ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา 390-404
บทที่ 390 การเปิดฉากครั้งใหญ่
โดย
Ink Stone_Fantasy
ตาดวงเล็กๆ ของฉงต้าที่กำลังจะเดินหนีก็เป็นประกายขึ้นมาทันที มันร้องครวญครางพร้อมทั้งโผเข้ามาแลบลิ้นเลียอย่างบ้าคลั่ง
ฉินสือโอวทั้งขัดขืนทั้งหันกลับไปมองอย่างโกรธๆ ก็เห็นวินนี่ที่กำลังหัวเราะคิกคักพร้อมกับสะบัดน้ำเชื่อมในมือ
กว่าเขาจะจัดการกับฉงต้าได้ หู่จือกับเป้าจือก็วิ่งแลบลิ้นมาด้วยความร่าเริง พวกมันสะบัดหางแล้วมองมาที่ฉินสือโอวด้วยความตื่นเต้น
“ไปเลย!” ฉินสือโอวเอาท่าทางน่าเกรงขามแบบพ่อออกมาใช้
น่าเสียดายที่ไม่ค่อยได้ผลเท่าไร พวกมันนั่งลงอย่างน่าสงสารใช้แววตาหวาดกลัวมองไปที่เขา เหมือนกับเด็กๆ ที่ถูกทิ้ง
ฉินสือโอวใจอ่อนขึ้นมาทันที เขานั่งยองๆ ลงเพื่อลูบหัวสุนัขสองพี่น้อง แต่ปรากฏว่าสองพี่น้องนั่นก็ลุกขึ้นแล้วโน้มเข้ามาใกล้กับเขาทันที พวกมันแลบลิ้นออกมาเลียริมฝีปากของเขา เลียจนน้ำเชื่อมเมเปิลหยดสุดท้ายถูกเลียจนแห้ง
“ในหนึ่งสัปดาห์นี้ ฉันจะไม่จูบกับคุณแน่ๆ !” วินนี่ปิดปากหัวเราะแล้วพูดกับเขา
ฉินสือโอวตามไปจับเธอไว้ แล้วร้องออกมาว่า “คุณฝันไปเถอะ!”
ทั้งสองคนหยอกล้อกัน ชาร์คและคนอื่นๆ เลิกวุ่นวายแล้วกลับไปจัดการกวางเรนเดียร์ต่อ
ทักษะการใช้มีดของเบิร์ดโดดเด่นมาก ฉินสือโอวไม่เคยรู้มาก่อน วันนี้ได้เห็นเป็นประจักษ์กับสายตาแล้ว
ชาร์คถลกหนังกวางเรนเดียร์ กับเครื่องในของกวางออก อีวิลสันสะบัดขวานลงไป ‘ป้าบๆ ๆ ’ ไม่กี่ครั้งก็หั่นกวางเรนเดียร์ออกเป็นชิ้นใหญ่ ต่อมาเบิร์ดก็เป็นคนลงมือ
เขานำขาหลังของกวางเรนเดียร์หนึ่งข้างวางลงไปบนเขียง มีดทหารในมือของเบิร์ดเหมือนกับผีเสื้อขยับปีก ฉินสือโอวเห็นท่าทางของเขาไม่ชัด เห็นเพียงแต่แสงสีเงินในมือของเบิร์ดที่กำลังสะบัดขึ้นลง ต่อจากนั้นเนื้อกวางที่มีความหนาบางเท่าๆ กันก็ถูกเฉือนออกมา
ทุกคนถึงกับตกตะลึง เบิร์ดเองก็เริ่มรู้สึกสนุกขึ้นมาแล้ว เขาให้นีลเซ็นช่วยจับขากวางไว้ มือของเขาถือมีดทั้งสองข้าง นักรบดาบคู่มาแล้ว ระดับความเร็วไม่ลดลงเลยแม้แต่นิดเดียว
มีดทหารของเขาพลิกม้วนไปมาอยู่บนขากวาง เนื้อแต่ละแผ่นก็ค่อยๆ ร่วงลงมา ในตอนสุดท้ายขากวางก็ถูกขูดออกจนสะอาดหมดจด ไม่เหลือเนื้อแม้แต่เส้นเดียว
“นี่คือหมัดพ่อครัวปล่อยวัวหรือเปล่า?” ฉินสือโอวถามด้วยความตกตะลึง วินนี่ใช้มือถือบันทึกวิดีโอไว้อย่างชอบอกชอบใจ แล้วรีบโพสต์ลงในทวิตเตอร์ของเธอเอง
คนอื่นๆ จัดการผักกับเนื้อกวาง ส่วนฉินสือโอวก็ไปเตรียมหม้อไฟ ยกหม้อไฟฟ้าทั้งสองใบขึ้นมาไว้บนโต๊ะ ชาร์คกลับไปเอามาจากที่บ้านอีกสองใบ เขายังไม่ได้ใช้เครื่องปรุงหม้อไฟที่เหมาเหว่ยหลงเอามาให้ จึงเป็นประโยชน์อย่างมากในคราวนี้
เนื่องจากมีคนอยู่หลายคน วัตถุดิบในการทำหม้อไฟจึงมีอยู่อย่างหลากหลาย หมูป่าที่ฆ่าเมื่อครั้งที่พ่อลูกสเตราส์มาก็มีอีกครึ่งหนึ่งที่ยังไม่ได้ทาน เอามาหั่นทานด้วยกันได้พอดี แถมยังมีกระต่ายป่าสโนว์ชูในตู้แช่แข็งอีก นี่ก็เอามาจุ่มทานกับหม้อไฟได้เหมือนกัน
ชาร์คขับเรือออกทะเลไปตกหมึกกับปลาค็อดมาเล็กน้อย ฉินสือโอวอยากจะเอาปลาลิ้นหมามาจุ่มทานด้วย น่าเสียดายที่น่านน้ำริมฝั่งทะเลหนาวเกินไป ปลาที่มีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวแบบพวกมันเลยหนีลงน้ำลึกไปแล้ว
นีลเซ็นไปที่ฟาร์มแล้วจับไก่กับเป็ดมาสองตัว แถมยังฆ่าห่านขาวมาด้วยตัวหนึ่ง ทั้งโต๊ะเต็มไปด้วยเนื้อสัตว์
เออร์บักขับรถเข้าไปในเมืองเพื่อซื้อผักมาจากซูเปอร์มาร์เก็ตอีกหนึ่งกองโตๆ เลือกซื้อผักสดๆ กลับมาทั้งหมด อีกทั้งพวกเชอร์ลี่ย์ก็ช่วยกันคั้นน้ำผลไม้ จนได้น้ำผลไม้มาสองขวดใหญ่เต็มๆ
ในตอนกลางคืน ด้านนอกก็มีหิมะตกโปรยปรายลงมาอีกครั้ง ชาร์คกับซีมอนสเตอร์ตอบรับคำขอของฉินสือโอว พาคนทั้งครอบครัวมาที่นี่ด้วยกัน
ฉินสือโอวยินดีให้พวกเขาเข้ามาอยู่ในอพาร์ตเมนต์ชาวประมง อยู่ด้วยกันหลายๆ คนก็ดี เนื่องจากช่วงนี้ฟาร์มปลามีการสร้างความอบอุ่นอย่างเพียงพอ ภรรยาของชาร์คกับซีมอนสเตอร์ก็พากันย้ายมาอยู่ที่นี่แล้วชั่วคราว
หม้อไฟฟ้าทั้งสี่ใบเริ่มเดือด กลิ่นหอมของน้ำซุปหม้อไฟก็ลอยฟุ้งตลบอบอวลไปทั่วห้องรับแขก วินนี่กลัวว่ารสนิยมของแต่ละคนจะไม่เหมือนกันจึงแบ่งน้ำซุปออกเป็นสี่แบบ แบบแรกคือรสหม่าล่าแบบดั้งเดิม แบบที่สองคือรสซุปทะเล แบบที่สามคือน้ำซุปไก่และน้ำซุปรสอ่อนแบบที่สี่
น้ำซุปเดือดแล้ว ฉินสือโอวก็เอาเนื้อกระต่ายกับหมึกสดใส่ลงไปก่อนเพื่อเรียกรสชาติออกมา ต่อจากนั้นก็ใส่ผักลงไป ก้านผักกาดหอมกับเซลทัสถูกหั่นให้เป็นเส้นยาว ฉีกเห็ดสดกับผักปวยเล้งออกอย่างหยาบๆ หัวไชเท้ากับผักกาดขาวหั่นเป็นชิ้นๆ พอเอาผักพวกนี้ลงไปในหม้อ กลิ่นหอมก็ยิ่งเข้มข้นขึ้น
วินนี่นำถ้วยน้ำจิ้มขึ้นมาวาง เธอสอนเด็กๆ ให้ใช้น้ำมันพริก ซอสถั่วเหลือง ถั่วบด น้ำจิ้มงากับงาผสมลงไปในน้ำจิ้ม ขณะเดียวกันก็ช่วยปรุงให้ฉินสือโอวด้วยหนึ่งถ้วย
ฉินสือโอวให้ทุกๆ คนดื่มน้ำผลไม้ก่อนหนึ่งแก้ว ดื่มน้ำผลไม้ก่อนทานหม้อไฟช่วยรักษาระบบย่อยอาหารได้ เพราะสามารถกระตุ้นการหลั่งสารในระบบย่อยอาหาร ช่วยในการย่อย ทั้งยังสามารถใช้บริเวณด้านบนลำไส้เล็กที่มีฤทธิ์เป็นกรด เพื่อช่วยในการดูดซึมแคลเซียมและฟอสฟอรัส
ชาร์ค ซีมอนสเตอร์ นีลเซ็นและคนอื่นๆ ไม่ดื่ม พวกเขาพากันดื่มวิสกี้เข้าไปคนละแก้ว แล้วหัวเราะเสียงดังออกมา “บอส ต้องดื่มเหล้าสิถึงจะดี มันช่วยฆ่าเชื้อโรคกับแบคทีเรียได้นะ!”
ในสถานการณ์แบบนี้ ฉินสือโอวจะยอมแพ้ก็ไม่ได้ พอดื่มผลไม้เสร็จก็ให้เชอร์ลี่ย์ช่วยรินไอซ์ไวน์ให้ เขายกแก้วขึ้นแล้วพูดว่า “มา เหล่าสุภาพบุรุษ สุภาพสตรี และเด็กๆ ที่น่ารัก ยกแก้วของพวกคุณขึ้น พวกเราจะดื่มให้แก่พระเจ้า!”
“ดื่มให้แก่พระเจ้า! ดื่มให้กับบอส!” ชาร์คและคนอื่นๆ พากันหัวเราะฮ่าๆ อีวิลสันยกแก้วใบใหญ่ของตัวเองขึ้นมาอย่างเงียบๆ แล้วดื่มลงไปรวดเดียว หลังจากนั้นก็แบะปากแล้วพูดขึ้นมาว่า “ไม่อร่อยเลย อีวิลสันชอบดื่มน้ำผลไม้มากกว่า…”
เห็นอีวิลสันดื่มวิสกี้ครึ่งขวดลงไปในครั้งเดียว ชาร์คกับคนอื่นๆ ก็พูดไม่ออก พวกเขารีบนั่งลงแล้วทานอาหารต่อทันที
ฉงต้ากำลังแทะกินกระดูกขากวางที่ตุ๋นเรียบร้อยแล้วอยู่หนึ่งชิ้น หู่จือกับเป้าจือก็อยากเข้ามาชิมบ้าง ฉงต้าก็ใช้อุ้งเท้าตบพวกมันออกไป เจ้าตัวนี้นับวันก็ยิ่งร้ายกาจขึ้นเรื่อยๆ เพื่อที่จะแสดงออกว่าตัวเองไม่ได้ใจแคบขนาดนั้น มันจึงยื่นกระดูกขากวางให้ปอหลัวกิน
ปอหลัวเบ้จมูกอย่างโกรธเคือง นี่มันน่าขยะแขยงไม่ใช่เหรอ?
วินนี่ตีก้นฉงต้าหนึ่งครั้ง เธอวิ่งวุ่นไม่หยุดทั้งตักอาหารให้เด็กๆ แถมยังต้องให้อาหารพวกหู่จือเป้าจืออีก
ด้านนอกมีหิมะตกโปรยปราย อากาศหนาวเลวร้าย แต่ในวิลล่ากลับให้ความรู้สึกร้อนระอุ พวกผู้ชายยกแก้วผลัดกันดื่ม ดื่มเหล้าอึกใหญ่ทานเนื้อคำโต บอกลาปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ บรรยากาศคึกคักร้อนแรง
“ขอให้พวกเรามีความสุขแบบนี้ตลอดไป!” เออร์บักยกแก้วเหล้าขึ้นมาพร้อมรอยยิ้ม ฉินสือโอวกับคนอื่นๆ ก็ขานรับ แล้วตะโกนเสียงดังว่า “ขอให้พระเจ้าคุ้มครองพวกเรา!”
หม้อไฟแสนอร่อยหนึ่งมื้อ ฉินสือโอวบอกลาปีแรกที่เขามาถึงเกาะแฟร์เวล
ปีนี้เป็นปีที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขา เขาได้รับเงินก้อนใหญ่เป็นครั้งแรกในชีวิต ได้มีภรรยาแสนสวย ได้รับมิตรภาพจากผู้ชายหยาบกร้านอีกจำนวนหนึ่ง นี่เรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบเลย
ดื่มมาถึงตอนสุดท้าย ฉินสือโอวก็กอดวินนี่เอาไว้แล้วพูดอย่างเมามายว่า “ที่รักครับ เวลานี้ของปีที่แล้ว ผมไม่กล้าคิดมาก่อนเลยว่าตัวเองจะมีวันนี้! ตอนนั้นผมถึงกับคิดว่า ทั้งชีวิตนี้ของผมอาจจะหาเมียไม่ได้เลยด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้ผมมีคุณแล้ว! ขอบคุณพระเจ้า! ขอบคุณคุณปู่ของผมทั้งสองคน!”
วินนี่ช่วยคีบอาหารให้เขาอย่างอ่อนโยน เธอยิ้มน้อยยิ้มใหญ่แล้วพูดกับเขาว่า “ฉันก็เหมือนกันค่ะ พระเจ้าท่านดีกับฉันมากจริงๆ”
ใช่แล้ว พระเจ้าดีกับเขาจริงๆ ฉินสือโอวพึงพอใจกับชีวิตแบบนี้เป็นอย่างมาก…
เวลาเที่ยงคืน ทันใดนั้นบนท้องฟ้าของนครเซนต์จอห์นก็มีพลุหลายสิบดอกที่ถูกจุดขึ้น ต่อจากนั้นเมืองแฟร์เวลเองก็เริ่มจุดพลุขึ้นแล้ว ทันใดนั้น ท้องฟ้าก็สว่างเป็นประกายขึ้นมา เกล็ดหิมะที่ส่องสว่างก็ดูขาวสะอาดยิ่งกว่าเดิม…
“ปีใหม่มาถึงแล้ว ถึงเวลาที่ฟาร์มปลาจะรุ่งโรจน์ยิ่งกว่าเดิมแล้ว!” ชาร์คพูดพึมพำพร้อมรอยยิ้ม
ซีมอนสเตอร์ก็ยิ้มแล้วพูดว่า “แทบจะรอไม่ไหวแล้ว ฉันอยากจะเห็นภาพฟาร์มปลาของพวกเราได้ผลเก็บเกี่ยวดีๆ ซะตอนนี้เลย จะสวยงามแค่ไหน! มันต้องสวยงามมากแน่ๆ!”
“ต้องสวยงามอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนแน่นอน เพื่อนเอ๋ย ไม่ต้องสงสัยเลย ยุคใหม่ของเกาะแฟร์เวล พวกเราได้เปิดฉากมันขึ้นแล้ว!”
“นี่เป็นยุคสมัยที่ยิ่งใหญ่ เป็นฉากเบิกโรงที่ยิ่งใหญ่”
“อ่าฮู้ๆ! โฮ่งๆๆ! อี๊ๆ! แควกๆ! ปู้ด…”
“ใครตดน่ะ?!”
“ไสหัวไปเลย!”
……………………..………………………………
บทที่ 391 สร้างโรงเรือนเพาะปลูก
โดย
Ink Stone_Fantasy
ปีนี้นิวฟันด์แลนด์ประสบกับพายุหิมะ ก่อนวันขึ้นปีใหม่ก็มีหิมะตกลงมาอีกหนึ่งรอบ โชคดีที่หิมะตกไม่หนัก ช่วงตีสองของวันใหม่ก็หยุดตกแล้ว ดังนั้นพอฉินสือโอวตื่นขึ้นมาดูจึงเห็นว่าในสวนมีหิมะอยู่ไม่มากนัก
เกาะแฟร์เวลรายล้อมไปด้วยกระแสน้ำอุ่น อีกทั้งฟาร์มปลาต้าฉินยังมีบ่อน้ำร้อนตามธรรมชาติ พื้นหิมะจึงเริ่มละลาย น้ำแข็งที่อยู่บนพื้นก็เริ่มอ่อนบางลง
วันแรกของปีใหม่ ฉินสือโอวไปดูสวนผักในฟาร์มปลา โห พื้นดินสำหรับปลูกผักไม่ได้แข็งเลย สามารถใช้ปลูกผักได้ทั้งหมดหลังจากนั้นค่อยสร้างโรงเรือนเพาะปลูกอีกที
การค้นพบครั้งนี้ทำให้เขามีความสุขมาก รอชาร์คกับคนอื่นๆ ที่พากันเมามายไม่ได้สติลุกขึ้นมาจากเตียงเสียก่อน หลังจากนั้นเขาจะพาทุกคนมารวมตัวกันเพื่อเตรียมตัวสร้างโรงเรือนเพาะปลูก
ชาร์คขับรถเข้าไปยืมรถไถหนึ่งคันมาจากในเมือง พวกเขาไถดินในสวนปลูกผักไปแล้วสองรอบด้วยความรวดเร็ว ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นฤดูหนาว พื้นน้ำแข็งจำนวนมากจึงผสมเข้าด้วยกัน ทำให้ จัดการได้ยากมาก
ซีมอนสเตอร์ส่ายหัว แล้วพูดขึ้นมาว่า “บอส ถึงผมจะอยากกินผักสดที่ปลูกจากฟาร์มปลาของพวกเรา แต่ก็ต้องยอมรับเลยว่า ตอนนี้ไม่ใช่เวลาดีที่จะปลูกผักเลย”
ฉินสือโอวพูดพร้อมรอยยิ้ม “วางใจเถอะ เพื่อน นายเคยเจอพ่อกับแม่ของฉันแล้ว นายรู้ว่าพวกท่านทำอะไร พวกท่านเป็นเกษตรกรที่ชำนาญในการปลูกผัก ฉันได้เรียนรู้จากพวกท่านตั้งหลายอย่าง ปลูกผักตอนนี้ก็ไม่มีปัญหาแน่นอน”
ในเมื่อเขาพูดมาขนาดนี้ซีมอนสเตอร์ก็ไม่รู้ว่าจะว่ายังไงแล้ว เขายักไหล่น้อยๆ งั้นก็เริ่มทำเลยแล้วกัน พูดถึงผักที่ปลูกจากในสวนเมื่อคราวก่อนหน้า รสชาติของมันเยี่ยมยอดสุดๆ
วันหยุดขึ้นปีใหม่ พร้อมกับหิมะตกหนัก ช่วงนี้โรงเรียนประถมแกรนท์จึงหยุดปิดเทอมช่วงฤดูหนาวเล็กๆ พวกเชอร์ลี่ย์จึงพักผ่อนอยู่บ้านโดยตลอด
วินนี่พาพวกเขามาจัดการกับผักจำนวนสุดท้ายที่เหลืออยู่ในสวน หลักๆ แล้วก็มีหัวไชเท้ากับผักกาดขาว
กอร์ดอนกับมิเชลลตะโกนว่า ‘ดึงหัวไชเท้า’ พร้อมกับขุดหัวไชเท้าที่เหลืออยู่ขึ้นมาจากพื้นดิน แล้วตามวินนี่เอาไปใส่ไว้ในห้องแช่แข็ง
ยังไงก็เป็นผักที่ได้รับการปรับปรุงจากพลังของจิตสำนึกแห่งโพไซดอน หัวไชเท้าที่ปลูกในสวนจึงไม่ได้มีรสเผ็ด แต่มีรสชาติหอมหวานอยู่อย่างบางเบา บอกได้แค่ว่าเป็นหัวไชเท้าที่มีรสชาติเหมือนผลไม้ ดังนั้นพวกวินนี่จึงทานมันเหมือนกับเป็นผลไม้จริงๆ ฉงต้ากับปอหลัวก็ชอบกินมากเป็นพิเศษ
หัวไชเท้าทำให้เกิดแก๊สในลำไส้ พอฉงต้ากับปอหลัวกินเข้าไปก็พากันตดออกมา ไม่ได้คำนึงถึงกาลเทศะ พวกมันรู้สึกว่านี่มันน่าสนุกมาก
เมื่อจัดการเรียบร้อยแล้ว ก็สร้างโรงเรือนปลูกผักขึ้นมา
เออร์บักมีความกระตือรือร้นในการเพาะปลูกเป็นอย่างมาก เขานั่งยองๆ อยู่บนพื้นแล้วถามขึ้นมาว่า “ฉิน คราวนี้พวกเราจะสร้างโรงเรือนประเภทไหนเหรอ? โรงเรือนที่ทำจากท่อเหล็กหรือโรงเรือนไม้ไผ่?”
โรงเรือนปลูกผักของแคนาดามีความพิถีพิถันมาก นิวฟันด์แลนด์มีการเพาะปลูกค่อนข้างน้อย อย่างเช่นบ้านเดิมของวินนี่ที่อยู่ในที่ราบแพร์รีแคนาดา นั่นถึงจะเป็นแหล่งเพาะปลูกขนาดใหญ่ เจ้าของฟาร์มเกษตรส่วนมากจะสร้างเรือนกระจกขึ้นมาเพื่อการเพาะปลูก
ฉินสือโอวไม่จำเป็นต้องสร้างเรือนกระจกเพื่อปลูกผัก ใช้แค่โรงเรือนเพาะปลูกก็เพียงพอแล้ว ยังไงซะในเวลาปกติที่ไม่มีอะไรทำ ได้จัดการโรงเรือนพลาสติกก็ค่อนข้างน่าสนใจเหมือนกัน
ตามปกติแล้ว เนื่องจากโครงสร้างโรงเรือนพลาสติกในแคนาดาจะถูกแบ่งออกเป็นสองแบบ ก็คือโรงเรือนท่อเหล็กกับโรงเรือนไม้ไผ่แบบแรกใช้ท่อเหล็กชุบสังกะสีบางๆ เพื่อค้ำยัน ส่วนแบบหลังจะใช้ต้นไผ่กับท่อนไม้
ฉินสือโอวนิยมวัสดุจากธรรมชาติแท้ๆ เขาโบกมือปัดๆ แล้วบอกว่าจะทำโรงเรือนไม้ไผ่ เออร์บักจึงโทรศัพท์ไปหาบิล
พูดจริงๆ แล้วบริษัทผลิตภัณฑ์ทางทะเลของนิวฟันด์แลนด์ก็คือบริษัททางด้านการเกษตรนั่นเอง ถึงจะจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทางทะเลเป็นหลัก ทว่าก็เมล็ดพันธุ์กับอุปกรณ์ทางการเกษตรก็มีจำหน่ายเช่นกัน
แค่ครู่เดียวบิลก็นำอุปกรณ์ในการสร้างโรงเรือนเข้ามาส่งจำนวนหนึ่ง เขาพาทีมงานมาที่นี่ด้วยตัวเอง เมื่อมาถึงฟาร์มปลาเขาก็ถามอย่างสนใจใคร่รู้ว่า “เฮ้ ฉิน ทำไมคุณถึงสนใจจะทำอันนี้ล่ะ? ผมเคยเห็นคนมีเงินที่ปลูกผักกินเองนะ แต่ไม่เคยเห็นมหาเศรษฐีใหญ่แบบคุณที่ทำโรงเรือนปลูกผักแบบนี้เลย มันเปลืองแรงเกินไป ไม่ใช่เหรอ?”
ฉินสือโอวพูดพร้อมรอยยิ้ม “คุณพูดผิดแล้วทั้งสองอย่าง เพื่อน อย่างแรก ผมไม่ใช่มหาเศรษฐีใหญ่ สอง สร้างโรงเรือนเพาะปลูกไม่ได้หนักหนาอะไรเลย ง่ายกว่าที่คุณต้องโฆษณาขายสินค้าตั้งเยอะ”
บิลส่ายหัวน้อยๆ แล้วพูดกับเขาว่า “ไม่ๆ ผมก็เป็นแค่พนักงานขายสินค้า ขอแค่ปีปีหนึ่งได้เจอลูกค้ารายใหญ่แบบคุณ ผมก็ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีผักให้กินแล้ว ฮ่าๆ”
เพราะฉินสือโอว บิลจึงทำเงินได้ไม่น้อยเลยจริงๆ อย่างเช่นที่เขาซื้อลูกพันธุ์กุ้งมังกรกับปลิงทะเลไปเมื่อก่อนหน้านี้ เขาก็หักเปอร์เซ็นต์เงินไปได้ถึงแสนนิดๆ
บิลให้คนงานนำท่อนไม้ไผ่ลงมา ฉินสือโอวเซ็นเช็คให้เขา การซื้อขายครั้งนี้ก็เสร็จสิ้นแล้ว
โรงเรือนท่อเหล็กมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน สามารถอยู่ได้ถึงสิบห้าปี แต่ต้นไผ่กับท่อนไม้ที่บิลนำมาส่งให้ฉินสือโอวก็ถูกเผาคาร์บอนและทาด้วยน้ำมันจากเมล็ดต้นถงแล้วทั้งสิ้น มีอายุการใช้งานมากกว่าโครงสร้างโรงเรือนเพาะปลูกที่ทำจากไม้ไผ่ธรรมดา สามารถอยู่ได้ประมาณสิบกว่าปี
อย่ามองแค่ว่าเป็นโครงค้ำยันที่ทำมาจากไม้ไผ่ ราคาของมันแพงกว่าท่อเหล็กชุบสังกะสีเสียอีก บิลช่วยเลือกโรงเรือนแบบที่แพงที่สุดให้ฉินสือโอว เพราะเขาเข้าใจแนวคิดเกี่ยวกับการใช้จ่ายของฉินสือโอว เขาจะซื้อของที่ดีที่สุดเท่านั้น ไม่ใช่ของที่ถูกที่สุด
กับโครงค้ำยันพวกนี้ใช้ไผ่โมโซกับท่อนไม้เล็กๆ เป็นหลัก ระดับความสูงประมาณสองเมตร มีความกว้างอยู่ที่สี่ถึงห้าเมตร มาพร้อมกับแบบแปลนก่อสร้าง บิลให้บริการด้วยความเชี่ยวชาญ ที่เขาทำเงินได้มากก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล
เนื่องจากฉินสือโอวเคยให้อภัยเขาในตอนที่ซื้อกุ้งมังกรมังกรครั้งแรก บิลจึงรู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณของฉินสือโอวมาโดยตลอด วันนี้เขาเลยอยู่ควบคุมคนงานเพื่อทำการก่อสร้างโรงเรือนเพาะปลูกด้วยตัวเอง เมื่อเป็นเช่นนี้โครงงานก่อสร้างจึงเป็นไปอย่างรวดเร็ว
ฉินสือโอวเปลี่ยนตำแหน่งในการสร้างโรงเรือนเพื่อการเพาะปลูก ทุกๆ แปลงปลูกผักจะมีระดับความกว้างหกเมตร ยาวสองร้อยเมตร พื้นที่ในการเพาะปลูกมีระดับเสมอกันอย่างมาก
ที่จริง สำหรับมือสมัครเล่นอย่างเขา โรงเรือนเพาะปลูกทั้งสองหลังนี้ถือว่ามีขนาดใหญ่เกินไปด้วยซ้ำ แต่ก็ช่วยไม่ได้ โรงเรือนพวกนี้เป็นไปตามข้อกำหนดของโรงเรือนขนาดใหญ่ ถ้าระดับความยาวสั้นเกินไป ก็จะกางผ้าใบพลาสติกไม่ได้ และจะติดตั้งอุปกรณ์ที่ต้องประกอบกันเป็นชุดบางส่วนไม่ได้เช่นกัน
แค่แป๊บเดียว โครงค้ำยันแต่ละแถวก็ถูกตั้งวางเรียบร้อยแล้ว แผ่นไม้ไผ่โมโซเรียงต่อกันอยู่ด้านบน เหมือนกันกับโครงเต็นท์หลังเล็กๆ ในค่ายทหาร
“ถ้าอย่างนั้น สิ่งที่พวกเราต้องทำตอนนี้ก็คือคลุมผ้าใบพลาสติก คุณเอาผ้าใบวัสดุแบบไหนมาเหรอ? โพลีเอทิลีนหรือพีวีซี?” ฉินสือโอวถามพร้อมทั้งถูฝ่ามือไปมา
บิลบอกให้นีลเซ็นกับเบิร์ดเปิดผ้าใบพลาสติกออก หลังจากนั้นก็หัวเราะแล้วพูดกับเขาว่า “เพื่อน แบบนี้ดูถูกผมไปหน่อยแล้ว โรงเรือนราคาหนึ่งแสนห้าหมื่นดอลลาร์ จะใช้ผ้าใบธรรมดาๆ แบบนั้นได้ยังไงกัน? ผมเอาผ้าใบอเนกประสงค์อายุการใช้งานสูงมาต่างหาก”
ฉินสือโอวพูดพร้อมรอยยิ้ม “ดีขนาดนั้นเลยเหรอครับ? ผมไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย
บิลอธิบายให้ฟังว่า “ผมไม่ได้โม้นะ นี่เป็นผ้าใบพลาสติกแบบที่ดีที่สุดเลย ระหว่างขั้นตอนการขึ้นรูปโพลีเอทิลีนมันจะถูกเพิ่มวัสดุยับยั้งการเกิดรอยและสารลดแรงตึงผิวลงไปในปริมาณที่เหมาะสม อย่ามองแค่ว่ามันบางกว่าโปร่งใสกว่า จริงๆ แล้วมันทนทานกว่ามาก อายุการใช้งานยาวนานกว่าผ้าใบทั่วไปถึงหนึ่งเท่า อุณหภูมิในตอนกลางคืนสูงกว่าผ้าใบทั่วไปอยู่หนึ่งถึงสององศาเซลเซียส”
เนื่องจากลมทะเลที่พักกระหน่ำ ทำให้การปูผ้าใบค่อนข้างซับซ้อน ฉินสือโอวและคนอื่นๆ ช่วยกันลงมือ นำโครงค้ำยันแต่ละอันมาจัดวาง ใช้เวลาไปเกือบสองชั่วโมงเต็มๆ ถึงนำผ้าใบพลาสติกทั้งสองผืนมาคลุมโครงค้ำยันไผ่โมโซได้
แผ่นพลาสติกพวกนี้เป็นอุปกรณ์ที่ประกอบกันเป็นชุดด้านนอกยังเชื่อมต่อกับแผ่นโฟมโพลีเอทิลีนอีกด้วย
นี่เป็นแผ่นโฟมสีขาวที่มีฟองอากาศอยู่เป็นจำนวนมาก กว้าง 1 เมตร หนา 0.4 -0.5 มิลลิเมตร แต่ละแผ่นถูกแขวนติดกับแผ่นพลาสติกเหมือนแผ่นหุ้มเกาะกันกระสุนของรถถัง ประสิทธิภาพก็เหมือนกันกับแผ่นหุ้มเกาะของรถถัง ปกป้องไม่ให้ผ้าใบพลาสติกได้รับความเสียหาย นอกจากนี้ยังสามารถรักษาความอบอุ่นได้อีกด้วย
ใช้เวลาไปหนึ่งวันเต็มๆ ด้วยอุปกรณ์เครื่องมือและความขยันของคนที่มากมายขนาดนี้ ในที่สุดก็สร้างโรงเรือนเพาะปลูกทั้งสองหลังเสร็จก่อนพระอาทิตย์จะตกลงสู่ภูเขา
ในตอนท้ายบิลกับฉินสือโอวก็ช่วยกันแขวนม่านไว้เรียบร้อยแล้ว พอปิดผ้าใบพลาสติกทั้งสองด้าน โรงเรือนเพาะปลูกก็ถูกสร้างจนเสร็จโดยประมาณแล้ว
มองดูโรงเรือนเพาะปลูกที่ดูทรงพลังเหมือนค่ายทหารทั้งสองหลัง ฉินสือโอวก็รู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมาก เขาพูดพร้อมแย้มรอยยิ้มว่า “วันแรกของปีใหม่ พวกเราก็ทำเรื่องที่ยอดเยี่ยมขนาดนี้แล้ว ดีจริงๆ นี่เป็นสัญญาณที่ดีเลยล่ะ!”
………………………………………………………
บทที่ 392 ปลูกผักสวนครัว
โดย
Ink Stone_Fantasy
เช้าวันต่อมา ฉินสือโอวพาทุกๆ คนมาทำงานต่อ จัดการนำชุดอุปกรณ์ของโรงเรือนที่เหลือเข้ามาติดตั้ง
เครื่องวัดอุณหภูมิ เครื่องวัดความชื้น อุปกรณ์ให้แสงสว่าง เครื่องผลิตแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ หัวฉีดน้ำแบบง่ายๆ ชุดอุปกรณ์ประกอบกองโตถูกติดตั้งตามคู่มือแนะนำ ถึงจะนับว่าสร้างโรงเรือนเพาะปลูกทั้งสองหลังเสร็จเรียบร้อยแล้ว
เปิดม่านโรงเรือนเพาะปลูกออกแล้วมุดเข้าไป ฉินสือโอวตัวสั่น เขาพูดพร้อมกับคิ้วที่กำลังขมวดเข้าหากัน “มีปัญหาตรงไหนหรือเปล่านะ? ให้ตายเถอะ ทำไมผมถึงรู้สึกว่าอุณหภูมิข้างในโรงเรือนเพาะปลูกมันหนาวยิ่งกว่าข้างนอกเสียอีกล่ะ? นี่ไม่สมเหตุสมผลเลย”
คุณประโยชน์ของโรงเรือนเพาะปลูกก็คือการรักษาความอบอุ่น หากรักษาความอบอุ่นไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นมันก็เป็นแค่ขยะ
บิลอธิบายว่า “นี่เป็นเรื่องปกติมาก โรงเรือนเพาะปลูกไม่ได้มีปัญหาอะไร นี่เรียกว่าปรากฏการณ์อุณหภูมิผกผัน เนื่องจากอุณหภูมิด้านนอกโรงเรือนเพาะปลูกในบริเวณที่สูงจะสูงกว่าบริเวณที่ต่ำกว่าในตอนกลางคืน และด้วยการรบกวนของลม พื้นดินบริเวณใกล้ๆ กับโรงเรือนเพาะปลูกอาจจะได้รับความร้อนจากอากาศด้านบน แต่เนื่องจากในโรงเรือนเพาะปลูกมีการกีดขวางของอุปกรณ์ที่ใช้ปกคลุมโรงเรือน จึงทำให้ไม่ได้รับความร้อนในส่วนนี้”
เขาหยุดไปครู่หนึ่ง แล้วจึงเริ่มพูดต่อ “นอกจากนี้ โรงเรือนเพาะปลูกของพวกเราก็เพิ่งจะถูกสร้างขึ้น ดินมีความหนาวเย็นมาก ไม่มีการเก็บสะสมความร้อน เมื่อรวมกับผ้าใบโพลีเอทิลีนที่มีอัตราการแผ่คลื่นความยาวได้ค่อนข้างสูง ทำให้การรักษาความอบอุ่นลดน้อยลง พื้นดินมีการแผ่รังสีความร้อนมาก มีการกระจายความร้อนสูง อุณหภูมิในโรงเรือนเพาะปลูกย่อมต่ำกว่าเป็นธรรมดา”
ฉินสือโอวกะพริบตาปริบๆ เขาถามเบิร์ดที่อยู่ข้างๆ ว่า “นายฟังรู้เรื่องไหม?”
เบิร์ดพยักหน้าอย่างเป็นธรรมชาติ แล้วพูดกับเขาว่า “ใช่แล้ว บอส ผมเข้าใจแล้ว”
ฉินสือโอวก็รู้สึกนับถือเขาขึ้นมาทันที เขาพูดกับเบิร์ดว่า “ไม่เสียแรงที่เป็นจ้าวแห่งทหารหน่วยรบพิเศษ มา บอสจะทดสอบนายหน่อย ใช้คำพูดแบบคนธรรมดาทั่วไปอธิบายเรื่องที่บิลเพิ่งพูดมาเมื่อกี้หน่อยสิ พยายามพูดให้กระชับแต่ได้ใจความสำคัญนะ”
จากนั้นเบิร์ดก็อธิบายอย่างกระชับจริงๆ “โรงเรือนเพาะปลูกไม่ได้เสีย”
ฉินสือโอว “…”
ในช่วงฤดูหนาว เพื่อที่จะลดการสูญเสียความร้อนในโรงเรือนเพาะปลูกและเพื่อที่จะเพิ่มอุณหภูมิในอากาศและในดิน จึงต้องพยายามปิดโรงเรือนเพาะปลูกให้มิดชิดที่สุด
บิลแนะนำให้ฉินสือโอวติดตั้งฉากกันลมไว้รอบๆ โรงเรือนเพาะปลูก หรือถ้าหากว่าต่อมาอากาศหนาวเกินไป ก็ยังสามารถใส่แผ่นหญ้า ผ้าไม่ถักทอ และโฟมพลาสติกและวัสดุอื่นๆ ไว้ด้านในเพิงของโรงเรือนเพาะปลูก เพื่อใช้เป็นฉนวนรักษาความร้อนแบบพิเศษ
ฉินสือโอวคิดว่าไม่จำเป็นต้องทำถึงขนาดนั้น เขามีพลังของจิตสำนึกแห่งโพไซดอน พืชผักจะแข็งตายง่ายๆ แบบนั้นได้ยังไง?
เขาถึงกับไม่ได้ใช้ต้นกล้าในการเพาะปลูก แต่แบ่งพื้นที่ในโรงเรือนเพาะปลูกแล้วนำเมล็ดพันธุ์มาปลูกลงไปโดยตรง
กะหล่ำป่า กะหล่ำดอก มะเขือเทศ ผักกินใบ ขึ้นฉ่าย พริก ฟักแม้ว ถั่วฝักยาว ถั่วแขก มันฝรั่ง ผักปวยเล้ง ผักกวางตุ้งจีน บรอกโคลี ขอเพียงแค่เป็นผักที่หาซื้อเมล็ดพันธุ์ได้ นอกจากนี้ยังมีพันธุ์พืชที่ปลูกขึ้นเองในช่วงฤดูไม้ร่วง ต่างก็ถูกนำมาปลูกทั้งหมด
บิลมองดูด้วยความตกตะลึงจนตาค้าง นี่ไม่ใช่ปลูกผักแล้ว นี่หาเรื่องให้มันตายชัดๆ! ไม่ได้นำเมล็ดพันธุ์ไปเพาะในกล่องเก็บอุณหภูมิให้งอกจนกลายเป็นต้นกล้าแล้วค่อยย้ายที่ปลูก แล้วมันจะโตได้ยังไงกัน? อากาศหนาวเกินไป อาจจะหนาวจนมันไม่โตเลยก็ได้
ฉินสือโอวใช้ปั๊มน้ำสูบน้ำขึ้นมาจากบ่อน้ำร้อน ยังไงก็เป็นน้ำจืดทั้งหมดอยู่แล้ว แถมยังมีเกลือแร่ที่สำคัญอยู่หลายอย่าง นำมารดน้ำผักก็คงจะไม่มีปัญหาอะไร
พลังของจิตสำนึกแห่งโพไซดอนไหลลงไปสู่พื้นดินพร้อมกับน้ำจากบ่อน้ำร้อน เมล็ดพันธุ์พืชมักจะดูดซึมพลังพวกนี้เข้าไป ถ้าหากพวกมันยังไม่โตขึ้นอีก ต่อไปฉินสือโอวก็คงไม่คิดจะปลูกผักอีกแล้ว
ตอนนี้บริเวณรอบๆ บ่อน้ำร้อนกลายมาเป็นอีกหนึ่งที่พักอาศัยของนกจมูกหลอดหางสั้นแล้ว
ในช่วงฤดูร้อนก็ยังไม่มีอะไร แต่เมื่อมาถึงฤดูหนาวก็จะสามารถสัมผัสความร้อนใต้พิภพที่หมุนวนขึ้นมาจากบ่อน้ำร้อนได้อย่างชัดเจน ในคืนที่ไม่มีหิมะตก พวกนกจมูกหลอดหางสั้นจะมารวมตัวกันที่รอบๆ บ่อน้ำร้อนเพื่อรับความอบอุ่น ถ้าหิมะตกหนัก พวกมันก็จะมุดเข้าไปในป่า
ถึงแม้ว่าใบไม้บนต้นไม้จะร่วงลงมาจนหมดแล้ว แต่กิ่งก้านยังงอกงามอยู่ หิมะตกหนักร่วงหล่นลงด้านบนก็กลายเป็นที่กำบังสำหรับหลบหิมะ ยิ่งหิมะตกหนักเท่าไรก็ยิ่งยากที่จะร่วงลงบนกองหญ้าแห้งที่อยู่บนพื้นเท่านั้น ไม่กี่วันก่อนหน้านี้หิมะตกหนักจนกลายสภาพเป็นแบบนั้น พวกนกจมูกหลอดหางสั้นก็ยังไม่หนาวตาย ก็นับว่าเป็นปาฏิหาริย์
ฤดูหนาวปลาใกล้ผืนน้ำน้อย ฉินสือโอวจึงจำเป็นต้องสั่งให้ชาร์คกับคนอื่นๆ ไปซื้อกุ้งแดงมาโปรยไว้บนผิวน้ำเพื่อให้อาหารนกจมูกหลอดหางสั้นพวกนี้
พอเป็นอย่างนี้ ก็เหมือนว่าพวกนกจมูกหลอดหางสั้นจึงถือว่าฟาร์มปลาเป็นบ้านของพวกมัน ต่อให้พวกมันโตแล้วแต่ก็ไม่อพยพตามพ่อแม่ของพวกมันไป อาศัยอยู่ที่ฟาร์มปลาอย่างเชื่องๆ กำหนดเวลาในการกินอาหาร นานๆ ครั้งถึงจะกินอาหารเพิ่ม พอหนาวก็มุดเข้าอยู่ในกองหญ้า พอเบื่อก็ออกมาแกล้งแหย่หู่จือกับเป้าจือ
สำหรับการอยู่อาศัยของนกจมูกหลอดหางสั้น ฉินสือโอวยินดีต้อนรับพวกมัน นั่นก็เพราะว่าเนื้อของนกชนิดนี้รสชาติดีมากๆ…
หลังจากหว่านเมล็ดพันธุ์ผักเรียบร้อยแล้ว งานนี้ก็ยังไม่นับว่าเสร็จสิ้น โรงเรือนเพาะปลูกยังมีถุงน้ำสีดำที่เป็นอุปกรณ์อีกหนึ่งอย่าง มันเป็นถุงพลาสติกสีดำที่เติมน้ำจนเต็มนั่นเอง ในระยะห่างห้าหกเมตรต้องวางถุงพลาสติกพวกนี้ไว้หนึ่งถุง
ถุงน้ำสีดำพวกนี้เป็นของดี อย่างแรกหลังจากเก็บน้ำไว้แล้ว เนื่องจากสีดำสามารถดูดซึมแสงอาทิตย์ได้ดี จึงสามารถใช้ข้อดีของความร้อนจำเพาะจากน้ำได้มาก ถุงน้ำดูดซับความร้อนในตอนกลางวันจะกลายเป็นการสะสมความร้อน ซึ่งจะค่อยๆ ปล่อยออกมาในตอนกลางคืน ทำให้อุณหภูมิของโรงเรือนเพาะปลูกสูงขึ้นมา
นอกจากนี้ ถ้าหากพื้นดินในโรงเรือนเพาะปลูกขาดแคลนน้ำอย่างหนัก เมื่อเปิดถุงน้ำพวกนี้ออกก็จะสามารถบรรเทาความแห้งแล้งได้
ฉินสือโอวคิดว่านี่เป็นของดีอย่างหนึ่ง เขาจึงตั้งใจโทรศัพท์ไปบอกพ่อกับแม่ โรงเรือนเพาะปลูกเล็กๆ ของที่บ้านรักษาความอบอุ่นได้ยากมาก ถ้ามีของแบบนี้อยู่ก็คงสะดวกสบายขึ้นไม่น้อย
เมื่อคืนวานนี้ ฉินสือโอวลองตรวจเครื่องวัดความชื้นดูสักหน่อย ความชื้นสัมพัทธ์ของอากาศอยู่ที่ 88% ต้องระวังตอนกลางคืน ถ้าอุณหภูมิผ้าใบพลาสติกของโรงเรือนเพาะปลูกลดลง ก็อาจจะมีละอองน้ำรวมกันอยู่ที่ผนังด้านในได้ ต่อไปถ้าละอองน้ำที่กลายเป็นน้ำแข็งในตอนกลางคืนร่วงใส่ต้นกล้าที่ยังเปราะบาง ก็อาจจะให้พวกมันได้รับความหนาวเย็นจนเกิดความเสียหายหรือทำให้ตายได้
บิลติดตั้งเครื่องดูดอากาศสำหรับโรงเรือนเพาะปลูกให้ฉินสือโอวอีกหนึ่งอย่าง เขาบอกกับฉินสือโอวว่า หลังจากนี้ถ้าต้นกล้างอกออกมาแล้วในตอนเย็นของทุกๆ วันก็จะต้องดูดอากาศออกมาหนึ่งครั้ง เพื่อป้องกันไม่ให้ข้างในมีไอน้ำอยู่มากเกินไป
นอกจากนี้ การถ่ายเทอากาศเป็นประจำก็ยังมีข้อดีอีกหนึ่งอย่าง ถ้าปิดโรงเรือนเพาะปลูกอย่างหนาแน่นจนเกินไป ก็จะสะสมแก๊สที่เป็นอันตรายอย่างพวกแก๊สแอมโมเนีย แก๊สไนโตรเจนไดออกไซด์ แก๊สซัลเฟอร์ไดออกไซด์ เอทิลีนได้อย่างง่ายดาย ซึ่งมีผลเสียต่อการเจริญเติบโตของผัก
ในตอนท้าย บิลได้มอบหนังสือหนาๆ เล่มหนึ่งให้กับฉินสือโอว พอฉินสือโอวลองอ่านดูเขาก็ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ขึ้นมาทันที หนังสือหนึ่งหมื่นเหตุผลที่ต้องสร้างโรงเรือนเพาะปลูก!
“ผมไม่ต้องใช้ของแบบนี้หรอก ผมแค่อยากกินผักสดๆ ก็แค่นั้น จำเป็นต้องศึกษาจนทะลุปรุโปร่งขนาดนี้เลยเหรอ?” ฉินสือโอววางมันลงข้างๆ
วินนี่ก็กลอกตาใส่เขาหนึ่งครั้ง เธอหยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาเก็บไว้ ไม่ใช่เพราะเธอคิดว่ามันมีประโยชน์ แต่จะปล่อยให้บิลรู้สึกผิดหวังไม่ได้ ยังไงนี่ก็เป็นความหวังดีอย่างหนึ่งไม่ใช่เหรอ?
หลังจากปลูกผักเรียบร้อยแล้ว ฉินสือโอวก็เริ่มใฝ่ฝัน ใฝ่ฝันถึงวันที่จะได้เก็บเกี่ยวผักพวกนี้
แต่ความเป็นจริงก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า จะได้รับผลตอบแทนก็ต้องลงแรงไปก่อน ไม่ใช่ว่าพอสร้างโรงเรือนเพาะปลูกเสร็จก็ไม่ต้องดูแลอะไรแล้ว ค่ำวันนั้นฟ้าพึ่งจะมืดได้ไม่เท่าไร อยู่ๆ หู่จือกับเป้าจือที่นอนอยู่ตรงประตูวิลล่าก็เห่าออกมาเสียงดัง
ฉินสือโอวลองออกมาดู ก็เห็นเงาหลายๆ เงาของขโมยกำลังวิ่งไปรอบๆ โรงเรือนเพาะปลูก
เขารีบใช้โคมไฟทังสเตนส่องเข้าไป พอได้เห็นก็รู้สึกหดหู่ขึ้นมาทันที ที่แท้ก็เป็นฝูงกวางอูฐนี่เอง!
เมื่อถูกแสงไฟสว่างจ้าสาดเข้าใส่รวมถึงเสียงขู่คำรามของหู่จือกับเป้าจือ กวางอูฐพวกนี้ก็พากันตกใจ แล้วรีบวิ่งหนีไปทันที พอฉินสือโอวเข้าไปดูก็รู้สึกปวดใจขนาดหนัก โรงเรือนเพาะปลูกหลังนี้เพิ่งจะสร้างเสร็จได้ไม่นาน ก็ถูกพวกเลวนั่นฉีกม่านของโรงเรือนเพาะปลูกออกจนเป็นรูขนาดใหญ่ พรุ่งนี้ต้องเปลี่ยนใหม่อีกรอบ
มองดูฝูงกวางที่กำลังวิ่งหนีกระวีกระวาด ฉินสือโอวก็เกิดความรู้สึกเกลียดชังขึ้นมาในใจ ไม่แปลกใจเลยที่คนในเมืองพากันเกลียดฝูงกวางพวกนี้ พวกมันน่ารำคาญเกินไปแล้ว!
ปอหลัวเห็นพ่อโมโหขนาดนี้ ดังนั้นมันจึงเริ่มแสดงความสามารถบ้างแล้ว มันวิ่งตามไปอย่างสุดฝีเท้า ปากก็ร้องอี๊ๆ ๆ ไปด้วย ไล่ฝูงกวางอูฐไปจนไกลลิบแล้วถึงได้วิ่งกลับมา
ฉินสือโอวเดินกลับมาที่วิลล่าด้วยความกลัดกลุ้มใจ กำลังจะเตรียมตัวไปเฝ้ายามกลางคืนที่โรงเรือนเพาะปลูกด้วยตัวเอง แต่ปรากฏว่าปอหลัวกลับนอนอยู่ในนั้นแล้ว ดูเหมือนว่ามันจะอยากช่วยเฝ้าโรงเรือนเพาะปลูกให้เขา
ฉินสือโอวรู้สึกดีใจอยู่ครู่หนึ่ง สัตว์เลี้ยงในบ้านพวกนี้มีประโยชน์ทุกตัวเลย เขานึกว่าทุกๆ วันนอกจากปอหลัวจะทะเลาะกับสัตว์ตัวอื่นกับก่อปัญหาก็คงไม่ทำงานอย่างอื่นแล้ว ตอนนี้ดูเหมือนว่า มันก็ช่วยงานในฟาร์มปลาได้เหมือนกัน!
……………………..……………………………
บทที่ 393 สร้อยมุกปะการังแดง
โดย
Ink Stone_Fantasy
มีปอหลัวที่มาเฝ้ายามด้วยตัวเอง โรงเรือนเพาะปลูกก็ปลอดภัยขึ้นแล้ว หู่จือกับเป้าจือก็พร้อมจะเป็นกำลังเสริมอยู่ตลอดเวลา นอกจากนี้ ฉินสือโอวยังได้เพิ่มความปลอดภัยสองชั้น เขาเลี้ยงฝูงห่านขาวไว้ที่หน้าทางเข้า ถ้าฝูงกวางเข้ามาใกล้ ก็เตรียมตัวรับมือกับอารมณ์รุนแรงของห่านขาวได้เลย
ความจริงข้อนี้ได้รับการยืนยันแล้ว การจัดการของเขานับว่าฉลาดหลักแหลมมาก ในตอนกลางคืนของวันถัดมาก็มีฝูงกวางเข้ามาใกล้ฟาร์มปลาอีกครั้ง พอฝูงห่านขาวที่กำลังหลับใหลถูกเสียงดังเอะอะปลุกให้ตื่นขึ้นมา
พวกห่านขาวโมโหร้ายก็ร้องแควกๆ แล้วเปิดสงครามไล่ล่าโจมตีฝูงกวางทันที และพวกมันยังคว้าเอาชัยชนะมาได้อย่างงดงาม
หลังจากจัดการโรงเรือนเพาะปลูกเรียบร้อยแล้ว ฉินสือโอวก็ไม่ได้ไปจัดการอะไรกับมันอีก ในตอนกลางคืนเขาจึงควบคุมจิตสำนึกแห่งโพไซดอนให้ไปที่ฟาร์มปลา
ไข่มุกสีดำสองร้อยหกสิบเม็ดถูกเก็บไว้ในแอ่งเล็กๆ ใต้แนวปะการังอย่างปลอดภัย ฉินสือโอวยังไม่ได้นำพวกมันขึ้นมาเนื่องจากความล่าช้า
นั่นก็เพราะว่าตอนที่เขาโทรศัพท์ไปหาเบลคเพื่อถามเรื่องการทำเครื่องประดับจากไข่มุกแบบครบชุด เบลคบอกเขาว่า ตามมาตรฐานแล้วของแบบนี้ต้องมีไข่มุกสามร้อยเม็ดขึ้นไป สองร้อยหกสิบเม็ดก็พอใช้ แต่จะไม่สมบูรณ์แบบ
เมื่อเป็นเช่นนี้ เขาจึงลองดูอีกครั้ง ไข่มุกสีดำในหอยนางรมลอยตัวใหญ่อีกหลายตัวใกล้จะใช้ได้แล้ว ดังนั้นหลายสิบวันมานี้ เขาจึงถ่ายทอดพลังของจิตสำนึกแห่งโพไซดอนลงไปอย่างสุดพลังอยู่โดยตลอด เพียงเพื่อที่จะได้ไข่มุกมา
ในที่สุด ครั้งนี้พอเขาลองค้นหอยนางรมลอยดูอีกครั้ง ฉินสือโอวก็เก็บไข่มุกสีดำได้ถึงสามร้อยเม็ดแล้ว
เขานำไข่มุกสีดำทั้งหมดมารวมไว้ในที่เดียวกัน หลังจากนั้นฉินสือโอวก็ค่อยออกไปสำรวจฟาร์มปลาต่อ
สิ่งที่เขาเจอเป็นอย่างแรกก็คือฝูงปลาแฮ็กฟิช พอดีกับที่ปลาค็อดตัวใหญ่ตัวหนึ่งที่ไม่รู้ว่าถูกปลาทูน่าครีบน้ำเงินหรือฉลามกลืนลงไปแล้วครึ่งหนึ่ง ร่างอีกครึ่งซีกที่เหลืออยู่ก็ลอยมาอยู่ตรงหน้าพวกปลาแฮ็กฟิช ทันใดนั้นฝูงหมาป่าแห่งท้องทะเลก็พากันว่ายเข้าไปแล้วเริ่มแย่งอาหารกันทันที
ได้สัมผัสกับปลาแฮ็กฟิชมานานแล้ว แต่ฉินสือโอวเพิ่งจะสัมผัสได้ถึงความน่ากลัวของปลาพวกนี้ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมพวกมันถึงมีชื่อเรียกที่ดูโหดร้ายอย่างหมาป่าแห่งท้องทะเล ตอนที่ปลาแฮ็กฟิชล่าเหยื่อพวกมันจะตะกละตะกลามมาก พวกมันสามารถกินไปด้วยขับถ่ายไปด้วยได้ ภายในหนึ่งชั่วโมงก็สามารถกินเนื้อปลาที่มีน้ำหนักตัวมากกว่าตัวเองถึงสองเท่าได้จนหมด!
เนื่องจากมีอาหารการกินที่ดี จำนวนประชากรของฝูงปลาแฮ็กฟิชจึงขยายขึ้นอีก ส่วนปลาแลมป์เพรย์กลับค่อนข้างน่าสงสาร ช่วงก่อนหน้านี้มันถูกจับขึ้นไปขายอย่างน่าเวทนา จนถึงตอนนี้จำนวนปลาก็ยังไม่ฟื้นคืนมา ในท้องทะเลแทบจะเหลือแต่ลูกปลาอยู่แล้ว
จริงๆ แล้วปลาแลมป์เพรย์มีชื่อเรียกในภาษาจีนอีกชื่อหนึ่งว่าปลาแปดตา ข้างลำตัวของมันทั้งสองข้างจะมีรูเล็กๆ อยู่ข้างละแปดรู ชาวประมงสมัยก่อนไม่รู้ นึกว่าเป็นดวงตาของมัน จึงเรียกมันว่าปลาแปดตา ต่อมาเมื่อนักสมุทรศาสตร์ได้ทำการวิจัย ก็พบว่ารูเล็กๆ ทั้งแปดรูนี้มีแค่รูแรกที่เป็นดวงตา ส่วนที่เหลือก็คือแก้มของมัน จึงทำให้พวกมันมีชื่อว่าปลาเจ็ดแก้ม (ในภาษาจีน)
หลังจากสำรวจดูปลาแฮ็กฟิชแล้ว ต่อมาฉินสือโอวก็เพิ่มพลังของจิตสำนึกแห่งโพไซดอนให้กับพวกปลาแลมป์เพรย์ ปลาชนิดนี้มีมูลค่าทางเศรษฐกิจค่อนข้างสูง เป็นที่ต้องการมากในนิวยอร์ก ถ้าหากเพาะเลี้ยงไว้เป็นพันธุ์ปลาทางเศรษฐกิจก็ไม่เลวเลย
เพื่อที่จะเพาะเลี้ยงปลาแลมป์เพรย์ ฉินสือโอวจึงใช้จิตสำนึกนำปลาจำพวกค็อดกับปลากะพงเข้ามายังบริเวณน่านน้ำที่เป็นที่อยู่อาศัยของพวกมัน เพราะเขาตั้งใจจะทำให้เกิดการเติบโตแบบปรสิต
ปลาแลมป์เพรย์ดูดเลือดส่วนปลาแฮ็กฟิชก็กินเนื้อ ฉินสือโอวพาพวกมันมารวมอยู่ด้วยกันได้อย่างประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก
ตอนนี้จุดสำคัญของฟาร์มปลาก็คือเมนล็อบสเตอร์กับปลิงทะเล ฉินสือโอวว่ายวนไปรอบๆ ฟาร์มปลา ก็พบว่ากุ้งมังกรพวกนี้ค่อนข้างแปลกประหลาด
กุ้งมังกรหนึ่งแสนตัวจากล็อตแรกที่ยังมีชีวิตเหลือรอดอยู่ เนื่องจากถูกพวกสัตว์น้ำจำพวกปลาล่าเป็นอาหารทำให้ทุกวันนี้เหลืออยู่แค่เจ็ดหมื่นแปดหมื่นตัวเท่านั้น เปลือกบนลำตัวของกุ้งมังกรพวกนี้มีสีเจ็ดสีที่แวววาวสวยงาม ดูเหมือนกับท้องฟ้าในยามค่ำคืนที่ถูกระบายสีลงไปอย่างไรอย่างนั้น
กุ้งมังกรที่ถูกนำมาทีหลังพวกนี้ ถึงแม้ว่าจะได้รับพลังของจิตสำนึกแห่งโพไซดอน แต่ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเท่าไรนัก ยังเป็นสีเขียวอ่อนอมน้ำเงินดูทึมๆ อยู่เหมือนเดิม
ตอนนี้ขนาดตัวของพวกมันยังเล็กเกินไป ขณะที่อยู่ในฟาร์มปลาจึงถูกข่มเหงรังแก ปลากินเนื้อแทบทุกชนิดก็ล้วนแต่ล่าพวกมันเป็นอาหาร พอได้โอกาสปูราชินีก็จะจับพวกมันกินเป็นอาหารเช่นกัน
ลูกกุ้งมังกรเมนล็อบสเตอร์ก็ใช่ว่าจะไม่มีสมอง ส่วนมากพวกมันจะพากันมุดเข้าไปอยู่ในทรายใต้ท้องทะเล ยังไงซะในฟาร์มปลาก็มีแพลงก์ตอนกับสาหร่ายทะเลอยู่ตั้งเยอะแยะ อาหารก็อุดมสมบูรณ์ พวกมันไม่มีทางอดตายแน่นอน
ในฟาร์มปลาของฉินสือโอว สาหร่ายทะเลก็คือพืชพันธุ์ที่มีประโยชน์มากที่สุด พวกมันทำให้ฉินสือโอวรู้สึกพึงพอใจที่สุดแล้ว ของพวกนี้ถึงจะนับว่าเป็นรากฐานของฟาร์มปลา
สาหร่ายทะเลไม่เพียงแต่สามารถเป็นอาหารให้กับสัตว์น้ำ แต่ยังสามารถสังเคราะห์แสงและปล่อยแก๊สออกซิเจนเข้าสู่น้ำทะเลได้อีกเป็นจำนวนมาก สัตว์น้ำก็เหมือนกันกับสัตว์บก จำเป็นต้องใช้แก๊สออกซิเจนในการดำรงชีวิต และยิ่งมีแก๊สออกซิเจนมากเท่าไรชีวิตของพวกมันก็ยิ่งเปี่ยมไปด้วยพลังทำให้ยิ่งเจ็บป่วยได้ยากเท่านั้น
พวกปลิงทะเลอยู่กันอย่างเงียบสงบ พวกมันเกาะอยู่กับโขดหินอย่างเชื่องๆ ค่อยๆ แอบขยับตัวอย่างช้าๆ เนิบๆ ในบางครั้งก็จะกินพวกทราย สาหร่ายทะเลกับหนอนเข้าไป ใช้ชีวิตอย่างอิ่มเอม สัตว์จำพวกกุ้งกับปลาในฟาร์มปลาก็ไม่ได้สนใจพวกมัน
เรื่องนี้ต้องขอบคุณวิถีชีวิตของปลิงทะเล พวกมันใช้ชีวิตด้วยการเกาะติดกับโขดหินอย่างเหนียวแน่น สีของลำตัวก็ขมุกขมัว คล้ายกันกับสีของโขดหิน ปลาทะเลส่วนมากสายตาไม่ดี จึงทำให้แยกพวกมันออกจากโขดหินได้ยาก ดังนั้นจึงไม่มีทางเจาะจงล่าพวกมันเป็นอาหารแน่นอน
ปลาเเซลมอนแปซิฟิกฝูงใหญ่กำลังว่ายลอยไปลอยมาอยู่ในน้ำ ฝูงปลาแซลมอนชินูกเป็นตัวแทนของพวกมัน ปลาพวกนี้เติบโตได้ดีมาก อ้วนท้วมสมบูรณ์กันทุกตัว ฉินสือโอวคิดไว้แล้วว่า หลังจากเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิเขาจะจับปลาแซลมอนชินูกเพื่อหาเงินก้อนแรก ปลาชนิดนี้ต้องได้ราคาสูงแน่นอน
หลังจากสำรวจรอบๆ ฟาร์มปลาแล้ว ฉินสือโอวก็วว่ายไปทางกลุ่มกรรมกรไร้กระดูก หรือก็คือทางฝั่งเรือไททานิกนั่นเอง
สำหรับฉินสือโอวแล้วเรืออับปางขนาดมหึมาลำนี้มีแรงดึงดูดแต่ก็ไร้ค่า แน่นอนว่า ห้องเคบินในหัวเรือมีของดีๆ อยู่ ซึ่งจะเห็นได้จากกล่องทั้งสามใบที่เขานำออกมาเมื่อก่อนหน้านั้น
ในกล่องทั้งสามใบนอกจากใบที่มีไวโอลินธรรมดาที่ไร้ราคาใบนั้น อีกสองใบที่เหลือใบก็มีหนึ่งที่ทำให้เขาได้รับมิตรภาพจากตระกูลสเตราส์ ส่วนอีกใบก็นำผลกำไรมาให้เขาอีกหลายสิบล้าน
ทว่า เรือไททานิกมีชื่อเสียงมากเกินไป สมบัติส่วนมากที่อยู่ด้านในก็มีชื่อเสียงโด่งดัง คาดว่าพองมขึ้นมาจากทะเลแล้วก็คงจะมีคนจำมันได้อย่างง่ายดาย ถ้าเป็นแบบนั้นก็คงจะเอาออกไปขายไม่ได้แน่ๆ
แต่ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม ฉินสือโอวก็ถือว่าเรือไททานิกเป็นสมบัติส่วนตัวที่เขาแสนจะหวงแหนอยู่ดี เรือลำนี้อับปางลงในเขตน้ำลึก 3400 เมตร บริษัทรับกู้ซากเรือทั่วๆ ไปคงไม่มีศักยภาพพอที่จะนำของออกจากเรือ
พวกหมึกกล้วยรุกล้ำเข้าไปทุกซอกทุกมุมของซากเรืออับปาง พวกมันย้ายของชิ้นเล็กๆ ที่สามารถย้ายได้ออกมาจนหมดแล้ว ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นอุปกรณ์สำหรับรับประทานอาหารกับเครื่องประดับชิ้นเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยสนิม กล่องใบใหญ่มีน้ำหนักมากเกินไป พวกมันจึงเคลื่อนย้ายไม่ไหว
ฉินสือโอวลองเข้าไปดู อุปกรณ์สำหรับรับประทานอาหารพวกนี้มีจำนวนไม่น้อยที่ทำมาจากแร่เงิน ถึงแม้ว่าจะจมอยู่ในน้ำมาร้อยปีแล้ว แต่ก็ยังส่งประกายวิบวับออกมาเป็นริ้วๆ น่าเสียดาย ที่ด้านบนสลักสัญลักษณ์ของเรือไททานิกเอาไว้ นอกจากตลาดมืดแล้ว ก็คงไม่มีใครรับซื้อพวกมัน
มีเครื่องประดับบางส่วนที่ค่อนข้างน่าสนใจ ฉินสือโอวเห็นกล่องใบหนึ่งที่ถูกเปิดออก ด้านในมีไข่มุกสีแดงขนาดเท่ากับนิ้วโป้งอยู่หนึ่งเส้น ไข่มุกพวกนี้มีขนาดเท่ากันทุกเม็ด สีแดงสวยสด มีความกลมกลึงเป็นอย่างมาก แค่มองดูก็รู้ว่าเป็นอัญมณี
ตอนนี้ฉินสือโอวไม่ได้ขาดความรู้เกี่ยวกับวัตถุโบราณเหมือนเมื่อก่อนแล้ว เมื่อลองสังเกตดูเขาก็สามารถวิเคราะห์ตัวตนของไข่มุกเส้นนี้ออกมาได้ มันไม่ได้ทำมาจากทับทิมหรือหินโมรา แต่คล้ายว่าจะทำมาจากปะการังสีแดง
สาเหตุที่เขาวินิจฉัยเช่นนี้ ก็เพราะว่าที่น่านน้ำในเขตแนวปะการังของฟาร์มปลาก็มีปะการังสีแดงผืนใหญ่อยู่หนึ่งผืน มันสวยงามมาก คล้ายกันกับไข่มุกพวกนี้อยู่มากทีเดียว ด้านนอกมีเยื่อหุ้มเซลล์ตามธรรมชาติอยู่หนึ่งชั้น สีแดงของมันเป็นเฉดที่ค่อนข้างเข้ม ไม่ใช่สีแดงสดใสเหมือนทับทิม
ถึงแม้ว่าปะการังสีแดงจะสวยไม่เท่าทับทิมกับหินโมราสีแดง ทว่าก็เป็นของค่อนข้างล้ำค่า โดยเฉพาะในพระไตรปิฎก ที่ยกย่องให้เป็นหนึ่งในเจ็ดอัญมณีของพุทธศาสนา มีคุณสมบัติของมนต์อาถรรพ์และนับเป็นสิ่งที่ควรค่าแก่การเคารพ
ฉินสือโอวมองดูไข่มุกปะการังสีแดงเส้นนี้ ก็รู้สึกว่ามันคล้ายกับสร้อยมุกของขุนนางในราชสำนักสมัยราชวงศ์ชิง เมื่อไม่เจอของที่ดีกว่านี้แล้ว ฉินสือโอวก็ควบคุมหมึกกล้วยตัวหนึ่งให้ม้วนสร้อยไข่มุกปะการังสีแดงเส้นนี้กลับไปกับเขา
…………………………………………………………….
บทที่ 394 เปิดตัวไข่มุกสีดำ
โดย
Ink Stone_Fantasy
เวลาตีห้า ท้องฟ้าด้านนอกยังมืดอยู่ แต่ฉินสือโอวก็ตื่นขึ้นมาแล้ว
ห่มผ้าห่มให้วินนี่แล้ว ฉินสือโอวก็ลงมาจากเตียง หู่จือกับเป้าจือที่อยู่ในห้องเงยหน้าขึ้นมามองเขา ลืมตาเล็กๆ ของพวกมันอย่างสะลึมสะลือ รอจนเห็นว่าเขาออกไปจากห้อง พวกมันก็บิดขี้เกียจแล้วรีบลุกขึ้นมา
ฤดูหนาวของเกาะแฟร์เวล อากาศบริสุทธิ์จนแทบจะแยกไม่ออกว่ากำลังหายใจเอาอากาศเข้าไป ฉินสือโอวสูดหายใจเข้าแรงๆ อากาศหนาวเย็นก็พัดผ่านจมูกของเขาลงไปยังบริเวณปอด ให้ความรู้สึกสดชื่นสุดๆ
เมื่ออบอุ่นร่างกายอยู่ตรงระเบียงทางเดินหน้าประตูแล้ว ฉินสือโอวก็วิ่งเหยาะๆ ไปจนถึงริมทะเล หู่จือกับเป้าจือเล่นกันตามมาด้านหลัง แกผลักฉันหนึ่งครั้งฉันกัดแกหนึ่งที เสียงฝีเท้าบางเบากับเสียงเห่าของสุนัขก็ค่อยๆ ประสานเสียงเข้าด้วยกัน
เมื่อมาถึงริมทะเล กระแสน้ำในทะเลพัดวนขึ้นลง ภายใต้การพัดพาของลมทะเล ฟองคลื่นแต่ละชั้นก็กระทบเข้ากับหาดทราย จนส่งเสียง ‘ซ่าๆ ซ่าๆ’ ออกมา ปรากฏให้เห็นท่วงทำนองที่งดงามของมหาสมุทรกว้างใหญ่
ฉินสือโอวเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า เงาของดวงจันทร์เลือนราง แสงของยามเช้าเปล่งประกายระยิบระยับ ท้องฟ้ากว้างสุดลูกหูลูกตาเป็นเหมือนโดมขนาดยักษ์ที่กำลังปกคลุมผืนแผ่นดินอยู่ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมคนโบราณถึงคิดว่าท้องฟ้าเป็นเหมือนฝาครอบ ตอนนี้เขาก็มีความรู้สึกแบบนั้นอยู่เหมือนกัน
เขาเดินขึ้นไปบนท่าเรือเพื่อสตาร์ทเครื่องยนต์เรือเด็ค ลมทะเลหนาวเย็นปะทะเข้ากับใบหน้าของเขาเหมือนมีดบาด ความหนาวเหน็บทำให้เกิดความรู้สึกเจ็บปวด
นี่ก็เป็นประสบการณ์อย่างหนึ่งเช่นกัน เสื้อผ้าของฉินสือโอวถูกลมพัดจนสะบัดปลิว เขามองไกลออกไปยังบริเวณทะเลลึกที่อยู่ตรงหน้าด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึม ยกแขนขึ้น ‘แชะ’ ถ่ายรูปเซลฟี่มาหนึ่งใบ เก๊กท่าถ่ายรูปในเวลาแค่ชั่วพริบตาเดียว
เมื่อเรือเด็คขับมาถึงด้านบนของแนวปะการัง ฉินสือโอวก็หย่อนกระปุกลงไปหนึ่งใบ เขาควบคุมหมึกกล้วยตัวหนึ่งให้นำไข่มุกสีดำมาเก็บไว้ข้างในกระปุกทีละเม็ดๆ หลังจากนั้นก็ยกขึ้นมาพร้อมกันกับสร้อยมุกปะการังแดง เท่านี้ก็ถือว่าเป็นอันเสร็จสิ้นแล้ว
พอกลับมาถึงฟาร์มปลา ฉินสือโอวเอาไข่มุกสีดำมาเก็บล็อกไว้ในกระเป๋าเดินทางล้อลากใบหนึ่ง รอจนฟ้าสางตะวันโด่ง เขาค่อยโทรศัพท์ไปหาเบลค ให้เขาช่วยติดต่อร้านทำเครื่องประดับ
คราวก่อนตอนที่ฉินสือโอวโทรไปถาม เบลคก็ช่วยเขาดูไว้บ้างแล้ว ครั้งนี้เขาโทรไปอีกหาครั้ง เบลคจึงให้ช่องทางกับที่อยู่สำหรับการติดต่อ ตำแหน่งของร้านตั้งอยู่บนถนนบรอดเวย์หมายเลข 259 ในเมืองนิวยอร์ก ชื่อร้านทิฟฟานี่แอนด์โค
เกี่ยวกับแบรนด์ที่ชื่อว่าทิฟฟานี่แอนด์โคแบรนด์นี้ ผู้หญิงที่ชื่นชอบแฟชั่นก็น่าจะคุ้นหูกันอยู่บ้าง นี่เป็นบริษัทเครื่องประดับอัญมณีและเครื่องเงินของอเมริกาที่ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 1883 โดยมุ่งเน้นไปที่อุตสาหกรรมอัญมณีเป็นหลัก
แตกต่างกับร้านจำหน่ายเครื่องประดับร้านอื่น ตรงที่บริษัททิฟฟานี่แอนด์โคได้กำหนดมาตรฐานอัญมณีกับทองคำขาวของตัวเองไว้ และต่อมามาตรฐานชุดนั้นก็เป็นที่ยอมรับของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาจนตั้งให้เป็นมาตรฐานทางราชการ แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลความยิ่งใหญ่ของแบรนด์
พอฉินสือโอวติดต่อไปทางโทรศัพท์ ผู้หญิงที่มีเสียงพูดนุ่มนวลอ่อนหวานคนหนึ่งก็เป็นคนรับสายเขา เบลคมีหน้ามีตาไม่น้อยเลย ผู้หญิงคนนี้เป็นถึงผู้จัดการร้านทิฟฟานี่แอนด์โคสาขาเรือธงในนิวยอร์ก เธอคือนักออกแบบระดับชั้นนำในวงการเครื่องประดับ ลีฟ ไดม์เลอร์
เมื่อได้รู้ว่าฉินสือโอวต้องการให้ออกแบบเครื่องประดับจากไข่มุกสีดำสามร้อยเม็ดที่เขามีอยู่ ลีฟ ไดม์เลอร์ก็ยิ้มน้อยๆ แล้วตอบเขากลับมาว่า “เป็นเกียรติอย่างสูงค่ะ ขอบคุณที่ไว้วางใจทิฟฟานี่แอนด์โคนะคะ พวกเราจะไม่ทำให้คุณต้องผิดหวังอย่างแน่นอนค่ะ”
พวกเขาคุยกันคร่าวๆ ทั้งสองคนนัดหมายกันว่าจะมาพบกันในวันพรุ่งนี้ หลังจากนั้นฉินสือโอวจึงพาเบิร์ดกับนีลเซ็นไปที่สนามบิน
แคนาดากับอเมริกาทั้งสองประเทศมีข้อตกลงฟรีวีซ่า หลังจากฉินสือโอวแสดงพาสปอร์ตกับบัตรประชาชน ก็สามารถนั่งเครื่องบินตรงไปยังนิวยอร์กได้ทันที
ตอนนี่บิลลี่ถือว่าฉินสือโอวเป็นเหมือนพี่ใหญ่ พอรู้ว่าฉินสือโอวจะมานิวยอร์ก เขาก็ไม่มัวชักช้า รีบเดินทางออกจากไมอามีทันที
เมื่อเป็นเช่นนี้ตอนที่ฉินสือโอวออกมาจากสนามบิน รถเอสยูวีที่โดดเด่นสะดุดตาก็ขับเข้ามาหา กระจกรถถูกลดลง บิลลี่ก็โผล่ใบหน้าหยาบกร้านของเขาที่สวมแว่นกันแดดอยู่ออกมา “เฮ้ เพื่อน ทางนี้ มาหาฉันทางนี้!”
ฉินสือโอวเดินอ้อมเข้าไปดู แล้วถามขึ้นมาว่า “นี่คือรถแลนด์โรเวอร์เหรอ? ทำไมถึงได้สูงยาวขนาดนี้?”
เขาเป็นเพียงแค่คนรักรถทั่วๆ ไป ไม่ได้ศึกษาอย่างจริงจัง ถึงจะมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้แต่ก็ไม่ได้มีมากมายขนาดนั้น เขาพอจะรู้จักรถที่มีชื่อคุ้นหูบางรุ่น แต่ถ้าเป็นรถที่ไม่ค่อยได้รับความนิยมหรือไม่ค่อยพบในจีนเข้าก็ไม่รู้จักแล้ว
นีลเซ็นอธิบายให้ฉินสือโอวฟังว่า “ใช่ครับ นี่คือรถแลนด์โรเวอร์ ที่ถูกปรับแต่งโดยโอเวอร์ฟลินช์ ราคาขายในอเมริกาอยู่ที่ราวๆ ห้าแสนดอลลาร์สหรัฐ แรงขับเคลื่อนเต็มสูบ ห้องโดยสารกว้าง แทบจะเป็นรถเอสยูวีระดับสูงสุดแล้ว”
พอฉินสือโอวขึ้นรถมา เขาก็พบกับสาวสวยขายาวสะโพกงอนงามคนหนึ่งที่นั่งอยู่บนที่นั่งด้านข้างคนขับ เธอมีรูปร่างเซ็กซี่ ถึงอากาศจะหนาวเหน็บขนาดนี้ แต่เธอก็สวมเพียงชุดเดรสสายเดี่ยวเพียงตัวเดียวเท่านั้น มันเผยให้เห็นต้นขาขาวๆ ของเธอ
บิลลี่ตบพวงมาลัยรถแล้วถามเขาด้วยรอยยิ้มว่า “รถคันนี้เป็นยังไงบ้าง? เพิ่งซื้อมาเมื่อวานนี้เอง นายเป็นแขกคนแรกของมันเลยนะ”
“รถคันนี้ไม่เลวเลย นายชอบรถเอสยูวีเหรอ?”
“ไม่ใช่หรอก ผู้หญิงที่ฉันรักชอบมันน่ะ” พอพูดจบแล้วบิลลี่ก็หันไปจูบกับสาวสวยเซ็กซี่คนนั้นอย่างเร่าร้อน หญิงสาวคนนั้นก็แสดงออกอย่างเปิดเผยเช่นกัน เธอแลบลิ้นออกมาเลยทันที
ความคิดแตกต่างกัน ฉินสือโอวไม่ได้พูดอะไรต่อ เขานั่งอยู่บนที่นั่งกว้างขวางด้านหลัง หลังจากนั้นบิลลี่ก็ขับรถมุ่งหน้าสู่ถนนบรอดเวย์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังทันที
เห็นสัญลักษณ์สีฟ้าคลาสสิคของทิฟฟานี่แอนด์โค ดวงตาของสาวฮ็อตคนนั้นก็เป็นประกายขึ้นมาทันที ฉินสือโอวอดทอดถอนใจไม่ได้ สิ่งของฟุ่มเฟือยพวกนี้มีแรงทำลายล้างสำหรับพวกผู้หญิงจริงๆ นั่นล่ะ
เมื่อเข้ามาในร้าน พนักงานท่าทางสง่าคนหนึ่งก็เข้ามาต้อนรับพวกเขา ฉินสือโอวบอกกับเธอว่าเขาได้นัดผู้จัดการร้านของพวกคุณไว้แล้ว พนักงานคนนั้นก็ถามเขาว่า “คุณคือมิสเตอร์ฉินจากแคนาดาใช่ไหมคะ?”
ฉินสือโอวพยักหน้า พนักงานคนนั้นก็นำเขาไปยังห้องรับรอง ไม่นานหลังจากนั้น หญิงวัยกลางคนอายุประมาณห้าสิบปีก็เดินเข้ามา
รูปร่างหน้าตาของผู้หญิงคนนี้ก็ธรรมดาทั่วๆ ไป ทว่าบุคลิกดีมาก ใบหน้าของเธอประดับด้วยรอยยิ้มที่ทำให้รู้สึกเหมือนว่ากำลังอาบน้ำอยู่ในฤดูใบไม้ผลิ พอได้พบกับฉินสือโอวเธอก็แนะนำตัวเองว่า “สวัสดีค่ะ มิสเตอร์ฉินที่เคารพ ฉันชื่อลีฟ ไดม์เลอร์ เป็นนักออกแบบของที่นี่ ยินดีที่ได้รู้จักคุณเป็นอย่างยิ่งค่ะ”
ทั้งสองฝ่ายพูดคุยกันด้วยคำพูดตามพิธีรีตองอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากนั้นฉินสือโอวก็เปิดกระเป๋าถือออก ไข่มุกสีดำที่มีสีสันลึกลับก็ปรากฏขึ้นสู่สายตา
ไข่มุกพวกนี้ถูกวางเรียงลำดับตามขนาดความใหญ่เล็ก กลมกลึงละเมียดละไม มีผิวเรียบลื่นเป็นประกาย แสงแดดที่ส่องผ่านหน้าต่างกระทบเข้ากับผิวด้านนอกของพวกมันจนเปล่งประกายแสงนวลตา งดงามจนดูไม่หวาดไม่ไหว
ฉินสือโอวสัมผัสมันอย่างเบามือ ไข่มุกก็หมุนขึ้นมาทันที แสงนวลตาลอยละล่อง จนดูเหมือนคลื่นน้ำหลายๆ สายก็ไม่ปาน
ได้เห็นภาพแบบนี้ สาวเซ็กซี่ที่อยู่ข้างกายบิลลี่ก็ถึงกับเบิกตากว้าง เธอเหมือนคนกำลังอดอยากที่มองเห็นขนมปัง แทบจะโถมตัวเข้าหากระเป๋าถืออยู่แล้ว
อย่าว่าแต่หญิงสาวคนนี้เลย ขนาดลีฟ ไดม์เลอร์ที่เห็นอัญมณีโด่งดังล้ำค่าจนชินตาก็ยังตาเป็นประกาย เธอพินิจดูไข่มุกสีดำพวกนี้ด้วยความหลงใหลแล้วพูดกับเขาอย่างทอดถอนใจว่า “พระเจ้า พวกมันสวยเกินไปจริงๆ ฉันพูดได้แค่ว่านี่คือของล้ำค่าที่พระเจ้าได้มอบให้กับโลกมนุษย์ สวยเกินไปจริงๆ”
ต่อจากนั้น ลีฟก็เรียกคนวัยกลางคนสองคนให้เข้ามาหา พวกเขาหยิบไข่มุกสีดำมาวางไว้ในถาดชนิดพิเศษทีละเม็ดด้วยความระมัดระวัง แต่ละเม็ดที่เก็บมาล้วนแต่ต้องถ่ายรูปเก็บไว้ทั้งสิ้น
เมื่อจัดการเก็บไข่มุกสีดำเรียบร้อยแล้ว ผู้ชายคนหนึ่งก็พยักหน้าน้อยๆ แล้วพูดขึ้นมาว่า “ใช่แล้ว ไข่มุกสีดำของแท้ทั้งหมด ล้วนแต่เป็นไข่มุกชั้นเยี่ยม ถ้านำพวกมันไปวางไว้ในตู้สินค้า ผมว่าเซเลบริตี้ทั้งนิวยอร์ก จะต้องพากันคลั่งแน่ๆ”
ถึงแม้คนอื่นจะดูตกตะลึงขนาดนี้ ทว่าฉินสือโอวก็ไม่อาจคิดว่าไข่มุกของตัวเองเป็นสมบัติล้ำค่าที่สุดในโลกอย่างนั้นจริงๆ แท้จริงแล้วพวกเขามักจะพูดเพื่อเป็นมารยาทเสียส่วนใหญ่
พอตรวจสอบแล้วว่าไข่มุกสีดำไม่ได้มีปัญหาอะไร ลีฟจึงจัดเตรียมสัญญาการออกแบบเครื่องประดับ เมื่อเธอถามถึงความต้องการของฉินสือโอว เขาก็หยิบรูปถ่ายเต็มตัวของวินนี่ออกมา แล้วพูดกับเธอว่า “ผมต้องการเครื่องประดับหนึ่งชุด ส่วนเรื่องสไตล์ยกให้พวกคุณออกแบบเลยครับ แต่ว่าก็ต้องสง่างามและเรียบง่าย ให้เข้ากับบุคลิกแฟนของผม”
ลีฟแย้มรอยยิ้มพร้อมทั้งพูดกับเขาว่า “แน่นอนค่ะ เรื่องนี้ขอให้คุณวางใจได้เลย ฉันต้องขอบอกเลยว่า มิสเตอร์ฉินคะ แฟนของคุณเป็นผู้หญิงที่โชคดีที่สุดในโลก ฉันอิจฉาเธอมากๆ เลยค่ะ”
หญิงสาวที่อยู่ข้างๆ บิลลี่ก็พยักหน้าไม่หยุด ถ้าไม่ใช่เพราะอยู่ต่อหน้าบิลลี่แล้วล่ะก็ คิดว่าเธอคงจะกระโดดเข้าใส่ฉินสือโอวไปตั้งนานแล้ว
……………………………………………………………………
บทที่ 395 บิลลี่ขอพลิกฟ้า
โดย
Ink Stone_Fantasy
ระดับความยากลำบากของการออกแบบเครื่องประดับหนึ่งชุดให้สำเร็จนั้น ไม่ได้น้อยไปกว่าการออกแบบโปรแกรมคอมพิวเตอร์เลย จำเป็นต้องใช้นักออกแบบที่มีแรงบันดาลใจและพลังในการควบคุมเพื่อให้งานรุดหน้าได้อย่างเต็มที่
ดังนั้น นักออกแบบระดับหัวกะทิพวกนี้จึงมีรายได้ที่สูงมาก ลีฟเป็นตัวแทนของบริษัททิฟฟานี่แอนด์โคที่รับผิดชอบงานของฉินสือโอวในครั้งนี้ ถ้าไม่คิดเรื่องต้นทุน ค่าใช้จ่ายสำหรับการออกแบบก็อยู่ที่ 280,000 ดอลลาร์สหรัฐแล้ว!
ครั้งแรกที่ได้อ่านสัญญา ฉินสือโอวก็ถึงกับถอนหายใจออกมาหนึ่งเฮือก “ไม่แปลกใจเลยที่มีคนพูดว่านี่เป็นกิจกรรมความบันเทิงของมหาเศรษฐี ชีวิตทั้งชีวิตของคนธรรมดาแบบพวกเราได้ออกแบบเครื่องประดับสักชุดก็ถือว่าหรูแล้วล่ะ”
ลีฟปิดปากหัวเราะแล้วพูดกับเขาว่า “มิน่าล่ะมิสเตอร์เบลคถึงบอกว่าคุณชอบล้อเล่น มิสเตอร์ฉินคะ ถ้าคนที่มีไข่มุกสีดำมูลค่าหลายล้านแถมยังถือบัตรแบล็ก อาเม็กซ์อย่างคุณเป็นคนธรรมดา คนแบบพวกฉันไม่ต้องไปอยู่ในสลัมเลยเหรอคะ?”
ฉินสือโอวหัวเราะออกมา ดูท่าว่าเบลคคงจะเคยบอกข้อมูลทางการเงินของเขากับบริษัททิฟฟานี่แอนด์โคมาบ้างแล้ว นี่เป็นเรื่องธรรมดามาก ผู้จัดการร้านเครื่องประดับแถมยังเป็นหัวหน้านักออกแบบของบริษัททิฟฟานี่แอนด์โคสละเวลาเพื่อมาต้อนรับลูกโดยเฉพาะ จะไม่ตรวจสอบฐานะของลูกค้าเลยได้อย่างไรกัน?
“ถูกกว่านี้ได้ไหมครับ?” ฉินสือโอวแกล้งหยอกเล่น
ลีฟแย้มรอยยิ้มแล้วตอบเขากลับไปว่า “บังเอิญมากๆ เลยนะคะ มิสเตอร์ฉิน เคยมีคุณผู้ชายท่านหนึ่งถามคำถามนี้กับเราเหมือนกัน ตอนนั้นพวกเราให้คำตอบกับเขาไปว่า ตอนที่ท่านประธานาธิบดีลินคอล์นมาซื้อเครื่องประดับที่นี่ พวกเราไม่ได้มีส่วนลดอะไรให้กับเขา เพื่อความยุติธรรมของลูกค้า พวกเราจึงไม่สามารถลดราคาให้คุณได้”
บิลลี่ยิ้มพร้อมทั้งพูดเสียงเบากับฉินสือโอวว่า “บริษัททิฟฟานี่แอนด์โคให้ความสำคัญกับนายมากนะ นายรู้ไหมว่า ‘คุณผู้ชายท่านหนึ่ง’ ที่ผู้จัดการลีฟพูดมาคือใคร? ดไวท์ ดี ไอเซนฮาวร์!”
บริษัททิฟฟานี่แอนด์โคให้การต้อนรับฉินสือโอวได้อย่างสมเกียรติอย่างแท้จริง คนที่ทางบริษัทส่งมาต้อนรับเขาก็เป็นถึงหัวหน้านักออกแบบ ที่สมเกียรติยิ่งกว่านี้ก็คือการที่เจ้านายเป็นคนออกหน้าเอง โดยทั่วไปแล้วจะมีแค่ประธานาธิบดี นักการเมืองที่มีชื่อเสียง ซูเปอร์สตาร์กับมหาเศรษฐีเท่านั้นที่จะได้รับการต้อนรับพิเศษแบบนี้
อย่าคิดว่าบริษัททิฟฟานี่แอนด์โคพยายามทำให้ตัวเองดูสำคัญ แท้จริงแล้วพวกเขาก็มีสิทธิที่จะถือตัว ในฐานะที่เป็นผู้จัดจำหน่ายอัญมณีระดับบนสุดของอเมริกา บริษัททิฟฟานี่แอนด์โคคู่ควรกับการเป็นผู้จัดจำหน่ายอัญมณีที่ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาเลือกใช้
เริ่มตั้งแต่ปี 1861 ในตอนนั้นประธานาธิบดีลินคอล์นเสียเงินให้กับบริษัททิฟฟานี่แอนด์โคไปห้าร้อยสามสิบดอลลาร์ เพื่อเลือกซื้อชุดเครื่องประดับไข่มุกให้กับแมรี่ภรรยาของเขา เพื่อให้เธอได้สวมใส่มันในพิธีสาบานตนเพื่อรับตำแหน่งประธานาธิบดีของเขา หลังจากนั้น ประธานาธิบดีคนอื่นๆ ของอเมริกาและผู้นำสูงสุดของต่างประเทศก็พากันทำตามเขาเช่นกัน ในงานพิธีรับประธานาธิบดีของโอบามาในวาระที่แล้ว มิเชลล์ภรรยาของเขาก็ติดเข็มกลัดประดับหน้าอกจากบริษัททิฟฟานี่แอนด์โค
ที่ฉินสือโอวได้รับการต้อนรับที่พิเศษเช่นนี้ ความจริงแล้วไม่ใช่เพียงเพราะเขามีบัตรแบล็ก อาเม็กซ์เท่านั้น เขาประเมินฐานะของตัวเองในวงสังคมชั้นสูงของอเมริกาไว้ต่ำเกินไป งานเลี้ยงของตระกูลสเตราส์ทำให้เขาพอจะมีชื่อเสียงในวงสังคมของที่นี่บ้างแล้ว
เมื่อชำระเงินมัดจำเรียบร้อยแล้ว ลีฟก็พาฉินสือโอวเข้าไปเยี่ยมชมอัญมณีในร้านขายเครื่องประดับของทิฟฟานี่แอนด์โค นี่คือการต้อนรับที่ต้องทำอย่างเป็นประจำ โดยมีวัตถุประสงค์ในการเสริมความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า
วนดูจนทั่วร้านเครื่องประดับที่หรูหราราวกับพระราชวังแห่งนี้แล้วหนึ่งรอบ ฉินสือโอวก็รู้สึกแสบตาจนตาแทบบอด ทองคำกับทองคำขาวเป็นเพียงตัวประกอบของที่นี่เท่านั้น เพชรพลอย อัญมณี มรกตกับแร่โลหะหายากพวกนั้นต่างหากที่เป็นตัวละครหลัก
ฉินสือโอวมองดูแค่พอผ่านๆ ให้ผู้ชายมาเดินเล่นที่นี่ก็ดูไม่น่าสนุกเลยจริงๆ ถ้าเป็นร้านขายปืน เขาก็คงจะอยากเดินชมให้นานกว่านี้ สำหรับพวกผู้ชายแล้ว ร้านขายเครื่องประดับจะมีอะไรน่าสนใจตรงไหนกัน?
พอเดินชมแล้วหนึ่งรอบ เขาก็ขอตัวกลับ สู้เขาไปพูดคุยเรื่อยเปื่อยกับบิลลี่ยังดีกว่า
เดิมทีฉินสือโอววางแผนไว้ว่า เขาจะไม่หยุดพักที่นิวยอร์ก พอนำไข่มุกสีดำมาส่งให้บริษัททิฟฟานี่แอนด์โคแล้ว เขาก็จะนั่งเครื่องบินกลับบ้านทันที
ทว่าบิลลี่ก็ชักชวนให้เขาอยู่ที่เมืองแอปเปิลยักษ์แห่งนี้ต่อเพื่อเที่ยวเล่นด้วยกันอย่างกระตือรือร้น ฉินสือโอวลองคิดๆ ดูแล้วก็รู้สึกว่าเขาอยู่ที่เมืองเล็กๆ เฉยๆ ก็ไม่น่าสนุกตรงไหน จึงตัดสินใจอยู่ที่นี่ต่อ
แต่เขาจะเอาแต่เที่ยวเล่นอย่างเดียวไม่ได้ จะต้องคุยกับบิลลี่เรื่องการโฆษณาภาพวาดของแวนโก๊ะเสียก่อน บิลลี่บอกเขาว่าการโฆษณาประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ตอนนี้วงการนักสะสมทั่วทั้งยุโรปต่างก็พากันคลั่ง พิพิธภัณฑ์แวนโก๊ะในฮอลแลนด์ก็ส่งคนมาติดต่อเพื่อขอรับภาพวาดกลับไปอยู่หลายครั้ง
ฉินสือโอวพูดขึ้นมาว่า “ถ้าหากว่าชาวฮอลแลนด์สนใจ ก็ลองคุยกับพวกเขาดูสักหน่อย ไม่จำเป็นต้องนำเข้างานประมูลอย่างเดียวเท่านั้น ถ้าเขาให้ราคาที่เหมาะสมจะขายออกไปก็ได้”
เขาไม่ได้มองเงินเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าหากภาพวาดของแวนโก๊ะได้กลับไปอยู่ในพิพิธภัณฑ์ที่สร้างมาเพื่อเขาโดยเฉพาะนั่นก็นับว่าเป็นเรื่องที่น่าสรรเสริญเช่นกัน
บิลลี่ยิ้มหยาม แล้วพูดกับเขาว่า “ปล่อยให้พวกนั้นฝันไปเถอะ คนพวกนั้นพูดแต่เรื่องการเสียสละกับการบริจาค จะให้พวกเราบริจาคภาพวาดให้กับพิพิธภัณฑ์ฟรีๆ นายว่า มันเป็นไปได้หรือไง?”
“ต่อให้เป็นตอนหลับฝันก็ไม่ได้!” ฉินสือโอวพูดด้วยความเด็ดขาด พ่อเอ็งสิ จะมาพูดเรื่องเสียสละกับการบริจาคกับฉันทำไมตอนนี้? ทำไมไม่พูดตั้งแต่ตอนที่พวกแกจัดตั้งพันธมิตรแปดชาติมารุกรานเมืองหลวงของพวกเรา?
หลังจากคุยเรื่องภาพวาดอาทิตย์อัสดงที่มงต์มาจูร์เสร็จแล้ว ฉินสือโอวก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา แล้วเอาสร้อยมุกปะการังแดงเส้นนั้นให้บิลลี่ดู เพื่อถามเขาว่ามันเป็นของที่มีมูลค่าไหม
ถึงแม้ว่าบิลลี่จะเป็นนักประดาน้ำ แต่เขาก็มีพื้นเพเป็นคนที่นั่น แถมยังเรียนที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย คณะที่เรียนก็คือคณะโบราณคดีวิทยาและการพิเคราะห์คุณค่างานศิลปะ เรื่องความสามารถยิ่งไม่ต้องพูดถึง
เพียงแค่ดูรูปพวกนี้ บิลลี่ก็บอกกับเขาว่า “นี่น่าจะเป็นโบราณวัตถุจากประเทศจีนของนายนะ สร้อยมุกที่ขุนนางลำดับขั้นที่หนึ่งกับสองในสมัยราชวงศ์ชิงก็ทำมาจากปะการังสีแดงทั้งนั้น แต่ว่า สร้อยเส้นนี้น่าจะไม่ได้มีมูลค่าอะไร เพราะด้านบนก็ไม่ได้มีข้อความที่ช่วยยืนยันตัวตนของเจ้าของ น่าจะขายไม่ได้ราคาสูงนักหรอก”
ฉินสือโอวยักไหล่น้อยๆ แล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เป็นไร ถ้าไม่ได้มีมูลค่าอะไรเดี๋ยวฉันเก็บไว้ทำเครื่องประดับเอง”
เขาไม่ได้สนใจวัตถุโบราณจากราชวงศ์ชิงอยู่แล้ว ในฐานะที่เป็นคนหนุ่มผู้เกรี้ยวโกรธคนหนึ่ง เขาจึงไม่สนใจสิ่งของจากราชวงศ์ชิงไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม
ได้ยินฉินสือโอวพูดเช่นนี้ บิลลี่ก็ยิ้มร้าย เขาโน้มตัวเข้ามาแล้วพูดกับฉินสือโอวว่า “ถึงของชิ้นนี้ของพวกเราจะไม่มีมูลค่าอะไร แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะขายไม่ได้ราคานะ มูลค่าที่แท้จริงกับราคาของมันไม่จำเป็นจะต้องเท่ากันสักหน่อย”
ฉินสือโอวถามด้วยความสนอกสนใจว่า “นายมีวิธีที่จะขึ้นราคาของชิ้นนี้อย่างนั้นเหรอ?”
บิลลี่บอกกับเขาว่า “ง่ายมาก ก็สร้างกระแสขึ้นมาซะสิ! สร้อยมุกไม่ได้มีข้อมูลของเจ้าของใช่ไหมล่ะ พวกเราหาวิธีสร้างมันขึ้นมาก็ได้แล้วนี่? ตระกูลของฉันถนัดเรื่องพวกนี้มาก รอดูเถอะ คราวนี้ฉันจะทำให้นายเห็นถึงความสามารถของฉันเอง”
“นายทำได้ถึงระดับไหน?”
“ตอนนี้สร้อยมุกปะการังแดงเส้นนี้น่าจะขายได้มากสุดประมาณหมื่นดอลลาร์ ฉันจะทำให้มันขายได้ถึงหนึ่งล้านเลย!”
“ทำได้ขนาดนั้นเลยเหรอ? นายจะพลิกฟ้าหรือยังไงกัน”
“พลิกฟ้าเหรอ? นั่นเป็นการขัดต่อความประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าไม่ใช่เหรอ? นี่คงไม่ดีเท่าไร แต่เพื่อให้นายได้รู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของฉัน ถ้าอย่างนั้นฉันก็คงต้องทำมันสักครั้งแล้วล่ะ”
ฉินสือโอวตบไหล่ของเขาแปะๆ พร้อมทั้งพูดให้กำลังใจเขาว่า “เด็กดี ตั้งใจทำล่ะ ฉันจะรอดูนะ”
พอพูดแบบนี้แล้ว ตัวฉินสือโอวเองก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้
แต่บิลลี่ไม่ได้พูดเล่น เขาต้องการที่จะแสดงให้ฉินสือโอวได้เห็นถึงด้านที่ไม่ธรรมดาของเขา ภาพวาดอาทิตย์อัสดงที่มงต์มาจูร์ผืนนี้ พูดตามตรงเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับรายได้ในครั้งนี้เลยแม้แต่สตางค์แดงเดียว แต่เนื่องจากข้อตกลงของความร่วมมือ จึงทำให้เขายังได้รับส่วนแบ่งเงิน ดังนั้นถ้าเขาอยากจะรับเงินก้อนนี้ได้อย่างสบายใจ เขาก็ต้องทำให้เพื่อนร่วมงานตระหนักได้ถึงความจำเป็นที่ต้องมีเขาอยู่เช่นกัน
ความสามารถของเขาไม่ได้มีเพียงแค่การทำธุรกิจเท่านั้น แต่เขายังมีความสามารถในการกินดื่มและเที่ยวเล่นอีกด้วย
เมื่อมาถึงนิวยอร์ก สิ่งแรกที่ต้องลิ้มลองก็คืออาหารเลิศรส เมืองหลวงของโลกแห่งนี้มีร้านอาหารที่นำมาซึ่งความภาคภูมิใจมากกว่า 18,000 ร้าน มีอาหารเลิศรสที่มีความหลากหลายอย่างที่ไม่มีเมืองไหนเทียบได้
ทุกคนรู้จักชื่อเล่นของนิวยอร์กอย่าง ‘แอปเปิลลูกใหญ่’ โดยทั่วกัน แต่น้อยคนที่จะให้ความสนใจว่าเมืองนี้ก็เป็นที่รู้จักในนามของ ‘เมืองแห่งอาหารเลิศรส’
เวลาห้าโมงเย็น บิลลี่พาฉินสือโอวไปที่อาคารทรงสูงแห่งหนึ่งในแมนแฮตตัน พวกเขาขึ้นลิฟต์นอกอาคารขึ้นไปยังยอดตึกทันที วันนี้พวกเขาจะได้เพลิดเพลินกับอาหารเย็นในที่แห่งนี้นั่นเอง
แต่ปรากฏว่าขณะที่กำลังจะขึ้นลิฟต์นอกอาคาร ฉินสือโอวก็ดันทำตัวประหลาดๆ ขึ้นมาซะอย่างนั้น…
………………………………………………………
บทที่ 396 ความเข้าใจผิดที่ทำให้หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก
โดย
Ink Stone_Fantasy
หอคอยอวกาศของนิวยอร์กไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกันกับหอคอยสเปซนีดเดิลของเมืองซีแอตเทิล นี่เป็นเพียงอาคารสูงๆ เท่านั้น และเนื่องจากอาณาเขตที่อยู่ติดกันกับเซ็นทรัลพาร์กที่มีชื่อเสียง ทำให้หอคอยแห่งนี้มีชื่อเสียงกระฉ่อนตามไปด้วย
ตอนที่ฉินสือโอวขึ้นมายืนอยู่บนลิฟต์นอกอาคารเขายังพอจะมีความรู้สึกฮึกเหิมอยู่บ้าง แต่เมื่อต่อมาพอมันค่อยๆ ยกตัวสูงขึ้น สีหน้าของเขาก็ยิ่งซีดลงเรื่อยๆ…
บิลลี่ไม่ได้สังเกตเห็นท่าทีที่แปลกออกไปของเขา ยังคงพูดกับเขาอย่างน้ำไหลไฟดับ บรรยายถึงความยอดเยี่ยมของร้านอาหารแห่งนี้ด้วยความภาคภูมิใจ “เพอร์-เซ เป็นหนึ่งในสิบร้านอาหารชั้นยอดของนิวยอร์ก ภัตตาคารมิชลิน 3 ดาว นายรู้ไหมว่าใครคือเชฟของที่นี่? เขาได้รับการยกย่องให้เป็นเชฟที่ดีที่สุดในอเมริกาติดต่อกันถึงสิบสองครั้ง โธมัส เคลเลอร์!”
“ถึงพื้นที่ของร้านเพอร์-เซไม่ใช่พื้นที่เล็กๆ แต่ถ้าจะมากินอาหารที่นี่จะต้องจองโต๊ะล่วงหน้าก่อนสิบวัน โชคดีมาก ฉันมีเพื่อนคนหนึ่งที่จองโต๊ะไว้ก่อนหน้านี้ ถ้าไม่อย่างนั้น เฮ้ย ฉิน นายเป็นอะไรน่ะ?”
เพื่อที่จะไม่ให้ตัวเองขายหน้า ฉินสือโอวจึงเงยหน้าขึ้นไปมองด้านอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นบิลลี่จึงไม่เห็นท่าทางผิดปกติของเขา
ตอนนี้ ในที่สุดลิฟต์ก็หยุดแล้ว ทุกๆ คนจึงเดินไปทางร้านอาหาร ฉินสือโอวเผลอมองทาง ปรากฏว่าพอมองลงไป เป้ากางเกงของเขาก็เริ่มชื้นขึ้นมานิดหน่อยแล้ว!
น่ากลัวจังเลย ทำไมถึงได้สูงขนาดนี้ล่ะ ฉันมึนหัวมากๆ เลย ใครก็ได้ช่วยเข้ามาจับฉันไว้หน่อยได้ไหม? หลังจากฉินสือโอวจับมือของเบิร์ดไว้แล้ว เขาก็ไม่ยอมปล่อยอีกเลย ร่างกายของเขาแทบจะแนบกับตัวของเบิร์ดทุกส่วนอยู่แล้ว
“บอส?” เบิร์ดเรียกถามด้วยความประหลาดใจ
ฉินสือโอวโบกมืออย่างน่าเวทนา เขาพูดขึ้นมาว่า “ไม่เป็นไร เดี๋ยวเข้าไปข้างในก็โอเคแล้ว ให้ฉันพิงแป๊บหนึ่งนะ”
บิลลี่รู้ได้ทันทีว่าฉินสือโอวเป็นโรคกลัวความสูง เขากำลังจะเปลี่ยนร้านอาหาร แต่ฉินสือโอวไม่ได้เรื่องมากขนาดนั้น จึงบอกว่าค่อยๆ พักอยู่ตรงทางเข้าเดี๋ยวก็ดีขึ้นแล้ว
หลังจากลิฟต์โดยสารกลับลงไปแล้ว ต่อจากนั้นมันก็ขึ้นมาที่ชั้นนี้อีกครั้ง ชายหญิงกลุ่มหนึ่งเดินพูดคุยหัวเราะกันขณะออกมาจากลิฟต์ หนุ่มหล่อสาวสวย ท่าทางน่าจะไม่ใช่คนธรรมดา
“เฮ้ ดูนั่นสิ นั่นอาวริล ราชินีเพลงป๊อปพังก์ของแคนาดาล่ะ” บิลลี่ใช้แขนกระทุ้งเขาพร้อมตาที่กะพริบปริบๆ
พอได้ยินว่าอาวริลอยู่ที่นี่ เขาก็รีบหันไปดูทันที ครั้งที่แล้วที่ไปร่วมงานปาร์ตี้ในตึกเล็กๆ ที่โทรอนโตกับเบลคเขาก็ได้พบกับราชินีคนดังมาแล้ว น่าเสียดายที่ตอนนั้นเขาไม่ทันได้สังเกต
แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ในหมู่คนกลุ่มนั้นมีสาวสวยตัวเล็กกระจุ๋มกระจิ๋มอยู่หนึ่งคน แค่เห็นผมสีบลอนด์ที่เคลียคลออยู่บนไหล่ กับใบหน้างดงามที่แต่งหน้าแบบสโมกกี้อาย ขณะก้าวเดินก็คล้ายกับว่ามีลมพัดมาจากทั่วทุกทิศ สามารถสัมผัสความดุดันและดื้อรั้นได้แม้จะอยู่ไกลออกไป
ทางฝั่งอาวริลก็เดินผ่านฉินสือโอวไป เธอชินกับการถูกคนมอง ดังนั้นจึงไม่ได้ใส่ใจอะไรแต่ขณะที่กำลังเดินผ่านไป เธอก็เห็นฉินสือโอวที่กำลังจับมือและยืนพิงเบิร์ดอยู่ ทันใดนั้นบนใบหน้างดงามก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้นมาทันที
“ขออวยพรให้พวกคุณมีความสุขนะคะ หวังว่าพวกคุณจะรักกันตลอดไป ขอให้พวกคุณมีความสุขอยู่เสมอ” อาวริลหันหน้ามาพูดขณะที่กำลังเดินผ่านฉินสือโอว
ฉินสือโอวก็อึ้งไปในทันที เหลือเชื่อเลย เทพธิดาคนนั้นพูดกับฉันด้วยล่ะ… แต่ที่เธอพูดมามันหมายความว่ายังไงกัน?!
เขากำลังจะแก้ตัว แต่บิลลี่ที่น่าชิงชังก็พยักหน้าแทนเขาแล้วตอบเธอกลับไปว่า “ขอบคุณสำหรับคำอวยพรครับ อาวริล คุณช่างเอาใจใส่จริงๆ”
อาวริลโบกมือแล้วเดินจากไป ฉินสือโอวตกอยู่ในความทุกข์ระทม เขาจับคอเสื้อของบิลลี่เอาไว้แล้วร้องขึ้นมาว่า “เดี๋ยวฉันจะช่วยเอาใจใส่นายให้! นายรู้ไหมว่าที่เธอพูดมันหมายความว่ายังไง?”
บิลลี่อธิบายให้เขาฟังว่า “ซื่อบื้อ ฉันช่วยกู้หน้าให้นายต่างหาก อาวริลเป็นถึงราชินีนักร้องระดับซูเปอร์สตาร์ ทำไมอยู่ดีๆ เธอถึงได้ทักทายนายน่ะเหรอ? เพราะเธอว่างมากอย่างนั้นน่ะเหรอ? ไม่เลย เธอไม่ได้ว่าง หรือเพราะเธอไม่มีอะไรทำ? ก็เห็นๆ กันอยู่ว่าไม่ใช่อย่างนั้น…”
“เข้าเรื่องสักที ฉันเคืองนายจะตายอยู่แล้ว!”
“โอเค ฉันเดาว่าในกลุ่มพวกเธอน่าจะมีนักข่าวอยู่ด้วยบางส่วน นิวยอร์กไม่เหมือนกันกับที่อื่นๆ ที่นี่เรื่องคู่รักเพศเดียวกันเป็นประเด็นที่จริงจังมาก ถ้านายแสดงออกว่าไม่เคารพคู่รักเพศเดียวกันล่ะก็ นายต้องมีปัญหาแน่ๆ โดยเฉพาะถ้าถูกสื่อมวลชนจับได้ด้วยแล้ว ที่อาวริลทักทายนาย ก็เพื่อแสดงออกว่าตัวเองเป็นคนเข้าถึงง่ายและไม่ดูถูกคนอื่น เธอกังวลว่านักข่าวที่ตามเธอมาจะเอาเรื่องนี้ไปพูดมั่วๆ ทีหลังน่ะสิ”
“เหลวไหล เป็นไปได้ด้วยเหรอ? ตามที่นายพูดมา ถ้าอยากจะพูดคุยกับดาราดังในนิวยอร์ก ก็แค่แกล้งทำเป็นคู่รักเพศเดียวกันก็ได้แล้วใช่ไหม?”
“ฉิน ทำไมนายถึงได้ทำตัวเหมือนเด็กเลยล่ะ? ไร้เดียงสาเกินไปแล้ว โลกนี้มันก็ไม่มีเหตุผลแบบนี้นั่นแหละ เรื่องที่ไร้สาระกว่านี้ก็ยังมีอีกนะ แกล้งทำเป็นคนชอบเพศเดียวกันมันไม่ง่ายหรอก ผู้ชายแท้ๆ ทั่วไป มีไม่กี่คนหรอกที่จะจับมือกันได้แนบชิดสนิทกันแบบเบิร์ดกับนาย”
“ให้ตาย! เอามือของนายออกไปสิเบิร์ด!”
เบิร์ดก็ถึงกับงงงวย “…”
พอเจอเรื่องน่าหัวร่อแบบนี้ ฉินสือโอวก็รู้สึกดีขึ้นมาเยอะแล้ว พอเข้ามาในร้านก็ไม่ต้องมองลงไปด้านล่าง เขาจึงไม่เป็นอะไรแล้ว
บิลลี่รู้สึกเสียดายนิดหน่อย เนื่องจากจุดขายของห้องอาหารแห่งนี้นอกจากอาหารแล้ว ก็ยังมีเซ็นทรัลพาร์กของนิวยอร์ก ที่อยู่ข้างๆ กัน ซึ่งเป็นสวนสาธารณะระดับแนวหน้าของโลก
ฉินสือโอวรู้สึกเสียดายยิ่งกว่า เขาได้ยินชื่อของเซ็นทรัลพาร์กมานานแล้ว พูดได้ว่าสวนสาธารณะแห่งนี้ก็คือนามบัตรของนิวยอร์ก นั่นเอง ก็เหมือนกันกับสะพานโกลเดนเกตของซานฟรานซิสโก กับหอคอยสเปซนีดเดิลของซีแอตเทิล
สวนสาธารณะแห่งนี้มีขนาดใหญ่มาก มีเนื้อที่ประมาณแปดร้อยสี่สิบสามเอเคอร์ ทอดตัวยาวห้าสิบสามช่วงถนน และกว้างถึงสามช่วงถนน เต็มไปด้วยสีสันของเรื่องราวโรแมนติก ด้านในมีจุดทัศนียภาพที่มีชื่อเสียงอยู่หลายจุด ทั้งสวนสัตว์ โรงหนังกลางแจ้งเดลาคอร์ธ น้ำพุเบเธสด้า ทุ่งหญ้าเลี้ยงแกะและปราสาทเบลเวอเดียร์เป็นต้น
“รอกินเสร็จแล้วค่อยลงไปเดินเล่นแล้วกัน” ฉินสือโอวตัดสินใจอย่างมีความสุข
ร้านอาหารน่าจะมีพื้นที่กว่าพันตารางเมตร ทว่าก็มีโต๊ะที่นั่งสำหรับทานอาหารอยู่ไม่มากนัก จึงมีพื้นที่ในการทำกิจกรรมที่ใหญ่มาก
บังเอิญมากจริงๆ โต๊ะของพวกเขาอยู่ข้างๆ กันกับโต๊ะของพวกอาวริลนั่นเอง ตอนที่เขานั่งลงอาวริลก็มองเห็นเขาเข้าพอดี เธอจึงส่งยิ้มอย่างมีมารยาทให้เขาอีกหนึ่งครั้ง
ฉินสือโอวถอนหายใจออกมา เขาอยากเข้าไปอธิบายให้เธอฟังว่าเขาเป็นผู้ชายแท้ๆ ไม่ใช่เกย์ แต่พอคิดไปคิดมาแล้วก็ไม่เห็นความจำเป็น ยังไงพวกเขาก็ไม่ได้รู้จักกันอยู่แล้ว
นั่งลงได้สักพัก บริกรก็เริ่มเอาอาหารเรียกน้ำย่อยมาเสิร์ฟ อาหารพวกนี้เป็นอาหารที่พบได้เป็นประจำ เช่นโรลปลาเทราต์ หอยเชลล์เคียงดอกกะหล่ำผัดคาราเมลกับลูกเกดดองอะไรพวกนั้น
อาหารเมนูทั่วๆ ไป แต่วิธีทำไม่ได้พบได้บ่อยๆ หอยเชลล์กับดอกกะหล่ำคาราเมลหนึ่งจาน ข้างบนหอยเชลล์ทุกตัวมีกะหล่ำดอกวางไว้หนึ่งชิ้น ไม่ว่าจะเป็นหอยเชลล์หรือดอกกะหล่ำ ล้วนแต่มีขนาดเท่าๆ กันทั้งสิ้น
ฉินสือโอวลองชิมดู หอยเชลล์ย่างได้อย่างกำลังดี ดอกกะหล่ำถูกผัดด้วยคาราเมลมาแล้ว ทั้งยังหยดซอสรสชาติเปรี้ยวอ่อนๆ ไว้ด้านบน เมื่อทานเข้าไปพร้อมกันรสชาติของอาหารไม่ได้ปนเปกันไปหมด แต่กลับมีการเรียงลำดับก่อนหลัง น่าชมเชยเป็นอย่างยิ่ง
ส่วนของหวานก่อนอาหารหลักก็ประกอบไปด้วยขนมปังทรัฟเฟิล พัฟฟ์บอลชีสกรุยแยร์กับปลาเทราต์นิวซีแลนด์มินิสติ๊ก ฉินสือโอวทานพัฟฟ์บอลชีสไปบ้างแล้ว ชีสบอลหอมเข้มข้น กรอบนอกนุ่มใน ผิวด้านนอกของพัฟฟ์บอลกรอบกำลังดี ขับความนุ่มนวลของชีสรสเค็มที่อยู่ด้านในได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทุกๆ คนทานเข้าไปแล้วก็ชมออกมาอย่างไม่ขาดปาก
ส่วนเมนูหลักก็เป็นการจัดคู่กันของอาหารทะเลกับเนื้ออย่าง เช่น กุ้งมังกรเห็ดทรัฟเฟิลกับซี่โครงแกะย่างด้วยไม้แอปเปิลเป็นต้น
อีกทั้งบิลลี่ยังได้สั่งปลาแลมป์เพรย์ผัดซอสมาอีกหนึ่งจาน แต่ปรากฏว่าไม่นานหลังจากนั้น บริกรคนหนึ่งก็เดินเข้ามาหา แล้วอธิบายอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออกว่าตอนนี้เหลือปลาแลมป์เพรย์สำหรับอาหารหนึ่งจานเท่านั้น อีกทั้งโต๊ะของอาวริลก็สั่งเมนูนี้เช่นกัน
บริกรอีกคนหนึ่งก็ไปที่โต๊ะของอาวริลเพื่ออธิบายเรื่องนี้เช่นกัน ฉินสือโอวจึงแย้มยิ้มแล้วบอกว่าถ้าอย่างนั้นก็ไม่เป็นไรพวกเขาไม่สั่งแล้ว บริกรคนนั้นก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก แล้วรีบบอกกับพวกเขาว่าพวกเขามีความเป็นสุภาพบุรุษมาก
บิลลี่ยักไหล่น้อยๆ แล้วพูดขึ้นมาว่า “ไม่ได้กินปลาแลมป์เพรย์ก็น่าเสียดายอยู่นิดหน่อย นี่เป็นผลงานชิ้นสำคัญของนายเลยนะ”
ฉินสือโอวเข้าใจได้ในทันที เขาจึงถามขึ้นมาว่า “เป็นไปไม่ได้หรอกน่า ปลาแลมป์เพรย์ของร้านนี้มาจากฟาร์มปลาของฉันอย่างนั้นน่ะเหรอ?”
บิลลี่พยักหน้า ตอนที่เขาโทรมาจองร้านอาหารบริกรยืนยันกับเขาว่า อาหารทะเลในร้านอาหารของพวกเขาล้วนแต่เป็นวัตถุดิบที่รับมาจากชายผิวสีไว้หนวดที่ชื่อว่าบัตเลอร์ทั้งสิ้น อีกทั้งปลาแลมป์เพรย์ที่บัตเลอร์มีอยู่ในตอนนี้ก็เป็นปลาที่มาจากฟาร์มปลาของฉินสือโอวทั้งนั้น
ขณะที่ฉินสือโอวกำลังกระหยิ่มยิ้มย่อง อาวริลก็กำลังเดินเข้ามาหาพวกเขา
………………………….…………………………..
บทที่ 397 บาร์เหล้าบนชั้นดาดฟ้า
โดย
Ink Stone_Fantasy
ตอนที่อาวริลเดินเข้ามา ปากของฉินสือโอวก็กำลังเลียปลาเทราต์นิวซีแลนด์มินิสติ๊กอยู่
ถึงแม้ว่าชื่อของมันจะดูเลิศหรูอลังการ แต่แท้จริงแล้วปลาเทราต์นิวซีแลนด์มินิสติ๊กก็คือไอศกรีมโคนนั่นเอง ข้างในยังมีชิ้นเนื้อปลาเทราต์บดผสมอยู่นิดหน่อย ปลาเทราต์ที่ใส่ลงไปในครีมเป็นเนื้อปลาที่ผ่านการรมควันมาแล้ว อีกทั้งยังใช้น้ำผึ้งในการรมควัน รสชาติหวานล้ำ ดังนั้นมินิไอศกรีมโคนชิ้นนี้จึงมีรสชาติที่ไม่เลวเลย
ฉินสือโอวลืมตัว เขาถือไอศกรีมไว้แล้วแลบลิ้นเลียช้าๆ เหมือนเวลาเขาทานไอศกรีมแท่งสมัยที่ยังเป็นเด็ก
เป็นอันรู้กันดีว่า ท่าทางแบบนี้มีพลังการโจมตีอย่างถึงที่สุด เด็กผู้หญิงดีๆ เวลาทานไอศกรีมก็จะไม่มีทางเลียมันด้วยท่าทางแบบนี้ ตั้งแต่หนังเอวีญี่ปุ่นเป็นที่แพร่หลาย ทุกๆ คนก็รู้กันดีว่าท่าทางแบบนี้หมายถึงอะไร…
ฉินสือโอวหาเรื่องให้ตัวเองแท้ๆ พอเห็นราชินีเพลงป๊อปพังก์เดินมา เขาก็แย้มรอยยิ้มสดใสออกมาทันที ทว่ารอยยิ้มของอาวริลกลับดูมีเลศนัยอย่างมาก เธอพูดกับฉินสือโอวว่า “เฮ้ คนสวย ฉันขอนั่งข้างๆ คุณได้ไหม?”
เงียบ มีแต่ความเงียบสงัด ทุกๆ คนต่างก็มองไปยังอาวริลด้วยสายตาที่แปลกประหลาด ฉินสือโอวดูล่องลอยราวกับร่างไร้วิญญาณ เขาถามเธอด้วยความไม่แน่ใจว่า “คุณพูดว่าอะไรนะ คนสวย?”
อาวริลมองดูท่าทางที่ดูแข็งกร้าวกับใบหน้าที่เครียดขึงของเบิร์ด แล้วหันกลับมามองฉินสือโอวที่กำลังเลียไอศกรีมโคนอย่างมีความสุข จากนั้นก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ใช่แล้ว ฉันไม่น่าจะเดาผิดนะ?”
‘ฟู่!’ แชมเปญของบิลลี่ก็พุ่งออกมา
ตอนที่เปิดแชมเปญเขาเพิ่งจะตระหนักได้ว่าตัวเองกำลังทำอะไร จึงรีบหันกลับไปดู แต่ปรากฏว่าแชมเปญขวดนี้ก็พุ่งไปโดนหญิงสาวที่อยู่ข้างกายเขาเสียแล้ว
ด้วยเหตุนี้ทางฝั่งของเขาก็เริ่มวุ่นวายขึ้นมา “เอ่อ ผมขอโทษ ขอโทษจริงๆ ที่รัก คุณก็รู้นี่ ฮ่าๆ ก็ผมอดไม่ได้! ฮ่าๆ ฉิน นายเป็นสาวสวยหรอกเหรอ? ตอนที่นายอยู่กับเบิร์ด…”
ฉินสือโอวจ้องบิลลี่ด้วยความโมโห บิลลี่ที่อยากจะยั่วโมโหเจ้าหมอนี่ ก็ถึงกับปิดปากสนิททันที แต่ก็ยังหัวเราะออกมาอย่างหนัก นีลเซ็นก็อยากหัวเราะออกมาเหมือนกัน แต่ดูจากสีหน้าของฉินสือโอวแล้ว เขาก็ทำได้แค่แสยะปากแต่ไม่ได้ส่งเสียงอะไรออกมา เขาก้มหน้าก้มหน้าลงพร้อมกับไหล่ที่กระตุกสั่นอย่างแรง
“มีอะไรหรือเปล่าครับ?” ฉินสือโอวถอนหายใจออกมาแล้วจึงถามเธอ
อาวริลไม่เข้าใจเลย เธอคิดว่าตัวเองน่าจะทายไม่ผิด ระหว่างชายกับชายก็จะมีคนหนึ่งเป็น 1 ส่วนอีกคนเป็น 0 นี่นา แล้วก็มีคนหนึ่งรุกคนหนึ่งรับ ฝ่ายแรกชอบถูกเรียกว่าสุดหล่อ ส่วนอีกฝ่ายก็คือสาวสวย เธอคิดว่า ฉินสือโอวที่คบอยู่กับเบิร์ดก็น่าจะเป็น 0 ไม่ใช่เหรอ?
“เอ่อ ฉันแค่อยากมาขอบคุณแทนเพื่อนๆ ที่พวกคุณเสียสละให้พวกเราน่ะค่ะ คุณรู้ใช่ไหม ปลาแลมป์เพรย์ในฤดูหนาวน่ะหาทานได้ยากมาก เพราะอย่างนั้นก็ ขอบคุณนะคะ” อาวริลรักษาท่าทางไว้ไม่ได้แล้ว ก่อนหน้านี้เธอก็อยากจะมานั่งด้วยอยู่หรอก แต่ดูจากบรรยากาศแปลกๆ บนโต๊ะอาหารแล้ว ราชินีเพลงป๊อปพังก์ตัวน้อยก็ตัดสินใจรีบจากไปทันที
หลังจากกล่าวคำขอบคุณแล้ว อาวริลก็หนีเตลิดไปทันที เหลือไว้เพียงฉินสือโอวที่กำลังโกรธจนหน้าดำกับกลุ่มชายฉกรรจ์ที่กำลังระเบิดหัวเราะออกมา
นอกจากเหตุการณ์การเข้าใจผิดครั้งนี้ โดยรวมแล้วอาหารมื้อนี้ก็นับว่าเป็นมื้ออาหารที่มีความสุขมาก ทานเสร็จแล้วบิลลี่ก็จ่ายเงินค่าอาหาร เบิร์ดกับคนอื่นๆ ก็ไปขึ้นลิฟต์ชมวิวกันตามสบาย ส่วนฉินสือโอวขอปฏิเสธ ให้ตายเขาก็ไม่ยอมขึ้นลิฟต์นอกอาคารอีกแน่นอน เพราะเขาเองก็ไม่อยากจะอ้วกออกมาให้คนอื่นเห็นเช่นกัน
ทานอาหารมื้อนี้เสร็จตอนเวลาสองทุ่มครึ่ง หลังจากนั้นบิลลี่ก็พาเขาไปสัมผัสกับชีวิตยามค่ำคืนในนิวยอร์ก ไม่มีอย่างอื่นแล้ว ก็ดื่มเหล้าฆ่าเวลานั่นล่ะ
ขณะขับรถ บิลลี่ก็พูดกับเขาด้วยรอยยิ้มว่า “พวกเราไปเที่ยวแถวเชลซีหรือไม่ก็เฮลคิทเช่นหน่อยดีไหม? ฉิน ฉันว่านายต้องลองไปดูหน่อยนะ ที่นั่นน่าจะมีเรื่องที่ทำให้นายอารมณ์ดีอยู่เยอะเลยล่ะ”
ฉินสือโอวทำหน้าพิลึกพิลั่นแล้วถามเขาว่า “เฮลคิทเช่น? พวกเราก็กินจนอิ่มแล้วไม่ใช่เหรอ?”
เบิร์ดที่ใช้ชีวิตในช่วงวัยรุ่นและวัยหนุ่มในอเมริกาอธิบายเสียงเบาว่า “บอส เฮลคิทเช่นไม่ใช่ร้านอาหาร แต่เป็นศูนย์รวมสำหรับคนรักเพศเดียวกัน แถวนั้นมีคนที่ชอบเพศเดียวกันอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก แถมยังมีธุรกิจที่เป็นมิตรกับคนที่ชื่นชอบเพศเดียวกันอยู่ทุกประเภท อย่างร้านกาแฟ โรงแรมอะไรทำนองนั้น”
“สำนักสมรสแมนฮัตตันก็อยู่ที่นั่น รู้ใช่ไหม ว่าที่รัฐนิวยอร์กเพิ่งจะมีผลบังคับใช้กฎหมายฉบับร่างที่อนุญาตให้คู่รักเพศเดียวกันแต่งงานกันได้ถูกต้องตามกฎหมาย เป็นรัฐที่หกของอเมริกาที่อนุญาตให้คู่รักเพศเดียวกันแต่งงานกันได้ และสำนักสมรสแมนฮัตตันก็คือสถานที่ที่พวกเขาไปจดทะเบียนทะเบียนสมรสกันยังไงล่ะ” นีลเซ็นพูดพร้อมหัวเราะ
ฉินสือโอวใช้สายตาราวกับฆาตกรมองหน้าพวกเขา แล้วถามขึ้นมาว่า “พวกนายไม่อยากได้เงินโบนัสกันใช่ไหม?”
นีลเซ็นรีบกลับคำทันที “ผมหมายถึงว่า พวกเราจะได้พาบิลลี่ไปหาความสุขยังไงเล่า ให้เขากับเบิร์ดจดทะเบียนกันดีไหม?”
เบิร์ด: “…”
ล้อกันเล่นเสร็จแล้ว บิลลี่ก็พาทุกๆ คนไปยังบริเวณอาคารเก่าในเขตแมนฮัตตัน-เชลซี โดยทั่วไปแล้ว บาร์เหล้ามักจะอยู่ในเขตที่มีความคึกคัก ทว่าที่ที่บิลลี่จะพาไปในครั้งนี้กลับตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง บาร์เหล่าแห่งนี้เปิดอยู่บนดาดฟ้าของอาคารเก่าๆ หลังหนึ่ง เป็นบาร์เหล้ากลางแจ้ง
เมืองต่างๆ ในอเมริกา โดยเฉพาะเมืองใหญ่อย่างนิวยอร์ก ลอสแอนเจลิสและชิคาโก้ มีหลายที่ที่ไร้ระเบียบอยู่มาก สถานที่ที่บิลลี่พาพวกเขาไปในครั้งนี้ก็คือตึกเก่าๆ แห่งหนึ่งในเขตสลัม หลังจากทุกๆ คนลงมาจากรถแล้วก็มีคนเข้ามาเร่ขายของจำพวกกัญชากับยาอี
ฉินสือโอวโบกมือปัด แต่คนพวกนั้นก็ยังตามตอแยไม่เลิก เบิร์ดผลักพวกเขาออกไปพร้อมกับใบหน้าเย็นชา เขาถลกแขนเสื้อข้างขวาของตัวเองขึ้น ใต้แสงไฟสลัวบนท้องถนนรอยสักของเขาก็ปรากฏสู่สายตา นั่นก็คือรอยสักรูปดาบที่แทงทะลุผ่านสายฟ้ารูปสามเหลี่ยมนั่นเอง
“หมาของหน่วยเดลตาฟอร์ซ ออกห่างจากพวกมันเถอะ” พอมองเห็นรอยสักอันนี้อันธพาลพวกนั้นก็บ่นพึมๆ พำๆ แล้วเดินหนีไป หลังจากพวกผู้ชายที่เดินเตร่อยู่แถวนั้นรู้เรื่องรอยสักของเบิร์ดแล้ว ก็พากันหวาดกลัวขึ้นมาทันที
บิลลี่ส่งสัญญาณให้เบิร์ดผ่อนคลายลง เขาพูดด้วยท่าทางสบายๆ ว่า “ไม่ต้องเครียด เพื่อนๆ ยังไงฉันก็เป็นคนพาพวกนายมาที่นี่ ฉันมั่นใจว่าฉันปกป้องพวกนายได้ ไม่เป็นไรหรอก พวกเราไปข้างบนกันเถอะ”
ฉินสือโอวส่ายหน้าน้อยๆ เบิร์ดก็ดึงแขนเสื้อลงมาเหมือนเดิม เบิร์ดกับนีลเซ็นเดินขนาบข้างเขาทั้งซ้ายและขวาตามมาอย่างเงียบๆ เหมือนกับบอดี้การ์ดไม่มีผิด
เดินขึ้นมาตามบันไดแคบๆ มาจนถึงบนดาดฟ้า เสียงเพลงดังสนั่นหูก็ดังครั่นครืนขึ้นมา ผนังของตึกเก่าก็แทบจะสั่นสะเทือน
เมื่อมาถึงดาดฟ้าแล้วผ่านประตูเข้าไปด้านใน บรรยากาศของความคลุ้มคลั่งก็โถมเข้ามาตรงหน้า หนุ่มหล่อสาวสวยจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังส่ายหัวร้องตะโกนอย่างบ้าคลั่ง ทางทิศใต้มีเวทีสำหรับการแสดงอยู่หนึ่งเวที วัยรุ่นที่กำลังเปลือยท่อนบนหลายคนก็กำลังทำการแสดงอย่างเร่าร้อนอยู่ด้านบน
พอเพลงเล่นมาถึงท่อนฮุก นักร้องนำก็ถอดกีตาร์ที่สะพายอยู่บนลำตัวออกมาทุบลงไปบนพื้นอย่างดุดัน อีกทั้งทุกครั้งที่เขาทุบมันลงไปคนที่กำลังเต้นอยู่ก็จะกรีดร้องขึ้นมา จนทำให้สถานที่แห่งนี้ดูเหมือนกับโรงฆ่าหมู
บิลลี่ตะโกนเสียงดังเพื่อคุยกับฉินสือโอว แต่ตะโกนว่าอะไรฉินสือโอวก็ไม่รู้เหมือนกัน แฟนของเขาดึงผู้หญิงหลายคนจากท่ามกลางฝูงชนให้ตามมาด้วยกัน เห็นได้ชัดว่าพวกเธอรู้จักกัน หลังจากได้เจอกันแล้วก็พากันหัวเราะพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน แล้วตามแฟนสาวของบิลลี่เขามาเต้นกับกลุ่มของฉินสือโอว
ฉินสือโอวเห็นนีลเซ็นกำลังตะโกนอะไรสักอย่างเพื่อจะคุยกับเขา ฉินสือโอวจึงขมวดคิ้วแล้วก้มเข้าไปถามใกล้ๆ “นายตะโกนว่าอะไร ฉันได้ยินไม่ชัด!”
“จำไว้ว่าต้องสวม ถุง ยาง! บ! อ! ส! ! สาวๆ พวกนี้เล่นยากันทั้งนั้น! ไม่แน่ว่าพวกเธออาจจะเป็นเอดส์ด้วยก็ได้! คุณ! ต้อง! ระ! วัง!!!” นีลเซ็นตะโกน
ฉินสือโอวแผ่มือออกอย่างจนปัญญา เขาดูใช้ไม่ได้ขนาดนั้นเลยหรือยังไง? ต่อให้เขาไม่ได้มีวินนี่อยู่แล้ว เขาก็ไม่สนใจพวกผู้หญิงที่แต่งตัวจัดแต่งหน้าหนาแบบนี้หรอก ใครจะรู้ว่าพวกเธอมีโรคอะไรบ้าง?
ปฏิเสธคำเชิญชวนของผู้หญิงไปแล้วหลายคน ฉินสือโอวก็เต้นไปตามเสียงเพลงดุดันอยู่บนฟลอร์เต้นรำด้วยตัวเอง ส่วนเบิร์ดกับนีลเซ็นก็ยืนสูบบุหรี่เงียบๆ อยู่ไม่ไกล สายตาจับจ้องไปทางเขาตลอดเวลา เผื่อถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นจะได้รีบเข้าไปจัดการได้ทันท่วงที
………………………..……………………………
บทที่ 398 หมูหายไปหนึ่งตัว
โดย
Ink Stone_Fantasy
เที่ยวบาร์บนดาดฟ้าเป็นครั้งแรก ฉินสือโอวก็เที่ยวเล่นได้อย่างสนุกสนาน ใต้ท้องนภา บนดาดฟ้าของตึก บริเวณพื้นที่กว้างขวาง ก็ยิ่งทำให้ผู้คนปลดปล่อยได้อย่างอิสระ
สีผิวกับบุคลิกของเขาทำให้ครั้งนี้เขากลายเป็นดาวเด่นของที่นี่ ในระหว่างนั้นมีหญิงสาวราวๆ เจ็ดแปดคนที่เข้ามาหาเขาเพราะอยากพัฒนาความสัมพันธ์ ทำให้เขารู้สึกพึงพอใจอย่างถึงที่สุด ไม่มีใครเทียบเสน่ห์ของเขาได้เลยจริงๆ ไม่เห็นเหรอว่าพวกผู้หญิงที่เข้ามาหาเขามีแต่คนที่สวยที่สุดบนฟลอร์เต้นรำน่ะ?
บนถนนขณะที่กำลังเดินทางกลับบิลลี่ก็โจมตีฉินสือโอวด้วยคำพูดอย่างไม่มีความปรานีใดๆ “ผู้หญิงพวกนั้นเป็นสาวสังคมที่ฉลาดที่สุดแล้ว นายคิดว่าพวกเธอสนใจนายจริงๆ เหรอ? ลินดา คุณบอกฉินหน่อยสิ ว่าทำไมพวกเธอถึงอยากจะเข้าใกล้เขา?”
สาวฮ็อตคนสวยก็ยิ้มน้อยๆ แล้วบอกกับเขาว่า “ง่ายมากค่ะ พวกเธอรู้ว่าคุณเป็นคนมีเงิน นั่นก็เพราะว่าเพื่อนทั้งสองคนของคุณที่คอยคุ้มกันคุณอยู่ตลอดเวลา ขอแค่มีสมองสักหน่อย ก็จะรู้แล้วว่าฐานะของคุณต้องไม่ธรรมดาแน่ๆ ”
ฉินสือโอวแผ่มือออกอย่างจนปัญญา เขาตอบกลับไปว่า “โอเค โอเค รู้แล้วก็เก็บไว้ในใจก็พอแล้ว ขอให้ฉันได้รู้สึกดีกับตัวเองหน่อยไม่ได้เหรอ?”
วันต่อมา ฉินสือโอวก็ไปเดินเล่นที่เซ็นทรัลพาร์ก จนสมความตั้งใจของตัวเอง จากนั้นก็ค่อยเดินทางกลับนครเซนต์จอห์น
พอกลับมาถึงวิลล่า วินนี่ก็ไปทำงานแล้ว ปอหลัวกำลังนอนอาบแดดอยู่หน้าประตูโรงเรือนเพาะปลูกอย่างเซื่องซึม ฉงต้านอนหลับอยู่หน้าประตู ส่วนหู่จือกับเป้าจือก็กำลังไล่จับนกจมูกหลอดหางสั้นอยู่บนชายหาด นานๆ ครั้งเวลาที่ไข่นกถูกขุดขึ้นมาจากชายหาด พวกมันก็จะเอาปากคาบไว้เบาๆ แล้วเอามารวมกันไว้ในสถานที่ที่ปลอดภัย
ฉินสือโอวรักหู่จือกับเป้าจือจังเลย เขาเข้าไปกอดพวกมันทีละตัวและจุ๊บพวกมันตัวละที เขาถามพวกมันด้วยความรักใคร่ว่า “คิดถึงป๊ะป๋าไหม? คิดถึงไหม? ไม่ได้เจอกันสองวัน คิดถึงป๊ะป๋าแล้วใช่ไหมล่ะ?”
หู่จือกับเป้าจือมองเขาด้วยความงงงวย จากนั้นก็แลบลิ้นเลียหน้าเขาอย่างร่าเริง ต่อมาเมื่อหลุดจากอ้อมกอดของเขาแล้ว พวกมันก็กลับไปไล่ตามนกจมูกหลอดหางสั้นที่บินอยู่บนชายหาดต่อ
ตกเย็นหลังเลิกงาน วินนี่เห็นฉินสือโอวกลับมาแล้วก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เธอพูดหยอกเขาว่า “สาวสวยที่นิวยอร์กไม่น่าดึงดูดสำหรับคุณเหรอคะ?”
ฉินสือโอวบีบปากสวยสีแดงระเรื่อของเธอ แล้วพูดกับเธอว่า “ในสายตาของผม นอกจากคุณก็ไม่มีสาวสวยคนอื่นแล้ว คุณไม่รู้หรอกเหรอครับ?”
วินนี่แย้มรอยยิ้มหวาน เธอดีดนิ้วแล้วพูดกับเขาว่า “ปากของคุณนับวันก็ยิ่งหวาน โอเคค่ะ ตอนนี้ฉันกำลังมีความสุขมากๆ วันนี้ฉันจะให้รางวัลคุณสักหน่อยแล้วกัน ฉันจะทำมื้อเย็นให้คุณต่างหาก อย่าคิดเยอะ!”
ฉินสือโอวตามวินนี่เข้าครัวไปเตรียมอาหารเย็น เธอทำอาหารไปด้วยแล้วก็พูดกับเขาไปด้วยว่า “ฉิน ฉันว่าจะซื้อรถนะคะ”
ฉินสือโอวถามเธอว่า “รถเอสยูวีขับไม่ดีเหรอครับ? ถ้าคุณไม่ชอบ คุณขับพอร์ชไปก็ได้นะ รถสองรุ่นนี้ก็น่าจะไม่เลวเลยทั้งคู่”
วินนี่ก็ตอบเขาอย่างจนใจว่า “คุณล้อเล่นเหรอคะ พวกมันไม่ได้ไม่ดีค่ะ มันดีเกินไปต่างหาก แต่ฉันจะขับรถที่หรูขนาดนี้ไปทำงานได้ยังไงกันล่ะ? ฉันไปทำงานนะคะ แล้วถ้าไปทำงานก็ควรจะทำตัวให้เหมือนกับไปทำงานสิ”
ฉินสือโอวก็ตอบเธอกลับไปอย่างไม่ได้ใส่ใจ “แล้วมันยังไงล่ะครับ ถ้าขับรถซูเปอร์คาร์จะทำงานไม่ได้เหรอ?”
วินนี่ยืนยันที่จะซื้อรถ และครั้งนี้เธอจะซื้อรถกระบะ “ที่ฟาร์มปลายังไม่มีรถกระบะเลยนะคะ ต่อไปจะต้องได้ใช้แน่ๆ สู้คราวนี้ซื้อมันไว้เลยดีกว่า เวลาปกติฉันจะได้ขับมันไปทำงานด้วย ถ้าฟาร์มปลามีเรื่องต้องใช้รถก็ค่อยปล่อยให้ใช้”
ฉินสือโอวก็รู้สึกว่าเธอพูดถูก งั้นก็ซื้อเลยแล้วกัน แต่สาวสวยสง่ามาขับรถกระบะ เขากลับรู้สึกว่ามันแปลกๆ ไปหน่อย
แน่นอนว่าสำหรับชาวแคนาดาแล้ว นี่เป็นเรื่องปกติมากๆ วัฒนธรรมการใช้รถกระบะซึมลึกเข้าไปในชีวิตของพวกเขาแล้ว ถ้าดูตามท้องถนน ก็จะเห็นว่าไม่ว่าใครก็ขับรถกระบะกันทั้งนั้น ทั้งคนแก่ วัยรุ่น คนหนุ่ม หญิงสาวและสาวประเภทสอง
พอฉงต้ากลับมาแล้วมันก็ส่งเสียงฮึมๆ ฮัมๆ ในลำคออยู่ตลอดเวลา ตอนกินอาหารมันก็จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว กินๆ หยุดๆ แล้วก็เอียงหัวมองไปยังทิศตะวันออกของฟาร์มปลา ส่งเสียงฮึมฮัมสองสามครั้ง แล้วก็ก้มหน้ากินอาหารต่อ
วินนี่สังเกตเห็นท่าทางที่ผิดปกติแบบนี้ เธอก็กังวลว่าฉงต้าจะป่วย จึงทั้งวัดอุณหภูมิร่างกายทั้งตรวจรูม่านตาทั้งฟังเสียงกระเพาะอาหาร พอมั่นใจแล้วว่าไม่ได้มีปัญหาอะไรถึงคลายกังวลลงได้
หลังจากนั้นหนึ่งวัน บางครั้งบางคราวฉงต้าก็จะออกไปข้างนอกหนึ่งรอบ หลังจากกลับมาเสียงต่ำๆ ในลำคอก็เปลี่ยนเป็นดังกังวานกว่าเดิม ทั้งมันยังออกไปข้างนอกถี่กว่าเดิมอีกต่างหาก หมอบลงแค่ครู่เดียวก็วิ่งออกไปอีก แถมต่อมายังพาหู่จือกับเป้าจือไปด้วย
ฉินสือโอวก็สังเกตเห็นปัญหานี้เช่นกัน เขาขมวดคิ้วมองดูสัตว์เลี้ยงทั้งสามที่กำลังวิ่งไปทางทิศตะวันออก ตรงนั้นมีอะไรอยู่บ้างนะ? บ่อน้ำร้อน ฟาร์มเลี้ยงสัตว์ ป่าไม้กับฝูงนกจมูกหลอดหางสั้น เขาเคยไปตรวจสอบมาก่อนแล้วสถานที่พวกนั้นไม่ได้มีปัญหาอะไร
หลังจากหู่จือกับเป้าจือวิ่งกลับมาก็เริ่มร้องฮูๆ ด้วยความงงงวยเช่นกัน ฉินสือโอวกอดพวกมันไว้แล้วถามว่าเกิดอะไรขึ้น พวกมันมองฉินสือโอวด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ คล้ายกับว่าไปเจอเรื่องที่ทำให้พวกมันต้องรู้สึกลำบากใจ
วินนี่พูดด้วยความกังวลว่า “เกิดอะไรขึ้นกันแน่ หรือว่าทางฝั่งตะวันออกจะเกิดเรื่องขึ้น?”
ฉินสือโอวก็สับสนงงงวย เขาพูดกับเธอว่า “มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นด้วยเหรอ? ผมเคยไปตรวจสอบมาแล้ว ก็ไม่เห็นว่ามีปัญหาอะไรนะครับ ให้ผมไปดูอีกรอบไหม เดี๋ยวคราวนี้ผมจะพาพวกนี้ไปตรวจดูให้ละเอียดๆ อีกรอบ”
วินนี่กลัวจะเกิดเรื่องขึ้น เธอจึงโทรศัพท์ให้เบิร์ดกับนีลเซ็นเข้ามาหา ทั้งสองคนก็สังเกตเห็นท่าทีที่ผิดปกติของหู่จือเป้าจือกับฉงต้าเช่นกัน พวกเขาถือปืนมา ส่วนฉินสือโอวก็ถือธนูยิงปลามาติดมือไปด้วย
พอออกมาจากวิลล่า ฉงต้าก็วิ่งนำอยู่ด้านหน้า นี่เป็นเรื่องที่หาดูได้ยากมาก ฉงต้าขี้เกียจจนฉินสือโอวสุดจะทน เจ้าตัวนี้ถ้าได้เอนตัวก็คงไม่หมอบ ถ้าหมอบได้ก็คงไม่นั่ง ถ้านั่งได้ก็คงไม่ยืน ถ้ายืนได้ก็จะคงไม่เดิน เดินได้ก็คงไม่วิ่ง
พูดได้ว่า ในโลกของฉงต้า การวิ่งเป็นสิ่งที่มันไม่อยากทำที่สุด แต่คราวนี้มันกลับเริ่มวิ่ง ทั้งยังไม่ได้วิ่งช้าๆ เห็นได้ชัดว่าน่าจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น
ฉงต้านำทาง มันวิ่งตรงไปยังฟาร์มเพาะเลี้ยง หลังจากนั้นก็เริ่มร้องอาหู้วๆ ออกมา หู่จือกับเป้าจือก็วิ่งเข้ามาเห่าด้วยเหมือนกัน สัตว์เลี้ยงทั้งสามตัวแสดงออกด้วยท่าทางจริงจัง ราวกับว่าพวกมันได้พบกับศัตรูที่แข็งแกร่งมาก
ฉินสือโอวเดินดูรอบๆ ฟาร์มเลี้ยงสัตว์หนึ่งรอบ ไม่มีปัญหาอะไร ท่อนไม้กับตาข่ายเหล็กที่ประกอบเข้าด้วยกันจนกลายเป็นฟาร์มเลี้ยงสัตว์ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร ไม่มีจุดที่ชำรุดเลยแม้แต่จุดเดียว ไก่เป็ดหมูที่เลี้ยงเอาไว้ด้านในก็ตกใจจนรวมตัวกันส่งเสียงร้องออกมา นี่เป็นเรื่องปกติ ด้านนอกมีหมีกับสุนัขกำลังเห่าร้องอยู่ พวกมันไม่ตกใจตายก็ดีขนาดไหนแล้ว
ร้องต่อไปสักพัก ฉงต้าก็ปิดปากเงียบ มันก็วิ่งไปรอบๆ โรงเลี้ยงสัตว์เช่นกัน วิ่งวนติดกันหลายรอบ สีหน้าของมันที่แสดงออกมาก็ยิ่งดูไม่มั่นใจ หลังจากนั้นก็ยื่นอุ้งเท้าออกไปเกาท่อนไม้ด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว ท่อนไม้ก็ไม่สะเทือนแม้แต่น้อย มันจึงทำได้แค่วิ่งกลับมา
“ต้องมีอะไรแน่ๆ ไม่อย่างนั้นพวกมันคงไม่ทำท่าทางแบบนี้” นีลเซ็นกล่าว
เบิร์ดลองคาดการณ์แล้วพูดขึ้นมาว่า “หรือว่าจะมีงู? มีแค่งูเท่านั้นที่จะมุดเข้ามาในฟาร์มได้โดยที่ไม่ทำให้ลวดตาข่ายเสียหาย… ช่างเถอะ คิดเสียว่าผมไม่ได้พูดอะไรแล้วกัน ช่วงนี้ต่อให้มีงูจริงๆ ก็คงแข็งตายไปแล้วล่ะ”
ฉินสือโอวกล่าวว่า “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พวกมันก็น่าจะสร้างความเสียหายขึ้นที่นี่แล้ว ไม่อย่างนั้นหู่จือกับเป้าจือคงไม่เห่าออกมาด้วยท่าทางกระวนกระวายขนาดนี้ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า ไก่เป็ดหมู…”
พอพูดมาถึงตรงนี้ ฉินสือโอวก็ชะงักงันไปทันที เข้าเปิดประตูฟาร์มเพื่อเข้าไปตรวจดูอย่างละเอียด เมื่อนับดูทั้งสองด้านแล้วเขาก็ตะโกนออกมาว่า “แม่เอ็ง ทำไมหมูเหลือแค่เจ็ดตัวล่ะ? หมูหายไปไหนหนึ่งตัว!”
เขาเอาลูกหมูพันธุ์พื้นเมืองสิบตัวมาจากบ้านเกิด กินไปแล้วสองตัว ต้องเหลือเจ็ดตัวสิถึงจะถูก แต่นับไปนับมา ก็พบว่ามีหมูหายไปแล้วตัวหนึ่ง
หลังจากเขาตะโกนออกมา หู่จือกับเป้าจือก็เห่าขึ้นมาอีกครั้ง พวกมันเห่าโฮ่งๆ แล้ววิ่งไปวิ่งมา ท่าทางเหมือนกำลังกระวนกระวายใจ ดูคล้ายว่าพวกมันต้องการจะตอบสนองเสียงตะโกนของฉินสือโอว
…………………………………………………
บทที่ 399 วิญญาณสีขาว
โดย
Ink Stone_Fantasy
หมูหายไปแล้วหนึ่งตัว ใช่แล้ว หมูขนาดกลางหนักกว่าร้อยสิบปอนด์หายไปทั้งตัว!
หมูพวกนี้ฉินสือโอวเลี้ยงมาน้อยกว่าปี ถ้าเลี้ยงโดยให้อาหารแบบวิธีที่จีน ตอนนี้พวกมันคงจะกลายเป็นหมูตัวใหญ่หนักกว่าร้อยกิโลกรัมแล้ว แต่เนื่องจากฉินสือโอวตัดสินใจว่าจะเลี้ยงไว้กินเอง ดังนั้นเขาจึงยืนหยัดที่จะใช้ผลไม้ที่เริ่มเน่า กับหญ้าสดและสาหร่ายทะเล เป็นอาหารสำหรับหมูพวกนี้ พวกมันเลยเติบโตได้ช้ากว่าเดิมมาก
แต่ไม่ว่าจะพูดยังไง หมูตัวที่เล็กที่สุดในบรรดาหมูพวกนี้ก็หนักประมาณหนึ่งร้อยสิบปอนด์แล้ว ตัวที่ใหญ่กว่านั้นก็หนักถึงหนึ่งร้อยสิบจุดเจ็ดปอนด์ ทว่าหมูที่อ้วนขนาดนี้ กลับหายไปอย่างพิลึกพิลั่น!
ฉินสือโอวค้นหารอบๆ ฟาร์มปลาอย่างละเอียด ก็ไม่พบรอยรั่ว แล้วหมูตัวนี้มันหายไปได้ยังไงกัน?
เบิร์ดกับนีลเซ็นเงยหน้าขึ้นไปมองท้องฟ้าอย่างพร้อมเพรียงกันโดยไม่ได้นัดหมาย ฉินสือโอวพูดด้วยความโมโหว่า “ให้ตายเถอะ พวกนายล้อฉันเล่นใช่ไหม? หมูตัวนั้นหนักหกสิบเกือบเจ็ดสิบกิโลเลยนะ เพื่อน หกสิบเกือบเจ็ดสิบกิโลกรัม! นกอะไรจะมาจับมันไปได้ นกร็อกเหรอ?!”
ทั้งสองคนเห็นพ้องต้องกันกับเขา พวกเขาแสยะยิ้มก้มหน้าก้มตาค้นหาร่องรอยต่อ ทว่ากลับไม่มีร่องรอยอยู่เลย เกิดเรื่องแปลกประหลาดขึ้นในฟาร์มปลาแล้ว หมูตัวเป็นๆ หายไปไหนแล้วก็ไม่รู้!
ฉินสือโอวทอดสายตาไปยังพวกไก่ ไก่งวงกับเป็ดมีอยู่มากเกินไป อีกทั้งในช่วงฤดูใบไม้ร่วงของปีที่แล้วลูกเป็ดลูกไก่ก็ฟักตัวออกมามากกว่าเดิม ดังนั้นจึงทำให้นับจำนวนได้ยาก แต่เขาคิดว่าก็น่าจะมีเป็ดกับไก่ที่หายสาบสูญไปด้วยเหมือนกัน
ฉงต้ายืนด้วยท่าทางแบบเดียวกันกับคนพร้อมทั้งยื่นคอออกไปมองรอบๆ ด้าน มองไปมองมาก็ยังไม่เห็นอะไร ปากของมันก็ส่งเสียงพึมๆ พำๆ คล้ายกับกำลังซุบซิบอะไรบางอย่าง
“บอส ผมว่าเรื่องนี้ต้องมีเงื่อนงำแน่ๆ” นีลเซ็นพูดด้วยท่าทางเคร่งขรึม
ฉินสือโอวถอนหายใจออกมาแล้วพูดกับเขาว่า “นายคิดว่ายังไงเหรอ?”
นีลเซ็นบอกกับเขาว่า “จากประสบการณ์ที่ผมเคยเป็นทหารหน่วยรบพิเศษ เรื่องนี้น่าจะไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ที่นี่อาจจะมีหลุมดำหรืออะไรทำนองนั้น…”
“ให้ตายเถอะ ในเวลาที่กำลังจริงจังแบบนี้ นายยังจะพูดเรื่องหลุมดำอะไรกับบอสอีก?”เบิร์ดพูดด้วยความโมโห
ฉินสือโอวจึงฝากความหวังไว้ที่เบิร์ดแทน “บิ๊กเบิร์ด ลองพูดวิธีของนายมาหน่อย”
“บอส จะให้ผมเสนอวิธีอะไรล่ะครับ ถ้าอย่างนั้นพวกเราติดกล้องวงจรปิดไว้ที่นี่เพื่อเฝ้าติดตามดีไหม” เบิร์ดเป็นงานจริงๆ แค่พูดออกมาประโยคเดียวก็บอกวิธีแก้ปัญหาได้แล้ว
“แม่เอ๊ย พูดก็เหมือนไม่ได้พูด! พวกนายคิดว่าฉันไร้เดียงสาขนาดนั้นเลยหรือยังไง!”ฉินสือโอวหมดคำจะพูด
ใช่แล้ว ข้อคิดเห็นของเบิร์ดมันไร้ประโยชน์ เนื่องจากการติดตั้งกล้องวงจรปิดจำเป็นต้องมีไฟฟ้า ทว่าฟาร์มเลี้ยงสัตว์อยู่ไกลจากวิลล่าเกินไป บริเวณรอบๆ แถวนี้ก็ไม่มีไฟฟ้าเลย ทำให้ไม่มีทางที่จะติดตั้งกล้องวงจรปิดได้
แต่ทหารหน่วยรบพิเศษก็ยังมีประโยชน์อยู่ เบิร์ดกับนีลเซ็นเข้ามาใกล้ๆ กันแล้วลองปรึกษากันดู แค่ครู่เดียวก็คิดวิธีการที่คล้ายๆ กันขึ้นมาได้ นั่นก็คือการซ่อนกล้องไว้รอบๆ บริเวณนี้นั่นเอง ส่วนเรื่องไฟฟ้าสำหรับกล้องก็ไม่เป็นปัญหา ตอนที่ทั้งสองคนยังอยู่ในกองทัพพวกเขาเคยเรียนวิธีปรับเปลี่ยนวงจรไฟฟ้าของเครื่องใช้ไฟฟ้ามาก่อน แค่รื้อแบตเตอรี่มาเชื่อมต่อกับกล้องก็ใช้การได้แล้ว
ใช้เวลาสี่สิบกว่านาที ทั้งสองคนก็ประกอบกล้องที่มีปริมาณประจุไฟฟ้าจำนวนมากขึ้นมาได้หนึ่งอัน ทั้งยังติดกล้องตรวจจับรังสีอินฟราเรดไว้ด้วย เบิร์ดบอกว่าต่อให้ถ่ายสักหนึ่งร้อยชั่วโมงก็ไม่เป็นปัญหา
ลากกล้องออกไปไกลๆ จนสามารถเก็บภาพฟาร์มไว้ได้ทั้งหมด หลังจากนั้นฉินสือโอวและคนอื่นๆ จึงพากันกลับ
เช้าวันต่อมา ฉินสือโอวก็รีบวิ่งไปที่ฟาร์มเพื่อนำกล้องถ่ายรูปกลับมาตรวจสอบ เขาลองย้อนดูวิดีโอ เมื่อคืนนี้ไม่ได้เกิดอะไรขึ้น เขาลองไปนับจำนวนเป็ดไก่กับหมูที่ฟาร์ม ก็ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไร
สามสี่วันติดต่อกันมานี้ หลังจากตื่นนอนแล้วฉินสือโอวก็จะไปเอากล้องถ่ายวิดีโอกลับมาเช็กก่อนเป็นอันดับแรก เมื่อเขาให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากขนาดนี้ จึงทำให้คนอื่นๆ ในฟาร์มปลาเริ่มวิตกกังวลขึ้นมาเช่นกัน ด้วยเหตุนี้เด็กๆ ทั้งสี่คนเลยลองทำการคาดคะเนดูบ้าง
“หรือว่าที่ฟาร์มจะเกิดประตูมิติขึ้น…”
“กอร์ดอน นายเล่นเกมจนเพี้ยนไปแล้วเหรอ? ฉันคิดว่าหมูตัวนั้นน่าจะกลายเป็นวิญญาณแล้ว…”
“ขอร้องล่ะ พาวลิส เลิกดูไซอิ๋วเถอะนะ โอเคไหม? หรือว่าหมูตัวนั้นจะกลายพันธุ์จนมีปีกงอกออกมากันนะ?”
“พระเจ้า มิเชลล์ ในหัวของนายมีอะไรอยู่บ้างเนี่ย? อ้อ ฉันลืมไป ช่วงนี้พวกนายเพิ่งจะเริ่มเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ใช่ไหมล่ะ?”
“โอเค เชอร์ลี่ย์ เธอลองบอกหน่อย ว่าหมูหายไปไหน?”
“ถูกหมาป่ากินไปแล้วหรือเปล่า มีแต่หมาป่าเท่านั้นแหละที่จะชอบกินเนื้อหมู”
“หมาป่าตัวนั้นกระโดดข้ามกำแพงสูงเมตรครึ่งได้ด้วยเหรอ? หมาป่าตัวนั้นบินได้หรือไง? หมาป่าตัวนั้นทะลุกำแพงเข้ามาได้เหรอ?”
ติดต่อกันหลายวันแล้วที่ยังไม่มีความคืบหน้า จนทำให้ทุกคนต่างก็รู้สึกวิตกกังวล ฉินสือโอวจึงต้องลดระดับความสำคัญของเรื่องนี้ลง บางครั้งเขาก็ถามกับตัวเองว่า หรือว่าเขาจะจำผิด ก่อนหน้านี้เขากินไปแล้วสามตัวเหรอ?
แต่วิธีคิดแบบนี้ก็ไม่มีประโยชน์อะไร เนื่องจากทุกๆ คนต่างก็จำได้อย่างชัดเจนว่า พวกเขาทานไปแค่สองตัวเท่านั้น
วินนี่คิดว่าหมูตัวนี้อาจจะถูกคนขโมยไป แต่ฉินสือโอวกลับไม่คิดอย่างนั้น ถ้าหากมีคนแอบมาขโมยหมู ถ้าอย่างนั้นก็ต้องทิ้งรอยเท้าไว้บนพื้นหิมะสิ นอกจากนี้ถ้าคนธรรมดาจะขโมยหมูออกมาจากฟาร์มก็คงเป็นเรื่องที่ยากเกินไป เนื่องจากตอนนี้ไม่ได้มีแค่ไก่ตัวผู้ตัวเล็กๆ ตัวเดียว แต่เป็นไก่ทั้งฝูง พลังการโจมตีของไก่ตัวผู้ก็ไม่เลวเลย คงไม่ปล่อยให้คนแปลกหน้าเข้ามาในฟาร์มได้อย่างง่ายดายแน่ๆ
มาถึงวันที่ห้า ในที่สุดเรื่องนี้ก็มีการเปลี่ยนแปลงแล้ว วันนั้นขณะที่ฉินสือโอวนำกล้องถ่ายรูปกลับมาย้อนดูตามปกติ ทันใดนั้นก็มีเงาสีขาวปรากฏขึ้นมาในหน้าจอสีเขียวอยู่แวบหนึ่ง
พอเห็นเงาสีขาวอันนี้ ฉินสือโอวก็ตื่นเต้นขึ้นมาทันที เขาเรียกทุกๆ คนให้เข้ามาดูหน้าจอคอมพิวเตอร์อย่างช้าๆ
แต่จะมองดูลักษณะเงาสีขาวให้ชัดเจนก็ไม่ง่ายเลยเหมือนกัน วิดีโอที่กล้องรังสีอินฟราเรดบันทึกไว้ล้วนแต่เป็นสีเขียว ของที่อยู่ข้างในก็เลือนรางไม่ชัดเจน โดยเฉพาะเมื่อต้องการให้กล้องบันทึกวิดีโอได้ทั้งหมดทุกส่วน จึงต้องวางกล้องให้ห่างจากฟาร์มสักช่วงระยะ
แต่ว่าฟาร์มปลามีของที่อยู่ใกล้ๆ จึงไม่เป็นปัญหา วิดีโอในช่วงต่อมาก็ปรากฏเงาสีขาวขึ้นอีกหลายครั้ง ปรากฏตัวติดต่อกันมากที่สุดประมาณสองครั้ง น่าเสียดายที่มันลอยผ่านไปอย่างรวดเร็ว จึงเห็นได้ไม่ค่อยชัดเท่าไรนัก
ฉินสือโอวไปที่ฟาร์มเพื่อลองนับจำนวนสัตว์ที่อยู่ข้างใน คราวนี้จำนวนของหมูไม่มีการเปลี่ยนแปลง ทว่าเป็ดกับไก่ กลับหายไปตั้งหกตัว!
เมื่อได้รู้อย่างนี้ในใจของฉินสือโอวก็เริ่มกลัวขึ้นมาแล้ว แท้จริงแล้วเป็นตัวอะไรกันแน่ที่มาขโมยเป็ดกับไก่? จิ้งจอกขาว? แมวป่าขนสีขาว? อย่าเพิ่งพูดถึงว่ามีของพวกนี้อยู่จริงๆ ไหม แต่ถ้ามีอยู่จริง แล้วพวกมันเข้ามาในฟาร์มปลาได้ยังไง? ประตูก็ล็อกอย่างแน่นหนา รั้วก็ล้อมไว้ทั้งหมด!
นอกจากนี้ บริเวณรอบๆ ฟาร์มยังไม่มีรอยเท้าของตัวอะไรเลยด้วย!
ฉินสือโอวรู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ค่อนข้างร้ายแรง ถ้าคิดตามแบบวิธีคิดของคนจีน นั่นก็หมายความว่าฟาร์มเลี้ยงสัตว์ได้พบกับเรื่องลี้ลับเสียแล้ว เงาสีขาวพวกนั้น ก็เหมือนกันกับ… วิญญาณ!
“วิญญาณยังกินเป็ดกินไก่อยู่อีกเหรอ?” เออร์บักหัวเราะเยาะ “ยิ่งไปกว่านั้นคือ พวกมันกินหมูด้วยเหรอ?”
ฉินสือโอวเริ่มรู้สึกเป็นทุกข์ทั้งยังรู้สึกหวาดกลัว “ไม่อย่างนั้นพวกเราลองหานักบวชเต๋า เอ๊ย ไม่สิ หาบาทหลวงมาทำพิธีไหมครับ”
“เมืองนี้ยังมีบาทหลวงที่ไหนกันล่ะคะ? โบสถ์ของพวกเราจะถล่มลงมาอยู่แล้ว” วินนี่พูดอย่างจนปัญญา
ฉินสือโอวไม่ได้นับถือศาสนาคริสต์ นอกจากจะเป็นวันเทศกาลเขาถึงจะไปที่โบสถ์เพื่อเที่ยวชม ส่วนเวลาอื่นเขาไม่เคยผ่านไปเลย จึงรู้เรื่องเกี่ยวกับศาสนาคริสต์ไม่มากเท่าไรนัก
แต่เมื่อได้ยินว่าโบสถ์กำลังจะถล่มลงมา เขาก็รู้สึกว่าเรื่องนี้ค่อนข้างรุนแรง จึงพูดขึ้นมาว่า “เดี๋ยวค่อยไปดูแล้วกัน ถ้าไม่ได้ยังไงเดี๋ยวผมช่วยออกทุนซ่อมโบสถ์ให้ก็ได้”
ตอนนี้สิ่งที่สำคัญก็คือแก้ปัญหาฟาร์มเลี้ยงสัตว์ ตอนนี้กล้องอันเดียวคงไม่พอ ชาร์คและคนอื่นๆ จึงไปยืมมาเพิ่มอีกสี่ตัว หลังจากดัดแปลงเสร็จแล้วก็แยกย้ายไปติดไว้กับบริเวณใกล้ๆ กันกับฟาร์ม เพื่อให้สามารถบันทึกวิดีโอได้อย่างชัดเจน
ขณะที่ทุกคนๆ คนกำลังเฝ้ารออย่างกระสับกระส่าย คราวนี้ก็ปรากฏผลลัพธ์ขึ้นอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นแค่สองวัน กล้องวิดีโอก็นำมาซึ่งการค้นพบครั้งใหม่
…………………………………………………………
บทที่ 400 ดรีมวูล์ฟ
โดย
Ink Stone_Fantasy
ฉินสือโอวนั่งกอดวินนี่อยู่หน้าคอมพิวเตอร์ โดยมีบุชที่เกาะอยู่บนไหล่ของเขา เชอร์ลี่ย์กับเด็กๆ ที่เหลือก้มเข้ามาอยู่ด้านหน้าสุด ส่วนชาร์คและคนอื่นๆ ก็ยืนอยู่ด้านหลัง ทั้งบ้านมีคนอยู่ไม่น้อย ทุกๆ คนต่างก็มองไปที่หน้าจอคอมพิวเตอร์อย่างใจจดใจจ่อ
พวกหู่จือเป้าจือกับฉงต้าก็เหมือนจะรู้ว่าเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น พวกมันกระสับกระส่ายจนอยากจะเบียดเข้าไปดู แต่ด้านหน้าคอมพิวเตอร์มีคนมุงกันอยู่อย่างแน่นขนัดแล้ว พวกมันจึงเบียดเข้าไปไม่ได้
ปอหลัวมองพวกมันทั้งสามตัวอย่างเหยียดหยาม อ่อนหัด มีอะไรน่าดูนักหรือไง? การอาบแดดต่างหากล่ะที่เป็นเรื่องสำคัญที่สุด
เสี่ยวหมิงก็ยิ่งมองพวกมันทั้งสามตัวอย่างดูแคลน ทำไมมุดเข้าไปไม่ได้ล่ะ? ดูฉันนี่ ก็แค่ดีดตัวกระโดดขึ้นไป โอเค ขึ้นมาถึงบนโต๊ะแล้ว
บนหน้าจอสีเขียวสด ในค่ำคืนที่มืดมิด เป็ดไก่กับหมูก็กำลังนอนหลับอยู่ในฟาร์มอย่างเงียบสงบ แต่ทันใดนั้น เป็ดไก่กับหมูทั้งหลายก็เกิดวุ่นวายขึ้นมา พวกมันลุกขึ้นมาอย่างสับสนอลหม่านจากนั้นก็เบียดตัวเข้าหากัน พวกมันมองไปยังตำแหน่งทางฝั่งทิศตะวันออกเฉียงเหนือของฟาร์มด้วยความหวาดผวา
ผ่านไปสักพัก บนหน้าจอคอมพิวเตอร์ก็ปรากฏเงาร่างสีขาวขึ้นมาหนึ่งผืน มันมีร่างกายสูงใหญ่ ทั่วทั้งร่างกายเป็นสีขาวล้วน ใบหูทั้งสองข้างตั้งขึ้นอย่างน่าเกรงขาม ขาทั้งสี่ข้างก็สูงยาวและเปี่ยมไปด้วยพลัง หางใหญ่บนบั้นท้ายทิ้งตัวลงตรงๆ ดูยังไงๆ ก็เหมือนกับสุนัขขนสีขาวขนาดใหญ่
แต่แน่นอนว่านี่ไม่ใช่สุนัขทั่วๆ ไป สิ่งมีชีวิตแบบนี้ที่ปรากฏตัวขึ้นตามป่า มีอยู่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น หมาป่า!
เพียงชั่วพริบตาเดียวที่ได้เห็นเงาร่างของสัตว์ชนิดนี้ ชาร์คและซีมอนสเตอร์ก็ถึงกลับอ้าปากกว้าง เออร์บักก็อ้าปากค้างเช่นกัน บนใบหน้าของเบิร์ดกับนีลเซ็นเต็มไปด้วยความสับสน ส่วนฉินสือโอวก็ตกใจจนร้องตะโกนออกมาทันที “เวรเอ๊ย นั่นมันหมาป่าหิมาลายันนี่!”
ชาวจีนคุ้นเคยกับหมาป่าหิมาลายัน ขนของหมาป่าชนิดนี้จะเป็นสีขาวเสียส่วนใหญ่ ตอนนี้พวกมันอยู่ในภาวะใกล้จะสูญพันธุ์ ส่วนใหญ่จะอาศัยอยู่ที่ บนที่ราบสูงชิงไห่-ทิเบตในฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของจีน ประเทศอื่นในซีกโลกเหนือจะพบได้น้อย เป็นสัตว์คุ้มครองของประเทศจีน ไม่อนุญาตให้ล่าและไม่อนุญาตให้ค้าขาย
หลังจากนั้น วินนี่ก็ใช้สายตาที่เต็มไปด้วยความสับสนงงงวงยมองไปยังสัตว์ป่าขนาดใหญ่ที่ปรากฏขึ้นบนหน้าจอ เธอพูดอย่างละเมอๆ ว่า “ไม่ ไม่ใช่หมาป่าหิมาลายัน ฉิน นี่คือดรีมวูล์ฟค่ะ หมาป่าขาวนิวฟันด์แลนด์!”
หมาป่าขาวนิวฟันด์แลนด์ เรียกอีกอย่างว่าหมาป่าขาวอเมริกาเหนือ เนื่องจากขนสีขาวสวยทั่วทั้งร่างกับท่วงท่าที่ดูนุ่มนวลและงดงามของมัน จึงถูกชาวพื้นเมืองเผ่าบอร์โตกของนิวฟันด์แลนด์เรียกว่า ‘ดรีมวูล์ฟ’ (หมาป่าในความฝัน)
มันคือหมาป่าชนิดหนึ่งที่มีร่างกายสูงใหญ่ ดรีมวูล์ฟสายพันธุ์แท้จะมีขนสีขาวทั่วทั้งตัว มีแค่หัวและข้อเท้าเท่านั้นที่เป็นสีงาช้าง มันสามารถโตได้ถึงสองเมตร น้ำหนักเจ็ดสิบกิโลกรัม เป็นหมาป่าที่ดูดุร้ายแค่มองก็ทำให้เกิดความรู้สึกหวาดกลัวยิ่งกว่าหมาป่าสีเทาเสียอีก
หมาป่าชนิดนี้อาศัยอยู่บนภูเขารกร้างในนิวฟันด์แลนด์ที่มีประชากรอาศัยอยู่อยู่เบาบาง สามารถวิ่งได้เร็วและไกล ชอบอยู่กันเป็นฝูง พวกมันทั้งฉลาดและกล้าหาญ เนื่องจากพวกมันมีนิสัยโลภและดุร้ายของหมาป่าสีเทา ดังนั้นพวกมันจึงไม่ใช่มิตรสำหรับมนุษย์
ได้ยินชื่อที่วินนี่เรียก เออร์บักก็พูดอย่างเด็ดขาดว่า “เป็นไปไม่ได้! เป็นไปไม่ได้แน่ๆ ! หมาป่าขาวนิวฟันด์แลนด์สูญพันธุ์ไปตั้งหนึ่งศตวรรษแล้ว!”
ชาร์คกับซีมอนสเตอร์ก็ช่วยยืนยันว่า “ใช่แล้ว บอส คุณดูลักษณะของมันสิ เห็นได้ชัดว่าเป็นหมาป่า แถมมันยังมีขนสีขาวทั่วทั้งตัว นอกจากหมาป่าขาวนิวฟันด์แลนด์แล้วจะยังเป็นตัวอะไรได้อีก? แต่ก็อาจจะไม่ใช่หมาป่าขาวนิวฟันด์แลนด์ก็ได้ เพราะพวกมันก็สูญพันธุ์ไปแล้ว! ไม่เหลือเลยสักตัว!”
การสูญพันธุ์ของหมาป่าขาวเป็นเรื่องราวการสังหารหมู่อย่างโหดเหี้ยมทารุณในประวัติศาสตร์ของอเมริกาเหนือ เนื่องจากพวกมันสูญพันธุ์ไปพร้อมกับมนุษย์กลุ่มพันธุ์หนึ่ง
ช่วงต้นศตวรรษที่ 15 ประเทศอังกฤษค้นพบแผ่นดินทวีปอเมริกาเหนือ ดังนั้นจึงเริ่มมีการอพยพย้ายถิ่นฐานเกิดขึ้น หลังจากที่พวกคนอังกฤษผิวขาวเข้ามาเหยียบพื้นที่ที่เป็นนิวฟันด์แลนด์ในปัจจุบัน พวกเขาก็เริ่มจับชาวพื้นเมืองชนเผ่าบอร์โตกมาเป็นทาสของตัวเอง
ชาวบอร์โตกไม่มีทางเลือกอื่นจึงต้องหนีออกไปจากฟาร์มปลาที่อุดมสมบูรณ์ เข้าไปซ่อนตัวในป่าลึก รวมตัวกันเพื่อเอาชีวิตรอด ทว่าชาวอังกฤษที่ประกาศยึดครองนิวฟันด์แลนด์กลับไม่ยอมปล่อยพวกเขาไป รัฐบาลชั่วคราวได้ประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาที่ระบุไว้ว่า หากฆ่าชาวบอร์โตกหนึ่งคน จะได้รับที่ดินจำนวนหนึ่ง พร้อมกับปศุสัตว์และเงินรางวัล
ในปี 1800 ชาวบอร์โตกก็หายสาบสูญไป
ต่อจากนั้น ชาวอังกฤษก็พุ่งความสนใจไปยัง “หมาป่าบอร์โตก” ซึ่งก็คือหมาป่าขาวนิวฟันด์แลนด์ เนื่องจากพวกมันเป็นสัตว์ที่ชาวบอร์โตกบูชา พวกมันจึงได้ถูกเรียกด้วยชื่อนี้
ชาวอังกฤษในนิวฟันด์แลนด์ก็ประกาศใช้พระราชบัญญัติอีกครั้ง ซึ่งระบุไว้ว่า เมื่อฆ่าหมาป่าขาวหนึ่งตัว จะได้รับเงินรางวัลห้าปอนด์
แต่การขนานนามว่าเป็นหมาป่าในความฝันของหมาป่าขาวนิวฟันด์แลนด์ ก็ไม่ใช่แค่คำร่ำลือเท่านั้น พวกมันทั้งฉลาดและเข้มแข็งทรหด ซ่อนตัวในตอนการวันและปรากฏกายในตอนกลางคืน สามารถเดินทางได้ไกลถึงสองร้อยกิโลเมตรในหนึ่งวัน มีความชำนาญในการอำพรางร่องรอยระหว่างการเดินทาง ถึงกระทั่งรู้จักการใช้หางเพื่อปัดรอยเท้าที่เหลืออยู่บนหิมะ ดังนั้นจึงตามล่าได้ยากมาก
ชาวอังกฤษที่ชาญฉลาดจึงใช้วิธีการที่แสนจะง่ายดาย พวกเขาฉีดยาพิษชนิดหนึ่งที่มีชื่อว่า “สตริกนิน” ลงไปบนซากกวางที่ตายแล้ว ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นหมาป่าตัวเล็ก หมาป่าตัวใหญ่ ตลอดจนสัตว์ชนิดอื่นในห่วงโซ่อาหาร ต่างก็พากันล้มตายลงเป็นจำนวนมาก
ปี 1911 หมาป่าขาวนิวฟันด์แลนด์ถูกประกาศให้เป็นสัตว์สูญพันธุ์ กลายเป็นหมาป่าชนิดแรกในกลุ่มหมาป่าสีเทายี่สิบชนิดที่เกิดการสูญพันธุ์ขึ้น ในศตวรรษต่อมาก็ไม่มีใครเคยเห็นหมาป่าชนิดนี้อีกเลย รัฐบาลแคนาดาจึงยืนยันการสูญพันธุ์ของหมาป่าชนิดนี้
ดังนั้น ถ้าหากตอนนี้พวกเขาค้นพบหมาป่าขาวนิวฟันด์แลนด์อีกครั้ง ก็จะเป็นเรื่องที่เหลวไหลขนาดไหนกัน
ดังนั้นนีลเซ็นจึงเดาว่า “หรืออาจจะเป็นหมาป่าสีเทาที่กลายพันธุ์จนเป็นสีขาว เหมือนปอหลัวไง แค่ขนของหมาป่าตัวนี้กลายเป็นสีขาวเฉยๆ”
ฉินสือโอวคิดว่านี่ก็อาจจะเป็นไปได้เหมือนกัน แต่ความจริงก็ได้ทำลายจินตนาการที่พวกเขาสร้างขึ้นมาหลอกตัวเองอย่างรวดเร็ว ภาพต่อมาหมาป่าที่ตัวเล็กกว่าก็ปรากฏตัวขึ้น แถมขนของมันยังเป็นสีขาวเหมือนกันอีกต่างหาก!
นีลเซ็นยิ้มแหยๆ แล้วพูดขึ้นมาว่า “หมาป่าสีเทากลายพันธุ์สองตัวหรือเปล่า?”
“กลายพันธุ์กับผีน่ะสิ! นี่มันหมาป่าขาวนิวฟันด์แลนด์!” ฉินสือโอวตบโต๊ะแล้วร้องตะโกนขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น
เออร์บักกับคนอื่นๆ ก็ตกอยู่ในความตะลึง ใช่แล้ว ดูลักษณะเบื้องต้นแล้ว หมาป่าสองตัวนี้คือหมาป่าขาวนิวฟันด์แลนด์จริงๆ
แต่ทำไมอยู่ๆ สัตว์ที่สูญพันธุ์ไปแล้วถึงได้ปรากฏตัวขึ้นล่ะ? ดูเหมือนว่า ความลี้ลับของธรรมชาติ จะยังเป็นเรื่องห่างไกลเกินกว่าที่วิทยาศาสตร์ของมนุษย์ในยุคปัจจุบันจะขบคิดหาคำตอบได้อย่างชัดเจน
บ่อยๆ ครั้ง ธรรมชาติจะแสดงสิ่งที่เรียกว่าเรื่องมหัศจรรย์ให้มนุษย์ได้เห็น เพื่อบอกกับมนุษย์ว่า โลกใบนี้ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะควบคุมได้ มนุษย์อาจจะไม่อยากเชื่อเรื่องนี้ ทว่านี่คือความจริง!
วิดีโอที่อยู่ต่อจากนั้น ก็เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้พวกเขาต้องช็อกยิ่งกว่าเดิม ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมพวกฉงต้ากับหู่จือถึงได้หาทางที่ขโมยเข้ามาขโมยเป็ดกับไก่ไม่เจอสักที ฉินสือโอวและคนอื่นๆ ก็คิดไม่ตกเหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น
ที่แท้ หมาป่าสองตัวนี้ไม่ได้โจมตีฟาร์มเลี้ยงสัตว์ตรงๆ แต่มาตามลำธารเล็กๆ ที่ไหลผ่านฟาร์ม พวกมันมุดลำธารเล็กๆ เพื่อเข้ามาในฟาร์ม!
เมื่อเป็นเช่นนี้ หลังจากหมาป่าขาวเข้ามากินเป็ดไก่ในฟาร์มแล้วพวกมันก็มุดออกไปตามลำธาร ในช่วงเวลานั้นพวกมันจะไม่จำเป็นต้องทำลายราวกั้นหรือลวดตาข่ายเลยแม้แต่น้อย
“แล้วหมูตัวนั้นล่ะ? พวกมันคงไม่มีทางลากหมูตัวเป็นๆ หนึ่งตัวให้มุดออกไปทางก้นลำธารได้หรอกใช่ไหม?” ชาร์คยังคงไม่เข้าใจอยู่ดี
เบิร์ดถอนหายใจแล้วตอบกลับไปว่า “ง่ายมาก พวกมันกัดหมูตัวนั้นตอนอยู่ในลำธาร เลือดหมูถูกกระแสน้ำในลำธารพัดไป พวกเราเลยไม่พบร่องรอยอะไรเลยสักอย่าง”
หลังจากขโมยเป็ดกับไก่ไปแล้ว หมาป่าขาวทั้งสองตัวก็ใช้หางใหญ่ๆ ปัดรอยเท้าที่อยู่บนพื้นหิมะของพวกมัน จากนั้นก็เดินลอยหน้าลอยตา เหมือนสังหารแล้วปัดเสื้อผ้าเดินจากไป ซ่อนตัวในยามมืดมิดอย่างเงียบเชียบเป็นอิสระและสง่าผ่าเผย ทำให้ฉินสือโอวกับคนอื่นๆ รู้สึกนับถืออย่างถึงที่สุด
ในที่สุดก็ไขคดีปริศนาของหมูกับเป็ดไก่ที่หายไปอย่างไร้ร่องรอยได้ ทุกๆ คนต่างก็พากันกะพริบตาปริบๆ พร้อมกับใจคอที่แห้งเหี่ยว
“ลองเสนอมาหน่อย เราควรจะทำยังไงกันดี?” ฉินสือโอวกระแอมไอเพื่อทำลายความเงียบงันของบรรยากาศโดยรอบ
………………………………………………
บทที่ 401 หู่เป้าฉง VS หมาป่า
โดย
Ink Stone_Fantasy
ไม่จำเป็นต้องถกเถียงกัน ความคิดเห็นของทุกคนต่างก็เป็นเอกฉันท์ ถ้าหากว่าหมาป่าสองตัวนี้เป็นหมาป่าขาวนิวฟันด์แลนด์จริงๆ ก็จะฆ่ามันไม่ได้ ต้องพาพวกมันกลับไปที่เทือกเขาเคอร์บัล แล้วถ้าหากเป็นไปได้ก็ต้องพยายามช่วยให้พวกมันแพร่พันธุ์ด้วย
สัตว์ป่าที่ถูกคิดว่าสูญพันธุ์ไปแล้วปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง แรงสั่นสะเทือนที่เกิดจากเรื่องนี้ ไม่ได้ด้อยไปกว่าการประสูติของเจ้าชายแห่งประเทศอังกฤษเลย
แต่ตอนนี้มีปัญหาที่ค่อนข้างจัดการได้ยาก นั่นก็คือถ้าปล่อยพวกมันตามสบายไม่จัดการหมาป่าสองตัวนี้ ถ้าอย่างนั้นจะทำยังไงกับเป็ดไก่และหมูในฟาร์มล่ะ? เลี้ยงมาอย่างยากลำบากตั้งหนึ่งปีเต็มๆ จะปล่อยให้หมาป่าพวกนี้กินจนหมดก็ไม่ได้เหมือนกัน
หนึ่งคนคิดไม่เท่าสามคนคิด แค่ครู่เดียวก็คิดวิธีออกมาได้ มีสิ่งที่สำคัญอยู่สองอย่าง
วิธีที่หนึ่งคือการย้ายฟาร์ม ต้องย้ายฟาร์มมาตั้งไว้ในจุดที่ค่อนข้างไกลจากป่า ไม่มีภูเขาสูงกับแม่น้ำสายเล็กเป็นทางเข้าลับ หมาป่าขาวก็เข้าออกไม่ได้แล้ว วิธีที่สองคือการใช้เนื้อจำพวกเนื้อกวาง เนื้อหมูเพื่อให้อาหารหมาป่าขาว เหตุผลที่อยู่ๆ หมาป่าสองตัวนี้ก็ลงมาจากภูเขา คงจะเป็นเพราะปีนี้บนภูเขามีหิมะตกอาหารจึงไม่มีอาหาร พอถึงฤดูใบไม้ผลิพวกมันก็คงจะกลับไปที่ยอดเขาเคอร์บัลและไม่ออกมาอีก
เมื่อแก้ไขปัญหานี้ได้อย่างมีความสุข ทุกๆ คนต่างก็ค่อนข้างตื่นเต้นกับเรื่องนี้ พวกเขาพบสัตว์ป่าที่ทางการคิดว่าสูญพันธุ์ไปแล้ว อีกทั้งยังต้องพยายามคุ้มครองสัตว์ชนิดนี้ ไม่ว่าจะมองยังไงเรื่องนี้ก็เป็นเกียรติกับพวกเขา
ฉินสือโอวกับทุกๆ คน โดยเฉพาะเด็กๆ ทั้งสี่คนนั้นสัญญากันไว้แล้วว่า ไม่ว่าใครก็ห้ามเผยแพร่ข่าวการมีชีวิตอยู่ของหมาป่าขาวนิวฟันด์แลนด์ อีกเดี๋ยวก็ลบวิดีโอทิ้ง แล้วปล่อยให้ความจริงเรื่องนี้ถูกฝังไว้ในประวัติศาสตร์อันยาวนาน
ทำเหมือนว่าไม่เคยพบพวกมัน ถึงจะเป็นการปกป้องที่ดีที่สุด
ทว่า ฉินสือโอวกับคนอื่นๆ ต่างก็ลืมไปแล้วว่า ที่แห่งนี้ไม่ได้มีเพียงคนหนึ่งกลุ่ม แต่ยังมีหมีหนึ่งตัวกับสุนัขอีกสองตัวอยู่ด้วย
ในฟาร์มมีเป็ดไก่กับหมูอยู่จำนวนไม่น้อย การเคลื่อนย้ายพวกมันจึงไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเลย ตอนกลางวันฉินสือโอวเลือกที่ตั้งใหม่ของฟาร์มไว้แล้ว อยู่ห่างจากโรงเรือนเพาะปลูกไปไม่ไกลนัก อีกทั้งที่ตรงนี้ยังใกล้กับประตูทางเข้าของฟาร์มปลาอยู่มาก ถ้าหมาป่าขาวมาที่นี่อีก พวกมันก็ต้องเผชิญกับเทพนักรบของฟาร์มปลาอย่างห่านขาวกับกวางอูฐขี้โมโหอย่างปอหลัว
แน่นอนว่าห่านขาวกับปอหลัวคงจะสู้กับหมาป่าขาวที่ขึ้นชื่อเรื่องความกล้าหาญไม่ได้อยู่แล้ว แต่เท่าที่ดูจากวิดีโอแล้ว หมาป่าสองตัวนี้มีความระมัดระวังเป็นอย่างมาก พวกมันไม่มีทางที่จะยุแหย่ห่านขาวที่มีจำนวนมากขนาดนี้แน่ๆ เหมือนพวกมันจะรู้ว่าตัวเองอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก จึงพยายามอย่างเต็มที่ที่จะไม่ให้พวกมนุษย์พบเจอร่องรอยของตนเอง
เมื่อเลือกสถานที่เรียบร้อยแล้ว สองขั้นตอนถัดมาก็คือการสร้างโรงเรือนและต่อเติมลวดหนาม ตอนกลางวันก็ยุ่งกับงานจนเหนื่อยแทบทนไม่ไหว ตกกลางคืนฉินสือโอวก็ยังต้องลาดตระเวนฟาร์มปลาอีกต่างหาก จึงไม่ทันได้สังเกตว่าอยู่ๆ เหล่าสัตว์เลี้ยงที่ก่อนหน้านี้มักจะเข้ามานอนกับเขาในห้องไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว
จนกระทั่งคืนหนึ่งในกลางเดือนมกราคม ระหว่างที่ฉินสือโอวกำลังสะลึมสะลืออยู่ ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงร้องแหลมของหมาป่าดังมาจากที่ไกลๆ นอกจากนี้ยังมีเสียงร้องคำรามของฉงต้าที่ดังตามติดกันมากับเสียงหมาป่า รวมไปถึงเสียงเห่าที่แฝงไปด้วยความเดือดดาลของหู่จือกับเป้าจือ
“แย่แล้ว!” ฉินสือโอวตื่นเต็มตาในทันที หู่จือเป้าจือกับฉงต้าพบกับหมาป่าขาวเข้าเสียแล้ว!
หลังจากที่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ฉินสือโอวก็รีบร้อนขึ้นมาทันที เขาเพิ่งจะนึกขึ้นมาได้ว่าหลายคืนมานี้ไม่ได้เจอพวกมันเลย ก่อนหน้านี้เขาไม่ทันได้คิดให้รอบคอบ ดูท่าว่าตอนนี้พวกมันคงจะไปดักซุ่มโจมตีที่ฟาร์มแน่ๆ แล้ว
ฉินสือโอวสวมเสื้อขนเป็ดอย่างลุกลี้ลุกลน วินนี่ก็ตกใจตื่นขึ้นมาแล้วเหมือนกัน เธอโทรศัพท์ไปหาเบิร์ดกับนีลเซ็นเพื่อให้พวกเขาตามฉินสือโอวไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น ส่วนเธอก็รอด้วยความร้อนอกร้อนใจ
เขาขับรถเอทีวีออกไปอย่างเร่งรีบ ฉินสือโอวมาถึงฟาร์มในเวลาอันสั้น เขาสาดไฟรถเข้าไปตั้งแต่ยังอยู่ห่างออกไปไกลๆ แค่ครู่เดียวก็มองเห็นฟาร์มที่อยู่ทางด้านหน้า
ที่ด้านข้างแม่น้ำสายย่อยจากภูเขาสูง หมาป่าขาวตัวใหญ่เปี่ยมไปด้วยพละกำลังทั้งสองตัวกับพวกหู่เป้าฉงกำลังสู้รบกันอยู่ ทั้งสองฝ่ายเริ่มสู้กันอย่างน่าเวทนา สถานการณ์น่าเป็นห่วง พวกมันต่างก็ไม่มีใครยอมใคร
ทางฝั่งหู่เป้าฉงมีฉงต้าเป็นกำลังหลัก มันโบกอุ้งเท้าใหญ่เข้าโจมตีจากเลนกลาง ปากของมันก็ส่งเสียงคำรามออกมาด้วยความเดือดดาลอยู่ตลอดเวลา ร่างกายอ้วนท้วมแข็งแรงพุ่งเข้าใส่จากทั้งทางซ้ายและขวา ราวกับทหารม้าหนักในสนามรบ กล้าหาญหาใดเปรียบ!
ส่วนทางด้านหู่จือกับเป้าจือก็โจมตีขนาบข้างจากทางฝั่งซ้ายและฝั่งขวา เพียงแค่หมาป่าขาวถูกฉงต้าดึงดูดความสนใจเอาไว้ พวกมันก็จะบุกเข้าไปกัดทึ้งทันที อ้าปากออก ฟันแหลมคมสีขาวดูดุร้าย พลังการทำลายล้างเต็มเปี่ยม
กล้ามเนื้อทั่วทั้งร่างกายของหมาป่าทั้งสองตัวเปี่ยมไปด้วยพละกำลัง ดวงตาทั้งสองข้างทอประกายความดุร้าย ขายาวทั้งสี่ข้างที่แตะอยู่บนพื้นก็ถูกยกขึ้น มันกระโดดหลบด้วยความรวดเร็ว เห็นได้ชัดว่าพวกมันผ่านประสบการณ์การต่อสู้มามาก
ถึงแม้ว่าจะเป็นรองเรื่องจำนวน ทว่าหมาป่าขาวก็ไม่ได้เสียเปรียบแต่อย่างใด ขณะที่กำลังต่อสู้กับศัตรูพวกมันช่วยกันคุ้มกันซึ่งกันและกัน ตีเสมอกับฉงต้าและต้านทานหู่จือกับเป้าจือด้วยท่าทางน่ายำเกรง
หู่จือ เป้าจือและฉงต้าเป็นสัตว์เลี้ยงขนาดกลาง ภายใต้สภาวะปกติพวกมันไม่มีทางสู้หมาป่าขาวโตเต็มวัยได้
ทว่าร่างกายของพวกมันได้รับการปรับเปลี่ยน จากพลังของจิตสำนึกแห่งโพไซดอนมาแล้ว คุณสมบัติร่างกายของพวกมันทั้งสามตัวมีความยอดเยี่ยมอย่างเหนือชั้น แรงระเบิดพลังที่แข็งแกร่ง มีความรวดเร็ว พละกำลังมาก ลงมืออย่างโหดเหี้ยม ในการโรมรันต่อสู้ก็สามารถหยุดยั้งหมาป่าขาวทั้งสองตัวไว้ได้ บนร่างกายของพวกมันไม่ได้รับบาดเจ็บร้ายแรงแต่กลับสามารถสร้างบาดแผลให้กับหมาป่าขาวได้หลายแผล
หมาป่าขาวต่อสู้มานานแต่ไม่ได้รับชัยชนะจึงเริ่มรู้สึกกระสับกระส่าย และในตอนที่ฉินสือโอวส่องไฟหน้ารถเข้ามา พวกมันก็รู้แล้วว่าตัวเองไม่มีหวัง จึงรีบก้าวถอยหลังแล้ววิ่งกลับไป
หลังจากหู่เป้าฉงมองเห็นแสงไฟพวกมันก็สู้อย่างกล้าหาญยิ่งกว่าเดิม พอพวกมันรู้ว่าตัวเองมีคนคอยหนุนหลัง ก็ยิ่งกำเริบเสิบสานขึ้นไปอีก
แต่ฉินสือโอวไม่อยากให้พวกมันทั้งสองฝ่ายต่อสู้กัน พอเขาเห็นว่าหมาป่าขาวกำลังจะหนีไปแต่หู่เป้าฉงยังตามไปก่อกวนอย่างไม่ลดละ จึงตวาดขึ้นมาเสียงดังว่า “หยุดเดี๋ยวนี้ กลับมานี่!”
หู่เป้าฉงที่ฮึกเหิมจนตาแดงก็ไม่ได้ฟังความนัก พวกมันยังอยากจะออกไปโจมตีต่อ แต่เมื่อฉินสือโอวผิวปากออกมาด้วยเสียงดังกังวาน หู่จือกับเป้าจือก็กระดิกหูไปมา ส่งเสียงร้องครวญครางในลำคอต่อ แต่ในที่สุดพวกมันก็สงบลงได้ จากนั้นจึงค่อยๆ หยุดลงอย่างช้าๆ
พอไม่มีหู่จือกับเป้าจือเป็นปีกข้างที่คอยสนับสนุนแล้ว ฉงต้าเองก็ไม่กล้าเสี่ยง มันโบกอุ้งเท้าโตๆ ของตัวเองทุบลงไปบนพื้น ฉงต้ายังส่งเสียงคำรามขู่เข็ญไปให้หมาป่าขาวสองผัวเมียต่อ
หลังจากหู่เป้าฉงพากันหยุดแล้ว สองผัวเมียหมาป่าขาวก็ยังไม่ได้หนีไปทันที ตัวหนึ่งแยกเขี้ยวยิงฟันก้มหัวถลึงมองมาด้วยความโกรธแค้น ส่วนอีกตัวก็เงยหน้าขึ้นแล้วหอนออกมา พอฉินสือโอวได้ยิน กลับรู้สึกว่าเสียงหอนของมันโศกเศร้าและเจ็บปวดเป็นอย่างยิ่ง
ต่อมาเสียงดังกังวานของปืนเอสไอจีก็ดังขึ้น นีลเซ็นกับเบิร์ดตามมาถึงแล้ว พวกเขากลัวว่าฉินสือโอวจะเสียเปรียบ จึงยิงปืนขู่มาตั้งแต่ไกลๆ
เมื่อได้ยินเสียงปืน หมาป่าขาวสองผัวเมียก็หนีไปในที่สุด พวกมันถอยกลับเข้าไปในป่า สายตายังคงจับจ้องมาที่ฉินสือโอวโดยตลอด ปากก็ร้องฮือๆ ออกมาอย่างเจ็บปวด จนทำให้ฉินสือโอวรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก
หมาป่าขาวหายไปแล้ว ฉินสือโอวเข้าไปเกาหัวสัตว์เลี้ยงทั้งสามทีละตัวด้วยความรู้สึกจนปัญญา เขาถอนหายใจแล้วพูดขึ้นมาว่า “พวกแกสามตัวนี่นะ เจตนาดีแต่การกระทำร้าย! แต่ยังไงป๊ะป๋าก็ดีใจนะ ที่พวกแกโตขึ้นแล้ว ช่วยป๊ะป๋าแบ่งเบาภาระได้แล้ว”
เบิร์ดกับนีลเซ็นรีบวิ่งเข้ามาหาด้วยความรวดเร็ว พอเห็นว่าฉินสือโอวกับเหล่าสัตว์เลี้ยงทั้งสามไม่ได้รับบาดเจ็บก็รู้สึกโล่งใจ แล้วพูดขึ้นมาว่า “ดีจริงๆ ที่พวกคุณไม่เป็นอะไร แล้วหมาป่าขาวล่ะเป็นยังบ้าง?”
ฉินสือโอวตอบกลับไปว่า “มีตัวหนึ่งที่ได้รับบาดเจ็บ ถูกหู่จือกับเป้าจือกัดจนเป็นแผล แต่น่าจะไม่เป็นอะไรมาก ถูกเจอตัวคราวนี้ คิดว่าต่อไปนี้พวกมันคงไม่มาที่นี่อีกแล้วล่ะ ช่างมันเถอะ กลับกันดีกว่า”
เขากำลังจะพาหู่เป้าฉงกลับ แต่ปรากฏว่าเดินไปได้แค่สองก้าว ทันใดนั้นหู่จือก็หันกลับไป มันวิ่งกระโดดสองก้าวก็ไปถึงลำธารตรงตำแหน่งทางเข้าฟาร์ม หูของมันตั้งขึ้นแล้วเห่าเสียงดังอย่างบ้าคลั่ง
ขณะที่ฉินสือโอวกำลังรู้สึกกลุ้มอกกลุ้มใจอยู่นั้น ละอองน้ำก็สาดกระเซ็นขึ้นมา หัวสีขาวๆ ก็มุดขึ้นมาอย่างสั่นๆ ลืมตาดวงเล็กสีดำใสมองไปที่หู่จือ มันอ้าปากแล้วส่งเสียงเล็กๆ ออกมา “บ๊อกๆ!”
หู่จือลงมือในทันที ฉินสือโอวจึงตะโกนเสียงดังว่า “อย่า…”
แต่ปรากฏว่า หู่จือไม่ได้กัดเจ้าตัวเล็กจนตาย แต่คาบหลังคอของมันเพื่อลากมันขึ้นมาจากน้ำ แล้ววิ่งช้าๆ มาที่ด้านข้างฉินสือโอวจากนั้นก็วางมันลง
นี่คือลูกหมาป่าขาว ที่น่าเพิ่งจะคลอดได้ไม่นาน มันเหมือนกันกับลูกสุนัขตัวเล็กๆ ไม่มีผิด ความยาวลำตัวไม่ถึงยี่สิบเซนติเมตร ผอมแห้งแรงน้อย ขนของมันเปียกจนลู่เข้าหาตัว พอลมหนาวพัดมา ตัวของมันก็สั่นขึ้นมาทันที
ฉินสือโอวคว้าเสื้อที่เบิร์ดถอดออกมาเอาไว้จากนั้นก็ใช้มันห่มให้กับลูกหมาป่าขาว ลูกหมาป่าขาวนึกว่าเขาจะทำร้ายมัน จึงค่อยๆ อ้าปากออกเพื่อที่จะกัดเขา
แต่มันช้าเกินไป ฉินสือโอวจึงใช้เสื้อผ้าห่อมันเอาไว้ได้ก่อน ลูกหมาป่าขาวไม่ยอมลดละ มันอ้าปากกัดทึ้งเสื้อขนเป็ดอีกครั้ง คาดว่าแค่ครู่เดียวมันก็สัมผัสได้ถึงความอบอุ่น มันจึงเลิกกัด มันขดตัวอยู่ในเสื้อขนเป็ดแล้วจามออกมา
เมื่อมองดูลูกหมาป่าขาวตัวนี้ ฉินสือโอวก็เข้าใจแล้วว่าทำไมพ่อแม่หมาป่าขาวถึงไม่ยอมจากไปเสียที เพราะพวกมันไม่อยากทิ้งลูกของตัวเองไว้ยังไงล่ะ! ถ้าไม่ใช่เพราะนีลเซ็นยิงปืนขู่ คิดว่าเพื่อลูกแล้ว หมาป่าขาวทั้งสองตัวคงจะปักหลักรบอยู่ตรงนี้อย่างสุดชีวิต!
บนตัวของลูกหมาป่าขาวเต็มไปด้วยน้ำกับน้ำแข็ง จึงไม่ควรจะอยู่ในป่าต่อ ฉินสือโอวต้องพามันกลับไปที่วิลล่าก่อนชั่วคราว
รอจนพวกเขาเดินออกไปไกลแล้ว ทางด้านหลังของเขาก็มีเสียงหอนครวญครางของหมาป่าขาวดังขึ้น ก่อนหน้านั้นพวกมันคงไม่ได้เดินไปไหนไกล แต่ยังอยู่ในป่ารอให้พวกมนุษย์เดินจากไปแล้วค่อยไปพาลูกของพวกมันกลับมา
ได้ยินเสียงหอนของพ่อแม่ ลูกหมาป่าขาวก็พยายามแหงนหน้าขึ้นแล้วอ้าปากเล็กๆ ของมันเพื่อหอนกลับไปเหมือนแมวร้อง ฉินสือโอวฟังยังไงก็ได้ยินไม่ชัด
ฉินสือโอวไม่รู้จะทำยังไงดีแล้ว พ่อแม่หมาป่าพวกนี้ไม่ยังไม่เหมาะที่จะทำหน้าที่ จะพาลูกหมาป่าที่ยังอายุน้อยขนาดนี้มุดเข้าไปในแม่น้ำที่หนาวเหน็บได้ยังไงกัน? ถ้าหากเขามอบลูกหมาป่าขาวให้พ่อแม่ของมัน พวกมันก็ยากที่จะคุ้มครองชีวิตของลูกหมาป่าขาวไว้ได้ เจ้าตัวน้อยต้องแข็งตายแน่ๆ!
จากการตัดสินใจในชั่วพริบตา เขาทำได้แค่พาลูกหมาป่าขาวกลับไปดูแลที่วิลล่าก่อน รอให้ผ่านไปสักสองวันค่อยพามันกลับมาส่งให้พ่อแม่หมาป่าขาว
………………………………………………………
บทที่ 402 ราชาหมาป่าหัวไชเท้า
โดย
Ink Stone_Fantasy
พอกลับมาถึงวิลล่า อีวิลสันก็กำลังนั่งยองๆ อยู่หน้าประตู ร่างกายขนาดใหญ่เกินมนุษย์ขดตัวเข้าหากันจนกลายเป็นก้อนใหญ่ๆ เหมือนหินก้อนยักษ์ในมหาสมุทรไม่มีผิด
พอมองเห็นฉินสือโอว เขาก็ ‘ฟึบ’ ลุกขึ้นมาทันที ลูกหมาป่าขาวที่ถูกเสื้อขนเป็ดห่อไว้ที่ร้องจิ๊ดๆ ฮือๆ ร้องงึมๆ งำๆ มาตลอดทาง พออีวิลสันปรากฏตัวขึ้น มันก็หดตัวลงไปในเสื้อผ้าทันที ไม่ส่งเสียงออกมาแม้แต่นิดเดียว
วินนี่รออยู่ที่ห้องรับแขกอย่างกระสับกระส่าย พอฉินสือโอวกับคนอื่นๆ เดินเข้ามา เธอก็พนมมือไว้ที่อกแล้วพูดขึ้นมาว่า “พระเจ้าคุ้มครอง ดีจริงๆ ที่พวกคุณไม่เป็นอะไร เอ๊ะ นี่ตัวอะไรเหรอคะ?”
ฉินสือโอววางเสื้อผ้าลงไปบนโซฟา ลูกหมาป่าขาวยื่นหัวออกมามองดูรอบๆ เมื่อเห็นว่ารอบๆ ตัวมันมีแต่สิ่งมีชีวิตที่น่ากลัว ทั้งคนทั้งสุนัขทั้งหมี มันก็หดตัวเข้าหากันแล้วซ่อนตัวเองอยู่ในห่อผ้า
วินนี่นั่งยองๆ อยู่ด้านหน้าโซฟาและเปิดห่อผ้าออกอย่างเบามือ พอเธอเปิดมันออกลูกหมาป่าขาวก็ถดตัวไปข้างหลัง จนสุดท้ายก็ถอยจนก้นของมันติดกับพนักพิงของโซฟา หมาป่าขาวตัวน้อยปลุกใจให้ฮึกเหิมแล้วอ้าปากส่งเสียงร้องอย่างกล้าหาญ “บรู๋ว…”
“น่ารักจังเลย!” วินนี่ร้องขึ้นมาอย่างมีความสุข เธอยื่นมือออกไปเขี่ยหัวลูกหมาป่าขาว หมาป่าตัวน้อยรู้สึกว่าตัวเองถูกหยามศักดิ์ศรี จึงอ้าปากเล็กๆ ด้วยความโมโห
‘งับ’ วินนี่ยื่นมือออกปิดปากมัน
ในที่สุดลูกหมาป่าขาวรู้แล้วว่าตัวเองมีกำลังอยู่เพียงน้อยนิด มันจึงมุดตัวอยู่ในมุม ระทมทุกข์อยู่อย่างเงียบๆ
“เฮ้ พวกคุณจับลูกหมาป่าขาวตัวนี้มาได้ยังไงเหรอคะ? พระเจ้า ไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ!” วินนี่ถามขึ้นมาด้วยความตื่นเต้นดีใจ
ฉินสือโอวอธิบายเหตุการณ์ในตอนนั้นให้เธอฟัง วินนี่ก็ถึงบางอ้อทันที “เข้าใจแล้ว พ่อหมาป่าขาวกับแม่หมาป่าขาวเห็นว่าในฟาร์มมีเป็ดไก่อยู่เยอะแถมยังเชื่องอีกต่างหาก พวกมันเลยอยากพาลูกมาฝึกล่าอาหาร แต่กลับโดนพวกหู่จือซุ่มโจมตีเสียก่อน ลูกหมาป่าขาวเลยหนีออกมาจากฟาร์มไม่ทัน”
“ก็น่าจะเป็นอย่างนั้นล่ะครับ” ฉินสือโอวก็เดาว่าน่าจะเป็นแบบนี้ ระหว่างสองพ่อแม่หมาป่าขาวมีตัวหนึ่งที่เปียกน้ำทั่วทั้งตัว แต่อีกกลัวกลับไม่ได้เป็นอะไร เห็นได้ชัดว่าถูกพวกหู่จือโจมตีระหว่างทาง รอจนหมาป่าตัวหนึ่งพาลูกหมาป่าเข้าไปข้างในฟาร์มแล้ว จึงเข้าจู่โจมขณะที่หมาป่าอีกตัวยังอยู่ข้างนอก
วินนี่หยิบเอาไดร์เป่าผมมาหนึ่งเครื่อง ปรับเป็นลมเบาๆ อุ่นๆ เป่าขนให้ลูกหมาป่าขาวจนแห้ง ลูกหมาป่าขาวเห็นของที่ดูเหมือนปืนกระบอกโตเล็งมาที่ตัวเอง มันก็อ้าปากส่งเสียงร้องขึ้นมาอีกครั้ง
“ฮูๆ!” ลมอุ่นๆ พัดออกไป จนผิวนุ่มๆ บนปากของลูกหมาป่าขาวสั่นสะบัดไม่หยุด ทำให้มันตกใจจนต้องเอาอุ้งเท้าขึ้นมาจับปากไว้
วินนี่เป่าขนไปพร้อมๆ กันหวีขนสีขาวให้ลูกหมาป่า เธอพูดด้วยความตื่นเต้นปนดีใจว่า “ฉิน พวกเราตั้งชื่อให้มันเถอะนะคะ บ้านของเรามีเด็กน้อยเพิ่มขึ้นมาอีกตัวแล้ว”
พวกหู่จือเป้าจือกับฉงต้าได้ยินประโยคนี้ก็พากันหูตั้งทันที พวกมันมองไปที่วินนี่อย่างระแวดระวัง ไม่เอาน่า บ้านของพวกเราจะมีสัตว์เลี้ยงมาแย่งความรักกับพวกมันเพิ่มอีกตัวอย่างนั้นน่ะเหรอ?
ฉินสือโอวจึงอธิบายว่า “ไม่ได้หรอกครับ วินนี่ หมาป่าขาวควรจะอยู่ที่เทือกเขาเคอร์บัล พวกเราต้องปกป้องพวกมัน รอจนฟ้าสว่างแล้วค่อยพามันไปปล่อยในป่าเล็ก เอามันไปคืนให้กับพ่อแม่หมาป่าขาว”
วินนี่มองลูกหมาป่าขายอย่างอาลัยอาวรณ์ เธอตัดสินใจอย่างยากลำบาก “โอเค คุณพูดถูกค่ะ ฉิน แต่ว่าเด็กน้อยตัวนี้น่ารักมากจริงๆ ฉันชอบมันมาก”
“ถ้าอย่างนั้นคืนนี้คุณนอนกอดมันเถอะครับ ฮ่าๆ คืนนี้จะได้อยู่กับมันอย่างมีความสุขไง” ฉินสือโอวพูดพร้อมรอยยิ้ม
เขาแค่พูดเล่นๆ แต่วินนี่ดันทำอย่างนั้นจริงๆ พอเป่าขนลูกหมาป่าขาวจนแห้งทั้งตัวแล้ว เธอก็พามันกลับไปยังห้องนอน วางมันลงบนเตียงอุ่นๆ
ตาสีดำแป๋วของลูกหมาป่าขาวจ้องมองไปที่ทั้งสองคน มันคิดอยากจะหนี แต่พอยืนขึ้นก็สัมผัสได้ถึงความนุ่มอุ่นของที่นอน จึงไม่กล้าจะกระโดดลงไป
วินนี่กอดลูกหมาป่าขาวเอาไว้ ส่วนฉินสือโอวก็หลับตาเตรียมตัวนอน กอดไว้ก็ดีเหมือนกัน ถ้าปล่อยไว้ข้างนอกตอนกลางคืนก็อาจจะโดนพวกหู่เป้าฉงแกล้งจนตายก็ได้
แต่ปรากฏว่าหลับตาลงได้ไม่นาน อยู่ดีๆ วินนี่ก็พูดขึ้นมาว่า “ฉิน ฉันคิดชื่อให้มันได้แล้ว”
ฉินสือโอวลุกขึ้นมา เขาใช้มือลูบผมเงาสลวยของวินนี่แล้วพูดกับเธออย่างอ่อนโยนว่า “เราตกลงกันแล้วไม่ใช่เหรอครับ ว่าจะปล่อยมันไป?”
“คืนนี้เราจะได้เรียกชื่อมันได้ไงคะ แล้วพรุ่งนี้ค่อยเอามันไปส่ง แต่คืนนี้มันต้องมีชื่อเรียกนะคะ”
“โอเคครับ คุณตั้งชื่อให้มันว่าอะไรล่ะ? เสี่ยวป๋าย? ป๋ายป๋าย?”
“ไม่ใช่ค่ะ ชื่อว่าโลโบต่างหาก!” วินนี่พูดกับเขาอย่างเบิกบานใจ
“หัวไชเท้า?! (ภาษาจีนออกเสียงว่า หลัวปอ) วินนี่ คุณล้อผมเล่นใช่ไหม? แต่จะว่าไปแล้วมันก็ดูเหมือนหัวไชเท้าสีขาวๆ เหมือนกันนะ” ฉินสือโอวหัวเราะเสียงดัง เขาคิดว่าชื่อที่เขาตั้งให้หู่จือกับเป้าจือก็ไร้สาระมากแล้ว แต่พอเทียบกัน วินนี่ก็ยิ่งแย่กว่าเขาเสียอีก
วินนี่ก็พูดกับเขาอย่างงอนๆ ว่า “พูดอะไรไร้สาระ ฉันหมายถึงโลโบ Lobo! ราชาหมาป่าโลโบ!”
ราชาหมาป่าโลโบเป็นเรื่องเล่าของทวีปอเมริกาเหนือ มีชื่อเสียงในยุคบุกเบิกฝั่งตะวันตกของอเมริกา มันคือหมาป่าสีเทาตัวหนึ่งที่มีร่างกายแข็งแรงบึกบึน สติปัญญาเฉียบแหลมโดดเด่นกว่าใครทั้งหมด มันนำฝูงหมาป่าให้อยู่รอดภายใต้การต่อสู้กับมนุษย์
ในตอนนั้นพวกคาวบอยในฝั่งตะวันตกของอเมริกาต่างก็อยากจะกำจัดมัน แต่ก็ทำอะไรมันไม่ได้ ราชาหมาป่าโลโบนำฝูงหมาป่าของมันวิ่งทะยานไปทั่วเขตเคอร์รัมพาว์อย่างยโสโอหังเป็นอย่างยิ่ง เพียงแค่ได้ยินชื่อของมันผู้คนก็พากันกลัวจนขวัญหนีดีฝ่อ ถึงแม้ว่าในท้ายที่สุดแล้วมันจะตายด้วยกับดักของคาวบอย เพราะช่วยชีวิตบลังก้าคู่ชีวิตของมันเอาไว้ ด้วยการสละชีวิตของมันเอง โลโบทำได้เพียงใช้ความน่าเกรงขาม มาข่มขู่อเมริกาเหนือให้เกิดความกลัว
วินนี่ตั้งชื่อที่มาจากความกล้าหาญให้กับลูกหมาป่าขาว ด้วยความรักและความปรารถนาเป็นอย่างยิ่ง
ฉินสือโอวเข้าใจในทันที หลังจากนั้นเขาก็หลับตาลงแล้วนอนต่อ นี่เกี่ยวกับผมตรงไหนกันล่ะ? เพราะไม่ว่ายังไงพรุ่งนี้เจ้าตัวเล็กนี่ก็ไสก้นไปแล้ว
ขณะที่เขากำลังจะเคลิ้มหลับ วินนี่ก็ผลักเขาหนึ่งครั้ง เธอพูดอย่างสะลึมสะลือว่า “อย่ากวนสิคะ นอนเถอะ”
ฉินสือโอวรู้สึกแปลกๆ เขากวนอะไรใครนะ? ผมก็จะนอนเหมือนกัน โอเคไหม?
เขาขยับออกมาให้ไกลจากวินนี่อีกนิด ผ่านไปสักพักวินนี่ก็ผลักเขาอีกครั้ง น้ำเสียงของเธอเริ่มไม่ดีแล้ว “นอนเฉยๆ ได้ไหมคะ? เลิกอมได้แล้ว ฉันง่วงมากๆ แล้วนะ”
ฉินสือโอวเปิดโคมไฟตั้งโต๊ะ แล้วถามเธอว่า “ผมอมอะไร… เวรแล้ว!”
ใต้แสงไฟที่ส่องสว่าง ฉินสือโอวเห็นหัวของราชาหมาป่าตัวน้อยกำลังซบอยู่บนหน้าอกของวินนี่ ปากของมันดูดอมจุดสีแดงอ่อนจนเกิดเสียงดังจ๊วบๆ อย่างเพลิดเพลิน
ฉินสือโอวตกใจจนตัวโยน เขารีบลากลูกหมาป่าขาวออกมา แล้วตะโกนพูดกับวินนี่ว่า “เด็กโง่ของผม ห้ามไม่ให้คุณนอนกอดมันคุณก็ดื้อจะกอด อีกนิดจะไม่เหลือเต้านมแล้ว คุณรู้ตัวหรือเปล่าเนี่ย?”
ราชาหมาป่าน้อยไม่พอใจที่ถูกลากออกมา ขาทั้งสี่ข้างปัดป่ายไปมา ปากก็ ‘มุบมิบๆ ’ ร้องอ่าฮู้ๆ สุดชีวิต
วินนี่ไม่กลัวเลยสักนิด ทั้งยังหัวเราะคิกๆ คักๆ ไม่หยุด เธอดึงสายเดี่ยวชุดนอนขึ้น จากนั้นก็กระโดดลงไปจากเตียงแล้วพูดขึ้นมาว่า “ไม่เป็นไรค่ะ ก็แค่เด็กน้อยที่กำลังหิว เดี๋ยวฉันจะลงไปอุ่นนมวัวให้มันสักหน่อย”
เป็นอย่างนั้นจริงๆ เมื่อนมวัวถูกยกมา ราชาหมาป่าตัวน้อยก็หดอุ้งเท้าแล้วนอนฟุบลงตรงด้านหน้าจานแล้วเลียกินนม ‘แจ๊บๆ แจ๊บๆ’ อย่างมีความสุข
ฉินสือโอวมองมาจากด้านหลัง ยิ่งมองยิ่งรู้สึกว่าลูกหมาป่าผอมแห้งตัวนี้เหมือนหัวไชเท้าหนึ่งหัว
ต่อมาวินนี่ก็มีความรู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน ทั้งสองคนมองหน้ากันอย่างลังเล ในที่สุดวินนี่ก็พูดกับเขาด้วยความพ่ายแพ้ว่า “ช่างเถอะ ไม่ต้องเรียกมันว่าโลโบแล้ว เรียกว่าหลัวปอก็ได้ ยังไงก็ออกเสียงคล้ายๆ กันอยู่ดี”
ราชาหมาป่าตัวน้อยเงยหน้าขึ้น มันกะพริบตาปริบๆ มองพวกเขาทั้งสองด้วยความอิ่มอกอิ่มใจ แล้วหมอบลงไปเลียนมวัวอย่างสบายใจต่อ
ในห้องนอน หู่เป้าฉงหันมาสบตากัน พวกมันลุกขึ้นยืนอย่างเงียบเชียบ หลังจากนั้นก็แกล้งทำท่าทางไม่มีอะไรแล้วล้อมตัวเข้ามา พวกมันทั้งเบียดทั้งชน จนราชาหมาป่าตัวน้อยไม่เหลือแม้แต่เงา พวกมันสามตัวที่เหลืออยู่ก็พากันหมอบลงตรงจานแล้วเลียนมที่อยู่ข้างในจนหมดเกลี้ยงด้วยความรวดเร็ว
บทที่ 403 ซ่อมแซมโบสถ์
โดย
Ink Stone_Fantasy
สามแสบหู่เป้าฉงรังแกราชาหมาป่าน้อยอย่างไม่หยุดพัก เด็กน้อยหลัวปอไร้กำลังจะต่อกร ขนาดพ่อกับแม่ยังสู้พี่ใหญ่สามตัวนี้ไม่ได้แล้วนับประสาอะไรกับมัน? เพราะอย่างนั้นมันถึงไม่ได้ดื่มนมวัวที่ยังเหลืออยู่เลยสักหยด
พอเห็นแบบนี้ วินนี่จึงลงไปที่ครัวเพื่อหยิบชามใส่อาหารของพวกมันทั้งสามตัวออกมา แล้วเทนมวัวลงไปครึ่งชาม
แต่พวกหู่เป้าฉงไม่ยอมดื่ม พวกมันเอาแต่จ้องเด็กน้อยหลัวปอ ไม่ยอมให้มันได้ดื่มนม
หมดปัญญาแล้ว วินนี่ทำได้แค่กอดหลัวปอตัวน้อยเอาไว้ในอ้อมอก แล้วเทนมวัวใส่มือเพื่อป้อนให้มันกิน ส่วนฉินสือโอวก็จับตาดูสัตว์เลี้ยงอีกสามตัว แบบนี้ถึงจะป้อนหลัวปอได้จนมันอิ่ม
พอกินจนอิ่มท้องเด็กน้อยหลัวปอก็ทำตัวดีอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน พอหาที่อุ่นๆ ได้แล้วขาทั้งสี่ข้างก็แผ่กว้างหมอบลงไปบนเตียงจากนั้นก็ร้องฮูๆ แล้วหลับไป ฉินสือโอวกับวินนี่หันมายิ้มให้กัน แล้วหลับไปเพราะความเหนื่อยล้า
หลังฟ้าสว่าง วินนี่จะพาหลัวปอไปส่งคืนให้พ่อแม่ของมัน เธอจึงต้องลางานอีกวัน
ฉินสือโอวไม่ได้ไปกับวินนี่ เมื่อวานเออร์บักบอกกับเขาว่าโบสถ์ประจำเมืองทรุดโทรมมากแล้ว เขาเลยจะลองไปดู เพื่อที่จะได้ช่วยซ่อมแซมโบสถ์ให้กับเมืองนี้
สาเหตุที่เขาอยากจะซ่อมโบสถ์มีอยู่สองข้อ อย่างแรกคือเขาอยากจะทำอะไรเพื่อเมืองนี้บ้าง นอกจากนั้นเขาก็อยากจะเพิ่มชื่อเสียงและความนิยมในเมืองนี้ด้วย ที่อเมริกาเหนือ ความนิยมเป็นสิ่งที่สำคัญมาก มันอาจจะไม่ได้ช่วยให้หาเงินได้เยอะขึ้น แต่จะทำให้ชีวิตของคุณดียิ่งกว่าเดิม
สาเหตุข้อที่สองและข้อที่สำคัญที่สุด ในช่วงเทศกาลอีสเตอร์ เขาเคยสาบานกับพระเยซูไว้ว่า ถ้าท่านสามารถคุ้มครองและอวยพรให้เขาหาเงินได้ถึงร้อยล้านดอลลาร์แคนาดา เขาจะมาช่วยซ่อมแซมโบสถ์ของเมืองนี้ให้
ตอนนี้ เงินจำนวนร้อยล้านดอลลาร์ก้อนแรกมาอยู่ในมือของเขาแล้ว
อยู่ที่เมืองแห่งนี้มาแล้วหนึ่งปี ฉินสือโอวก็เข้าใจเมืองนี้ได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ก่อนหน้านี้การคลังของเมืองแฟร์เวลอยู่ในสภาวะที่ยากจนข้นแค้นเป็นอย่างมาก ดังนั้นจึงมีโครงสร้างพื้นฐานที่ไม่ดีนัก ไม่มีเงินพิเศษที่จะนำมาลงทุน
โบสถ์แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่สองร้อยปีที่แล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะทรุดโทรมเกินไป ก็คงจะทำเป็นสถานที่ท่องเที่ยวได้
แต่มันเก่าและผุพังจนเกินไป จนถึงกับไม่มีบาทหลวงประจำโบสถ์ ก่อนหน้านี้ฉินสือโอวเคยพบบาทหลวงท่านหนึ่งชื่อว่าเดลลา มอนด์ริส เป็นบาทหลวงจากโบสถ์แห่งหนึ่งในนครเซนต์จอห์น ช่วงเทศกาลกับนานๆ ครั้งท่านถึงจะมาที่นี่
เทียบกับตอนที่ฉินสือโอวเพิ่งมาถึง ก็ดูเหมือนว่าโบสถ์แห่งนี้จะผุพังลงไปกว่าเดิมนิดหน่อย สาเหตุสำคัญก็มาจากหิมะที่ตกหนักติดต่อกันหลายวันจนทำให้โบสถ์ได้รับความเสียหาย หลังคาทรงกรมของโบสถ์ถูกหิมะปกคลุมไว้ มีบางจุดที่ถูกกดทับจนได้รับความเสียหาย
พอฉินสือโอวหยุดรถแล้วเงยหน้าขึ้นไปมอง เขาก็ชะงักงันทันที “สายตาผมมีปัญหาหรือว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? ทำไมผมถึงรู้สึกว่าไม้กางเขนที่อยู่ข้างบนมันเบี้ยวไปหน่อยหนึ่ง?”
เมื่อเออร์บักหันไปมองเขาก็แทบจะสำลักออกมาเหมือนกัน “ให้ตาย ใช่จริงๆ ด้วย ดูเหมือนว่าจะต้องซ่อมโบสถ์กันครั้งใหญ่แล้วล่ะ”
ฉินสือโอวเดินไปทั่วบริเวณด้านในของโบสถ์ สิ่งที่ต้องซ่อมแซมเป็นอย่างแรกก็คือหอคอย หอคอยที่เคยเป็นหัวใจสำคัญของโบสถ์ชำรุดทรุดโทรมไปหมดแล้ว ผนังด้านนอกเต็มไปด้วยร่องรอยความเสียหาย
กระจกสียิ่งต้องเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด ผ่านแดดผ่านลม สีสันของกระจกพวกนี้ก็ซีดลงไปมาก สีสันปนเปกันอย่างพิลึกพิลั่นไม่เพียงแต่ทำให้ดูขาดความศักดิ์สิทธิ์ แต่ยังไม่เป็นมงคลและค่อนข้างน่ากลัวอีกด้วย
โต๊ะเก้าอี้ในโบสถ์ก็ต้องเปลี่ยน ภาพวาดพระแม่มารีกับภาพวาดเกี่ยวกับการเผยแผ่ศาสนาของบุตรแห่งพระเจ้าที่อยู่รอบๆ ก็ต้องวาดใหม่ สรุปสั้นๆ ว่า หากอยากจะทำให้โบสถ์แห่งนี้จะเปล่งประกายขึ้นมาอย่างมีชีวิตชีวาอีกครั้ง เช่นนั้นก็ต้องใช้เงินทุนไม่น้อยเลย ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเทศบาลของเมืองนี้ถึงยังไม่เริ่มการก่อสร้างเสียที
ฉินสือโอวโทรศัพท์ไปหาแฮมเล็ต เพื่อบอกว่าเขาวางแผนที่จะบูรณะโบสถ์แห่งนี้ พอได้ทราบข่าว แฮมเล็ตก็ขับรถคัมรี่มาที่นี่อย่างรวดเร็ว
เขาเดินเข้ามาในโบสถ์และแย้มยิ้มอย่างมีความสุข แฮมเล็ตจับมือของฉินสือโอวเอาไว้แล้วพูดกับเขาด้วยความซาบซึ้งว่า “นายทำเรื่องที่ดีมากให้กับเมืองนี้ ฉิน ขอให้พระเจ้าอวยพรนาย! ขอให้ท่านอวยพรให้นายทำทุกอย่างได้อย่างราบรื่น! อวยพรให้นายครอบครองฟาร์มปลาแกธเธอริงได้ในเร็ววัน!”
“อย่าเพิ่งพูดถึงมันเลยครับ ท่านนายกเทศมนตรี พวกเรามาคุยกันว่าจะซ่อมแซมโบสถ์ยังไงดีกว่า มีอะไรบ้างที่เราไม่ควรไปแตะต้อง? หรือมีอะไรที่เป็นวัตถุโบราณบ้าง?” ฉินสือโอวพูดเข้าประเด็น
แฮมเล็ตพาฉินสือโอวไปที่บ้านของผู้อาวุโสท่านหนึ่งที่อยู่ในเมือง ระหว่างทางก็แนะนำให้เขาฟังว่า ผู้อาวุโสท่านนี้ชื่อว่ามัสก์ กริมม์ เป็นบาทหลวงคนก่อนของเมืองนี้ แต่เขาอายุมากแล้ว จึงไม่ได้ไปทำหน้าที่รับใช้พระเจ้าเพื่อคนในเมืองอีก
ปีนี้บาทหลวงกริมม์มีอายุถึงเก้าสิบสี่ปีแล้ว ท่านเป็นชายชราหลังค่อมร่างกายผอมแห้ง สุขภาพร่างกายก็ค่อนข้างแย่ แต่เป็นคนอารมณ์ดีมาก บ้านพักของท่านทรุดโทรมแต่สะอาดสะอ้าน เพียงพอที่จะเติมเต็มชีวิตของท่านกับคู่ชีวิตของท่าน
เมื่อก่อนตอนที่ยังอยู่ที่ประเทศจีน ฉินสือโอวคิดมาตลอดว่าบาทหลวงก็เหมือนกับนักบวช ที่ไม่สามารถแต่งงานได้ทั้งคู่ เมื่อมาถึงเกาะแฟร์เวลเขาถึงได้รู้ว่า สมาชิกองค์กรทางศาสนาของศาสนาคริสต์จะเรียกว่าบาทหลวง แต่ในนิกายโรมันคาทอลิกจะเรียกว่านักบวช ทั้งสองแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
ทั้งสองฝ่ายมีลักษณะหน้าที่และความรับผิดชอบที่แตกต่างกัน ในคำสอนของศาสนาคริสต์ ผู้ที่มีความศรัทธาจะสามารถสื่อสารกับพระเจ้าได้โดยตรง บาทหลวงก็เป็นแค่ชื่อเรียก เป็นเพียงผู้ให้การปกป้องและให้คำแนะนำเท่านั้น
แต่สำหรับนิกายโรมันคาทอลิกจะแตกต่างกันออกไป ในหลักคำสอนของพวกเขา ผู้ที่ศรัทธาจะสามารถสื่อสารกับพระเจ้าได้โดยผ่านทางนักบวชเท่านั้น เมื่อเป็นเช่นนี้หน้าที่ของนักบวชจึงยิ่งมีความสำคัญทำให้พวกเขายิ่งมีอำนาจ
ดังนั้น บาทหลวงจึงมีข้อปฏิบัติทางศาสนาน้อยกว่า ผู้หญิงสามารถทำหน้าที่นี้ได้ บาทหลวงสามารถแต่งงานได้ และไม่จำเป็นต้องเคร่งครัดกับตัวเองนัก แต่นักบวชจะต่างกันออกไป ซึ่งต้องเป็นผู้ชายเท่านั้น อีกทั้งยังไม่สามารถแต่งงานได้ตลอดชีวิต และต้องรับใช้พระเจ้าเป็นหลักสำคัญ
เมื่อได้พบกับฉินสือโอว บาทหลวงกริมม์ก็ทักทายเขา หลังจากนั้นก็แย้มรอยยิ้มพร้อมพูดกับเขาว่า “พระผู้เป็นเจ้าทรงมีเมตตา พ่อเชื่อมาตลอดว่าท่านไม่ได้ทอดทิ้งเกาะแฟร์เวล การมาถึงของลูก เป็นสิ่งที่พิสูจน์เรื่องนี้ได้อย่างแน่ชัด “
ฉินสือโอวยิ้มพร้อมพยักหน้าเล็กน้อย ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นพระเจ้าที่นำเขามาที่นี่ ตอนนี้ยิ่งเขาเข้าใจหัวใจโพไซดอนมากขึ้นเท่าไร เขาก็ยิ่งศรัทธาในพระเจ้ามากขึ้นเท่านั้น นั่นก็เพราะว่าเขาเป็นผู้ที่ได้รับพลังจากพระเจ้าโดยตรง
ต่อจากนั้นบาทหลวงกริมม์ก็พูดให้แฮมเล็ตกับฉินสือโอวฟัง เกี่ยวกับส่วนที่สำคัญของโบสถ์ ขอแค่รักษาของสำคัญในบริเวณพวกนั้นไว้ให้ดี ส่วนบริเวณอื่นๆ ก็ลงมือก่อสร้างได้ตามสบาย
ในระหว่างที่กำลังพูดคุยกันอยู่นั้น บาทหลวงกริมม์ก็ยิ้มหัวเราะอยู่ตลอดโดยตลอด ฉินสือโอวคิดว่าถึงเขาจะร่ำรวยกว่าบาทหลวงกริมม์จนไม่อาจจินตนาการได้ แต่ก็ไม่ได้มีสภาพจิตใจที่ดีเหมือนท่าน
อีกทั้งสิ่งที่ฉินสือโอวอยากจะมีที่สุด ก็คือสภาพจิตใจแบบนี้!
สุดท้าย เขาก็ทนไม่ได้จึงถามบาทหลวงกริมม์ออกไปว่า “ขอโทษที่เสียมารยาทนะครับ แต่ผมเห็นว่า ชีวิตของคุณพ่อก็ไม่ได้มีความสะดวกสบายหรือมีชีวิตที่สมบูรณ์แบบ แต่ทำไมคุณพ่อถึงได้มีความสุขขนาดนี้ล่ะครับ?”
ฉินสือโอวนึกว่าท่านจะบอกกับเขาว่าพระเจ้าอยู่ข้างกายท่านหรืออะไรทำนองนั้น แต่ก็ไม่ได้คำตอบเหมือนกับที่คิดไว้ บาทหลวงกริมม์ยกยิ้มแล้วตอบเขากลับมาว่า “ลูกเอ๋ย นั่นเป็นเพราะว่าพ่อพึงพอใจทุกสิ่งในชีวิตทุกวันนี้แล้ว พ่อมีพระเจ้าที่รักพ่อและพ่อก็รักท่านมาโดยตลอด พ่อได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับคู่ชีวิตที่รักพ่อและพ่อก็รักเขา พ่อยังกินอิ่มนอนหลับ แล้วทำไมพ่อถึงจะไม่มีความสุขล่ะ?”
รู้จักพอถึงเป็นสุขได้ ลูกหลานของพระเจ้าหวงและพระเจ้าเหยียนต่างพูดถึงความจริงข้อนี้เอาไว้เมื่อนานแล้ว เพียงแต่คนที่เข้าใจและทำได้จริงนั้น มีอยู่อย่างน้อยนิด
พอออกมาจากบ้านของบาทหลวงกริมม์แล้ว ฉินสือโอวก็บอกวิลให้หยุดการก่อสร้างสนามบินชั่วคราว เพื่อที่จะได้รีบซ่อมแซมโบสถ์ให้เสร็จก่อนพายุหิมะจะมา
วิลตอบรับด้วยความยินดี เขาระดมวิศวกรที่เชี่ยวชาญด้านการซ่อมแซมและการป้องกันรักษาอาคารโบราณจากสำนักงานใหญ่ทันที ทั้งยังนำทีมมาซ่อมแซมโบสถ์แห่งนี้ด้วยตัวเอง
หลังจากฉินสือโอวกลับมาถึงบ้าน ก็เห็นว่าไม่มีคนอยู่ในบ้าน เขารู้ว่าวินนี่และคนอื่นๆ จะพาหลัวปอไปหาพ่อกับแม่ของมัน จึงตามไปที่ฟาร์มเลี้ยงสัตว์
เหมือนกับที่คิดไว้ ทุกๆ คนกำลังซ่อนตัวอยู่ใกล้ๆ กับฟาร์ม มองดูหลัวปอน้อยที่อยู่ตรงริมป่า
หลัวปอที่มีขนสีขาวนุ่มนวลทั่วทั้งร่างกายก็วิ่งโซๆ เซๆ อยู่ครู่หนึ่ง เห็นได้ชัดว่ามันมีความคุ้นชินและใกล้ชิดกับป่าไม้มากกว่า พอสูดจมูกดมกลิ่นดูแล้ว มันก็ค่อยๆ เดินเข้าไปในป่าอย่างช้าๆ
……………………………………………………….
บทที่ 404 เจาะน้ำแข็งตกปลา
โดย
Ink Stone_Fantasy
มองดูลูกหมาป่าขาวเดินเข้าไปในป่า วินนี่ก็รู้สึกสลดขึ้นมาทันที เธอกอดฉงต้าที่อยู่ในอ้อมอกไว้แน่น ดูท่าทางเหมือนว่าจะทำใจไม่ได้มากๆ
ฉงต้าก็โล่งอกโล่งใจอย่างถึงที่สุด ดีจริงๆ ในที่สุดเจ้าเด็กนี่ก็ไสหัวไปสักที หลังจากนี้คู่แข่งแอ๊บแบ๊วขี้อ้อนของมันก็น้อยลงไปแล้วหนึ่ง
พอหู่จือกับเป้าจือเห็นฉินสือโอวก็กระโดดโลดเต้นเข้ามาหาเขา ฉินสือโอวลูบหัวของพวกมันไปมา เขาเดินมาอยู่ข้างๆ วินนี่แล้วกอดเธอไว้พร้อมๆ กับพูดปลอบใจเธอ “ดีแล้วล่ะ หลัวปอไม่เหมาะที่จะอยู่ที่ฟาร์มปลาหรอกครับ มันเป็นหมาป่า ตามธรรมชาติแล้วก็ควรจะอยู่บนภูเขาสูงกับป่าใหญ่”
วินนี่พยักหน้ารับ แต่ใบหน้าของเธอก็ยังดูเศร้าสร้อยอยู่
ฉินสือโอวจึงเบี่ยงประเด็นออกไป เขาบอกกับเธอว่า “กว่าจะเดินกลับไปทำไมมันถึงใช้เวลานานขนาดนี้ล่ะ? ดูเหมือนว่ามันก็รู้สึกผูกพันกับคุณเหมือนกันนะ”
วินนี่อธิบายกับเขาว่า “ก่อนหน้านี้ฉันเล่นกับมันอยู่สักพักหนึ่ง ทำใจไม่ได้จริงๆ หลัวปอน่ารักมากๆ เลย”
“แต่ไม่ว่ายังไงมันก็เป็นหมาป่า มันยังมีผืนแผ่นดินกว้างใหญ่ให้ต้องออกไปเผชิญหน้า ถ้าหากมันมัวแต่หลงใหลชีวิตที่สะดวกสบาย เช่นนั้นมันก็ไม่คู่ควรกับชื่อ ‘โลโบ’ …” ขณะที่ฉินสือโอวกำลังพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยอารมณ์ฮึกเหิมอยู่นั้น ปรากฏว่าระหว่างนั้นพวกฉงต้ากับหู่จือก็มองไปที่ริมป่าด้วยใบหน้าที่ยากจะเชื่อ
ฉินสือโอวหันหน้ากลับไปดู ตัวขาวๆ ของหลัวปอก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง มันแหงนหน้าขึ้นมองรอบๆ จากนั้นก็วิ่งตรงไปหาวินนี่พร้อมหางที่ตั้งตรง
หู่จือกับเป้าจือรีบวิ่งเข้าไปสกัดมัน พวกมันอยากจะไล่ลูกหมาป่าไปเต็มที เมื่อเข้ามาใกล้แล้วหู่จือก็ใช้อุ้งเท้าตบเข้าไปที่หัวของมันจนเสียทิศทาง
หลัวปอถูกตบซวนเซจนล้มลงบนพื้น เมื่อลุกขึ้นมาได้แล้ว มันก็รู้สึกว่าศักดิ์ศรีความเป็นหมาป่าขาวของมันถูกหยาม จึงอ้าปากนุ่มๆ เล็กๆ เห่าโฮ่งๆ ออกมา อุ้งเท้าเล็กก็ตะปบลงไปบนพื้นอย่างแรง พยายามส่งสายตาโกรธเกรี้ยวกับท่าทางดุดันน่าเกรงขามออกมา
หู่จือกับเป้าจือก็ชอบอกชอบใจ โอ้โหไอ้ลูกหมาป่าแกนี่วางท่าโอหังเสียจริง เมื่อคืนวานพวกเราสองพี่น้องสู้กับพ่อแม่แกได้อย่างอีซี่ๆ สบายๆ วันนี้ถึงคราวของแก พวกเราจะรับมือไม่ได้เลยหรือยังไงกัน?
ดังนั้นต่อมาเป้าจือก็โบกอุ้งเท้าขึ้น ทั้งกดทั้งยก ส่งมันขึ้นเครื่องบินบกทันที
ทางด้านฉินสือโอวกับวินนี่ก็ถึงกับอึ้งไป นี่ยังใช่พี่น้องแลบราดอร์ที่น่ารักออดอ้อนทั้งยังใสซื่ออยู่ไหม ตัวหนึ่งตบสัตว์ตัวอื่นจนกลิ้งไปกับพื้นส่วนอีกตัวก็ส่งสัตว์ตัวอื่นขึ้นเครื่องบินบก ทำไมถึงได้ร้ายเงียบขนาดนี้นะ? ไปหัดมาจากใคร?
วินนี่รีบตะโกนห้ามหู่จือกับเป้าจือ พอหลัวปอมองเห็นเธอเดินเข้ามามันก็ร้องออกมาด้วยความรู้สึกน้อยอกน้อยใจทันที ทว่าหางเล็กๆ ก็ยังยกขึ้นเหมือนกับเสาธง ดูยังไงก็ยังดูร่าเริงอยู่ดี
พออุ้มหลัวปอเอาไว้ในอ้อมอก วินนี่ก็ยิ้มแย้มด้วยความดีใจขึ้นมาทันที เธอทั้งหอมทั้งจุ๊บมัน ด้วยความรักของแม่ที่เอ่อล้นจนเต็มเปี่ยม
ฉินสือโอวบอกให้วินนี่ส่งลูกหมาป่าขาวเข้าไปในป่า วินนี่รู้สึกอาลัยอาวรณ์ เขาจึงพยายามเกลี้ยกล่อมเธอทุกวิถีทาง ในที่สุดวินนี่ก็ยอมพามันกลับไปส่งอีกครั้ง ผ่านไปได้ไม่นาน เจ้าตัวเล็กก็ล้มลุกคลุกคลานวิ่งกลับออกมาอีกรอบ
รออยู่รอบๆ ฟาร์มจนฟ้าเริ่มมืด พ่อแม่หมาป่าขาวก็ไม่ได้กลับมา ลูกหมาป่าขาวก็ไม่ยอมกลับเข้าป่าไปหาทางกลับบ้านเอง เมื่อเป็นแบบนี้ฉินสือโอวกับวินนี่จึงต้องพามันกลับไปด้วยกัน
ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว ลูกหมาป่ายังไม่มีความสามารถในการปกป้องตัวเอง ถ้าหากพ่อแม่หมาป่าขาวไม่กลับมา แถมมันก็ยังไม่ยอมกลับไป จึงทำได้แค่รอว่าเมื่อไรพ่อแม่จะมารับมันเท่านั้น
หลัวปอยังเด็กเกินไป คิดว่าฟันน้ำนมคงยังไม่หลุดเลยสักซี่ มื้อเย็นวินนี่จึงให้มันกินนมอุ่นๆ กับซุปเนื้อวัวข้นๆ มันกินมูมๆ มามๆ อย่างมีความสุข
ฉินสือโอวมองดูหลัวปอที่กำลังเคี้ยวเนื้อวัวอย่างยากลำบาก ก็อดคิดไม่ได้ว่าหมาป่าขาวสองผัวเมียจะต้องมีความมั่นใจขนาดไหน ลูกยังเล็กขนาดนี้ก็ยังกล้าพาลงภูเขามาฝึกล่าเหยื่อ พ่อเหยี่ยวพ่อเสือที่อยู่ในอินเทอร์เน็ตพวกนั้นเทียบกับพวกมันไม่ได้เลยสักนิด
ก็เหมือนตามปกติ ในตอนกลางคืนวินนี่จะกอดหลัวปอนอนอยู่บนเตียง ฉินสือโอวมองท่าทางน่าสงสารแปลกๆ ของลูกหมาป่าขาว ก็เป็นฝ่ายกอดผ้าห่มไปนอนอีกฝั่งเอง แล้วปล่อยให้มันได้นอนกับวินนี่
หลายวันต่อมาท้องฟ้าแจ่มใสขึ้นมาเยอะแล้ว หิมะบนภูเขาเริ่มละลาย ผืนหญ้ากับพุ่มไม้บนภูเขาที่ถูกหิมะทับไว้ก็เริ่มปรากฏร่องรอยออกมา ฝูงกวางก็ไม่ลงมาจากภูเขาอีก ฉินสือโอวและคนอื่นๆ ไม่ต้องไปไล่กวางที่มีเยอะเกินไปจนกลายเป็นภัยแล้ว
ไม่ใช่แค่ฝูงกวางเท่านั้นที่ไม่ลงมาจากภูเขาอีก หมาป่าขาวสองผัวเมียก็เช่นกัน หลังจากการต่อสู้ครั้งใหญ่ในคืนนั้น พวกมันก็ไม่เคยมาปรากฏตัวรอบๆ ฟาร์มอีกเลย บางทีพวกมันอาจจะสิ้นหวังกับพวกมนุษย์ เลยคิดว่าลูกของตัวเองตายด้วยน้ำมือมนุษย์ไปแล้ว
เมื่อเป็นเช่นนี้ หลัวปอจึงอยู่ที่ฟาร์มปลาอย่างสุขสบายต่อไป
ดูเหมือนว่าลูกหมาป่าขาวไม่ได้คิดถึงพ่อแม่เลยสักนิด หรืออาจจะเป็นเพราะมันยังเล็กเกินไป จึงยังไม่ได้ผูกพันกับพ่อแม่จนลึกซึ้งมากพอ ตอนนี้มันตามติดวินนี่ทั้งวันเหมือนเงาตามตัว มีกินมีดื่มแถมวินนี่ยังเล่นกับมันแล้วนอนกอดมันเรียกได้ว่ามีความสุขเลยล่ะ
พอวินนี่มีหลัวปอแล้วเธอก็เริ่มยุ่งขึ้นมา ตอนกลางวันก็ยุ่งกับงาน พอเลิกงานมาก็ยุ่งกับลูกหมาป่าขาว จึงไม่ได้สวีทหวานแหววกับฉินสือโอวแล้ว
หลายวันเข้าฉินสือโอวก็เริ่มเบื่อ เขาจึงทำได้แค่พาสุนัขออกไปเดินเล่นกับแกล้งหมีเล่นเท่านั้น ฟาร์มปลาก็พัฒนาได้อย่างมั่นคง ส่วนของที่หมึกกล้วยหามาจากเรือไททานิกก็ไม่มีมูลค่าอะไร จนเขารู้สึกเบื่อจะแย่อยู่แล้ว
เห็นฉินสือโอวเบื่อ ชาร์คเลยช่วยเขาหาอะไรทำ ช่วงสิบวันสุดท้ายของเดือนมกราคม เขาหาวันที่อากาศปลอดโปร่งมีแสงแดดส่องสว่าง จากนั้นก็ถือค้อนถือสิ่วกับเอ็นตกปลาเส้นหนามาหาฉินสือโอว แล้วพูดกับเขาว่า “บอส คุณสนใจไปเจาะน้ำแข็งตกปลาไหม?”
ตอนนี้ฉินสือโอวว่างจนก้นของเขาแทบจะเป็นริดสีดวงแล้ว ได้ยินว่าจะไปเจาะน้ำแข็งตกปลามีเหรอที่เขาจะไม่สนใจ เขาโบกมืออย่างกระปรี้กระเปร่าแล้วพูดว่า “ไป!”
“ผมยังไม่ได้เล่ารายละเอียดให้ฟังเลย คุณอาจจะไม่สนใจก็ได้” ชาร์คพูดกับเขา
ฉินสือโอวถอนหายใจด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความขมขื่น เขาพูดกับชาร์คว่า “นายไม่รู้หรอกว่าตอนนี้ร่างกายกับจิตใจของฉันมันว่างเปล่าขนาดไหน เพื่อนเอ๋ย อย่าว่าแต่ตกปลาหลุมน้ำแข็งเลย ต่อให้พวกเราไปทุบน้ำแข็งเล่น ฉันก็สนใจทั้งนั้น”
ซีมอนสเตอร์ที่อยู่ข้างๆ ก็พูดกับเขาด้วยความนับถือว่า “บอส ผมไม่ค่อยรู้สึกนับถือใคร แต่คุณคือคนที่ผมรู้สึกนับถือ คุณร่ำรวยขนาดนี้ ทั้งยังอายุน้อยและหล่อเหลา เวลาเหงาๆ เบื่อๆ แบบนี้กลับไม่ได้ออกไปแข่งรถบนถนน ดื่มเหล้าเมามาย เล่นการพนัน หรือมั่วผู้หญิง น่านับถือจริงๆ”
ได้ยินซีมอนสเตอร์พูดอย่างนี้ ฉินสือโอวก็เริ่มวางท่าถ่อมตัวทันที เขาโบกมือปัดแล้วตอบกลับไปว่า “เพื่อน นี่ไม่ได้มีอะไรเลย ยิ่งนายรู้จักฉันนานเท่าไร นายก็จะยิ่งเห็นข้อเสียของฉันมากขึ้นเท่านั้น”
ถึงปากจะพูดแบบนี้ แต่ในใจของเขาก็ยังแอบแย้ง ซีมอนสเตอร์ทำให้เขานึกขึ้นมาได้ว่า ถึงแม้ว่าเขาจะไปกินเหล้าเล่นการพนันมั่วผู้หญิงไม่ได้ แต่เขาก็ยังไปขับรถเล่นได้นี่หว่า ถนนในแคนาดาลื่นเพราะมีหิมะ ถ้าอย่างนั้นก็ไปอเมริกาแทนสิ มีที่ให้ขับรถเล่นตั้งเยอะแยะ
ขับรถกระบะไปทะเลสาบเฉินเป่า บนทะเลสาบขนาดใหญ่ มีหลายพื้นที่ที่มีคนมาเจาะพื้นน้ำแข็งเพื่อตกปลา ส่วนใหญ่แล้วเป็นนักท่องเที่ยว คนในท้องถิ่นไม่สนใจเรื่องแบบนี้หรอก
ยามค่ำคืนในฤดูหนาวของนิวฟันด์แลนด์หนาวเหน็บมากจริงๆ อุณหภูมิลบยี่สิบสามสิบองศาก็ยังถือว่าเป็นเรื่องปกติ ทะเลสาบเฉินเป่าไม่มีกระแสน้ำอุ่น ดังนั้นผิวน้ำของทะเลสาบจึงกลายเป็นชั้นน้ำแข็งหนาๆ มีคนขับรถกระบะขึ้นไปข้างบนแต่ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร
ชาร์คหาตำแหน่งที่อยู่ห่างออกมาจากริมทะเลสาบราวๆ ยี่สิบเมตร หลุมน้ำแข็งที่อยู่ใกล้กับพวกเขาที่สุดก็อยู่ห่างออกไปถึงสี่สิบห้าสิบเมตร ที่ตรงนี้ปลอดภัยแน่นอน หลังจากนั้นเขาก็ถือค้อนแล้วเริ่มทุบพื้นน้ำแข็ง ‘ปังๆ ๆ ’
ฉินสือโอวนั่งยองๆ มองอยู่ข้างๆ ค้อนถูกทุบลงไปบนพื้นน้ำแข็ง น้ำแข็งแผ่นเล็กๆ ก็กระเด็นขึ้นมา เมื่อกระทบกับใบหน้าก็สร้างความเจ็บปวดไม่น้อย
‘ตู้ม’ เสียงกระหึ่มดังขึ้น น้ำแข็งก้อนหนึ่งถูกทุบจนแตก ชาร์คกับซีมอนสเตอร์ขยายหลุมน้ำแข็งให้กว้างขึ้นอีกนิด จนกลายเป็นพื้นที่ประมาณหนึ่งตารางเมตร หลังจากนั้นก็ส่งสัญญาณบอกฉินสือโอวว่าสามารถตกปลาได้แล้ว
ถึงจะพูดว่าเจาะน้ำแข็งตกปลา แต่แท้จริงแล้วก็ไม่จำเป็นต้องลำบากขนาดนั้น ชาร์คหยิบฉมวกตกปลายืนอยู่ริมๆ ส่วนซีมอนสเตอร์ก็โปรยอาหารปลากับเหยื่อลงไปข้างใน แค่แป๊บเดียวปลาซ่งตัวอ้วนๆ ตัวหนึ่งก็โผล่หัวของมันออกมา
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น