ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น 391-398

 ตอนที่ 391 ความพยายามมักเกิดขึ้นเสมอ


อู่เหมยไม่ได้เป็นเหมือนเมื่อก่อนที่คอยเอามีดแทงซ้ำ แต่เธอทำตัวเป็นแค่หญิงสาวสวยสง่า ความพยายามของเธอมันเกิดผลแล้ว ความสัมพันธ์คู่สามีภรรยาของเหอปี้อวิ๋นและอู่เจิ้งซือในตอนนี้เปราะบางยิ่งกว่าแผ่นกระดาษ


อีกทั้งอู่เจิ้งซือยังจงใจซื้อเตียงเหล็กเส้นเข้ามาไว้ในห้องของเขาเองด้วย เหอะๆ!


สำหรับอู่เยวี่ยแล้ว คะแนนตกต่ำไปไกลมาก อีกทั้งนิสัยใจคอของเธอก็ได้เปลี่ยนไปอย่างแปลกประหลาด ดีร้ายไม่แน่นอน ไม่สามารถเปรียบเทียบกับอู่เยวี่ยสมัยก่อนได้เลย พูดง่ายๆ ก็คือเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคนกัน


แต่อย่างไรอู่เหมยก็ไม่ได้ตั้งใจจะปล่อยอู่เยวี่ยไปง่ายๆ ยัยผู้หญิงคนนี้ร้ายเสียยิ่งกว่างูพิษร้อยเท่า ต้องรีบจัดการตอนที่เธอยังไม่โตเต็มที่ แล้วถอนเขี้ยวอาบพิษออกมาอย่างไร้ความสงสารเห็นใจ เพื่อไม่ให้เธอได้มีโอกาสกลับตัวอีกต่อไป


“เอ๊ะ! พี่คะ บนตัวพี่มีกลิ่นอีกแล้ว พี่รีบไปอาบน้ำเถอะค่ะ ตอนนี้ในบ้านเต็มไปด้วยกลิ่นของพี่!”


อู่เหมยปิดจมูกและถอยหลังออกห่างจากเธอเล็กน้อย หัวคิ้วของอู่เจิ้งซือเริ่มผูกกันแน่น จากตอนแรกเขาก็ไม่ได้รู้สึกอะไร แต่พออู่เหมยทักท้วงขึ้น กลิ่นเหม็นแปลกๆ ก็ได้ลอยเข้าแตะจมูก พอสูดเข้าไปแทบทำให้เวียนหัว


อู่เยวี่ยมีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เธอก้มหัวลงและดมสำรวจตัว แต่ก็ไม่ได้กลิ่นอะไรเลย แต่หัวคิ้วที่ผูกกันแน่นของอู่เจิ้งซือได้เป็นเครื่องพิสูจน์ทุกอย่างที่ชัดเจน นั่นจึงทำให้อู่เยวี่ยนึกถึงคำพูดของเพื่อนในห้องเมื่อตอนบ่ายที่ทุกคนต่างเย็นชาต่อเธอ จนเธอต้องจมเงียบไปจนถึงก้นบึ้งของใจ


“พ่อคะ ทั้งที่วันนี้หนูไม่มีสอบแต่ทำไมถึงยังมีกลิ่นเหม็นๆ นี่ล่ะ? ทำไมถึงเป็นแบบนี้?”


อู่เยวี่ยพูดขึ้นกับตัวเองอย่างเจ็บปวด ไม่ใช่ว่าช่วงก่อนสอบถึงจะมีอาการเครียดก่อนเหรอ?


แต่เธอไม่มีสอบแล้ว ทำไมถึงยังมีกลิ่นเหม็นอยู่?


อู่เหมยนึกดีใจอย่างมาก เหม็นหรือไม่เหม็นไม่ได้เกิดจากการสอบ แต่เกิดจากเธอต่างหาก


ไม่เชื่อว่าตัวเองมีอาการทางจิตไม่ใช่เหรอ ถ้าอย่างนั้นอีกสองวันค่อยให้คุณชายฉิวฉีดพรมน้ำหอมให้ แล้วมาดูกันว่าจะทนได้ไหม?


“พ่อคะ หรือว่าอาการของพี่จะกำเริบหนักขึ้น? ดังนั้นช่วงเวลาปกติถึงได้มีกลิ่นตัว โถ่! ถ้างั้นก็ต้องมีกลิ่นตัวแบบนี้อยู่ทุกวัน หนูยังจะกินข้าวได้อีกไหมเนี่ย!”


อู่เหมยบีบจมูตัวเองและเอาแต่บ่น เมื่อเห็นสีหน้าที่ไม่น่ามองของอู่เจิ้งซือ เธอจึงพอใจและกลับห้องตัวเองไป พร้อมกับอุ้มคุณชายฉิวที่อยู่ในลิ้นชักออกมาหอมแรงๆ ฟอดใหญ่


“ฉิวฉิว คืนนี้แกไปฉีดเพิ่มหน่อยนะ ทำให้ยัยชั่วนั่นตัวหอมฟุ้งไปทุกวัน”


คุณชายฉิวสะบัดหางไปมาอย่างไม่ชอบใจ และร้องขึ้นอย่างไม่พอใจ และใช้นิ้วของมันชี้ไปตรงปาก


อู่เหมยจึงรีบพูดเพื่อสงบศึก “ฉิวฉิวอย่าเพิ่งใจร้อน พี่หมิงซุ่นรับปากพี่แล้วว่า พรุ่งนี้จะพาไปหาของในที่ดีๆ ที่เขาเคยพูดเอาไว้ ที่นั่นมีของดีมากกว่าที่ตลาดหนานสุ่ย พวกเราต้องหาของดีๆ เจอแน่”


“ต๊อก ต๊อก”


พูดแบบนั้นออกไปถึงทำให้ฉิวฉิวพอใจ มันจึงแกะลูกกวาดหนึ่งเม็ดออกมากิน มีเพียงแค่ของล้ำค่าอีกไม่กี่ชิ้น ความสามารถของมันก็จะกลับคืนมาได้ไวขึ้น และมันเองก็จะสามารถช่วยเจ้านายของมันจัดการกับยายผู้หญิงชั่วนั่น


อู่เจิ้งซือรับรู้ได้ถึงความรุนแรงของอาการของอู่เยวี่ยแล้ว เขาตัดสินใจแล้วว่าสัปดาห์นี้จะต้องพาอู่เยวี่ยไปเข้ารับการตรวจที่โรงพยาบาล เมื่อสองวันก่อนเขาได้ติดต่อกับเพื่อนเก่าสมัยเรียนไว้แล้ว เพื่อนคนนี้ได้แนะนำจิตแพทย์สำหรับเด็กและเยาวชนให้กับเขา ซึ่งเป็นคนที่มีความสามารถมากที่สุดในเมือง


พอใกล้ถึงเวลาทานมื้อเย็น สยงมู่มู่จึงลงมาเรียกอู่เหมย บอกว่าพ่อของเขาทำอาหาอร่อยๆ ไว้ แล้วเรียกให้เธอขึ้นไปกินด้วยกัน แน่นอนว่าอู่เจิ้งซือไม่มีทางปฏิเสธ และรับปากด้วยความยินดี


เฮ่อเหวินจิ้งก็อยู่ที่บ้านตระกูลสยง เมื่อจ้าวอิงหนานเห็นอู่เหมยจึงลากตัวเธอมา แล้วหยิกไปที่แก้มไม่กี่ครั้งอย่างหมั่นเขี้ยว เอาแต่เรียกร้องเพื่อให้อู่เหมยเต้นรำให้เธอดู


“เหวินจิ้งบอกว่าลูกเต้นได้งดงามราวกับเทพธิดา เหมยเหมยไหนลองเต้นให้แม่ดูหน่อย” จ้าวอิงหนานรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก


อู่เหมยจึงทำได้เพียงยอมเต้นภายในห้องรับแขกของบ้านตระกูลสยง เป็นเพราะร่างกายของเธออ่อนมาก อีกทั้งเธอยังมีความสามารถสูง ท่าทางยากๆ เธอก็สามารถทำมันออกมาได้ดี ก่อนที่เฮ่อเหวินจิ้งจะปรับแก้ท่วงท่าของเพลง เธอได้เลือกตกแต่งการร่ายรำด้วยแขนเสื้อแบบยาว ซึ่งคนที่ไม่มีพื้นฐานการเต้นรำมาก่อนไม่มีทางที่จะเต้นออกมาได้


แต่อู่เหมยกลับเรียนรู้ได้อย่างสบายๆ หากไม่เป็นเพราะรูปร่างที่เล็กของเธอ เฮ่อเหวินจิ้งก็อยากจะคิดท่วงท่าที่ยากกว่านี้ขึ้นอีก!


…………………………………………………………………………………………..


ตอนที่ 392 มีแม่คอยปกป้อง มักจะไม่มีใครกล้ารังแก


ห้องรับแขกของบ้านตระกูลสยงไม่ได้กว้างมาก อู่เหมยจึงไม่ได้แสดงออกอย่างเต็มที่นัก เธอทำได้แค่เต้นอยู่กับที่ได้เพียงแค่ไม่กี่ท่า หมุนรอบตัวได้ไม่กี่ครั้ง ถึงแม้จะไม่มีชุดสำหรับการเต้น แต่ลักษณะท่าทางที่มีเสน่ห์ของเธอก็ทำให้ทุกคนต้องตกตะลึง


อีกอย่างหนึ่งที่พวกเขาคิดเหมือนกันคือ เกรงว่าอู่เหมยหมุนตัวไปเรื่อยๆ จนหมุนขึ้นไปยังสวรรค์แล้วกลายเป็นนางฟ้า


“งดงามมาก อู่เหมย หนูเสียเวลาเรียนวาดรูปแล้วล่ะ หรือไม่งั้นต่อไปนี้เปลี่ยนมาเรียนเต้นดีไหม? เดี๋ยวแม่จะหาครูที่เป็นนักเต้นแนวหน้าระดับประเทศมาสอนเอง ดีไหม?”


จ้าวอิงหนานกอดอู่เหมยด้วยความรักใคร่ และเธอเองก็ไม่ได้ล้อเล่นด้วย เธออยากให้อู่เหมยเรียนเต้นจริงๆ เด็กผู้หญิงเรียนเต้นดีจะตาย อีกทั้งยังสามารถรักษาหุ่นไว้ได้ด้วย นั่นทำให้มีอุปนิสัยที่ดีได้


เหมือนกับเธอในตอนนี้ที่ไม่ได้ฝึกเต้น กระดูกร่างกายแข็งไปหมดจนไม่เหลือความยืดหยุ่นใดๆ รอบเอวก็หนาขึ้นมาหลายนิ้ว เป็นสิ่งที่น่าเสียดายมากสำหรับเธอ


“ยัยหมูขี้เกียจ!”


สยงมู่มู่ด่าเธอไปประโยคหนึ่งด้วยความสลดใจ ฟ้าดินต่างเป็นพยานว่าเขานั่งมองอู่เหมยข้ามผ่านท่าเต้นยากๆ นั้นได้อย่างง่ายๆ สบายๆ ในใจของเขาเศร้าสลดดั่งกรดในน้ำส้มสายชู


พระเจ้าประทานหมูน้ำแดงมาให้หนึ่งจาน แต่เธอกลับไม่อยากกิน แล้วจะให้คนที่ไม่มีหมูน้ำแดงกินอย่างเขารู้สึกอย่างไร?


อู่เหมยทำหน้ายักษ์ส่งไปให้เขา เมื่ออยู่ในบ้านตระกูลอู่เธอมักจะรู้สึกผ่อนคลายที่สุด ไม่มีความขวยเขินแม้แต่น้อย จ้าวอิงหนานและสามีก็ชอบเธอในแบบที่ไม่ต้องเสแสร้งแกล้งทำ แต่พอเห็นว่าเธอไม่ได้อยากเรียนเต้น จึงไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาอีก


คนเราจะโลภมากหลายใจเกินไปก็ไม่ดี ใจจดใจจ่อต่อการเรียนวาดรูปเพียงอย่างเดียวก็ดีเหมือนกัน


“ถ้าอย่างนั้นไว้แม่จะหาครูดีๆ สักคนมาให้ ความสามารถของครูเฮ่อไม่ค่อยสูงนัก อย่าเสียเวลาเลย” จ้าวอิงหนานมองเฮ่อเหวินจิ้งอย่างไม่ชอบใจ


เฮ่อเหหวินจิ้งไม่ได้โกรธเคือง แต่กลับพูดด้วยรอยยิ้ม “เรื่องนี้คงไม่ต้องให้พี่หนานเป็นห่วงหรอกค่ะ ฉันหาครูดีๆ มาให้อู่เหมยแล้ว หลังจากช่วงตรุษจีนอู่เหมยก็ต้องไปเรียนกับเขาที่นั่น”


“ใครเหรอ?” จ้าวอิงหนานถาม


“พี่หนานเองก็รู้จักค่ะ เขาคือคุณสวี การประกวดครั้งก่อนเขาก็เข้ามาเป็นกรรมการ ตอนนั้นเขาเองก็ชื่นชอบเหมยเหมยมาก ยังบอกอีกว่าเด็กคนนี้มีไหวพริบ ตอนที่ฉันเข้าไปคุยเรื่องนี้กับเขา เขาตอบตกลงโดยไม่พูดอะไรเลยล่ะ ฉันจึงตัดสินใจจะให้เหมยเหมยไปเรียนกับเขาที่นั่น”


จ้าวอิงหนานไม่ค่อยพอใจต่อคุณสวีสักเท่าไหร่ เธอคิดบางอย่างแล้วพูดออกมา “คุณสวีหากพูดอย่างฝืนๆ ก็ถือว่าผ่านเกณฑ์ แต่เสียอยู่อย่างหนึ่ง เหมยเหมยลูกลองไปเรียนกับคุณสวีที่นั่นก่อน หลังตรุษจีนที่ครูเฮ่อกลับเมืองหลวงจะลองถามให้ แล้วก็หาครูที่ดีกว่านี้มาให้หนู”


อู่เหมยใจเต้นตุบๆ อย่างไม่เป็นจังหวะ เธอเคยได้ยินเฮ่อเหวินจิ้งพูดมาก่อนว่า คุณสวีเป็นรองประธานแห่งสมาคมวาดภาพของเมืองจิน และก็เป็นอาจารย์นักวาดภาพที่มีชื่อเสียงระดับประเทศ


เมื่อก่อนเธอไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะสามารถเข้าเป็นศิษย์ของอาจารย์ที่มีชื่อเสียงแบบนี้ เพราะสำหรับเธอแล้วดูจะเป็นเรื่องที่ไกลตัวมาก


แต่ในตอนนี้จ้าวอิงหนานกลับบอกว่าหากพูดอย่างฝืนๆ คุณสวีก็ถือว่าผ่านเกณฑ์เท่านั้นเองหรือ?


และก่อนหน้านี้ยังบอกอีกว่าจะหาครูที่เป็นนักเต้นแนวหน้าระดับประเทศมาให้อีก คำพูดของแม่ก็ไม่เบาเลยนะเนี่ย!


ราวกับเฮ่อเหวินจิ้งไม่ได้แปลกใจต่อคำพูดของจ้าวอิงหนานเลย เธอยิ้มและพูดขึ้น “ตอนแรกแค่อยากให้อู่เหมยเรียนพื้นฐานจากคุณสวี ฉันเลยบอกคุณสวีว่าแม่บุญธรรมของอู่เหมยคือพี่หนาน คุณสวีรู้เข้าจึงบอกว่าตัวเขาเองไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นครูของอู่เหมยได้ แต่หากได้สักครึ่งหนึ่งก็คงจะเป็นได้”


จ้าวอิงหนานได้ฟังดังนั้น ใบหน้าก็ปรากฏให้เห็นรอยยิ้มแสดงความพึงพอใจ


แต่ใจของอู่เหมยนั้นกลับเหมือนถูกซัดสาดอย่างหนักหน่วง ฟังดูแล้วฐานะของจ้าวอิงหนานต้องไม่ธรรมดาแน่!


“แม่คะ ตระกูลของแม่นี่เก่งมากเลยใช่ไหมคะ?” อู่เหมยคิดยังไงก็คิดไม่ออก จึงได้ถามออกไปตรงๆ


จ้าวอิงหนานหัวเราะฮ่าๆ และหยิกแก้มของอู่เหมยไปอีกหลายครั้ง “ก็ธรรมดาแหละ แต่ต่อไปนี้มีแม่คอยปกป้อง จะไม่มีใครกล้ารังแกหนูอีก!”


…………………………………………………………………………………………..


ตอนที่ 393 คุณเหมือนกับน้าสะใภ้ของหนูมาก


แม้ว่าจ้าวอิงหนานจะไม่ได้พูดออกมาให้ชัดเจน แต่อู่เหมยก็พอจะดูออกว่าที่บ้านของจ้าวอิงหนานต้องไม่ธรรมดา ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นข้าราชการระดับพลเรือนในเมืองหลวง ไม่แปลกเลยที่เหอปี้อวิ๋นพยายามสรรหาวิธีต่างๆ ยัดเยียดให้อู่เยวี่ยเข้ามาที่นี่!


“ขอบคุณค่ะแม่!”


อู่เหมยขอบคุณและส่งยิ้มให้กับจ้าวอิงหนาน ทำตามเป้าหมายได้สำเร็จเมื่อไหร่เธอจะต้องทดแทนบุญคุณของจ้าวอิงหนานทั้งสองสามีภรรยาให้ได้


จ้าวอิงหนานลูบหัวของอู่เหมยไปมา ในสายตาเต็มไปด้วยความรักใคร่เอ็นดู ทางฝั่งพ่อสยงได้ยกกับข้าวออกมา ซึ่งกับข้าวมีความหลากหลายและหรูหรา จ้าวอิงหนานคีบกุ้งให้อู่เหมยตัวหนึ่ง “กุ้งดีต่อเด็กๆ เหมยเหมยกินเยอะๆ หน่อย อีกหน่อยยังต้องเพิ่มความสูง”


สยงมู่มู่กระซิบกระซาบที่ข้างหูของอู่เหมย “ครั้งนี้อู่เยวี่ยสอบได้ลำดับที่สามสิบห้า กลับไปถึงบ้านเธอได้ร้องไห้ไหม?”


อู่เหมยเองก็กระซิบตอบ “ทรมานเสียยิ่งกว่าการร้องไห้ พ่อกับแม่ฉันก็ทะเลาะกัน ตอนนี้พ่อไม่ได้สนใจต่อคะแนนของอู่เยวี่ยแล้ว แต่อาจจะเป็นห่วงเรื่องสภาพจิตใจของอู่เยวี่ย เพราะช่วงนี้ฉันเห็นพ่อยืมหนังสือพวกจิตวิทยากลับมาเยอะมาก”


สยงมู่มู่เองก็ทราบเรื่องนี้ดี เขารู้ว่าที่อู่เยวี่ยท้องเสียนั้นเกิดจากการกระทำของอู่เหมย แต่เขากลับไม่รู้ว่าที่อู่เยวี่ยมีกลิ่นตัวเหม็นนั้นเป็นพราะอู่เหมย จึงได้พูดขึ้น “ยาระบายพวกนั้นต่อไปนี้เธออย่าทำอีก หากว่าพ่อเธอรู้เข้า จะเหลืออะไรดีๆ ให้เธออีก”


อู่เหมยสบถออกมาครั้งนึงพรางพูด “ฉันทำไปในครั้งนั้นแค่ครั้งเดียว หลังจากนั้นฉันก็ไม่ได้ทำอะไรอีก อู่เยวี่ยมีปัญหาทางจิต แล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉันล่ะ!”


สยงมู่มู่ไม่ค่อยเชื่อสักเท่าไหร่ เขาจึงจ้องอู่เหมยอย่างสงสัย ยายแสบนี่มีสีหน้าใสซื่อจริงใจ ดูแล้วก็ไม่เหมือนกับโกหก การที่อู่เยวี่ยยังมีกลิ่นตัวเหม็นกระชากวิญญาณนั่นเป็นสิ่งที่อู่เหมยไม่มีทางทำได้


ดูเหมือนว่าอู่เยวี่ยน่าจะมีปัญหาทางจิตจริงๆ เพราะครั้งแรกที่เธอสอบก็ท้องเสีย เพราะอย่างนั้นช่วงหลังจากที่สอบไปเธอเองก็มีสภาพจิตที่แตกต่างออกไปจากเดิม ต่อให้อู่เหมยไม่ได้สร้างเรื่องบ้าๆ อะไร อู่เยวี่ยก็จะท้องเสียอยู่ดี และอาการยังคงรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ


สยงมู่มู่ไม่ถูกชะตากับอู่เยวี่ยแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว เมื่อมั่นใจว่าอู่เหมยไม่ได้ใช้ยาระบาย เขาจึงไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก อู่เหมยจึงรู้สึกโล่งใจไป พูดโกหกต่อหน้าเพื่อนนี่เป็นอะไรที่อึดอัดเอามากๆ


“พวกนายจะไปเลี้ยงฉลองตรุษจีนที่เมืองหลวงเหรอ?” อู่เหมยตั้งใจเปลี่ยนหัวข้อสนทนา


“อืม ปีนี้ครอบครัวของอาฉันจะกลับมา ยากที่คุณตาของฉันจะได้มีโอกาสนัดรวมตัวกัน เพราะงั้นต้องกลับไปอยู่แล้ว!” สยงมู่มู่หวังให้ถึงช่วงวันหยุดฤดูหนาวเร็วๆ เพราะเขาไม่ได้เจอกับน้าสาวมานานหลายปีแล้ว


และเขาจะบอกกับน้าสาวด้วยว่า อู่เหมยมีหน้าตาที่คล้ายกับเธอมาก


“น้าสาวของนายไม่อยู่ที่เมืองหลวงเหรอ?” อู่เหมยถามออกไปเรื่อยเปื่อย


“อืม คุณอาของฉันทำงานอยู่ทางภาคใต้ แต่เพราะน้าสาวของฉันร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง อากาศทางภาคใต้ไม่ดีต่อสุขภาพ ” สยงมู่มู่อธิบาย


“คุณอากับคุณน้าของนายต้องรักกันมากแน่ๆ เลย”


แม้ว่าอู่เหมยจะไม่เคยเจอสามีภรรยาคู่นี้ แต่พอได้ฟังแบบนี้เธอก็รู้ได้เลยว่าสามีภรรยาคูนี้ต้องรักใคร่กลมเกลียวกันมาก เหมือนกับคู่สามีภรรยาของจ้าวอิงหนาน


“แน่นอนสิ ไม่ต้องพูดหรอกว่าคุณอาและคุณน้ารักกันมากแค่ไหน ขนาดแม่ของฉันเห็นยังรู้สึกหึงหวงเลย และมักจะบอกให้พ่อฉันเรียนรู้วิธีจากคุณอาบ้าง” สยงมู่มู่หัวเราะและพูดขึ้น


อู่เหมยเองที่ได้ฟังก็หัวเราะตาม ดวงตาและหางคิ้วต่างโค้งยิ้มไปด้วย ไฝสีแดงที่ถูกแสงไฟสาดส่องยิ่งทำให้สีดูสดขึ้น ในตอนนี้ใจของสยงมู่มู่เริ่มสั่นเครือ เขาจึงอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้น “แต่พูดตรงๆ เลยนะ เธอคล้ายกับน้าสาวของฉันมาก ใบหน้ารูปไข่ ดวงตากลมโต และยังมีไฝเม็ดนี้ด้วย น้าของฉันก็มีเหมือนกัน แต่ของน้าจะเอียงๆ หน่อย”


สยงมู่มู่มองไปยังหว่างคิ้วของอู่เหมย แล้วเทียบดูคร่าวๆ แถมยังถือโอกาสหยิกแก้มเธอ มันช่างนุ่มนิ่มเกลี้ยงเกลาเสียจริง มิน่าล่ะที่แม่ของเขามักจะชอบหยิกแก้มเธอเสมอ ให้ความรู้สึกดีต่อสัมผัสมือมาก


อู่เหมยจ้องมองเขาด้วยสายตาดุดัน แล้วลูบวนที่หน้าผากตัวเอง ในใจเธอเกิดความรู้สึกแปลกๆ ขึ้น


ทำไมถึงมีคนที่หน้าตาเหมือนเธอ?


หรือว่าชาตินี้มีคนที่หน้าตาเหมือนเธออยู่หลายคนงั้นเหรอ?


…………………………………………………………………………………………..


ตอนที่ 394 หญิงสาวในความฝัน


ตกกลางดึกอู่เหมยได้ฝันถึงบางสิ่งอย่าง ในฝันมีหมอกขาวโพลนปกคลุมหนาแน่น ราวกับเป็นดินแดนแห่งสรวงสวรรค์ เธอเดินวนไปทั่วทุกทิศอยู่ในกลุ่มหมอกเมฆขาวเพื่อพยายามหาทางออก แต่ทำอย่างไรก็หาไม่เจอ


“ลูก ลูกแม่ มาหาแม่ทางนี้สิจ๊ะ!”


มีเสียงอบอุ่นเอื้ออาทรเปล่งออกมาจากที่ไกลๆ อู่เหมยจึงเอาแต่ตามหาเสียงนั้น ทันใดนั้นกลับมองเห็นหญิงสาวที่แสนงดงามปรากฏอยู่ตรงหน้า บนหางคิ้วฝั่งซ้ายมีไฝสีแดงสดหนึ่งเม็ด หญิงสาวผู้นั้นกางแขนออกกว้างพร้อมกับกวักมือเรียกหาเธอไม่หยุด


“รีบเข้ามาเร็ว ลูกแม่”


อู่เหมยรับรู้ได้ถึงความอบอุ่นและความรู้สึกสนิทสนมจากตัวของหญิงสาวผู้นี้ เธอวิ่งเข้าไปโดยไม่คิดแม้แต่น้อย และเธอยังเรียกหญิงสาวว่า ‘แม่’ ด้วยใจที่รู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก


ในที่สุดเธอก็ได้พบกับแม่แท้ๆ ของตัวเอง ทั้งสวยทั้งอ่อนโยน ไม่เป็นดั่งหญิงชั่วอย่างเหอปี้อวิ๋นเลยสักนิด


แต่เธอกลับวิ่งไปได้เพียงแค่ไม่กี่ก้าว ตัวของเธอกลับถูกใครบางคนดึงรั้งเอาไว้ เหอปี้อวิ๋นถือไม้ขนไก่โผล่ออกมาและตะโกนด่าเธอเสียงดัง “ฉันคลอดแกออกมา เลี้ยงแกเองกับมืออย่างลำบาก ทำไมยายชั่วนั่นถึงเป็นแม่ของแกไปได้? กลับมาช่วยฉันทำงานเดี๋ยวนี้!”


อู่เจิ้งซือก็ปรากฏตัวขึ้นและช่วยดึงเธอไว้อีกข้าง “เหมยเหมย ขนาดอีกายังรู้ที่จะกลับรังดูแลพ่อแม่มัน ทำไมลูกถึงได้ทำตัวต่ำเสียยิ่งกว่าสัตว์แบบนี้ กลับมาทดแทนบุญคุณที่พวกเราอบรมเลี้ยงดูเดี๋ยวนี้!”


ทั้งสองคนดึงรั้งอู่เหมยไว้อย่างเหนี่ยวแน่น ไม่ว่าอู่เหมยจะทำอย่างไรก็ไม่สามารถหลุดพ้นได้ เธอทำได้แค่ตะโกนเรียกหาหญิงสาวชุดขาว “แม่คะ ช่วยหนูด้วย!”


อู่เหมยตื่นขึ้นมาจากฝันอย่างฉับพลันด้วยความตื่นตกใจ เธอมีเหงื่อไหลไคลย้อยพรั่งเต็มตัวจนเกิดความหนาวเหน็บ ทำให้รู้สึกราวกับจะเป็นไข้ เธอจึงเลือกที่จะมุดตัวเข้าไปในผ้าห่มและกอดตัวเองเอาไว้ให้แน่น นั่นถึงทำให้รู้สึกอุ่นขึ้นมา


สิ่งที่เกิดขึ้นในฝันเมื่อครู่เป็นเหมือนกับเรื่องจริงมาก จนถึงตอนนี้เธอก็ยังไม่สามารถลืมมันไปได้ ในฝันนั้นชัดเจนมาก ไม่เหมือนกับความฝันในครั้งก่อนๆ ที่เธอมักลืมมันไปจนหมด


หากว่าหญิงสาวชุดขาวผู้นั้นเป็นแม่ของเธอจริงๆ คงจะดีเอามาก ดูจากลักษณะของเธอช่างอบอุ่นใจ เธอคงเป็นดั่งแม่ที่พร้อมให้แต่ความรักใคร่เอ็นดู


ใจของอู่เหมยเต้นระรัว เธอจึงหยิบเสื้อคลุมมาห่มไว้แล้วเลือกที่จะเดินลงจากเตียงไป จากนั้นได้หยิบเอากระดาษและปากกาออกมาวาดรูป ไม่นานหญิงสาวในความฝันก็ปรากฏขึ้นบนกระดาษแผ่นนั้น ใบหน้าเรียวเล็กดูน่าทะนุถนอม มีดวงตากลมโตที่เต็มไปด้วยความสุข ส่วนหางคิ้วมีไฝสีแดงสดอยู่ อีกทั้งส่วนคิ้วที่มีสีดกดำสนิทดั่งความเศร้าโศก ก็ได้ถูกเธอวาดออกมา ภาพวาดตรงหน้าคล้ายคลึงกับหญิงสาวในความฝันทุกประการ


เธอวางปากกาวาดรูปลงด้วยความพึงพอใจ และนำเอาภาพเหมือนที่วาดเสร็จเก็บลงไปในลิ้นชัก จากนั้นจึงมุดตัวกลับเข้าไปในผ้าห่มจนพลอยหลับไปอีกครั้ง พรุ่งนี้นัดกับเหยียนหมิงซุ่นไปดูของมีค่า จะต้องทำตัวให้มีชีวิตชีวาเข้าไว้


ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น ในเขตรัฐบาลแห่งเมืองๆ หนึ่งทางตอนใต้ มีหญิงสาวผู้แสนงดงามกำลังตื่นขึ้นมาจากฝัน บนหน้าผากโชนไปด้วยเม็ดเหงื่อที่ผุดไหล ใบหน้าของเธอมีความตกใจเล็กน้อย ปะปนความเจ็บปวด


“ซินหย่า ฝันร้ายอีกแล้วเหรอ?”


ชายวัยกลางคนที่อยู่ข้างกายของเธอตื่นขึ้นทันที เขากอดภรรยาเอาไว้ในอ้อมกอดและคอยลูบตบเบาๆ ที่แผ่นหลังของเธอ ในดวงตาของเขาปรากฏความวิตกกังวลอยู่


หลายปีมานี้สุขภาพร่างกายของภรรยาเขาไม่ได้ดีขึ้นเลย มีแต่จะแย่ลงเรื่อยๆ แพทย์บอกว่าเธอเจ็บปวดภายในจิตใจ แต่จะต้องใช้ยารักษาใจเท่านั้น ต่อให้เปี่ยนเซวี่ยหรือฮว่าถัว[1]ยังอยู่บนโลกนี้ ก็ไม่มีทางรักษาภรรยาของเขาให้หายได้


แต่ยารักษาใจของภรรยาเขาไม่อยู่แล้วนี่นา!


ลูกสาวของเขาช่างน่าสงสารนัก ลืมตาดูโลกได้ไม่นานก็ถูกสวรรค์เรียกกลับไปเสียแล้ว เพราะเหตุนี้ภรรยาของเขาจึงรู้สึกผิด เธอเอาแต่โทษตัวเองมาเป็นเวลานานกว่าสิบสองปี เธอมักจะคิดเสมอว่าเป็นเพราะความไม่ระวังของเธอจึงทำให้ลูกสาวของเธอต้องตาย


จากเดิมที่ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงอยู่แล้ว ยิ่งในใจคิดไม่ตกอยู่แบบนี้ จึงทำให้สุขภาพของภรรยาเขาแย่ลงไปในทุกวัน หากยังเป็นแบบนี้ต่อไป เกรงว่า…


จ้าวอิงหัวเจ็บปวดทรมานเป็นอย่างมาก เขาโอบกอดภรรยาไว้แน่น ราวกับกลัวว่าเธอจะบินหนีไป


“อิงหัว ฉันฝันเห็นเสี่ยวเหมยเหมยของเราอีกแล้ว เธอโตขึ้นแล้ว แล้วก็สูงประมาณนี้ด้วย เธอหน้าตาน่ารักมาก งดงามราวกับเทพธิดาตัวน้อย”


เหยียนซินหย่าพูดด้วยความดีใจ แค่ครู่เดียวเธอกลับต้องเศร้าลงและทำได้เพียงทอดถอนหายใจออกมาเบาๆ ความฝันอย่างไรก็ต้องคืนสู่ความฝัน ทุกอย่างมันเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา เสี่ยวเหมยเหมยจะเติบโตได้อย่างไร?


…………………………………………………………………………………………..


[1] แพทย์ที่มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์จีน


ตอนที่ 395 ลูกสาวในความฝันได้เติบโตแล้ว


ในใจของจ้าวอิงหัวเองก็ไม่ได้รู้สึกดี หากตอนนั้นไม่เป็นเพราะเขา ซินหย่าคงไม่ต้องแบกท้องโตๆ กลับไปคลอดด้วยตัวคนเดียวหรอก?


เธอต้องตกระกำลำบากตลอดทาง และยังมีแต่ความวิตกกังวล กินนอนก็ไม่สะดวก รอบตัวยังมีแต่ครอบครัวที่ใจดำอำมหิต เขาคิดไม่ตกเลยว่าภรรยาผ่านช่วงเวลาเหล่านั้นมาได้อย่างไร?


ทั้งหมดคือความผิดของเขา ภรรยาแค่คนเดียวยังปกป้องไม่ได้ เขานี่ช่างไม่เป็นสุภาพบุรุษเอาเสียเลย!


“อิงหัว พรุ่งนี้ฉันจะไปที่ศาลเจ้าใหญ่เพื่อจุดธูปขอพรให้กับเหมยเหมย ในฝันฉันได้ยินเสียงเหมยเหมยเอาแต่เรียกให้ช่วย คุณว่าทางฝั่งนั้นจะมีคนรังแกเหมยเหมยหรือเปล่า?”


ใบหน้าของเหยียนซินหย่าแสดงออกถึงความกังวล ก่อนหน้านี้เธอเองก็มักจะฝันถึงลูกสาวเสมอ แต่นั่นก็เพียงเด็กแบเบาะนุ่งผ้าอ้อม และเป็นเหมือนหยกแกะสลัก เธอจึงทำได้เพียงแค่ส่งยิ้มให้เสมอมา แต่ความฝันในครั้งนี้กลับต่างออกไป ลูกสาวของเธอโตขึ้นแล้ว อีกทั้งยังร้องเรียกให้เธอช่วย ลูกสาวเธอต้องถูกคนอื่นรังแกเป็นแน่ บนโลกนี้มีคนใจดำอำมหิตราวกับอีกาอยู่ไม่น้อย ไม่แน่ว่าเบื้องบนก็อาจจะมีเช่นเดียวกัน เป็นสถานที่ที่คนจ้องจะกินเลือดกินเนื้อ


เหมยเหมยผู้น่าสงสารของเธอ ทั้งตัวเล็กและบอบบาง จะสู้กับพวกเทพใจร้ายได้อย่างไร?


จ้าวอิงหัวเป็นคนที่แน่วแน่และเชื่อในความเป็นจริงที่สุด เป็นธรรมดาที่เขาจะไม่เชื่อเรื่องต่างๆ เกี่ยวกับผีสางนางไม้ แต่เขาเองก็ไม่ได้คัดค้านที่ภรรยาจะไหว้พระขอพร แม้จะเป็นเพียงแค่ความงมงายบางอย่าง แต่ถ้าเป็นความสุขของภรรยาแล้ว ให้ทำอะไรเขาก็ยอม


“ได้สิ ผมจะให้เสี่ยวหวังไปส่งคุณเอง คุณก็ช่วยบริจาคเงินค่าธูปและน้ำมันให้กับเหมยเหมยเยอะๆ หน่อยนะ แล้วก็ให้หลวงพ่อช่วยให้ธรรมะแก่เหมยเหมยในชาติหน้าด้วย ต่อไปให้เธอได้ไปเกิดอยู่ในตระกูลที่ร่ำรวยมั่งคั่งและมีแต่ชีวิตที่ดี” จ้าวอิงหัวพูดขึ้นด้วยความรู้สึกจากใจ


เหยียนซินหย่าตอบกลับเขาไป แต่ในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกเศร้าหมอง หากเป็นไปได้ เธอหวังว่าลูกสาวของเธอจะมีโอกาสกลับมา แม้ว่าเธอจะไม่ใช่แม่ที่ดี แต่ต่อไปนี้เธอจะดูและปฏิบัติต่อลูกของเธอให้ดีขึ้นหลายเท่า


แต่ร่างกายของเธอไม่สามารถมีลูกได้อีกแล้ว ต่อให้สามารถมีได้ แต่ด้วยกฎหมายครอบครัวในตอนนี้ก็ไม่สามารถให้กำเนิดได้ เหมยเหมยของเธอไม่มีวันกลับมาอีกแล้ว!


เพื่อไม่ให้สามีเป็นกังวล เหยียนซินหย่าจึงแสร้งทำเหมือนง่วงจึงได้หลับตาลง แต่สมองกลับตื่นอย่างเป็นปกติ เธอเอาแต่นึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในความฝันเมื่อครู่ จู่ๆ เหยียนซินหย่าลืมตาขึ้นมาด้วยความตกใจ


ไม่สิ ทำไมเหมยเหมยตอนอยู่ในฝันถึงได้มีไฝสีแดง?


ทั้งที่ตอนเล็กๆ เหมยเหมยไม่มีไฝ!


เหยียนซินหย่าจำได้อย่างชัดเจน แม้ว่าในตอนนั้นเธอจะเจ็บปวดแค่ไหน แต่เธอก็ทันได้เห็นหน้าลูกจนถึงวินาทีสุดท้าย ใบหน้ากลมเล็กแบบนั้น อันที่จริงควรจะได้เปลี่ยนจากผิวสีชมพูอ่อนนุ่มจนกลายเป็นสีม่วงอ่อน ดวงตาที่แสนงดงามยังไม่ทันได้ลืมตาขึ้นมา ก็ต้องหลับไปตลอดกาล


ลูกสาวของเธอหน้าตาสะสวยมาก หากโตขึ้นคงจะเป็นหญิงสาวที่งดงาม เหยียนซินหย่าเจ็บแปลบเข้าที่ใจ เธอฝืนใจที่จะนึกไปถึงความทรงจำครั้งก่อน ใช่แล้ว! ลูกสาวของเธอไม่มีไฝ เธอมีใบหน้าใสสะอาด ไม่มีไฝแต่อย่างใด


แต่ทำไมฝันเมื่อครู่เหมยเหมยถึงมีไฝ?


สิ่งที่คิดในตอนกลางวัน ยังไม่ทันข้ามคืนก็ได้เข้ามาอยู่ในความฝันของเธอ แต่เธอไม่ได้คิดอะไรเลย แล้วทำไมถึงได้ฝันถึงล่ะ?


เหยียนซินหย่าเอาแต่คิดไม่ตก เธอคิดไปได้สักพักก็คิดไม่ออก จึงได้ผล็อยหลับไป


เช้าอีกวันอู่เหมยตื่นสายกว่าปกติเล็กน้อย อู่เจิ้งซือและคนอื่นๆ ต่างตื่นกันหมดแล้ว เหอปี้อวิ๋นทำกับข้าวอยู่ตรงระเบียง แต่ดูเหมือนคนไม่มีชีวิตชีวา ต่างจากเมื่อก่อนที่เอาแต่ต้มโจ๊ก แต่ในตอนนี้เธอทำผัดผักและทอดเค้กข้าว[1] ซึ่งประหยัดเวลามาก


“พ่อคะ ทานข้าวเสร็จแล้วหนูจะไปห้องสมุด ตอนเที่ยงไม่กลับมาทานข้าวนะคะ” อู่เหมยออกแรงกัดเค้กข้าว และเอาแต่ก่นด่าแม่ตัวเองในใจ เธอใช้ฟันซ้ายขวากัดสลับกันไปมาเพราะถูกแป้งเกาะหนึบติดฟัน เธอจึงทำได้เพียงใช้ฟันหน้าเคี้ยว แต่กินอย่างไรก็ไม่ได้อรรถรส


อู่เจิ้งซือพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “นี่เงินสองหยวน ตอนเที่ยงก็หาอะไรดีๆ กินหน่อยนะ อย่าเอาแต่หิวล่ะ”


“ขอบคุณค่ะพ่อ”


อู่เหมยรับเงินมาด้วยความดีใจ ที่แท้ให้อู่เจิ้งซือดูแลจัดการเงินเองก็มีข้อดีแบบนี้นี่เอง ถึงได้ใจกว้างมากขนาดนี้


เหอปี้อวิ๋นกัดเค้กข้าวอย่างโมโห เจ็บปวดรวดร้าวไปทั้งใจ ทั้งที่เงินพวกนี้ต้องเป็นของเธอแท้ๆ อู่เจิ้งซือนี่เป็นคนมือเบาเสียจริง เงินเดือนทั้งเดือนต้องถูกใช้ไปจนหมดแน่ ไม่มีเหลือไว้ให้เธอเก็บเลย


…………………………………………………………………………………………..


ตอนที่ 396 yy เหยียนหมิงซุ่น


อู่เยวี่ยกัดกินเค้กข้าวช้าๆ สีหน้าของเธอดูแย่เสียยิ่งกว่าสีหน้าของเหอปี้อวิ๋นมาก ผิวหนังใต้ตามีแต่รอยดำคล้ำ ดูจากลักษณะแล้วเมื่อคืนเธอคงจะนอนไม่เต็มอิ่ม แต่ท่าทีของเธอดีขึ้นกว่าเมื่อวานมาก


“เยวี่ยเยวี่ย เดี๋ยวออกไปพบคุณลุงกับพ่อนะ” อู่เจิ้งซือพูดขึ้นอย่างมีความสุข


“ค่ะ”


ความเชื่อฟังของอู่เยวี่ยทำให้อู่เจิ้งซือเกิดความพึงพอใจมาก สีหน้าหมองหม่นได้เปลี่ยนเป็นสดใสขึ้น


อู่เหมยเกิดความสงสัยขึ้นภายในใจ อู่เจิ้งซือจะพาอู่เยวี่ยไปพบคุณลุงคนไหน?


ดูจากท่าทีของอู่เจิ้งซือแล้ว ไม่ได้ต้องการจะพาเธอออกไปด้วย คุณลุงในความรู้สึกของอู่เหมย ต้องไม่ใช่ลุงธรรมดาเป็นแน่ แต่ถึงอย่างไรเธอก็ไม่มีเวลามากพอจะขบคิดได้ เธอจึงทำได้เพียงกินข้าวอย่างรีบร้อนแล้วออกจากบ้านไป


อู่เยวี่ยแหงนหน้ามองอู่เหมยแค่แวบเดียว ก็ได้ก้มหน้าลงตามเดิมและทานมื้อเช้าต่อ แม้ว่าเธอจะไม่มีความอยากอาหาร แต่ก็จำเป็นต้องกิน หากไม่กินให้อิ่มจะเอาแรงที่ไหนมาสู้กับอู่เหมย?


เธอจะยอมแพ้แบบนี้ไม่ได้ เธอจะต้องลุกขึ้นมาให้ได้ เธอคืออู่เยวี่ยผู้หญิงที่ทำได้ทุกอย่าง เธอเป็นถึงความภาคภูมิใจของตระกูลอู่ เธอจะล้มลงง่ายๆ แบบนี้ไม่ได้เด็ดขาด!


หากเป็นเรื่องสภาพอาการทางจิตนั้น จิตใต้สำนึกของเธอได้สั่งไม่ให้นึกถึงอีก ช่วงหลายวันมานี้เธอได้อ่านหนังสือจำพวกนี้อยู่บ้าง ในหนังสือบอกว่าทุกๆ คนต่างมีอาการป่วยทางจิต เพียงแค่แตกต่างกันที่ระดับความรุนแรงและอาการของเธออาจจะอยู่ในระดับที่รุนแรงไปบ้าง แต่ก็ใช่ว่าจะเลี่ยงไม่ได้


เพียงแค่ไม่มองมันว่าเป็นสิ่งที่ทำให้ต้องกังวลก็เพียงพอแล้ว!


ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจที่จะไม่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก ในจิตใต้สำนึกของอู่เยวี่ยบอกว่า เพียงแค่เธอไม่ไปคิดถึงมัน อาการของเธอก็จะสามารถหายได้เองโดยไม่ต้องพึ่งยารักษา


อันที่จริงความคิดของอู่เยวี่ยเป็นสิ่งที่ดีมาก แต่เธอกลับประมาทอู่เหมยเกินไป อู่เหมยจะยอมปล่อยเธอไปง่ายๆ ได้อย่างไร!


อู่เหมยวิ่งไปถึงหน้าประตูใหญ่อย่างเหนื่อยหอบ เหยียนหมิงซุ่นก็มาถึงได้สักพัก เข้าไม่ได้สวมชุดนักเรียน แต่เป็นชุดสีเทาเข้มตัวใหญ่ ปกคอเสื้อพับขึ้นสูง บดบังช่วงลำคอที่ยาว และยังมีเน็คไทที่ผูกติดอยู่ทำให้ดูดีมีเสน่ห์มาก


“พี่หมิงซุ่นคะ!”


อู่เหมยเรียกเขาออกไป ชั่วครู่เธอได้เงยหน้าขึ้นและมองไปยังช่วงลำคอของใครบางคน แต่กลับถูกบดบังอย่างมิดชิด ขนาดช่วงคางก็ยังถูกบดบังไปด้วย เธอจึงทำได้เพียงถอนหายใจอย่างผิดหวัง


เหยียนหมิงซุ่นก้มหน้ามองสำรวจตัวเอง มีบางครั้งที่ยายตัวแสบมักจะมองเขาแบบแปลกๆ ทำให้เขากังวลเสมอว่าตัวเขาเองมีส่วนไหนที่แต่งตัวไม่เรียบร้อย หรือว่ามีส่วนไหนที่โผล่ออกมาแบบที่ไม่ควรโผล่ เพราะอย่างนั้นทุกครั้งที่เขานัดเจออู่เหมย เขามักจะวนๆ ส่องกระจกอยู่หลายครั้ง เพราะกลัวว่าถึงเวลาจะทำเรื่องขายหน้าต่อหน้ายายตัวแสบ


“มีอะไรหรือเปล่า?”


น้ำเสียงนุ่มทุ้มดังขึ้นมาจากคนตรงหน้า เธอจึงส่ายหน้าและยิ้มให้อย่างฝืนใจ


เมื่อครู่สายตาของเธอมองไปยังช่วงลำคอของเหยียนหมิงซุ่น ช่างเป็นส่วนที่เซ็กซี่มาก จังหวะที่เขากลืนน้ำลายลงไป ช่างเป็นภาพอาหารตา!


“ไปกันเถอะ ที่นั่นไกลพอสมควร เราไปเร็ว จะได้กลับเร็วด้วย”


เหยียนหมิงซุ่นไม่ได้ถามอะไรต่อ ตัวเขาไม่เคยคิดไปในทางอื่นใด เพราะเป็นเพียงแค่เด็กเท่านั้น


แต่เขากลับไม่รู้ว่าเด็กตัวน้อยของเขากำลังแอบสนใจเขาอยู่!


อู่เหมยว่างเป็นอย่างมาก จึงเอาแต่ถามเหยียนหมิงซุ่นตลอดทางเกี่ยวกับสถานที่ที่พวกเขาจะไป เหยียนหมิงซุ่นไม่ได้พูดอะไรออกไปมาก เพียงแค่ตอบคำถามเธอไปคร่าวๆ โชคดีที่อู่เหมยไม่ใช่เด็ก จึงทำให้เข้าใจได้ทั้งหมด


ที่นั่นคงจะเป็นเหมือนกับตลาดมืดที่เขียนอยู่ในหนังสือ แต่พื้นที่ไม่ได้ใหญ่นัก อีกทั้งผู้คนก็ไม่ค่อยรู้จักที่นี่ มีเพียงแค่กลุ่มเพื่อนในวงการเดียวกันถึงจะรู้ได้ หรือต่อให้คนภายนอกจะรู้ แต่หากไม่มีคนที่ชำนาญทางพามาก็คงไม่มีโอกาสเข้ามาถึงที่นี่ได้


“ถึงแล้ว เข้าไปข้างในก็อย่าเพิ่งถามราคาซี้ซั้ว แล้วก็ไม่ควรจับสิ่งของอะไร เข้าใจไหม?”


เหยียนหมิงซุ่นคอยกำชับอู่เหมยตลอด สถานที่ที่พวกเขาไปเป็นโรงงานของเก่าที่อยู่ในแถบชานเมืองของเมืองจิน เมื่อมองภายนอกช่างดูวังเวง แต่ใครจะรู้ได้ว่าด้านในนั้นต่างกันราวฟ้ากับดิน


…………………………………………………………………………………………..


[1] อาหารที่ทำจากแป้งข้าวเหนียว ภาษาจีนเรียกว่า ”เหนียนเกา”


ตอนที่ 397 ฟ้าดินยังมีสถานที่ดีๆอยู่


อู่เหมยเดินตามหลังเหยียนหมิงซุ่นเข้าไปอย่างว่านอนสอนง่าย เหยียนหมิงซุ่นจับมือของเธอเอาไว้แน่น มองดูราวกับพี่ชายพาน้องสาวออกมาเดินเที่ยวเล่น


“เสี่ยวเหยียนพาน้องสาวมาเที่ยวเล่นสินะ!”


มีคนส่งเสียงพูดทักทายเหยียนหมิงซุ่น เขาเป็นชายแก่อ้วนท้วมที่มีผมขาวประปราย ใบหน้ามีสีแดงของเลือดฝาด อีกทั้งยังดูมีท่าทีกระฉับกระเฉง


“ใช่ครับ คุณหวังดูดีขึ้นเรื่อยๆ เลยนะครับ เหมยเหมย นี่คือคุณตาหวัง”


เหยียนหมิงซุ่นวางตัวด้วยความนอบน้อม อู่เหมยเองก็ไม่กล้าที่จะเสียมารยาท จึงรีบตอบรับอย่างนอบน้อม วันนี้เธอสวมเสื้อปุยฝ้ายสีชมพูตัวใหม่ที่จ้าวอิงหนานซื้อให้ และยังถักเปียสองข้างไว้ด้านหลัง ดูสดใสงดงามราวตุ๊กตา เพียงแค่ชายแก่อ้วนท้วมได้เห็นก็รู้สึกชอบใจ


“ลูกหลานตระกูลนายนี่ช่างหน้าตาดีเสียจริง อีกหน่อยหากน้องสาวนายโตขึ้น เกรงว่าหัวกระไดบ้านจะไม่แห้งเอา!”


คุณตาหวังยิ้มจนตาหยีทั้งพูดขึ้นอย่างสนุก จากนั้นเขาได้ควักเอาเหรียญกษาปณ์ออกมาจากกระเป๋าหนึ่งเหรียญ และยื่นให้อู่เหมยเพื่อเป็นของขวัญสำหรับการเจอกัน


อู่เหมยจ้องเหรียญนั่นตาเขม็ง มันคือเหรียญกษาปณ์เฉียนหลงทงเป่า นั่นจึงทำให้เธอตกใจอยู่ไม่น้อย พอได้สติจึงหันไปหาเหยียนหมิงซุ่น


“เหมยเหมยยังไม่รีบขอบคุณคุณตาหวังอีก!”


เหยียนหมิงซุ่นมองเหรียญกษาปณ์แค่แวบเดียวก็ดูออกและเขาไม่คิดจะปฏิเสธแต่อย่างใด เขารู้ดีว่าปู่หวังไม่ได้ขาดแคลนเงิน เหรียญกษาปณ์เฉียนหลงทงเป่าแค่เหรียญเดียว สำหรับเขาแล้วไม่ต่างอะไรกับเศษเหรียญทองแดงธรรมดา อีกอย่างคุณตาหวังก็เป็นคนรักหน้าตาและศักดิ์ศรีมาก ของที่ให้ไปแล้วไม่เคยคิดที่จะขอคืน เป็นธรรมดาที่เขาเองก็ไม่ควรจะหักหน้าคุณตาหวัง


นั่นจึงทำให้อู่เหมยรับมันมาไว้ด้วยความสบายใจ และยิ้มหวานๆ ส่งให้คุณตาหวัง


“ขอบคุณค่ะคุณตาหวัง ขอให้คุณตาสุขภาพแข็งแรง อายุยืนหมื่นๆ ปีนะคะ!”


คุณตาหวังหัวเราะชอบใจ ที่ได้รับการหยอกล้อจากอู่เหมย หัวเราะจนกระทั่งน้ำตาเล็ด บ่งบอกได้ว่าเขาอารมณ์ดีมากแค่ไหน


“ปากเล็กๆ นี่หวานกว่าพี่ชายเยอะเลย ไปเดินเล่นดูเถอะ เจอของดีอะไรก็มาบอกตาจะให้รางวัลชิ้นใหญ่ ที่นี่ไม่มีใครกล้ามาหลอกหนูได้หรอก!”


คุณตาหวังใช้ฝ่ามืออ้วนๆ ของเขาวางบนหัวอู่เหมยและลูบเบาๆ เขาหัวเราะคิกคักแล้วเดินจากไป


เหยียนหมิงซุ่นก้มหน้ามองท่าทีซื่อบื้อของอู่เหมย ที่แท้ก็เป็นความสุขของคนซื่อบื้อ เขารู้จักกับคุณตาหวังมานานหลายปี แต่ยังไม่เคยได้รับคำพูดนี้จากเขาเลย อู่เหมยที่เพิ่งเคยเจอกันกลับได้รับความเอ็นดูจากเขา


“ปากเล็กๆ นี่หวานจริงๆ”


เหยียนหมิงซุ่นหัวเราะเบาๆ และพูดขึ้นอย่างสนุก นั่นทำให้ใบหน้าของอู่เหมยขึ้นสีแดงระเรื่อ อันที่จริงที่เธอพูดไปเมื่อครู่ เธอเองก็รู้สึกฝืนใจอยู่ไม่น้อย แต่เธอก็ตัดสินใจแล้วว่าจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง อย่างน้อยก็ต้องฝึกให้หน้าหนาขึ้นมาหน่อย!


“พี่หมิงซุ่น คุณตาหวังไม่ธรรมดาเลยใช่ไหม?” อู่เหมยถามขึ้น


“อืม ถือว่าเป็นรุ่นใหญ่ของที่นี่ มีเขาที่เป็นคนคุ้มครองพวกเราแบบนี้ ต่อไปก็ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกใครหลอกได้” เหยียนหมิงซุ่นอธิบาย


อู่เหมยตกใจเป็นอย่างมาก นึกไม่ถึงว่าชายแก่ที่ดูไม่ค่อยถูกชะตานักกลับมีฐานะที่ไม่ธรรมดา โชคดีที่เมื่อครู่เธอไม่ได้พูดจาอะไรไม่ดีออกไป


“ไปกันเถอะ เราต้องทำเวลาหน่อย เพราะตอนเที่ยงที่นี่ก็ปิดแล้ว”


เหยียนหมิงซุ่นจับมืออู่เหมยแน่น เดินดูแผงขายทีละแผงทีละแผงไปเรื่อยๆ


ตัวอาคารมีขนาดใหญ่มาก แต่แผงขายกลับมีอยู่ไม่มากเท่าที่ตลาดหนานสุ่ย หากนับรวมทั้งหมดที่มีก็แค่ยี่สิบกว่าร้าน เพียงแต่แผงลอยแต่ละร้านมีขนาดใหญ่ มีทั้งเหรียญกษาปณ์ ขวดโหลต่างๆ ภาพวาด โต๊ะบ้างเก้าอี้บ้าง มีแม้กระทั่งเตียงนอนแกะสลักสมัยโบราณ


อู่เหมยไม่ได้อุ้มฉิวฉิวออกมา แต่มันซ่อนอยู่ในกระเป๋า เหยียนหมิงซุ่นไม่ยอมให้เธออุ้มออกมา เพราะเกรงว่าจะดึงดูดสายตาคนอื่นๆ เกินไป


ฉิวฉิวอยู่ในกระเป๋าอย่างตื่นเต้น มันใช้เท้าเคาะที่หนังกระเป๋าไม่หยุดเพื่อเป็นการสะกิดอู่เหมย เธอเองก็รู้ว่าฉิวฉิวมองเห็นของมีค่าอีกแล้ว!


ภายใต้คำแนะนำของฉิวฉิว ทำให้อู่เหมยซื้อของกลับไปหลายอย่าง เธอใช้เงินจำนวนเกือบพันที่ได้มาจากที่เหยียนหมิงซุ่นช่วยขายของในครั้งก่อน จ่ายไปเกือบทั้งหมดเพื่อแลกของเก่าๆ เยินๆ กลับมา


…………………………………………………………………………………………..


ตอนที่ 398 ซื้อเตียงเก่าแก่มา


เหยียนหมิงซุ่นไม่ได้ซื้อของอะไรมาก เขาซื้อของลายครามมาเพียงแค่สองสามชิ้น พอยัดใส่กระเป๋าไว้ก็ไม่ได้ดูโดดเด่นอะไร แต่อู่เหมยกลับซื้อทั้งชิ้นเล็กชิ้นน้อย อีกทั้งยังเป็นของเก่าๆ ผุพัง


ของอย่างอื่นไม่เท่าไหร่ แต่ที่ทำให้อู่เหมยรู้สึกอับอายนั่นก็คือเตียงเก่าแก่นั้น ตัวของเตียงมีสีดำสนิท หากออกแรงเขย่าก็จะมีเสียงดังเอียดอาด หากโยนทิ้งไว้ข้างทางคงเป็นเพียงแค่ของเก่าๆ ที่ไม่มีแม้แต่คนจะเก็บ แต่ฉิวฉิวกลับถูกใจมันเข้า และยังคะยั้นคะยอให้อู่เหมยซื้อกลับไปให้ได้


ผลลัพธ์คืออู่เหมยใช้เงินหนึ่งร้อยหยวนในการซื้อเตียงหลังนี้มา เธอเจ็บปวดใจอย่างมาก


“โอ้โห! เสี่ยวเหยียนตั้งใจจะซื้อกลับไปเป็นฟืนก่อไฟรึ!”


คุณตาหวังยิ้มตาหยีและเดินเข้ามาหา เมื่อเห็นว่าเหยียนหมิงซุ่นซื้อเตียงหลังนี้มาจึงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะอย่างขำขัน ใบหน้าแสดงออกถึงความยินดีในความโชคร้าย


“คุณตาหวังก็พูดเป็นเล่นไป ผมแค่เห็นว่าถูกชะตากับเตียงหลังนี้ รู้สึกว่ามันคงไม่ใช่ของธรรมดาทั่วไป ซื้อกลับไปไว้ก่อน ไม่แน่ว่าวันข้างหน้าอาจจะได้ราคาดี!”


เหยียนหมิงซุ่นพูดอย่างนิ่งเฉย แน่นอนว่าเขารู้ดีว่าเตียงหลังนี้ไม่ได้เป็นของธรรมดาแน่ มิเช่นนั้นฉิวฉิวคงไม่ยอมให้อู่เหมยซื้อกลับ และเมื่อครู่ตัวเขาเองก็ได้สำรวจเตียงหลังนี้อย่างละเอียดถี่ถ้วน ด้านบนมีรูปแกะสลัก ซึ่งเป็นถึงลายสลักมังกร


นี่เป็นสิ่งที่ทำให้เหยียนหมิงซุ่นตกใจอยู่ไม่น้อย ในสมัยโบราณตระกูลไหนที่สามารถแกะสลักลวดลายมังกรได้ มีเพียงแค่ตระกูลชนชั้นฮ่องเต้ ส่วนตระกูลอื่นไม่มีใครกล้าพอที่จะสลักลายลายมังกร


ชัดเจนมากที่เตียงเก่าแก่หลังนี้ที่ไม่ค่อยเข้าตาใครจะมาจากตระกูลของชนชั้นฮ่องเต้ อีกทั้งยังมีโอกาสเป็นไปได้มากที่ว่าจะต้องมีฮ่องเต้โชคร้ายสักพระองค์ได้เคยนอนมาก่อน


เห็นดังนี้แล้ว เตียงหลังนี้ไม่ได้ทำมาจากไม้ธรรมดา ต่อให้เป็นฮ่องเต้ผู้น่าผิดหวัง ก็ไม่อาจเหมือนกับสามัญชนทั่วไปที่ตัดต้นไม้บนภูเขามาใช้ได้อย่างตามใจตน!


คุณตาหวังเหลือบมองเตียงหลังนี้อีกครั้ง แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก เตียงหลังนี้เขาเคยเห็นมันมาก่อน ไม่ได้มีจุดน่าสนใจอะไร เขาจึงไม่ได้สนใจจะดูให้ละเอียดอีก หากว่าเป็นเตียงที่ฮ่องเต้โชคร้ายสักพระองค์ได้เคยนอนมาก่อน จะได้ราคาสักเท่าไหร่กัน?


ในตอนนี้สิ่งที่ขายดีบนท้องตลาดก็คือเครื่องลายคราม ภาพวาด และจำพวกเครื่องหยก ยิ่งถ้าเป็นของใช้ภายในบ้านขนาดใหญ่แบบนี้ยิ่งไม่มีใครให้ความสนใจ ไม่อย่างนั้นเจ้าของร้านคงไม่ตั้งไว้นานเป็นปีๆ จนไม่มีคนมาถามราคาหรอก?


เจ้าแสบเสี่ยวเหยียนนี่ปกติแล้วถือว่ามีไหวพริบไม่น้อย แต่ทำไมครั้งนี้ถึงได้สับสนไปได้ ที่แท้ก็เป็นเพราะยังอ่อนหัด!


คุณตาหวังเองก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ แม้ว่าเขาจะคุมที่นี่ แต่ในเรื่องธุรกิจแล้วเขาแทบจะไม่เข้าไปก้าวก่าย ขอแค่ต่างฝ่ายต่างยอมซื้อและยอมขาย นั่นก็เป็นไปตามกฏเกณฑ์ของเขาแล้ว และต่อให้เตียงหลังนี้ขายออกไปได้ในราคาหนึ่งพันหยวน เขาเองก็ไม่สามารถเข้าไปขวางได้


“ลุงจะให้เสียวหลี่เอาเตียงหลังนี้ไปส่งให้ จะให้ไปส่งที่ไหน?”


เหยียนหมิงซุ่นบอกกล่าวขอบคุณเขา และบอกที่อยู่บ้านหลังใหม่ของอู่เหมยไป คุณตาหวังคิ้วกระตุกพลันหัวเราะและพูดขึ้น “ห้องตรงตึกนั้นถูกเอ็งซื้อไปนี่เอง ลุงก็คิดอยู่ว่าใครหน้าไหนที่มือเท้าไวขนาดนั้น เพียงแค่ครึ่งค่อนชั่วโมง ก็ถูกตัวแสบอย่างเอ็งเก็บได้ในราคาถูกมากๆ ด้วย”


เหยียนหมิงซุ่นพูดอย่างถ่อมตัว “ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ คงเป็นเพราะคุณตาหวังมองว่าผมอายุน้อย เลยยอมหลีกให้ผมเท่านั้นเอง”


คุณตาหวังหัวเราะฮ่าๆ อย่างชอบใจต่อคำพูดชื่นชมจากเหยียนหมิงซุ่น เขาจึงกวักมือเรียกเด็กผู้ชายที่มีท่าทีซื่อๆ อายุราวๆ สิบสองปีมาหา เพื่อบอกให้เอาเตียงหลังนี้ไปส่งยังที่อยู่ที่เหยียนหมิงซุ่นบอกไว้ ส่วนของชิ้นอื่นๆ คุณตาหวังไม่ได้ถามถึงแต่อย่างใด


หนึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น พวกเขาได้มาถึงบ้านที่อยู่ในเขตถนนฮวายไห่ ซึ่งเสียวหลี่ได้นำเตียงมาส่งไว้ เหยียนหมิงซุ่นจึงได้ให้เงินแก่เขาไปสองหยวน นั่นทำให้เขาดีใจจนแทบเสียสติ ถึงขั้นที่แทบจะหุบยิ้มไม่ได้ และได้เดินจากไปด้วยความดีใจ


พอถึงบ้านฉิวฉิวก็ได้มุดออกจากกระเป๋า แล้วขึ้นไปนอนคว่ำอยู่บนเตียงเก่าๆ หลังนั้น ดวงตาปิดลงราวกับกำลังหลับไหล


ใจของอู่เหมยเต้นขึ้นเบาๆ ครั้งก่อนที่ฉิวฉิวนอนคว่ำหน้าหลับบนกระป๋องเก่าๆ นั้นก็มีลักษณะเฉกเช่นตอนนี้ หลังจากนั้นไม่นานตัวมันก็มีถุงหน้าท้องขึ้นมา ดูเหมือนว่าเตียงหลังนี้ก็ไม่ต่างไปจากกระป๋องเก่าในครั้งนั้นเลย และนี่นับเป็นสิ่งสำคัญที่สุดของฉิวฉิวเลยก็ว่าได้!


…………………………………………………………………………………………..

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)