ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง 392-398

ตอนที่ 392 เผ่าพันธุ์ที่สายเลือดคลุ้ม...

 

สายลมโชยผ่านบานหน้าต่าง 


 


 


ฤดูใบไม้ร่วงของปีที่แล้ว ในตำหนักตี้หัวกงปลูกต้นฮว๋ายเอาไว้ต้นหนึ่ง งดงามโดดเด่นอยู่ท่ามกลางหมู่ต้นเย่วกุ้ย 


 


 


ดอกฮว๋ายผลิบานแล้ว ส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ 


 


 


จีเฉวียนทอดพระเนตรมองดูช่อดอกที่ขาวพราวตาอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ตรัสออกมาว่า “เรายินดีแทนนาง ย่อมต้องส่งของขวัญไปให้อย่างแน่นอน” 


 


 


ฉางซุนอิงยิ้มออกมาในทันที “ข้ายินดีจะไปส่งของขวัญแทนฝ่าบาท” 


 


 


“เรื่องสำคัญของบ้านเมือง เจ้าอย่าได้มากังวลใจอีกเลย” 


 


 


แค่ประโยคเดียวของจีเฉวียน ก็ทำให้ฉางซุนอิงหนาวเหน็บเข้าไปในหัวใจ 


 


 


“ข้า….” นางอ้าปากขึ้นมา 


 


 


แต่กลับถูกจีเฉวียนดักเอาไว้ “ในเมื่อร่างกายไม่ค่อยสบาย ต่อไปก็ไม่ต้องมาที่ตำหนักตี้หัวบ่อยๆ ตำหนักหยู่เฉียนบริบูรณ์ด้วนธาตุหยิน เจ้าซึมซับให้มากๆเข้า ก็จะดีกับตัวเจ้าเอง” 


 


 


สีหน้าของฉางซุนอิงเปลี่ยนเป็นไม่น่าดูแล้ว “แต่ว่าตำหนักหยู่เฉียนกงนั่น ข้าอยู่แล้วรู้สึกไม่ค่อยสบายเลย ……..ฟังว่าก่อนหน้านี้ตำหนักนั่นเป็นที่อยู่ของเหลียงไฉเหริน ฉีผิน …..แล้วก็ยังมีองค์หญิงแคว้นเหยียน เหยียนเฉียวหลัวอีก แต่ละคนล้วนไม่มีจุดจบอันดี” 


 


 


“ยิ่งไปกว่านั้นตำหนักหยู่เฉียนกงอยู่ไกลจากตำหนักตี้หัวกงตั้งมาก” 


 


 


ฉางซุนอิงพูดพลางเบ้ปากออกมา นางขยับเข้าไปใกล้จีเฉวียนอีกก้าว กระดิ่งบนข้อเท้าส่งเสียงกรุ้งกริ้ง “เฉวียน ข้าคิดว่าตำหนักเฟิ่งหนิงกงน่าจะดีกว่าหน่อย ข้าอยากอยู่ที่ตำหนักเฟิ่งหมิงกง ได้ไหม?” 


 


 


“นั่นไม่ใช่ที่ที่เจ้าควรจะคิดถึง” จีเฉวียนปฏิเสธในทันที 


 


 


“ทำไมถึงไม่ได้ละ?” ฉางซุนอิงอดทนมานานแล้ว ตอนแรกๆจีเฉวียนอะไรๆก็ตามใจนางใจโดยตลอด แต่ว่าตอนนี้คล้ายว่าไม่ว่าอะไรก็ไม่ได้เสียแล้ว 


 


 


ไม่ให้นางนั่งบนเก้าอี้ตัวนั้น ไม่ให้นางควักอัญมณีไป แล้วยังไม่ยอมให้นางไปอยู่ที่ตำหนักเฟิ่งหมิงกงอีกด้วย 


 


 


ในพระทัยของพระองค์ ยังคงครุ่นคิดถึงคนผู้นั้นอยู่ชัดๆใช่ไหม? 


 


 


“อาอิง เราสามารถชดเชยให้เจ้ามากมาย ยกเว้นแต่ศักดิ์ฐานะและความรักเท่านั้นที่ไม่อาจให้เจ้าได้ เจ้าเข้าใจหรือไม่?” 


 


 


นอกจากตู๋กูซิงหลันแล้ว จีเฉวียนก็ไม่เคยอดทนกับสตรีใดเท่านี้มาก่อน 


 


 


“แต่ว่าถึงตอนนี้ทุกคนล้วน….เข้าใจว่าข้าคือสตรีของท่านนี่!” ฉางซุนอิงกุมอกของตนเองเอาไว้ “เฉวียน ท่านรู้หรือไม่ คนภายนอกล้วนพูดกันว่าข้าเป็นคนก็ไม่ใช่ เป็นผีก็ไม่เชิง ทั้งยังเป็นสนมปีศาจที่ล่มบ้านล้างเมือง แต่ว่าข้ากลับไม่เคยได้รับความรักจากท่านเลยด้วยซ้ำไป” 


 


 


“ข้าไม่ต้องการ….ไม่ต้องการให้เป็นเช่นนี้….ต้องให้บอกว่าข้าเป็นสนมปีศาจ ถ้าเช่นนั้นข้าก็ต้องได้เป็นสนมของท่านก่อน!” 


 


 


“ท่านไม่ยอมให้แม้แต่ฐานะใดๆกับข้า …..แม้แต่เหม่ยเหรินก็ยังไม่ได้” 


 


 


“กับข้าแล้ว…..นอกจากความสงสารและติดค้างแล้ว ความรู้สึกฉันท์ชายหญิงก็ไม่มีเลยสักนิด” 


 


 


นางก้มศีรษะลงไปด้วยความอยากจะร้องไห้ แต่ว่าน้ำตาสักหยดกลับไม่ยอมไหลออกมา 


 


 


“ท่านดูข้าสิ…..ทั้งเนื้อทั้งตัวล้วนเป็นตัวประหลาด…..ขนาดคิดจะร้องไห้ก็ยังไม่มีน้ำตาสักหยด…..” นางยิ่งรำพึงต่อไป “ข้าเคยคิดมาตลอดว่า ขอเพียงสักวันหนึ่งได้กลับมาอยู่ข้างกายท่าน ความลำบากทุกข์ยากทั้งหลายที่เคยได้รับมาก็จะสามารถลืมมันไปได้หมด” 


 


 


“แต่ว่าทำไม ท่านถึงได้ทำกับข้าเช่นนี้? ทั้งๆที่ท่านก็รู้ดีว่าข้าชอบท่านมากมายเพียงไร….ชอบท่านจนถึงขนาดที่จะตายเพื่อท่านได้ และกลับมามีชีวิตเพื่อท่าน” 


 


 


ฉางซุนอิงสะอึกสะอื้นอยู่ครู่หนึ่ง ค่อยพยายามสงบจิตใจของตนเองลงไป ค่อยกล่าวต่ออีกว่า “ท่านลืมไปแล้วหรือ? พอข้าตายไป ท่านก็สังหารฆาตกรเหล่านั้นด้วยตนเอง แล้วไปเฝ้าอยู่ที่หน้าสุสานของข้าเจ็ดวันเจ็ดคืน ….. ข้าไม่เชื่อหรอก ไม่เชื่อหรอกว่าท่านจะมิได้มีรักให้ข้าเลยสักนิด” 


 


 


“เฉวียน ที่จริงแล้วท่านเคยชอบข้าต่างหาก! เพียงแต่ว่าพอผ่านไปนานหลายปีเข้า ใจของท่านก็ไปมีผู้อื่นเสียแล้ว” 


 


 


“แต่ข้าไม่โทษท่านหรอก ข้าเพียงแต่ขอให้ในใจของท่านมีข้าอยู่สักมุมหนึ่ง ต่อให้เป็นมุมเล็กๆสักเท่าไรก็ได้ทั้งนั้น” 


 


 


น้ำเสียงของนางแหบแห้งเหลือเกิน เนื่องเพราะอารมณ์ที่พลุ่งพล่านมากไป กระทั่งร่างกายก็ยังสั่นสะท้านเบาๆไปด้วย “ท่านรู้หรือไม่ว่า เพื่อจะได้พบกับท่านอีกครั้ง ตลอดหลายปีมานี้ข้าต้องผ่านความมืดมนมาเพียงไร …..นั่นเป็นสิ่งที่ท่านไม่มีทางเข้าใจได้แม้แต่น้อย….” 


 


 


นางเงยหน้าขึ้นมา มองดูพระพักตร์ของพระองค์ 


 


 


นับตั้งแต่ที่นางติดตามพระองค์กลับวัง ก็ยังไม่เคยได้เห็นพระองค์แย้มสรวลเลยสักครั้ง 


 


 


พระองค์ดูคล้ายดั่งเป็นคนที่ไม่มีน้ำจิตน้ำใจไม่มีความรู้สึก ดวงพักตร์ที่งดงามนั้นเย็นยะเยือกอยู่ตลอดเวลา มิว่านางจะกล่าวเรื่องใดกับพระองค์ พระองค์ก็ไม่เคยมีสีพระพักตร์ใดๆทั้งสิ้น 


 


 


ตอนนี้ขนาดนางกำลังร่ำร้องอยู่ตรงหน้าแท้ๆ แต่ก็เหมือนกับเล่นละครอยู่ผู้เดียว 


 


 


ผ่านไปอีกพักใหญ่ จีเฉวียนถึงได้ตรัสออกมาประโยคหนึ่ง 


 


 


“ดังนั้นเราจะคอยดูแลเจ้าเอง” 


 


 


“ท่านก็รู้ ว่าข้าไม่ได้ต้องการให้ท่านมาดูแล เพียงแค่ต้องการจะอยู่ร่วมกับท่านจริงๆเท่านั้น” 


 


 


จีเฉวียนไม่สนพระทัยนางอีกต่อไป หันไปตรัสเรียกหลี่กงกงให้นำตัวคนกลับไปยังตำหนักหยู่เฉียนกง 


 


 


………………….. 


 


 


พอฉางซุนอิงไปแล้ว ทั่วทั้งห้องพระอักษรก็เงียบสงัดลงไป 


 


 


จีเฉวียนกวาดพระเนตรไปยังทิศทางที่นางหายไปด้วยแววพระเนตรที่เย็นชา 


 


 


พลางรับสั่งให้คนในตำหนักล่าถอยออกไป ค่อยเสด็จไปที่ด้านหน้าของเก้าอี้ตัวนั้น พลางคุกเข่าลงไป  


 


 


ทรงล้วงเอาผ้าผืนหนึ่งออกมา แตะน้ำ ค่อยเริ่มเช็ดถูทำความสะอาดทีละน้อย 


 


 


พระองค์รักความสะอาดอย่างบ้าคลั่ง เมื่อสิ่งของของตนเองถูกผู้อื่นสัมผัสเข้า ก็จะรู้สึกว่าไม่สะอาด 


 


 


เก้าอี้ตัวนี้พระองค์ให้ตั้งเอาไว้ตรงเบื้องพระพักตร์เพื่อจะได้ทอดพระเนตรทุกๆวัน เพราะคิดถึงยามที่นางเคยนั่งแทะเมล็ดแตงกินแตงหวานอย่างเกียจคร้านอยู่บนเก้าอี้ 


 


 


อัญมณีบนเก้าอี้หลากสีสันบาดตา ที่จริงแล้วมิได้เข้ากับเก้าอี้ไม้แดงสักเท่าไหร่ 


 


 


แต่ในเมื่อเป็นเก้าอี้ของนางเช่นนั้นย่อมน่าดูอย่างที่สุด 


 


 


จีเฉวียนทรงเช็ดถูอย่างละเอียด พระหัตถ์สัมผัสลงไปบนอัญมณีเหล่านั้นอย่างแผ่วเบา ราวกับว่าจะสามารถรับรู้ได้ถึงกลิ่นอายของนาง 


 


 


สายลมพัดเข้ามา กลิ่นหอมของดอกฮว๋ายคล้ายคลึงกับกลิ่นกายของนางยิ่งนัก ราบกับว่านางกำลังอยู่ข้างกายของพระองค์ 


 


 


ถึงตอนนี้พระองค์ก็ยังทรงจดจำได้อย่างดี สีหน้าที่นางแสดงออกมายามที่อยู่บนกำแพงเมืองแคว้นเหยียนในตอนนั้น 


 


 


ผิดหวัง โกรธแค้น แต่ก็ต้องเก็บงำเอาไว้ 


 


 


นางแทบจะอยากตัดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับพระองค์ให้หมดสิ้น 


 


 


จีเฉวียนคิดขึ้นมาในยามนี้ พระทัยก็ยังคงรู้สึกเจ็บปวดอยู่เลย 


 


 


พระองค์คุกเข่าอยู่ข้างเก้าอี้ตัวนั้น เอ่ยฟ้องเบาๆกับอัญมณีที่เม็ดใหญ่ที่สุด “ตัวโง่เขลานั้น ไม่เชื่อถือข้าถึงเพียงนี้ 


 


 


“ไม่เชื่อ…..ก็ดีเหมือนกัน” 


 


 


…………. 


 


 


หลงเซียวเข้ามาในตำหนัก พอดีได้เห็นฝ่าบามตรัสกับเพชรพลอยเม็ดใหญ่ 


 


 


เขาชะงักไปชั่วครู่ จากนั้นก็ทำท่าจะถอยออกไปเงียบๆ 


 


 


“มีเรื่องอะไร?” 


 


 


จีเฉวียนทรงหันหลังให้กับเขา เก็บผ้าผืนนั้นเข้าไปในอกเสื้อ 


 


 


“ฝ่าบาท …..ไทเฮาน้อย….ไม่ใช่ ฮ่องเต้หญิงแคว้นเหยียน …..คล้ายกับว่ากำลังจะเสด็จไปทะเลตะวันตกแล้ว” 


 


 


“ทะเลตะวันตกหรือ?” 


 


 


“คล้ายกับว่าเทพธิดาแห่งสายน้ำลี่โจวเกิดเรื่องบางอย่างขึ้น ฮ่องเต้หญิงจึงจะเสด็จไปช่วย” 


 


 


หลงเซียวทูลพลาง ก็ขยับเข้าไปใกล้ ถวายจดหมายลับในมือของตนให้จีเฉวียนกับพระหัตถ์ด้วยความเคารพนบนอบ “ในสารมีลายละเอียดทั้งหมดอยู่พะยะค่ะ” 


 


 


จีเฉวียนประทับยืนขึ้นมา เสด็จกลับไปที่โต๊ะพระอักษร แล้วประทับนั่งลง 


 


 


ฉลองพระองค์พลิกลงไป เส้นพระเกศาตกลงมา ทอดพระเนตรดูเนื้อความในสาร สายพระเนตรก็ครึ้มลงอีกหลายส่วน 


 


 


คนผู้นี้ช่างมีรูปลักษณ์ดีจริงๆ แค่ทำท่าอ่านนู่นอ่านนี่เฉยๆก็ยังดูดีมากถึงขนาดนี้ 


 


 


“เผ่ามังกรทมิฬ ….. หากว่าเราจำไม่ผิดล่ะก็เป็นเผ่าพันธุ์ที่มีสายเลือดคลุ้มคลั่ง” 


 


 


“ใช่แล้วพะยะค่ะ” 


 


 


หลงเซียวทูลรับ ตนเองก็เปิดบันทึกโบราณเล่มหนึ่งขึ้นมา “ในคำภีร์《บันทึกเหล่าเทพ》มีการจดบันทึกเอาไว้ เผ่ามังกรทมิฬอาศัยอยู่ในส่วนลึกของทะเลตะวันตก ในบรรดาเผ่ามังกรทั้งหลายนับว่าเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีพละกำลังเข้มแข็ง อุปนิสัยกระหายเลือด จึงถูกทวยเทพกักขังเอาไว้ในทะเลลึก ไม่อาจออกมาได้” 


 


 


“มีบันทึกถึงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น” จากนั้นหลงเซียวก็กราบทูลจีเฉวียนอีกว่า “ฝ่าบาท จะทรงโปรดให้กระหม่อมรวบรวมข่าวสารให้มากกว่านี้หรือไม่พะยะค่ะ?” 


 


 


จีเฉวียนทรงเผาสารในพระหัตถ์ทิ้งไป กดพระหัตถ์ลงไปบนโต๊ะอักษรอยู่ครู่หนึ่ง “คอยจับตาดูความเคลื่อนไหวของทางนั้นเอาไว้ตลอดเวลา” 

 

 

 


ตอนที่ 393 ตัวอบอุ่นที่ทั้งน่ารักทั้ง...

 

“ยังมีอีกเรื่องหนึ่งพะยะค่ะ” หลงเซียวลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก็ไม่รู้ว่าจะกราบทูลอย่างไรดี 


 


 


“อยู่ต่อหน้าเราไม่ต้องมาทำอึกๆอักๆ” 


 


 


“ไทเฮา น่ะ….ฮ่องเต้หญิง ทรงมีสัมผัสใกล้ชิดกับบุรุษโฉมงามอันดับหนึ่งของแผ่นดิน ตอนนี้ทั้งสองอยู่ด้วยกันแทบจะตลอดเวลา หวานชื่นราวดั่งคู่สามีภรรยาที่พึ่งจะแต่งงานอย่างไรอย่างนั้น” 


 


 


หลงเซียวทูลจบ ก็รู้สึกว่ามีเหงื่อเย็นๆไหลออกมาท่วมศีรษะ 


 


 


พอเงยหน้าขึ้นดู ก็เห็นสีพระพักตร์ของฝ่าบาทเปลี่ยนเป็นเลวร้าย สองพระหัตถ์ภายใต้แขนฉลองพระองค์กำแน่นเสียจนเส้นพระโลหิตปูดโปนขึ้นมา 


 


 


“ฝ่าบาท นี่เป็นข่าวสารที่องครักษ์ลับส่งกลับมา …..บางทีพวกเขาอาจจะตาฝาด มองผิดไป” หลงเซียวรีบกล่าวปลอบพระทัยไปอีกสองประโยค 


 


 


ความปลอดภัยของเขาเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งในตอนนี้! 


 


 


“ฝ่าบาท หากว่าซูเยาผู้นั้นไม่รักษาคำพูด …..พวกเราก็ไม่จำเป็นจะต้องรักษาคำสัญญา หย่งเฉิงอ๋องสองสามีภรรยายังคงอยู่ในเมืองหลวง หากว่าไม่ได้ฝ่าบาททรงคุ้มครองเอาไว้แต่แรก สองผู้เฒ่านั่นก็คงจะ…..” 


 


 


ฝ่าบาททรงทำพระองค์เป็นขวดแก้วเสียแล้ว มิว่าเรื่องใดๆก็เก็บเอาไว้กับพระองค์แต่เพียงผู้เดียว 


 


 


อะไรก็ไม่ยอมอธิบายออกไป เอาแต่แอบทำอย่างเงียบๆ 


 


 


พูดตามตรง สุดท้ายแล้วนี่มิเท่ากับว่าเป็นการทำร้ายพระองค์เองหรอกหรือ? 


 


 


ตอนนี้ละเป็นเรื่องแล้ว นี่มิเท่ากับว่าอยู่ดีๆก็ไปส่งเสริมซูเยาผู้นั้นหรอกรึ 


 


 


นับตั้งแต่ที่เจ้าผู้นั้นไปอยู่กับฮ่องเต้หญิง ก็มีอิสระเสรีอย่างที่สุด ความสัมพันธ์ก็ใกล้ชิด แทบจะนอนด้วยกันอยู่แล้ว! 


 


 


หากว่าเป็นเช่นนี้ต่อไป ……เกรงว่าอีกไม่กี่วันก็อาจจะนอนด้วยกันขึ้นมาก็ได้ละมั้ง? 


 


 


พระหัตถ์ที่กำหมัดของฝ่าบาทมิได้คลายออก ดวงเนตรหงส์คู่นั้นเปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือกขึ้นมา พระองค์หันไปจดจ้องหลงเซียว ตรัสว่า “เจ้าบอกมาสิว่าใครคือบุรุษที่งามที่สุดในแผ่นดินนี้?” 


 


 


หลงเซียว “อ่า……ฝ่าบาท หากว่าจะให้เปรียบเทียบกันจริงๆ พระองค์กับซูเยานั้นเป็นคนละประเภทกันนะพะยะค่ะ” 


 


 


“เราถามเจ้า ว่าใครคือบุรุษที่งามที่สุดในแผ่นดิน?” 


 


 


หลงเซียว “นั่นย่อมต้องเป็นฝ่าบาทแน่นอนอยู่แล้วพะยะค่ะ! ใต้หล้านี้ย่อมไม่มีบุรุษใดที่จะงดงามไปกว่าฝ่าบาทอีกแล้ว! ต่อให้มี ก็ต้องเป็นเรื่องเข้าใจผิดไปอย่างแน่นอน!” 


 


 


“ในเมื่อเราคือบุรุษที่งดงามที่สุดในใต้หล้า ที่บอกว่าผูกพันใกล้ชิดแนบแน่นกับฮ่องเต้หญิง ย่อมไม่มีสิ่งใดผิด” 


 


 


หลงเซียว “? ? ? “ ทำไมเขาถึงได้รู้สึกว่าฟังไม่เข้าใจว่าฝ่าบาททรงหมายความเช่นไร? 


 


 


หลงเซียวยังไม่ทันจะได้ทำความเข้าใจ ก็ได้ยินจีเฉวียนตรัสว่า “ไปหาซุนย่วนขอยาพอกมา” 


 


 


หลงเซียวรู้สึกว่าทำเช่นนี้ไม่ดีละมั้ง? 


 


 


ครั้งก่อนพอกไปรอบหนึ่ง ก็เกิดสิวขึ้นเต็มพระพักตร์ยังไม่เข็ดอีกหรืออย่างไร? 


 


 


หลงเซียวคิดไปคิดมา ก็รู้สึกว่าหากเป็นเรื่องของความงดงามฝ่าบาทนั้นยังพ่ายแพ้ให้กับซูเยาอยู่บ้างจึงจะถูก 


 


 


……………….. 


 


 


เพียงไม่ถึงสองวัน ในวังก็มีข่าวลือออกมา ว่าซุนเชวี่ยย่วนสื่อแห่งสำนักหมอหลวงได้รับแต่งตั้งอยู่ได้ไม่นานก็ต้องตกต่ำลงไปอีกครั้งแล้ว 


 


 


ครั้งนี้ยังอนาถกว่าตอนเป็นเด็กต้มยาเสียอีก เพราะกลายเป็นหมอรักษาสัตว์ไปเสียแล้ว ทุกๆวันเป็นต้องไปขลุกอยู่ที่คอกม้า คอยสอดส่องดูแลบรรดาสัตว์ต่างๆในวังหลวง 


 


 


ฟังว่าเป็นเพราะวิชาแพทย์ของเขามันไม่ได้เรื่อง ไม่สามารถตรวจรักษาฉางซุนอิงได้? 


 


 


ดูเอาสิ …..ฝ่าบาททรงหลงใหลสตรีผู้นั้นถึงขนาดนี้เลย? 


 


 


วันนี้คนที่ถึงคราวรับเคราะห์ก็คือซุนย่วนซื่อ คนต่อไปที่จะต้องโชคร้ายไม่แน่ว่าอาจจะเป็นพระองค์เองก็ได้? 


 


 


หากว่าวันๆทรงเอาแต่หมกมุ่นอยู่อย่างนี้ต่อไป คนต้าโจวย่อมอดไม่ได้ที่จะรำลึกถึงวันดีๆยามที่ไทเฮายังทรงอยู่ 


 


 


นี่เรียกว่าอะไรเล่า หากไม่มีการเปรียบเทียบก็คงไม่รู้ว่าอะไรเจ็บกว่ากัน! 


 


 


ไทเฮาน้อยอย่างมากก็แค่เปลือกนอกเอาแต่พระทัยอยู่บ้าง แต่แก่นแท้แล้วยังคงมีความเมตตาอยู่ 


 


 


นางได้ทำสิ่งใดเพื่อต้าโจวเอาไว้บ้าง? 


 


 


ในงานเลี้ยงของราชสำนักนางสามารถเลือกไข่มุกได้ถูกต้อง ช่วยเหลือท่านหญิงน้อยที่ถูกลักพาตัวไปจากจวนองค์หญิงใหญ่ เสด็จไปค้นหาสมบัติร่วมกับฝ่าบาท ทั้งยังใช้ความเฉลียวฉลาดทำลายแผนกบฏของจวิ้นอ๋องเมืองกู่เย่ว 


 


 


ไทเฮาน้อยมักจะทรงรับสั่งอยู่เสมอว่า ‘เราตั้งใจจะทำทุกสิ่งเพื่อต้าโจว’ 


 


 


ตอนนี้พอมาย้อนคิดดูแล้ว ทุกสิ่งที่นางได้ทำไว้ แต่ละเรื่องล้วนทำเพื่อแคว้นต้าโจวมิใช่หรือ? 


 


 


ส่วนเรื่องที่เมื่อเร็วๆนี้นางชิงเอาแคว้นต้าเหยียนที่พึ่งตีได้ไปล่ะ……คงจะมีสาเหตุอื่นอีกกระมัง? 


 


 


แล้วลองดูแม่นางฉางซุนผู้นั้นสิ …….ทำเรื่องอันใดไปบ้าง 


 


 


ราชโอรสองค์โตที่คนทั้งแคว้นต่างตั้งตารอคอยถูกกำจัดทิ้งไปแล้ว….. 


 


 


ตอนนี้ในใจของชาวต้าโจวทั้งหลายต่างก็รู้สึกว่าเหมือนกับว่า ‘ก่อนหน้านี้บุตรชายในบ้านไปชื่นชอบหญิงสาวที่ออกจะนอกกรอบไปหน่อยผู้หนึ่ง แต่เหล่าผู้อาวุโสภายในบ้านต่างก็ไม่เห็นด้วย คราวนี้ละเป็นเรื่องแล้ว บุตรชายไปรับเอางูพิษกลับมา ทุกคนถึงได้ค่อยพากันนึกถึงความดีของหญิงสาวที่นอกกรอบไปบ้างผู้นั้น’ 


 


 


ในแคว้นต้าโจว ชื่อเสียงของแม่นางฉางซุนอิงยังย่ำแย่กว่าตู๋กูซิงหลันเมื่อตอนแรกๆอีกมากโข 


 


 


ตอนนี้พวกเขาได้แต่เฝ้าหวังว่าเมื่อไหร่ฝ่าบาทจะทรงคิดได้เสียที แล้วไปคืนดีกับไทเฮาน้อย เมื่อสองคนดีกัน สองแคว้นจะได้มีสัมพันธ์อันดี จับมือกันครองความเป็นใหญ่ในแผ่นดินนี้จึงจะเป็นหนทางที่ถูกที่ควร! 


 


 


………………………………. 


 


 


แคว้นเหยียน 


 


 


เมื่อเข้าสู่ยามสนธยา สายลมยามค่ำในต้นฤดูสารทก็พัดเอาความชื้นจากทะเลมาด้วย กลีบบุปผาพลิ้วไปในอากาศจนทั่วทั้งเมือง 


 


 


ในพระตำหนักหย่งหนิง ตอนนี้ยังคงจุดเทียนอยู่ 


 


 


ตู๋กูซิงหลันนั่งอยู่ข้างโต๊ะ บนโต๊ะมีหนังสือโบราณสูงเป็นตั้งๆ 


 


 


นางอดหลับอดนอนจนสองตาแดงก่ำ ดวงตาปูดโปนไปด้วยเส้นเลือด 


 


 


ข่าวที่มนุษย์มัจฉาน้อยบอกมานั้นไม่ใช่เรื่องดีสักเท่าไร… 


 


 


มารดาแท้ๆของชือหลีเดิมเป็นองค์หญิงของเผ่ามังกรตะวันตก แต่เพราะการแต่งงานที่ผิดพลาดสุดท้ายจึงต้องมีจุดจบที่น่าอนาถ 


 


 


แม้แต่เผ่ามังกรตะวันตกเองก็พลอยตกต่ำไปเพราะเจ้ามังกรทรยศผู้นั้นไปด้วย 


 


 


เป็นผลให้ชือหลีและชือฉิงสองสาวพี่น้องต้องถูกถอดกระดูกมังกรออก จนต้องไปอยู่ในโลกของมนุษย์ธรรมดา 


 


 


พอกลับไปครั้งนี้ก็ยังต้องประสบเคราะห์กรรม เพราะบังเอิญเป็นช่วงที่รัชทายาทของเผ่ามังกรทมิฬที่อยู่ใต้ทะเลลึกไร้ก้นบึ้งจะเลือกคู่พอดี 


 


 


มังกรบิดาตัวร้ายที่ใจดำอำมหิตจนผิดเพี้ยนผู้นั้นก็จับชือหลีส่งออกไปในทันที 


 


 


แต่ละบ้านต่างก็มีเหตุแห่งความทุกข์ยากของตนเอง เผ่ามังกรตะวันตกเผ่านี้ก็มิได้อยู่นอกเหนือออกไป ยามใจดำขึ้นมาแม้แต่กับเลือดเนื้อเชื้อไขก็ยังไม่เหลือน้ำใจให้สักนิด 


 


 


………………………… 


 


 


นางย่อมต้องการไปช่วยเหลือชือหลี แต่ว่าไม่อาจไปอย่างบุ่มบ่ามได้ 


 


 


เดิมทีตัวนางเองก็มีโรคกลัวน้ำลึกที่หนักหนาอยู่แล้ว หากไม่เตรียมตัวให้พร้อม อย่าว่าแต่จะช่วยชือหลีเลย เกรงว่าแม้แต่ตัวนางเองก็คงต้องมอดม้วยไปด้วย 


 


 


“อาหลัน……” ซูเยา นำของว่างมื้อดึกเข้ามา “บอกให้เจ้าพักผ่อนเจ้าก็ยังไม่ยอมนอน ถ้าเช่นนั้นก็กินอะไรตุ๋นๆร้อนๆบำรุงร่างกายเสียหน่อยแล้วกัน” 


 


 


เขาพูดพลางก็ตักขึ้นมาช้อนหนึ่ง ยกขึ้นมาถึงริมฝีปากแล้วเป่าเบาๆ จากนั้นก็ค่อยส่งเข้าปากของนาง 


 


 


ตู๋กูซิงหลันอ้าปากขึ้นอย่างคุ้ยเคย พอกลืนลงไปคำหนึ่งก็อบอุ่นไปถึงหัวใจ 


 


 


นางไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า ฝีมือการครัวของเจ้าจิ้งจอกน้อยจะดีถึงเพียงนี้ 


 


 


ขนาดแค่ของตุ๋นร้อนที่เรียบง่ายชามหนึ่งก็ยังตุ๋นได้อร่อยมาก 


 


 


ซูเยาป้อนนางจนหมดชาม ค่อยเลื่อนตะเกียงมาที่ข้างหน้านางมากกว่าเดิม “แสงเทียนสลัวเกินไปทำร้ายดวงตาแล้ว” 


 


 


เจ้าจิ้งจอกน้อยผู้นี้ช่างเป็นตัวอบอุ่นที่ทั้งน่ารักทั้งน่าหยิกจริงๆ 


 


 


ตู๋กูซิงหลันวางตำราโบราณในมือลง อดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปลูบศีรษะของเขาเบาๆ “เจ้าไปนอนก่อนเถอะ ไม่ต้องรอข้าหรอก” 


 


 


คำพูดเหล่านี้ช่างทำให้คนฟังเข้าใจผิดโดยง่ายเสียจริงๆ 


 


 


ราวกับว่าคนทั้งสองนอนบนเตียงหลังเดียวกันอย่างไรอย่างนั้น 


 


 


เมื่ออยู่ต่อหน้าตู๋กูซิงหลัน ซูเยาก็ยิ้มง่ายอยู่เสมอ 


 


 


เขาพยักหน้าหงึกๆ “ข้าจะอ่านเป็นเพื่อนเจ้า ค่อยนอนพร้อมเจ้า หากเจ้าไม่นอนข้าก็นอนไม่หลับหรอก” 


 


 


ถึงแม้ว่าอาหลันจะยังไม่เคยนอนเตียงเดียวกันกับเขา 


 


 


แต่ว่าตอนนี้เขาก็คือคนที่นางโปรดปรานมากที่สุดมิใช่หรือ? 


 


 


ขอแค่ได้เฝ้าดูนางนอน แล้วตนเองค่อยหลับทีหลังก็พอใจมากแล้ว….นั่นเป็นความสุขที่บ่งบอกไม่ถูกเลย! 


 


 


…………………………….. 


 


 


ตำหนักบรรทมของนางมีบานหน้าต่างที่เปิดค้างเอาไว้ครึ่งหนึ่ง 


 


 


ที่ด้านนอกหน้าต่าง ดวงตาหงส์คู่นั้นหรี่อยู่ครึ่งๆ รอบตัวล้วนมีแต่ความมืดมิด 


 


 


เขามองดูอย่างใจจดใจจ่อ จึงไม่ทันสังเกตว่าที่ด้านหลังมีคนผู้หนึ่งเดินมา 


 


 


พอพระอังสาถูกคนผู้นั้นตบเบาๆ ฝ่าบาทถึงได้หันพระเศียรกลับไป จึงได้เห็นว่าเป็นบุรุษที่สวมใส่ชุดหลวมๆรุ่ยร่ายผู้หนึ่งยื่นศีรษะเข้ามามองดูพระองค์  


 


 


“สหายผู้นี้ เจ้าคงเป็นคนใหม่ที่พึ่งจะเข้าวังมาสินะ?” 

 

 

 


ตอนที่ 394 ฝึกฝนฝ่าบาทให้ได้เป็นคนโปรด

 

จีเฉวียนหันพระพักตร์กลับไป ภายใต้แสงจันทร์กระจ่าง ดวงพักตร์ที่งดงามดุจเทพเซียนนี้ทำให้ดวงตาของบุรุษผู้นั้นกระจ่างขึ้นมาจนแทบจะตาพร่าไป 


 


 


เขาได้พบกับสมบัติชั้นเลิศเข้าแล้ว 


 


 


เขาวางหยินเอ๋อทัง(เห็ดหูหนูตุ๋น)ในมือลงอย่างทันที พลางยื่นมือไปคว้าพระหัตถ์ของจีเฉวียนเอาไว้ จูงเข้าพุ่มไม้ที่อยู่ในวังไปอย่างรีบร้อน 


 


 


ชนิดที่เรียกว่าพาหนีอย่างหัวซุกหัวซุน 


 


 


คนผู้นี้คุ้นเคยกับเส้นทางภายในวังหลวงของแคว้นเหยียนอย่างยิ่ง สามารถหลบหลีกสายตาขององครักษ์ที่เฝ้ายามได้อย่างง่ายดาย จนกระทั่งมาถึงจุดที่มั่นใจแล้วว่าปลอดภัยไร้ผู้คน เขาถึงได้หยุดลงพิจารณาดูจีเฉวียนอย่างละเอียด 


 


 


สวรรค์ทรงโปรด! 


 


 


เดิมทีเขานึกว่าเจ้าปีศาจจิ้งจอกที่ทำตัวติดกับฝ่าบาทของเขาอยู่ทุกวี่ทุกวันนั้นงดงามจนทำให้คนต้องตกตะลึงมากแล้ว! 


 


 


แต่ว่าพอได้เห็นสหายผู้นี้! 


 


 


ไม่รู้ว่าชาติก่อนทำบุญไปมากขนาดไหน ถึงได้เกิดมามีรูปโฉมที่งามเช่นนี้! 


 


 


หากจะบอกว่าซูเยาผู้นั้นเป็นปีศาจจิ้งจอก สหายที่ตรงหน้าผู้นี้ก็คงเป็นระดับเทพมารแล้ว! 


 


 


เขามองดูอยู่ครึ่งค่อนวัน ค่อยแนะนำตัวด้วยความตกตะลึงจนตื่นเต้นว่า “ผู้น้อยคือเฉาโหย่วเฉียน เป็นชายบำเรอในตำหนักหย่งหนิงกง” 


 


 


ชายบำเรอสองคำนี้ เขากลับพูดออกมาอย่างภาคภูมิใจเป็นพิเศษ 


 


 


แต่ฝ่าบาทฟังแล้ว กลับเสียดแทงพระกรรณอย่างยิ่ง 


 


 


สีพระพักตร์ของพระองค์ยังคงเคร่งขรึม พยายามฝืนทนความพลุ่งพล่านที่ต้องการจะจัดการให้ ‘ชายบำเรอ’ ตรงหน้ากลายเป็นเนื้อบดไป 


 


 


“แค่ดูก็รู้ว่าเจ้าคือคนที่มาใหม่ ไม่รู้เรื่องอะไรละสิ?” คุณชายใหญ่เฉากระซิบอย่างมีลับลมคมนัย พลางทำท่าทางบุ้ยใบ้ไปทางตำหนักหย่งหนิงกง “อย่าได้คิดว่าด้วยรูปลักษณ์ภายนอกของเจ้าจะทำให้มีที่ถือดีได้เป็นพิเศษ ตอนนี้เจ้าปีศาจจิ้งจอกนั่นทำให้ฝ่าบาทหลงใหลจนหัวปักหัวปำไปแล้ว ไม่มีทางจะเปลี่ยนรสนิยมได้ง่ายๆหรอก!” 


 


 


ที่จริงองครักษ์ลับของจีเฉวียนคอยจับตาดูความเคลื่อนไหวของนางอยู่ตลอด 


 


 


เรื่องที่สองพี่ชายตระกูลตู๋กูส่ง ‘ชายบำเรอ’ มาให้นางตั้งมากมาย พระองค์ก็ทรงทราบดีอยู่แล้ว 


 


 


ฝ่าบาททรงหรี่พระเนตรมองดูคุณชายใหญ่เฉาผู้นี้ครู่หนึ่ง ก็ชักจะทรงสงสัยในรสนิยมของซิงซิงขึ้นมาบ้างแล้ว 


 


 


หากโยนคนผู้นี้เข้าไปกลางฝูงชน คงต้องเสียเวลาตามหาอยู่ครึ่งค่อนวันจึงจะเจอ…….นางถูกใจเข้าที่ตรงไหนกัน? 


 


 


หรือจะเป็นเพราะว่าก่อนหน้านี้อยู่ใกล้ชิดกับพระองค์ที่เป็น ‘บุุรุษโฉมงามอันดับหนึ่งในแผ่นดิน’ มากเกิน จนเกิดโรคเอียนความงามขึ้นมาแล้ว? 


 


 


เหมือนกับพอได้กินเนื้อกินปลาดีๆมากเกินไป ก็ชักจะรู้สึกว่านานๆทีได้กินผักป่าขึ้นมาก็อร่อยถูกปากอยู่เหมือนกัน? 


 


 


“เฉา…..” ฝ่าบาททรงพยายามฝืนอดกลั้นความคิดที่จะต่อยเขาให้ตายไปเสียเอาไว้ก่อน เอ่ยเพียงแซ่ของเขาขึ้นมา 


 


 


“โหย่วเฉียน[1]” คุณชายเฉาประคองมือคำนับ “ท่านปู่ของข้าเป็นเศรษฐีของแคว้นเหยียน….” 


 


 


ฮ่องเต้ “อ้อ” 


 


 


เช่นนั้นก็ถือว่ามีเหตุผลแล้วว่า ทำไมเจ้างั่งนี่ถึงได้สามารถรั้งอยู่เป็น ‘ชายบำเรอ’ ข้างกายนางได้กัน 


 


 


ซิงซิงจะอย่างไรก็รักเงินทองเป็นชีวิตจิตใจ หากจะเก็บคนโง่ที่หน้าตาเหมือนปลาหัวโตแต่มีเงินหนาเอาไว้ข้างกายเอาไว้สักคน ย่อมเป็นนิสัยของนางอยู่แล้ว 


 


 


“ยังมิได้ทราบเลยว่า ชื่อแซ่ของสหายคือ?” ดวงตาทั้งสองของคุณชายใหญ่เฉาเปล่งประกายระยิบอย่างตัดสินใจแล้วว่า มิว่าอย่างไรก็จะต้องจัดการอบรมให้สมบัติลับที่ล้ำค่าชิ้นนี้กลายเป็นชายบำเรอที่ได้รับความโปรดปรานที่สุดให้จงได้ 


 


 


จะต้องจัดการกดเจ้าปีศาจจิ้งจอกซูเยาผู้นั้นลงไปให้จมมิด 


 


 


มิเช่นนั้น ไม่แน่ว่าอีกเพียงไม่นานพวกเขาอาจจะถูกขับออกไปจากตำหนักหย่งหนิงกงก็เป็นได้ 


 


 


ช่วงหลายวันมานี้ เขาได้ให้คนที่บ้านเสาะหาบุรุษโฉมงามอยู่ตลอด …….เพราะต้องการจะหาบุรุษโฉมงามที่สามารถจะมาประชันความงามกับซูเยาได้สักคน จากนั้นก็ดึงตัวมาเป็นพรรคพวกของตนเอง 


 


 


มิว่าอย่างไรไม่อาจปล่อยให้ซูเยาได้เป็นคนโปรดอยู่แต่เพียงผู้เดียว 


 


 


ฮ่องเต้ทรงคิดครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ถึงได้ตรัสว่า “เนี่ยซิง” (คิดถึงดวงดาว) 


 


 


“เนี่ยซิง?” คุณชายใหญ่เฉารู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่ง “มีคนใช้แซ่เนี่ยด้วยหรือ?”  


 


 


ฝ่าบาท “ใต้หล้ากว้างใหญ่เรื่องแปลกประหลาดใดๆก็ล้วนมี” 


 


 


คุณชายโง่เง่าแต่เงินหนา “ก็จริงอยู่นะ กระทั่งแซ่พี่ (ตด) ยังมีเลย….” 


 


 


ฝ่าบาท “…….” 


 


 


“สหายแซ่เนี่ย ข้าจะบอกให้เจ้าฟังนะ เส้นทางชายบำเรอนี้มิได้ง่ายดาย หากว่าไม่มีคนชี้นำอยู่เบื้องหน้า เกรงว่าเจ้ายังไม่ทันไปถึงเบื้องพระพักตร์ของฝ่าบาท ก็คงจะถูกโยนทิ้งออกไปเสียก่อนก็ได้ คนที่ฝ่าบาทของพวกเราโยนออกไปนั้น อาจไม่ถึงร้อย แต่ก็มีหลายสิบแล้วละมั้ง?” 


 


 


คุณชายเฉารู้สึกว่าตนเองช่างชาญฉลาดอย่างยิ่ง นี่เรียกว่าอะไรนะ ตัดไม้ข่มนาม ขู่ให้กลัวเอาไว้ก่อน 


 


 


จากนั้นค่อยส่งพุทราเชื่อมให้ คนก็จะว่าง่ายขึ้นมามิใช่หรือ? 


 


 


“เช่นนั้นข้าสมควรจะทำเช่นไรจึงจะดี?” ยากนักที่ฝ่าบาทจะทรงยอมร่วมมือกับคนโง่ที่เงินหนาได้สักครั้ง 


 


 


“สหายแซ่เนี่ย เจ้าถามถูกทางแล้ว!” คุณชายเฉากล่าวอย่างยินดี 


 


 


ทั้งยังดึงฉลองพระองค์ของจีเฉวียนให้นั่งลงที่เก้าอี้ใต้ต้นไม้ด้วยกัน จากนั้นก็บอกกล่าวอย่างละเอียดลออว่า “อย่างแรก ฝ่าบาทของพวกเรานั้นทรงดูจากใบหน้าเป็นหลัก! ถึงแม้ว่ารูปโฉมของเจ้าจะด้อยกว่าข้าไปสักหน่อย….แต่ว่ายังโชคดี อย่างไรก็พอจะผ่านด่านไปได้อยู่” 


 


 


ฮ่องเต้ทรงอดไม่ได้ที่จะเหลือบพระเนตรมองดูเขาอีกสองครั้ง นี่พระองค์ทรงอัปลักษณ์ยิ่งกว่าคนหัวโตเหมือนหัวปลาผู้นี้จริงๆหรือ? 


 


 


ขนาดหลี่ต้าชิงยังดูดีกว่าคนหัวโตเป็นหัวปลาผู้นี้เลยด้วยซ้ำ! 


 


 


“คราวนี้ เจ้าจะต้องรู้จักสำออย ต้องแกล้งทำเป็นน่าสงสาร ก้นต้องแน่น เอวต้องบาง ต้นขาต้องยาว กล้ามเนื้อเป็นรูป ใช่แล้ว เหมือนอย่างข้าไง” 


 


 


คุณชายเฉาแหวกเสื้อผ้าที่หลวมกว้างของตนออกให้ดู 


 


 


ฝ่าบาททรงกวาดพระเนตรผ่านแวบหนึ่ง ก็ยังทรงรู้สึกว่าปวดตา 


 


 


นอกจากไขมันเป็นชั้นๆแล้ว ก็ไม่ทรงเห็นอะไรทั้งนั้น 


 


 


“เรื่องรูปลักษณ์ภายนอก ข้าเห็นว่าสมควรข้ามไปได้แล้ว” ฝ่าบาททรงเอ่ยขึ้นมา “ลองบอกเรื่องอื่นที่เป็นประโยชน์ออกมาบ้าง” 


 


 


คุณชายเฉาส่งสายตาอย่างมีความหมายให้ในทันที “เจ้าต้องให้สัญญาว่าหากเกิดได้รับความโปรดปรานขึ้นมา ยามอยู่เบื้องพระพักตร์จะต้องชื่นชมข้าให้มากๆ อย่าได้ปล่อยให้นางผลักไสข้าออกไปเด็ดขาด” 


 


 


“นางไม่มีทางผลักเจ้าออกไปแน่นอน” ฝ่าบาทตรัสอย่างรับรอง 


 


 


อืม เราจะถีบเจ้าออกไปอย่างไม่เกรงใจเอง 


 


 


ประโยคนี้พระองค์ย่อมมิได้ตรัสออกไป คุณชายเฉาผู้โง่งมแต่เงินหนาพลันรู้สึกว่าตนเองถูกรางวัลใหญ่เข้าแล้ว 


 


 


เขายกมือขึ้นมา ป้องลงไปที่ริมพระกรรณของจีเฉวียน กล่าวว่า “เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้า เจ้าก็จงสวมใส่เสื้อผ้าแบบข้า ชิงถวายปรนนิบัติสวมฉลองพระบาทและฉลองพระองค์ตัดหน้าเจ้าซูเยาผู้นั้น” 


 


 


“หลังจากนั้นเล่า?” 


 


 


“หลังจากนั้นเจ้าก็แกล้งทำตัวน่าสงสารต่อหน้าฝ่าบาท ทางที่ดีนะเอาให้ตายกันหมดบ้าน ไร้หนทางให้กลับ หากถูกขับออกนอกวังไป คงต้องอดตายอยู่ข้างถนนเป็นแน่อะไรแบบนั้น!” คนหัวโตพูดต่อไป “อย่าได้เห็นว่าภายนอกฝ่าบาททรงสูงส่งและเย็นชา ที่จริงแล้วทรงพระทัยอ่อนมาก” 


 


 


“เดิมทีข้าก็น่าสงสารอยู่แล้ว” จีเฉวียนทรงพยักพระพักตร์ “ข้อนี้ไม่มีปัญหาแน่นอน” 


 


 


ว่าที่ภรรยาที่ทุ่มเทใจไปตั้งมากมายจนเกือบจะหวั่นไหวใจอยู่แล้วอยู่ๆก็บอกว่าไม่เหลือเยื่อใยอีกต่อไป แค่นี้ยังจะไม่น่าสงสารอีกหรือ? 


 


 


“เจ้ามันน่าสงสารมากขนาดนั้นจริงๆหรือ?” คนหัวโตทำสีหน้าเห็นใจ 


 


 


ฝ่าบาท “น่าสงสารมากเลย” 


 


 


“มีอะไรจะเพิ่มเติมอีกหรือไม่?” 


 


 


คนหัวโตเป็นหัวปลาคิดอยู่ครู่หนึ่ง อยู่ๆก็กล่าวอย่างหนักแน่นขึ้นมาว่า “ต้องอ่อย! อ่อยให้หนักถึงขนาดที่แม่เจ้าก็ยังจำไม่ได้ไปเลย!” 


 


 


ฝ่าบาท “? ??” พระองค์ไม่เคยทรงทราบมาก่อนเลยว่ารสนิยมของซิงซิงนั้นจะจัดจ้านถึงเพียงนี้? 


 


 


“เช่นไรรึ?” 


 


 


คนหัวโตรีบลุกขึ้นในทันที จากนั้นก็เริ่มสาธิตให้พระองค์ทอดพระเนตร 


 


 


เขาถกคอเสื้อของตนเอง จนเผยลึกไปถึงไขมันหนาๆขาวอวบของตนเอง 


 


 


จากนั้นก็ถกชายกางเกงขึ้นมาถึงต้นขา ใช้มือลูบขึ้นมาตามเรียวขาจนถึงตัก 


 


 


ทางหนึ่งลูบไล้ทางหนึ่งก็ปิดเอวไปด้วย มืออีกข้างก็ไต่ไปตามพระอังสาของจีเฉวียน “ฝ่าบาท ผู้อื่นตั้งแต่ได้เห็นพระองค์เป็นครั้งแรก ทั่วทั้งร่างก็…..” 


 


 


เขาพูดยังไม่ทันจบ จีเฉวียนก็ทรงซัดฝ่ามือออกไป ตบคนผู้นั้นสลบไปในทันที 


 


 


ขอโทษที บังคับมือไม่อยู่จริงๆ พระองค์ทรงขยะแขยงจะแย่แล้ว 


 


 


คนหัวโตสลบเหมือดจนลงไปกองแน่นิ่งอยู่กับพื้นเย็นๆ 


 


 


ฮ่องเต้จึงทรงถอดเสื้อผ้าของเขาออกมาเปลี่ยนกับของพระองค์เอง 


 


 


“เราต้องการหน้ากากใบหนึ่ง ส่งมาก่อนฟ้าสาง” 


 


 


ตรัสแล้ว พระองค์ก็เหลือบพระเนตรไปทางมุมมืด 


 


 


ได้ยินเสียงใบไม้ไหววูบครั้งหนึ่ง ก็เห็นเงามืดหลายเงาโผออกไป 

 

 

 


ตอนที่ 395 พระองค์ติดอยู่ในหมากกระดาน...

 

จีเฉวียนทรงก้มพระพักตร์ลงทอดพระเนตรพระองค์เอง เสื้อผ้าชุดนี้ทั้งหลวมทั้งบางและก็รุ่ยร่าย แทบจะเผยทรวงอกออกมาครึ่งหนึ่ง 


 


 


สายลมยามค่ำคืนพัดเอาความเย็นเข้ามาถึงพระองค์ 


 


 


พระองค์ทรงใส่พระทัยในรูปร่างอยู่เสมอ ดังนั้น อย่างน้อยๆย่อมต้องไม่ถูกนางรังเกียจอย่างแน่นอน 


 


 


ทรงแยกห่างจากนางมานานถึงสามเดือนกับอีกห้าวันแล้ว 


 


 


พระองค์จึงเสด็จมาหานางทั้งกลางดึกเช่นนี้ มาที่ตำหนักหย่งหนิงกง….มองดูนางแต่ไกล 


 


 


นางสูงขึ้นแล้ว ยิ่งทีก็ยิ่งดูเป็นสตรีขึ้นมาทุกทีแล้ว 


 


 


มีอยู่หลายครั้ง ที่พระองค์อยากจะโผไปที่เบื้องหน้าของนาง ถึงแม้จะเป็นเพียงการได้ตรัสแค่สองประโยคก็ยังดี 


 


 


แต่พระองค์ก็ต้องทรงอดทนเอาไว้ก่อน……. 


 


 


การปรากฏตัวของฉางซุนซิ่ว มิใช่เรื่องบังเอิญ……. เบื้องหลังของราชครูยังมีตำหนักซิวหลัวเตี้ยนที่มีอำนาจมั่นคง และมีขุมกำลังที่แข็งแกร่ง ซึ่งแม้แต่พระองค์เองก็ยังทอดพระเนตรไม่ออก 


 


 


‘การคืนชีพ’ ของฉางซุนอิง เกรงว่าคงจะเป็นฝีมือของซิวหลัวเตี้ยนอย่างแน่นนอน 


 


 


หากว่าปล่อยให้ซิงซิงกับฉางซุนอิงอยู่ด้วยกัน ก็ไม่รู้ว่าจะนำเภทภัยใดๆมาให้นางบ้าง 


 


 


หอกในที่แจ้งยังหลบได้แต่ธนูลับยากจะป้องกัน[1] ปล่อยให้นางเป็นฮ่องเต้หญิงอยู่ในแคว้นเหยียนยังปลอดภัยกว่ารั้งนางไว้ที่ต้าโจวมาก 


 


 


ถูกแล้ว…..หลายเดือนมานี้พระองค์กำลังใช้แผนซ้อนแผน ใช้ประโยชน์จางฉางซุนอิง 


 


 


ทรง‘โปรดปราน’ตามใจนางจนแทบจะยกขึ้นฟ้า แล้วก็สืบหาบางสิ่งจากตัวนางไปด้วย ขณะเดียวกันก็ทำให้นางกลายเป็น ‘สนมปีศาจ’ที่มีชื่อเสียงเน่าเหม็นไปทั่ว 


 


 


เรื่องที่ซูเม่ยสูญเสียครรภ์จนต้องไปอยู่ตำหนักเย็น และถูกบีบคั้นจนต้องแขวนคอตาย ต่างก็เป็นแค่เรื่องที่พระองค์กับซูเม่ยร่วมมือกันแสดงเท่านั้น 


 


 


พอซูเม่ย ‘ตาย’ไป พระองค์ก็อาศัยความเอาแต่ใจของฉางซุนอิง จัดการล้างวังหลังจนสะอาดสะอ้าน 


 


 


ทั้งหมดที่พระองค์ทรงทำลงไปทุกวันนี้ ก็เพื่อปูทางในอนาคตสำหรับพระองค์และนางทั้งสิ้น 


 


 


เส้นทางนี้พระองค์ต้องอาศัยความอดทนเข้าไว้ 


 


 


พระองค์ทรงเป็นผู้ที่ร้ายกาจไร้น้ำใจพออยู่แล้ว…. 


 


 


และพระองค์ก็ยังทรงมีสติรู้ตัวดี 


 


 


อาอิงที่แท้จริงเป็นสตรีที่จิตใจดีมีเมตตา……และนางก็ไม่เคยรักพระองค์มาก่อนเลย 


 


 


ความผูกพันระหว่างพระองค์กับนาง คือพี่ชายและน้องสาว 


 


 


ไม่มีทางเป็นความรักใคร่แบบนั้นไปได้…. 


 


 


คนที่ทำให้ ‘นาง’ ‘คืนชีพ’ขึ้นมาผู้นั้น อาจคิดคำนวนเอาไว้ทุกอย่าง แต่คาดไม่ถึงว่า…..ตอนนั้นในใจของนางเฝ้าครุ่นคิดถึงคนผู้หนึ่งอยู่ 


 


 


คนผู้นั้น พระองค์ได้ส่งเขาลงนรกไปเป็นเพื่อนนางตั้งนานแล้ว 


 


 


อาอิงหลงรักคนผิด…..จนเป็นเหตุให้จบสิ้นทั้งชีวิต 


 


 


ดังนั้นนับตั้งแต่วันที่ ‘ฉางซุนอิง’ กลับมาพบพระองค์เป็นครั้งแรก และจุมพิตบาดแผลของพระองค์ จีเฉวียนก็ทรงแน่พระทัยแล้วว่า …..นางมิใช่นางคนเดิม 


 


 


แต่พระองค์มิได้ทรงเปิดเผยออกไปตั้งแต่แรก ทั้งยังลวงอีกฝ่ายต่อไป ทำให้อีกฝ่ายเข้าใจผิดว่าอาอิงมีความผูกพันกับพระองค์อย่างลึกล้ำจริงๆ 


 


 


หมากตัวเดียว ก็สามารถสร้างผลกระทบไปทั่วทั้งกระดาน และแม้แต่คนที่เดินหมากผู้นั้นก็จะต้องถูกกระชากออกมาด้วย 


 


 


ความลับที่ซ่อนอยู่ในนั้น จะต้องเป็นเรื่องที่แม้แต่กระทั่งฉางซุนซิ่วเองก็ไม่รู้มาก่อน 


 


 


เบื้องหลังทั้งหมดนี้ อาจเป็น ‘สำนัก’ ที่ตำหนักซิวหลัวเตี้ยนทุ่มเทความคิดและจิตใจเพื่อสร้างขึ้นมา 


 


 


พระองค์อาจจะทรงติดอยู่ในหมากกระดาน แต่จะต้องป้องกันนางให้อยู่ภายนอก……รอให้พระองค์ทรงสะสางทุกอย่างเรียบร้อบแล้ว จะต้องทรงอธิบายให้นางฟังอย่างชัดเจนอย่างแน่นอน 


 


 


ทุกสิ่งในยามนี้ ให้พระองค์ทรงเสี่ยงเพียงลำพังก็พอ 


 


 


…………………………………… 


 


 


เดี๋ยวนี้ตู๋กูซิงหลันคุ้นเคยกับการตื่นนอนแต่เช้าเพื่อออกว่าราชการแล้ว 


 


 


ทุกๆวันพอฟ้าสางนางก็จะลุกขึ้นจากเตียง พอลืมตาอย่างสะลึมสะลือ ก็สะบัดผ้าห่มออกไปตามความเคยชิน พึ่งจะยื่นเท้าลงไป ข้อเท้าก็ถูกคนคว้าเอาไว้ 


 


 


หืม ไม่ใช่ความอบอุ่นแบบที่คุ้นเคย? 


 


 


นางลืมตาขึ้นมา ก็เห็นว่าเบื้องหน้ามีคนผู้หนึ่งคุกเข่าอยู่ 


 


 


เขาสวมใส่ถุงมือผ้าไหม ในมือกุมข้อเท้าของนางเอาไว้ 


 


 


เขาสวมใส่เสื้อผ้าเนื้อบางที่หลวมและรุ่ยร่าย เผยให้เห็นทรวงอกเกือบครึ่งหนึ่ง 


 


 


เนื่องเพราะเสื้อผ้าหลวมกว้างจนเกินไปพอมองจากมุมของนางจึงสามารถมองเห็นไปถึงองค์เอวที่ผอมบาง และผิวพรรณสีเดียวกับข้าวสาลียิ่งทำให้เกิดเป็นความงามพร้อมจนไม่อาจเปรียบเปรย 


 


 


ตู๋กูซิงหลันชะงักไปครู่หนึ่ง ความง่วงงุนหายไปกว่าครึ่ง 


 


 


ยามนี้นางถึงได้มาพิจารณาดูบุรุษที่คุกเข่าข้างหนึ่งตรงหน้า 


 


 


เขาสวมหน้ากากเอาไว้ใบหนึ่ง หน้ากากใบนี้ออกจะจริงจังเกินไปแล้ว เพราะแม้แต่ดวงตาก็ยังไม่ให้เห็น ได้แต่มองดูลูกกระเดือกของเขาเท่านั้น 


 


 


ตู๋กูซิงหลันจึงยิ่งประหลาดใจกว่าเดิม คนที่มาปรนนิบัตินางในวัง ต่างก็อยากจะให้นางเห็นหน้าค่าตาอยู่ตลอดทุกๆวันด้วยกันทั้งนั้น 


 


 


เรื่องอะไรจะต้องมาปิดหน้าปิดตาไปเพื่ออะไร? 


 


 


นี่เป็นวิธีดึงดูดความสนใจแบบใหม่หรือ? 


 


 


ปิดบังแต่กลับเชื้อเชิญ? 


 


 


นางหรี่ดวงตาลง มองดูเส้นผมที่ปล่อยสยายของเขา มองดูเรือนร่างผอมแต่ก็มิได้ซูบซีด ชั่วขณะนั้นอยู่ๆนางรู้สึกว่ามีความคุ้นเคยบางอย่าง 


 


 


นางชะโงกตัวไปข้างหน้า พลางยื่นมือออกไปช้าๆคิดจะปลดหน้ากากของเขาลงมา 


 


 


กลับกลายเป็นว่าเขาเอนร่างท่อนบนไปทางด้านหลังเล็กน้อย ค่อยเอ่ยกับนางขึ้นมาว่า “ฝ่าบาททรงมีพระวรกายสูงส่ง ข้าเป็นเพียงคนหยาบกระด้าง ไม่เหมาะสมที่จะได้รับสัมผัสจากพระองค์” 

 

 

 


ตอนที่ 396 กล้ามาทำการละเล่นเช่นนี้กั...

 

กล่าวจบแล้วจีเฉวียนก็ทรงเงียบงันไปครู่หนึ่ง  


 


 


พระองค์ก้มพระเศียรลง หลบหนีสายตาของนาง พระหัตถ์ที่กุมชายเสื้อมุมหนึ่งเอาไว้ก็ชักจะสงบนิ่งไม่อยู่แล้ว 


 


 


“หืม?” ริมฝีปากสีแดงฉ่ำของตู๋กูซิงหลันโค้งตัวน้อยๆ ดวงตาดอกท้อเป็นประกายขึ้นมา “ไม่ได้หรือ?” 


 


 


“ฝ่าบาท~” จีเฉวียนทรงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ดึงสาบเสื้อมุมหนึ่งออกเผยให้เห็นเอวสอบ สิ่งที่กระจ่าง 


 


 


อยู่ภายใต้แสงเทียนนั้นเป็นมัดกล้ามที่แข็งแรงสวยงามดึงดูดผู้คน  


 


 


เขาถอนใจยาวครางเสียงอ่อยเอื่อยที่มีเสน่ห์จนทำให้คนต้องจิตใจเตลิดเปิดเปิง 


 


 


ทางหนึ่งดึงทึ้งเสื้อผ้า อีกทางก็ขยับเข้าไปใกล้ตู๋กูซิงหลันอีกนิด  


 


 


เสื้อผ้ารุ่ยร่ายออกมา เผยช่วงหัวไหล่หนากว้างออกมากว่าครึ่ง ชายเสื้อถูกขยุ้มม้วนเอาไว้ เป็นปมปมหนึ่ง 


 


 


จากนั้นก็เห็นพระองค์ใช้หัวไหล่สัมผัสกับเรียวแขนของตู๋กูซิงหลันเพียงเบาๆ “เป็นเพราะรูปร่างของข้าไม่ดีพอหรือไร? ไม่ดึงดูดพระทัยฝ่าบาทบ้างหรือ…..ถึงได้ทรงอยากจะทอดพระเนตรใบหน้าที่หยาบกระด้างนี้?” 


 


 


พอตู๋กูซิงหลันถูกสัมผัสก็รู้สึกขนลุกซู่ขึ้นมาในทันที 


 


 


นางอดที่จะรู้สึกหนาวขึ้นมาไม่ได้ ความหนาวเย็นชนิดหนึ่งกำจายออกมาจากแก่นกระดูก 


 


 


นางถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ดวงตาดอกท้อมีประกายของความแตกตื่น 


 


 


บุรุษที่ขายเรือนร่าง! 


 


 


ทั้งยังเป็นพวกชั้นยอด! 


 


 


“ฝ่าบาท คุณค่าของบุรุษอยู่ที่เรือนร่าง มิใช่ใบหน้า อย่างว่าแต่พอดับเทียนแล้วก็เหมือนๆกันทั้งนั้น ใบหน้านี้ย่อมไม่จำเป็นต้องทอดพระเนตรแล้วกระมัง? รูปร่างของข้านับว่ากระชับแน่นอยู่บ้าง หากไม่ทรงเชื่อก็ลองสัมผัสดูสิพะยะค่ะ” 


 


 


พระองค์ไม่เพียงแต่ทำตามเคล็ดลับที่ได้รับถ่ายทอดมาจากบุรุษหัวโตผู้นั้น แต่ยังเสริมเน้นไปอีกขั้น 


 


 


ตอนนี้เรียกว่าแทบจะแนบร่างติดไปกับตู๋กูซิงหลันแล้ว 


 


 


พระวรกายของจีเฉวียนจะอย่างไรก็ยังคงเย็นฉ่ำ เปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายที่เหน็บหนาวอยู่เช่นนั้น 


 


 


พอทรงเข้าใกล้ ก็ทำให้รู้สึกได้ถึงลมหายใจเย็นๆที่พวยพุ่งออกมา 


 


 


ตู๋กูซิงหลันขมวดคิ้วแนบแน่น ครั้งนี้นางไม่ได้ถอยห่างออกไปแล้ว 


 


 


สายตาของนางเป็นประกายเย็นชาวาวโรจน์ขึ้นมา ฝ่ามือข้างหนึ่งซัดลงไปบนทรวงอกของเขา 


 


 


พอผลักไปทางแท่นบรรทม ก็ทำให้จีเฉวียนทรงล้มลงไปบนเตียงอย่างพอดิบพอดี 


 


 


ทรงทิ้งพระองค์หนักๆลงไปบนเตียง เสื้อผ้าและเส้นผมกระจายอยู่บนฟูก กระดูกไหปลาร้าทั้งสองข้างเผยออกมาอย่างไร้การปิดบัง 


 


 


ดวงพักตร์ที่สวมใส่หน้ากากเอาไว้หันไปข้างหนึ่ง พระองค์ทอดถอนลมหายใจออกมาเบาๆ “ฝ่าบาท พระองค์มีเรี่ยวแรงมากจริงๆ” 


 


 


ฝ่ามือนี้ ตู๋กูซิงหลันมิได้ใช้เรี่ยวแรงมากสักเท่าไหร่ แต่ว่าจีเฉวียนก็ยังทรงรู้สึกได้ถึงขุมพลังหลากหลายที่ผสมผสานอยู่ในนั้น 


 


 


แค่ผ่านไปเพียงไม่กี่เดือน นางก็เปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งขึ้นมาก 


 


 


ตู๋กูซิงหลันยืนอยู่ข้างฟูกที่นอน หลุบตาลงก้มศีรษะลงไป ขนตาที่งามงอนทาทาบจนเกิดเป็นเงา 


 


 


ฮ่องเต้หญิงผู้สูงส่งยืนค้ำอยู่เหนือบุรุษที่นอนทอดกายอยู่บนฟูก 


 


 


นางมิได้สนใจต่อท่าทางที่อ่อนระทวยของเขา ขณะที่เขากำลังจะลุกขึ้นมา นางก็ยกขาขึ้นมาเหยียบลงไปอย่างแรง 


 


 


ฝ่าเท้านี้เหยียบลงไปกลางอกของเขา รองพระบาทปักลายบุปผาสีแดงเพลิงขยี้อยู่บนผิวพรรณของเขา 


 


 


หัวรองเท้าปักเป็นดอกเซาเหยา[1]สีทองดอกหนึ่ง พอปลายเท้าของนางสะกิดเบาๆก็ปัดเสื้อผ้าของเขาจนแหวกออก 


 


 


ดวงตาดอกท้อคู่นั้นสำรวจดูอย่างละเอียดละออ นับตั้งแต่ช่วงหน้าท้องไล่เลียงขึ้นไปเรื่อยๆ 


 


 


สุดท้ายก็ไปหยุดอยู่ที่บริเวณลำคอของเขา ทันทีที่ได้เห็นรอยแผลเป็นจางๆรอยหนึ่ง ดวงตาดอกท้อคู่นั้นก็สาดประกายเย็นยะเยือกออกมาในทันที 


 


 


จีเฉวียนหันพระพักตร์ไปด้านข้าง ได้แต่ปรายพระเนตรเหลือบดูแววตาที่เย็นชาของนาง 


 


 


ถึงตอนนี้พระองค์จึงได้เข้าพระทัยว่า …..ที่ผ่านมานั้นไทเฮาน้อยแห่งต้าโจวได้อดทนปิดกั้นตนเองมามากเท่าไร 


 


 


นางในตอนนี้ ดุดันเย็นชา ราวกับพายุหิมะที่กดทับลงมาจนทำให้ผู้คนแทบจะหายใจไม่ออก 


 


 


จีเฉวียนทรงชะงักไปอยู่บ้าง ทรงเห็นว่าฝ่าเท้าของนางมิได้ขยับไปไหนแม้แต่นิดเดียว ทั้งยังโน้มร่างลงมาเล็กน้อย แทบจะถ่ายเทน้ำหนักทั้งร่างลงมายังพระองค์ 


 


 


นางยื่นมือออกมา ปลายนิ้วขยับน้อยๆ สัมผัสลงไปบนพระหนุ (คาง) 


 


 


“กล้ามาทำการละเล่นเช่นนี้กับเรา?” ริมฝีปากสีแดงฉ่ำของนางเอ่ยออกมาอย่างเย็นชาที่สุด ปลายนิ้วของนางเลื่อนลงไป ปลายเล็บที่แหลมคมไล้ผ่านลูกกระเดือก แทบจะแทรกลงไปใต้ผิวเนื้อ นางเอ่ยออกมาอย่างเย็นชาคำหนึ่ง “เจ้าช่างกล้าดี” 


 


 


จีเฉวียนถูกนางกดเอาไว้ ตัวของนางเบามาก แต่ว่ากลับมีเรี่ยวแรงมหาศาล แทบจะทับลงมาบนพระองค์ทั้งตัว 


 


 


อืม และยังรู้จักเลือกจุดที่จะเหยียบ 


 


 


นางเหยียบลงมาบนปอด ทำเอาคนแทบจะหายใจไม่ออก ทั้งยังกดกระดูกเอาไว้ จนเจ็บลึกลงไปจริงๆแล้ว 


 


 


คำว่า ‘เรา’ ที่เอ่ยออกมาตรงหน้านี้ พอออกจากปากของนาง ทำให้รู้สึกถึงความหยิ่งผยองอย่างอธิบายไม่ถูก 


 


 


จีเฉวียนชะงักไปชั่วครู่ ทรงขยับปลายดัชนีน้อยๆ เอ่ยกับนางว่า  


 


 


“หรือเพราะว่าข้าเผลอทำอะไรลงไป ที่ทำให้ฝ่าบาทไม่สบพระทัย?” 


 


 


 ดูเหมือนว่านางจะไม่ชอบพระองค์อย่างยิ่ง 


 


 


“เฮอะ” ตู๋กูซิงหลันส่งเสียงหัวเราะอย่างเย็นชาออกมาคำหนึ่ง ปลายเล็บยังคงสะกิดลงไปบนรอยแผลเป็นที่อยู่บนพระศอ 


 


 


ปลายเล็บของนางสะกิดเป็นวงกลม แทบจะคว้านลงไปในผิวหนังของพระองค์ จากนั้นก็กระซิบเบาๆลงไปที่ข้างพระกรรณ “รู้หรือไม่ว่าเราชิงชังสิ่งใดมากที่สุด?” 


 


 


“สิ่งสกปรก” 


 


 


แค่สามคำ ทำเอาจีเฉวียนทรงสะท้านจนร่างแข็งไป 


 


 


หมายถึงพระองค์หรอกหรือ? 


 


 


“สิ่งของของข้า ผู้อื่นกลับมาเลียไปคำหนึ่ง แล้วยังจะให้ข้าต้องกลืนลงไป เจ้าว่ามันน่าสะอิดสะเอียนหรือไม่?” 


 


 


นางสะกิดลงไปบนรอยแผลเป็น เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาสุดหยั่ง 


 


 


ที่แท้ก็พูดถึงพระองค์จริงๆ 


 


 


‘สิ่งของของข้า’? 


 


 


นั่นหมายถึงพระองค์ใช่ไหม? 


 


 


หากว่าก่อนหน้านี้ไม่ได้เกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้น …..หรือว่านางเตรียมจะยอมรับพระองค์แล้ว 


 


 


พระทัยของจีเฉวียนตื่นเต้นอย่างครึกโครม ความรู้สึกที่หลากหลายประดังประดาขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียงกัน 


 


 


พระองค์ทั้งตื่นตะลึง ทั้งประหลาดพระทัย ทั้งยินดี และปวดร้าว 


 


 


ความรู้สึกมากมายปะปนกันจนสับสนปนเปไปหมด ยิ่งทำให้พระองค์ทรงชะงักค้างไปทั่วทั้งร่าง 


 


 


ในขณะที่ทรงพระทัยลอยอยู่นั้น หน้ากากบนใบหน้าก็ถูกถอดออกไป 


 


 


ในยามนั้นเองสายลมก็พัดโชยเข้ามา เป่าผ้าม่านให้พลิ้วขึ้นไป ค่อยหล่นลงมาบังพระพักตร์เอาไว้อย่างพอดิบพอดี 


 


 


เผยให้เห็นแต่เพียงแค่แววพระเนตรเท่านั้น 


 


 


ถึงจะมีผ้าโปร่งบางเบาสีแดงมากั้น แต่ก็ทำให้เห็นโฉมหน้าของบุรุษที่งดงามราวภาพแกะสลักได้อย่างชัดเจน  


 


 


จีเฉวียนหันพระพักตร์ไปยังด้านข้าง ยกพระหัตถ์ข้างหนึ่งขึ้นมาบังเอาไว้ 


 


 


พระหัตถ์พึ่งจะขวางเอาไว้ ข้อพระกรก็ถูกตู๋กูซิงหลันคว้าเอาไว้อย่างแน่นหนา 


 


 


มือของนางผอมบาง ไม่อาจกำข้อพระกรได้รอบเสียด้วยซ้ำ แต่ว่ากลับมีพละกำลังมากมาย 


 


 


จับพระองค์เอาไว้อย่างแน่นหนา จนพระองค์ไม่มีโอกาสที่จะหลบหนีไปได้ 


 


 


มืออีกข้างก็เลื่อนขึ้นมาปัดผ้าโปร่งสีแดงผืนนั้นออกไป 


 


 


ภายใต้แสงเทียนอ่อนจาง ดวงหน้านั้นก็ถูกเปิดเผยออกมาตู๋กูซิงหลันขมวดหัวคิ้วแน่น…..ไม่ใช่เขาหรือ? 


 


 


นี่เป็นยอดบุรุษที่งดงามมากผู้หนึ่ง งดงามถึงขนาดที่ว่าแม้แต่เส้นคิ้วและขนตาก็ยังคมคายงดงามและชัดเจน ราวกับดวงจันทราที่กระจ่างอยู่ท่ามกลางสายลม ทั้งๆที่เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเป็นดวงหน้าละมุนที่แสนจะอ่อนโยน แต่ว่ากลับให้ความรู้สึกที่เย็นชาจนหนาวเหน็บออกมา 


 


 


ราวกับว่าป่ายปีนขึ้นมาจากขุมนรกที่เย็นยะเยือกสุดหยั่ง 


 


 


หน้าตากับบรรยากาศที่ออกมาจากตัวเขาช่างตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง! 


 


 


นางคว้าข้อมือของเขาเอาไว้ คิดจะสัมผัสถึงไอหยางจากร่างกายของเขา 


 


 


แต่ว่ากลับไม่รู้สึกถึงเลยสักนิด 


 


 


นี่มันเรื่องอะไรกัน? 


 


 


นางจับจ้องไล่เรียงเขาด้วยสายตาเย็นชา พยายามจะขุดหาตำหนิจากใบหน้านี้ออกมาให้ได้ 


 


 


ดวงตาของเขาดำขลับ และลึกล้ำ คล้ายดั่งไม่อาจมองเห็นก้นบึ้งทั้งยังทำให้คนเหน็บหนาวไปจนถึงกระดูก 


 


 


“คิดไม่ถึงว่าฝ่าบาท….จะทรงโปรดข้ามากถึงขนาดนี้” พระองค์ยังคงนอนทอดกาย มองดูนางอยู่เช่นนั้น 


 


 


ระยะห่างระหว่างทั้งสองน้อยมาก จนลมหายใจกระทบใส่ใบหน้าของอีกฝ่าย  ในตำหนักบรรทมนี้เงียบเชียบเสียจนแม้เข็มตกก็คงจะได้ยิน 


 


 


ทำให้ได้ยินแม้กระทั่งเสียงพระทัยของพระองค์ที่เต้นดัง ‘ตึก…ตึก….ตึก….’ 


 


 


ตู๋กูซิงหลันหรี่ดวงตามองดูเขา นางยื่นมือไปหยิกแก้มของเขา 


 


 


แต่ก็ไม่สามารถดึงหนังหรือแผ่นหน้ากากใดๆออกมาได้…… 


 


 


ในที่สุดนางก็ลุกขึ้นยืน กวาดตามองดูเขาใหม่อีกรอบ “เจ้าเป็นใครกันแน่?” 


 


 


“เนี่ยซิง ชายบำเรอคนใหม่ของฝ่าบาท” 

 

 

 


ตอนที่ 397 เรียกเราว่าฮ่องเต้หญิง

 

จีเฉวียนลุกขึ้นประทับนั่ง พลางจัดแจงเสื้อผ้าอย่างช้าๆ 


 


 


ใต้หล้านี้มีวิชาแปลงโฉมอยู่ชนิดหนึ่ง ที่หากมองด้วยตาเปล่าย่อมไม่อาจแยกแยะได้ และต่อให้ใช้มือสัมผัสก็ตรวจสอบไม่พบ 


 


 


ช่างบังเอิญ…..ที่พระองค์ทรงเป็นวิชานี้อยู่ 


 


 


ดังนั้นก่อนมายังตำหนักหย่งหนิงกงจึงได้ทรงตระเตรียมพระองค์เอาไว้ถึงสองขั้น 


 


 


แต่พระองค์คาดไม่ถึงว่า เมื่อปิดบังใบหน้าทั้งหมด จนเหลือแต่เพียงแค่ลูกกระเดือกแล้ว นางจะยังคงสงสัยในตัวพระองค์ได้อีก 


 


 


หรือว่าวิชาแปลงโฉมที่ลึกล้ำ เมื่ออยู่ต่อหน้านางกลับยังเผยพิรุธออกมา 


 


 


………………. 


 


 


พระเกศากลุ่มหนึ่งปัดผ่านพระศอ ปิดบังรอยแผลเป็นบนพระศอเอาไว้ 


 


 


จีเฉวียนทรงพลาดไปแล้ว……นี่เป็นบาดแผลที่ได้รับจากการมาแคว้นเหยียนเมื่อครั้งก่อน บาดแผลลึก ทิ้งเป็นรอยแผลเป็นที่จะอย่างไรก็ไม่หาย 


 


 


ตอนนี้พระองค์ถึงได้ทรงคิดได้ว่า ตอนนั้นที่ถูก ‘ฉางซุนอิง’ สัมผัสที่ตรงนี้ ….. ได้ทิ้งร่อยรอยที่ไม่อาจลบล้างเอาไว้ในใจของนาง 


 


 


นางยังคงโกรธอยู่ เนื่องเพราะห่วงและหวงจึงได้โกรธ 


 


 


พระทัยของจีเฉวียนสับสนวุ่นวายไปหมดแล้ว 


 


 


ความรักที่พระองค์มีให้ตู๋กูซิงหลัน ไม่ใช่แต่เพียงคำพูดเท่านั้น แต่ยังคิดจะปกป้องนาง ปกป้องนางให้ปลอดภัยที่สุด 


 


 


เส้นทางในอนาคตของพระองค์กับนาง ให้พระองค์เป็นผู้กรุยทางขึ้นมาก็พอแล้ว 


 


 


ก่อนที่จะได้พบกับนาง พระองค์ไม่เคยต้องคำนึงถึงผลใดๆที่จะตามมา…. 


 


 


ฮ่องเต้ที่กำเนิดขึ้นมาจากความมืดมิด แต่ไหนแต่ไรย่อมต้องโหดเ**้ยมเจ้าเล่ห์อยู่แล้ว 


 


 


ดังนั้นรอยประทับจูนั่น พระองค์จึงไม่เคยใส่พระทัยเลยเสียด้วยซ้ำ 


 


 


แต่มิได้ทรงคิดว่านางจะ… 


 


 


พระองค์มองดูตู๋กูซิงหลัน เห็นดวงตาของนางวาวโรจน์ด้วยความคลางแคลงและขุ่นเคือง 


 


 


พระองค์เสด็จลงจากแท่นบรรทมตรงไปยังเชิงเทียน เป่าเทียนดับลงและยกเชิงเทียนขึ้นมา 


 


 


ปลายที่แหลมคงของเชิงเทียนกรีดลงไปบนพระศอในทันที บาดรอยแผลเป็นนั้นจนเหวอะหวะอีกครั้ง 


 


 


แผ่นหนังชิ้นหนึ่งถูกเฉือนออกมา โลหิตสดๆไหลนอง 


 


 


จากนั้นค่อยหันไปทางตู๋กูซิงหลัน “ฝ่าบาททรงชิงชังรอยแผลเป็นบนคอของข้า….แผลนั้นต่อไปนี้จะไม่มีอีกแล้ว” 


 


 


ขณะที่โลหิตจากพระศอไหลผ่านไหปลาร้าลงไปยังพระอุระ พระขนงของพระองค์กลับไม่ได้ขมวดเลยด้วยซ้ำ  


 


 


เสื้อผ้าชุดขาวที่หลวมกว้างตัวนั้นถูกย้อมสีไปแถบใหญ่จนดูบาดตา 


 


 


“พอมีเนื้อใหม้ขึ้นมา ก็จะสะอาดแล้ว” 


 


 


พระองค์จดจ้องไปยังนาง กดความคิดถึงสุดพระทัยนั้นลงไป 


 


 


ตู๋กูซิงหลันมองดูแผ่นหนังชิ้นใหญ่ในมือของเขา ประกายจากดวงตาดอกท้อตื่นตะลึง กระทั่งความคุกรุ่นเมื่อครู่ก็สงบลง 


 


 


นางไม่ได้เอ่ยอะไรทั้งสิ้น 


 


 


เพียงแต่หันร่างกลับไป หยิบเอาฉลองพระองค์ฮ่องเต้หญิงออกมาจากตู้เสื้อผ้าในห้องบรรทม จัดการสวมใส่ด้วยตนเอง 


 


 


ปลายนิ้วขาวสะอาดละเอียดนวลยื่นออกมาจากแขนเสื้อฉลองพระองค์สีแดงเล็กน้อย บนเอวที่บอบบางคือเข็มขัดที่ทำจากทองคำและหยก 


 


 


จีเฉวียนจับจ้องไปยังนาง ด้วยความต้องการจะช่วยนางสวมเครื่องแต่งตัว 


 


 


แต่เพราะพระหัตถ์เปรอะเปื้อนไปด้วยพระโลหิต จึงได้แต่รั้งพระองค์เอาไว้ห่างๆ 


 


 


ได้แต่ทอดพระเนตรไปเรื่อยๆ จนพระทัยลอย 


 


 


นิ้วของนางบอบบางเหมือนดั่งต้นหอม ปลายเล็บเคลือบด้วยสีแดงเข้มของดอกเทียน 


 


 


สายรัดเอวสีแดงเข้มทาบอยู่บนปลายนิ้วมือ ช่างดึงดูดสายตาอย่างบอกไม่ถูก 


 


 


เมื่อสายรัดเส้นบางๆถูกผูกจนเสร็จเรียบร้อย มือของนางถึงได้หยุดลง นางถึงได้ปรายตากลับมา ขนตาที่ทั้งยาวและหนาของนางกระพริบครั้งหนึ่ง 


 


 


“ฮ่องเต้สุนัข” 


 


 


อยู่ๆนางก็เอ่ยขึ้นมาคำหนึ่ง 


 


 


ปฏิกริยาที่จีเฉวียนมีออกไปในทันทีก็คือ เสียง ‘หือ’ 


 


 


ทันทีที่สิ้นเสียง ก็เห็นนางเงยหน้าขึ้นมา ดวงตาเป็นประกายเย็นชาสุดหยั่ง 


 


 


ทั้งเย็นยะเยือกและแหลมคม 


 


 


“ไม่เล่นละครต่อไปแล้ว?” ปลายนิ้วที่บอบบางของนางพันอยู่บนเกลียวผม พอสายตามองไปยังพระองค์ แส้เส้นหนึ่งก็พุ่งออกมาจากข้างเอว 


 


 


แส้สีแดงฉาน! ที่เข้ากันกับฉลองพระองค์ของนาง 


 


 


“วิชาแปลงโฉม หรือมนต์ลวงตา? ตอนที่เรายังเล่นละครเหล่านั้นอยู่ เกรงว่าเจ้ายังเล่นโคลนอยู่เลย!” 


 


 


แค่ถ้อยคำเย็นชาประโยคเดียว ก็ตัดเส้นทางที่จีเฉวียนคิดจะไม่ยอมรับไปจนหมดสิ้น 


 


 


คำก็เรา สองคำก็เรา ช่างเอ่ยได้อย่างคล่องปากนัก 


 


 


ตำแหน่งฮ่องเต้หญิงนี้ พอได้เป็นถึงได้รู้ว่าช่างสุขสบายกว่าไทเฮาน้อยมากนัก 


 


 


แววพระเนตรของจีเฉวียนเปี่ยมไปด้วยความประหลาดพระทัย 


 


 


นางสวมใส่ชุดแดงทั้งร่าง เส้นผมดำยาวดุจน้ำตก กระทั่งแสงเทียนที่อ่อนโยนก็ยังไม่อาจกลบเกลื่อนราศีอันองอาจของนางลงไปได้ 


 


 


หากเปรียบเทียบกับไทเฮาน้อยที่สามารถประจบประแจงได้อย่างคล่องแคล่วแล้วราวกับว่าเป็นคนละคนกันเลยทีเดียว 


 


 


นี่จึงจะเป็น…..ตัวจริงของนาง 


 


 


งดงามบาดตา มอมเมาผู้คน! 


 


 


ตู๋กูซิงหลันถือแส้หนังเอาไว้ในมือ พอเกิดเสียงตวัดออกไปครั้งหนึ่งแส้ก็พุ่งใปยังพระหัตถ์ของจีเฉวียน 


 


 


เชิงเทียนในมือถูกกระชากออกไป น้ำตาเทียนสาดลงไปบนพื้น กระจายไปทั้งแถบ 


 


 


“ตระเตรียมมาถึงสองชั้น แต่ก็ยังไม่อาจลวงเจ้าได้” จีเฉวียนถึงกับพระสรวลออกมา “ซิงซิง ในใจของเจ้ามีเราอยู่ เป็นยอดดวงใจ” 


 


 


ตู๋กูซิงหลันสะบัดแส้ออกไปในทันที ปลายแส้ตวัดลงไปบนแผ่นหลังของพระองค์ เรียกโลหิตออกมาแถบหนึ่ง 


 


 


“คนตอแหล หุบปากเสีย!” 


 


 


ที่เขาว่ากันว่า ลมปากบุรุษลวงหลอกได้กระทั่งผีสาง! 


 


 


ก็คือคนอย่างจีเฉวียนนี่ไง! 


 


 


ตอนนี้พอตู๋กูซิงหลันเห็นเขา ในหัวก็มีแต่ภาพยามที่เขากับฉางซุนอิง…… 


 


 


เกือบไปแล้ว อีกนิดเดียวนางก็จะทำตามความรู้สึก ยอมอยู่ร่วมกับเขาโดยไม่สนใจอาการเจ็บหัวใจที่ปวดจนเกือบถึงตายนั้นแล้ว 


 


 


ได้เห็นธาตุแท้แต่แรกก็ถือว่าดีเหมือนกัน 


 


 


จีเฉวียนถูกแส้ของนางโบยตรงๆ พระองค์มิเพียงไม่หลบแต่ยังไม่ส่งเสียง เอาแต่ยอมรับเอาไว้ 


 


 


พระองค์อ้าพระโอษฐ์ขึ้นมา แต่ก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายให้นางฟังอย่างไรดี 


 


 


ทรงยืนอยู่ที่เดิม บนหน้าผากมีแต่เหงื่อบางๆชั้นหนึ่ง 


 


 


ในแส้ของนางแฝงเอาไว้ด้วยพลังจิตและพลังของไอหยิน ทำให้คนเจ็บปวดสุดทนทาน ไม่เพียงแต่เจ็บปวดแต่ยังส่งความเย็นสุดขั้วชนิดหนึ่งแทรกผ่านผิวหนังเข้าไปในเนื้ออีกด้วย 


 


 


พอพระองค์เงียบ ตู๋กูซิงหลันก็กระชากแส้กลับไป 


 


 


นางนั่งลงตรงหน้ากระจกทองแดงบานใหญ่ เท้าข้างหนึ่งพาดอยู่บนเก้าอี้ มือข้างหนึ่งเท้าคางเอาไว้ มืออีกข้างกำแส้ สายตาก็มองมาที่จีเฉวียน 


 


 


“ส่งองครักษ์ลับมาคอยสอดส่องความเคลื่อนไหวในวังของเรา จับตาดูเราอยู่ทุกวัน วันนี้ก็ยังวิ่งมาถึงที่นี่แปลงโฉมเป็นชายบำเรอ เจ้าคิดจะวางแผนขุดหลุมพรางอันใดกับเราอีก?” 


 


 


ดวงตาดอกท้อดูนั้นจดจ้องมายังพระองค์ 


 


 


เมื่อมายังโลกใบนี้ นางได้เปลี่ยนจากความระแวงในตัวจีเฉวียนกลายเป็นความไว้เนื้อเชื่อใจ 


 


 


จากที่สะสมมาทีละนิดๆ ก็กลายเป็นถูกทำลายลงจนหมด 


 


 


ตอนนี้จีเฉวียนในสายตาของนาง ก็เป็นแค่จิ้งจอกเฒ่าที่เห็นหัวไม่เห็นหาง ในปากไม่เคยมีความจริงใดๆทั้งนั้น 


 


 


นับตั้งแต่ที่นางขึ้นครองราชย์มา ลูกเล่นเล็กๆน้อยๆที่จีเฉวียนวางเอาไว้ในวังหลวงของแคว้นเหยียน…….นางได้ตรวจสอบอย่างละเอียดหมดแล้ว 


 


 


เขายังคงทำตัวเป็นพยัคฆ์ซุ่มคอยจับตาดูจากด้านข้างมาตลอด 


 


 


“ข้าไม่ได้ขุดหลุมพราง” ในที่สุดจีเฉวียนก็ยอมอธิบายออกมาประโยคหนึ่ง 


 


 


อ๋อ…..คราวนี้ไม่เรียกตัวเองเป็นเราแล้วรึ 


 


 


ที่ผ่านมาเขาเรียกตัวเองเป็นเราอยู่ตลอด ทำเอานางเกิความคุ้นเคยอยู่เหมือนกัน 


 


 


“ซิงซิง…..” พระองค์ตรัสเรียกนาง ชื่อนี้อยากจะเรียกไปอีกนับพันๆครั้ง 


 


 


แต่พอตอนนี้เอ่ยออกมา กลับออกจะอึดอัดอยู่บ้าง 


 


 


พึ่งจะเอ่ยพระโอษฐ์ ตู๋กูซิงหลันก็สะบัดแส้ออกมาอีก ฟาดลงไปบนกระดูกสะบักของพระองค์ จนเกิดแถบโลหิตหนาเท่านิ้วโป้งอีกเส้น 


 


 


ผิวหนังถลอกออกไป โลหิตไหลโชกชุ่ม 


 


 


“เราไม่ได้สนิทกับเจ้า!” 


 


 


จากนั้นนางก็ส่งสายตาเย็นชาไปให้เขา “จงเรียกเราว่าฮ่องเต้หญิง!” 


 


 


จีเฉวียน “ทูลฮ่องเต้หญิง พวกเราเคยกอดกัน เคยจูบกัน นับว่าสนิทสนม” 


 


 


“หากยังไม่ถือว่าสนิทสนมละก็……ภายหน้ายังสามารถใกล้ชิดขึ้นไปได้อีกขั้นหนึ่ง” 


 


 


จะฟาดก็ฟาดไปเถอะ ต่อให้โดนนางฟาดโบยอีกหลายครั้งก็ยังไม่ทำให้พระองค์ตายไปได้ 


 


 


ฮ่องเต้ทรงคิดเช่นนี้อยู่ในพระทัย 


 


 


“หน้าไม่อาย!” ตู๋กูซิงหลันยกแส้ขึ้นมาอีกครั้ง 


 


 


พอนึกถึงเรื่องที่ผ่านมา นางก็รู้สึกว่าสมองของตนเองถูกลาถีบใส่! 


 


 


“มือข้างนี้ฟาดจนเมื่อยแล้ว จะเปลี่ยนเป็นอีกข้างหน่อยไหม?” จีเฉวียนทรงเตือนนางอย่างใส่พระทัย 


 


 


ทั้งๆที่แผ่นหลังยังแสบร้อนจนถึงกระดูกอยู่แท้ๆ แต่พระองค์ก็ยังอดทนเอาไว้ 


 


 


ทั้งยังถอดเสื้อตัวบนที่หลวมกว้างออกมาจนเกลี้ยงเกลา 


 


 


เผยให้เห็นเรือนร่างที่เปี่ยมไปด้วยกล้ามเนื้อ ผิวพรรณสีข้าวสาลียิ่งกระะจ่างตา แผ่นอกและหน้าท้องที่มีแต่กล้ามเนื้อที่สมบูณณ์ชัดเจนทั้งแปดส่วนกลับเปรอะเปื้อนไปด้วยโลหิต กลายเป็นความงามภายใต้ความโหดเ**้ยมที่บรรยายไม่ถูก 


 


 


เจ้าสุนัขผู้นั้นยังคงเอ่ยอีกว่า “ถอดเสื้อผ้าออกเสียเลย เจ้าจะได้ฟาดได้ถนัดมือกว่าเดิม” 

 

 

 


ตอนที่ 398 ตัวร้ายลึก

 

หมัดที่ชกลงไปบนนุ่นนั้นให้ความรู้สึกเช่นนี้ไง? 


 


 


ยามนี้ตู๋กูซิงหลันก็ได้รู้แล้ว 


 


 


ฟาดโบยเขาอย่างโหดเ**้ยมไปรอบหนึ่ง เขายังจะมาถามว่านางเจ็บมือบ้างหรือไม่ นี่มันน่าเจ็บใจหรือไม่เล่า? 


 


 


นางคันมือขึ้นมาแล้ว! 


 


 


พอฟาดโบยต่อเนื่องกันไปอีกสองแส้ ทรวงอกของเขาก็เพิ่มแถบโลหิตขึ้นมาอีกสองรอย 


 


 


จีเฉวียนทางหนึ่งทนรับเอาไว้ อีกท่านหนึ่งก็ตรัสกับนางว่า “เรื่องพวกนั้น เอาไว้เราจะอธิบายให้เจ้าฟังอย่างละเอียด” 


 


 


“ทูลฮ่องเต้หญิงซิงซิง ข้ารักเจ้า ตั้งแต่แรกเริ่มจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เคยเปลี่ยน” 


 


 


ทางหนึ่งก็กอดแสงจันทราในดวงใจ ทางหนึ่งก็มาบอกรักนาง? 


 


 


ตู๋กูซิงหลันอยากจะหัวเราะแล้ว 


 


 


พอฟาดไปหลายแส้เข้า นางก็คร้านจะโบยเขาอีกต่อไป สิ้นเปลืองพละกำลังเสียเปล่า 


 


 


ในเมื่อพละกำลังสิ้นเปลืองไปกับกองนุ่น ก็ไม่มีความหมายอะไรอีกต่อไป 


 


 


นางพิงลงไปบนเก้าอี้ เสยเส้นผมสยายลงมาช้าๆ ท่อนขาที่เรียวยาวพาดอยู่บนที่เท้าแขนอย่างตามสบาย 


 


 


ดวงตาจับจ้องไปทางเขาอย่างเย็นชา “อย่าได้เอ่ยเรื่องไร้สาระ ใต้หล้านี้คนที่หลงรักข้ามีอยู่มากมาย ไม่จำเป็นจะต้องเป็นเจ้า” 


 


 


“แต่ว่าข้ารักแต่เพียงเจ้าเท่านั้น” ทั่วทั้งร่างของจีเฉวียนมีแต่โลหิต ทั้งยังมีแต่บาดแผลเต็มไปหมด ทำให้เขาเหมือนดั่งตัวน่าสงสารที่ถูกรังแกทั้งเป็น 


 


 


ในตำหนักบรรทมไม่มีผู้อื่นอยู่อีก ด้วยพละกำลังของเขาย่อมเหนือกว่านางอย่างเกินพอ 


 


 


แต่ว่าเขาก็ยังคงเป็นเช่นดังแต่ก่อน 


 


 


ไม่ยอมโต้ตอบใดๆทั้งนั้น 


 


 


พอได้ฟังแล้ว ตู๋กูซิงหลันก็หัวเราะออกมาในทันที นางปิดปากเบาๆ ดวงตาดอกท้อที่เย็นชาคู่นั้นมีแต่ความเย้ยหยัน “เก็บคำรักพวกนั้นไปเถอะ เราไม่อยากจะฟัง” 


 


 


ก่อนหน้านั้นเขาก็เป็นเช่นนี้ คำหวานมีเป็นชุด 


 


 


แต่ว่าเขาเคยทำเรื่องใดให้เห็นจริงๆบ้างเล่า? 


 


 


ตู๋กูซิงหลันจดจำไม่ได้แล้ว…….. 


 


 


วันนั้นตอนที่อยู่บนกำแพงเมือง นางเคยให้โอกาสเขาได้อธิบาย 


 


 


แต่ว่าสุดท้ายแล้วเขาก็ไม่ได้พูดอะไร ทั้งยังพาฉางซุนอิงกลับไปต้าโจวต่อหน้าต่อตาของนาง 


 


 


ของสกปรก นางทิ้งเสียก็เป็นอันจบ 


 


 


ตอนนี้ยังจะให้นางเก็บกลับมาหรือ? ฝันไปเถอะ 


 


 


ยามปกติคนอย่างตู๋กูซิงหลันนั้นย่อมเป็นคนที่ไร้น้ำใจ พอดีกับใครขึ้นมาก็แทบจะยกขึ้นไปให้ถึงสวรรค์เลย 


 


 


แต่พอมีเรื่องให้ปวดใจขึ้นมาครั้งหนึ่ง ต่อให้เป็นสุสานของบรรพชนทั้งสิบแปดรุ่นของเจ้าก็จะขุดขึ้นมาให้หมด 


 


 


และตอนนี้นางก็กำลังเป็นอย่างหลังนั้นอยู่ 


 


 


………………………. 


 


 


ที่ด้านนอกตำหนักหย่งหนิงกง เหล่า ‘ชายบำเรอ’ที่มีเฉาโหยวเฉียวเป็นแกนนำกำลังแอบมองดูอยู่แต่ไกล 


 


 


เนื่องเพราะอยู่ห่างมากจึงฟังได้ไม่ชัดว่าฮ่องเต้หญิงกับชายบำเรอคนใหม่กำลังพูดกันเรื่องอะไร 


 


 


เห็นแต่ว่าแต่ละแส้ที่ฟาดออกมานั้นช่างดุเดือดรุนแรงอย่างยิ่ง 


 


 


“คุณชายเฉา……คนที่ท่านหามาครั้งนี้ ช่างทนทายาดดีแท้! กระทั่งขนาดนี้แล้วก็ยังไม่เปลี่ยนสีหน้า?” 


 


 


เหล่าพี่น้อยชายบำเรอต่างก็พากันแปลกใจ 


 


 


ไม่รู้ว่าคนมาใหม่ผู้นั้นทำเรื่องอะไรให้ฝ่าบาททรงขุ่นพระทัย 


 


 


นับตั้งแต่ที่พวกเขาเข้าวังมา ฝ่าบาทก็มีแต่ด้านที่นุ่มนวลอยู่เสมอ แม้แต่ถ้อยคำแรงสักคำก็ยังไม่เคยตรัสกับพวกเขา 


 


 


อย่าว่าแต่จะลุกขึ้นมาทุบตีผู้คนเลย 


 


 


ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้รับความโปรดปราน แต่ว่าก็ทรงปฏิบัติตอบอย่างดีอยู่เสมอ 


 


 


“พวกเจ้าจะไปเข้าใจอะไร? นี่เรียกว่าหยอกเย้า!” คุณชายเฉาที่เปลี่ยนเป็นชุดสุภาพเรียบร้อยแล้วถลึงตาให้คนด้านหลัง 


 


 


“เจ้าไม่เคยเห็นฝ่าบาททรงทุบตีพวกเขามาก่อนใช่หรือไม่? ที่ตบตีเช่นนี้เรียกว่าตีเพราะรัก คนอย่างสหายเนี่ยซิงนั้น ข้าจะบอกให้พวกเจ้าฟัง ต่อให้เสาะหาจนทั่วแคว้นเหยียนก็ไม่มีคนที่สองอีกแล้ว” 


 


 


“พวกเราจะสามารถไปต่อได้อย่างยืนยาวหรือไม่ ก็ต้องดูที่การแสดงออกของสหายเนี่ยซิงแล้ว!” 


 


 


ทุกคนต่างก็ยอมฟังคำพูดของเฉาโหยวเฉียน 


 


 


เนื่องเพราะต่อให้พวกเขารวมตัวร่วมมือกันแล้วก็ยังไม่อาจต่อกรกับซูเยาได้เลย ดังนั้นได้แต่เสาะหาคนที่มีกำลังพอฟัดพอเหวี่ยวกันมาแย่งชิงความโปรดปรานแล้ว 


 


 


คราวนี้ผู้คนทั้งหลายต่างก็แอบเอาใจช่วยจีเฉวียนอย่างเงียบๆ 


 


 


…………….. 


 


 


“เฮอะ เฮอะ เฮอะ” เพียงแค่ครู่เดียว ก็ได้ยินเสียงหัวเราะอย่างเย็นชาลอยมาจากด้านหลัง 


 


 


เหล่าหนุ่มน้อยทั้งหลายต่างก็หันหน้ากลับไปด้วยอาการขนลุกชัน พอเบือนหน้าไป สิ่งที่ปรากฏขึ้นในสายตาคือสีแดงเพลิงกลุ่มหนึ่ง 


 


 


สองมือของเขาซ่อนอยู่ภายใต้แขนเสื้อตัวกว้าง ดวงตาสุนัขจิ้งจอกคู่นั้นทั้งเย้ายวนและชั่วร้าย 


 


 


ยามอยู่ต่อหน้าของตู๋กูซิงหลัน รอยยิ้มของเขาอ่อนหวานจนคนแทบจะถูกเชื่อมตาย 


 


 


แต่ว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าเหล่าชายบำเรอ รอยยิ้มของเขาก็ปรากฎเขี้ยวสีขาวยาวๆออกมา 


 


 


เขี้ยวของซูเยาทั้งขาวสะอาด ยาวและแหลมคมกว่าผู้อื่น หากว่าบนศีรษะเพิ่มใบหูสัตว์ขึ้นมาละก็ จะยิ่งดูเหมือนสุนัขจิ้งจอกอย่างแน่นอน  


 


 


ตอนนี้ เขาคลี่ยิ้มของมารร้ายออกมา ทำเอาเหล่าหนุ่มน้อยทั้งหลายต่างพากันขนหัวลุก 


 


 


“เหล่าฉากหลังทั้งหลาย ดูท่ายามปกติข้าจะปล่อยปละละเลยพวกเจ้ามากไปเสียแล้วละมั้ง?” 


 


 


เหล่าชายบำเรอ “…..” นี่ พวกเขามีชื่อมีแซ่นะ 


 


 


“คนที่ไม่เชื่องสมควรถูกกินให้เรียบ~”เขาหรี่ดวงตาลงราวกับสตว์ป่าที่พร้อมจะล่าเหยื่อ 


 


 


เหล่าชายบำเรอทั้งหลายต่างก็ใจหายวาบ อยู่ๆในใจก็เกิดความหวาดกลัวขึ้นมา 


 


 


จากนั้นก็เห็นเจ้าจิ้งจอกผู้นั้นโฉบไปโฉบมาเพียงสองสามแวบก็หายลับไปจากสายตาของพวกเขาพุ่งเข้าไปในตำหนักบรรทม 


 


 


…………….. 


 


 


ภายในตำหนักบรรทม 


 


 


จีเฉวียนหอบร่างที่มีแต่บาดแผล เขยิบเข้าไปหาตู๋กูซิงหลันอีกสองก้าว 


 


 


พระองค์เสด็จเข้ามาก้าวหนึ่ง ปากแผลก็ฉีกออกขึ้นไปอีก โลหิตไหลรินมากกว่าเดิม 


 


 


ตอนนี้พระองค์ปรารถนาจะอยู่ใกล้นางอีกนิด บาดแผลทั่วร่างเพียงแค่นี้ย่อมไม่อาจขัดขวางไปได้ 


 


 


พอเพิ่งจะขยับเข้าไปใกล้นาง ก็เห็นเงาร่างสีแดงสายหนึ่งพุ่งเข้ามาในตำหนักหย่งหนิงกง 


 


 


ยามที่ซูเยาบิดร่างทิ้งเอวเดินเข้ามานั้น ชุดสีแดงบนร่างพลิ้วไปกับสายลม สายตาของเขาไม่ได้เหลือบดูจีเฉวียนเลยแม้แต่น้อย ร่างสีแดงโฉบเข้าไปหาตู๋กูซิงหลันดั่งโบยบินคิ้วโก่งโค้งดวงตาก็เป็นประกาย  


 


 


“อาหลัน นี่คือ?” 


 


 


พอมาถึงข้างกายตู๋กูซิงหลัน เขาถึงได้กวาดสายตามองไปยังจีเฉวียน 


 


 


ดวงตาจิ้งจอกคู่นั้นเผยความไม่สบอารมณ์ออกมาเล็กน้อย ขณะเดียวกันก็ยกมือขึ้นไปลูบปอยผมทัดไว้หลังใบหูให้กับตู๋กูซิงหลัน 


 


 


เขากวาดตาดูรูปโฉมของจีเฉวียนอย่างรวดเร็ว แต่ก็กลับจดจำไม่ออก 


 


 


ตู๋กูซิงหลันเก็บแส้ภายในมือ เอ่ยเสียงราบเรียบว่า “ฮ่องเต้สุนัขข้างบ้าน” 


 


 


ซูเยา “……” 


 


 


เรียกตรงๆถึงเพียงนี้? 


 


 


พอเขาหันไปมอง ก็เห็นว่าจีเฉวียนเองก็กำลังมองมาเช่นกัน 


 


 


ดวงเนตรคู่นั้นอาบไปด้วยหมอกโลหิตชั้นหนึ่ง ไอสังหารเข้มข้น 


 


 


ซูเยาหรี่ดวงตาลง หันหน้ากลับไป กล่าวกับตู๋กูซิงหลันว่า “ถึงจะส่งเข้าประตูมา แต่หากไม่ต้องการก็คือไม่ต้องการมิใช่หรือ?” 


 


 


“หากโบยไปรอบแล้วยังไม่หายโกรธละก็ เช่นนั้นก็โบยสักสองรอบเป็นอย่างไร?” 


 


 


ว่าแล้ว เขาก็ปลดแส้ของตนเองให้กับตู๋กูซิงหลัน นั่นเป็นแส้ที่ทำจากเหล็กกล้า บนแส้ยังมีหนามเล็กๆมากมาย หากโดนฟาดไปสักรอบเกรงว่ากระทั่งเลือดเนื้อก็คงถูกกระชากออกมจนหมด 


 


 


ความทรมานเป็นที่คาดคิดได้ 


 


 


เขายิ้มแย้มอย่างร่าเริง “โบยเสร็จแล้วก็จับขังเอาไว้ พอเจ้านึกขึ้นมาได้ก็สั่งสอนสักรอบหนึ่ง เจ้าฮ่องเต้ผู้นี้มิใช่ตัวดี ทำให้อาหลันขุ่นเคือง ย่อมต้องจ่ายค่าตอบแทน” 


 


 


ตู๋กูซิงหลันรับแส้ของเขามา นางเหลือบเห็นแววตาที่ร้ายกาจของเขา 


 


 


เดิมทีพอเจ้าจิ้งจอกน้อยปรากฏตัว นางยังคิดจะเบามือรักษาน้ำใจเอาไว้บ้าง เพราะว่าอย่างไรเขาก็เคยเป็น ‘พระสนม’ ของจีเฉวียนมาก่อน 


 


 


ทั้งยังรักอย่างลุ่มลึกจนถึงขั้นยอมกลายเป็นหวงกุ้ยเฟยอยู่ในวัง 


 


 


แต่ตอนนี้พอดูแล้ว เหมือนจะเป็นว่า รักยิ่งลึกล้ำ ความแค้นก็ยิ่งหนักหนากว่านางเสียอีก? 


 


 


ท่าทางที่สงบเสงี่ยมแต่จริงๆกลับร้ายลึกเช่นนี้ ทำให้คนเกลียดไม่ลงจริงๆ 


 


 


จีเฉวียนทอดพระเนตรดูซูเยาด้วยแววตาที่เย็นยะเยือกราวกับดาบที่พร้อมจะเชือดเฉือน 


 


 


เขาลืมข้อตกลงระหว่างพวกเขาไปแล้วหรือ? 


 


 


หากว่าจริง…..ก็ถือว่าเป็นจิ้งจอกใจคดตัวหนึ่ง 


 


 


โดนฟาดโบยถือว่าเป็นเรื่องเล็ก แต่พอเห็นเขาเข้ามาสนิมสนมใกล้ชิดกับตู๋กูซิงหลัน พระทัยของจีเฉวียนกลับเหมือนจะระเบิดออก 


 


 


พระองค์แย้มสรวลออกมาจางๆ “ซิงซิง ไม่ต้องรู้สึกสำนึกผิดหรอก เราหนังหนา เนื้อเยอะตีไปก็ไม่ตาย” 


 


 


ตรัสแล้ว ก็หันไปสบตากับซูเยาครั้งหนึ่ง “แต่กลับเป็นหย่งเฉิงอ๋องสามีภรรยา ที่มากบอกกับเราว่า บุตรชายของพวกเขาหายสาปสูญไป ตอนนี้ดูท่าแล้ว เป็นเรื่องโกหกกระมั้ง?” 

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)