่อถูกคนจิ๋วตัวอักษรแผ่นหยกที่สวมชุดสีเขียวมรกตควบคุมก็รีบเปิดประตูใหญ่ให้เฉินผิงอันทันที แล้วทำท่าคารวะขอรับผิดด้วยความละอายใจอย่างสุดซึ้ง หลังจากแสงสว่างจุดเล็กๆ ที่เฉินผิงอันแบ่งเข้ามาสำรวจภายในเดินเข้าไปก็รู้สึกถึงความงดงามชวนตะลึงที่แปลกใหม่ เมื่อเทียบกับตอนที่กวาดตามองสวนสิงโตซึ่งมีภูเขารายล้อมแล้ว มีแต่จะให้ความรู้สึกที่เหนือกว่าไม่มีด้อยกว่า


แผ่นหยกที่ถูกหล่อหลอมได้สำเร็จก่อนหน้าตราประทับอักษรน้ำลอยอยู่กลางจวนน้ำซึ่งเป็นห้องโอสถแห่งนี้ ส่วนตราประทับตัวอักษรน้ำชิ้นนั้นก็ลอยอยู่ในจุดที่สูงยิ่งกว่า


เจ้าตัวน้อยชุดเขียวทั้งหลายยังคงสร้างกระท่อมสร้างบ้านเรือนอย่างขยันขันแข็ง บางคนที่ตัวใหญ่กว่าหน่อยก็จะไปนั่งยองอยู่ริมตลิ่งแม่น้ำสายใหญ่บนผนังดุจจิตรกรเอกที่กำลังวาดเค้าโครงของลูกคลื่น


ไม่เพียงเท่านี้ หลังจากที่ไอน้ำซึ่งคุณภาพไม่บริสุทธิ์กรูผ่านประตูใหญ่เข้ามาในจวน ส่วนใหญ่ล้วนค่อยๆ ไหลรินไปอย่างเชื่องช้า ทุกครั้งจะมีเพียงแค่ส่วนน้อยเล็กบางเหมือนเส้นผมที่บินเข้าไปใน ‘สะเก็ดน้ำ’ ใต้ปลายพู่กันของคนจิ๋วชุดเขียว เมื่อบินเข้าไป สะเก็ดน้ำก็จะมีชีวิตชีวาขึ้นมา มีสัญญาณว่าจะไหลขยับ เพียงแต่ว่าเจ้าตัวน้อยน่ารักสวมชุดเขียวซึ่งอยู่บนผนังส่วนใหญ่ล้วนว่างงาน อันที่จริงพวกมันวาดเส้นสายคลื่นน้ำไปเป็นจำนวนมาก เพียงแต่ว่าส่วนที่มีชีวิตขึ้นมานั้นกลับมีน้อยจนนับนิ้วได้


ดังนั้นเมื่อพวกมันที่อยู่ริมน้ำเห็นเฉินผิงอันจึงพากันทำท่าน้อยเนื้อต่ำใจ คล้ายกำลังพูดว่าต่อให้เป็นแม่บ้านที่ฝีมือดีแค่ไหน แต่ไม่มีวัสดุก็ทำอาหารอร่อยออกมาไม่ได้ เจ้ารีบๆ ดูดซับหล่อหลอมปราณวิญญาณมาเยอะๆ สิ


เฉินผิงอันรู้ดีว่าเมื่อสะพานแห่งความเป็นอมตะหักลง ฐานกระดูกก็ได้รับความเสียหายอย่างหนัก เป็นเหตุให้น้ำอันเป็นต้นกำเนิดของจวนน้ำแห่งนี้มีน้อยเกินไป อีกทั้งความเร็วในการหล่อหลอมยังอยู่ไกลเกินกว่าจะใช้คำว่าผู้มีพรสวรรค์ได้ ทั้งสองอย่างรวมกันก็เหมือนน้ำค้างแข็งที่ตกลงบนหิมะ เป็นเหตุให้เด็กๆ ชุดเขียวได้แต่เสียเวลาไปเปล่าๆ ไม่มีงานให้ง่วนวุ่นวาย เฉินผิงอันจึงได้แต่ถอยออกมาจากจวนอย่างละอายใจ


หลังจาก ‘เฉินผิงอัน’ ออกมาจากจวนน้ำแล้ว เด็กชุดเขียวสองสามตนที่ตัวใหญ่ที่สุดก็มารวมหัวกระซิบกระซาบกัน


เฉินผิงอันไม่ได้ตัดขาดวิธีการสำรวจภายในทันที แต่เริ่มใช้ดวงจิต ‘เดินเล่น’ ไปตามทิศทางการโคจรของมังกรเพลิง


แสงดวงจิตนี้เล็กเท่าเมล็ดงา ทว่ามังกรเพลิงที่เกิดจากการรวมตัวกันของปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์กลับพุ่งไปได้ร้อยลี้ในเสี้ยววินาที เมื่อ ‘เฉินผิงอัน’ เดินอยู่บนเส้นทางชีพจรจึงเรียกได้ว่าหนทางยาวไกลพันลี้ แม้จะรู้ว่ามังกรเพลิงตัวนั้นอยู่ที่ไหน แต่กลับไล่ตามไปไม่ทัน


แต่นี่ก็เกี่ยวข้องกับการที่เฉินผิงอันโดนเรือกลืนกระบี่แทงมาก่อน ไม่อย่างนั้นเขาก็สามารถใช้แสงสว่างแห่งดวงจิตจุดนี้บังคับให้มังกรเพลิงลมปราณที่แท้จริงตัวนั้นว่ายวนกลับมา ไม่แน่ว่าอาจจะยังขี่มันเดินทางท่องไปสี่ทิศ


สุดท้าย ‘เฉินผิงอัน’ ย้อนกลับมาที่นอกจวนน้ำ นั่งขัดสมาธิเริ่มหล่อหลอมปราณวิญญาณ


ขยันหมั่นเพียรชดเชยส่วนที่ขาด


เฉินผิงอันเชี่ยวชาญเรื่องนี้ เชี่ยวชาญมาก


ตอนนี้เฉินผิงอันยังไม่รู้ว่า สามารถทำให้อาเหลียงพูดประโยคว่า ‘หมื่นวิชาหนีไม่พ้นรากฐานดั้งเดิม ฝึกหมัดก็คือฝึกกระบี่’ นั้น ถือเป็นการได้รับการยอมรับที่มากเท่าไหร่


ผู้ฝึกยุทธ์ในใต้หล้ามีนับพันนับหมื่น ทว่าบนโลกกลับมีเพียงเฉินผิงอันคนเดียว


……


เด็กสาวคนหนึ่งอาศัยอยู่ในหอซิ่วโหลวที่งามประณีต


เด็กสาวหน้าตาอิดโรยดุจบุปผาที่แห้งเหี่ยว ภายใต้การประคองจากสาวใช้ประจำกาย นางมานั่งอยู่หน้าคันฉ่อง แม้ว่าจะมีสภาพน่าสงสารเพราะป่วยหนักเต็มที แต่ดวงตาของเด็กสาวกลับยังทอประกายเจิดจ้า ขอแค่ในใจยังมีความหวัง คนก็มีชีวิตชีวา


คนน่าสงสารผู้นี้ก็คือบุตรสาวคนเล็กของรองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่ว หลิ่วชิงชิง ในเทียบวงศ์ตระกูลของรองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่ว รุ่นของเขาใช้อักษรตัวจิ้ง ส่วนรุ่นของหลิ่วชิงชิงใช้อักษรตัวชิง


หลิ่วชิงหย่าพี่สาวคนโตที่แม้จะแต่งงานไปแล้ว แต่เพราะได้รับความเดือดร้อนจากน้องสาวอย่างนาง จนทุกถึงวันนี้จึงยังต้องรั้งรออยู่ในสวนสิงโตพร้อมกับสามี


หลิ่วชิงซานพี่ชายคนรอง เดิมทีมักจะมาคุยเล่นกับนางเป็นประจำ เดี๋ยวนี้ไม่เคยมาหานางนานมากแล้ว เด็กสาวสนิทกับพี่ชายคนรองมากที่สุด ดังนั้นจึงรู้สึกเสียใจเล็กน้อย


น้องสามหลิ่วชิงอวี้กลับมาเล่นอยู่กับนางบ่อยๆ เพียงแต่ว่าเขาอายุยังน้อยจึงมักส่งเสียงดังโหวกเหวก ตอนนี้ร่างกายนางอ่อนแอ น้องชายที่นิสัยร่าเริงผู้นี้เป็นคนมือเท้าอยู่ไม่นิ่ง นางกลัวว่าหากน้องชายไม่ระวังจะทำลายหรือไม่ก็เหยียบย่ำของรักบางชิ้นของนางให้แตกเสียหาย จึงทำให้นางปวดหัวมากจริงๆ


สาวใช้ของนางก็คือจ้าวหยาบุตรสาวของผู้ดูแลผู้เฒ่า เด็กสาวที่มีกระตรงปลายจมูก เห็นว่าคุณหนูของตนเข้มแข็งถึงเพียงนี้ จ้าวหยาที่ปรนนิบัติรับใช้คุณหนูมาตั้งแต่ยังเด็กก็ให้เจ็บปวดหัวใจ พยายามสรรหาถ้อยคำมาปลอบใจนาง ยกตัวอย่างเช่นวันนี้สีหน้าคุณหนูดีขึ้นเยอะมาก วันนี้อากาศอบอุ่นขึ้นแล้ว พรุ่งนี้คุณหนูก็ออกจากหอเรือนไปเดินเล่นได้แล้ว


ตอนที่จ้าวหยาขึ้นหอเรือนมาได้ยกน้ำร้อนมาด้วยหนึ่งถัง นัดหมายกันไว้เรียบร้อยแล้วว่าวันนี้จะสระผมให้คุณหนูหลิ่วชิงชิง


หลิ่วชิงชิงนั่งอยู่บนม้านั่ง ยกมือลูบซีกแก้มที่ผอมตอบ พูดกับจ้าวหยาว่า “หยาเอ๋อร์ วันนี้บอกให้พวกมันมาทำเถอะ เจ้าพักผ่อนสักหน่อย อ่านหนังสือให้ข้าฟังสักบทแล้วกัน”


จ้าวหยาถอนหายใจเบาๆ อย่างที่แทบจะไม่ได้ยิน ก่อนจะเดินเบาๆ ไปเปิดประตูบานเล็กของกรงนกที่ทำขึ้นอย่างประณีต


แม้ว่าด้านในจะมีเสียงจิ๊บๆ จั๊บๆ ฟังแล้วคล้ายจะครึกครื้น แต่อันที่จริงเสียงกลับเบามาก เวลาปกติจึงไม่ดังรบกวนคุณหนู


พูดว่ากรงนก แต่นอกจากรูปร่างคล้ายกรงที่ใช้เลี้ยงนกแล้ว อันที่จริงด้านในกลับสร้างให้เป็นเหมือนหอเรือนย่อส่วนแห่งหนึ่ง นี่ก็คือ ‘กรงหลวน’ ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของแคว้นชิงหลวนซึ่งคุณหนูในตระกูลใหญ่แทบทุกคนล้วนมีในครอบครอง สิ่งที่เลี้ยงไว้ด้านในไม่ใช่นก แต่เป็นภูติเรือนกายเล็กจิ๋วหลากหลายชนิด มีแม่นางหวีผมที่รูปร่างเหมือนกบ แต่กลับมีศีรษะเป็นสตรี เกิดมาก็ใกล้ชิดกับน้ำสะอาด ชอบใช้กรงเล็บเล็กๆ หวีผมให้สตรีอย่างละเอียดรอบคอบ อีกทั้งยังสามารถช่วยบำรุงเส้นผมให้กับสตรีได้ด้วย สตรีแต่งงานแล้วจะไม่มีทางมีผมขาวก่อนวัยอันควรเด็ดขาด


มีภูตผีเสื้อดอกไม้ที่เชี่ยวชาญด้านการวาดคิ้ว ขอแค่ทำพู่กันขนาดเล็กครบชุดให้พวกมัน แล้วให้พวกมันดูการแต่งหน้าในรูปแบบต่างๆ พวกมันก็จะสามารถวาดคิ้วที่งดงามชวนหลงใหลให้กับสตรีได้


และยังมีภูตน้อยที่ชอบกินเครื่องประทินโฉม มีร่างเป็นคนมีกรงเล็บของนก และมีปีกหนึ่งคู่ สามารถช่วยทาเครื่องประทินโฉมให้กับสตรีได้อย่างละเอียดอ่อน เพิ่มสีสันงดงามให้กับใบหน้าได้ดีกว่าสตรีทำเอง


หลังจากที่สาวใช้จ้าวหยาเปิดกรงออก ภูติประหลาดหลายสิบตัวที่อยู่ในหอเรือนกรงหลวนก็พากันบินออกมาอย่างเป็นระเบียบ แล้วจึงเริ่มสระผมแต่งหน้าให้กับเจ้านายอย่างหลิ่วชิงชิงด้วยความคล่องแคล่วคุ้นเคยอย่างถึงที่สุด


ส่วนจ้าวหยานั้นพลิกเปิดตำราอยู่ด้านข้าง อ่านออกเสียงด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล หนังสือที่อ่านคือตำรารวมบทกวีเล่มหนึ่งที่เป็นที่นิยมในราชสำนักแคว้นชิงหลวนช่วงล่าสุด


เสียงแอดดังขึ้น ประตูห้องเปิดออก แต่กลับไม่เห็นคนเดินเข้ามา


จ้าวหยาถอนหายใจอยู่ในใจ แสร้งทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ยังคงอ่านบทกวีแห่งภูเขาและแม่น้ำในตำราต่อไป


ลมโชยเบาๆ ผ่านหน้าหนังสือ เพียงไม่นานก็มีเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาสวมชุดคลุมสีดำคนหนึ่งมายืนอยู่ด้านหลังเด็กสาว ใช้ปลายนิ้วดีดภูตน้อยที่กำลังหวีผมสีนิลให้กับเจ้านายเบาๆ แล้วเขาเป็นคนทำหน้าที่นั้นแทน


เด็กสาวไม่ได้หันกลับมา เพียงยิ้มบางๆ กล่าวว่า “มาแล้วหรือ”


ปีศาจจิ้งจอกที่ทำให้ไก่บินหมาวิ่งอลหม่านในสวนสิงโตคลี่ยิ้มน่าหลงใหล “ประเพณีนิยมทำร้ายผู้คน ลำบากภรรยาข้าแล้ว”


หลิ่วชิงชิงส่ายหน้าเบาๆ


ปีศาจจิ้งจอกเอ่ยเสียงแผ่ว “อย่าขยับสิ ระวังน้ำจะกระเด็นโดนร่าง”


หลิ่วชิงชิงจึงนั่งนิ่งไม่ขยับ เอียงศีรษะปล่อยให้เด็กหนุ่มหล่อเหลาช่วยสางผมสีนิลให้กับนาง การกระทำของเขาอ่อนโยนทำให้จิตใจของนางมั่นคง


ตั้งแต่ต้นจนจบ ปีศาจจิ้งจอกช่วยสระผม หวีผม วาดคิ้ว แต่งหน้าให้กับหลิ่วชิงชิง


สุดท้ายพวกเขานั่งพิงอิงไหล่กันและกัน หลิ่วชิงชิงถามเบาๆ ว่า “ได้ยินหยาเอ๋อร์บอกว่า ที่บ้านมีคนมาเพิ่มอีกกลุ่มหนึ่งแล้ว”


ปีศาจที่เรียกตัวเองต่อคนภายนอกว่านายท่านชิงยิ้มกล่าว “มองตื้นลึกหนาบางไม่ออก อาจจะรับมือได้ยากยิ่งกว่านักพรตหญิงมีดอาคมผู้นั้น แต่ไม่เป็นไร ต่อให้เทพเซียนก่อกำเนิดมาที่นี่ ข้าก็ยังไปไหนมาไหนได้ตามสบาย ไม่มีทางมาพบหน้าภรรยาน้อยลงเด็ดขาด”


บนใบหน้าของหลิ่วชิงชิงอาบย้อมด้วยสีแดงระเรื่อ หันหน้าไปพูดกับจ้าวหยาว่า “หยาเอ๋อร์ เจ้าลงจากหอไปดูต้นทางให้ข้าก่อน ห้ามไม่ให้คนนอกขึ้นมา”


จ้าวหยาพยักหน้ารับ ปิดตำรา ปิดประตูเล็กของกรงหลวนแล้วเดินลงหอซิ่วโหลวไป


หลิ่วชิงชิงเงี่ยหูฟัง เมื่อแน่ใจว่าจ้าวหยาจากไปไกลแล้วถึงได้ถามเบาๆ ว่า “ท่านพี่ พวกเราจะได้ครองคู่อยู่ด้วยกันไปเนิ่นนานจริงๆ หรือ?”


ปีศาจจิ้งจอกยื่นนิ้วข้างหนึ่งมาลูบหว่างคิ้วของเด็กสาวอย่างอ่อนโยน ยิ้มกล่าว “แน่นอน ตราบฟ้าดินสลาย ไม่ใช่แค่ร้อยปีเท่านั้น”


สีหน้าหลิ่วชิงชิงหม่นหมอง “แต่ท่านพ่อข้าจะทำอย่างไร สวนสิงโตจะทำอย่างไร”


ปีศาจจิ้งจอกพูดอย่างมั่นใจว่า “ข้าบอกแต่แรกแล้ว ขอแค่พ่อเจ้ายอมรับการแต่งงานของพวกเราที่เป็นดั่งคู่สร้างคู่สมนี้ วันหน้าเขาก็คือพ่อตาของข้า แล้วข้าจะปฏิบัติแย่ๆ ต่อสวนสิงโตได้หรือ?”


หลิ่วชิงชิงแอบอิงอยู่ในอ้อมกอดของเขาอย่างนุ่มนวล หลับตาลง ขนตาสั่นระริกเบาๆ “ขอแค่ท่านพี่อย่าทรยศข้า”


ปีศาจจิ้งจอกก้มหน้าจ้องนิ่งไปยังใบหน้าที่ความซีดเซียวลดน้อยลง ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ปีศาจจิ้งจอกลุ่มหลงในรัก คนทั้งใต้หล้าล้วนรู้กันดี เหตุใดสุสานไร้ญาติในโลกถึงมีจิ้งจอกและกระต่ายเข้าออกเป็นจำนวนมาก? ก็ไม่ใช่เพราะจิ้งจอกเฝ้าวิญญาณ กระต่ายเฝ้าสุสานหรอกหรือ?”


  ……


เมื่อเฉินผิงอันลืมตาขึ้นช้าๆ ก็พบว่าตัวเองใช้ฝ่ามือยันพื้น ส่วนสีท้องฟ้าด้านนอกก็มืดสนิทแล้ว


เขาตบพื้นเบาๆ หนึ่งที พลิกตัวกลับ พลิ้วกายยืนอย่างมั่นคง ก่อนจะผลักประตูเดินออกไป พบว่าจูเหลี่ยนนอนหลับอยู่ข้างโต๊ะในลานบ้านด้วยความเมามาย เหนือศีรษะคือแสงจันทร์และดวงดาวบางตา


จูเหลี่ยนยิ้มลุกขึ้นยืน พูดอธิบายว่า “นายน้อยอยู่ในสภาวะดีเยี่ยมที่คล้ายคลึงกับคำว่า ‘หลงลืมตน’ ที่บันทึกไว้ในตำราลัทธิเต๋า บ่าวเฒ่าไม่กล้ารบกวน และไม่กล้ารบกวนตลอดสองวันที่ผ่านมา ด้วยเรื่องนี้เผยเฉียนยังประมือกับข้าไปสามครั้ง ถึงจะถูกบ่าวเฒ่าบังคับให้อยู่แต่ในห้องได้ คืนนี้นางเหยียบบนม้านั่งมองนายน้อยผ่านหน้าต่างอยู่นาน รอแค่ให้แสงไฟสว่างขึ้นในห้องของนายน้อย เพียงแต่ว่ารออยู่นานก็ยังไม่ได้เห็น และนี่เผยเฉียนก็เพิ่งจะไปนอนได้ไม่นานเท่าไหร่”


เฉินผิงอันกล่าวอย่างตกตะลึง “ผ่านไปสองวันแล้วหรือ?”


จูเหลี่ยนพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม


เฉินผิงอันนั่งลงกับจูเหลี่ยน พูดอย่างปลงอนิจจังว่า “มิน่าเล่าถึงพูดกันว่าคนบนภูเขาฝึกตน เวลาหกสิบปีเหมือนผ่านไปเพียงแค่ชั่วดีดนิ้วมือ”


จูเหลี่ยนกล่าว “เป็นเช่นนี้จริง ยังคงเป็นผู้ฝึกยุทธ์อย่างพวกเราที่คล่องแคล่วว่องไว ฝึกหมัด กินแล้วก็นอน นอนตื่นมาก็ลืมตาฆ่าคน”


เฉินผิงอันทำเป็นไม่ได้ยินประโยคว่าลืมตาฆ่าคนอะไรนั่น เอ่ยถามว่า “ช่วงนี้สวนสิงโตมีความเคลื่อนไหวไหม?”


จูเหลี่ยนส่ายหน้ายิ้ม “มีเพียงสายลมโชยแผ่วเมฆเคลื่อนคล้อย บุปผางามพระจันทร์กลม เพียงแต่ถูกกำหนดมาแล้วว่าต้องพลาดงานโต้วาทีพุทธเต๋าในเมืองหลวงที่อยู่ใกล้ระยะประชิดไป บ่าวเฒ่ารู้สึกเสียดายแทนนายน้อย”


เฉินผิงอันพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “หากเจ้าคาดหวังอยากไปร่วมงานครึกครื้นที่เมืองหลวง…ก็ไปจากสวนสิงโตไม่ได้ จะขาดเจ้าจูเหลี่ยนช่วยคุมท้ายขบวนให้ไม่ได้เด็ดขาด”


จูเหลี่ยนถือโอกาสได้คืบเอาศอก แกว่งกาเหล้าที่มีเหล้าหมักกุ้ยฮวาเหลืออยู่ไม่มาก ยิ้มจนตายิบหยี “ถ้าอย่างนั้นนายน้อยก็ให้รางวัลอีกสักกาสิ? ดื่มเหล้าหมักกุ้ยฮวาแล้วมาดื่มเหล้าของสวนสิงโตก็ไม่ต่างจากดื่มน้ำเลย”


เฉินผิงอันปฏิเสธ “เจ้าอย่าได้หวังมายุ่งกับเหล้าหมักกุ้ยฮวาของข้าเลย เหลือแค่สองกาแล้ว แม้แต่ข้ายังตัดใจดื่มไม่ลง”


จูเหลี่ยนทอดถอนใจ “ฤกษ์งามบรรยากาศดี สุรารสเลิศและโฉมสะคราญ นับแต่โบราณกาลมาก็ยากที่จะมีได้ครบถ้วน”


เฉินผิงอันพูดเรื่องเป็นการเป็นงาน “ตระกูลที่สั่งสมความดีมาหลายรุ่นหลายสมัยย่อมต้องมีร่มเงาบรรพบุรุษให้การปกป้อง คำกล่าวนี้ไม่ใช่คำลวง หากข้าเดาไม่ผิด สวนสิงโตแห่งนี้มีฮวงจุ้ยดีเยี่ยม อีกทั้งธรรมเนียมประจำตระกูลของสกุลหลิ่วก็เที่ยงตรง สมควรจะมีคนจิ๋วควันธูปถือกำเนิดขึ้นมาแล้ว และควรจะต้องมีเทพแห่งผืนดินให้การปกป้องถึงจะถูก น่าเสียดายที่ข้าไม่มีตบะและวิชาอภินิหารเหมือนชุยตงซาน ไม่อาจสั่งให้เทพแห่งผืนดินมุดลอดออกจากใต้ดินขึ้นมาได้ ไม่อย่างนั้นก็จะได้สืบรู้ประวัติความเป็นมาของปีศาจจิ้งจอกตนนั้นมากขึ้น”


จูเหลี่ยนชำเลืองตามองไปยังห้องหลัก “ให้บ่าวเฒ่าไปถามสือโหรวดีไหม?”


เฉินผิงอันกล่าวอย่างกังขา “หากนางสามารถทำได้ก็คงไม่จงใจปิดบังไว้หรอกกระมัง?”


จูเหลี่ยนมองเฉินผิงอัน ดื่มเหล้าหมักกุ้ยฮวาที่เหลืออยู่อึกสุดท้าย “ขอบ่าวเอ่ยถ้อยคำที่อาจเป็นการล่วงเกินสักประโยค นายน้อยปฏิบัติต่อคนข้างกาย หากเป็นการกระทำที่เลวร้ายที่สุดก็อาจผ่านการประเมินมาก่อนแล้ว แต่ในเรื่องของสภาพจิตใจยังคงมองโลกในแง่ดีเกินไป ไม่…ชัดเจนแจ่มแจ้ง ละเอียดอ่อนลึกซึ้งอย่างลูกศิษย์ของท่านคนนั้น แน่นอนว่านี่ก็เป็นเพราะนายน้อยปฏิบัติต่อตนเองเป็นอย่างเข้มงวด เป็นการกระทำที่เกิดจากนิสัยของวิญญูชน”

 

 

 


บทที่ 392.3 วิญญูชนช่วยหรือไม่ช่วย

 

เฉินผิงอันคิดตามแล้วก็พยักหน้ารับ “ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้ข้าจะลองถามสือโหรวดู เวลาคนอื่นพูดจริงหรือโกหก ข้ายังพอจะวิเคราะห์ออก”


จูเหลี่ยนส่ายหน้ายิ้มๆ “เหตุใดต้องรอพรุ่งนี้ ไม่ถามตอนนี้เลยเล่า? นายน้อยคือเจ้านายของนาง อีกทั้งยังมีพระคุณยิ่งใหญ่ แค่ถามไม่กี่ประโยคจะไม่ได้เชียวหรือ? หากใช้แค่สายตาของบ่าวเฒ่ามองสือโหรว แน่นอนว่าต้องเป็นสายตาของบุรุษลุ่มหลงในรักมองสาวงาม ย่อมรักหยกถนอมบุปผา พูดหนักไปก็เป็นการล่วงเกิน แต่คุณชายท่านไม่ควรมองนางว่าเป็นสตรีบอบบางอ่อนแอถึงเพียงนั้น การกระทำของสือโหรวนั่นต้องเรียกว่าสามวันไม่ตีขึ้นไปรื้อกระเบื้องหลังคา ต้องรู้ว่าคนไร้สติปัญญาบนโลกส่วนใหญ่ล้วนเป็นพวกหวาดเกรงพระเดชไม่เกรงพระคุณ ห่างชั้นจากเผยเฉียนลูกศิษย์ของท่านมากนัก”


เฉินผิงอันหัวเราะอย่างอดไม่อยู่ “พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตกแล้ว เจ้าถึงขนาดพูดจาดีๆ ถึงเผยเฉียน”


จูเหลี่ยนทอดถอนใจ “ร้ายก็บริสุทธิ์ ดีก็บริสุทธิ์ เด็กน้อยที่น่าสนใจแบบนี้ รังเกียจไม่ลงจริงๆ”


ประตูห้องหลักถูกเปิดออก สือโหรวเผยกาย


นางมาหยุดอยู่ข้างกายคนทั้งสอง เป็นฝ่ายเปิดปากพูดว่า “ท่านชุยสอนวิชาอภินิหารที่สามารถออกคำสั่งต่อเทพแห่งผืนดินให้ข้าวิชาหนึ่งจริงๆ เพียงแต่ข้ากังวลว่าจะเกิดความเคลื่อนไหวรุนแรงเกินไป จะทำให้ปีศาจจิ้งจอกตนนั้นเกิดกริ่งเกรงจนคิดมีใจสังหารพวกเราหรือไม่?”


เฉินผิงอันยิ้มถาม “เหตุผลน่าเชื่อถือ แต่ข้าอยากถามเจ้าสองเรื่องเสียก่อน ข้อแรก เจ้ากังวลว่าใครจะถูกปีศาจจิ้งจอกหมายหัวมากกว่ากัน คือตัวเจ้าสือโหรวเอง หรือว่าพวกเราสามคน ข้อสอง ในเมื่อรู้วิชาข้างเคียงที่สามารถออกคำสั่งเทพแห่งผืนดินได้ จะทำหรือไม่ทำก็อีกเรื่อง แต่เหตุใดไม่พูดถึงเลย?”


จูเหลี่ยนยิ้มตาหยีพูดกระพือลมให้ไฟลุกโหมอยู่ด้านข้าง “ทิ่มแทงใจดำ”


สายตาของสือโหรวหลุกหลิกไม่อยู่นิ่ง


เฉินผิงอันโบกมือ “เจ้าและข้าต่างก็รู้กันดีอยู่แก่ใจ ห้ามให้มีครั้งหน้า หากยังมีอีก ข้าจะเชิญเจ้าออกจากร่างนี้แล้วกลับเข้าไปอยู่ในยันต์ใหม่อีกครั้ง เมื่อกำหนดเวลาหกสิบปีมาถึง เจ้าก็ยังคืนสู่อิสรภาพได้ดังเดิม”


สีหน้าของสือโหรวเย็นชา


จูเหลี่ยนหัวเราะคิกคักหยิบเอาถุงผ้าแพรใบหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ พอเปิดออกก็ดึงกระดาษแผ่นหนึ่งที่พับเป็นรูปม้าออกมา “ก่อนท่านชุยจะจากไปได้มอบของสิ่งนี้ให้แก่ข้า บอกว่าวันใดที่อาจารย์ของเขาโมโหเพราะสือโหรวให้เอาสิ่งนี้ออกมา ให้เขาช่วยพูดดีๆ แทนสือโหรว ใช่แล้ว แม่นางสือโหรว ท่านชุยกำชับข้าว่า ควรเอาให้เจ้าดูก่อน ส่วนจะพูดเนื้อหาที่อยู่ข้างในออกมาหรือไม่ แม่นางสือโหรวต้องตัดสินใจเอาเอง”


จูเหลี่ยนทำเหมือนนิ่งดูดาย แต่ในใจกลับบังเกิดจิตสังหารขึ้นมาแล้ว อีกทั้งยังไม่ปิดบังสือโหรวแม้แต่น้อย


ต่อให้วิญญูชนที่มีพระคุณจะไม่ต้องการการตอบแทน แต่ก็ยากที่จะรับรองได้ว่าจะได้ผลลัพธ์ที่ดี เพราะคนถ่อยมักเห็นข้าวหนึ่งตวงเป็นบุญคุณ ข้าวหนึ่งหาบเป็นความแค้นเสมอ


ผีสาวที่ได้โชควาสนายิ่งใหญ่ตนนี้อาจไม่ได้มีจิตใจเลวร้ายเสมอไป ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นวัตถุหยินที่มีสันดานไม่เลว เพียงแต่ว่าในใจคนมีจุดที่เล็กและละเอียดอ่อนดุจเมล็ดงาอยู่มากมาย หากถูกวัตถุนอกกายขยายใหญ่ออกไปอย่างไร้ที่สิ้นสุด ข้อบกพร่องบางอย่างก็อาจถูกขยายจนใหญ่เท่ากระด้ง


คุณธรรมไม่เหมาะกับตำแหน่ง ก็คือต้นตอหายนะที่ทำให้หอสูงใหญ่ล้มครืนลงได้เพียงชั่วข้ามคืน


จิตใจของสือโหรวกระเพื่อมขึ้นลงไม่หยุดนิ่ง พอคลี่ม้ากระดาษแผ่นนั้นออก ร่างของนางก็สั่นสะท้านน้อยๆ


สือโหรวกำหมัดกุมกระดาษที่อยู่ในฝ่ามือแน่น พูดกับเฉินผิงอันเสียงสั่นว่า “บ่าวผิดไปแล้ว บ่าวจะเรียกเทพแห่งผืนดินออกมาให้นายท่านสอบถามเดี๋ยวนี้ดีหรือไม่?”


สือโหรวเปลี่ยนท่าทีใหม่อย่างแข็งทื่อ เฉินผิงอันเองก็ไม่ได้เก็บมาเป็นอารมณ์ เพียงพยักหน้ากล่าวว่า “ปีศาจจิ้งจอกเคยมาที่นี่แล้ว เขาเป็นฝ่ายมาท้าทายก่อน เจ้าเรียกเทพแห่งผืนดินออกมาก็คงไม่มีปัญหาอะไร”


สือโหรวเก็บกระดาษแผ่นนั้นไว้ในชายแขนเสื้อ จากนั้นฝ่าเท้าของนางก็ก้าวว่องไวดุจมีพายุลมกรด มือสองข้างทำมุทรา ระหว่างที่ก้าวเดิน หว่างคิ้วและใต้ฝ่าเท้าของร่างเซียนตู้เม่าก็มีแสงสีทองอร่ามเส้นหนึ่งและปราณอึมครึมดุร้ายเส้นหนึ่งพุ่งออกมา สือโหรวท่องประโยคสุดท้ายในใจว่า ‘ปากเป่าหัวไม้เท้าแทนเสียงฟ้าคำราม หนึ่งเท้ากระทืบพื้นดินกระเทือนรากห้าขุนเขา’ สุดท้ายก็กระทืบเท้าหนักๆ หนึ่งที บนพื้นดินของเรือนหลังเล็กมีภาพยันต์โบราณแผนหนึ่งผุดวาบ


สือโหรวสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ถอยหลังไปหลายก้าว


จากนั้นพื้นดินที่นางยืนอยู่ก่อนหน้านี้ก็มีริ้วน้ำกระเพื่อมขึ้นลง ตามมาด้วยหญิงชราอาภรณ์ขาดวิ่นคนหนึ่งที่กระโดดพรวดออกมาแล้วกลิ้งหลุนๆ อยู่บนพื้นดิน เห็นเพียงว่าหญิงชราสวมมงกุฎกิ่งหลิวสีเขียวมรกตอยู่บนศีรษะ ตรงลำคอ ข้อมือและข้อเท้าทั้งสี่จุดถูกพันธนาการไว้ด้วยเชือกห้าเส้นสีดำ รัดแน่นจนเกิดเป็นร่องลึกเห็นชัด


หญิงชราลุกขึ้นยืนไม่ไหว นางนอนขดตัวอยู่บนพื้น เงยหน้ามองสือโหรวที่ลากนางออกมาจากกรงขังแล้วขอร้องอย่างยากลำบากว่า “ขอเซียนซือผู้มีวิชาอภินิหารยิ่งใหญ่ท่านนี้ช่วยสวนสิงโตด้วย!”


สือโหรวพูดด้วยสีหน้าเย็นชา “เจ้ากราบไหว้พระโพธิสัตว์ผิดองค์แล้ว”


หญิงชราที่สวมมงกุฎกิ่งหลิวหันลำคอ แค่การกระทำเล็กๆ นี้ เชือกตรงลำคอก็รัดแน่นขึ้นอีกหลายส่วน แต่นางกลับไม่สนใจแม้แต่น้อย สุดท้ายหันไปมองคนหนุ่มชุดขาวที่สะพายกระบี่ “เซียนซือน้อย ขอร้องท่านรีบไปช่วยหลิ่วชิงชิงบุตรสาวคนเล็กของหลิ่วจิ้งถิงด้วยเถอะ ตอนนี้นางถูกปีศาจจิ้งจอกตนนั้นร่ายเวทปีศาจล่อลวงจิตใจ นางไม่ได้รักปีศาจจิ้งจอกตนนั้นจริงๆ! ปีศาจใหญ่ตนนี้ไม่เพียงแต่ตบะสูงส่ง วิธีการที่ใช้ยังโหดเหี้ยมอำมหิตอย่างถึงที่สุด คิดจะดูดซับชะตาบุ๋นควันธูปทั้งหมดของสกุลหลิ่วแล้วถ่ายโอนมาที่ร่างของหลิ่วชิงชิง เดิมทีนี่ก็เป็นการกระทำที่ไม่สมเหตุสมผลอยู่แล้ว หลิ่วชิงชิงมีร่างเป็นมนุษย์เด็กสาวคนหนึ่งจะสามารถแบกรับสิ่งเหล่านี้ไหวได้อย่างไร…”


หญิงชราถูกเชือกสีดำที่รัดรึงรัดจนพูดอะไรไม่ออก เพียงแต่ว่าหลังจากที่ใบหลิวสีเขียวมรกตใบหนึ่งบนมงกุฎเหนือศีรษะแห้งโรยรา สีหน้าของหญิงชราก็ดีขึ้นเล็กน้อย


เฉินผิงอันยังคงไม่ได้รีบร้อนทำลาย ‘เชือกพันธนาการปีศาจ’ เส้นนั้น เพียงถามว่า “แต่เท่าที่ข้ารู้มา สายของปีศาจจิ้งจอกนั้นเคารพนับถือคำว่ารักมากที่สุด มหามรรคาของพวกเขาก็หนีไม่พ้นคำว่ารักนี้ ในเมื่อปีศาจจิ้งจอกตนนั้นเป็นเซียนดินแล้ว ตามหลักก็ยิ่งไม่ควรทำอะไรตามแต่ใจตัวเอง นี่จะอธิบายอย่างไร?”


หญิงชราที่เป็นเทพแห่งผืนดินของที่แห่งนี้ส่ายหน้า “ไม่กล้าปิดบังเซียนซือ ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม คิดจนหัวแทบแตกก็ยังไม่เข้าใจ แต่การเปลี่ยนแปลงของลมและน้ำในสวนสิงโตไม่ใช่เรื่องโกหก! ลูกหลานสกุลหลิ่วสายนี้ บุตรชายคนรองของหลิ่วจิ้งถิงคือคนที่เดิมทีมีหวังว่าจะสร้างความรุ่งโรจน์ให้กับวงศ์ตระกูลมากที่สุด แต่ตอนนี้เส้นทางในอนาคตอันยาวไกลของเขากลับขาดลงแล้ว อีกทั้งร่มเงาบรรพบุรุษและผลบุญในปรโลกของสกุลหลิ่วยังมากมหาศาล ยิ่งมีบรรพบุรุษที่โชคดีได้รับตำแหน่งงานอยู่ในยมโลก ไม่ว่าอย่างไรหลิ่วชิงซานก็ไม่ควรได้รับหายนะที่มาเยือนอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวนี้…”


หญิงชราพูดไม่ออกอีกครั้ง จากนั้นใบหลิวอีกใบก็แห้งกรอบ ก่อนจะสลายหายไปตามลม


เฉินผิงอันหันมามองจูเหลี่ยน ฝ่ายหลังผงกศีรษะรับเบาๆ บอกให้รู้ว่าหญิงชราไม่น่าจะโกหก


เขาตบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่หนึ่งครั้ง แต่กลับมีเพียงกระบี่บินชูอีที่พุ่งออกมาดุจสายรุ้งสีขาว ไล่ฟันเชือกพันธนาการปีศาจห้าเส้นบนร่างของหญิงชราให้ขาดออก


แท่นสังหารมังกรสามก้อนที่วิญญาณกระบี่ทิ้งไว้ให้ สองก้อนถูกยกให้บรรพบุรุษน้อยอย่างชูอีและสืออู่กินจนเต็มอิ่ม สุดท้ายพอเหลือเป็นเพียงหินลับกระบี่แผ่นบางๆ ถึงได้ขายให้กับสุยโย่วเปียน


ตอนนี้ระดับความคมของกระบี่บินทั้งสองเล่มเหนือกว่าในอดีตไปไกลโข


หญิงชราเหมือนได้รับอภัยโทษ ลุกขึ้นยืนตัวสั่นสะท้าน พูดอย่างซาบซึ้งใจว่า “ก่อนหน้านี้เป็นหญิงแก่อย่างข้าที่หูตาฟ้าฟางไปเอง ขอคารวะท่านผู้อาวุโสเซียนกระบี่ไว้ ณ ที่นี้!”


เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่ต้องเกรงใจกันถึงเพียงนี้”


หญิงชราพลันทรุดลงนั่งคุกเข่า พูดเสียงสะอื้นไม่เป็นคำ “ขอผู้อาวุโสเซียนกระบี่โปรดช่วยผดุงคุณธรรมแทนสวรรค์เสียโดยเร็ว ในเมื่อผู้อาวุโสสามารถช่วยหญิงแก่อย่างข้าได้ มีปรมาจารย์ใหญ่เป็นผู้ติดตาม อีกทั้งหนึ่งกระบี่ของเซียนกระบี่ยังสามารถทำลายหมื่นอาคม ช่วยเหลือสวนสิงโตก็เป็นเพียงแค่การกระทำง่ายๆ เหมือนยกฝ่ามือ…”


เฉินผิงอันกำลังจะอ้าปากพูด


หญิงชรากลับเงยหน้าขึ้น จ้องหน้าเขาเขม็ง สีหน้าเศร้าสร้อยทุกข์ระทม “คนสกุลหลิ่วทั้งเจ็ดรุ่นล้วนซื่อสัตย์จงรักภักดี หรือผู้อาวุโสจะทนมองตระกูลปัญญาชนผู้มีความรู้เช่นนี้ย่อยยับในชั่วข้ามคืนคาตาตัวเองได้ลงคอ ท่านจะทนปล่อยให้ปีศาจใหญ่ตนนั้นทำตัวกำเริบเสิบสานไม่เห็นกฎเกณฑ์อยู่ในสายตาได้หรือ?!”


จูเหลี่ยนขมวดคิ้ว เรื่องที่หญิงชรากับคนส่งธูปผู้นั้นขอร้องเหมือนกันอย่างไม่มีผิดเพี้ยน เพียงแต่ว่าวิธีที่ใช้กลับต่างกันราวฟ้ากับดิน


สือโหรวก็รู้สึกไม่ชอบใจเช่นกัน


สำหรับเรื่องนี้ ผู้เฒ่าหลังค่อมกับผีงามโครงกระดูกกลับคิดเหมือนกัน


หญิงชราโขกศีรษะอยู่สิบกว่าที ก่อนจะเงยหน้ามองจ้องเฉินผิงอันใหม่อีกครั้ง “ขอเซียนกระบี่โปรดลงมือ กอบกู้สถานการณ์เลวร้าย สังหารปีศาจใหญ่! ลูกหลานสกุลหลิ่วจะจดจำพระคุณยิ่งใหญ่นี้ไว้ในหัวใจ จะจุดธูปกราบไหว้ผู้อาวุโสเซียนกระบี่สืบต่อไปทุกรุ่นทุกยุคสมัย!”


จูเหลี่ยนสีหน้ามืดทะมึน กำลังจะอ้าปากพูด เฉินผิงอันกลับโบกมือให้เขาเสียก่อน


เฉินผิงอันยื่นมือไปประคองหญิงชรา “ลุกขึ้นมาพูดกัน”


หญิงชรากลับผลักมือของเฉินผิงอันออก จากนั้นก็โขกศีรษะต่อ “หากผู้อาวุโสเซียนกระบี่ไม่ช่วยเหลือ หญิงชราอย่างข้าตายไปก็ไม่น่าเสียดาย ข้าจะโขกศีรษะอย่างนี้จนกว่าจะตายไปก็แล้วกัน”


เฉินผิงอันได้แต่ทรุดตัวลงนั่งยอง เงียบงันไปพักใหญ่เพราะกำลังใคร่ครวญหาคำพูดเหมาะๆ


จูเหลี่ยนยืนอยู่ที่เดิม ใช้ปลายเท้าถูพื้น เตรียมจะเหวี่ยงเท้าเตะออกไป เตะให้ร่างทองของหญิงชราแหลกสลาย อย่าว่าแต่พวกเทพแห่งผืนดินเลย ต่อให้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาและแม่น้ำที่ระดับขั้นไม่สูง หรือแม้กระทั่งองค์เทพแห่งห้าขุนเขาของแคว้นเล็กที่อาณาเขตยังสู้พื้นที่ของหนึ่งราชวงศ์ไม่ได้ หากถูกจูเหลี่ยนประชิดตัว เกรงว่าคงไม่อาจต้านทานแรงเท้าของผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตแปดผู้นี้ได้


สือโหรวรู้สึกดูแคลนในการกระทำของหญิงชรา แต่จากนั้นก็หัวเราะหยัน มองเฉินผิงอันที่ดูเหมือนว่าจะจนปัญญา


คิดในใจว่าเฉินผิงอันผู้นี้หาเรื่องยุ่งยากใส่ตัวเองแท้ๆ


เฉินผิงอันที่นั่งยองและจูเหลี่ยนที่ยืนอยู่หันไปมองตรงชายคาแทบจะเวลาเดียวกัน นักพรตหญิงมีดอาคมที่สวมกวานหางปลามายืนอยู่ตรงนั้นอีกครั้ง


นางชำเลืองตามององค์เทพแห่งท้องที่ที่ได้กระบี่บินช่วยตัดเชือกพันธนาการปีศาจทิ้งให้แล้วแค่นเสียงเย็นชาพูดว่า “กบใต้บ่อ ต่ำช้าซะจริง มิน่าเล่าถึงช่วยสวนสิงโตที่มีความเกี่ยวพันกันอย่างใกล้ชิดไม่ได้”


นางมองน้ำเต้าบรรจุเหล้าสีชาดแล้วก็ยกมือขึ้น ประกบสองนิ้วเข้าด้วยกัน ปาดผ่านหน้าดวงตาตัวเอง ดวงตาคู่นั้นก็เปลี่ยนมาเป็นสีทองประหนึ่งดวงตาเทพที่ก้มมองมายังโลกมนุษย์ กล่าวด้วยน้ำเสียงกระจ่างแจ้ง “ที่แท้ก็เป็นน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ระดับสูงชิ้นหนึ่ง ดังนั้นจึงสมารถตัดเชือกเปื่อยๆ ไม่กี่เส้นนั้นได้อย่างง่ายดาย”


เฉินผิงอันถาม “แค่ฆ่าปีศาจ ไม่ช่วยคน?”


นักพรตหญิงจากแคว้นอื่นถามกลับ “แล้วจะเป็นยังไงได้อีกล่ะ?”


เฉินผิงอันจึงคลี่ยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นข้าจะช่วยคน เจ้าก็ฆ่าปีศาจได้ตามสบาย”


นักพรตหญิงจากเรือนซือเตาลังเลเล็กน้อย “เป็นอย่างนี้ได้ย่อมดีที่สุด”


หญิงชราผู้นั้นได้ยินก็ปิติยินดีเป็นล้นพ้น ยังคงคุกเข่า แต่ยืดเอวคว้าแขนของเฉินผิงอันเอาไว้ ใบหน้าเต็มไปด้วยความคาดหวัง “ผู้อาวุโสเซียนกระบี่ไปช่วยคนที่เรือนซิ่วโหลวเลยเถอะ หญิงแก่เช่นข้าจะนำทางท่านไปเอง”


คราวนี้ไม่ต้องให้เฉินผิงอันประคอง หญิงชราที่คว้าแขนเขาก็ลุกขึ้นได้ด้วยตัวเอง แล้วยังลากเขาไปทางประตูเรือน เพียงแต่นางค้นพบว่าเซียนกระบี่หนุ่มยังยืนอยู่ที่เดิม ไม่ขยับเขยื้อนดุจขุนเขา นางจึงขมวดคิ้วน้อยๆ “เหตุใดเซียนซือไม่ขยับตัว? ช่วยคนเหมือนช่วยดับไฟ หากช้าไป…”


เฉินผิงอันเอ่ยอธิบายด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน สีหน้าเป็นปกติ “ข้ายังมีลูกศิษย์ที่ต้องปลุกให้ตื่น นางต้องอยู่กับข้าเท่านั้น ไม่อย่างนั้นปีศาจจิ้งจอกอาจฉวยโอกาสเล่นงานนาง อีกอย่างการบุกเข้าไปในหอซิ่วโหลวของหลิ่วชิงชิงโดยพลการ ถึงอย่างไรข้าก็ต้องให้คนไปแจ้งรองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่วสักคำ สองเรื่องนี้ไม่ได้ถ่วงเวลาให้ล่าช้าสักเท่าไหร่…”


ไม่รอให้เฉินผิงอันพูดจบ หญิงชราก็บ่นเสียงขรมขึ้นมา “ผู้อาวุโสเซียนกระบี่ ท่านเป็นคนบนภูเขา เหตุใดต้องถือสาเรื่องยิบย่อยพวกนี้ ทิ้งคนไว้ให้ดูแลลูกศิษย์ท่านสักคนก็พอแล้ว ส่วนทางฝ่ายของหลิ่วจิ้งถิงนั้น แม้แต่ตระกูลยังใกล้จะล่มจมแล้ว ยังจะถือสาเรื่องพวกนี้ไปอีกทำไม หลังจากนี้ค่อยบอกกับเขาว่าช่วยเหลือบุตรสาวของเขาไว้ได้แล้ว เจ้าหนอนหนังสือผู้นั้นมีแต่จะซาบซึ้งในพระคุณ ไหนเลยจะกล้าถือสาหาความเรื่องจุกจิกพวกนี้!”


จูเหลี่ยนมองใบหน้าด้านข้างของหญิงชรา


เขาเอามือหนึ่งไพล่หลัง เปลี่ยนจากฝ่ามือกำเป็นหมัด เสียงกระดูกลั่นดังกร๊อบๆ


เฉินผิงอันถามว่า “เคยได้ยินคำว่าวิญญูชนไม่ช่วยหรือไม่?”


หญิงชราอึ้งงันเป็นไก่ไม้ เริ่มรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมานิดๆ แล้ว


เพียงแต่การกระทำในอันดับถัดมาของเฉินผิงอันกลับทำให้หัวใจที่แล่นมาจุกตรงลำคอของหญิงชรากลับคืนลงไปที่เดิมได้


เขาบอกให้จูเหลี่ยนรีบไปอธิบายเรื่องนี้กับหลิ่วจิ้งถิง


บอกให้สือโหรวไปปลุกเผยเฉียน


เฉินผิงอันช่วยเช็ดฝุ่นบนชายแขนเสื้อให้หญิงชราเบาๆ ตอนที่ก้มหน้าลงเขาพูดเสียงแผ่วต่ำว่า “ต้องช่วยอยู่แล้ว ท่านยายโปรดทำใจให้สบาย หวังเพียงว่าเมื่อสวนสิงโตผ่านพ้นหายนะครั้งนี้ไปได้ และหากยังเจอกับเรื่องทำนองนี้อีก เมื่อมีกำลังมากพอก็ต้องลองช่วยดูสักครั้ง”


มาถึงใต้หอซิ่วโหลว


จูเหลี่ยนย้อนกลับมาแล้ว เขาผงกศีรษะบอกให้รู้ว่ารองเจ้ากรมหลิ่วตอบรับแล้ว


เฉินผิงอันจึงเดินขึ้นไปด้านบน


เผยเฉียนที่ยังสะลึมสะลือได้แต่เดินตามไปด้านหลัง บนหน้าผากแปะแผ่นยันต์สีเหลือง ขอแค่อยู่ข้างกายอาจารย์ นางก็ไม่รู้สึกกลัวเท่าไหร่


สือโหรวตามไปด้านหลังติดๆ


จูเหลี่ยนยืนอยู่ด้านล่างสุด เนิ่นนานก็ยังไม่ขยับเท้า เพียงแค่มองแผ่นหลังที่เดินขึ้นไปบนหอเรือนของเฉินผิงอัน


ผู้เฒ่าหลังค่อมเงยหน้า เกาหัว รู้สึกว่าอาจารย์ของท่านชุยผู้นี้เดินไปค่อนข้างจะสูงแล้ว

 

 

 


บทที่ 393.1 ลมมรสุมมาเยือนหอเรือนที่เ...

 

นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินผิงอันเดินขึ้นหอซิ่วโหลวซึ่งเป็นห้องหอของสตรี


เขาบอกให้จูเหลี่ยนและเผยเฉียนรออยู่ข้างนอก ส่วนเขาพาแค่สือโหรวเดินเข้าไปข้างใน


ก่อนจะเข้าไป เฉินผิงอันเคาะประตูบอกสาเหตุที่มาเยือนก่อน บอกว่ารองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่วต้องการให้พวกเขามาดูห้องของคุณหนูหลิ่วว่ามีปีศาจจิ้งจอกซ่อนตัวอยู่หรือไม่


ครู่หนึ่งต่อมา หลิ่วชิงชิงที่แต่งตัวประทินโฉมเสร็จเรียบร้อยแล้วก็บอกให้สาวใช้จ้าวหยาไปเปิดประตู


เฉินผิงอันรู้จักสาวใช้คนนี้ นางคือบุตรสาวของพ่อบ้านผู้เฒ่า เป็นเด็กสาวที่มีนิสัยนุ่มนวลอ่อนโยนคนหนึ่ง ทว่าความสนใจส่วนใหญ่ของเขายังคงอยู่ที่ตัวของหลิ่วชิงชิงที่เล่าลือกันว่าถูกปีศาจจิ้งจอกล่อลวงจิตใจมากกว่า


ครั้งแรกที่เห็นหลิ่วชิงชิง เฉินผิงอันรู้สึกว่าข่าวลืออาจจะเกิดจากการฟังความข้างเดียวมากเกินไป หว่างคิ้วของคนแสดงออกให้เห็นถึงสภาพจิตใจ หากคิดจะแสร้งทำเป็นหม่นหมองไร้ประกายนั้นง่ายมาก แต่หากคิดจะแสร้งทำเป็นมีชีวิตชีวากลับยากยิ่ง


เฉินผิงอันทั้งโล่งใจทั้งเกิดความกังวลอย่างใหม่ ด้วยภารกิจเร่งด่วนในเวลานี้อาจจะคลี่คลายได้ง่ายกว่าที่คิดไว้ เพียงแต่ว่าใจคนเหมือนกระจก แตกง่าย แต่กลับซ่อมแซมแก้ไขได้ยาก


ทว่านั่นก็เป็นโชคชะตาจากผลกรรมของเด็กสาวผู้นี้เอง เฉินผิงอันช่วยคนได้ แต่ไม่อาจซ่อมแซมสภาพจิตใจของสตรีที่พบกันเพียงผิวเผินได้ และเขาก็ไม่มีทางจะทำ


แม้ว่าหลิ่วชิงชิงจะเป็นคุณหนูของตระกูลใหญ่ที่พันธนาการในครอบครัวมีไม่มาก จึงเคยเห็นบุรุษรูปงามมากความสามารถของแคว้นชิงหลวนมามากมาย ด้านในหอเรือนยังมีกรงหลวนที่เอาไว้เลี้ยงภูติประหลาดอีกหนึ่งใบ แต่สำหรับเซียนซือในทำเนียบวงศ์ตระกูลและผู้ฝึกตนบนภูเขาที่แท้จริง นางกลับยังรู้สึกสนใจใคร่รู้อยู่มาก ดังนั้นเมื่อนางเห็นคนหนุ่มที่ไม่ถือว่าหล่อเหลาสักเท่าไหร่ แต่กลับมีลักษณะท่าทางที่อบอุ่นอ่อนโยน ปมในใจก็ลดน้อยลงไปมาก ถึงอย่างไรที่นี่ก็เป็นห้องหอของสตรี การที่คนนอกเหยียบย่างเข้ามาทำให้หลิ่วชิงชิงอดรู้สึกอึดอัดใจไม่ได้ หากอีกฝ่ายเป็นผู้ฝึกยุทธ์หยาบกระด้างที่รู้จักแต่การเข่นฆ่า หรือเป็นพวกเซียนซือที่มีจิตใจคิดคด นางจะทำอย่างไร?


เฉินผิงอันกุมหมัดขออภัย “พวกเราทำเช่นนี้ไม่ถูกต้องตามหลักมารยาท แต่รองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่วและเทพแห่งผืนดินของสวนสิงโตเป็นห่วงสุขภาพร่างกายของคุณหนูหลิ่ว หวังว่าคุณหนูหลิ่วจะให้อภัย ข้าแซ่เฉิน ผู้ติดตามแซ่สือ”


หลิ่วชิงชิงถึงได้มองเห็นผู้เฒ่าที่ยืนอยู่ด้านหลังเซียนซือหนุ่มชุดขาวสะพายกระบี่ เขามีสายตาเย็นชาเฉยเมย นางเค้นรอยยิ้มส่งไปให้ “เฉินเซียนซือและผู้อาวุโสสือมาเพื่อช่วยเหลือข้า ไม่จำเป็นต้องยึดติดในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เชิญพวกท่านค้นได้ตามสบาย”


สาวใช้จ้าวหยารู้สึกขับข้องใจเล็กน้อย คุณหนูก็จริงๆ เลย คนกลุ่มนี้ผลีผลามมาเยี่ยมเยือน ความคิดแรกของคุณหนูกลับกลายเป็นว่าในห้องหอมีบุรุษคนอื่นเข้ามา หากเด็กหนุ่มชุดดำผู้นั้นรู้จะไม่ชอบใจหรือไม่


สำหรับเด็กหนุ่มหล่อเหลาที่จำแลงร่างมาจากปีศาจจิ้งจอกตนนั้น ช่วงแรกเริ่มสุดแน่นอนว่าจ้าวหยาต้องหวาดเกรงเขาเป็นอย่างมาก ครั้งแรกที่เจอกัน นางตกใจกลัวถึงกับรีบหยิบกรรไกรขึ้นมาเตรียมจะสู้ตายกับอันธพาลที่บุกเข้ามาในห้องหอผู้นั้น ผลกลับกลายเป็นว่าถูกคุณหนูห้ามปรามเอาไว้ และเมื่อผ่านการอยู่ร่วมกันในช่วงเวลาที่ผ่านมา จ้าวหยาพยายามเกลี้ยกล่อมคุณหนูอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่ได้ผล นางจึงได้แต่มองดูคุณหนูทรุดโทรมผ่ายผอมลงไปทุกวัน จำต้องข่มกลั้นความเศร้าและความเจ็บแค้นในใจ พยายามปรนนิบัติคุณหนูให้กินอาหารที่ดีที่สุด


เฉินผิงอันหยิบยันต์ปราณหยางส่องไฟขึ้นมาหนึ่งแผ่น ยันต์พลันติดไฟลุกไหม้ เพียงแต่ว่าสะเก็ดไฟไม่ขยายใหญ่


เห็นได้ชัดว่าปีศาจจิ้งจอกเคยมาเยือนที่นี่จริง เฉินผิงอันคีบยันต์พลางเดินไปทั่วทุกมุมในหอเรือนอย่างช้าๆ พบว่าไฟบนกระดาษยันต์ลุกไหม้เร็วเป็นพิเศษตรงสองตำแหน่งอย่างโต๊ะตั้งคันฉ่องที่ทำจากไม้หวงฮวาหลีแกะสลักรูปนกกับบุปผาและตรงเตียงนอน


เฉินผิงอันมีสีหน้าเฉยเมยอยู่ตลอดเวลา


หลิ่วชิงชิงและจ้าวหยาต่างก็ไม่ใช่ผู้ฝึกตน มองไม่ออกว่าความเร็วความช้าในการเผาไหม้ของยันต์มีความหมายว่าอะไร และความต่างที่เกิดขึ้นระหว่างนี้ ด้วยสายตาของพวกนางก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะมองเห็น


ส่วนสือโหรวกลับแค่นเสียงหัวเราะหยันอยู่ในใจ แอบนินทาเด็กสาวหลิ่วชิงชิงที่มองดูเหมือนเรียบร้อยอ่อนหวานผู้นั้นว่าเป็นคุณหนูที่เกิดจากตระกูลผู้ดีแล้วอย่างไร ก็ยังหนีไม่พ้นสันดานหญิงหัวขโมยชายโสเภณี (เป็นคำด่าว่าที่แสดงให้เห็นถึงจิตใจของคนที่วิปริตบิดเบี้ยว) อยู่ดีไม่ใช่หรือ


เฉินผิงอันพลันนึกถึงปัญหายุ่งยากข้อหนึ่งขึ้นมาได้ ตนมองสือโหรวเป็นผีสาวโครงกระดูกที่ถูกกำราบมาตลอดเวลา ต่อให้จิตวิญญาณของนางถูกย้ายเข้ามาในคราบร่างเซียนแล้ว เฉินผิงอันก็ยังเคยชินที่จะมองนางเป็นสตรี หากปีศาจตนนั้นใช้วิธีการลึกลับบางอย่างที่เกี่ยวพันกับการกักขังดวงวิญญาณ ฟูมฟักเมล็ดพันธ์สิ่งชั่วร้ายขึ้นมาในช่องโพรงลมปราณ ยกตัวอย่างเช่นในช่องโพรงหัวใจของฮูหยินเจ้าปราสาทอินทรีบินที่มีทารกผีก่อกำเนิด เฉินผิงอันไม่เชี่ยวชาญการทำลายอาคมประเภทนี้ เดิมทีสือโหรวก็เป็นผี อีกทั้งยังอยู่ในขั้นตอนของการหล่อหลอมคราบร่างเซียนเหริน บวกกับที่ชุยตงซานถ่ายทอดวิชาให้อย่างลับๆ สือโหรวจึงคุ้นเคยกับเส้นทางที่เสี่ยงอันตรายนี้เป็นอย่างดี อีกทั้งลางสังหรณ์ยังเฉียบไวมากยิ่งกว่า


ทว่าทุกวันนี้สือโหรวเดินอยู่ในโลกคนเป็นด้วยเนื้อหนังมังสาของ ‘ตู้เม่า’ นี่จึงเป็นปัญหาเล็กน้อย


หากหลิ่วชิงชิงดึงดันไม่ยอมให้สือโหรวแตะต้องร่างกาย ให้ตายก็ไม่ยอมให้สือโหรวช่วยตรวจสอบชีพจร ร่ำร้องโวยวายว่าจะฆ่าตัวตาย แบบนั้นจะยิ่งยุ่งยาก


เฉินผิงอันคีบยันต์เดินมาหยุดอยู่ข้างกายจ้าวหยา ยันต์ไม่มีความผิดปกติใดๆ ยังคงเผาไหม้อย่างเชื่องช้าอยู่เหมือนเดิม จ้าวหยารู้สึกว่ามหัศจรรย์ยิ่ง หลังจากสอบถามและได้รับคำอนุญาตจากเฉินผิงอันแล้ว นางยังยื่นมือไปใกล้แผ่นยันต์สีเหลือง พบว่าไม่มีความรู้สึกร้อนลวกใดๆ เฉินผิงอันที่คลี่ยิ้มบางๆ จึงมาหยุดอยู่ที่ข้างกายหลิ่วชิงชิง ยันต์เกือบครึ่งแผ่นซึ่งเหลืออยู่อีกไม่มากพลันสาดประกายไฟลูกใหญ่เท่าฝ่ามือแล้วเผาไหม้ตัวเองจนหมดสิ้นในเสี้ยววินาที


เฉินผิงอันเอ่ยถาม “คุณหนูหลิ่ว เด็กหนุ่มคนนั้นเคยมอบของแทนใจให้เจ้าหรือไม่? คุณหนูหลิ่วพกไว้ติดตัวโดยไม่ได้ตั้งใจหรือเปล่า?”


คำพูดประโยคนี้พูดอย่างคลุมเครือ อีกทั้งยังไม่ทำร้ายใจคนฟัง


หลิ่วชิงชิงทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่ได้พูด


จ้าวหยาเอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “คุณหนู นี่มันเวลาอะไรแล้ว”


เห็นสายตาน่าสงสารที่เต็มไปด้วยแวววิงวอนจากจ้าวหยา หลิ่วชิงชิงก็ทำเพียงแค่หันตัวกลับไป สุดท้ายหยิบถุงหอมที่ปักเป็นรูปยวนยางคู่หนึ่งด้วยเส้นด้ายหลากสีซึ่งห้อยอยู่ในสาบเสื้อตรงหน้าอกออกมา


เฉินผิงอันสอบถาม “ส่งมาให้ข้าดูหน่อยได้ไหม?”


หลิ่วชิงชิงส่ายหน้า ไม่ยอมตอบรับ


จ้าวหยาร้อนใจแทบตายอยู่แล้ว


สายตาของเฉินผิงอันใสกระจ่าง “คุณหนูหลิ่วยึดมั่นในรัก ข้าที่เป็นคนนอกมิกล้าวิจารณ์ แต่หากต้องทำให้คนทั้งตระกูลตกอยู่ในอันตรายเพราะสาเหตุนี้ ถ้าหาก ข้าพูดว่าถ้าหาก คุณหนูหลิ่วมอบใจให้คนผิด เจ้ามอบความจริงใจให้ไป แต่อีกฝ่ายกลับมีเจตนาอย่างอื่น ถึงท้ายที่สุดคุณหนูหลิ่วจะทำเช่นไร? ต่อให้ไม่พูดถึงความเป็นไปได้ที่เลวร้ายที่สุดนี้ แล้วก็ไม่พูดถึงความรักความจริงใจตราบมหาสมุทรแห้งเหือด ตราบก้อนหินเน่าเปื่อยที่คุณหนูหลิ่วกับเด็กหนุ่มต่างถิ่นผู้นั้นมีต่อกัน พวกเรามาพูดถึงแค่เรื่องตรงกลางบางอย่าง ถุงหอมใบเดียว ข้าดูแล้วก็ไม่ได้ทำให้ความรักระหว่างคุณหนูหลิ่วกับเด็กหนุ่มคนนั้นลดน้อยลง กลับกันยังทำให้คุณหนูหลิ่วไม่รู้สึกผิดต่อคนทั้งตระกูลหลิ่วและสวนสิงโตด้วย”


ระหว่างที่เฉินผิงอันเอ่ยประโยคนี้ อันที่จริงเขาไพล่นึกไปถึงคู่พ่อลูกจูเหอจูลู่ที่ติดตามเขาเดินทางไกลไปยังต้าสุยในครั้งแรก


แล้วก็เพราะคำว่ารัก เด็กสาวจูลู่ถึงได้ยอมเป็นแมงเม่าบินเข้ากองไฟเพื่อหลี่เป่าเจินคุณชายรองตระกูลหลี่บนถนนฝูลวี่ นางตัดสินใจได้อย่างเด็ดเดี่ยว ไม่สนไม่ใยดีสิ่งใด ไม่ว่าอะไรก็ล้วนละทิ้งได้หมด อีกทั้งถามใจตัวเองแล้วยังไร้ซึ่งความละอาย


หลิ่วชิงชิงดวงตาแดงก่ำ ยื่นถุงหอมที่รักใบนั้นส่งมาด้วยมือสั่นๆ


ความละอายใจที่มีต่อชายคนรักยิ่งเข้มข้น เมื่อมอบถุงหอมออกไปก็คล้ายหัวใจถูกควักกระชากตามไปด้วย สองมือว่างเปล่า หัวใจก็ยิ่งว่างโหวง จึงหันหน้าไปทิ้งน้ำตาทางอื่น


เฉินผิงอันรับถุงหอมมาพินิจมองอย่างละเอียด เส้นด้ายห้าสี เส้นด้ายสีดำหนึ่งในนั้นเป็นวัสดุเดียวกับขนจิ้งจอกที่ร่วงหล่นในลานบ้านก่อนหน้านี้ อีกสี่ชนิดที่เหลือยังไม่รู้ที่มาชั่วคราว


เปิดถุงหอมออก ด้านในมีเพียงวัตถุเล็กๆ จำนวนหนึ่ง เฉินผิงอันกลัวว่าสายตาตัวเองจะตื้นเขิน มองความลึกลับที่อยู่ด้านในไม่ออกจึงหันไปมองสือโหรว ฝ่ายหลังก็ส่ายหน้าเช่นกัน เอ่ยเบาๆ ว่า “ถุงหอมเป็นเหมือนโคมไฟดวงหนึ่งที่สว่างไสวในยามค่ำคืน ทำให้ปีศาจจิ้งจอกตนนั้นมาหาคุณหนูผู้นี้ได้โดยสะดวก ของด้านในน่าจะไม่มีที่มาที่สำคัญอะไร”


เฉินผิงอันยื่นถุงหอมให้สือโหรว “เจ้าถือเอาไว้ก่อน”


นอกจากนี้เฉินผิงอันยังหยิบเอาเชือกพันธนาการปีศาจที่หล่อหลอมขึ้นตอนอยู่ที่ภูเขาห้อยหัวออกมา เชือกเส้นนี้มีต้นกำเนิดมาจากหนวดสีทองของเจียวเฒ่าก่อกำเนิดในร่องเจียวหลง ท่ามกลางสมบัติอาคมที่แปลกประหลาดนับร้อยนับพันอย่าง ระดับขั้นของมันถือว่าสูงอย่างถึงที่สุด สือโหรวรับถุงหอมมาแล้วก็เก็บไว้ในชายแขนเสื้อ มือข้างหนึ่งถือเชือกพันธนาการปีศาจสีทองที่ต่อให้เป็นคนตาบอดก็ยังมองออกว่ามันไม่ธรรมดา ความไม่พอใจในใจจึงลดน้อยลง ถุงหอมอยู่ในมือของนางก็ไม่ต่างจากการชักดึงหายนะมาสู่ตัว เพียงแต่ว่าพอมีเชือกพันธนาการปีศาจเส้นนี้เพิ่มเข้ามาก็ถือว่านอกจากเฉินผิงอันจะใช้งานนางอย่าง ‘คุ้มค่าที่สุด’ แล้ว ยังพอจะมีการชดเชยให้นางบ้าง


เฉินผิงอันพูดกับหลิ่วชิงชิง “คุณหนูหลิ่วโปรดให้พวกเราช่วยจับชีพจร วิชาคาถาบนภูเขาหลายอย่างล้วนเก็บซ่อนไว้อย่างมิดชิด ใช้แค่วิชามองลมปราณไม่อาจมองสายสนกลในใดๆ ออก”


ทีแรกก็บุกเข้ามาในห้องหอ จากนั้นก็ให้นางมอบถุงหอมไปให้ ตอนนี้ยังจะสัมผัสโดนเนื้อตัวของนางอีก


ในใจหลิ่วชิงชิงทั้งเศร้าสร้อยและทุกข์ระทมอย่างถึงที่สุด ใบหน้านองไปด้วยน้ำตา หันมามองเฉินผิงอันด้วยสายตาเดือดดาล พูดเสียงสะอื้น “พวกเจ้าอย่าได้คืบจะเอาศอก! หลังจากจับชีพจรแล้ว ยังจะต้องให้ข้าถอดอาภรณ์ด้วยหรือไม่ พวกเจ้าถึงจะยอมเลิกรา?”


เฉินผิงอันกล่าวด้วยอารมณ์นิ่งสงบ “ย่อมไม่ทำเช่นนั้น”


หลิ่วชิงชิงอับอายจนพานเป็นความโกรธ นางบิดเอวกลับ ฟุบตัวลงบนหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ร้องไห้สะอึกสะอื้นจนไหล่สั่นสะท้าน พูดเสียงขาดๆ หายๆ “ข้าต้องการพบพ่อข้า…หากเขาอยู่ที่นี่…ต้องไม่ยอมให้พวกเจ้ามาหมิ่นเกียรติข้าอย่างกำเริบเสิบสานเช่นนี้แน่นอน”


เฉินผิงอันคิดแล้วก็พูดกับสือโหรวว่า “ข้าจะช่วยพิทักษ์เจ้าเอง เจ้าเผยกายด้วยโฉมหน้าดั้งเดิม แล้วค่อยช่วยจับชีพจรให้นาง”


แม้ว่าสือโหรวจะมีอคติมากมายต่อเฉินผิงอัน แต่ก็มีอยู่ข้อหนึ่งที่นางไม่กังขาในตัวเขา นั่นคือขอแค่เป็นเรื่องที่เฉินผิงอันพูดออกมาจากปาก เขาจะต้องทำได้จริงอย่างแน่นอน


ดังนั้นสาวใช้จ้าวหยาจึงเห็นเพียงว่ามีสาวงามสวมอาภรณ์สีสันสดใสชายแขนเสื้อกว้างใหญ่ลอยพลิ้วออกมาจากร่างของผู้เฒ่า ทั้งเหมือนจริงและเหมือนไม่จริง ทำให้นางที่มองดูอยู่ตื่นตะลึงยิ่ง


จ้าวหยารีบตะโกนเรียก “คุณหนูๆ ท่านหันมาดูเร็วเจ้าค่ะ”


ก่อนที่หลิ่วชิงชิงจะหันหน้ากลับมา นางเช็ดคราบน้ำตาบนใบหน้าก่อน แล้วจึงได้เห็นสตรีแปลกหน้าที่รูปโฉมงดงามยิ่งกว่านางยืนอยู่


ส่วนผู้เฒ่าคนก่อนหน้านี้ก็ยืนนิ่งไม่ขยับ ราวกับว่ากำลังงีบหลับอย่างไรอย่างนั้น


สือโหรวพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ยื่นมือออกมา”


หลิ่วชิงชิงยกมือขึ้นอย่างเหม่อลอย


สือโหรวจับข้อมือที่ขาวราวกับรากบัวของหลิ่วชิงชิง


ในขณะที่สือโหรวตรวจสอบลมปราณที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายของหลิ่วชิงชิง เฉินผิงอันที่ยังคงมองประเมินห้องนี้อย่างละเอียดก็พลันสังเกตเห็นว่าสาวใช้กำลังส่งสายตามาให้ตน เมื่อมองตามสายตาที่บอกเป็นนัยของจ้าวหยาไป เฉินผิงอันก็มองเห็นกล่องเล็กงามประณีตกล่องหนึ่งที่ยังไม่ถูกเก็บเข้าลิ้นชัก ดูเหมือนว่าจะเป็นกล่องบรรจุผงประทินโฉมของสตรี เฉินผิงอันขยับเท้าเดินไปใกล้อย่างเงียบเชียบ พอเปิดออกดูก็เห็นว่าด้านในบรรจุยาเม็ดที่ส่งกลิ่นคาวจางๆ ไว้หลายเม็ด เฉินผิงอันจึงหันหน้าไปถามหลิ่วชิงชิง แสร้งทำเป็นว่าพบเข้าโดยบังเอิญ “ขอถามคุณหนูหลิ่ว ยาข้างในนี้เป็นยาบำรุงของสวนสิงโตเอง หรือเป็นยาที่เซียนซือจากภายนอกมอบให้?”


จ้าวหยารู้สึกว่าคุณชายสะพายกระบี่ท่านนี้มีความคิดที่ละเอียดรอบคอบ อีกทั้งยังเข้าใจคนอื่นเป็นอย่างดี ไม่ว่าเรื่องอะไรก็คิดเผื่อคนอื่นเสมอ


หากเปลี่ยนมาเป็นพวกเซียนซือคนก่อนๆ หน้านี้ แต่ละคนเย่อหยิ่งหัวสูง ไม่เพียงแต่วางท่าเหมือนอยากจะแปะสองคำว่า ‘เทพเซียน’ ไว้บนหน้าผากตัวเอง ยังชอบพูดคำว่าปีศาจจิ้งจอกชั่วช้าคำแล้วคำเล่าต่อหน้าคุณหนู เมื่อคุณหนูของตนได้ยินจะไม่รู้สึกบาดหูและพานเสียใจได้อย่างไร


หลิ่วชิงชิงกล่าวอย่างขลาดๆ ว่า “เป็นยาสงบใจที่เขามอบให้ข้า บอกว่าสามารถบำรุงร่างกาย ทำให้จิตใจสงบ”


อันที่จริงสือโหรวได้กลิ่นคาวแสบจมูกนั่นมานานแล้ว พอชำเลืองตามองไปเห็นจึงแค่นเสียงเย็นกล่าวว่า “ยาสงบใจงั้นรึ รู้หรือไม่ว่าอะไรที่เรียกว่ายาสงบใจที่แท้จริง? นี่คือหนึ่งในยานอกรีตที่เอาไว้เลี้ยงภูตผีและพวกหุ่นเชิด เมื่อกินเข้าไปแล้ว คนที่มีชีวิตหรือวิญญาณของภูตผีจะค่อยๆ จับตัวแข็งกลายเป็นรูปลักษณ์ที่ถูกกำหนดไว้ สามจิตเจ็ดวิญญาณที่เดิมทีล่องลอยไม่อยู่นิ่ง มีอิสระเสรีก็จะกลายมาเป็นเหมือนดินบนภูเขาที่ถูกนำมาทำเครื่องกระเบื้อง สุดท้ายถูกคนค่อยๆ ปั้นให้เป็นวัตถุกึ่งสำเร็จรูปที่นำมาบำรุงความอบอุ่นให้แก่ร่างกาย”


สือโหรวคลี่ยิ้มเย้ยหยัน “แน่นอนว่าคนรักของคุณหนูหลิ่วอาจจะบอกว่านี่คือวิชาลับชั้นสูงอย่างหนึ่งของตระกูลเซียนบนภูเขาที่ใช้ชดเชยความไม่เพียงพอก่อนกำเนิด หรือฐานกระดูกที่ไม่ครบถ้วนของเด็กรุ่นหลังในตระกูล ช่วยให้มนุษย์ที่ไม่มีพรสวรรค์ในการฝึกตนเดินขึ้นฟ้าในก้าวเดียว คำพูดประเภทนี้ไม่ได้เป็นเท็จทั้งหมด เพียงแต่ว่าตระกูลบนภูเขาที่ตัดใจทำเช่นนี้ได้ หากไม่ใช่ตระกูลเล็กที่ไม่มีหน้าไม่มีตา ก็ต้องเป็นตระกูลที่ตกอยู่ในสภาพย่ำแย่จนน่าเป็นกังวล จำเป็นต้องให้มีผู้ฝึกตนที่สามารถเดินทางลัดเพิ่มขึ้นมาอีกเยอะๆ เพราะถึงอย่างไรการใช้ยาสงบใจที่มีอีกชื่อหนึ่งว่า ‘ยาหัวขาด’ นี้ก็มีภัยแฝงร้ายแรงอย่างไร้ที่สิ้นสุด ถูกฟ้าดินรังเกียจ หากเป็นคนก็ตายไปแล้วครึ่งตัว หากเป็นผีก็เป็นผีที่มีแค่ครึ่งชีวิต จะคนก็ไม่ใช่จะผีก็ไม่เชิง สิ่งที่อำมหิตที่สุดก็คือหลังจากกลายเป็นภาชนะชั้นเยี่ยมที่สามารถบรรจุปราณวิญญาณแห่งแม่น้ำและภูเขาได้แล้วดันถูกคนทุบทำลายไหเงิน เอาทรัพย์สินที่อยู่ในไหเงินไปจนเกลี้ยง ส่วนข้อที่ว่าไหที่แหลกละเอียดจะมีจุดจบเช่นไร เฮอๆ หากจิตวิญญาณไม่แหลกสลายจนไม่อาจกลับมาเกิดใหม่ได้อีกก็ตายไปแล้วยังเหลือจิตสำนึกเสี้ยวหนึ่งที่ยังไม่ดับสลาย สุดท้ายย่อมต้องกลายไปเป็นผีร้ายผูกอาฆาตพยาบาท”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)