หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา 389-393
บทที่ 389 แต่งตั้งรองเจ้าเมือง!
โดย
Ink Stone_Fantasy
ความต้องการทำลายล้างของหวังเป่าเล่อรุนแรงมากเสียจนเขาต้องหาทางปลดปล่อยมันออกมา หลังจากที่เดินวนอยู่ในห้องทำงาน เขาก็หยิบแหวนสื่อสารออกมาติดต่อหาหลี่หว่านเอ๋อร์ ทันทีที่โทรติด หวังเป่าเล่อยังไม่ทันได้พูดอะไร เสียงเย็นเยียบของหลี่หว่านเอ๋อร์ก็ดังลอดออกมา
“มีอะไร”
น้ำเสียงเย็นชานั้นทำให้หวังเป่าเล่อชะงัก แต่เขาก็อดถามไม่ได้อยู่ดี
“ข้าได้ยินมาว่าเจ้าจะหมั้นกับไอ้บ้าจากตระกูลเฉิน”
หลี่หว่านเอ๋อร์เงียบ หลังจากผ่านไปสักพัก นางก็เอ่ยอย่างใจเย็น
“แล้วมันกงการอะไรของเจ้าเล่า อีกอย่างหนึ่ง คู่หมั้นของข้าไม่ใช่ไอ้บ้า กรุณาให้ความเคารพกันด้วย ท่านเจ้าเมืองหวัง!”
คำพูดของนางทำให้หวังเป่าเล่อไม่กล้าไปต่อ ความโกรธในใจค่อยๆ เบาบางลง เขาเงียบอยู่นานก่อนจะหัวเราะออกมา
“ยินดีด้วยก็แล้วกัน” หวังเป่าเล่อกดวงสายทันที เขาสูดหายใจเข้าลึกและเปิดหน้าต่างห้องทำงานตนเองออก มองไปยังท้องฟ้าภายนอกอยู่พักใหญ่ ก่อนจะหันกลับมานั่งทำสมาธิ ชายหนุ่มสงบใจลงขณะฝึกพลังปราณ
แต่หวังเป่าเล่อไม่รู้ว่า ในตอนนั้นหลี่หว่านเอ๋อร์กำลังยืนอยู่ข้างหน้าต่างห้องทำงานของตนในกองวินัยอาณานิคม และมองมายังทิศที่นครอาวุธเทพใหม่ตั้งอยู่ สีหน้าของนางอ่านยากนัก หลังจากมองอยู่เป็นเวลานาน เสียงถอนหายใจแผ่วที่มีเพียงนางเท่านั้นที่ได้ยินก็สะท้อนก้องอยู่ในใจนาง
หลังจากที่ใช้พลังใจไปมาก หวังเป่าเล่อก็ใจเย็นลงได้ในที่สุด ชายหนุ่มไม่ได้คิดเรื่องหลี่หว่านเอ๋อร์อีกต่อไป และรู้สึกว่าตนเองไม่มีสิทธิ์เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ จึงไม่ได้สนใจอีก แม้เขาจะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบที่ต้องเผยร่างกายของตนให้นางเห็น เขาก็ยังรู้สึกว่าไอ้โง่จากตระกูลเฉินนั่นจะต้องเสียเปรียบมากกว่าเขามากนัก
แม้หวังเป่าเล่อจะพยายามปลอบใจตนเองด้วยความคิดนี้ แต่ความหึงหวงก็ยังคุกรุ่นอยู่ในใจ ชายหนุ่มถอนหายใจและหายใจเข้าลึก พยายามทำให้ตนเองสงบลง ก่อนจะค่อยๆ ทุ่มเทให้กับการฝึกปราณอีกครั้ง
พลังปราณของหวังเป่าเล่ออยู่ที่ระดับรากฐานตั้งมั่นขั้นปลาย แม้การก่อสร้างนครใหม่จะทำให้เขายุ่งวุ่นวาย แต่ก็ยังแบ่งงานให้ลูกน้องได้พอดีเพื่อที่ตนเองจะมีเวลามาฝึกปราณ ที่สำคัญที่สุดคือ วิชาแห่งศาสตร์มืดของเขาก็พัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดดเมื่อฝึกปราณอยู่ในอาณาเขตของสุสานอาวุธเทพใต้ดิน และยังช่วยพัฒนากระบวนท่าเต๋าสายฟ้าขั้นต้นให้ดีขึ้นอย่างมากอีกด้วย
ด้วยเหตุนี้ ขั้นปราณของหวังเป่าเล่อจึงพัฒนาขึ้นทุกวัน สำหรับคนที่มีปราณอยู่ในระดับรากฐานตั้งมั่นขั้นปลาย การพัฒนาพลังปราณนั้นขึ้นอยู่กับทั้งโชคชะตาและเวลาในการฝึกปราณ และมักใช้เวลาหลายปีกว่าจะบรรลุ เนื่องด้วยการเพิ่มขั้นปราณจากขั้นปลายไปเป็นขั้นสมบูรณ์นั้นคือการค่อยๆ เก็บเล็กผสมน้อย เป้าหมายของทุกคนคือการบรรลุปราณขั้นกำเนิดแก่นใน ยิ่งทำให้ปราณขั้นรากฐานตั้งมั่นของตนสมบูรณ์แบบได้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีโอกาสสำเร็จมากขึ้นเท่านั้น
ดังนั้นกระบวนการพัฒนาขั้นปราณนี้จึงสำคัญมาก และไม่มีทางลัด ทว่าหวังเป่าเล่อที่ใช้วิชาแห่งศาสตร์มืดเป็นตัวช่วย ทำให้ความเร็วในการบรรลุขั้นปราณของเขาพุ่งทะยานขึ้นอย่างมาก แม้เขาจะยังไม่บรรลุถึงขั้นสมบูรณ์แบบ แต่ก็เดินหน้ามาไกลกว่าครึ่งแล้ว
กระนั้น หวังเป่าเล่อก็รู้ดีว่าการฝึกปราณไม่ได้ทำสำเร็จภายในวันเดียว มันต้องใช้เวลาในการสะสมหลายวันหลายเดือน ดังนั้นหลังจากที่ถือสันโดษอยู่หลายวันและใจเย็นลงในที่สุด เขาจึงหยุดการฝึกปราณ เมื่อหวังเป่าเล่อลืมตาขึ้น ท้องฟ้าก็มืดลงเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มมองเห็นแสงที่ส่องสว่างอยู่ภายนอก หลังจากกระจายวงแหวนปราณออกไป เขาก็ได้ยินเสียงครึกครื้นยามค่ำคืนของเขตนครใหม่แห่งดาวอังคารดังลอดเข้ามา
แม้นครจะยังไม่เริ่มสร้าง แต่ผืนดินนี้ก็มีคนอาศัยอยู่แล้วหลายล้านคน สีสันยามค่ำคืนทำให้เมืองมีชีวิตชีวา
หวังเป่าเล่อหายใจอย่างสงบขณะดูแสงสีและความครื้นเครงของนครอาวุธเทพใหม่ เขาไม่ได้เดินหน้าฝึกปราณต่อ แต่เริ่มคิดถึงการหลอมอาวุธเวทแทน
ข้าคุ้นเคยกับการหลอมสมบัติเวทระดับห้าเรียบร้อยแล้ว… หวังเป่าเล่อพึมพำกับตนเอง ปราการนิรันดร์ที่เขาสร้างนั้นเรียกได้ว่าเป็นการใช้สมบัติเวทระดับห้าเป็นฐานต่อยอด ดังนั้นหวังเป่าเล่อจึงคุ้นชินกับการหลอมสมบัติเวทระดับห้าเป็นอย่างดี ผลลัพท์จึงออกมาสมบูรณ์แบบแทบทุกครั้งไป
ต่อไปก็สมบัติเวทระดับหก… จากนั้นข้าจะได้เริ่มหลอมอาวุธเวทระดับเจ็ดที่เป็นของข้าเอง! เมื่อคิดได้ดังนั้นหวังเป่าเล่อก็ตื่นเต้นจนหายใจถี่รัว นี่เป็นความฝันสูงสุดของผู้หลอมอาวุธเวททุกคนก็ว่าได้
ชายหนุ่มเคยสัมผัสพลังของอาวุธเวทมาแล้ว และรู้ดีว่าอาวุธเวทกระบี่ของเขาไม่ได้เหมาะกับเขาอย่างสมบูรณ์แบบ แต่ชายหนุ่มต้องการสิ่งที่เข้ากับตัวเขาในสนามรบได้อย่างแท้จริง เขาก็ต้องสร้างสิ่งนั้นขึ้นมาด้วยมือของตนเอง
แต่ไม่ใช่ว่าผู้ฝึกตนทุกคนในสหพันธรัฐจะมีโอกาสเช่นนั้น สำหรับคนส่วนใหญ่ การได้อาวุธเวทมาครอบครองก็เหมือนถูกโชคหล่นทับแล้ว หากต้องการสร้างอาวุธเวทที่เหมาะกับตนเองอย่างสมบูรณ์แบบ ก็คงได้แต่ฝันเอา
แต่สำหรับหวังเป่าเล่อ มันไม่ใช่แค่ความฝัน เขาทำมันได้จริง ความคิดนี้ทำให้เรื่องแย่ๆ ก่อนหน้านี้หลุดออกจากหัวของเขาหมดสิ้น แววความตื่นเต้นและคาดหวังผ่านเข้ามาในดวงตาของชายหนุ่ม แต่ขณะเดียวกันชายหนุ่มก็เข้าใจดีว่าตนเองควรเดินหน้าไปทีละก้าว เขาตื่นเต้นกับมันได้ แต่ไม่ควรรีบร้อน เพราะความกระวนกระวายไม่ช่วยอะไรเขาแน่นอน
ต่อไปข้าจะลองหลอมสมบัติเวทระดับหก และปรับปรุงวัตถุเวทของข้าทั้งหมดให้เป็นสมบัติเวทระดับห้า! ที่สำคัญที่สุดคือฝักกระบี่ สมบัติเวทภายในกายของข้า! หวังเป่าเล่อใจเย็นลงในที่สุด เขาเริ่มลงมือทันทีด้วยความมุ่งมั่น ก่อนหน้านั้นเขาต้องใช้วัตถุดิบอย่างมัธยัสถ์ เนื่องจากการหลอมแต่ละครั้งต้องใช้เงินจำนวนมาก โดยเฉพาะการหลอมสมบัติเวทระดับห้า ที่ต้องใช้วัตถุดิบหายากและราคาแพงจับใจ
แต่ตอนนี้เขาเป็นถึงเจ้าเมืองที่มียศเป็นขุนนางระดับสามชั้นสูง จึงมีทรัพยากรจำนวนมากอยู่ในมือ ในฐานะเจ้าเมือง เขาสามารถจัดหาวัสดุอุปกรณ์ที่ตนเองต้องการใช้มาได้โดยไม่กระทบต่อการสร้างนคร และยังไม่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ หรือทำผิดกฎหมายอีกด้วย เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลในสายตาของสหพันธรัฐยุคกำเนิดวิญญาณ ตราบใดที่เขาไม่ได้ใช้มากจนเกินงาม
ดังนั้นหวังเป่าเล่อจึงเริ่มกระบวนการหลอมอย่างเอาเป็นเอาตายโดยใช้วัตถุดิบมหาศาลที่มีอยู่ในมือ การปรับปรุงสมบัติเวททั่วไปเป็นไปอย่างง่ายดาย แต่สมบัติเวทภายในกายของเขากลับไม่ง่ายเช่นนั้น เนื่องจากต้องใช้ทรายอาวุธจำนวนมาก และยังต้องพยายามถึงหลายครั้ง
แต่หวังเป่าเล่อก็ไม่ได้รีบอะไร เขาเดินหน้าหลอมวัตถุเวทของตนและฝึกวิชาแห่งศาสตร์มืดต่อไป ขณะที่รอผลรองเจ้าเมืองและนายกเทศมนตรีประกาศ ทุกอย่างเดินหน้าอย่างราบรื่น แต่สิ่งที่ทำให้เขายังรู้สึกเสียดายมาจนถึงทุกวันนี้คือ การที่เขายังไม่ได้ลองใช้วิชาแห่งศาสตร์มืดที่ทรงพลังอย่างวิชาใบหน้าซากศพแห่งความมืดเลยสักครั้ง!
นั่นเพราะมีคนอยู่รอบตัวมากเกินไป อีกอย่างหนึ่ง วิชาใบหน้าซากศพแห่งความมืดเป็นส่วนหนึ่งของวิชาแห่งศาสตร์มืด และหากมีคนรู้เข้า เขาคงจะอธิบายตนเองไม่ได้อย่างแน่นอน ด้วยเหตุนี้หวังเป่าเล่อจึงทำได้เพียงจินตนาการภาพอยู่ในหัว และรู้สึกผิดหวังอยู่ในใจ
เมื่อไรข้าจะหาคนมาลองใช้วิชานี้ได้กันนะ! หวังเป่าเล่อเริ่มอาวรณ์ขณะกำลังฝึกปราณ และแล้วเวลาก็ผ่านไปอีกครึ่งเดือน
หลังจากการต่อสู้อย่างดุเดือดระหว่างหลายกลุ่มอำนาจเพื่อแย่งชิงเก้าอี้นายกเทศมนตรี ก็มีการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง สหพันธรัฐยังไม่ประกาศผลนายกเทศมนตรีทั้งสามคน แต่ตำแหน่งรองเจ้าเมืองถือเป็นอันตกลงได้เรียบร้อย
เมื่อหวังเป่าเล่อได้รับข้อความจากเจ้านครดาวอังคารเกี่ยวกับตำแหน่งรองเจ้าเมือง และคนผู้นั้นจะมาถึงในอีกไม่กี่วันนี้ จิตใจของหวังเป่าเล่อที่ตัวเขาพยายามแทบตายเพื่อให้สงบนิ่งก็พลันยุ่งเหยิงขึ้นมาอีกครั้ง ชายหนุ่มมองแหวนสื่อสารของตน และได้ยินเสียงเจ้านครอ่านนามของคนผู้นั้น
เป็นนางเองหรือ หวังเป่าเล่อขมวดคิ้ว ทว่าหลังจากคิดทบทวนอย่างลึกซึ้ง หวังเป่าเล่อก็โยนความรู้สึกส่วนตัวทิ้งไป การที่นางได้รับแต่งตั้งเป็นรองเจ้าเมืองก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลดี
คนผู้นั้นประจำตำแหน่งที่ดาวอังคารมาเป็นเวลาหลายปี และยังมีตำแหน่งเป็นขุนนางระดับสามชั้นรองมานาน ไม่ว่าจะมีปราณขั้นใด นางก็ยังถือว่าเป็นหัวกะทิของสหพันธรัฐ จึงเป็นการสมควรแล้วที่นางจะได้ตำแหน่งรองเจ้าเมืองมาครอง
ผู้ที่จะมารับตำแหน่งรองเจ้าเมือง… คือหลี่หว่านเอ๋อร์!!
แต่หลี่หว่านเอ๋อร์ก็ไม่ได้มาประจำตำแหน่งรองเจ้าเมืองด้วยยศขุนนางระดับสามชั้นรอง หากแต่เป็นขุนนางระดับสามชั้นสูงเช่นเดียวกับหวังเป่าเล่อ
การอวยยศนั้นบอกอะไรได้หลายอย่าง หวังเป่าเล่อพอเข้าใจอยู่บ้างแต่ก็ยังคิดว่าเป็นเรื่องที่ซับซ้อนนัก เขาไม่มีอำนาจพอที่จะเปลี่ยนความจริงที่ว่า หลี่หว่านเอ๋อร์หมั้นหมายกับบุตรชายคนโตของตระกูลเฉิน และคิดเอาไว้ว่าคงไม่มีโอกาสได้พบนางอีก หวังเป่าเล่อไม่ได้คาดคิดเลยว่าทั้งสองจะต้องมาร่วมงานกันในที่สุด
เรื่องนี้ทำให้หวังเป่าเล่อถึงกับถอนหายใจ เขาปวดหัวตุบไปหลายวัน จนหลี่หว่านเอ๋อร์มาถึงในที่สุด…
เมื่อเรือบินเข้าจอดเทียบท่า ร่างผอมสูงของหลี่หว่านเอ๋อร์ก็ปรากฏต่อหน้าทุกคน ใจของหวังเป่าเล่อเต็มไปด้วยความเสียใจและหึงหวง
แม้ทุกคนจะรู้สึกดึงดูดกับความงามของหลี่หว่านเอ๋อร์ แต่พวกเขาก็ล้วนเสียวสันหลังวาบเช่นกัน เพราะรู้ดีว่านางเคือกุหลาบหนามแหลมที่โด่งดังเรื่องความโหดเหี้ยม ดังนั้นทุกคนจึงก้มหัวลงทำความเคารพนาง แม้แต่กงเต๋าและหลินเทียนหาวเองยังทำตาม จินตั้วหมิงที่ตอนแรกตั้งใจว่าจะเผชิญหน้าและเกี้ยวนางเสียหน่อย แต่เมื่อได้ยินเรื่องการหมั้น บวกกับความกลัวเมื่อครั้งที่เคยเกือบถูกจับทำหมัน ชายหนุ่มก็ปั้นสีหน้าจริงจังที่หาดูได้ยากยิ่ง
หลี่หว่านเอ๋อร์มีสีหน้าเย็นชา นางเดินผ่านฝูงชนที่ก้มหัวทำความเคารพตรงไปยังหวังเป่าเล่อ เมื่อเห็นอีกฝ่าย หญิงสาวก็ทักทายอย่างไร้อารมณ์
“คารวะท่านเจ้าเมือง ข้าทำงานขึ้นตรงต่อท่านเจ้านครดาวอังคารโดยตรง นอกจากควบคุมความเรียบร้อยของงานก่อสร้างแล้ว ข้ายังมีหน้าที่ดูแลกฎหมายบ้านเมืองในฐานะผู้นำกองวินัยอาณานิคมประจำนครอาวุธเทพใหม่ หวังว่าข้าและท่านเจ้าเมืองจะร่วมมือกันเป็นอย่างดีในกิจการบ้านเมืองในอนาคต!”
บทที่ 390 คนโง่ย่อมดึงดูดกันเสมอ
โดย
Ink Stone_Fantasy
ความเย็นชาและเหินห่างของหลี่หว่านเอ๋อร์ รวมถึงน้ำเสียงเป็นทางการ ทำให้ทุกคนที่มาต้อนรับหญิงสาวต่างงุนงง พวกเขามองทั้งหวังเป่าเล่อและหลี่หว่านเอ๋อร์ไปมา
โดยเฉพาะเมื่อทุกคนรู้ดีว่าหลี่หว่านเอ๋อร์ไม่ได้มาในฐานะขุนนางระดับสามชั้นรอง หากแต่ได้รับการแต่งตั้งเป็นขุนนางระดับสามชั้นสูงเช่นเดียวกับหวังเป่าเล่อ ดังนั้นแม้ชื่อตำแหน่งของทั้งสองจะแตกต่างกัน แต่หลี่หว่านเอ๋อร์ก็เป็นคนเดียวในที่แห่งนี้ ที่เถียงหรือท้าทายหวังเป่าเล่อได้
คนมีอำนาจเช่นนางเพิ่งมาถึงแต่กลับมีท่าทีห่างเหินไร้อารมณ์ นอกจากนี้นางยังดูแลกองวินัยอาณานิคมสุดสยองด้วย ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณมรณะให้ทุกคนได้เป็นอย่างดี!
ความเงียบเข้าปกคลุมทั่วบริเวณในทันที กงเต๋าขมวดคิ้วเล็กน้อย ชายหนุ่มไม่ได้สนใจในตัวหลี่หว่านเอ๋อร์มากนักก่อนที่นางจะมาถึง แต่เมื่อเห็นท่าทางอวดเบ่งของหญิงสาวแล้ว เขาก็มองเห็นอะไรบางอย่าง กงเต๋าหรี่ตาลง เขาไม่ใช่คนโง่
กงเต๋าไม่ใช่คนใส่ใจคนอื่น แต่เมื่อหวังเป่าเล่อช่วยชีวิตเขา และช่วยเหลือเขาให้ก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ชายหนุ่มย่อมยืนอยู่ข้างหวังเป่าเล่อ เขารู้สึกไม่ชอบขี้หน้าและต่อต้านหลี่หว่านเอ๋อร์ที่เพิ่งมาถึงโดยไม่รู้ตัว
หลินเทียนหาวยิ่งรู้สึกรุนแรงกว่ากงเต๋าเสียอีก แม้บิดาของเขาและบิดาของหลี่หว่านเอ๋อร์จะมาจากคณะสิบเจ็ดเสนาบดีเหมือนกัน แต่ชายหนุ่มกลับรู้สึกว่านั่นเป็นเรื่องของคนรุ่นก่อน หาเกี่ยวกับคนรุ่นเขาไม่ ดังนั้นหลินเทียนหาวจึงเลิกคิ้วขึ้น แต่เมื่อนึกถึงความสัมพันธ์ระหว่างหวังเป่าเล่อและหลี่หว่านเอ๋อร์ที่เขาเคยคาดเดาไว้ก่อนหน้า ชายหนุ่มก็ได้แต่กะพริบตา รู้สึกว่าเรื่องนี้ซับซ้อนเกินกว่าจะเข้าใจได้อย่างถ่องแท้
ส่วนจินตั้วหมิงนั้นก็งุนงงเช่นกัน เขาคิดมาตลอดว่าแม้หลี่หว่านเอ๋อร์จะเป็นคนอารมณ์ร้อน แต่ก็ไม่ใช่คนไม่รอบคอบในการกระทำ หากคิดตามเหตุผลแล้ว หลี่หว่านเอ๋อร์ย่อมไม่มีวันพูดคำเช่นนั้นออกมาทันทีที่มาถึงแน่นอน
นางพยายามเล่นละครหรือ จินตั้วหมิงรู้สึกกังขา สัญชาตญาณนี้ชัดเจน และยิ่งชัดขึ้นไปอีกในใจของหวังเป่าเล่อ ความรู้สึกอันแสนซับซ้อนในใจของเขาหายไปแทบหมดสิ้นแล้ว หวังเป่าเล่อมองหลี่หว่านเอ๋อร์ด้วยสีหน้าเย็นชาและนิ่งขึง ชายหนุ่มพยักหน้าเล็กน้อย และจากไปโดยไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว
หากหวังเป่าเล่อพูดอะไรออกมาสักคำ ทุกอย่างคงจะแจ่มชัดกว่านี้ แต่เขาจากไปโดยไม่แม้แต่จะเอื้อนเอ่ย การกระทำนี้ รวมกับความจริงที่ว่าหวังเป่าเล่อมีอิทธิพลมากในนครอาวุธเทพใหม่แห่งนี้ จึงเปรียบเสมือนเป็นการแสดงออกของเขาว่าเจ้าตัวคิดกับหลี่หว่านเอ๋อร์อย่างไร ด้วยเหตุนี้หลินเทียนหาวและกงเต๋าจึงหันหลังจากไปพร้อมหวังเป่าเล่อ จินตั้วหมิงลังเล เขาหันมามองหน้าหลี่หว่านเอ๋อร์และพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนเดินตามไปเช่นกัน
ผู้ที่อยู่ในฐานะต่ำกว่า เมื่อเห็นเหล่าเจ้าหน้าที่ระดับสูงทะเลาะกันอย่างเงียบๆ ก็ไม่กล้าเข้ามายุ่มย่าม หลังจากที่พวกเขาทำความเคารพหลี่หว่านเอ๋อร์เรียบร้อย ก็พากันจากไป ไม่นานนักก็เหลือคนเพียงหยิบมือเดียวที่ยังอยู่
หลี่หว่านเอ๋อร์ยืนอยู่ที่เดิม นางมุ่นคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะมาที่นี่ หลี่หว่านเอ๋อร์ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับนครอาวุธเทพใหม่มาบ้าง และรู้ถึงอำนาจของหวังเป่าเล่อในที่แห่งนี้ดี แต่หลังจากที่นางมาถึงเรียบร้อย และได้เห็นเหตุการณ์เมื่อครู่ หลี่หว่านเอ๋อร์ก็เริ่มรู้สึกกลัวอำนาจที่หวังเป่าเล่อมีในที่แห่งนี้ คำพูดของบิดานางที่เอ่ยเอาไว้ก่อนนางจะย้ายมาประจำการที่นี่ดังก้องอยู่ในหัว
“หวังเป่าเล่อนั้นไม่ธรรมดา หลังจากที่เปลี่ยนเขตนครให้กลายมาเป็นนครเต็มรูปแบบแล้ว อำนาจของเขาในนครอาวุธเทพใหม่จะไม่มีวันสั่นคลอนได้โดยง่าย เจ้าต้องแสดงออกอย่างชัดเจนต่อหน้าเขาว่าจะดำรงตนอย่างไร และต้องตัดอย่างเด็ดขาด!”
ด้วยความคิดนี้ หลี่หว่านเอ๋อร์จึงทำได้เพียงถอนใจอยู่ในอก ความจริงแล้วนางไม่ได้อยากมาประจำการที่นี่ ก่อนหน้านี้นางยศยิ่งใหญ่กว่าหวังเป่าเล่อ แต่ตอนนี้ชายหนุ่มได้กลายมาเป็นผู้บังคับบัญชาในนามของนาง หลี่หว่านเอ๋อร์จึงยังไม่คุ้นเคยกับวิถีนี้นัก
และตัวนางเองก็ไม่อาจบอกเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างพวกเขาให้ใครฟัง อีกทั้งนางก็หมั้นหมายแล้ว ต่อให้นางจะแสดงออกอย่างชัดเจนว่าต่อต้านการตัดสินใจนี้ สุดท้ายก็ต้องจำยอมในที่สุด หลี่หว่านเอ๋อร์ต้องทนทุกข์อยู่ในใจ และนั่นยิ่งทำให้ความรู้สึกของนางซับซ้อนมากขึ้นไปอีกเมื่อต้องเผชิญหน้าหวังเป่าเล่อ
แต่ในที่สุด หลี่หว่านเอ๋อร์ก็กลืนอารมณ์ที่ยากจะเข้าใจนั้นลงไปและหายใจเข้าลึก นางเดินนำหน้าบริวารเข้าไปในนครอาวุธเทพใหม่ ตอนนี้ทั้งนครยังมีเพียงเขตเดียวเท่านั้น ห้องทำงานของนางอยู่ในอาคารเดียวกับหวังเป่าเล่อ และอยู่ไม่ไกลนัก
หลี่หว่านเอ๋อร์ที่เพิ่งได้รับตำแหน่งมาหมาดๆ โยนความคิดอื่นทิ้งไป และเริ่มจดจ่ออยู่กับภาระหน้าที่ในการดูแลนครทันที นางรับหน้าที่ดูแลบุคลากรจากหลายกรมกอง นางไม่ได้ทำตัวเหยาะแหยะหรือต่อต้านหวังเป่าเล่อ หากแต่พยายามทำงานร่วมกัน ด้วยเหตุนี้แผนการสร้างนครก็เดินหน้าไปจนสำเร็จผล
แม้แต่หวังเป่าเล่อเองยังต้องยอมรับว่าหลี่หว่านเอ๋อร์มีความสามารถที่เป็นของจริง แลละจัดการเรื่องต่างๆ ได้ดีกว่าเขาเสียอีก นางทำงานอย่างไม่หยุดหย่อน จนเพิ่มความเร็วและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของการก่อสร้างนครใหม่ได้
สิ่งนี้ทำให้กงเต๋าและคนอื่นๆ รู้สึกประทับใจในตัวหลี่หว่านเอ๋อร์มาก พวกเขาไม่ได้รู้สึกต่อต้านนางอีกต่อไป ขณะที่งานเดินหน้าไปเรื่อยๆ หวังเป่าเล่อและหลี่หว่านเอ๋อร์ก็ต้องติดต่อกันมากขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากการวางแผนสร้างนครนี้มีวงแหวนปราณเป่าเล่อผู้ยิ่งใหญ่เป็นรากฐาน จึงทำให้ข้อเสนอแนะของหวังเป่าเล่อสำคัญต่อการร่างแผนก่อสร้างเป็นอันมาก
ขณะนี้ทั้งสองอยู่ในห้องทำงานของหวังเป่าเล่อ และกำลังพูดคุยเรื่องการก่อสร้างเขตที่หกภายในนคร
“ท่านเจ้าเมือง ตามรูปแบบวงแหวนปราณของท่าน เราจำเป็นต้องปรับแผนการสร้างเขตที่หก การเปลี่ยนแปลงนั้นจะทำให้พลังของวงแหวนปราณแข็งแกร่งขึ้น และช่วยลดต้นทุนการก่อสร้างด้วย” หลี่หว่านเอ๋อร์มีสีหน้าจริงจังขณะส่งแผ่นหยกให้หวังเป่าเล่อ
ชายหนุ่มรับแผ่นหยกมาด้วยท่าทีเป็นทางการไม่ต่างกัน หลังจากที่อ่านดู เขาก็รู้สึกประทับใจกับคุณภาพงานมากทีเดียว แผนการที่เขียนมาในแผ่นหยกนั้นดีกว่าเดิมมากหลังจากที่หลี่หว่านเอ๋อร์เข้ามาปรับปรุงแก้ไข ขณะเดียวกันหวังเป่าเล่อก็พอใจในความเป็นระเบียบของนคร แม้นางจะเพิ่งมาถึงไม่กี่วันก็ตาม
“ถ้าเช่นนั้นก็จงใช้แผนนี้เถิด” หวังเป่าเล่อไม่ได้เอ่ยความคิดเมื่อครู่ออกมา เขาเพียงแต่พยักหน้าและวางแผ่นหยกลง
หลี่หว่านเอ๋อร์ไม่ได้พูดอะไรต่อ และหันหลังกลับเพื่อจากไป ขณะที่นางกำลังเปิดประตูและก้าวออกไปนั้น หวังเป่าเล่อที่นั่งอยู่ก็เงยหน้าขึ้นมามองแผ่นหลังอันสวยงามของหลี่หว่านเอ๋อร์ และกล่าวออกมาอย่างปุบปับ
“หลี่หว่านเอ๋อร์ ไม่ว่าเจ้าจะพยายามรักษาระยะห่างและความเย็นชาเพียงใด ข้าก็ยังเป็นผู้บังคับบัญชาเจ้า!
“ในเมื่อเจ้ามาที่นี่ในฐานะรองเจ้าเมือง เจ้าก็ต้องระลึกไว้เสมอว่าหากนครไปได้สวย ทั้งเจ้าและข้าก็จะได้ประโยชน์กันทั้งคู่… ข้าเคารพเจ้า และข้าก็คาดหวังว่าเจ้าจะเคารพข้าเช่นเดียวกัน ในเรื่องการบ้านการเมืองนั้น เราพูดคุยแลกเปลี่ยนความเห็น และช่วยกันแก้ปัญหาได้ คำพูดของข้าไม่ใช่ประกาศิต!”
“ข้าไม่แน่ใจว่าเจ้ามีเหตุผลแอบแฝงในการมาประจำที่นครอาวุธเทพใหม่หรือไม่ แต่สถานที่แห่งนี้คือเป้าความสนใจของสหพันธรัฐ หากมีอะไรเกิดขึ้น ข้าก็ไม่ใช่คนจิตใจสูงส่งมีเมตตา และต้องรายงานเรื่องใดก็ตามที่เกิดขึ้นที่นี่อย่างสุจริต!” หวังเป่าเล่อพูดด้วยเสียงต่ำ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาพูดอะไรเช่นนี้กับหลี่หว่านเอ๋อร์
ขณะที่หวังเป่าเล่อ พูด หลี่หว่านเอ๋อร์ยืนนิ่งอยู่กับที่ นางหันหลังให้อีกฝ่าย และดูเหมือนกำลังคุร่นคิดอย่างหนัก ในเวลานั้น ความเงียบเข้าปกคลุมทั่วห้อง
“รับทราบ!” หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง หลี่หว่านเอ๋อร์ก็เอ่ยออกมา น้ำเสียงของนางยังแน่วแน่ แต่ความเย็นชานั้นลดลงไปบ้าง นางจากไปโดยไม่หันมามอง
หลี่หว่านเอ๋อร์กำลังเดินทางกลับที่พัก ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความทุกข์อันแสนซับซ้อน นางรู้ดีว่าสิ่งที่หวังเป่าเล่อพูดนั้นถูกต้อง ความมั่นคงของนครต้องมาก่อนเป็นอันดับหนึ่ง
หญิงสาวยังยอมรับอีกด้วยว่านางรู้สึกกับหวังเป่าเล่อไม่เหมือนคนอื่น แต่ก็รู้ดีว่าหน้าที่ของนางในนครแห่งนี้ไม่ได้มาเพื่อการทำลายอะไร แต่เพื่อสร้างประโยชน์ให้กับการผูกสัมพันธ์ระหว่างคณะสิบเจ็ดเสนาบดีและตระกูลนภาห้าสมัย และเพื่อปูทางให้คู่หมั้นของนางเจริญก้าวหน้า!
คนอื่นยังไม่ทราบว่าใครกันแน่ที่จะมาเป็นนายกเทศมนตรีคนใหม่สามคน แต่นางรู้ดีว่าบุตรชายคนโตของตระกูลเฉิน เฉินมู่ จะต้องเป็นหนึ่งในนั้นแน่นอน หลี่หว่านเอ๋อร์รู้ดีว่าการพยายามปูทางให้สามีในอนาคตของนางประสบความสำเร็จนี้ จะต้องทำให้เกิดความไม่ลงรอยกับหวังเป่าเล่อ นางไม่ต้องการเช่นนั้นแต่ก็ไม่มีทางเลือก
ดังนั้น สิ่งเดียวที่หลี่หว่านเอ๋อร์ทำได้คือตัดสัมพันธ์ทั้งหมดกับหวังเป่าเล่อ และปฏิบัติกับเขาเหมือนเป็นเพื่อนร่วมงานเท่านั้น!
หวังเป่าเล่อไม่รู้ความคิดเบื้องลึกของหลี่หว่านเอ๋อร์ แต่ก็พอเดาภาพรวมได้ เมื่อหลี่หว่านเอ๋อร์มาถึง ชายหนุ่มก็วิเคราะห์สถานการณ์และคาดคะเนได้ว่า มีความเป็นไปได้สูงมากที่เฉินมู่คู่หมั้นของนาง จะมาประจำการที่นี่เช่นกัน
แล้วก็เป็นไปอย่างที่หวังเป่าเล่อคาดคะเนไว้จริงๆ หลังจากที่การต่อสู้แย่งชิงเก้าอี้ระหว่างหลายกลุ่มอำนาจ ล่าช้ามากว่าหนึ่งเดือนด้วย รายชื่อบุคคลที่จะมารับตำแหน่งนายกเทศมนตรีที่เหลือทั้งสามคน ก็สรุปเรียบร้อยในหลายวันต่อมา
เจ้านครดาวอังคารส่งประกาศรายชื่อมาให้หวังเป่าเล่อ เพื่อที่เขาจะได้ดูประวัติของผู้ใต้บังคับบัญชาคนใหม่ทั้งสาม!
คนแรกคือ… เฉินมู่ บุตรชายคนโตของตระกูลเฉิน!
คนที่สองคือชายจากสำนักรุ่งสางจักรพิภพ ผู้ที่เคยพยายามปล้นหวังเป่าเล่อบนดวงจันทร์ และถูกเขาจับแก้ผ้าล่อนจ้อน ผู้ฝึกตนที่มีผ้าพันมือสีดำ!
ส่วนคนที่สามคือหญิงสาวที่หวังเป่าเล่อไม่คุ้นเคย จากประวัติของนางดูเหมือนนางจะมาจากสำนักสหชุมนุมสกุณา!
กลุ่มอำนาจต่างๆ มารวมตัวกันที่นครอาวุธเทพใหม่บนดาวอังคาร จนอาจเรียกได้ว่านครนี้เปรียบเสมือนสหพันธรัฐขนาดย่อมเลยทีเดียว!
บทที่ 391 เขตปกครองตนเอง!
โดย
Ink Stone_Fantasy
เฉินมู่ เวินไหว และฟางจิ้งจากสำนักสหชุมนุมสกุณา… หวังเป่าเล่อเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยขณะดูเอกสารที่เจ้านครดาวอังคารส่งมาให้ ในที่สุดชายหนุ่มก็รู้ชื่อเสียงเรียงนามของชายที่พยายามปล้นเขาเสียที หมอนั่นชื่อเวินไหวนี่เอง
หวังเป่าเล่อมีภาพจำติดตรึงเกี่ยวกับเวินไหวว่า… เขาค่อนข้างไม่มีจะกิน
หากแค่จนก็คงจะไม่เป็นไร แต่เวินไหวยังพยายามทำตัวน่าเกรงขาม และนำผ้าพันแผลสีดำมาพันรอบตัวเอง หุ่นเขาไม่ได้ดีเท่าข้าเสียด้วยซ้ำ ดูก็รู้ว่าหมอนั่นผ่านช่วงวัยหนุ่มมาอย่างไม่อุดมสมบูรณ์เหมือนข้า… หวังเป่าเล่อตบพุงตนเอง เมื่อฝีมือเขาพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ เขาก็เริ่มกลายเป็นคนที่เบื่อหน่ายกับความไร้เทียมทานของตน ไม่มีใครเอาชนะเขาได้สักที
แต่ความรู้สึกเบื่อหน่ายนั้นก็หายไป เมื่อชายหนุ่มอ่านประวัติของเฉินมู่ดูอีกครั้ง เฉินมู่มาจากตระกูลนภาห้าสมัยที่ทรงอำนาจเสียยิ่งกว่าตระกูลจั่ว แม้ทั้งสองจะเป็นตระกูลใหญ่เหมือนกัน แต่ตระกูลเฉินนั้นมีสมาชิกมากถึงเกือบร้อยละสามสิบ ของสมาชิกในตระกูลนภาห้าสมัยทั้งหมด!
เฉินมู่คือบุตรชายคนโตของตระกูลเฉิน เขาอาจไม่ใช่ผู้สืบทอดตำแหน่งประมุขตระกูลนภาห้าสมัยคนต่อไป แต่มีความเป็นไปได้สูงมากที่ตำแหน่งนั้นจะตกมาถึงเฉินมู่ในที่สุด
เอกสารประวัติที่เจ้านครส่งมาให้ข้านี่… น่าสนใจดีแท้ หวังเป่าเล่อกำแผ่นหยกเอาไว้ในมือและหรี่ตาลง เอกสารแต่ละชุดมีความคิดเห็นซึ่งอาจมาจากเจ้านคร หรือจากใครก็ไม่ทราบได้ เขียนกำกับไว้ บนใบประวัติของเฉินมู่มีเขียนอยู่ประโยคเดียวเท่านั้น
ทะเยอทะยานแต่ความสามารถไม่ถึง!
ความคิดเห็นบนเอกสารของเวินไหวนั้นโหดร้ายเสียยิ่งกว่า มันเขียนว่า จิตใจโหดเหี้ยมและดื้อแพ่ง!
ส่วนของฟางจิ้งจากสำนักสหชุมนุมสกุณานั้นดีขึ้นมาหน่อย ลายมือนั้นเพียงแต่บอกว่านางอารมณ์ร้อนเท่านั้น
หวังเป่าเล่อไม่ทราบว่าความคิดเห็นที่เขียนกำกับไว้นี้จริงหรือไม่ แต่ชายหนุ่มก็คาดว่าน่าจะเป็นความคิดของเจ้านครที่มีต่อบุคคลเหล่านี้ ด้วยเหตุนี้ หวังเป่าเล่อจึงอดนึกไม่ได้ว่าเจ้านครจะเขียนอะไรลงไปบนใบประวัติของเขา หากนางมีโอกาสได้ประเมินความสามารถของเขา
ไม่เห็นต้องคิดมากข้าก็รู้ว่านางจะพูดว่าอะไร หล่อเหลา หลักแหลม อ่อนโยนที่สุดในสหพันธรัฐ ข้าฟังคำพูดเหล่านี้จนเบื่อเสียแล้ว หวังเป่าเล่อส่ายศีรษะ ความคิดเห็นทั้งสามข้อนั้นไม่ได้มีผลอะไรกับเขา ชายหนุ่มรู้ดีว่าตนเองควรใช้ความคิดเห็นของคนอื่นเป็นข้ออ้างอิงเท่านั้น เพื่อที่จะไม่ตกเป็นเหยื่อความคิดตนเอง จนมองว่าทุกคนรอบตัวนั้นช่างโง่เขลาเบาปัญญา
แต่ไอ้เฉินมู่นี่มันโง่เป็นบ้า! หวังเป่าเล่อยิ้มเยาะ ทว่าชายหนุ่มก็รู้ดีว่า แม้ทั้งสามคนนี้จะไม่ได้ได้ตำแหน่งมาด้วยความสามารถแต่ได้รับการแต่งตั้งมา การที่ทั้งสามขึ้นมามีอำนาจได้ก็เป็นผลจากการหารือกันระหว่างสหพันธรัฐ ดาวอังคาร และกลุ่มอำนาจที่เหลือ
นอกจากนี้ในเอกสารยังกล่าวไว้ว่า ทั้งสามไม่ได้มาตัวเปล่า แต่จะนำทรัพยากรจำนวนมากมาด้วย เช่นเดียวกับหลินเทียนหาว กงเต๋า และจินตั้วหมิง ที่จัดหาทรัพยากรมาสร้างนครแห่งใหม่นี้เช่นกัน
กลยุทธ์ของสหพันธรัฐและดาวอังคาร คือทำให้ตนเองได้ประโยชน์มากที่สุดโดยตนเองเสี่ยงน้อยที่สุด เป็นเช่นนี้ไม่เคยเปลี่ยน… ข้าสงสัยนักว่าไม่มีอย่างอื่นให้เล่นแล้วหรือ หวังเป่าเล่อส่ายหน้า แม้คนที่มอบทรัพยากรให้นครใหม่เยอะที่สุดจะเป็นเฉินมู่ แต่หวังเป่าเล่อก็ยังไม่พอใจอีกฝ่ายอยู่ดี เฉินมู่นั้นเหมือนเสี้ยนหนามขวางหูขวางตาของเขา
แต่ชายหนุ่มก็รู้ดีว่านครใหม่แห่งนี้ยิ่งใหญ่กว่าเขตเมือง ทั้งในด้านความสำคัญ ขนาด และโอกาสในอนาคต นอกจากนี้ตัวเขาเองยังมีอำนาจมากอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน อำนาจและสิทธิประโยชน์เหล่านั้น ย่อมมาพร้อมความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นกับสหพันธรัฐและกลุ่มอำนาจอื่นๆ เสมอ
ความไม่ลงรอยเหล่านี้อาจเรียกว่าเป็นสนามรบขนาดย่อมก็ได้ ทว่ามันไม่ใช่การประลองที่อาศัยพละกำลัง หากแต่เป็นการประลองทางความคิด ห้ำหั่นกันด้วยความฉับไวในการรับสถานการณ์
ขั้นปราณของข้ายังต่ำต้อยนัก หากข้ามีปราณขั้นจุติวิญญาณ แค่ดีดนิ้วทีเดียวพวกน่ารำคาญเหล่านี้คงราบคาบไปเสียหมดสิ้นแล้ว ตระกูลหรือก๊กที่หนุนหลังพวกนี้คงจะไม่กล้าพูดอะไรด้วยซ้ำ! หวังเป่าเล่อตบหน้าผากตนเองพลางถอนใจ เขากัดฟันกรอด และเริ่มนั่งสมาธิเพื่อฝึกปราณต่อไป
ตลอดชีวิตของข้า หวังเป่าเล่อคนนี้ ทุกสิ่งที่ข้าได้มาครอง ล้วนมาจากความพยายามของตัวเองทั้งสิ้น ข้าจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าตนเองเสียหยาดเหงื่อและหลั่งโลหิตไปมากเท่าใด! พวกนั้นไม่มีวันรู้หรอกว่าแม้แต่ตอนที่ข้ากินขนม ข้ายังคิดเรื่องการพัฒนาขั้นปราณไปด้วยเลย! แววแห่งความมุ่งมั่นปรากฏขึ้นในดวงตาของหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มรู้ดีว่าแม้แม่นางน้อยจะช่วยเหลือเขาเป็นอย่างมาก แต่ถึงไม่มีนาง ความสำเร็จของเขาก็คงไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าตอนนี้เสียเท่าไหร่ หากดูจากพรสวรรค์และใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาแล้ว
อย่างไรเสียสำหรับหวังเป่าเล่อแล้ว คนหน้าตาดีย่อมได้รับความปรานีจากโลกใบนี้เสมอ ถึงอย่างไรความงามก็ต้องมาคู่กันกับดวง
การที่ข้าได้เจอแม่นางน้อยพิสูจน์เรื่องนี้ได้ดี ข้ารู้ว่าแม่นางน้อยตั้งใจออกตามหาข้าจนเจอ เพราะนางชื่นชมในความสามารถของข้า แม่นางน้อยอยากช่วยให้ข้าประสบความสำเร็จ
หวังเป่าเล่อตัวแทบลอยด้วยความคิดเช่นนั้น เขาสูดหายใจเข้าลึก รู้สึกเหมือนความมั่นใจในตนเองพุ่งขึ้นสูงเสียดฟ้า ส่งผลให้แววตาของเขาสว่างวาบ ก่อนพลังปราณจะถูกปลุกขึ้นอย่างบ้าคลั่ง ราวกับว่าปราณโลหิตของเขาเพิ่มพลังขึ้นตามระดับความมั่นใจ
ด้วยพลังจากความมั่นใจ หวังเป่าเล่อจึงเริ่มทำสมาธิและฝึกพลังปราณต่อไป ชายหนุ่มรู้สึกได้ว่าพลังปราณของตนพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกระบวนท่าเต๋าสายฟ้าที่แข็งแกร่งขึ้น และวิชาแห่งศาสตร์มืดที่หมุนวนอยู่ภายในร่างกาย
พัฒนาการนี้ทำให้เขาพอใจ และรู้สึกเหมือนพรสวรรค์ของตนเองนั้นช่างแสนประทับใจเกินบรรยาย มิเช่นนั้นเขาคงไม่พาตนเองมาถึงขั้นปลายของระดับรากฐานตั้งมั่นได้ ขณะที่คนอื่นซึ่งเริ่มพร้อมกันกับเขาอย่างมากสุดก็ยังอยู่เพียงขั้นกลาง…
ข้าจะทะนงตนเช่นนี้ไม่ได้! ขณะที่เขารีบปรามตนเอง ประกายก็สว่างวาบขึ้นในดวงตาของหวังเป่าเล่ออีกครั้ง คำเตือนที่ชายหนุ่มส่งให้ตนเองนี้ ทำให้เขายิ่งพอใจในความยอดเยี่ยมของตนมากขึ้นไปอีก
วันเวลาเดินหน้าผ่านไป หวังเป่าเล่อฝึกปราณครบวงจรเสร็จหลายครั้ง แต่นายกเทศมนตรีคนใหม่ทั้งสามคนก็ยังมาไม่ถึงเสียที ชายหนุ่มไม่จำเป็นต้องควบคุมการก่อสร้าง แถมเจ้าลาของเขาก็หายไปไหนไม่รู้ในช่วงนี้
หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ว่าเจ้าลายังอยู่ครบสามสิบสอง จึงไม่ได้สนใจว่ามันจะไปทำอะไรที่ไหน เขาจึงใช้เวลาว่างนี้ไปกับการปรับปรุงวัตถุเวทของตนเองแทน
เขามีวัตถุเวทในครอบครองมากมาย ทำให้ต้องใช้เวลาในการปรับปรุงนานไปด้วย แต่ประสบการณ์การหลอมนี้ก็ทำให้หวังเป่าเล่อเข้าใจวัตถุเวทในเชิงลึกมากขึ้นไปอีก
นอกจากนี้เขายังใช้เวลาว่างไปกับการจินตนาการอานุภาพของวิชาใบหน้าซากศพแห่งความมืด ไม่นานนักเวลาก็ผ่านไปอีกครึ่งเดือน
จนป่านนี้ เฉินมู่และนายกเทศมนตรีคนใหม่อีกสองคนก็ยังมาไม่ถึง เรื่องนี้ทำให้หวังเป่าเล่อเริ่มขมวดคิ้ว เขาคิดว่าควรเรียกหลินเทียนหาวเข้าพบเพื่อถามไถ่ หลังจากที่ออกจากการถือสันโดษเรียบร้อยแล้ว
เมื่อได้ยินน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจของหวังเป่าเล่อ หลินเทียนหาวก็หัวเราะอย่างขมขื่น และลังเลอยู่ชั่วขณะ ก่อนตัดสินใจบอกความจริง
“ท่านเจ้าเมืองขอรับ ตามข้อมูลที่ข้าได้รับจากนครดาวอังคาร เฉินมู่และนายกเทศมนตรีอีกสองคนที่เหลือเดินทางมาถึงดาวอังคารนานแล้ว แต่หลังจากมาถึง ทั้งสามก็ยังอยู่ที่นครดาวอังคาร เพื่อเข้าพบท่านเจ้านคร รองเจ้านคร และคนอื่นๆ ที่ควบคุมดูแลกรมกองต่างๆ… ข้าได้ยินมาว่าป่านนี้ยังเยี่ยมกันไม่ครบเลย…” หลินเทียนหาวมองหวังเป่าเล่อ และพูดด้วยเสียงเบา
หวังเป่าเล่อหรี่ตาลงเมื่อได้ยิน เขารู้สึกรำคาญใจเป็นอย่างมาก และคิดว่าทั้งสามคนนี้พยายามส่งสัญญาณอย่างชัดเจนในการเข้าเยี่ยมเยียนคนมากมาย ว่าพวกเขาไม่ต้องการเข้าพบเจ้าเมืองของตน
แต่พวกนั้นไม่ได้โง่แน่นอน เหตุใดจึงกระทำการโจ่งแจ้งเช่นนี้… นี่คือสิ่งที่หวังเป่าเล่อยังคิดไม่ตก หลังจากที่หลินเทียนหาวออกไปแล้ว ชายหนุ่มก็ยังคิดหาเหตุผลอยู่
แต่ไม่ต้องคิดนาน หวังเป่าเล่อได้คำตอบที่ชัดแจ้งในวันที่สองหลังออกจากการถือสันโดษ เมื่อชายหนุ่มได้รับข้อความจากเจ้านคร
“เจ้าเมืองหวัง เฉินมู่ เวินไหว และฟางจิ้งจะเดินทางเข้าประจำตำแหน่งที่นครอาวุธเทพใหม่ในอีกไม่กี่วันต่อจากนี้ สหพันธรัฐได้อนุมัติเรียบร้อยว่า เขตใหม่ทั้งสามจะเป็นเขตที่สหพันธรัฐควบคุมดูแลโดยตรง โดยถือว่าเป็นเขตปกครองตนเอง!”
“ว่าอะไรนะขอรับ” แววเย็นชาวาบผ่านนัยน์ตาของหวังเป่าเล่อทันทีที่ได้ยิน สีหน้าของเขาเคร่งขรึมจริงจัง เขาก้มหน้าลงมองแหวนสื่อสารของตน
“ท่านเจ้านคร ท่านไม่คิดว่าสหพันธรัฐทำเกินไปหรือในคราวนี้ นี่คือเมืองที่ข้าปกครองดูแล แต่พวกเขายังกล้าสร้างเขตปกครองตนเองอีกกระนั้นหรือ”
“แม้จะปกครองตนเอง แต่ก็ยังอยู่ในขอบเขตอำนาจของเจ้า” เจ้านครก็ไม่พอใจกับนโยบายนี้เช่นกัน แต่นี่เป็นมติของสหพันธรัฐ และนางไม่อยากเข้าไปแทรกแซงการเมืองระหว่างขั้วอำนาจ
หวังเป่าเล่อหายใจถี่ขึ้นเล็กน้อย เขารู้ได้ทันทีว่าตนเองจะกลายเป็นเพียงหุ่นเชิดเท่านั้น ชายหนุ่มต้องการต่อสู้เพื่อสิทธิของตนเองในฐานะเจ้าเมือง แต่เจ้านครดาวอังคารก็ถอนหายใจอีกครั้ง และย้ำว่านี่คือมติของสหพันธรัฐ
แต่นางก็บอกหวังเป่าเล่อว่าจะไม่ปล่อยให้ทั้งสามลอยนวล หากคนพวกนั้นทำนอกเหนือหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย!
กว่าจะถึงตอนนั้นทุกอย่างคงสายไปเสียแล้ว พวกนี้ไม่ใช่หลี่อี้เสียหน่อย… หวังเป่าเล่อคิดแต่ก็ไม่ได้พูดออกมา หลังจากที่ทำใจให้สงบกับข่าวอันไม่น่าพึงประสงค์นี้แล้ว ชายหนุ่มก็มีสีหน้าดุดันขึ้น ขณะวางสายจากเจ้านครดาวอังคาร
ไอ้สามตัวนี้ คิดว่าตนเองเก่งกล้ามากนักหรือ ข้ายอมให้พวกเจ้าแบ่งผลประโยชน์ไปในตอนแรก แต่ได้คืบกลับจะเอาศอก คราวนี้คิดจะเรียกร้องเอาเขตปกครองตนเองหรือ
ดี รอก่อนเถิด! ความเย็นชาเข้าปกคลุมดวงตาของหวังเป่าเล่อ
บทที่ 392 จะจริงจังไปไย!
โดย
Ink Stone_Fantasy
สำหรับหวังเป่าเล่อ ความรู้สึกนี้คล้ายกับการสร้างบ้านใหญ่ด้วยน้ำพักน้ำแรงของตนเอง แต่มีคนแปลกหน้าสามคนดอดเข้ามาอยู่ด้วย โดยยึดห้องสามห้องเป็นของตนเอง
หากแค่อยู่ในบ้านเฉยๆ คงไม่เป็นไร แต่สามคนที่เข้าใหม่นี้กลับพยายามลบชื่อของเขาออกจากความเป็นเจ้าของห้อง และเขียนชื่อตนเองลงไปแทนที่
นี่มันปล้นกันชัดๆ ไอ้พวกระยำ มาแย่งของของข้าไปได้อย่างไร เมื่อหวังเป่าเล่อนึกถึงคำว่า ‘ปล้น’ เขาก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงการหมั้นหมายของหลี่หว่านเอ๋อร์และเฉินมู่ ความคิดที่ว่าอีกไม่นานหลี่หว่านเอ๋อร์จะกลายเป็นเนื้อคู่แห่งเต๋าของเฉินมู่ ความโกรธเกรี้ยวที่เขารู้สึกก่อนหน้านี้ซึ่งสลายไปแล้ว ก็กลับมาอีกครั้ง
ในตอนเดียวกันนั้น เรือบินขนาดใหญ่เป็นพิเศษหลายสิบลำ ก็กำลังเดินทางจากนครดาวอังคารมายังนครอาวุธเทพใหม่ ด้วยความเร็วอันน่าทึ่ง
เรือบินเหล่านั้นขนกำลังคนและวัสดุอุปกรณ์มามากมายจนนับไม่หวาดไม่ไหว บุคคลสามคนนั่งอยู่ในห้องควบคุมของเรือบินลำแรก กำลังจิบสุราและพูดคุยกันอยู่ คนหนึ่งแต่งกายด้วยชุดแบบเป็นทางการและมีผิวขาวผ่อง แววตาของเขาแฝงความล้ำลึก ใบหน้าหล่อเหลาเอาการ และให้ความรู้สึกไม่ธรรมดา
“ศิษย์น้องเวินและศิษย์น้องหญิงฟาง ตราบใดที่เราทั้งสามยังทำตามข้อตกลงที่คิดกันไว้ และทำหน้าที่ของเราในนครอาวุธเทพใหม่ให้ดี ก็จะไม่มีใครมาทำอะไรเราได้” ชายหนุ่มคนนั้นถือแก้วสุราไว้ในมือ ก่อนจิบเมื่อพูดจบ เขายิ้มด้วยสีหน้าฉลาดหลักแหลมและน่าเชื่อถือ ซึ่งทำให้บุคคลอีกสองคนที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามพยักหน้าเล็กน้อย
เวินไหวสวมชุดคลุมยาวแบบโบราณ แขนเสื้อกว้างของชุดนั้นเผยให้เห็นผ้าพันแผลสีดำที่พันแขนของชายหนุ่มอย่างแน่นหนา เช่นเดียวกับลำคอและครึ่งหนึ่งของใบหน้า รูปลักษณ์นี้ทำให้เวินไหวดูอันตรายมาก
อีกผู้หนึ่งคือสตรีนามว่าฟางจิ้ง มองปราดเดียวก็รู้ว่านางมาจากสำนักสหชุมนุมสกุณา แม้ชื่อของ ‘สำนักสหชุมนุมสกุณา’ ฟังดูยิ่งใหญ่อลังการ แต่ความจริงแล้ว ศิษย์ทุกคนไม่ว่าจะชายหรือหญิงมีจุดมุ่งหมายเดียว คือการสร้างร่างกายให้แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ทุกคนจึงมีกล้ามเนื้อขนาดใหญ่จนน่ากลัว รวมถึงฟางจิ้งด้วย
ฟางจิ้งมีใบหน้าสะสวย แต่ไม่ว่านางจะงดงามเพียงใด กล้ามหนานั้นก็ทำให้ทุกคนที่ได้เห็นต้องตกใจ
ฟางจิ้งที่นั่งอยู่ในตอนนี้ดูเหมือนปราการเหล็ก นางปล่อยพลังกดดันรุนแรงที่ทำให้แม้แต่เวินไหวเองยังต้องกลัว แต่พลังกดดันของนางไม่ส่งผลอะไรกับชายหนุ่มในชุดทางการ
ชายหนุ่มผู้นั้นคือเฉินมู่ บุตรชายคนโตของตระกูลเฉิน บัดนี้ทั้งสามกำลังมุ่งหน้าไปยังนครอาวุธเทพใหม่ และจะถึงที่นั่นในอีกหนึ่งชั่วโมงตามกำหนดการ
“ศิษย์พี่เฉิน ท่านอย่าประเมินหวังเป่าเล่อต่ำไป ข้าเคยเจอหมอนั่นมาก่อน… นอกจากจะเป็นคนโหดเหี้ยมแล้ว ยังหน้าไม่อายและเจ้าเล่ห์เพทุบายมากอีกด้วย คนอย่างหวังเป่าเล่อทำได้ทุกอย่าง ช่างเป็นคนที่น่ารังเกียจที่สุด!” เวินไหวพูดเสียงเบาหลังจากเงียบมาเป็นเวลานาน ชายหนุ่มบอกทัศนคติของตนที่มีต่อหวังเป่าเล่อให้อีกสองคนได้รับรู้
“ข้ากับหลี่อี้เป็นเพื่อนรักกัน นางบอกข้าว่าหวังเป่าเล่อเป็นสวะที่มีรูปร่างอ้วนเหมือนหมูตอน แถมยังมักมากในกาม หากหมอนั่นกล้าคิดลามกกับข้าละก็ ข้าจะแสดงให้หมอนั่นเห็นว่าไม่ใช่ทุกคนที่เขาจะข่มเหงรังแกได้!” ฟางจิ้งพ่นลมเยาะ นางมีแต่ความเกลียดชังให้หวังเป่าเล่อ โดยเฉพาะเมื่อได้ยินเรื่องราวแสนร้ายกาจของอีกฝ่ายจากหลี่อี้
แววตกใจวาบผ่านสายตาของเวินไหว แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เฉินมู่ยังคงความสง่างามเอาไว้ได้เสมอต้นเสมอปลาย ไม่มีใครรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ ชายหนุ่มพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
“หวังเป่าเล่อถือว่าเป็นสวะในสหพันธรัฐจริงเสียด้วย ถึงอย่างไรก็ต้องรีบกำจัดหมอนั่นให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่ศิษย์น้องเวินพูดถูก ความจริงที่ว่าหมอนั่นมาถึงจุดนี้ได้แปลว่าเขาก็พอมีน้ำยาอยู่บ้าง หมอนั่นคงโหดเหี้ยมไม่น้อย เราจึงต้องระวังตนในทุกฝีก้าว แต่กลุ่มอำนาจของพวกเราได้ทำข้อตกลงกันเรียบร้อย ทำให้เราทั้งสามนับถือกันเสมือนพี่เสมือนน้อง แค่นี้ก็เห็นได้ชัดเจนว่าปัญหาอยู่ที่ใด
“ดังนั้น ตราบใดที่เราทั้งสามคนยังกลมเกลียวกันไว้ หวังเป่าเล่อก็จะกลายเป็นเพียงขั้นบันไดให้เราเหยียบขึ้นไปเท่านั้น”
เวินไหวและฟางจิ้งนิ่งฟัง ดูเหมือนทั้งสองจะคิดอะไรได้ จึงยิ้มและยกแก้วสุราของตนเองขึ้นเพื่อคารวะเฉินมู่
เฉินมู่หัวเราะอย่างใจดี ภายนอกเขามีสีหน้าใจเย็น แต่ภายในกลับพึงพอใจอยู่เงียบๆ คราวนี้ตระกูลของเขาไม่เพียงหาตำแหน่งนายกเทศมนตรีมาให้ได้ พวกเขายังจัดการให้เขตที่เขาต้องปกครองเป็นเอกเทศจากหวังเป่าเล่อ นอกจากนี้เขายังมีพันธมิตรเรียบร้อยที่นครใหม่นี้ แถมคู่หมั้นของเขา หลี่หว่านเอ๋อร์ ยังเป็นถึงรองเจ้าเมืองอีกด้วย
ความจริงแล้วเฉินมู่ไม่พอใจในตัวคู่หมั้นของตนคนนี้ แม้จะมีสตรีหลายคนที่ดำรงตำแหน่งยิ่งใหญ่กว่าเขา จนทำให้เขาเองยังต้องอาย แต่ก็มีสตรีหลายคนเช่นกันที่พร้อมจะพลีกายเปลื้องผ้า และกระโจนเข้าหาเขาทันทีที่ดีดนิ้ว
อีกอย่างเขาเองก็ต่างจากจินตั้วหมิง จินตั้วหมิงชอบสะสม แต่เฉินมู่ชอบความสุขชั่วครั้งชั่วคราว ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่พอใจการมีคู่หมั้นคู่หมายเป็นตัวเป็นตน
ตระกูลของเขาบอกเอาไว้ว่า หลี่หว่านเอ๋อร์มีหน้าที่ปูทางให้เขาประสบความสำเร็จที่นครอาวุธเทพใหม่ นี่เป็นข้อตกลงระหว่างตระกูลเฉินและหัวหน้าเสนาบดีหลี่
ดังนั้นเพื่อให้ตนเองประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน ชายหนุ่มจึงยอมตกลงแต่งงานอย่างไม่เต็มใจ เขาเก็บงำความไม่พอใจนี้ไว้กับตนเองคนเดียว โดยไม่กล้าเปิดเผยให้หัวหน้าเสนาบดีได้เห็น
เช่นนั้นก็ได้ ข้าก็เคยเจอหลี่หว่านเอ๋อร์นี้มาก่อน นางก็ดูสวยดี แถมยังหุ่นยั่วมาก ถึงข้าจะไม่รู้ว่าแก้ผ้าแล้วจะดูเป็นอย่างไร แต่ก็คงพอมีน้ำยาบนเตียงอยู่บ้าง เมื่อคิดถึงตรงนี้เฉินมู่ก็ตื่นเต้นขึ้นมา แต่หลี่หว่านเอ๋อร์ได้ประกาศไว้ก่อนหน้านี้แล้ว ว่าจะไม่มีการแตะเนื้อต้องตัวกันจนกว่าจะแต่งงาน แต่เฉินมู่เองก็มั่นใจว่าในฐานะสตรีคนหนึ่ง นางคงไม่ได้หมายความเช่นนั้นจริง
เมื่อนึกถึงหลี่หว่านเอ๋อร์ ความเกลียดชังในตัวหวังเป่าเล่อก็ทวีความรุนแรงขึ้นมาในใจของเฉินมู่ จนกลายเป็นความชิงชังรุนแรงที่ทำให้เขาสังหารได้หากมีโอกาส…
เขาปรามาศหวังเป่าเล่อ เนื่องจากคิดว่าหวังเป่าเล่อเพียงแค่โชคช่วยเท่านั้น โชคของอีกฝ่ายนั้นไม่แน่นอนแถมยังไร้รากฐาน
สำหรับเฉินมู่ ความดื้อดึงของหวังเป่าเล่อที่จะขยายเขตนครเป็นนครใหญ่ ทั้งที่ตนเองก็มีตำแหน่งที่มั่นคงอยู่แล้วเป็นการเดินหมากที่โง่เขลา แม้จะทำให้เขาได้ปรับตำแหน่งขึ้นก็ตาม หวังเป่าเล่อใจร้อน แต่เฉินมู่เองก็ต้องขอบคุณความโง่ของอีกฝ่ายที่ทำให้ตระกูลเฉินมีโอกาสแทรกแซงทางการเมืองในอาณานิคมดาวอังคารอีกครั้ง ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ทุกอย่างที่นี่ดูเหมือนลงตัวดีอยู่แล้ว
ความจงเกลียดจงชังหวังเป่าเล่อของเฉินมู่ยังมีอีกเหตุผลหนึ่ง เขาได้ยินมาว่าเคยมีบางอย่างเกิดขึ้นระหว่างหวังเป่าเล่อและหลี่หว่านเอ๋อร์ผ่านการคุยกับอย่างลับๆ กับตระกูลจั่ว เรื่องนี้ทำให้เขาตกใจเป็นอันมาก เฉินมู่พยายามขอบันทึกภาพนั้นจากตระกูลจั่วหลายครั้ง เนื่องจากสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
แต่ตระกูลจั่วเองกลับไม่ยอมส่งมาให้เขา เพียงแต่บอกว่าทำลายไปแล้วเท่านั้น
ทว่าเฉินมู่ไม่ยอมปล่อยเรื่องนี้ผ่านไปง่ายๆ เขาตามตัวจั่วอี้เซียนมา แต่จั่วอี้เซียนกลับตัวแข็งทื่อด้วยความกลัว และไม่กล้าเข้ามายุ่งเรื่องนี้อีกต่อไป แต่ความเกลียดหวังเป่าเล่อในตัวชายหนุ่มก็ชนะทุกสิ่ง จั่วอี้เซียนตบบ่าเฉินมู่ด้วยสีหน้าสังเวช และบอกเขาว่า…
“ท่านพี่ อย่าคิดมากเรื่องนี้เลย ทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเถิด หากท่านไม่ทำเช่นนั้นและได้เห็นบันทึกภาพเข้าละก็ ท่านอาจ… ลืมไปเสียเถิด ข้าบอกได้แค่นี้ เดี๋ยวท่านจะเข้าใจข้าเอง”
หากจั่วอี้เซียนไม่ได้พูดอะไรเช่นนั้นออกมา เฉินมู่คงจะลืมง่ายกว่า แต่เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้นเข้าไปแล้ว เฉินมู่ก็เกลียดหวังเป่าเล่อขึ้นมากกว่าเดิม แต่ชายหนุ่มก็ไม่ปล่อยให้ความเกลียดนี้เล็ดรอดออกจากใจขณะคุยกับเวินไหวและฟางจิ้ง แม้ในใจจะเต็มไปด้วยความชิงชังในตัวหวังเป่าเล่อก็ตาม ไม่นานนักเรือบินที่เดินหน้าด้วยความเร็วเต็มกำลังก็มาถึงนครอาวุธเทพใหม่ในอีกหนึ่งชั่วโมงต่อจากนั้น
แน่นอนว่าหวังเป่าเล่อไม่ได้มาต้อนรับพวกเขา แต่ส่งหลี่หว่านเอ๋อร์มาแทน ทั้งสามเข้าพบกงเต๋าและจินตั้วหมิง พวกเขาเข้าใจดีว่าใครเป็นอย่างไรบ้างในที่แห่งนี้ จึงเลือกละเลยหลินเทียนหาว และมุ่งหน้าไปที่เขตของตนเองเพื่อเริ่มการก่อสร้างทันที
แม้เวินไหวและฟางจิ้งจะปฏิบัติต่อหลี่หว่านเอ๋อร์เป็นอย่างดี แต่เฉินมู่ทำตัวเหมือนตนเองเป็นเจ้าของนาง แม้เฉินมู่จะไม่ได้สั่งให้นางทำนู่นทำนี่เหมือนทาสรับใช้ แต่ทัศนคติของเขาทำให้หลี่หว่านเอ๋อร์ไม่พอใจเป็นอันมาก
ทั้งสามคนไม่ได้พูดถึงหวังเป่าเล่อเลยตั้งแต่ต้นจนจบ พวกเขาไม่เข้าพบหวังเป่าเล่อ ทำเหมือนหวังเป่าเล่อไม่มีตัวตนอยู่บนโลกนี้ และทำเหมือนว่าเขตใหม่ทั้งสามไม่ได้อยู่ในนครใหม่แห่งนี้ เมื่อคนอื่นสังเกตเห็นเรื่องนี้ก็เริ่มสงสัยว่าต้องมีอะไรอยู่เบื้องหลังแน่นอน หลี่หว่านเอ๋อร์อยากเตือนพวกเขาว่าการต่อต้านหวังเป่าเล่อเป็นเรื่องไม่สมควร แต่เมื่อเห็นทัศนคติของเฉินมู่ที่มีต่อนาง นางก็รู้สึกหงุดหงิดใจ จึงตัดสินใจว่าจะไม่เตือนใดๆ ทั้งสิ้น
ส่วนตัวหวังเป่าเล่อเองนั้น แม้จะไม่ได้ปรากฏกาย แต่ก็ได้รับข้อมูลอย่างละเอียดจากหลิวต้าวปินและศิษย์คนอื่นๆ ของสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ รวมถึงเห็นว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างหลังจากที่นายกเทศมนตรีใหม่ทั้งสามคนมาถึง ความรำคาญใจก็ฉายขึ้นมาในแววตาของชายหนุ่มซึ่งนั่งอยู่ในห้องทำงาน เขาลูบขนเจ้าลาที่ดูเหน็ดเหนื่อยหลังเพิ่งกลับมาจากออกไปเที่ยวเล่น
อยากทำตัวไร้มารยาทมากเช่นนั้นหรือ
บทที่ 393 เป้าหมายก็คือ การเป็นผู้เชี่ยวชาญการหลอมวัตถุเวท!
โดย
Ink Stone_Fantasy
หวังเป่าเล่อรู้ดีถึงพฤติกรรมต่อต้านไร้มารยาทของนายกเทศมนตรีทั้งสามราวกับเฝ้าติดตามทุกความเคลื่อนไหว หวังเป่าเล่อกำลังลูบขนลาของตนเองพร้อมหรี่ตาลง ชายหนุ่มรู้สึกว่าเฉินมู่และพรรคพวกควรขอบคุณสหพันธรัฐที่หนุนหลังพวกเขาอยู่ มิเช่นนั้น ด้วยนิสัยมุทะลุ เขาคงไปอัดพวกนั้นให้น่วมคามือเสียแล้ว
“ตอนนี้ข้าเป็นคนมีหน้ามีตาในสังคมแล้ว ในฐานะที่เป็นคนกว้างขวาง คงไปอัดใครไม่ได้เหมือนเมื่อก่อน เจ้าว่าเช่นนั้นไหม ไสหัวไป” หวังเป่าเล่อกระแอมกระไอให้คอโล่ง ก่อนพูดอย่างใจเย็นและวางมาดสุขุมยิ่งใหญ่ ขณะจับตัวลาของตนเองไว้
เจ้าลารู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติ มันแค่อยากพักเท่านั้นหลังจากออกไปเล่นข้างนอกมา จึงเดินผ่านห้องทำงานของหวังเป่าเล่อ แต่ก่อนที่มันจะทันเดินจากไป หวังเป่าเล่อก็สั่งให้มันเข้ามาหา เพื่อลูบตัวและเกาให้ แม้เจ้าลาจะไม่ชอบใจแต่ก็ไม่ได้แสดงออกทางสีหน้า เมื่อมันได้ยินคำพูดของหวังเป่าเล่อ เจ้าลาก็รีบยิ้มและทำตัวเชื่อฟัง พลางพยักหน้าอย่างเอาเป็นเอาตาย
ดูเหมือนมันกำลังพยายามจะสื่อว่า สิ่งที่หวังเป่าเล่อพูดไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตามล้วนถูกต้อง…
วิธีการที่ผู้มีอำนาจใช้จัดการกับปลาซิวปลาสร้อยนั้นลุ่มลึกเสมอ ไม่ใช่เฉพาะการกระทำเท่านั้น แต่ไม่ว่าจะทำอะไรก็ต้องส่งผลกระทบใหญ่หลวง! ยิ่งหวังเป่าเล่อคิดมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งรู้สึกว่าเรื่องนี้สมเหตุสมผลมากเท่านั้น ชายหนุ่มเต็มไปด้วยความพึงพอใจ และรู้สึกว่าตนเองเข้าใจอัตชีวประวัติของเจ้าพนักงานระดับสูงถ่องแท้มากขึ้นไปอีก
แต่เมื่อเขานึกถึงความไร้มารยาทของเฉินมู่และพรรคพวก ชายหนุ่มก็อดไม่ได้ที่จะหงุดหงิด เขาชำเลืองมองเจ้าลา พยายามบอกมันทางสายตา ว่าเจ้าลาสามารถกินอะไรก็ตามที่เขตของเฉินมู่และพรรคพวกได้เป็นครั้งคราว
แม้เจ้าลาจะฉลาด แต่ก็ยังคงเป็นลาไม่ใช่มนุษย์ ดังนั้นเมื่อมันมองตาของหวังเป่าเล่อ ก็ทำได้แค่งงเท่านั้น ไม่ได้เข้าใจสิ่งที่เขาต้องการสื่อแต่อย่างไร
ทำให้หวังเป่าเล่อต้องขมวดคิ้วและลุกขึ้นมาเตะลาของตน
ลูกเตะนั้นรวดเร็วและเสียงดังมาก ดูเหมือนว่าพลังปราณ ความแข็งแกร่ง และขาซึ่งเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อของหวังเป่าเล่อ จะทำให้ลูกเตะของเขารุนแรงยิ่งกว่าเดิม
ดูเหมือนว่าผลจากลูกเตะของหวังเป่าเล่อจะทำให้เจ้าลาได้สติ มันเข้าใจความหมายของสายตาหวังเป่าเล่อในที่สุด และกรีดร้องออกมาพร้อมพยักหน้าอย่างเอาเป็นเอาตาย
เมื่อเห็นว่าเจ้าลาเข้าใจสิ่งที่ตนเองต้องการสื่อเรียบร้อย หวังเป่าเล่อก็หยุดเตะลาของตนเอง เขาคิดว่าควรเตะต่อไปไหม แต่ก็รู้สึกว่าตนเองเป็นเจ้าของที่มีจิตใจเมตตา จึงกระแอมกระไอและตัดสินใจหยุด ก่อนลูบตัวของมันต่อ
“ว่านอนสอนง่ายมาก ไสหัวไป ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ด้วยเล่า!”
เจ้าลาตื้นตันใจกับความอ่อนโยนของหวังเป่าเล่อที่แสดงออกมาในน้ำเสียงและท่าทาง มันรู้สึกว่าแม้เจ้าของของตนจะชอบรังแก แต่ก็ยังทำดีกับมันเป็นครั้งคราว ดังนั้นมันจะหันไปเลียมือหวังเป่าเล่อ หวังเป่าเล่อประหลาดใจกับท่าทีของเจ้าลามาก และตอนนั้นเองสัตว์เลี้ยงของเขาก็หันหลังเดินออกจากประตูไป
เกิดอะไรขึ้นกัน หวังเป่าเล่อตกใจ เขาไม่เคยคิดว่าเจ้าลาจะเลียเขา จึงลุกขึ้นยืนและเดินไปที่หน้าต่าง ชายหนุ่มเห็นลาของตนกระโจนไปทางเขตของเฉินมูและพรรคพวก จึงกะพริบตาปริบๆ ด้วยความเข้าใจ
ทำได้ดีมาก มันแสดงความรักที่มีต่อเจ้าของนี่เอง แถมยังตั้งใจทำให้เจ้าของลดความกังวลลงโดยการช่วยแก้แค้นอีกด้วย เจ้าลาที่ซื่อสัตย์เอ๋ย! หวังเป่าเล่อฮึกเหิมและคิดว่าตนเองทำถูกแล้วที่ใช้วิธีเลี้ยงเจ้าลาด้วยลำแข้ง จนมันกลายเป็นสัตว์ที่มีวินัยเช่นนี้
ด้วยเหตุนี้หวังเป่าเล่อจึงเลิกคิดเรื่องของเฉินมู่และพรรคพวก และเริ่มฝึกปราณของตนเองต่อไป พลังปราณของเขาอยู่ขั้นปลายของรากฐานตั้งมั่นแล้ว วงแหวนปราณเป่าเล่อผู้ยิ่งใหญ่ทำให้เขาดูดพลังปราณมืดในสุสานมาให้ตนเองได้ทุกครั้งที่ฝึกปราณ ซึ่งทำให้เขาพัฒนาได้รวดเร็วขึ้นมาก
สิ่งนี้ทำให้ขั้นปราณของหวังเป่าเล่อพัฒนาขึ้นทุกวัน นอกจากนี้ชายหนุ่มยังมีความคาดหวังยิ่งใหญ่ในอนาคต เขารู้ว่าเมื่อโครงสร้างของวงแหวนปราณเสร็จสมบูรณ์เรียบร้อย พลังปราณของเขาจะพุ่งทะยานขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ
แม้จะไม่มีทางลัดในการพัฒนาปราณขั้นรากฐานตั้งมั่นจากขั้นปลายไปเป็นขั้นสมบูรณ์ แต่หวังเป่าเล่อก็ยังมั่นใจว่า วงแหวนปราณของตนจะทำให้เขาฝึกปราณได้อย่างรวดเร็วเกินใคร
การก่อสร้างนครใหม่เดินหน้าได้รวดเร็วขึ้นเมื่อเฉินมู่และอีกสองคนมาถึง แม้เขตของทั้งสามจะเป็นเขตปกครองตนเอง แต่พวกเขาก็เห็นว่าก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้นกับหลี่อี้ ดังนั้นคนทั้งสามจึงควบคุมการก่อสร้างนครรวมถึงวงแหวนปราณให้ตรงตามมาตรฐาน แม้เขตทั้งสามจะไม่ได้ขึ้นตรงต่อส่วนกลางของนคร แต่ก็ไม่ได้ขัดขวางการฝึกขั้นปราณของหวังเป่าเล่อแต่อย่างใด
เวลาเดินหน้าผ่านไปเรื่อยๆ เมื่อมองนครใหม่จากมุมสูง จะเห็นว่ามีผู้คนมากมายนับไม่ถ้วนกำลังสาละวนอยู่กับการก่อสร้าง ภาพของเมืองใหญ่ค่อยๆ ก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างเมื่อเวลาเดินหน้าผ่านไป
แม้หวังเป่าเล่อจะจดจ่ออยู่กับการฝึกปราณ แต่เขาก็ไม่ได้ละทิ้งการหลอมวัตถุเวท วัตถุเวทของหวังเป่าเล่อทุกชิ้นถูกปรับปรุงเป็นวัตถุเวทระดับหก แม้แต่สมบัติเวทภายในกายของเขายังถูกปรับปรุงเป็นระดับห้า แม้หวังเป่าเล่อต้องใช้วัตถุดิบจำนวนมากในการปรับปรุงมันให้กลายมาเป็นระดับหก แต่เขาก็มั่นใจว่าภายในไม่กี่เดือน เขาจะทำมันได้สำเร็จ
หวังเป่าเล่อวิเคราะห์ฝักดาบ สมบัติเวทภายในกายของตนที่บัดนี้อยู่ในระดับห้า และพบว่ามีบางอย่างเปลี่ยนไป ในฝักดาบไม่ได้มียุงอยู่เก้าตัวอีกต่อไปแล้ว แต่เพิ่มขึ้นเท่าหนึ่งเป็นสิบแปดตัว!
นอกจากนี้ ทุกครั้งที่ยุงทั้งสิบแปดตัวบินออกมา ระยะควบคุมระหว่างยุงและหวังเป่าเล่อก็เพิ่มขึ้นด้วย อีกทั้งเมื่อลองทดสอบดู พลังการต่อสู้ของพวกมันยังทำให้เขาตกใจ ตอนนี้ยุงทั้งสิบแปดตัวดูเหมือนมีปราณขั้นลมหายใจเที่ยงแท้ระดับกลาง
สิ่งสำคัญที่สุดคือพวกมันเกิดใหม่ได้โดยไม่มีขีดจำกัด ตราบใดที่ฝักกระบี่ยังรองรับพลังการเกิดใหม่ได้ จึงเหมือนหวังเป่าเล่อมีกองทัพอสูรขั้นลมหายใจเที่ยงแท้ติดตัวไปด้วยในทุกที่ที่เขาไป
แต่หวังเป่าเล่อก็ใส่ใจยุงชนิดพิเศษสามตัวในฝักกระบี่ของเขาที่สุด แม้ยุงสีเทาจะรวมร่างกับเจ้าลาแล้ว แต่ยุงสีเทาตัวที่สองก็เกิดขึ้นมาใหม่ทันที หวังเป่าเล่อเดาว่ายุงสีเทาตัวที่สองนี้จะทำให้เขาควบคุมอสูรตัวที่สองได้
ส่วนยุงสีม่วงและยุงสีดำนั้น พวกมันเป็นยุงที่หวังเป่าเล่อต้องการมากที่สุด เขารู้ว่ายุงทั้งสองตัวนี้มีพลังมาก แต่ก็ยังควบคุมพวกมันไม่ได้อยู่ดี แม้จะปรับปรุงฝักกระบี่ สมบัติเวทภายในกายให้เป็นระดับห้าแล้วก็ตาม
ชายหนุ่มรู้สึกหัวเสียกับเรื่องนี้เล็กน้อย แต่เขาก็รู้สึกได้ว่าหากพัฒนาฝักกระบี่ของตนเองต่อไป เขาก็จะควบคุมยุงสองตัวนี้ได้ในที่สุด!
เมื่อพัฒนาฝีมือมาถึงขั้นนี้ หวังเป่าเล่าก็ไม่ได้มุ่งมั่นแค่เพื่อพัฒนาสมบัติเวทภายในกายของตนเองอีกต่อไป เป้าหมายอีกอย่างหนึ่งของชายหนุ่มคือสิ่งที่เพียงแค่นึกถึงเขาก็ตื่นเต้นแล้ว!
หวังเป่าเล่อยังจำได้ดีถึงตอนที่ตนสอบเข้าสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ และได้รับการตอบรับเข้าสาขาวัตถุเวทได้ วันนั้นเป็นวันที่เขาเห็นคติพจน์ที่สลักอยู่บนศิลาก้อนใหญ่ในสาขาอาวุธเวท!
‘อาวุธเวทจักทำลายล้างเต๋าอันลึกล้ำ หากไร้ซึ่งการควบคุมด้วยวัตถุเวทและสมบัติเวท!’
ระดับแรกและระดับสองคือวัตถุเวท ตั้งแต่ระดับหกลงมาคือสมบัติเวท ส่วนระดับเจ็ดนั้นคือ… อาวุธเวท!
ตอนนี้ข้ามาถึงจุดที่สามารถลองหลอมอาวุธเวทได้แล้ว! หวังเป่าเล่อหายใจเข้าลึก ดวงตาเป็นประกาย ความคิดที่จะได้ศึกษาอาวุธเวทและเริ่มหลอมมันทำให้ชายหนุ่มตื่นเต้นจนสะกดเอาไว้ไม่อยู่ แต่เขาก็เข้าใจดีว่าการหลอมอาวุธเวทนั้นต้องใช้ทรัพยากรมากมายเพียงใด
ตอนนี้นอกจากการพยายามศึกษาวิธีการหลอมแล้ว อีกเรื่องหนึ่งก็คือ อาวุธเวทชิ้นแรกที่เขาจะหลอมต้องไม่ซับซ้อนเกินไป ด้วยเหตุนี้ หวังเป่าเล่อจึงตัดสินใจได้
อาวุธเวทชิ้นแรกที่ข้าจะหลอมก็คือ… โทรโข่ง! หวังเป่าเล่อกระตือรือร้นจนแทบรอไม่ได้เมื่อคิดได้ เขาชอบโทรโข่งเป็นพิเศษ เนื่องจากโทรโข่งเป็นเพื่อนร่วมทางของเขามาเกือบตลอด ทุกครั้งที่เขาใช้โทรโข่ง ผลที่ตามมามักตื่นตาตื่นใจเสมอ หวังเป่าเล่อรู้สึกว่าสมบัติที่ยากหาใครเหมือนชิ้นนี้จะทรงพลังเป็นอันมาก หากเขาเปลี่ยนมันให้กลายเป็นอาวุธเวทชิ้นแรก มันคงทรงพลังมากเสียจนทำให้บรรยากาศรอบกายแปรผัน
หวังเป่าเล่อคิดภาพตนเองถือโทรโข่งอาวุธเวทและตะโกนเข้าไป เสียงที่ปล่อยออกมาคงมีผลต่อคู่ต่อสู้มากจนต้านกลับไม่ไหว ด้วยเหตุนี้ หวังเป่าเล่อจึงมั่นใจยิ่งขึ้นไปอีกว่าอาวุธเวทชิ้นแรกที่ตนจะหลอมต้องเป็นโทรโข่งเท่านั้น
ในฐานะเจ้าเมืองขุนนางระดับสามชั้นสูง หวังเป่าเล่อที่พรั่งพร้อมด้วยทรัพยากรมากมายจึงเริ่มศึกษาวิธีการหลอมโทรโข่งอาวุธเวท
เขาเป็นผู้หลอมอาวุธเวทที่โดดเด่นอยู่แล้วในตำหนักอาวุธเวท เขามีพื้นฐานความรู้ด้านการหลอมสิ่งต่างๆ ที่แข็งแรง การหลอมสมบัติเวทระดับหกซ้ำแล้วซ้ำเล่าทำให้หวังเป่ามีความรู้เฉพาะทางของตนเอง เขาเข้าใจการจัดเรียงอักขราจารึกอย่างลึกซึ้งจนมันประสบผลสำเร็จเสมอ ด้วยเหตุนี้แม้ความคืบหน้าในการศึกษาอาวุธเวทของหวังเป่าเล่อจะช้า แต่เขาก็ไปถูกทาง และเดินหน้าสั่งสมความรู้ไปเรื่อยๆ อย่างมั่นคง
นอกจากนี้ เขายังมีกระบี่อาวุธเวทของตนเป็นต้นแบบ เขารู้ดีว่าขุนนางระดับสามชั้นสูงที่หลอมอาวุธเวทได้นั้น แม้จะยังไม่ยิ่งใหญ่เท่าผู้ฝึกตนระดับกำเนิดแก่นใน แต่ก็ยังถือว่าแข็งแกร่งน่ายกย่องมาก
อาจกล่าวได้ว่าหากหวังเป่าเล่อหลอมอาวุธเวทของตนเองได้สำเร็จ ฐานะและหน้าตาของเขาจะสูงขึ้นอีก ต่อให้สี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าจะไม่ให้การสนับสนุนเขาก็ตาม!
นั่นเพราะผู้ที่หลอมอาวุธเวทได้ จะได้รับการขนานนามในสหพันธรัฐว่า… ปรมาจารย์!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น