กระบี่จงมา 390.1-391.2

บทที่ 390.1 ท่วงทำนองแห่งจอมปราชญ์

 

เดินทางไปจุดธูปที่ศาลพ่อปู่ลำคลองต้องเดินไปอีกประมาณครึ่งชั่วยาม ไม่ถือว่าใกล้ เฉินผิงอันไม่ได้รู้สึกอะไร แต่ชายฉกรรจ์ที่มาส่งธูปผู้นั้นกลับละอายใจเล็กน้อย แต่ขณะเดียวกันก็ยิ่งสงสัยใคร่รู้ในประวัติความเป็นมาของคนกลุ่มนี้มากขึ้น


ชาวนาลงนาเห็นข้าวกล้า นายพรานขึ้นเขาเห็นฟืนดี ในเมื่ออยู่กับภูเขาก็กินกับภูเขา อยู่กับน้ำก็กินกับน้ำ หากทำงานกันคนละอาชีพ สิ่งที่ดวงตาเห็นย่อมต่างกันออกไป ในฐานะที่ชายฉกรรจ์ผู้นี้เป็นทั้งผู้ฝึกตนอิสระ อีกทั้งยังเป็นคนส่งธูป สายตาจึงมองเห็นผู้ฝึกตนมามากกว่า อีกทั้งแคว้นชิงหลวนก็ไม่เหมือนกับพื้นที่ส่วนใหญ่ในแจกันสมบัติทวีป พวกเขามีความสัมพันธ์กับบนภูเขาอย่างแนบแน่น อีกทั้งทางราชสำนักยังไม่เคยจงใจยกฐานะของสำนักตระกูลเซียนให้สูงขึ้น ความขัดแย้งมากมายทั้งบนและล่างภูเขา ฮ่องเต้สกุลถังล้วนแสดงให้เห็นถึงความกล้าหาญและความแกร่งกร้าวที่ไม่ธรรมดา นี่เป็นเหตุให้แคว้นชิงหลวน โดยเฉพาะอย่างยิ่งตระกูลผู้สูงศักดิ์ร่ำรวยมีความสนิทสนมคุ้นเคยกับเทพปีศาจและภูตผีตัวประหลาดในป่าเขาลำเนาไพรเป็นอย่างดี


และนี่ก็เป็นสาเหตุที่คนของแคว้นชิงหลวนมองตนเองสูงส่ง


อีกทั้งตอนนี้ยังมีตระกูลขุนนางและผู้มีชื่อเสียงอีกนับไม่ถ้วนแห่กันมาที่แคว้นชิงหลวน บวกกับงานโต้วาทีพุทธเต๋าที่ได้รับความสนใจจากคนทั้งแคว้นครั้งนี้ จึงทำให้ช่วงเวลานี้แคว้นชิงหลวนมีหน้ามีตาโดดเด่นในแถบตะวันออกเฉียงใต้ของแจกันสมบัติทวีปอย่างถึงที่สุด


ตบะของชายฉกรรจ์ตื้นเขินเกินไป แค่ขอบเขตสามเท่านั้น บางครั้งตอนที่ถุงเงินตุงแน่นเคยเชื้อเชิญสหายสนิทสองสามคนมาคุยเล่นกันก็จะค้นพบความรู้สึกได้เปรียบของการเป็นประชาชนในแคว้นชิงหลวน ซึ่งความรู้สึกนั้นไม่เป็นรองการที่เป็นผู้ฝึกลมปราณเลยแม้แต่น้อย


นี่คงจะเป็นความรักความผูกพันที่มีต่อบ้านเมืองกระมัง


เพียงแต่ว่าชายฉกรรจ์เองก็ไม่กล้ายืนยันว่า รอจนเป็นเทพเซียนห้าขอบเขตกลางแล้ว ตนเองจะกลายเป็นเหมือนพวกเซียนซือในทำเนียบวงศ์ตระกูลเหล่านั้นหรือไม่


แต่ภาพความฝันอันงดงามอยู่ห่างไกลเกินไป ถึงอย่างไรก็ต้องเดินไปบนเส้นทางใต้ฝ่าเท้าทีละก้าว ข้าวในถ้วยก็ต้องกินไปทีละคำ ยกตัวอย่างเช่นตอนนี้ที่ตนต้องพยายามผูกมัดจิตใจของคนต่างถิ่นกลุ่มนี้ไว้ให้ได้


คนกลุ่มนี้มีคนหนุ่มที่สะพายกระบี่และหีบไม้ไผ่เป็นผู้นำอย่างไม่ต้องสงสัย ฝีเท้าของเขาแผ่วเบา บุคลิกเคร่งขรึม น่าจะเป็นพวกเซียนซือในลำดับเทียบวงศ์ตระกูล แต่รากฐานที่แท้จริงน่าจะมาจากตระกูลของชนชั้นสูง


อีกทั้งคงจะเพิ่งฝึกตนบนภูเขาได้ไม่นานนัก ไม่อย่างนั้นหากเทียบกับเซียนซือหนุ่มหลายคนที่ชายฉกรรจ์พบเห็นมาซึ่งชาติกำเนิดไม่ค่อยดี แต่เลือกมาเกิดในครรภ์ดี ทำให้มีพรสวรรค์ดีเยี่ยม ตอนเด็กต้องได้รับโชควาสนาในการฝึกตนไปนานแล้ว บ้างก็ถูกยอดฝีมือที่เดินทางท่องเที่ยว หรือไม่ก็ผู้ฝึกตนของสำนักใหญ่ที่รับผิดชอบหน้าที่ตามหาต้นกล้าที่ดีหมายตา เดินขึ้นฟ้าในก้าวเดียว แต่นิสัยของผู้ฝึกตนหนุ่มประเภทนี้จะสมกับเป็นเซียนซือน้อยที่ดื่มน้ำค้างกินแสงอรุโณทัย ไม่น่าชิดเชื้ออย่างแท้จริง ทุกครั้งที่ลงจากภูเขาออกเดินทางไกลเพื่อฝึกขัดเกลาจิตแห่งการฝึกตนท่ามกลางโลกีย์วิสัย บางทีอาจไม่ถึงขั้นบีบคั้นคุกคามผู้คน แต่กลับเข้ากับคนอื่นได้ยากยิ่ง ไม่ว่าจะเผชิญหน้ากับขุนนางชนชั้นสูง หรือจอมยุทธ์วีรบุรุษในยุทธภพก็ล้วนปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเท่าเทียม นั่นคือมีเพียงคำว่าเฉยชาเท่านั้น


เด็กหญิงผิวดำเกรียมห้อยกระบี่และดาบไม้ไผ่ มีความเป็นไปได้ว่าน่าจะเป็นเด็กรุ่นหลังในตระกูลของคุณชายหนุ่ม มองดูแล้วเฉลียวฉลาด ส่วนผู้เฒ่าร่างเล็กเตี้ยสองคนน่าจะเป็นองค์รักษ์ข้ารับใช้ที่ช่วยบังลมบังฝนระหว่างที่คุณชายหนุ่มท่องอยู่ในยุทธภพ


ในขณะที่ชายฉกรรจ์กำลังลอบคาดเดาตัวตนของพวกเขา เฉินผิงอันก็กำลังใช้ภาษากลางของใบถงทวีปอธิบายให้เผยเฉียนฟังถึงเรื่องวงในบางอย่างเกี่ยวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาและแม่น้ำระดับพ่อปู่ลำคลอง


พวกพ่อปู่ลำคลอง แม่ย่าลำคลอง แม้ว่าจะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ได้รับการยอมรับจากราชสำนัก สามารถเสวยสุขกับควันธูปที่ชาวบ้านในพื้นที่จุดถวาย เพียงแต่ว่าระดับขั้นต่ำเกินไป เท่าเทียมในกับเสมียนชั้นผู้น้อยที่ยังไม่มีระดับขั้นในวงการขุนนาง ไม่ได้อยู่บนทำเนียบวงศ์ตระกูลหยกทองขององค์เทพแห่งขุนเขาและสายน้ำ แต่เมื่อเทียบกับพวกศาลเถื่อน การบวงสรวงเซ่นไหว้เถื่อนที่ผิดต่อกฎพิธีการแล้ว ต่อให้ฝ่ายหลังจะมีขนาดใหญ่แค่ไหน และฝ่ายแรกจะมีขนาดเล็กแค่ไหน แต่ฝ่ายหลังก็ยังอิจฉาฝ่ายแรกอยู่ดี ฝ่ายหลังถือเป็นหอเรือนกลางอากาศ ไม่มีควันธูปก็เท่ากับเจอทางตัน ร่างทองทรุดโทรมแห้งเหี่ยว รอแค่วันตายเท่านั้น อีกทั้งยังไม่มีสะพานให้เดินขึ้นสู่เบื้องบน จึงง่ายที่จะกลายไปเป็นเป้าหมายที่พวกเซียนซือในทำเนียบวงศ์ตระกูลอยากสังหาร ถูกผู้ฝึกตนอิสระในป่าเขามองเป็นเนื้อชิ้นโต ฝ่ายแรกที่เป็นพวกพ่อปู่แม่ย่าลำคลอง ต่อให้ลมและน้ำจะไหลหายไปแค่ไหน ควันธูปจะเบาบางเท่าไหร่ ขอแค่ระบบสืบทอดในราชสำนักยังคงอยู่ และทางราชสำนักยินดีให้ความช่วยเหลือก็จะสามารถเปลี่ยนตำแหน่งองค์เทพ ได้รับควันธูปอีกครั้ง ร่างทองก็จะได้รับการซ่อมแซมให้ดีดังเดิมได้


เมื่อไปถึงศาลพ่อปู่ลำคลองที่กินอาณาบริเวณสิบกว่าไร่ เพียงไม่นานคนเฝ้าศาลก็ออกจากประตูมาต้อนรับ เอ่ยแนะนำเรื่องราวเกี่ยวกับพ่อปู่ลำคลอง รวมไปถึงบทกวีที่เหล่าปัญญาชนและนักประพันธ์เขียนไว้บนฝาผนังให้พวกเฉินผิงอันฟังด้วยตัวเอง


ระหว่างที่ไปจุดธูปในตำหนักหลัก คนเฝ้าศาลยังบอกเป็นนัยๆ แก่เฉินผิงอันว่าขอแค่จ่ายเงินเกล็ดหิมะอีกสามถึงห้าเหรียญก็จะสามารถทิ้งตัวอักษรไว้บนผนังสีขาวสะอาดหลายแห่งได้ ราคาจะคำนวณตามตำแหน่งของผนังว่าดีหรือไม่ดี สามารถเก็บไว้ให้คนรุ่นหลังได้ชื่นชม ทางศาลจะเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี ไม่ปล่อยให้ถูกลมและฝนกัดเซาะ อีกอย่างการตั้งบูชาและการจุดตะเกียงฉางหมิงล้วนเป็นเรื่องดีที่ถือเป็นการสร้างบุญ แต่สิ่งเหล่านี้ขึ้นอยู่กับความต้องการของเฉินผิงอัน ทางศาลจะไม่บังคับ


ชายฉกรรจ์คนส่งธูปผู้นั้นมีสีหน้ากระอักกระอ่วนเล็กน้อย เขาไม่ได้เข้ามามีส่วนร่วมด้วย คนเฝ้าศาลใช้สายตาเตือนให้ชายฉกรรจ์ช่วยพูดประโยคน่าฟังเสริมคำพูดเขาอยู่หลายครั้ง แต่ชายฉกรรจ์ก็ยังไม่เอ่ยอะไร แม้จะบอกว่าทำอาชีพที่ไม่สอดคล้องกับสถานะผู้ฝึกลมปราณ แต่คงเป็นเพราะชายฉกรรจ์ที่มีนิสัยซื่อสัตย์ไม่อาจพูดถ้อยคำน่าฟังเกินจริงได้ จึงแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นสายตาของคนเฝ้าศาล


เฉินผิงอันมอบธูปสามดอกให้กับเผยเฉียนและจูเหลี่ยน มีเพียงสือโหรวเท่านั้นที่เขาไม่ได้มอบให้ ถึงอย่างไรผีสาวก็สิงอยู่ในคราบร่างเซียน เขากลัวว่าจะเกิดการขัดแย้งกันเอง


หลังจากจุดธูปกราบไหว้เสร็จ คนเฝ้าศาลก็รู้สึกว่าคงจะพูดให้อีกฝ่ายเพิ่มเงินค่าน้ำมันตะเกียงไม่เป็นผลแล้ว แต่สีหน้าเขาก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเพราะเหตุนี้ แม้ว่าจะเสียดายอยู่มาก กระนั้นก็ยังมีท่าทางเกรงอกเกรงใจ อีกทั้งยังรั้งพวกเฉินผิงอันให้ไปดื่มชายังที่พักของเขา ก่อนหน้านี้ชายฉกรรจ์คนส่งธูปเงียบงันมาโดยตลอด เวลานี้กลับเปิดปากเชื้อเชิญให้เฉินผิงอันไปดื่มชาพร้อมกับคนเฝ้าศาล บอกว่านับแต่โบราณมาน้ำในลำคลองก็ไม่ใช่น้ำที่ดีในการต้มชา แต่การดึงเอาน้ำในลำคลองที่อยู่ริมศาลพ่อปู่ลำคลองแห่งนี้มากลับมีส่วนที่ต้องพิถีพิถันอย่างมาก ด้านในมีแก่นน้ำอยู่มากมายที่สามารถบำรุงร่างกายและจิตวิญญาณได้


คนเฝ้าศาลหัวเราะอย่างฉุนๆ ขณะที่เดินอยู่กลางระเบียง ฉวยโอกาสที่พวกเฉินผิงอันกำลังชมภาพลอกลายศิลาบนระเบียง คนเฝ้าศาลจึงชะลอเท้าเดินรั้งท้ายไปเล็กน้อย แอบเหยียบเท้าชายฉกรรจ์หนึ่งที เจ้าหมอนี่เข้าข้างคนอื่นมากเกินไปแล้ว


ดูเหมือนว่าชายฉกรรจ์จะเคยชินกับนิสัยนี้ของอีกฝ่ายจึงแค่หัวเราะหึหึ


เฉินผิงอันปฏิเสธคำเชื้อเชิญให้ไปดื่มชาของคนเฝ้าศาลอย่างละมุนละม่อม เพียงแค่ถามเผยเฉียนว่า “อยากเขียนตัวอักษรไว้บนกำแพงบ้างหรือไม่?”


เผยเฉียนส่ายหน้าอย่างแรง


สามถึงห้าเหรียญเงินเกล็ดหิมะ! ทำไมผู้เฒ่าคนเฝ้าศาลคนนี้ไม่แย่งเงินไปตรงๆ เลยเล่า หากเอามาคำนวณเป็นเงินขาวก็สามารถทุ่มทับนางเผยเฉียนให้ตายได้เลย นางไม่เต็มใจจะให้อาจารย์จ่ายเงินก้อนนี้หรอก ว่าวนกอินทรีมู่เย่าที่ซื้อจากร้านว่าวในเมืองยังแค่แปดตำลึงเงินเท่านั้นเอง!


แต่เฉินผิงอันกลับหันไปมองผู้เฒ่าคนเฝ้าศาล ยิ้มกล่าวว่า “รบกวนหาผนังที่ไม่ค่อยสะดุดตาให้พวกเราสักแห่งหนึ่ง เอาแบบสามเหรียญเงินเกล็ดหิมะน่ะ พวกเราจะเขียนสักสองสามประโยค ใช่แล้ว ตัวอักษรพวกนี้ต้องมีเงื่อนไขอะไรหรือไม่?”


เผยเฉียนเกือบจะโยนไม้เท้าเดินป่าในมือทิ้งไปแล้ว นางรีบคว้าชายเสื้อเฉินผิงอัน ศีรษะเล็กๆ ส่ายเป็นกลองป๋องแป๋ง


คนเฝ้าศาลรีบกล่าวว่า “หากไม่ใช่ผนังที่ฮวงจุ้ยดีที่สุดในศาลพวกเรา สามเหรียญเงินเกล็ดหิมะ ต่อให้คุณชายเขียนเต็มผนังก็ยังไม่มีปัญหา”


คนเฝ้าศาลก้าวเร็วๆ นำทางไป บอกให้ชายฉกรรจ์ช่วยนำความไปบอกคนในศาลให้รีบเตรียมพู่กันและหมึกดีๆ เอาไว้


คนทั้งกลุ่มหยุดอยู่กลางระเบียงของเรือนชั้นที่สี่ ระหว่างที่กำลังรอพู่กันและหมึก คนเฝ้าศาลชี้ไปยังกลอนของปัญญาชนบทหนึ่งที่อยู่บนผนังห่างไปไม่ไกลพลางพูดโอ้อวดด้วยรอยยิ้มที่ค่อนข้างจะลำพองใจในตัวเองเล็กน้อย “แม้ว่าตรงนี้จะอยู่ค่อนมาทางด้านหลัง ไม่สะดุดตา แต่อันที่จริงกลับเป็นฮวงจุ้ยดีเยี่ยมในศาลของพวกเรา บอกตามตรง ข้ารู้สึกถูกชะตากับคุณชายอย่างมากถึงได้นำพาคุณชายมาที่นี่ ตรงนั้นคือผลงานประพันธ์ของรองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่วแคว้นชิงหลวนพวกเรา รองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่วท่านนี้คือบุคคลผู้มีชื่อเสียงของแคว้นชิงหลวนเราอย่างแท้จริง คือปรมาจารย์ผู้รอบรู้อย่างสมศักดิ์ศรี ตัวอักษรของเขา คิดว่าคุณชายคงมองออกถึงทักษะอันโดดเด่น ไม่จำเป็นต้องให้ข้าพูดอะไรมาก”


เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ลายมือทรงพลัง เส้นเอ็นและกระดูกแข็งแรง”


นี่หาใช่ว่าเฉินผิงอันแสร้งทำเป็นมีรสนิยม แต่เป็นเพราะเขาเคยเห็นตัวอักษรดีๆ มาไม่น้อยจริงๆ


ยกตัวอย่างเช่นตัวอักษรของหลี่ซีเซิ่ง ชุยตงซาน จงขุย


คนเฝ้าศาลยกนิ้วโป้ง “คุณชายคือคนในวงการ สายตาดีเยี่ยมจริงๆ”


เฉินผิงอันกลับรู้สึกกระดากใจเล็กน้อย


นี่ก็พอๆ กับการเรียนหมากล้อม ในเรื่องของการเขียนตัวอักษร เฉินผิงอันมีพรสวรรค์ธรรมดาสามัญอย่างแท้จริง หรือย้อนไปไกลกว่านั้น การขึ้นรูปเครื่องปั้นของเขาก็ไม่นับว่ามีฝีมือเช่นกัน


เผยเฉียนยิ่งกระวนกระวายใจ เงินนี้ต้องจ่ายออกไปแน่แล้ว ไม่เขียนตัวอักษรก็เสียเงินเปล่า หากไม่มีใครว่า นางอยากจะเขียนให้เต็มไปยันพื้นของศาลพ่อปู่ลำคลองแห่งนี้เลยด้วยซ้ำ หรือกระทั่งเทวรูปพ่อปู่ลำคลองก็ต้องเขียนด้วยถึงจะได้ไม่ขาดทุน แต่ตัวอักษรของนางที่ถูกพ่อครัวผู้เฒ่าจูเหลี่ยนเยาะเย้ยว่าเหมือนไส้เดือน เหมือนไก่เขี่ย หากต้องเขียนลงบนผนังอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้ นางกลัวว่าจะขายหน้าอาจารย์


ชายฉกรรจ์กับเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ทางศาลพ่อปู่ลำคลองรับเลี้ยงไว้ช่วยกันยกหมึก พู่กันและแท่นฝนหมึกมา


เผยเฉียนยิ่งตื่นเต้นเข้าไปใหญ่ นางรีบเอาไม้เท้าเดินป่าวางพิงผนัง ปลดห่อสัมภาระ ควักตำราเล่มหนึ่งออกมา คิดว่าจะหาประโยคที่ไพเราะสักประโยคจากในตำรา นางความจำดี อันที่จริงก็ท่องจำจนขึ้นใจได้นานแล้ว เพียงแต่ว่าเวลานี้ในหัวเล็กๆ ของนางว่างเปล่าขาวโพลน ไหนเลยจะจำได้แม้สักครึ่งประโยค จูเหลี่ยนที่อยู่ด้านข้างมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น พูดกลั้วหัวเราะด้วยน้ำเสียงแปลกแปร่ง บอกว่าคัดตัวอักษรตั้งมากมายมานานขนาดนี้ ถือว่าเสียเปล่าแล้ว ที่แท้กลับจำไม่เข้าหัวแม้แต่ตัวเดียว ตำราอริยะปราชญ์ก็ยังเป็นตำราอริยะปราชญ์ เจ้าโง่น้อยก็ยังเป็นเจ้าโง่น้อยอยู่จริงๆ เผยเฉียนไม่มีเวลามาสนใจพ่อครัวผู้เฒ่านิสัยเสียคนนี้ นางพลิกเปิดตำราดังพั่บๆๆ แต่หาไปหามาก็ยังรู้สึกว่าไม่ดีพอ หากให้นางเขียนลงบนกำแพงจริงๆ ต้องขายหน้าครั้งใหญ่เป็นแน่


เผยเฉียนปิดหนังสือลง หน้าม่อยคอตก พูดกับเฉินผิงอันว่า “อาจารย์ ท่านมีแผ่นไม้ไผ่ที่เขียนตัวอักษรไว้จนเต็มอยู่เยอะไม่ใช่หรือ ขอให้ข้ายืมสักสองสามแผ่นได้ไหม ข้าไม่รู้ว่าจะเขียนอะไรดี”


เดิมทีเฉินผิงอันรับพู่กันมาแล้ว คิดจะเขียนบทกวีสองสามบทที่ตนชื่นชอบ แต่พอเห็นท่าทางน่าสงสารของเผยเฉียนก็กลั้นยิ้ม ยื่นพู่กันส่งให้นาง “ถ้าอย่างนั้นก็เขียนประโยคในตำราที่เจ้าคิดว่ามีเหตุผลที่สุด หากคิดไม่ออกจริงๆ ก็เขียนความในใจออกมาก็ได้ ไม่ต้องตื่นเต้นขนาดนี้ ก็เหมอนคัดตัวอักษรในเวลาปกตินั่นแหละ”


เห็นรอยยิ้มของเฉินผิงอัน เผยเฉียนก็พอจะสบายใจขึ้นได้บ้าง นางสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง รับพู่กันมา จากนั้นก็เงยหน้าขึ้น แต่พอเห็นผนังสีขาวหิมะแล้วก็ให้รู้สึกหวาดกลัวไม่คลาย ดังนั้นสายตาของนางจึงเคลื่อนไปมาไม่หยุดนิ่ง สุดท้ายถึงค่อยๆ ทรุดตัวลงนั่งยอง นี่นางคิดจะเขียนตัวอักษรตรงมุมกำแพงด้านล่าง? ที่นี่ไม่มีภูตผีปีศาจที่นางกลัวที่สุด ไม่มีชุยตงซานที่เป็นดั่งหนึ่งสิ่งกำราบหนึ่งสิ่งอยู่ด้วยเสียหน่อย แต่เผยเฉียนกลับแสดงความขี้ขลาดออกมาถึงขั้นนี้ นับว่าเป็นเรื่องหายากเหมือนดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตกแล้ว

 

 

 


บทที่ 390.2 ท่วงทำนองแห่งจอมปราชญ์

 

เฉินผิงอันนึกถึงเรื่องในอดีตตอนยังเป็นเด็กหนุ่มขึ้นมา นั่นคือเรื่องที่เขา หลิวเสี้ยนหยางและกู้ช่านเจ้าเด็กขี้มูกยืดใช้ถ่านเขียนตัวอักษรในวัดเล็กๆ เพื่อประชันกับชื่อของคนอื่นๆ หลิวเสี้ยนหยางกับกู้ช่านช่วยกันคิดหาสารพัดวิธี สุดท้ายไปขโมยบันไดของครอบครัวหนึ่งมา วิ่งแบกออกมาจากเมืองเล็ก ข้ามสะพานหินโค้งจนมาถึงวัดเล็กแห่งนั้นก็พาดบันได ถึงได้เขียนชื่อของพวกเขาสามคนไว้บนจุดที่สูงที่สุดของผนังวัดเล็กได้ หลิวเสี้ยนหยางเป็นคนไปขโมยบันไดของครอบครัวหนึ่งในตรอกฉีหลง ส่วนกู้ช่านก็ขโมยถ่านไม้ในบ้านตัวเองมา สุดท้ายเฉินผิงอันเป็นคนจับบันได หลิวเสี้ยนหยางเขียนตัวอักษรใหญ่สุด กู้ช่านเขียนไม่เป็น เฉินผิงอันจึงช่วยเขียนให้เขา อักษรตัวช่านนั้น เฉินผิงอันต้องไปถามเพื่อนบ้านจื้อกุยถึงจะรู้ว่าเขียนอย่างไร


ดังนั้นเฉินผิงอันจึงยิ้มแล้วดึงหูหิ้วตัวนางขึ้นมา ก่อนตัวเองจะทรุดตัวนั่งลงไป บอกให้นางขี่คอตน “เขียนตรงจุดที่สูงที่สุดก็ไม่มีใครเห็นเหมือนกัน”


เผยเฉียนถือพู่กันในมือ นั่งอยู่บนคอของเฉินผิงอัน อีกมือหนึ่งเกาหัว เป็นนานก็ยังไม่กล้าจรดพู่กัน เฉินผิงอันก็ไม่เอ่ยเร่ง


จูเหลี่ยนหัวเราะชั่วร้าย “จอมยุทธ์หญิงใหญ่เผย เจ้าก็เขียนคำว่าหญ้าบนยอดกำแพงที่หยิ่งในศักดิ์ศรี ขับเรือตามลมสินค้าขาดทุนสิ เหมาะกับสถานการณ์ แถมยังเป็นความจริง นี่ก็เป็นหลักการเดียวกับจอมยุทธ์ในนิยายที่ข้ามอบให้เจ้าเล่มนั้นที่ต้องตะโกนเสียงดังว่าข้าเป็นใครๆๆ หลังจากตัดหัวคนชั่วร้ายไปแล้ว แบบนี้ชื่อเสียงจะได้ขจรไกลสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งยุทธภพอย่างไรเล่า ไม่แน่ว่าพอพวกเราไปถึงเมืองหลวงแคว้นชิงหลวน ทุกคนที่เห็นเจ้าก็อาจกุมหมัดเรียกเจ้าด้วยความเคารพว่าจอมยุทธ์หญิงเผยก็เป็นได้ แบบนั้นจะไม่กลายเป็นเรื่องราวงดงามที่คนกล่าวขานถึงหรอกหรือ?”


เผยเฉียนหันหน้ามา ยู่ใบหน้าเล็กๆ จนยับยุ่ง “จูเหลี่ยนหากเจ้ายังเป็นอย่างนี้อีก ถ้ายังเป็นอย่างนี้อีก ข้าจะ…จะร้องไห้ให้เจ้าดู!”


เฉินผิงอันยกเท้าเตะจูเหลี่ยนหนึ่งที ด่าฉุนๆ ว่า “แก่แล้วยังไม่ทำตัวให้น่านับถือ ดีแต่จะรังแกเผยเฉียนอยู่ได้”


จูเหลี่ยนหัวเราะฮ่าๆ ก่อนจะพยักหน้ารับ “นายน้อยเปิดปากทั้งที บ่าวเฒ่าก็จะปล่อยนางไปสักครั้ง นังหนูนี่ทุกวันกินอิ่มจนท้องกลมป่องยังจะตินั่นตินี่ บ่าวเฒ่าโมโหนัก”


สือโหรวรู้สึกทนรับหนึ่งเด็กหนึ่งคนแก่คู่นี้ไม่ไหวสักเท่าไหร่


ยกตัวอย่างเช่นก่อนหน้านี้ตอนที่เดินออกจากทางหลวงสายใหญ่ ขึ้นเขาลงห้วยผ่านหมู่บ้านกลางภูเขาบางแห่ง เจอฝูงสุนัขที่เห่าคนแปลกหน้าอย่างพวกเขา นังหนูที่ชื่อเผยเฉียนผู้นี้จะต้องยกไม้เท้าเดินป่าแล้ววิ่งตะบึงเข้าไปแล้วตวัดกวัดแกว่งกระบวนท่ากระบี่มารคลั่งคำรบหนึ่งจนฝุ่นฟุ้งตลบ ตัวคนวิ่งเร็วกว่าสุนัขเสียอีก


ตาแก่บ้ากามจูเหลี่ยนก็อยู่ว่างจัดจนยอมช่วยดักทางให้เด็กหญิง หลังจากกดตัวสุนัขพันธ์พื้นบ้านให้นอนหมอบกับพื้นได้แล้ว เผยเฉียนก็จะนั่งยองกดหัวสุนัขเอาไว้ ถลึงตาถามว่า “ไอ้น้องชาย นี่มันเรื่องอะไรกัน? ยังจะทำตัวดุร้ายอยู่อีกไหม? รีบขอโทษจอมยุทธ์หญิงเผยเร็วเข้า ไม่อย่างนั้นจะตีหัวสุนัขของเจ้าแล้วนะ…”


จากนั้นชาวบ้านและเด็กๆ ในหมู่บ้านเห็นเข้าก็จะวิ่งเข้ามาพร้อมเสียงด่า แล้วเฉินผิงอันก็เป็นคนนำทุกคนวิ่งเผ่นแผล็วหนีไป


สือโหรวไม่เข้าใจ นี่น่าสนุกตรงไหน?


แต่เฉินผิงอันที่เวลาปกติมักจะวางท่าเคร่งขรึมจริงจังกลับดูเหมือนจะ…วิ่งหนีอย่างมีความสุขมาก?


ไม่พูดถึงเผยเฉียนที่เป็นเด็ก พวกเจ้าคนหนึ่งคืออาจารย์ของพญามารชุย อีกคนหนึ่งคือปรมาจารย์ใหญ่วิถีวรยุทธ์ขอบเขตเดินทางไกล ไม่อายตัวเองบ้างหรือไร?


ยังมีครั้งหนึ่งเจอห่านขาวตัวใหญ่ริมลำคลอง เจ้าเฒ่าบ้ากามยุแยงให้เผยเฉียนไปประมือกับมัน ผลกลับกลายเป็นว่าเผยเฉียนถูกห่านไล่กวดร้องว้ากๆ เสียงดัง ก้นยังถูกห่านจิกอยู่หลายที พอวิ่งมาถึงข้างกายเฉินผิงอันด้วยเหงื่อที่แตกเต็มหัวก็ทอดถอนใจพูดว่าร้ายกาจเกินไปแล้ว เอาชนะไม่ได้เลย ตอนนั้นเฉินผิงอันหัวเราะดังไม่น้อยไปกว่าจูเหลี่ยนเลย


สือโหรวรู้สึกอยู่ตลอดว่าตนเข้ากับสามคนนี้ไม่ได้เลยสักนิด


ถึงขั้นรู้สึกว่าเวลาตนอยู่ข้างกายชุยตงซาน คล้ายว่าจะดีกว่า?


เวลานี้ในที่สุดเผยเฉียนก็เริ่มยกพู่กันจรดตัวอักษร เพียงแต่ว่าเขียนตัวอักษรบนผนังกับคัดตัวอักษรบนกระดาษเป็นคนละเรื่องกัน ขีดแรกนั้นบิดๆ เบี้ยวๆ เผยเฉียนสูดลมเย็นๆ ดังเฮือก ยื่นมือมาเช็ดเหงื่อบนหน้าทิ้ง ก่อนจะกัดฟันเขียนสี่ตัวอักษรว่า ‘ฟ้าดินผสานเป็นหนึ่ง’ จนเสร็จอย่างยากลำบาก เพียงแต่ว่าหลังจากเขียนครึ่งประโยคนี้เสร็จแล้ว เผยเฉียนที่เอนตัวออกมาด้านหลังเพื่อมองให้ชัดก็รู้สึกว่าไม่ว่ามองอย่างไรก็น่าตลกสิ้นดี ฝีมือไม่ได้ครึ่งของครึ่งเวลาคัดตัวอักษรยามปกติเลยด้วยซ้ำ ไม่ต้องหันไปมองจูเหลี่ยนนางก็รู้ได้ว่าพ่อครัวเฒ่าผู้นี้ต้องแอบหัวเราะเยาะว่าลายมือของนางมีแต่ผีไม่มีเทพแน่นอน


เผยเฉียนเกิดลังเลใจ สุดท้ายก็ทิ้งครึ่งประโยคนั้นไว้อย่างนั้น


นางขยับพู่กันลงมาข้างล่างเล็กน้อย จุ่มหมึกแล้วเขียนว่า ‘เผยเฉียนและอาจารย์มาเยือนที่แห่งนี้’


เสร็จเรียบร้อย!


เผยเฉียนรู้สึกพึงพอใจไม่น้อย แม้ว่าลายมือจะไม่สวยเท่าไหร่ แต่เนื้อความดียิ่ง


ไม่เสียแรงที่เป็นอาจารย์และศิษย์กัน ตอนนั้นที่เฉินผิงอันอยู่ในหมู่บ้านของซ่งอวี่เซาอริยะกระบี่ผู้เฒ่าแคว้นซูสุ่ยก็เขียนประโยคไร้ความคิดทำนองนี้บนหน้าผาหินด้านหลังน้ำตกเช่นกัน


เฉินผิงอันไม่ได้บังคับให้เผยเฉียนเขียนอะไรเพิ่มอีก เขาวางตัวนางลง หันไปพูดกับจูเหลี่ยน “เจ้าก็เขียนสักหน่อยสิ?”


จูเหลี่ยนถูมือ หัวเราะเสียงระรื่น “อย่าเลยดีกว่า ไม่ได้จับพู่กันมาหลายปีแล้ว มือต้องแข็งแน่นอน มีแต่จะกลายเป็นที่ตลกขบขันของผู้อื่น”


แต่เฉินผิงอันก็ยังคงยื่นพู่กันส่งให้จูเหลี่ยน


จูเหลี่ยนไม่ใช่คนอิดออด รับพู่กันมาแล้วก็ไม่ยืดยาด มือหนึ่งไพล่หลัง อีกมือหนึ่งจับพู่กันจุ่มหมึก ใคร่ครวญถ้อยคำที่จะเขียนอยู่ในใจ


เห็น ‘ฝีมือการเขียนพู่กัน’ ของเด็กหญิงมาก่อนแล้ว อันที่จริงทั้งคนเฝ้าศาล ชายฉกรรจ์คนส่งธูปและสือโหรวต่างก็ไม่คาดหวังในตัวจูเหลี่ยนแล้ว อีกอย่างผู้เฒ่าหลังค่อมยังเรียกตัวเองว่า ‘บ่าวเฒ่า’ ก็แสดงว่าเป็นข้ารับใช้ของตระกูลสูงศักดิ์ อาจจะรู้จักบทความบางอย่าง เขียนพู่กันได้บ้าง แต่จะดีได้ขนาดไหนกันเชียว?


ทว่าเฉินผิงอันกลับรู้รากฐานของจูเหลี่ยนดี


ตอนอยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัว ก่อนที่จูเหลี่ยนจะบ้าคลั่งไปอย่างสิ้นเชิง ถูกขนานนามให้เป็น ‘คุณชายจูเหลี่ยนผู้สูงศักดิ์ ผู้ที่เจ๋อเซียนยังต้องอาย’


จูเหลี่ยนเขียนบทกวีอันโด่งดังในพื้นที่มงคลดอกบัว ใช้ตัวอักษรฉ่าวซู่ (ตัวอักษรแบบหวัด) จำนวนตัวอักษรมีไม่มาก แค่ร้อยกว่าตัว ตัวอักษรแต่ละตัวดุจดั่งไข่มุก พออยู่บนผนังก็ยิ่งเคลื่อนคล้อยดุจเมฆล่องลอยและไหลระริกดุจสายน้ำหลั่งริน พาให้คนมองรู้สึกตื่นตะลึง


คนเฝ้าศาลเป็นคนรู้จักดูของ พึมพำเบาๆ ว่า “รวมกันดั่งขุนเขา แยกย้ายดั่งลมฝน รวดเร็วปานประหนึ่งสายฟ้า ว่องไวดุจเหยี่ยวโฉบบนนภา…มหัศจรรย์ลึกล้ำ บรรลุถึงแก่นแห่งความสุดยอด ย่อมต้องเป็นบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ในวงการตำราที่เก็บงำประกายอย่างลึกซึ้งแน่นอน…”


จูเหลี่ยนใช้วิธีการเขียนแบบหมึกจาง ดังนั้นจึงจุ่มหมึกน้อยมาก ท่วงทำนองเชื่อมประสานกันอย่างแนบแน่น เรียกได้ว่าเขียนเสร็จในรวดเดียว


ต่อให้เป็นสือโหรวก็ยังต้องยอมรับว่า…เฒ่าบ้ากามคนหนึ่งเขียนตัวอักษรได้งดงามขนาดนี้ แม้แต่สวรรค์ก็ยากจะทนรับได้!


จูเหลี่ยนคืนพู่กันให้เฉินผิงอัน “นายน้อย บ่าวเฒ่าบังอาจโยนอิฐล่อหยก ขอท่านอย่าได้หัวเราะเยาะ”


เฉินผิงอันไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ในใจคิดว่านี่เจ้าจูเหลี่ยนไม่ได้ผลักข้าเข้ากองไฟหรือไร?


แล้วสีหน้าของคนทั้งสามในศาลพ่อปู่ลำคลองก็เต็มไปด้วยความคาดหวังจริงๆ


เฉินผิงอันคิดในใจว่าคงต้องทำให้พวกเขาผิดหวังแล้ว


จูเหลี่ยนไม่ได้โยนอิฐล่อหยกอะไรทั้งนั้น อีกเดี๋ยวคนทั้งสามของศาลก็จะรู้เองว่าอะไรคือไข่มุกและหยกอยู่เบื้องหน้า กระเบื้องและอิฐอยู่เบื้องหลัง


เดิมทีเฉินผิงอันคิดว่าจะเขียนตัวอักษรตามที่เลือกมาจากแผ่นไม้ไผ่


แต่จูเหลี่ยนกลับยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ไม่อย่างนั้นนายน้อยก็เขียนสิ่งที่ตัวเองคิดไว้ในใจดีไหม? หน้าอกของนายน้อยมีร่องลึกกว้างใหญ่ สามารถเลือกไปใช้เส้นทางอื่น เหตุใดยังต้องเลียนแบบคนโบราณทุกเรื่องด้วยเล่า”


เฉินผิงอันครุ่นคิด หลังจากยืนมั่นคงแล้วก็กำมือข้างหนึ่งเป็นหมัดวางไว้ตรงหน้าท้อง อีกมือหนึ่งยกพู่กันเขียนตัวอักษร ยังคงเป็นตัวอักษรข่ายซู (อักษรแบบบรรจง) ที่เป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่ได้มีสีสันใดๆ มีเพียงแค่กฎเกณฑ์ที่จริงจังเท่านั้น


รอจนเฉินผิงอันเขียนสองประโยคจบ รอบด้านก็เงียบสงัด


เฉินผิงอันคืนพู่กันด้วยรอยยิ้มจืดเจื่อน


คนเฝ้าศาลและชายฉกรรจ์คนส่งธูปพาพวกเขามาส่งออกจากศาลพ่อปู่ลำคลอง


ระหว่างทางที่มาส่งคนเฝ้าศาลก็พูดถึงรองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่วคนนั้นอีกครั้ง ท่าทางเป็นกังวลอย่างยิ่ง


ที่แท้หลังจากผู้มากความรู้ของแคว้นชิงหลวนท่านนี้ลาออกจากการเป็นขุนนางมาใช้ชีวิตอยู่อย่างสันโดษระหว่างเขาเขียวและน้ำใสแล้ว สวนสิงโตซึ่งได้รับการขนานนามให้เป็นหนึ่งสิบสวนใหญ่ของแคว้นชิงหลวน เมื่อปลายหน้าหนาวของปีก่อนได้เกิดเรื่องประหลาดเรื่องหนึ่งขึ้น มีปีศาจจิ้งจอกออกอาละวาด ทำร้ายให้บุตรสาวคนเล็กที่อยู่ในห้องหอของรองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่วสติวิปลาส จากดรุณีน้อยในวัยสวยสดงดงาม กลับถูกปีศาจจิ้งจอกที่เผยกายด้วยรูปร่างของเด็กหนุ่มผู้หล่อเหลารังแกจนกลายเป็นคนน่าสงสารที่เหลือเพียงหนังหุ้มกระดูก ปีศาจจิ้งจอกที่มีตบะล้ำลึกตัวนั้นนิสัยแปลกประหลาดยากคาดเดา มันไม่สังหารคน กลับกันยังมีความสามารถด้านวรรณกรรม เข้าใจความรู้ของสามลัทธิอย่างกระจ่างแจ้ง มีครั้งหนึ่งเคยนั่งถกปัญหากับรองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่ว ถึงขั้นพูดให้รองเจ้ากรมผู้เฒ่าที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั้งแคว้นบื้อใบ้ได้ หลังจากนั้นรองเจ้ากรมผู้เฒ่าก็ทุ่มทรัพย์สินทั้งหมดที่มีเชิญให้เทพเซียนบนภูเขาหลายคนไปช่วยกำราบปีศาจในบ้าน คิดไม่ถึงว่าเทพเซียนผู้เฒ่า เซียนซือในทำเนียบวงศ์ตระกูลจากสำนักและภูเขาที่มีชื่อเสียงมากมาย หรือแม้แต่ผู้ฝึกตนอิสระที่ชื่อเสียงไม่โด่งดังแต่ฝีมือเหนือล้ำ พอไปถึงกลับถูกปีศาจจิ้งจอกตนนั้นปั่นหัวจนอับอายขายหน้ากันทุกคนโดยไม่มีข้อยกเว้น หากไม่ถูกแย่งชิงอาวุธประจำกายก็ถูกขโมยสมบัติอาคม ซ้ำร้ายหลังจบเรื่องยังต้องไปอ้อนวอนขอคืนจากปีศาจจิ้งจอกเป็นการส่วนตัว


เรื่องนี้เฉินผิงอันเคยเห็นในรายงานบนภูเขาที่สวนร้อยบุปผาของตระกูลเซียนส่งมาให้ เพียงแต่ว่าตอนนั้นไม่ได้เก็บเอามาใส่ใจ ในรายงานยังระบุจำนวนเงินรางวัลของสวนสิงโตด้วย ไม่ว่าใครก็ตาม ขอแค่ขับไล่ปีศาจจิ้งจอกตนนั้นไปได้ รองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่วก็ยินดีนำของโบราณสามชิ้นที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษประคองส่งให้ด้วยสองมือ


ตอนที่เดินไปใกล้ประตูใหญ่ของศาล ชายฉกรรจ์คนส่งธูปอดพูดอย่างปลงอนิจจังขึ้นมาไม่ได้ “รองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่วคือขุนนางน้ำดีที่หาได้ยาก ขนบธรรมเนียมประจำตระกูลของเขาก็ดีเยี่ยม หลายปีก่อนข้าเคยโชคดีมีโอกาสได้พูดคุยกับลูกหลานสกุลหลิ่ว บัณฑิตหนุ่มคนนั้นมีนิสัยนอบน้อมถ่อมตน จิตใจดีงามอย่างแท้จริง นี่แสดงให้เห็นว่าขนบธรรมเนียมประจำตระกูลหลิ่วนั้นเที่ยงตรง”


คนเฝ้าศาลพูดอย่างสะท้อนใจ “ก็นั่นน่ะสิ ลองหันมาดูลูกหลานสกุลหลิ่วที่ทำหน้าที่เป็นนายอำเภอของอำเภอที่อยู่ใกล้ศาลพวกเราสิ ภายในสี่ปี เขามุมานะบากบั่น ทำเรื่องที่มีประโยชน์ได้มากมายขนาดนั้น นี่เป็นสิ่งที่ผู้คนเห็นกันอยู่ในสายตาจริงๆ หากเจ้าบอกว่าได้พบบัณฑิตสกุลหลิ่วแล้วรู้สึกว่าความรู้ของเขาดี อีกทั้งยังได้รับการอบรมมาดี ถ้าอย่างนั้นนายอำเภอท่านนี้ก็คือผู้ที่ช่วยขจัดทุกข์บำรุงสุขให้กับชาวประชาตัวจริง เฮ้อ ไม่รู้ว่าสถานการณ์ของสวนสิงโตตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง หวังว่าจะไล่ปีศาจจิ้งจอกตนนั้นไปได้แล้วนะ”


เผยเฉียนฟังด้วยความรู้สึกขนลุกขนชัน


เกือบจะเอายันต์ออกมาแปะบนหน้าผากอยู่รอมร่อ


จูเหลี่ยนคลี่ยิ้มมีเลศนัย


ดีนักนะ คิดจะให้พวกเราไปช่วยผดุงความยุติธรรมแทนสวรรค์ล่ะสิ?


แน่นอนว่าสือโหรวหวังให้มีเรื่องน้อยดีกว่ามีเรื่องมาก


ปีศาจจิ้งจอกที่สามารถก่อคลื่นลมมรสุมอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับเมืองหลวงได้ ตบะต้องไม่แย่อย่างแน่นอน หากเป็นปีศาจใหญ่เซียนดินโอสถทองขึ้นมา แล้วถึงเวลานั้นจูเหลี่ยนจงใจเล่นงานตน เลือกจะนิ่งดูดายอยู่เฉยๆ นางก็ต้องเอาตัวไปรับมีดรับสมบัติอาคมแทนเฉินผิงอันที่ใช้อารมณ์ตัดสินปัญหาจริงๆ น่ะหรือ?


เฉินผิงอันรับฟังอยู่เงียบๆ โดยไม่เอ่ยอะไร พอออกมาจากประตูใหญ่แล้วก็หันไปกุมหมัดบอกลาพวกคนเฝ้าศาล


จากนั้นก็เดินทางไปยังเมืองหลวงแคว้นชิงหลวนต่อ


เฉินผิงอันพลันกล่าวว่า “ตระกูลผู้สูงส่ง มิกลัวภูตผีทำร้าย”


จูเหลี่ยนผงกศีรษะรับด้วยรอยยิ้ม “ถูกต้อง”


หลังจากพวกเฉินผิงอันจากไปแล้ว ในศาลพ่อปู่ลำคลองก็ยังไม่มีผู้มีจิตศรัทธาคนอื่นมาเยือน


ปัญญาชนท่าทางสุภาพสง่างามที่เรือนกายล่องลอย มีแสงสีทองไหลรินเดินออกมาจากเทวรูป มาหยุดอยู่กลางระเบียงของเรือนชั้นที่สี่ ยืนอยู่ใต้ผนังแถบนั้น


คนเฝ้าศาลรู้สึกตื่นตระหนกเล็กน้อย รีบพูดเกลี้ยกล่อมด้วยความหวังดี “นายท่านพ่อปู่ลำคลอง ตอนนี้ควันธูปมีไม่มาก ท่านอย่าอยู่นานเลยขอรับ”


หากสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาและแม่น้ำคิดจะเผยร่างทองบนโลก จำเป็นต้องใช้ควันธูปที่บริสุทธิ์มาประคับประคอง


องค์เทพแห่งขุนเขาได้รับควันธูปโชติช่วงย่อมไม่มีปัญหาให้เรื่องนี้ แต่ศาลพ่อปู่ลำคลองเล็กๆ แห่งนี้จำเป็นต้องคิดคำนวณอย่างละเอียดรอบคอบ


พ่อปู่ลำคลองที่ลักษณะเหมือนชาวขงจื๊อวัยกลางคนยิ้มรับ


เขาเผยสีหน้าปล่อยวางอย่างที่ไม่เคยมีมานาน เงยหน้ามองท้องฟ้า พูดอย่างปิติยินดีว่า “ศาลของข้าเล็กเกินไป จิตใจของท่านจอมปราชญ์ยิ่งใหญ่เกินไป พ่อปู่ลำคลองเล็กๆ ประหนึ่งได้ดื่มเหล้าหมักหอมหวาน ช่างโชคดี ช่างมีความสุขยิ่งนัก!”


คนเฝ้าศาลมึนงง ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น


แต่กลับพบว่านายท่านพ่อปู่ลำคลองที่มีท่าทางอมทุกข์อยู่ตลอดเวลาของตนท่านนี้ ไม่เพียงแต่มีสีหน้าสดชื่นเปี่ยมชีวิตชีวา แสงสีทองที่ไหลวนบนร่างของเขายามนี้ก็คล้ายจะครอบคลุมและกระชับแน่นกว่าเมื่อก่อนเยอะมาก


คนเฝ้าศาลพลันหันขวับกลับมามองผนังอีกครั้ง


ไม่ใช่ตัวอักษรฉ่าวซูบทนั้น


แต่เป็นตัวอักษรข่ายซูสองประโยคที่เขียนอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย


จันทราบนนภา พระจันทร์ในโลกหล้า แบกหีบหนังสือทัศนาจร เหนือไหล่มีแสงจันทร์ ยืนสูงพิงรั้วมองจันทร์ ตะกร้าไม้ไผ่ตักน้ำแตกแต่กลม


สายลมบนภูเขา สายลมริมสายน้ำ ขี่กระบี่เดินทางไกลใต้ฝ่าเท้าคือสายลม สายลมพลิกเปิดตำราอริยะปราชญ์ สายลมพัดผ่านจอกแหนล่องลอยพบพา

 

 

 


บทที่ 391.1 ตระกูลสูงส่ง นักพรตมีดอาคม

 

บนถนนทางหลวงมีรถม้าคันใหญ่ประดับประดาอย่างหรูหรา บ้างก็เป็นคนลักษณะประหลาดที่แต่งกายด้วยอาภรณ์สีสันฉูดฉาด นอกจากเผยเฉียนที่ยังไม่ค่อยรู้ความซึ่งมองออกแค่ว่าคนเหล่านี้มีเงินแล้ว สายตาของพวกเฉินผิงอันสามคนมีแต่จะดียิ่งกว่าคนส่งธูปผู้นั้น ผู้ฝึกลมปราณที่เดินทางมาท่องเที่ยวในแคว้นชิงหลวนในเวลานี้ ยินดีเข้ามาเหยียบในน้ำขุ่นบ่อนี้มีอยู่มากมายจริงๆ


คิดว่าเผยเฉียนคงจะยังเสียดายเงินเกล็ดหิมะที่ใช้เชิญธูปและเขียนตัวอักษร จึงยังไม่คืนสติกลับมา ท่าทางอ่อนระโหยโรยแรง แน่นอนว่ายังน่าจะเป็นเพราะละอายใจที่ตัวเองเขียนตัวอักษรได้แย่ที่สุด


คราวนี้จูเหลี่ยนไม่ได้หาเรื่องแกล้งเผยเฉียน


ดังนั้นตลอดทางที่เดินทางกันมาจึงค่อนข้างจะเงียบสงบ นี่กลับทำให้สือโหรวรู้สึกไม่คุ้นชินสักเท่าไหร่


จากเส้นทางเดิมที่วางแผนกันไว้ พวกเขาจะไม่เดินทางผ่านสวนสิงโตที่มีปีศาจจิ้งจอกก่อกวนแห่งนั้น ตอนที่อยู่ตรงทางแยกซึ่งสามารถผ่านไปยังสวนสิงโตได้ เฉินผิงอันเดินตรงดิ่งไปยังเมืองหลวงอย่างไม่มีความลังเลใดๆ นี่ทำให้สือโหรวเหมือนยกภูเขาออกจากอก หากไปเจอกับเจ้านายที่มีนิสัยเอาแต่ใจ ชอบทวงคืนความเป็นธรรมให้กับคนทั้งโลก นางคงร้องไห้ตายแน่


ในฐานะที่สวนสิงโตคือจวนที่พักอาศัยส่วนตัวของรองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่ว ที่นั่นคือสวนที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งในทิศตะวันตกเฉียงใต้ชานเมืองหลวง ตระกูลหลิ่วคือตระกูลผู้มีความรู้ที่เป็นขุนนางกันมาหลายรุ่นหลายสมัย สวนสิงโตถูกคนสกุลหลิ่วหลายรุ่นช่วยกันก่อสร้างขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง หาใช่เพิ่งมาเจริญรุ่งเรือง ประสบความสำเร็จในรุ่นของรองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่วรุ่นเดียวไม่ ดังนั้นหากกล่าวถึงคำว่าซื่อสัตย์และสุจริต จึงไม่อาจหาคำวิจารณ์ใดสำหรับสกุลหลิ่วได้เลย


เคยมีคนที่ชอบสอดรู้สอดเห็นตั้งใจไปรวบรวมบทความกวีนิพนธ์ที่คนแต่ละยุคสมัยบรรยายถึงทัศนียภาพของสวนสิงโตมาโดยเฉพาะ หลังจากนำมารวบรวมเป็นเล่มแล้วก็นำมาจัดพิมพ์อย่างงดงาม ว่ากันว่าร้านหนังสือแต่ละแห่งขายดิบขายดีไม่น้อย


เพียงแต่ว่าหลังจากพวกเขาเดินออกไปได้ประมาณยี่สิบกว่าลี้ คนส่งธูปของศาลพ่อปู่ลำคลองกลับตามมามอบของสองชิ้นให้ บอกว่าเป็นความต้องการของคนเฝ้าศาล หนึ่งคือกระบอกธูปที่ทำจากไม้ไผ่ซึ่งแกะสลักอย่างประณีตงดงาม ดูจากขนาดแล้ว ด้านในน่าจะบรรจุธูปน้ำเอาไว้ไม่น้อย อีกชิ้นหนึ่งก็คือหนังสือรวมผลงานของสวนสิงโตเล่มนั้น


เฉินผิงอันไม่ได้รับของตอบแทนจากศาลพ่อปู่ลำคลองทันที แต่ใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งถูไปบนน้ำเต้าลี้ยงกระบี่ตรงเอว


ชายฉกรรจ์พูดอย่างตรงไปตรงมา สีหน้าจริงใจ “ข้ารู้ว่าทำเช่นนี้สร้างความลำบากใจให้ผู้อื่น แต่บอกตามตรง หากสามารถเป็นไปได้ ข้าก็ยังหวังว่าคุณชายเฉินจะไปเยือนสวนสิงโตสักครั้ง หนึ่งเพราะปีศาจจิ้งจอกตนนั้นไม่ทำร้ายคน เทพเซียนแต่ละฝ่ายที่เดินทางไปปราบปีศาจที่นั่น ทุกคนล้วนไม่มีอันตรายถึงชีวิต อีกอย่างก็คือหากคุณชายเฉินไม่ยินดีจะลงมือ แต่ไปเที่ยวชมทัศนียภาพของสวนสิงโตก็ถือเป็นเรื่องดีเช่นกัน ถึงเวลานั้นก็ค่อยดูว่าท่านอยากจะลงมือหรือไม่”


จูเหลี่ยนแค่นเสียงหยันเย็นชา “ทำไม เจ้าคิดจะใช้คำว่าคุณธรรมมากดข่มนายน้อยของข้างั้นรึ?”


ชายฉกรรจ์ยิ้มเจื่อน “ข้าหรือจะกล้าได้คืบแล้วเอาศอก และยิ่งไม่ยินดีทำเช่นนี้ แต่เป็นเพราะได้พบกับคุณชายเฉินแล้วไพล่นึกไปถึงบัณฑิตแซ่หลิ่วคนนั้น ก็ให้รู้สึกว่าพวกท่านสองคนมีนิสัยคล้ายคลึงกัน ต่อให้เป็นคนแปลกหน้าที่ได้มาพบกันอย่างผิวเผินก็น่าจะพูดคุยกันถูกคอ ได้ยินว่าบุตรอนุภรรยาสกุลหลิ่วผู้นี้ เพื่อประโยคว่า ‘ที่ใดมีปีศาจและมารออกอาละวาด ย่อมต้องมีกระบี่ไม้ท้อของเทียนซือ’ ในตำราแล้ว ถึงขนาดออกเดินทางไกลไปตามหาเซียนซือของภูเขามังกรพยัคฆ์ที่ออกท่องเที่ยวหาประสบการณ์โดยเฉพาะ ผลกลับกลายเป็นว่าแค่ไปถึงแคว้นชิ่งซานก็เจอกับหายนะแล้ว ตอนที่กลับมากลายเป็นคนขาพิการ เส้นทางอนาคตที่ยิ่งใหญ่ยาวไกลจึงขาดสะบั้นลงตั้งแต่นั้น”


เฉินผิงอันพลันยื่นมือไปรับกระบอกธูปและตำรามาจากมือชายฉกรรจ์ พยักหน้ากล่าวว่า “ข้าบอกได้แค่ว่าจะลองไปดู แต่ไม่รับปากว่าจะต้องลงมือ”


ชายฉกรรจ์กุมหมัดคลี่ยิ้ม “เป็นแบบนี้ย่อมดีที่สุด!”


แล้วคนส่งธูปผู้นี้ก็ย้อนกลับไปยังศาลพ่อปู่ลำคลองอีกครั้ง ไม่ได้พูดว่าจะนำทางพาเฉินผิงอันไปเยือนสวนสิงโตอะไร


จูเหลี่ยนพูดเยาะหยัน “แค่คนทำการค้าที่ได้ผลประโยชน์เท่าหัวแมลงวันคนหนึ่ง ไม่รู้จักขยันหาเงินให้ดี เอาแต่แสร้งทำตัวมีน้ำใสใจจริงเลียนแบบพวกจอมยุทธ์ ไร้สาระจริงๆ”


เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “น้ำใสใจจริงไม่แบ่งแยกว่าเป็นคนแบบใด”


สือโหรวสีหน้าไร้อารมณ์ แต่ในใจกลับเคียดแค้นศาลพ่อปู่ลำคลองแห่งนั้นแทบตายอยู่แล้ว


คนทั้งกลุ่มจำเป็นต้องย้อนกลับไปทางเก่าเป็นระยะทางหนึ่งลี้กว่า จากนั้นก็เดินแยกออกจากทางหลวง ตรงไปยังสวนสิงโต


เผยเฉียนถามขึ้นเบาๆ “อาจารย์ พอไปถึงสวนสิงโตแห่งนั้น ข้าแปะยันต์บนหน้าผากได้ไหม?”


เฉินผิงอันพยักหน้ารับ เอ่ยเตือนว่า “ได้แน่นอนอยู่แล้ว แต่จำไว้ว่าต้องแปะยันต์ปราณหยางส่องไฟ อย่าแปะยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจ ไม่อย่างนั้นเกรงว่าอาจารย์ไม่อยากลงมือก็ต้องลงมือแล้ว”


เผยเฉียนตอบรับเสียงดัง


เฉินผิงอันพลันถามขึ้นว่า “ในเมื่อกลัวขนาดนี้ ทำไมถึงไม่ห้ามอาจารย์ไม่ให้ไปสวนสิงโตเสียเลยล่ะ?”


เผยเฉียนงันไป ก่อนจะยิ้มกว้างสดใส “เรื่องของผู้ใหญ่ เด็กไม่ควรสอดปาก”


เฉินผิงอันหัวเราะเสียงดัง ตบศีรษะเล็กๆ ของนางเบาๆ


จูเหลี่ยนจุ๊ปากพูด “จอมยุทธ์หญิงเผยใช้ได้เลยนี่นา ความสามารถในการประจบสอพลอไร้เทียมทานแล้วจริงๆ”


เผยเฉียนแค่นเสียงเย็น “ใกล้หมึกเปื้อนดำ ก็ไม่ใช่เพราะเรียนรู้มาจากเจ้าหรือไร อาจารย์ไม่เคยสอนข้าเรื่องพวกนี้!”


จูเหลี่ยนหัวเราะหึหึ “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็เป็นสีครามที่เกิดจากต้นคราม แต่เข้มกว่าครามแล้ว”


เผยเฉียนกุมหมัดพูดยอกย้อนตอบกลับด้วยท่าทางเหมือนคนแก่ “มิกล้าๆ เทียบกับความสามารถในการประจบประแจงของผู้อาวุโสจูแล้ว ข้าผู้น้อยยังห่างชั้นไกลนัก”


จูเหลี่ยนกุมหมัดคารวะกลับคืน “ใช่เสียเมื่อไหร่ เด็กรุ่นหลังมักเก่งกาจกว่าคนรุ่นเก่า”


มีหนึ่งแก่หนึ่งเด็กคู่นี้ปะทะคารมโต้เถียงกันไปมา การเดินทางไปสวนสิงโตจึงผ่อนคลาย ไร้ทุกข์ไร้กังวล


ขยับเข้าใกล้สวนสิงโตที่ตั้งอยู่ใจกลางหุบเขา หากไม่นับลำธารเส้นเล็กและถนนดินเหลืองแคบๆ เส้นนั้น อันที่จริงก็เรียกได้ว่ารอบด้านรายล้อมไปด้วยภูเขา


เฉินผิงอันพูดอย่างปลงอนิจจัง “หากรู้ตั้งแต่แรกก็น่าจะยืมป้ายสงบสุขปลอดภัยมาจากชุยตงซานสักแผ่น”


จูเหลี่ยนกล่าวอย่างสงสัย “ตอนนี้กองทัพม้าเหล็กต้าหลีไม่ใช่เพิ่งปักหลักอยู่ภาคกลางของแจกันสมบัติทวีปหรอกหรือ? แถมยังมีสำนักศึกษากวานหูคอยคุมเชิงอยู่ จะเคลื่อนทัพลงใต้ได้อย่างราบรื่นหรือไม่ก็ยังไม่อาจแน่ใจได้ ไม่อย่างนั้นสกุลซ่งต้าหลีก็ไม่จำเป็นต้องเปลืองแรงกับเรื่องที่นครมังกรเฒ่ามากถึงเพียงนั้น แถมยังต้องเชื้อเชิญตู้เม่ามาจากสำนักใบถง นี่เป็นการกระทำที่ผิดพลาดไม่ต่างจากชักศึกเข้าบ้าน ง่ายที่จะทำให้ผู้คนในแจกันสมบัติทวีปเกิดความแค้นร่วมกัน ในประวัติศาสตร์ของพื้นที่มงคลดอกบัว การที่กองกำลังซึ่งปกครองดินแดนของตัวเองเลือกตักตวงผลประโยชน์ตรงหน้า แล้วสุดท้ายสูญเสียรากฐานในการหยัดยืนของแคว้นไป มีมากมายจนนับไม่ถ้วน”


เฉินผิงอันเอ่ยอธิบาย “อันที่จริงนี่ไม่ค่อยเหมือนกับประวัติศาสตร์ของพื้นที่มงคลดอกบัวสักเท่าไหร่ ต้าหลีคิดฮุบกลืนพื้นที่หนึ่งทวีปเป็นแผนการที่มั่นคงและแข็งแกร่งกว่ามากนัก ถึงได้อยู่ในสถานการณ์ได้เปรียบที่ควบคุมทุกอย่างได้อย่างในตอนนี้ไงล่ะ…ไม่สู้ข้าเล่าให้เจ้าฟังสองเรื่อง เจ้าก็จะเข้าใจแผนการอันลึกล้ำยาวไกลของต้าหลีแล้ว ก่อนหน้านี้หลังจากที่ชุยตงซานไปจากโรงเตี๊ยมสวนร้อยบุปผาก็มีคนแวะมาเยี่ยมเยือน เจ้าคงรู้ใช่ไหม?”


จูเหลี่ยนพยักหน้ารับ “กลัวว่าจะเป็นเรื่องลับ บ่าวเฒ่าจึงไปรออยู่ในห้องของตัวเอง”


เฉินผิงอันตบศีรษะของเผยเฉียน ยิ้มพูดว่า “เจ้าเล่าประวัติความเป็นมาของป้ายสงบสุขปลอดภัยให้จูเหลี่ยนฟังก่อนสิ”


หลังจากเผยเฉียนได้รู้ถึงประโยชน์ของป้ายสงบสุขปลอดภัย นางก็อยากได้ของเล่นชิ้นนั้นมาครอบครองอยู่ตลอด นางคิดว่าตนเองจะต้องสะสมเงินให้ได้มากๆ จะได้รีบซื้อมาให้ตัวเองหนึ่งแผ่น


แรกเริ่มสุดป้ายสงบสุขปลอดภัยคือตราทางการทหารของภูเขาเจินอู่และศาลลมหิมะซึ่งเป็นปฐมสำนักของสำนักการทหารที่อยู่ทางทิศเหนือและทิศใต้ของแจกันสมบัติทวีป นำมาใช้ปกป้องลูกศิษย์สำนักการทหารของสองสำนักที่ต้องลงจากภูเขาไปฝึกประสบการณ์ ผู้ฝึกตนของภูเขาเจินอู่ต้องลงจากเขาไปเข้าร่วมกองทัพ แน่นอนว่าราชวงศ์ต้าหลีคือตัวเลือกอันดับหนึ่ง บวกกับที่อริยะหร่วนฉงของศาลลมหิมะสำนักการทหารเข้าไปรับผิดชอบเป็นอริยะผู้เฝ้าพิทักษ์ถ้ำสวรรค์หลีจู ภายหลังยังก่อสำนักตั้งพรรคขึ้นเองในเขตการปกครองหลงเฉวียน นี่ไม่ใช่เรื่องที่จะตัดสินใจกันได้ในทันทีทันใด หมายความว่าก่อนหน้านี้เมื่อนานมาแล้ว สกุลซ่งต้าหลีก็เคยคบค้าสมาคมกับศาลลมหิมะแล้ว


ไปๆ มาๆ ป้ายสงบสุขปลอดภัยนี้จึงเริ่มกลายมาเป็นยันต์คุ้มครองอันดับหนึ่งของผู้ฝึกตนราชวงศ์ต้าหลี ตอนนั้นสวี่รั่วจอมยุทธ์สำนักโม่ บุรุษที่สามารถต้านทานกระบี่ของเว่ยจิ้นเซียนกระบี่แห่งศาลลมหิมะได้อย่างสบายๆ ก็เคยมอบแผ่นหยกให้กับเด็กชายชุดเขียวและเด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูที่อยู่ข้างกายเฉินผิงอันคนละแผ่น ตอนนั้นเฉินผิงอันรู้สึกเพียงว่าเป็นของล้ำค่า เป็นของขวัญที่ใหญ่มาก แต่ตอนนี้ย้อนกลับไปมองอีกครั้ง นับว่าเขาดูแคลนฝีมือของสวี่รั่วเกินไป


จูเหลี่ยนได้ฟังความเป็นมาของป้ายสงบสุขปลอดภัยจากเผยเฉียนก็ยิ้มกล่าวว่า “หลังจากนี้นายน้อยสามารถแต้มนัยน์ตามังกรได้แล้ว”


เฉินผิงอันใช้วิธีรวมเสียงให้เป็นเส้นของผู้ฝึกยุทธ์พูดประโยคหนึ่งกับจูเหลี่ยนอย่างลับๆ “ชายฉกรรจ์ที่ไปเยือนโรงเตี๊ยมคือสายลับของต้าหลี ในมือเขาได้ครอบครองป้ายสงบสุขปลอดภัยระดับสูงอันดับสองของราชวงศ์ต้าหลี”


จูเหลี่ยนกระจ่างแจ้งในชั่วพริบตา “เข้าใจแล้ว”


แม้ว่าแคว้นชิงหลวนจะเจริญรุ่นเรือง กองกำลังของแคว้นไม่อ่อนแอ แข็งแกร่งกว่าแคว้นมากมายอย่างชิ่งซาน อวิ๋นเซียว ฯลฯ แต่หากกวาดตามองไปทั่วแจกันสมบัติทวีปก็ยังคงเป็นสถานที่เล็กแคบ เมื่อเทียบกับราชวงศ์ใหญ่ทั้งหลาย จะเรียกว่าแคว้นเล็กจิ๋วก็ยังไม่เกินไป


ดังนั้นนี่หมายความว่าราชวงศ์ต้าหลีไม่เพียงแต่หมายตาแคว้นชิงหลวนมานานแล้ว อีกทั้งยังให้ความสำคัญมาก ถึงขั้นมองเป็นสถานที่แห่งหนึ่งที่ต้องช่วงชิงมาให้ได้


ถ้าเช่นนั้นเหล่าชนชั้นสูง เหล่าปัญญาชนและเหล่าผู้มีชื่อเสียงที่เดินทางลงใต้เพราะได้รับผลกระทบจากไฟสงครามในภาคกลางของแจกันสมบัติทวีป แท้จริงแล้วก็เป็นแผนการเชิญท่านลงโอ่งของต้าหลีที่จัดวางมานานแล้วเท่านั้นเอง


แคว้นชิงหลวนแห่งนี้ไม่ใช่ดินแดนสุขาวดีนอกโลกที่สามารถหลบภัยอะไรได้เลย


จูเหลี่ยนเอ่ยชื่นชม “ใช้กองกำลังเพียงครึ่งหนึ่งของทวีปต้อนปลาเข้าแหอย่างง่ายดาย จากนั้นก็รวบแหเก็บทีเดียว เพียงแค่นั่งรอเก็บปลาเท่านั้น ซิ่วหู่แห่งต้าหลีช่างมีฝีมือดีจริงๆ มิน่าเล่าหลูป๋ายเซี่ยงผู้หยิ่งทระนงถึงได้เลื่อมใสศรัทธาในฝีมือของนักเล่นระดับแคว้นเมฆหลากสีผู้นี้มากที่สุด”


เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม


ก่อนหน้านี้ราชครูต้าหลี หรือควรจะพูดให้ถูกคือซิ่วหู่ครึ่งตัว อยู่ไกลสุดปลายฟ้า อยู่ใกล้เพียงตรงหน้า เพียงแต่ว่าคนสี่คนในภาพวาด มีเพียงเว่ยเซี่ยนที่ทั้งสองฝ่ายคุมเชิงกันอย่างอันตรายที่สุดอาศัยโอกาสนี้รู้ถึงสถานะของอีกฝ่าย


ท่ามกลางยอดเขาเขียวสูงตระหง่านและธารน้ำไหลริกๆ การมองเห็นพลันเปิดกว้าง


สวนสิงโตที่ประกอบไปด้วยกำแพงขาวกระเบื้องดำชายคาตวัดงอนตั้งอยู่ตรงกลางหุบเขาที่กว้างใหญ่


ประหนึ่งกล้วยไม้ส่งกลิ่นรวยรินกลางป่า ประหนึ่งคนงามอวลอลกลิ่นหอมของหญ้า


จูเหลี่ยนหัวเราะเสียงดัง “ทัศนียภาพงดงามจับตา ต่อให้ได้แค่เห็นภาพนี้อยู่ในสายตา เก็บซ่อนไว้ในหัวใจ การเดินทางมาครั้งนี้ก็ไม่เสียเปล่าแล้ว”


จูเหลี่ยนมักจะมีความคิดที่แปลกประหลาดอยู่เสมอ ยกตัวอย่างเช่นเมื่อเห็นสาวงามหรือทัศนียภาพที่งดงามอยู่ในสายตาก็เท่ากับว่าเก็บไว้ในชายแขนเสื้อ เป็นของรักของข้า ยิ่งเป็นของในกระเป๋าของข้าจูเหลี่ยนแล้ว


เฉินผิงอันมักจะรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง แต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกว่าคิดแบบนี้ก็ดีมาก


เฉินผิงอันไม่เคยมองคนทั้งสี่ในภาพวาดเป็นหุ่นเชิด นอกจากจะเป็นเพราะนิสัยของตัวเขาเองแล้ว เหตุใดจะไม่ใช่เพราะคนทั้งสี่ในภาพวาดล้วนมีเอกลักษณ์ที่แตกต่างจนเขาเฉินผิงอันไม่อาจมองพวกเขาเป็นดั่งสิ่งของไร้ชีวิต?


ทางที่เดินกันมาก่อนหน้านี้กว้างแค่รถม้าคันเดียวผ่านไปได้ เฉินผิงอันรู้สึกสงสัยยิ่งนักว่าบนทางเล็กๆ กลางภูเขายาวไกลสามสี่ลี้นี้ หากมีรถม้าสองคันมาเจอกันจะทำอย่างไร? ใครจะถอยให้ใคร?


มีต้นไม้โบราณสูงเสียดฟ้าหยั่งรากอยู่ริมลำธาร หินหน้าผาเป็นสีหิมะขาวโพลน


บริเวณใกล้เคียงมีศาลาริมทางเล็กๆ อยู่หลังหนึ่ง ผู้เฒ่าท่าทางสุภาพสง่างามลักษณะคล้ายผู้ดูแลคนหนึ่งเดินออกมาจากศาลาพร้อมกับเด็กสาววัยสิบสามสิบสี่ปีที่สวมอาภรณ์เรียบง่ายทว่างดงาม


คนทั้งสองเดินเร็วๆ มาหาพวกเฉินผิงอัน ผู้เฒ่ายิ้มถามว่า “ทุกท่านคือเซียนซือที่มาเยือนเพราะเลื่อมใสในชื่อเสียงมานานหรือ?”


เฉินผิงอันรู้สึกกระอักกระอ่วนใจเล็กน้อย


กลับเป็นผู้เฒ่าที่ช่วยคลี่คลายความอึดอัดให้ก่อนโดยการพูดกับเฉินผิงอันว่า “คิดดูแล้วคุณชายคงน่าจะรู้ถึงเหตุไม่คาดฝันที่เกิดขึ้นในสวนสิงโตทุกวันนี้แล้ว ช่วงนี้ปีศาจจิ้งจอกตนนั้นปรากฎตัวอย่างมีกฎเกณฑ์ยิ่ง สิบวันจะปรากฎตัวสักครั้งหนึ่ง คราวก่อนที่ปรากฏตัวก็ล่อลวงใจคน ตอนนี้เพิ่งจะผ่านไปได้แค่ห้าวัน ดังนั้นหากคุณชายมาที่นี่เพื่อชมทัศนียภาพ เวลาเท่านี้ก็ถือว่าเพียงพอแล้ว และงานโต้วาทีพุทธเต๋าของเมืองหลวงจะเริ่มขึ้นในอีกสามวันให้หลัง สวนสิงโตไม่กล้าแย่งชิงของรักของผู้อื่น ไม่ยินดีถ่วงรั้งการเดินทางของเซียนซือทุกท่านให้ล่าช้า”


เฉินผิงอันจึงพูดอย่างไม่อ้อมค้อม “ถ้าอย่างนั้นพวกเราคงต้องรบกวนสักสองสามวัน ดูสถานการณ์ก่อนค่อยว่ากัน”


ช่วงที่ผ่านมานี้ผู้ดูแลเฒ่าน่าจะเจอเซียนซือจากฝ่ายต่างๆ มามากมาย เกรงว่าคงได้รับรองผู้ฝึกตนอิสระที่เวลาปกติไม่ค่อยเปิดเผยโฉมหน้าอยู่ไม่น้อย ดังนั้นระหว่างที่นำทางเฉินผิงอันไปยังสวนสิงโตจึงละเว้นคำพูดอ้อมค้อมมากมายทิ้งไป บอกเล่าสถานการณ์ในปัจจุบันของสวนสิงโตทั้งหมดต่อเฉินผิงอันที่บอกแค่ชื่อแซ่ แต่ไม่ได้บอกภูมิหลังและสำนักอย่างตรงไปตรงมา


ปีศาจจิ้งจอกตนนั้นเรียกตัวเองว่านายท่านชิง ตบะสูงส่งยิ่ง มีเวทคาถาปีศาจให้ใช้มากมายราวกับไม่มีวันหมดสิ้น ทำให้คนเหน็ดเหนื่อยในการรับมือ ต้นตอหายนะมาจากเมื่อปีก่อนหลังจากที่ปีศาจใหญ่ตนนี้พบเห็นคุณหนูที่ตลาดก็ตกตะลึงในความงามของนาง แล้วจึงตัดสินใจจะแต่งนางมาเป็นคู่บำเพ็ญตน ช่วงแรกเริ่มสุดจึงเอาสินสอดทองหมั้นมาพูดคุยเรื่องแต่งงานถึงเรือน ตอนนั้นนายท่านของตนมองตัวตนปีศาจจิ้งจอกของเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาไม่ออก คิดแค่ว่าอีกฝ่ายยังมีความคิดเป็นเด็ก อีกทั้งเป็นบุรุษย่อมปรารถนาอยากครอบครองสาวงาม จึงไม่ได้โกรธเคือง เพียงปฏิเสธเด็กหนุ่มไปอย่างละมุนละม่อมโดยบอกว่าบุตรสาวคนเล็กมีคู่หมายมานานแล้ว ตอนนั้นเด็กหนุ่มจากไปด้วยรอยยิ้ม ในขณะที่สวนสิงโตคิดว่าเรื่องนี้ผ่านพ้นไปแล้วนั้นเอง คาดไม่ถึงว่าวันที่สามสิบของสิ้นปีเด็กหนุ่มจะมาเยือนอีกครั้ง บอกว่าต้องการประลองหมากล้อมกับรองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่วสิบตา หากเขาชนะก็จะแต่งงานกราบไหว้ฟ้าดินกับคุณหนู อีกทั้งยังจะมอบโชควาสนาเทพเซียนให้แก่คนทั้งสกุลหลิ่วและสวนสิงโตซึ่งมากพอจะทำให้หมาและไก่โบยบินขึ้นฟ้าเป็นเซียนไปพร้อมกัน


แม้ว่ารองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่วจะมีฝีมือการเล่นหมากล้อมดีเยี่ยม ต่อให้ประชันกับฉีไต้จ้าวของแคว้นชิงหลวนหลายคนก็ยังไม่ตกเป็นรอง แต่เขาไม่อาจเอาเรื่องแต่งงานซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ในชีวิตของบุตรสาวมาล้อเล่นได้ จึงปฏิเสธไปอีกครั้ง


หลังจากนั้นเด็กหนุ่มผู้หล่อเหลาก็จะมาเยือนถึงบ้านวันเว้นวัน และคุณหนูก็ผ่ายผอมลงเรื่อยๆ ทุกวัน หมดเรี่ยวแรงจนแทบจะเดินไม่ได้ รองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่วถึงเพิ่งตระหนักว่าหายนะมาเยือนแล้ว รีบสั่งให้คนไปขอความช่วยเหลือจากเมืองหลวงทันที ทว่าคนผู้นั้นกลับเจอผีบังตา ทุกครั้งจะต้องเดินกลับมาที่สวนสิงโต ไม่ว่าอย่างไรก็เดินออกไปจากทางสายเล็กนั่นไม่ได้ ยังดีที่สวนสิงโตมีกุนซือท่านหนึ่งที่รอบรู้ในเรื่องตระกูลเซียน ต้องวางแผนอย่างยากลำบากกว่าจะส่งข่าวของสวนสิงโตให้แพร่ออกไปยังภายนอกได้

 

 

 


บทที่ 391.2 ตระกูลสูงส่ง นักพรตมีดอาคม

 

อันดับแรกเทพเซียนผู้เฒ่าแห่งอารามเต๋าในเมืองหลวงที่สนิทสนมกับสกุลหลิ่วมาเยือนอย่างห้าวหาญ สามารถฝ่าค่ายกลบังตาเข้ามาในสวนสิงโตได้สำเร็จ คอยเฝ้าอยู่ด้านล่างหอซิ่วโหลวที่เด็กสาวผู้น่าสงสารอยู่อาศัย วาดยันต์ร่ายอาคมไปทั่วสี่ทิศ ผลกลับกลายเป็นว่าวันต่อมาคนของสวนสิงโตพบว่าเทพเซียนขอบเขตประตูมังกรที่มีชื่อเสียงว่าคุณธรรมสูงส่งผู้นี้ถูกมัดมือทั้งสองข้าง ร่างกายเปล่าเปลือยถูกแขวนไว้บนต้นไม้ใหญ่ พอถูกช่วยลงมาได้แล้ว เจ้าอารามผู้เฒ่าอับอายเกินกว่าจะสู้หน้าใครได้ พูดแค่ว่าปีศาจจิ้งจอกตัวนี้มีตบะสูงเกินไป เขาไม่ใช่คู่มือของอีกฝ่าย


หลังจากนั้นก็มีผู้ฝึกลมปราณอีกหลายกลุ่มที่ทยอยกันมาขับไล่ปีศาจจิ้งจอก มีทั้งจอมยุทธ์ที่เลื่อมใสในขนบธรรมเนียมประจำตระกูลของตระกูลหลิ่วมานาน แล้วก็มีทั้งคนที่เดินทางมาเพราะหวังอยากครอบครองสมบัติสืบทอดสามชิ้นของรองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่ว


ทุกคนล้วนถูกปีศาจจิ้งจอกตนนั้นปั่นหัวเล่นจนมีสภาพสะบักสะบอม


เป็นเหตุให้ปีศาจจิ้งจอกป่าวประกาศแก่รองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่วอย่างโจ่งแจ้งว่า มันจะมาเยือนสวนสิงโตทุกๆ สิบวัน ‘ท่านพ่อตา’ อยากเชิญใครมาประลองเวทคาถากับลูกเขยอย่างมันก็ตามสบาย จะได้สอนให้สวนสิงโตรู้ถึงความร้ายกาจของมัน วันหน้าเมื่อกลายเป็นคนในครอบครัวเดียวกันแล้ว หายนะในวันนี้ย่อมต้องกลายเป็นเรื่องเล่าอันงดงามในวันหน้าอย่างแน่นอน


เฉินผิงอันเพียงแค่รับฟังเงียบๆ


เด็กสาวอายุสิบสามสิบปีที่ปลายจมูกมีกระเล็กน้อยคนนั้นคือบุตรสาวของผู้ดูแลสวนสิงโต ตลอดทางที่เดินมาเด็กสาวไม่ได้เอ่ยคำใด ก่อนหน้านี้น่าจะแค่มาอยู่คุยเล่นเป็นเพื่อนบิดาที่ศาลาริมทางเท่านั้น


ก่อนจะเข้าไปในสวน เฉินผิงอันชำเลืองตามองยันต์ปราณหยางส่องไฟบนหน้าผากเผยเฉียนแวบหนึ่ง แล้วก็แอบใช้มือแตะลงไปบนยันต์เบาๆ ยันต์ที่มีสัมผัสเฉียบไวต่อปราณชั่วร้ายอย่างถึงที่สุดแผ่นนี้กลับไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ


เฉินผิงอันไม่มีความคิดจะปลดยันต์ลงมา อารมณ์ของเขาไม่นับว่าผ่อนคลายนัก ปีศาจจิ้งจอกที่ขวัญกล้าเทียมฟ้าตนนี้ต้องมีเวทคาถาเฉพาะที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเองอย่างแน่นอน ไม่แน่ว่าอาจเป็นปีศาจใหญ่จำพวกเซียนดินจริงๆ


ตอนนี้ในสวนสิงโตยังมีผู้ฝึกตนอีกสามกลุ่มที่รอคอยให้ปีศาจจิ้งจอกเผยตัวในอีกห้าวันให้หลัง


บวกกับเฉินผิงอันก็มีทั้งหมดสี่กลุ่ม


พวกเฉินผิงอันถูกผู้ดูแลผู้เฒ่าแซ่จ้าวพาไปยังที่พักซึ่งตั้งอยู่ในสี่มุมรอบหอเรือนของคุณหนูแห่งสวนสิงโต อันที่จริงปีศาจจิ้งจอกไปมาอย่างไร้ร่องรอย การจัดวางที่ตื้นเขินเช่นนี้ก็แค่ทำให้คนสบายใจขึ้นมาเล็กน้อยเท่านั้น


ระหว่างที่เดินทางไปยังที่พักก็ได้ชมทัศนียภาพอันสบายตาของสวนสิงโต หอเรือน หอเก๋ง ศาลารมย์ สะพาน ผนัง ต้นไม้ดอกไม้ กรอบป้ายกลอนคู่ ล้วนมอบความรู้สึกสบายและผ่อนคลายให้แก่ผู้คน


ตระกูลปัญญาชนผู้มีความรู้ หากทั้งร่ำรวยและทั้งสูงศักดิ์ เมื่อเดินเล่นอยู่ในสวนส่วนตัว ต่อให้ไม่พูดคุยสื่อสารกับใคร ไม่มีเสียงพิณ ภาพวาด ไม่ได้ร่ำสุราหรือดื่มชา แต่ก็ยังให้ความรู้สึกรื่นรมย์สบายใจแก่ผู้คนเช่นนี้เสมอ


ไม่มีแสงทองประกายหยกอร่ามเรืองรองตามจินตนาการของชาวบ้านร้านตลาด ยิ่งไม่มีหาบทองหรือม้านั่งเงินวางไว้ในบ้าน


คนเฝ้าประตูบ้านอัครเสนาบดีเท่ากับขุนนางขั้นเจ็ด หน้าเรือนของตระกูลไร้เสียงสุนัขเห่า


หากไม่พูดถึงอำนาจ พูดถึงแค่ธรรมเนียมที่สืบทอดกันในตระกูล ถึงอย่างไรพวกตระกูลเศรษฐีที่เจริญก้าวหน้าอย่างพรวดพราดก็เทียบกับตระกูลขุนนางชนชั้นสูงที่สืบทอดกันมาหลายรุ่นอย่างแท้จริงไม่ได้


เฉินผิงอันสี่คนพักอาศัยอยู่ในเรือนเล็กที่งามวิจิตรแห่งหนึ่ง อันที่จริงตำแหน่งที่ตั้งเลยสวนดอกไม้มา ห่างจากหอเรือนของคุณหนูผู้นั้นแค่ร้อยกว่าก้าว นี่ไม่สอดคล้องกับขนบธรรมเนียมทั่วไป สถานที่บางแห่งของแจกันสมบัติทวีปที่เคารพนับถือหลักการบางอย่างโดยเฉพาะจะพิถีพิถันกับกฎที่ว่าสตรีไม่ออกจากประตูใหญ่ไม่ก้าวข้ามประตูรอง (เปรียบเปรยว่าสตรีจะไม่ออกจากบ้านง่ายๆ) เป็นพิเศษ เพียงแต่ว่าตอนนี้เด็กสาวคนนั้นมีอันตรายถึงชีวิต อีกทั้งรองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่วซึ่งเป็นบิดาก็ไม่ใช่คนคร่ำครึ แน่นอนว่าไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้


รองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่วมีบุตรชายสามคนบุตรสาวสองคน บุตรสาวคนโตแต่งงานกับบุรุษมากความสามารถของชนชั้นสูงที่ฐานะเท่าเทียมกัน เมื่อเดือนหนึ่งได้กลับมาบ้านเดิมพร้อมกับสามี คิดไม่ถึงว่าจะกลับออกไปอีกไม่ได้ จึงรั้งอยู่ในสวนสิงโตตลอดเวลา บุตรชายคนอื่นๆ ก็มีสภาพที่อเนจอนาถเช่นเดียวกัน มีเพียงบุตรชายคนโตที่เนื่องจากเป็นขุนนางในอำเภอที่อยู่ใกล้กับศาลพ่อปู่ลำคลอง จึงไม่ได้กลับมาฉลองปีใหม่ที่บ้าน ถึงผ่านหายนะครั้งนี้ไปได้ หลังเกิดเรื่องรองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่วก็ส่งจดหมายไปให้ จดหมายหนึ่งฉบับในนั้นใช้ถ้อยคำที่รุนแรงมาก บอกว่าไม่อนุญาตให้บุตรชายคนโตกลับมาที่สวนสิงโต ห้ามละทิ้งงานส่วนรวมด้วยเรื่องส่วนตัวเด็ดขาด


บุตรชายคนรองของรองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่วน่าสงสารที่สุด ออกจากบ้านไปครั้งเดียว ตอนกลับมาก็กลายเป็นคนพิการไปแล้ว


พูดถึงรองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่ว อันที่จริงอายุของหลิ่วจิ้งถิงไม่ถือว่ามาก เพียงแต่ว่าเกิดมาเป็นเด็กอัจฉริยะ การสอบเคอจวี่เป็นไปอย่างราบรื่นไร้อุปสรรค อายุสิบแปดก็ได้เป็นจ้วงหยวน ขึ้นสู่ตำแหน่งสูงได้โดยไม่เปลืองแรง เป็นขุนนางมาสามสิบปี สิบสองปีในนั้นได้นั่งตำแหน่งรองเจ้ากรมพิธีการ ดังนั้นยังไม่ถึงอายุห้าสิบก็เกษียณตัวเองลาออกจากการเป็นขุนนาง คนทั้งราชสำนักต่างก็ชอบเรียกเขาด้วยความเคารพว่ารองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่ว


เฉินผิงอันเพิ่งจะวางสัมภาระลง รองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่วก็มาเยือนถึงที่พักด้วยตัวเอง เขาคือผู้เฒ่าที่มีบุคลิกสุภาพสง่างามคนหนึ่ง ทั่วกายมีกลิ่นอายของปัญญาชนเข้มข้น แม้ว่าตระกูลจะเจอกับหายนะครั้งใหญ่ แต่สีหน้าของหลิ่วจิ้งถิงก็ยังคงไว้ซึ่งความสุขุม เวลาที่พูดคุยกับเฉินผิงอันก็มีรอยยิ้มแต้มใบหน้าอยู่เป็นนิจ ไม่ใช่สีหน้าเบิกบานอย่างฝืนใจ เพียงแต่ว่าหว่างคิ้วของผู้เฒ่ามีความกังวลและความเหนื่อยล้าอย่างปิดไม่มิด เป็นเหตุให้เฉินผิงอันรู้สึกดีกับเขามากขึ้นที่เขามีทั้งความหนักแน่นสมกับเป็นผู้นำของตระกูล ขณะเดียวกันก็มีความจริงใจสมกับเป็นบิดาของผู้อื่น


ตอนที่มาส่งหลิ่วจิ้งถิงนอกประตูเรือน รองเจ้ากรมผู้เฒ่ายิ้มพูดกับเฉินผิงอันว่าสามารถไปเดินเล่นอยู่ในสวนสิงโตได้ตามใจต้องการ


กลับมาถึงเรือนพัก เผยเฉียนคัดตัวอักษรอยู่ในห้อง หน้าผากแปะแผ่นยันต์ ต่อให้นอนหลับก็ไม่มีทางปลดมันลง


สือโหรวรู้สึกจนใจเล็กน้อย เดิมทีเรือนแห่งนี้ก็ไม่ใหญ่ มีห้องพักแค่สำหรับสามคนเท่านั้น ผู้ดูแลของสวนสิงโตคิดว่าให้ข้ารับใช้วัยชราสองคนเบียดกันพักอยู่ในห้องเดียวกันก็ไม่ถือว่าเสียมารยาทในการรับรองแขก


ไหนเลยจะรู้ว่าด้านในร่าง ‘ตู้เม่า’ นี้จะมีผีสาวโครงกระดูกอาศัยอยู่ ทำให้สือโหรวต้องพักอยู่ในห้องเดียวกับตาเฒ่าบ้ากามจูเหลี่ยน สือโหรวยอมอยู่ในลานบ้านตั้งแต่ค่ำจรดเช้าเสียยังดีกว่า ถึงอย่างไรนางก็เป็นวัตถุหยิน จะนอนหรือไม่นอนก็ไม่ได้ส่งผลร้ายต่อพลังต้นกำเนิดจิตวิญญาณของนาง


เพียงแต่เฉินผิงอันบอกว่าให้นางพักในห้องหลัก เขาจะนอนเบียดกับจูเหลี่ยนเอง


สือโหรวลังเลอยู่ชั่วขณะก็พยักหน้าตอบรับ เอ่ยขอบคุณหนึ่งคำ


จูเหลี่ยนทำหน้าเสียดาย ทำเอาสือโหรวที่ได้เห็นรู้สึกเหมือนมีคลื่นยักษ์ถาโถมในหัวใจ


จูเหลี่ยนหันหน้าไปมองนอกเรือน เฉินผิงอันผงกศีรษะให้เขา จูเหลี่ยนจึงลุกขึ้นไปเปิดประตู ห่างไปไกลมีคนเดินมาหกคน น่าจะเป็นผู้ฝึกลมปราณสองกลุ่มที่มากำจัดปีศาจปราบมารในสวนสิงโต


ผู้ฝึกตนคู่หนึ่งที่เป็นสามีภรรยากัน บุรุษมองดูแล้วอายุค่อนข้างมาก น่าจะประมาณสี่สิบปี ส่วนสตรีดูอ่อนเยาว์กว่า ประมาณสามสิบปี น่าจะเป็นขอบเขตถ้ำสถิตทั้งคู่ บุรุษแบกกระบี่ยาวที่ฝักทำด้วยหนังปลาฉลาม นี่ก็คือวิธีการที่ผู้ฝึกตนใช้กันเป็นประจำ หากผู้ฝึกลมปราณสะพายกระบี่ออกเดินทางจะมีพลังสยบที่มองไม่เห็นชนิดหนึ่ง หากอีกฝ่ายเป็นผู้ฝึกกระบี่ขึ้นมาเล่า?


สตรีแต่งงานแล้วสวมชุดชาววัง รูปโฉมอยู่ในระดับปานกลาง เพียงแต่ว่าผิวพรรณขาวนวลดุจหิมะ จึงให้ความงดงามตามธรรมชาติแก่คนมอง


คนอีกสี่คนที่เหลือมีทั้งคนแก่และเด็ก ดูจากตำแหน่งการเดิน คนหนุ่มที่หล่อเหลาน่าจะเป็นหัวหน้า เขาเป็นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวคนหนึ่ง อีกสามคนที่เหลือจึงจะเป็นผู้ฝึกลมปราณที่แท้จริง ตรงไหล่ของผู้เฒ่าชุดดำมีจิ้งจอกขนสีแดงเพลิงตัวเล็กท่าทางเฉลียวฉลาดตัวหนึ่งนั่งอยู่ ส่วนบนแขนของเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ก็มีงูตัวยาวสีมรกตเหมือนใบไผ่ตัวหนึ่งรัดพันอยู่ ด้านหลังคนหนุ่มคือเด็กสาวหน้าตางดงาม ท่าทางคล้ายสาวใช้ประจำตัว


จูเหลี่ยนเดินนำพวกเขาเข้ามาในลานบ้าน ทุกคนทักทายปราศรัยกันด้วยภาษากลางของแจกันสมบัติทวีป


สามีภรรยาสองคนคือคนของแคว้นอวิ๋นเซียว มาจากสำนักแห่งหนึ่งบนภูเขา


ชายหนุ่มมีแซ่สองพยางค์ว่าตู๋กู มาจากราชวงศ์ใหญ่แห่งหนึ่งในภาคกลางของแจกันสมบัติทวีป พวกเขาสี่คนแบ่งออกเป็นคู่นายบ่าวและคู่อาจารย์กับศิษย์ ทั้งสองฝ่ายเป็นสหายที่ถูกชะตากันซึ่งเพิ่งมารู้จักกันระหว่างเดินทาง เคยช่วยกันกำจัดปีศาจปราบมารที่ยึดครองภูเขาแถบหนึ่งแล้วสร้างความเดือดร้อนไปทั่วสี่ทิศ เนื่องจากมีการจัดงานโต้วาทีพุทธเต๋าที่ยิ่งใหญ่ ทั้งสองฝ่ายจึงรวมกลุ่มเดินทางมาเยือนแคว้นชิงหลวนด้วยกัน


คุณชายหนุ่มผู้นั้นบอกว่ายังมีอีกคนหนึ่งพักอยู่ในมุมตะวันออกเฉียงเหนือเพียงลำพัง คือนักพรตหญิงวัยกลางคนที่พกมีดคนหนึ่ง พูดภาษากลางของแจกันสมบัติทวีปได้ไม่คล่องนัก นิสัยรักสันโดษไปสักนิด จึงไม่อาจชวนนางมาเยี่ยมเยียนคนบนเส้นทางเดียวกันได้


เฉินผิงอันเดินมาส่งแขกที่หน้าประตูเรือนอีกครั้ง


พอกลับเข้าไปในลานบ้านก็นึกถึงนักพรตหญิงพกมีดคนนั้นขึ้นมาจึงพึมพำว่า “คงไม่บังเอิญขนาดนั้นกระมัง”


จูเหลี่ยนถามอย่างใคร่รู้ “มีความเห็นอะไรงั้นหรือ?”


เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ตอนที่ข้าไปเยือนภูเขาห้อยหัวซึ่งอยู่ทางทิศใต้ของทักษินาตยทวีป เคยไปเยือนสถานที่แห่งหนึ่งที่เรียกว่าเรือนซือเตา”


เต๋าเหล่าเอ้อร์มีนักพรตสายหนึ่งที่ใช้มีดอาคม ซึ่งจะถูกเรียกขานว่านักพรตเรือนซือเตา


เคยมีชื่อเสียงอย่างมากในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง เพียงแต่ว่าภายหลังมีชะตากรรมพอๆ กับคนเชื่อมีดที่ลึกลับของสำนักโม่ จึงค่อยๆ จางหายไปจากสายตาของผู้คน


สือโหรวมีท่าทางเฉยเมยไม่สะทกสะท้าน


เมื่อเฉินผิงอันสัมผัสได้ถึงรายละเอียดนี้ก็รู้ว่านักพรตเรือนซือเตามีชื่อเสียงไม่โดดเด่นในแจกันสมบัติทวีปจริงๆ


เหตุผลนั้นง่ายมาก พูดแล้วก็น่าขัน นั่นเป็นเพราะนักพรตมีดอาคมสายนี้ แต่ละคนล้วนเย่อหยิ่งมองไม่เห็นหัวใคร ไม่เพียงแต่ตบะจะสูงส่ง แข็งแกร่งอย่างถึงที่สุด นิสัยยังย่ำแย่สุดขีดด้วย


พวกเขามองไม่เห็นสถานที่เล็กๆ อย่างแจกันสมบัติทวีปนี้อยู่ในสายตาแม้แต่น้อย


ตอนนั้นที่อยู่ตรงหน้าผนังของเรือนซือเตา เฉินผิงอันก็เคยเห็นว่ามีคนติดประกาศออกเงินรางวัลนำจับ หมายสังหารซ่งจ่างจิ้งอ๋องเจ้าเมือง เหตุผลก็เพราะสถานที่เล็กๆ อย่างแจกันสมบัติทวีปไม่มีคุณสมบัติมากพอที่จะได้ครอบครองผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสิบ ตายๆ ไปซะ จะได้ไม่ต้องอยู่ขวางหูขวางตาคนอื่น นอกจากนี้ราชครูชุยฉาน จอมยุทธ์สวี่รั่วก็ล้วนอยู่บนประกาศที่มีรางวัลนำจับก้อนใหญ่เช่นกัน เพียงแต่ว่าเซียนกระบี่สวี่รั่วถูกสตรีลุ่มหลงในรักคนหนึ่งเปลี่ยนจากรักมาเป็นแค้น ส่วนชุยฉานนั้น เหตุผลก็เพราะชื่อเสียงเน่าเฟะเกินไป


หลังจากเฉินผิงอันบอกเล่าคำเล่าลือเกี่ยวกับนักพรตเรือนซือเตาไปรอบหนึ่ง


ในที่สุดสือโหรวก็หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย


จูเหลี่ยนเห็นว่าเฉินผิงอันมองมาทางตนด้วยรอยยิ้มก็รีบสัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะ “นายน้อยวางใจได้! ต่อให้บ่าวเฒ่าจะบ้าคลั่งวรยุทธ์ หรือไม่รู้จักหนักเบาแค่ไหน ก็ไม่มีทางไปท้าทายนักพรตหญิงของทวีปอื่นที่อาจจะมาจากเรือนซือเตาแน่นอน อีกอย่างหากนางเป็นสาวงามน่าหลงใหล จูเหลี่ยนหรือจะใจร้ายบดขยี้บุปผางามได้ลงคอ มีแต่จะวิ่งไปเด็ดดอกไม้หักกิ่งหลิ่วในสวนสิงโตมามอบให้นางยังแทบไม่ทัน เฮ้อ พูดแบบนี้บ่าวเฒ่าก็รู้สึกสงสัยใคร่รู้จริงๆ แล้ว ไม่รู้ว่ารูปโฉมของนักพรตหญิงจะเป็นเช่นไร แม้ว่าตอนที่ยังมีชีวิตอยู่แม่นางสือโหรวต้องเป็นสาวงามแห่งยุคแน่นอน ทว่าต้องเห็นเนื้อหนังมังสาของตาเฒ่าตู้เม่าทุกวันเช่นนี้ ต่อให้บ่าวเฒ่าไม่มองคนที่หน้าตาก็ยังอดรู้สึก…เอียนไม่ได้จริงๆ”


จูเหลี่ยนกล่าวอย่างขุ่นเคือง “ดูท่ายังเป็นเพราะขอบเขตของบ่าวเฒ่าไม่มากพอ ถึงได้มองไม่ทะลุภาพลักษณ์ภายนอกของร่างนี้”


ผู้เฒ่าหลังค่อมหันหน้ากลับมาเอ่ยขออภัยสือโหรว “แม่นางสือโหรว เจ้าวางใจเถอะ ข้ายอมรับว่าไม่สมควรมีสายตาที่ต่ำต้อยเช่นนี้ ข้าจะต้องเปลี่ยนแปลง หากเจ้าไม่ถือสา คืนนี้ข้าจูเหลี่ยนก็จะพักห้องเดียวกับเจ้า ฝึกขัดเกลาจิตใจของตัวเองให้ดีขึ้น! ไม่แน่ว่าอาจบรรลุธรรมกระจ่างแจ้งภายในค่ำคืนเดียวเหมือนกับคำว่าวางดาบฆ่าคน บรรลุธรรมเป็นพุทธะของลัทธิพุทธอย่างไรเล่า นับจากนี้ไปเวลามองเจ้าก็จะเห็นแต่ความงดงามน่าหลงใหล เห็นแต่ความเพริศพริ้งอยู่ทุกเวลา…”


เฉินผิงอันกระแอมอยู่สองที ก่อนจะปลดกาเหล้าเตรียมดื่มเหล้า


สีหน้าของสือโหรวดุจน้ำค้างแข็ง หมุนตัวเดินกลับไปที่ห้องหลัก ปิดประตูลงดังปัง


เฉินผิงอันจึงถามกลั้วหัวเราะเบาๆ “เจ้าจะปล่อยนางไปได้เมื่อไหร่”


จูเหลี่ยนพูดอย่างมีเหตุผลมีผล “นายน้อยไม่รู้อะไร นี่ก็เป็นการฝึกขัดเกลาจิตใจของข้าอย่างหนึ่งเช่นกัน”


ระหว่างที่พวกเขาพูดคุยกัน เฉินผิงอันแกว่งน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ไปด้วย


จูเหลี่ยนเข้าใจสิ่งที่เฉินผิงอันต้องการจะสื่อได้ทันที


บนกำแพงมีเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาสวมชุดคลุมสีดำคนหนึ่งนั่งยองอยู่ เขาปรบมือร้องเสียงดัง “ดีๆๆ พูดได้ตรงใจข้ายิ่งนัก คิดไม่ถึงว่าตาเฒ่าอย่างเจ้าจะมีปณิธานหมัดสูงส่ง แต่คนกลับยิ่งมหัศจรรย์ยิ่งกว่า!”


เฉินผิงอันเงยหน้าถาม “เทพเซียนมีความต่าง คนและปีศาจไม่ล่วงเกินกัน นกมีทางของนก หนูมีทางของหนู ต่างคนต่างเดินไม่ได้หรือ?”


เด็กหนุ่มหล่อเหลาผู้นั้นนั่งแปะลงไปบนหัวกำแพง เท้าทั้งคู่ห้อยแนบติดกับผนัง แกว่งส้นเท้ากระทบกับผนังสีขาวหิมะเบาๆ เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “น้ำบ่อไม่ยุ่งกับน้ำคลอง ทุกคนอยู่ร่วมกันอย่างปรองดอง เหตุผลเป็นอย่างนี้ก็จริง แต่ข้ากลับจะดื่มน้ำบ่อ แล้วยังจะกวนน้ำคลองด้วย เจ้าจะทำอะไรข้าได้?”


ทันใดนั้นเส้นแสงสีขาวโพลนเส้นหนึ่งก็พุ่งวาบผ่านลำคอของเด็กหนุ่มชุดดำไป


ศีรษะหล่นของเขาจากกำแพงลงมายังพื้น


เพียงแต่ไม่มีเลือดสักหยด


ร่างของเด็กหนุ่มหล่อเหลาที่หัวหลุดจากบ่าหายวับไป ไม่นึกว่านั่นจะเป็นเพียงภาพมายาที่ลี้ลับอย่างถึงที่สุด นอกจากนี้ยังมีขนจิ้งจอกสีดำเล็กบางราวเส้นผมเส้นหนึ่งล่องลอยอยู่กลางอากาศ


น้ำเสียงเป็นเดือดเป็นแค้นของปีศาจจิ้งจอกดังก้องอยู่ในลานบ้าน “วิชามีดของหญิงอัปลักษณ์ช่างงดงามยิ่งนัก! ฝากไว้ก่อนเถอะ คืนใดนายท่านใหญ่จะต้องใช้ผ้าปิดตา เป่าแสงตะเกียงให้ดับ ให้เจ้าได้ลิ้มรสวิชากระบี่ใต้สะโพกของนายท่านใหญ่อย่างข้าเสียบ้าง!”


บนหลังคาเรือนมีนักพรตหญิงสีหน้าไร้อารมณ์ ในมือถือมีดยาววาววับเล่มหนึ่งยืนอยู่บนปลายชายคาที่ตวัดงอนกำลังเก็บมีดเข้าฝักช้าๆ


เฉินผิงอันกับจูเหลี่ยนมองตากัน


เป็นนักพรตหญิงจากเรือนซือเตาคนหนึ่งจริงๆ ด้วย


นักพรตหญิงคนนี้คือผู้ฝึกตนโอสถทอง ค่อนข้างจะรับมือได้ยาก


จูเหลี่ยนไม่กล้าประมาท


เซียนดินโอสถทองทั่วไปของแจกันสมบัติทวีป ในฐานะที่จูเหลี่ยนคือผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเดินทางไกล โอกาสชนะน่าจะมีสูงมาก ต่อให้จะบอกว่ารากฐานขอบเขตร่างทองปูมาได้ไม่ดีนัก แต่นั่นก็เป็นเพราะนำมาเปรียบเทียบกับเจิ้งต้าเฟิงและขอบเขตหกก่อนหน้านี้ของตัวจูเหลี่ยนเอง


แต่หากต้องมาเจอกับนักพรตมีดอาคมที่ชื่อเสียงขจรไกลในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง จูเหลี่ยนไม่คิดว่าตัวเองจะเอาเปรียบอีกฝ่ายได้


นักพรตหญิงวัยกลางคนที่สองข้างแก้มซูบตอบ ใบหน้าแห้งเหี่ยวเก็บมีดแล้วก็พูดช้าๆ ด้วยภาษากลางของแจกันสมบัติทวีปที่ค่อนข้างฟังยากว่า “ปีศาจจิ้งจอกตัวนี้คือของในกระเป๋าของข้า หากพวกเจ้ากล้าแย่งชิง ถึงเวลานั้นก็อย่ามาโทษว่ามีดข้าไร้ตา”


จูเหลี่ยนคลี่ยิ้ม


นิสัยแบบนี้ถูกใจนัก


ผู้เฒ่าหลังค่อมจึงเตรียมจะลุกขึ้นยืน ในเมื่อนิสัยถูกใจ ถ้าอย่างนั้นจูเหลี่ยนก็อดใจไม่ไหวจริงๆ


เฉินผิงอันยื่นมือมาห้ามจูเหลี่ยน จากนั้นก็ผายมือไปทางนอกกำแพงเรือน บอกเป็นนัยให้นักพรตหญิงจากเรือนซือเตาจากไปได้


ร่างของนักพรตหญิงพกมีดพุ่งวูบหายไป


จูเหลี่ยนถามยิ้มๆ “หมายความว่าอย่างไร?”


เฉินผิงอันใคร่ครวญก่อนตอบว่า “คอยดูกันไปก่อนแล้วกัน”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)