หมอดูยอดอัจฉริยะ 391-392

 ตอนที่ 391 ผลร้ายที่ตามมา

โดย

Ink Stone_Fantasy

ตอนที่เยี่ยเทียนพบหัวหน้าเซวียครั้งแรกก็รู้สึกมืดมน ชายคนนี้อายุไม่มาก แต่อิทธิพลในวงราชการนั้นมากล้น แม้แต่ตอนเจรจากับผู้การตำรวจยังไม่มีความยำเกรงเลย คงจะเป็นเพราะเขาได้ติดตามนายใหญ่ที่มีตำแหน่งสูง


เมื่อทราบว่าหัวหน้าเลขาเจียวเป็นคนที่ถังเหวินหยวนติดต่อให้มาช่วยเหลือ เยี่ยเทียนก็เข้าใจในทันทีว่าผู้ที่ส่งหัวหน้าเซวียมาจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากคุณตาของเขาซ่งเฮ่าเทียน


ส่วนที่ว่าซ่งเฮ่าเทียนรู้เรื่องนี้ได้อย่างไรนั้น เยี่ยเทียนคาดว่าน่าจะเป็นเพราะมารดาของเขาโผล่ออกไป เพราะยังไม่เห็นพวกมาลาไกย์มาปรากฏตัวที่สถานีตำรวจเลย คงจะเป็นเพราะได้รับคำสั่งมา


เป็นอย่างนั้นจริง หัวหน้าเซวียพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเยี่ยเทียนเดาถูก เขายังไม่เคยพบกับตาแท้ๆเลยสักครั้ง พอพูดถึงคุณตาในใจของเยี่ยเทียนมีแต่ความโกรธแค้น แน่นอนว่าจะไม่ยอมอ่อนข้อให้


โดยเฉพาะกับคนตระกูลซ่ง เยี่ยเทียนไม่ได้รู้สึกเป็นมิตรด้วยเลย หากว่าไม่เห็นแก่หน้าคุณตาแล้ว กับคนตระกูลซ่งที่มาตามฆ่าเขานั้น เขาคงจะไปแก้ฮวงซุ้ยของตระกูลซ่งเพื่อให้สมาชิกในตระกูลต้องพินาศไปแล้ว


 “เจ้าหนุ่ม นายรู้ใช่ไหมว่าท่านประธานาธิบดีซ่งเป็นใคร? ทำไมถึงพูดจาอย่างนี้ นายรู้ถึงผลที่จะตามมาไหม?”


ฟังคำพูดที่เยี่ยเทียนจบ หัวหน้าเซวียตีสีหน้าเย็นชา ไม่ว่าเยี่ยเทียนจะเป็นอะไรกับซ่งเฮ่าเทียนก็ตาม เขาเป็นคนติดตามของท่านผู้นำ มีหน้าที่จะต้องปกป้องชื่อเสียงและเกียรติของเจ้านาย


 “หัวหน้าเซวีย การมาของคุณในวันนี้ เยี่ยเทียนรู้สึกขอบคุณมาก แต่คำขอบคุณนี้สำหรับคุณคนเดียว”


ดวงหน้าเยี่ยเทียนแสดงออกถึงความจริงใจ พูดต่อว่า “ผมกับเจ้านายของคุณ มีบางเรื่องที่คุณไม่จำเป็นต้องรู้ ยังไงก็ฝากคำไปถึงเขาด้วย ขอบคุณมาก ผมขอตัวก่อนครับ!”


ฟังเยี่ยเทียนพูดจบหัวหน้าเซวียได้แต่อึ้ง “นั่นน่ะสิ น่าจะเป็นเรื่องครอบครัวของท่านผู้นำ แค่นำคำไปบอกท่านก็พอแล้ว ไม่ควรจะไปแสดงความคิดเห็นอะไรมากมาย”


ชั่วขณะที่งงงันอยู่นั้น เยี่ยเทียนได้เดินออกจากห้องประชุมไปแล้ว ทิ้งหัวหน้าเซวียให้นั่งอยู่ที่เก้าอี้คิดไตร่ตรองว่าจะนำความไปถ่ายทอดให้ท่านผู้นำฟังอย่างไร


 “เสี่ยวเยีย คุยจบแล้วหรือ?” ผู้การโต้วกับผู้การเฮ่ออยู่ไม่ไกลจากห้องประชุมมากยืนคุยกันอยู่ เห็นเยี่ยเทียนเดินออกมาจึงยิ้มให้


สายตาของพวกเขาต้องมองออกแน่ว่าเยี่ยเทียนเป็นลูกหลานของประธานาธิบดีซ่ง อาจจะเพราะว่ามีเรื่องบาดหมางกันจึงทำให้เยี่ยเทียนพูดจาลบหลู่ท่าน


แต่ประธานาธิดีซ่งก็ได้สั่งให้หัวหน้าผู้ดูแลที่ปกติจะช่วยดูแลงานต่างของท่านให้มาจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง เป็นการแสดงถึงการปกป้องคุ้มครองเยี่ยเทียน และทำให้ท่าทีของผู้การทั้งสองที่มีต่อเยี่ยเทียนนั้นอบอุ่นเป็นกันเองมากขึ้น


การที่ได้มาเจอเรื่องที่เกี่ยวข้องกับซ่งเฮ่าเทียนแบบนี้ ทำให้เยี่ยเทียนอารมณ์เสียที่สุด เห็นผู้การทั้งสองส่งยิ้มมาจึงได้แต่ฝืนยิ้มตอบกลับไปพูดว่า “ขอบคุณท่านผู้การทั้งสองมากที่ช่วยเหลือผม ผู้การโต้ว ถ้าไม่มีเรื่องอะไรแล้ว ผมจะไปได้หรือยัง?”


 “ได้แน่นอน ฉันเรียกรถให้ไปส่งเธอดีกว่า”


ผู้การโต้วลังเลชั่วขณะ แล้วกล่าวต่อว่า “เสี่ยวเยี่ย ต่อไปถ้ามีเรื่องอะไร อย่าผลีผลามวู่วาม แค่มาบอกลุงโต้วกับลุงเฮ่อก็พอแล้ว อ่ะ นี่เป็นเบอร์ส่วนตัวของฉัน แต่ว่าตอนดึกอย่าโทรมารบกวนล่ะ”


เรื่องของเยี่ยเทียนวันนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่โตคับฟ้าเลยทีเดียว


อีกทั้งในทีมตำรวจแห่งนครปักกิ่ง ยังมีปัญหาอีกหลายอย่าง ผู้การโต้วไม่อยากให้เยี่ยเทียนไปก่อเรื่องจนใหญ่โตอีก ดังนั้นจึงแสดงน้ำใจโดยการมอบเบอร์โทรศัพท์ส่วนตัวของเขาไป


ผู้การเฮ่อคิดเช่นเดียวกันกับผู้การโต้ว รีบควักนามบัตรของตัวเองออกมา หยิบปากกาเขียนเบอร์โทรส่วนตัวลงไปแล้วส่งให้เยี่ยเทียน


ดูท่าทางเข้าหาแสดงน้ำใจของผู้การโต้วแล้วเยี่ยเทียนก็รับไว้ แสดงสีหน้าเกรงใจออกมาแล้วพูดว่า “ขอบคุณครับลุงโต้ว ขอบคุณครับลุงเฮ่อ ครั้งนี้เป็นเพราะผมก้าวร้าวเอง”


 “อืม เด็กคนนี้ยังถือว่าซื่อสัตย์อยู่ ต้องเป็นเพราะหวงซือจื้อบีบบังคับเธอใช่ไหม”


ผู้การโต้วพอใจกับท่าทีของเยี่ยเทียน แต่เมื่อนึกถึงหวงซือจื้อก็ทำให้ปวดหัวขึ้นมา “เสี่ยวเยี่ย ถึงแม้หวงซือจื้อจะนิสัยไม่ค่อยดี แต่ก็ไม่ได้ทำร้ายเธอเข้าจริง ถือว่าเรื่องนี้เป็นบทเรียนให้เขา อย่าไปถือสาหาความเขาเลยนะ?”


เมื่อก่อนผู้เฒ่าหวงได้เคยให้ความช่วยเหลือผู้การโต้ว จนวันนี้ยังมีคนที่รับรู้เรื่องราวและจดจำได้ เมื่อครู่ผู้การโต้วได้รับโทรศัพท์ถึงเจ็ดแปดสาย ทั้งหมดโทรมาเพื่อขอให้ช่วยหวงซือจื้อ


แม้ว่าเส้นสายอำนาจของพวกเขารวมกันจะยังไม่เท่าประธานาธิบดีซ่งคนเดียว แต่ก็เป็นคนระดับหัวหน้าทั้งนั้น ถ้าเกิดไปผิดใจด้วย ต่อไปหากเกิดปัญหาอะไรขึ้น ผู้การโต้วคงจะลำบากแน่


 “ผู้การโต้ว ผมกับหวงซือจื้อก็ไม่ได้ขัดแย้งกันมากมาย แค่เขาเป็นคนจิดใจคับแคบ จะมาหาเรื่องผมหลายครั้งแล้ว ในเมื่อคุณเป็นคนออกปาก ก็เอาตามที่คุณว่าแล้วกัน!”


เยี่ยเทียนยิ้มออกมา แล้วพูดต่อว่า “แต่ผู้การเสิ่นคนนั้นไม่แยกแยะผิดถูก ผมหวังว่าผู้การโต้วน่าจะจัดการอย่างเข้มงวด”


สำหรับหวงซือจื้อเยี่ยเทียนใช้วิธีอื่นจัดการไปนานแล้ว เขาพอรู้มาว่าฝ่ายนั้นมีรากฐานเส้นสายที่แข็งแกร่งในปักกิ่ง คงทำอะไรมากไม่ได้ สู้ยอมตามผู้การโต้วไปปดีกว่า”


แต่คนอย่างผู้การเสิ่นที่ใช้อำนาจบาดใหญ่ เยี่ยเทียนจะไม่ยอมปล่อยไว้ จุดจบของผู้การเสิ่นนั้นยิ่งน่าเสมเพชเท่าไหร่ เส้นสายผู้ให้ความช่วยเหลือหวงซือจื้อก็ยิ่งน้อยลง ใครจะไปยอมช่วยคนที่ตัวเองไม่มีทางปกป้องได้เล่า?


 “ได้ เสี่ยวเยี่ย นายได้ช่วยลุงโต้วไว้อย่างใหญ่หลวงเลย”


ผู้การโต้วเผยยิ้ม “กองตำรวจในเมืองปักกิ่งควรจะต้องจัดระเบียบกันใหม่ได้แล้ว มีคนที่ชอบใช้อำนาจในเรื่องส่วนตัวต้องจัดการคนพวกนี้ให้หมดไป!”


ความกดดันของผู้การโต้วมาจากหวงซือจื้อคนเดียว ในสายตาของผู้การโต้วเสิ่นหมิงซินไม่มีความหมาย ตอนแรกที่ยอมรับเข้ามาทำงานก็มีความคิดว่าจะต้องถอดคนๆออกเข้าสักวันหนึ่ง


 “ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวก่อนนะครับ วันนี้ต้องขอบคุณลุงโต้วกับลุงเฮ่อจริงๆ”


 …


เยี่ยเทียนเข้าใจความหมายของผู้การโต้วแล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องอยู่ต่อ หันไปพูดกับหูจวินว่า “พี่หู พี่ขับรถมาใช่ไหม? ไปส่งผมหน่อยเถอะ ใช่แล้ว ผมยังมีเพื่อนนักเรียนอีกคนหนึ่งอยู่ที่นี่ เดี๋ยวหาเขาเจอแล้วเรากลับพร้อมกัน!”


เยี่ยเทียนเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าลูกพี่ของเขาไม่รู้ไปให้ปากคำอยู่ที่ไหน รีบถามเจ้าหน้าที่คนอื่นจนหาตัวสวีเจิ้นหนานพบ แล้วทั้งสามก็ออกจากสถานีตำรวจไป


 “หวงซือจื้อ?” เยี่ยเทียนกำลังเดินออกจากประตูสถานีก็เห็นหวงซือจื้อยืนดักรออยู่ เขาคงออกมาเร็วกว่าตนเล็กน้อย


“คนแซ่เยี่ย อย่าคิดว่ามีหูจวินคอยคุ้มกะลาหัวแล้วนายจะรอดนะ เรื่องของเรายังไม่จบ!”


หวงซือจื้อออกมาจากสถานีตำรวจได้อย่างปลอดภัยแล้วก็ออกอาการกำเริบเสิบสานทันที เขายังคิดว่าเป็นหูจวินที่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือเยี่ยเทียน ไม่รู้เลยว่าหัวหน้าเซวียนั้นมีตำแหน่งอะไร


“ฉันเนี่ยนะคุ้มหัวเขา? ต่อไปเขาต้องคุ้มหัวฉันสิถึงจะถูก!”


หูจวินได้ฟังคำของหวงซือจื้อแล้วยิ้มหน้าเจื่อน ตอนแรกเคยคิดว่าเยี่ยเทียนเป็นแค่คนธรรมดา แต่หลังจากวันนี้ไป หูจวินคงไม่กล้าแสดงความโดดเด่นอะไรเกินหน้าเยี่ยเทียนแล้ว


เยี่ยเทียนยิ้มออกมา ตอบว่า “ฉันว่านายก็อายุขนาดนี้ไม่เด็กแล้ว กลับไปใช้ชีวิตทำตัวดีๆดีกว่าไหม? ระวังอย่าไปทำเรื่องชั่วมาก เดี๋ยวกลางคืนนอนจะฝันร้ายเอา!”


รอยยิ้มของเยี่ยเทียนทำให้หวงซือจื้อขนลุก จนต้องถอยหลังไปหลายก้าว แล้วไม่กล้าตอบโต้ต่อ รีบเดินไปขึ้นรถที่จอดรอรับเขาอยู่จากไป


ไม่รู้ว่าเพราะคำสาปแช่งของเยี่ยเทียนนั้นน่ากลัวหรืออย่างไร เมื่อกลับถึงบ้านแล้วคืนนั้นหวงซือจื้อก็นอนหลับฝันร้าย หญิงสาวที่เคยถูกเขาทำร้ายจนต้องฆ่าตัวตายกลับมาหลอกหลอนในความฝัน


คนปกติเวลาฝันเมื่ตอตื่นขึ้นมาจะลืมความฝันไปหมด แต่หวงซือจื้อไม่ใช่ เขามักจะตกใจตื่นและจดจำรายละเอียดในความความฝันด้วยครบถ้วน นอนผวาจนต้องเปิดไฟทุกดวงในห้องนอนแล้วก็ไม่กล้าหลับอีก


แต่ผีสาวนางนั้นก็ยังคงตามหลอกหลอนหวงซือจื้อแม้ในตอนกลางวันที่เขาอยากจะงีบสักหน่อย


หลังจากนั้นทั้งสัปดาห์หวงซือจื้อนอนหลับไปทั้งหมดไม่ถึงห้าชั่วโมง จากคนที่เคยหนัก80กิโลกรัม อยู่ๆก็ผอมลงอย่างรวดเร็วจนเหลือน้ำหนักเพียง55กิโลกรัมเท่านั้น และถูกส่งตัวเข้าโรงพยาบาลในวันถัดมา


เมื่อเวลาผ่านไปฝันร้ายที่ควรจะลดลง แต่มันกลับยังตามหลอกหลอนเขาทุกครั้งที่หลับตา หวงซือจื้อหวาดกลัวจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ จากคุณชายสูงศักดิ์ในย่านถิ่นชาววัง ชื่อเสียงก็ค่อยขาดหายไปเรื่อยๆ


ส่วนเสิ่นหมิงซิน ในวันที่ถูกสอบสวนวันที่สาม มีการประกาศว่าเขาทำผิดกกฎหมาย เพราะทางตำรวจสืบสาวได้ถึงทรัพย์สินอันได้มาโดยมิชอบของครอบครัวเขา รวมเป็นมูลค่าห้าล้านกว่าหยวน และหกแสนกว่าดอลลาร์สหรัฐ


นอกจากนี้ตามคำให้การของผู้อื่นยังได้เปิดเผยถึงเรื่องฉาวโฉ่ที่ผู้การเสิ่นเคยทำไว้ให้ปรากฏออกมา เขามีอสังหาริมทรัพย์อยู่ในปักกิ่งถึงสี่แห่ง และทุกแห่งต่างเลี้ยงผู้หญิงเอาไว้


หลังจากถูกเปิดโปง วงการสำนักงานตำรวจแห่งนครปักกิ่งถูกสั่นคลอน หัวหน้าใหญ่ในแต่ละภาคส่วนออกคำสั่งว่า : ต้องรีบจัดการให้รัดกุมถูกต้องและรวดเร็ว หลังจากเกิดเรื่องไปแล้วสองสัปดาห์ คดีความได้ถูกส่งเข้ากระบวนการศาล


ผ่านไปสองเดือนด้วยกระบวนการตัดสินของศาล เสิ่นหมิงซินมีทรัพย์สินมากผิดปกติและแหล่งที่มาไม่ชัดเจน ละโมบรับสินบนอันมิชอบต่างๆอีกหลายกระทง จึงถูกตัดสินให้จำคุกเป็นเวลายี่สิบปี และตัดสิทธิ์ทางราชการอีกสิบปี


แน่นอนว่าพอจบเรื่อง เยี่ยเทียนรู้ผลการตัดสินแล้วก็ยิ้มอย่างพอใจ ข้าราชการที่ใช้อำนาจรังแกประชาชนทั้งรับสินบนใต้โต๊ะแบบนี้ ก็สมควรได้รับโทษ


พอส่งสวีเจิ้นหนานกลับมหาวิทยาลัยแล้ว เยี่ยเทียนกลับที่ไปบ้าน ยังมีเรื่องวุ่นวายอีกเรื่องรอเขาอยู่ นั่นคือคนเกาหลีพัคจุนฮีที่ตามมารังควานเขาถึงบ้าน


 “คุณเยี่ย ได้โปรดชี้แนะผมด้วย!” พัคจุนฮีอุ้มดาบนักรบอยู่ในอ้อมอก เมื่อเห็นเยี่ยเทียนก็รีบโค้งคำนับ


 “ฉันไม่ได้รับปากแล้วเหรอว่าจะประลองกับนาย นายเตรียมตัวไปถึงไหนแล้ว?”


เยี่ยเทียนหรี่ตา คนในสำนักวิชาอย่างเขา สิ่งที่เกลียดที่สุดคือการเอาเรื่องเดือดร้อนมาถึงบ้าน และการกระทำของพัคจุนฮี ก็คือการละเมิดข้อห้ามนี้


………


ตอนที่ 392 ชักดาบออกมา ถือว่าเธอชนะ

โดย

Ink Stone_Fantasy

ยุทธภพย่อมมีกฎ ไม่เหมือนในนิยายกำลังภายในที่อยู่ๆอยากจะทำลายก็ฆ่าทิ้งเสียให้หมด ตั้งแต่โบราณมาในยุทธภพมีธรรมเนียมปฏิบัติว่าห้ามนำเรื่องเดือดร้อนมาสู่ครอบครัว


ถ้าถูกฆ่าล้างตระกูลคือจะไม่มีลูกหลานสืบทอด ไม่ว่ายุคสมัยไหนก็จะถูกต่อต้านคัดค้านทั้งนั้น


แม้ว่าจะมาเพื่อเยี่ยมเยียนฝึกประชันวิชากัน โดยทั่วไปควรจะมีบัตรเชิญนัดหมายวันเวลาและสถานที่ แม้แต่เป็นเพื่อนสนิทยังไม่ค่อยมาหากันถึงบ้านก็เพราะกลัวจะผิดกฎของชาวยุทธ


ด้านคนญี่ปุ่นและเกาหลี เยี่ยเทียนไม่อาจทราบได้ ประเทศหนึ่งนิสัยชอบรุกรานทั้งยังไม่ยอมรับประวัติศาสตร์ที่แท้จริง ส่วนอีกประเทศมักหยิ่งยโสโอหัง อีกหน่อยคงกล้าบอกว่าขงจื่อเป็นคนเกาหลีด้วยกระมัง


ส่วนการกระทำของพัคจุนฮีทำให้ในใจของเยี่ยเทียนเกิดความรู้สึกว่าอยากฆ่า วันนี้พัคจุนฮีมาหาถึงบ้าน ต่อไปพวกศิษย์ในสำนักของเธอคงมาได้เหมือนกัน


“คุณเยี่ย พัคจุนฮีเพียงอยากจะขอคำชี้แนะวิชาดาบเท่านั้น ไม่ได้มีจุดประสงค์อื่น!”


เยี่ยเทียนเหลือบตามอง ผู้ถูกมองรู้สึกเย็นเยียบเข้าหัวใจ ขนลุกทั้งหัว หนาวเข้าไปในกระดูก แม้แต่เลือดที่ไหลเวียนอยู่ราวกับหยุดนิ่งค้างไปเฉยๆ


ถ้าไม่ใช่เพราะตอนเด็กที่ฝึกวิชาดาบแล้วต้องฝึกพลังใจของนักสู้ที่เข้มแข็ง พัคจุนฮีคงจะกลัวหัวหดจนไม่กล้าพูดกับเยี่ยเทียนอีก


เยี่ยเทียนไม่ได้เอ่ยปาก เพียงแค่ใช้สายตามองพัคจุนฮีเท่านั้น ลมปราณภายในร่างกายเคลื่อนไหวพุ่งเข้าใส่พัคจุนฮีอย่างไม่หยุดยั้ง เขากะจะข่มให้ฝ่ายตรงข้ามเกรงกลัว


ตอนนั้นเอง พัคจุนฮีรู้สึกว่าเยี่ยเทียนเหมือนแปลงร่างกลายเป็นสัตว์ประหลาดดุร้าย ส่วนตัวเธอก็เป็นอาหารของสัตว์ประหลาดนั่นเอง ความหวาดหวั่นหวั่นไหวกระเพื่อมขึ้นลงในใจเธอไม่หยุดหย่อน


เสือคำรามในป่าทำให้สัตว์ทั้งหลายหวาดกลัวจนหลบหนี คนก็เช่นเดียวกัน เยี่ยเทียนไม่ได้ฆ่าคนเป็นว่าเล่น แต่ชีวิตศัตรูนับสิบคนก็จบลงด้วยมือเขาเหมือนกัน ถ้าเขาตั้งใจจะปล่อยจิตสังหารแล้ว คนขี้ขลาดคงกลัวจนฉี่ราดไปแล้ว


“เยี่ยเทียน ทำอะไรอยู่? น้องหนูคนนี้เป็นเพื่อนแกเหรอ? ทำไมไม่ชวนเธอเข้ามาในบ้านเล่า?”


ตอนที่พัคจุนฮีกำลังใกล้หมดความอดทนเต็มทีนั้น เสียงของหญิงชราดังขึ้น พัคจุนฮีถึงได้ผ่อนคลายลง ความรู้สึกกดดันบีบคั้นนั้นสลายไปหมด


“ป้าใหญ่ ป้าจะไปซื้อกับข้าวหรือ?” เยี่ยเทียนแอบเสียดาย อีกแค่นิดเดียวก็จะทำให้พัคจุนฮียอมแพ้โดยไม่ต้องสู้แล้ว


“ฉันเพิ่งกลับมาจากโรงพยาบาล ก็เลยซื้อกับข้าวมาด้วย”


หญิงชรามองดูเยี่ยเทียนและพัคจุนฮีด้วยแววตาใคร่รู้ ดึงแขนเยี่ยเทียนมากระซิบถามว่า “เยี่ยเทียน แกทำอะไรน่ะ? ชิงหย่าเป็นคนดีนะ ถ้าแกทำผิดต่อชิงหย่าละก็ ป้าจะตีแกให้ขาหักเลย!”


ตั้งแต่เยี่ยเทียนหมั้นหมาย อวี๋ชิงหย่ามาที่เรือนสี่ประสานแห่งนี้บ่อยขึ้น ปกติแล้วจะมาคุยเล่นกับป้าใหญ่ ป้าและอาของเยี่ยเทียนเห็นเธอเป็นหลานสะใภ้ไปเรียบร้อยแล้ว


เยี่ยเทียนกำลังมีจิตสังหารรุนแรง แต่ไม่กล้าเปิดเผยให้ป้าใหญ่รู้ จึงกระซิบตอบไปว่า “ป้าใหญ่ ป้าพูดอะไรอย่างนั้น? เธอเป็นคนเกาหลี ไม่เกี่ยวอะไรกับผมเลยสักนิด”


“สาวเกาหลี? ยิ่งไม่ได้ใหญ่เลย บ้านเราจะไม่หาสะใภ้เป็นต่างชาติแน่นอน!”


หญิงชราพูดเสียจนประโยคสุดท้ายของเยี่ยเทียนไม่มีความหมาย เยี่ยเทียนไม่รู้จะทำอย่างไร ดีที่ภาษาจีนของพัคจุนฮีไม่ดีพอ ไม่อย่างนั้นท่าทางวางก้ามน่าเกรงขามของเยี่ยเทียนที่แสดงออกไปคงไม่มีประโยชน์


“เอาเถอะ ผมคุยกับป้าไม่รู้เรื่อง” เยี่ยเทียนดันให้ป้าใหญ่เข้าบ้านไป แล้วหันกลับมามองที่พัคจุนฮี พูดว่า “เธอตามฉันมา!”


เยี่ยเทียนรู้ว่า ถ้าวันนี้ไม่ทำให้เด็กสาวเกาหลีคนนี้ล้มเลิกความตั้งใจไปเสียคงจะไม่ได้ ถ้าเป็นในบ้านไม่เหมาะแน่ ดังนั้นเขาจึงเรียกเด็กสาวไปที่อื่นที่สงบลับตา


 “ค่ะ!” แม้ในใจจะยังกลัวอยู่ แต่พัคจุนฮีก็ตามเยี่ยเทียนไป


“ตรงนี้แล้วกัน”


เยี่ยเทียนเดินนำพัคจุนฮีไปอีกห้าหกนาที ทั้งสองมาถึงสวนเล็กๆ ใกล้กับเรือนสี่ประสาน ช่วงเช้าที่นี่จะมีคนมาออกกำลังกายกันพลุกพล่าน แต่พอถึงตอนเย็นกลับเงียบสงบอย่างประหลาด


“ได้โปรดชี้แนะด้วย!”


พัคจุนฮีถอดเสื้อคลุมตัวนอกออก เผยให้เห็นชุดฝึกวิชาสีขาวสะอาด เปลื้องผ้าที่ห่อหุ้มอาวุธอยู่ให้หลุดออก ปรากฎเป็นดาบด้ามยาวที่มีฝักดาบหุ้มอยู่


 “เรเช?”


เมื่อเห็นดาบคู่กายของพัคจุนฮีแล้ว เยี่ยเทียนนิ่งขรึม สายตาของเขาเฉียบแหลม แม้ตอนนี้จะเป็นเวลาใกล้พลบค่ำแล้ว แต่เยี่ยเทียนยังสามารถสังเกตเห็นชื่อดาบ”เรเช”ที่สลักอยู่ได้


ดาบเรเชเล่มนี้เหมือนกับดาบมุรามาสะที่เก็บอยู่ในบ้านของเขา คือเป็นสุดยอดหนึ่งในสิบดาบญี่ปุ่น


เดิมทีดาบเรเชมีชื่อว่า “เซนโนโตริ” เป็นดาบที่ทาชิบานะ ยูกิเคยใช้รบในสมัยสงครามญี่ปุ่น ตามตำนานเล่าว่า ในคืนฝนตกยูกิได้ลองถือดาบแล้วมีฟ้าผ่าลงมาใส่ แต่เขาไม่ตาย ตั้งแต่นั้นมายูกิจึงถูกขนานนามว่าเป็นเทพสายฟ้าจำแลง ชื่อดาบ”เรเช”จึงได้มาด้วยเหตุนี้


แต่เยี่ยเทียนดูที่ลวดลายของด้ามดาบแล้วกลับไม่ใช่ศิลปะในยุคสงครามญี่ปุ่นที่ดาบเรเชถูกตกทอดมา น่าจะเป็นดาบที่ถูกสร้างขึ้นในสมัยนี้เสียมากกว่า


“ไม่ผิดหรอก นี่เป็นดาบที่อาจารย์ของฉันมอบให้ชื่อดาบเรเช โปรดชี้แนะด้วย!” พัคจุนฮีพยักหน้า ดาบอยู่หลังมือ เธอรวบรวมพลังมหาศาล ความหวาดกลัวที่มีต่อเยี่ยเทียนมลายหายไป


ในญี่ปุ่นยุคก่อน ดาบถือเป็นอาวุธที่สูงส่ง อีกทั้งญี่ปุ่นไม่มีวิชาต่อสู่ที่สู้กับดาบด้วยมือเปล่า พอมือจับดาบพัคจุนฮีก็มีความมั่นใจมากขึ้นเป็นเท่าตัว


เยี่ยเทียนมองดูท่าทางของพัคจุนฮีแล้วพูดอย่างแช่มช้าว่า  “ถ้าเธอชักดาบออกมาจากฝักต่อหน้าฉันได้ การประลองครั้งนี้ ถือว่าเธอชนะ!”


ไม่ใช่เยี่ยเทียนประมาทคู่ต่อสู้ แต่เขาจะสู้กับคนมีดาบด้วยมือเปล่าไม่ได้ ถ้าหากพัคจุนฮีดึงดาบออกจากฝักได้ เยี่ยเทียนคงไม่สามารถล้มเธอได้


เยี่ยเทียนไม่เคยฝึกวิชาการต่อสู้แบบอื่นนอกสำนักมาก่อน ถ้าถูกดาบฟันเข้าก็ต้องเลือดไหลเหมือนกัน


อีกอย่างวิชาดาบญี่ปุ่นนั้นดุดัน ถ้าไม่ใช้วิชาอาคมแล้วละก็ เยี่ยเทียนคงเอาตัวรอดไม่ไหว การใช้บังคับมือของพัคจุนฮีนั้นง่ายกว่ามาก


แต่พัคจุนฮีไม่ได้ล่วงรู้ถึงความคิดของเยี่ยเทียน ยังคิดว่าเขาดูถูกตัวเองอยู่ สีหน้าเย็นชาเรียบเฉยราวน้ำค้างแข็ง พูดว่า “พัคจุนฮีเรียนดาบตั้งแต่อายุสิบสอง จนวันนี้เป็นนักดาบขั้นเจ็ด ยังไม่เคยชักดาบไม่ออกต่อหน้าคู่ต่อสู้ แม้แต่เทพแห่งดาบก็ไม่เคยเหมือนกัน!”


พัคจุนฮีตั้งแต่เริ่มฝึกกับวิชาดาบ สิ่งที่ฝึกเป็นอย่างแรกคือเทคนิคการชักดาบ หลักสำคัญคือ “โจมตีครั้งเดียวถึงแก่ชีวิต” ใช้ความรวดเร็วตอนชักดาบเข้าจู่โจมฝ่ายตรงข้ามตอนที่ยังไม่ทันตั้งตัว


เยี่ยเทียนผู้มือเปล่ากำลังจะสู้กับนักดาบ พัคจุนฮีเชื่อว่าเขาทำได้ แต่ที่เยี่ยเทียนบอกว่าจะทำให้เธอชักดาบไม่ออกนั้น ยังไงเธอก็มีทางเชื่อ


“ได้ไม่ได้ ลองแล้วจะรู้!” เยี่ยเทียนยิ้มบาง แต่กล้ามเนื้อทั้งร่างกายตึงเกร็ง ราวกับเสือดาวที่กำลังจ้องล่าเหยื่อ


“ได้!”


พัคจุนฮีพูดเสียงสะบัด ถือดาบขวางด้วยมือซ้ายสูงระดับอก มือขวาจับด้ามดาบอย่างว่องไว ออกแรงดึงอย่างรุนแรง


เสียง “ชิ้ง!”ดังขึ้น ดาบเรเชหลุดออกมาจากฝักได้ประมานสามนิ้ว แสงอาทิตย์สุดท้ายของวันทอดตกลงบนแนวป่าพาดลงมาที่ตัวดาบ เกิดเป็นแสงสะท้อน


ตอนที่พัคจุนฮีขยับแขน เยี่ยเทียนที่นิ่งค้างอยู่ จู่ๆก็เคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วมาที่ด้านซ้ายของพัคจุนฮี


เยี่ยเทียนใช้มือขวาดันข้อศอกด้านนอกของพัคจุนฮีเพียงเบาๆ ตัวดาบที่พ้นออกมาจากฝักแล้วสามนิ้วผลุบกลับเข้าไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับเสียง “ตึง”


พัคจุนฮีไม่ได้ลนลานที่ถูกสกัดกั้นการชักดาบ มือซ้ายยืมแรงที่เยี่ยเทียนดันไว้ลดลงมาที่ข้างเอว มือขวาของเธอยังจับด้ามดาบอยู่ที่กลางอก แล้วดึงเข้าหาอกตัวเอง


เทคนิคนี้เป็นการชักดาบแบบ “ฟันสะพายแล่ง” ตอนที่ดาบออกจากฝักนั้น ปลายดาบชี้ลง แล้วออกแรงวาดดาบขึ้นมาที่ไหล่ซ้ายของคู่ต่อสู้ในพริบตา ทำให้คู่ต่อสู้ป้องกันตัวไม่ได้


แม้การเคลื่อนไหวของพัคจุนฮีเร็วแล้ว แต่เยี่ยเทียนเร็วกว่า ตอนที่มือของเธอออกแรงเตรียมจะชักดาบในชั่วพริบตา เยี่ยเทียนงอนิ้วชี้ลงดีดเบาๆที่มือข้างที่จับดาบของพัคจุนฮี


พัคจุนฮีที่ตอนแรกออกแรงทั้งหมดไปที่มือขวา รู้สึกว่าหลังมือถูกดีดเข้า ความรู้สึกเจ็บปวดรุนแรงพุ่งขึ้นที่แขนวิ่งเข้าไปที่ไขสันหลัง


ตอนนั้นเองมือขวาของพัคจุนฮีไม่สามารถกำดาบไว้ได้อีก รู้สึกเหมือนไฟฟ้าช็อตที่มือจากด้ามดาบ รีบถอยตัวกลับไปด้านหลังพร้อมกับตัวสั่น รู้สึกได้ถึงพลังนิ้วอันร้ายกาจของเยี่ยเทียน


ผู้ที่ฝึกชักดาบ จะต้องใช้แรงจากมือซ้ายขวาสอดคล้องกัน พัคจุนฮีใช้มือซ้ายจับดาบไม่ได้ด้อยไปกว่ามือขวาเลย แต่ตอนนี้พุ่งถอยหลังไปหลายก้าว


“เฮ้ย!” พัคจุนฮีตะโกนออกมา ขณะเดียวกันมือซ้ายดันดาบเสียบไปด้านหลัง ใช้แนวกระดูกสันหลังเป็นหลักยันฝักดาบไว้ มือซ้ายจับอยู่ที่ด้ามดาบ


กระบวนท่านี้เรียกว่าตัดล่าง เมื่อดาบออกจากฝักแล้ว สามารถแทงจากกลางศีรษะของคู่ต่อสู้ คว้านเป็นวงกลมลงมาถึงกลางอก ฝ่ายตรงข้ามไม่สามารถป้องกันตัวได้ เป็นกระบวนท่าที่ดุดันนัก


แต่ถึงจะเป็นท่าดาบที่ร้ายกาจก็ต้องชักดาบออกจากฝักให้ได้ก่อน เยี่ยเทียนไม่เหลือช่องว่างโอกาสให้พัคจุนฮี ตอนที่เธอเคลื่อนเท้า ร่างกายของเยี่ยเทียนขยับติดเป็นเงาตามตัว


พัคจุนฮีกำลังจะชักดาบเห็นเยี่ยเทียนเข้ามาแนบร่างกับตนจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจของเขาแล้ว รีบถอยตัวกลับไม่กล้าชักดาบอีกแล้ว


“เอามานี่!”


เห็นกระบวนท่าชักดาบหลายท่าของพัคจุนฮีแล้ว เยี่ยเทียนขี้เกียจไปพัวพันอีก แบมือขวาออกไปอย่างแรง ชักดาบในฝักที่อยู่ในมือซ้ายของพัคจุนฮี ดาบ”เรเช”จึงถูกดึงออกมาจากทางด้านหลังของเธอ


มือขวาของเยี่ยเทียนวาดลง จับเอาปลายสุดของฝักดาบใช้นิ้วโป้งดีดขึ้นเบาๆ ทำให้ดาวเชเรที่พัคจุนฮีทำยังไงก็ดึงไม่ออกเกิดเสียงกรอบแตกแล้วเด้งออกมาเอง


……

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)