ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง 389-391
ตอนที่ 389 เจ้าเป็นของข้ามาโดยตลอด
พอนิ้วมือของนางถูกหยกสีแดงเพลิงนั้นสวมเอาไว้ กระแสความร้อนขุมหนึ่งจากหยกสีแดงก็แผ่เข้าสู่ร่างกาย
ทั้งๆที่ไม่ได้มีลมพัด แต่พลังที่แผ่ออกมาก็ทำให้ฉลองพระองค์และเส้นพระเกศาปลิวขึ้นมา แม้แต่ดวงเนตรดอกท้อคู่นั้นก็ยังถูกหลอมไปด้วยเปลวเพลิงปีศาจที่ร้อนระอุชั้นหนึ่ง
กลิ่นอายมารที่เข้มข้นจนถึงขั้นบริสุทธิ์ทะลวงเข้าไปในร่างราวกับประตูที่ถูกผลักให้เปิด
ยามที่เข้าไปในร่างของนางแล้ว ก็ผนึกตัว กลมกลืนเข้ากับตราหยกสรรพชีวิตในดวงจิตของนางอย่างสมบูรณ์แบบ
ผ่านไปอีกพักใหญ่ ความรู้สึกถึงพลังขุมนั้นถึงได้จางลงไป ตู๋กูซิงหลันรู้สึกแต่เพียงว่าตอนนี้ในร่างกายของนางเปี่ยมไปด้วยพลัง
ในตอนนั้นเองแหวนหยกสีแดงวงนั้นได้กลายเป็นรอยประทับสีแดงเลือดอยู่บนนิ้วของนาง
ซูเยายังคงคุกเข่าข้างหนึ่งอยู่เบื้องหน้านาง คราวนี้ดวงตาทั้งคู่เปล่งประกายขึ้นมา “อาหลัน แม้แต่มันก็ยังยอมรับเจ้าแล้ว”
หยกแดงชิ้นนี้เป็นสิ่งที่มีพลังชีวิต มีแต่เมื่อได้พบกับสตรีที่ฟ้ากำหนดมาของเขา จึงจะคล้อยตามความปรารถนา
ตู๋กูซิงหลันยกมือขึ้นมา มองดูรอยประทับรุปจิ้งจอกบนนิ้วมือที่ดูราวกับมีชีวิตทั้งยังมีแสงเงินออกมาจางๆ
นางยื่นมือออกไป พยุงซูเยาขึ้นมา
ดวงตาจิ้งจอกคู่นั้นเปล่งประกายราวกับลูกแก้วอยู่แต่แรกแล้ว เขาจัดแจงเสื้อผ้าเล็กน้อย กระแอมลำคอที่แห้งผากเบาๆ ให้ตนเองได้ผ่อนคลายลงบ้าง
จากนั้นก็กลับมาจับมือของนางอีกครั้ง วางลงบนหัวใจของตนเอง “อาหลัน นับจากวันนี้เป็นต้นไป ข้าก็เป็นคนของเจ้าแล้ว”
น้ำเสียงนั้นเย้ายวนอย่างที่สุด หัวใจของเขาก็ร้อนระอุจนแทบจะโลดออกมาที่เบื้องหน้าของนางเหมือนกัน
ทันใดนั้นนเขาก็ขยับเข้าไป จุมพิตลงบนหน้าผากของนางอย่างตราตรึงครั้งหนึ่ง
“พวกเราสัญญากันแล้วนะ”
“เจ้าเป็น……จิ้งจอกน้อยของข้าตลอดกาล” ตู๋กูซิงหลันยืนยันกับเขา ริมฝีปากขยับยิ้ม ขณะที่มือก็ยื่นเข้าไปลูบในกลุ่มผมของเขาอย่างอ่อนโยน
เหมือนกับที่นางเคยลูบไล้เจ้าจิ้งจอกน้อยในโลกก่อน
ซูเยายิ้มออกมาในทันที
พี่รองยังคงอยู่ในตำหนัก จึงได้เห็นฉากนี้เข้าพอดี
เขามองดูหนุ่มน้อยที่เย้ายวนผู้นั้นทั้งซ้ายและขวา ยิ่งดูก็ยิ่งรู้สึกว่าคุ้นตามากจริงๆ……
ส่งบุรุษเข้าวังมาก็ตั้งมากมาย ไม่เห็นนางจะชอบใครสักเท่าไร ที่แท้ก็ชอบแบบที่เป็นปีศาจน้อยจอมเย้ายวนเช่นนี้นั่นเอง
พี่รองแอบจดจำความชอบของนางเอาไว้อย่างเงียบๆ เอาไว้นางเบื่อเจ้าปีศาจน้อยจอมเย้ายวนนี้เมื่อไร ค่อยหาที่คล้ายๆกันมาอีก
แต่พอคิดดูให้ละเอียด รูปร่างหน้าตาเช่นนี้ เกรงว่าทั่วทั้งแผ่นดินคงจะหาไม่ได้ง่ายๆอีกแล้ว
วิญญาณทมิฬมองดูอย่างเข้าใจกระจ่าง ที่พลัดกันไปพลาดกันไป จะชีวิตก่อนหรือชีวิตนี้ ในที่สุดก็ได้กลับมาพบกันอีกครั้งแล้ว
ตอนนั้นที่เจ้าจิ้งจอกบรรลุการฝึกฝนจนกลายร่างได้ เกรงว่าเขาเองก็คงจะจำไม่ได้แล้วว่า ความชอบที่หลันหลันมีให้กับเขานั้น ไม่ใช่ความรักหรอกนะ…..
เป็นความรู้สึกสำนึกผิด เสียใจ ติดค้าง และต้องการชดเชย
เหมือนกับความรู้สึกที่มีให้กับน้องชาย ความรักที่มีให้คนในครอบครัวไง!
เจ้าเด็กน้อยนี้เข้าใจผิดไปใหญ่แล้วมั้ง?
………………………..
พระตำหนักบรรทมของฮ่องเต้หญิงเรียกว่าหย่งหนิงกง (สันติสุข์นิรันตร์)
ตอนนี้ในพระตำหนักหย่งหนิงกงเพิ่มตัวเย้ายวนที่งดงามเป็นเอกขึ้นมาอีกหนึ่ง พอเขามาถึงทั่วทั้งตำหนักก็ไม่ได้สงบสุขอีกต่อไปแล้ว
เหล่าผู้ถวายการรับใช้ในพระตำหนักล้วนแล้วแต่เป็นพวกพี่ชายตัวน้อยที่งดงามด้วยกันทั้งนั้น
แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าซูเยาที่งดงามจนเย้ายวน ก็กลายเป็นว่าถูกสะกดข่มเอาไว้จนหมดสิ้น
หากว่ากันตามคุณสมบัติแล้ว ก็ยิ่งนำมาเปรียบเทียบกันไม่ได้………..
ดังนั้นตอนนี้แต่ละคนจึงลุกขึ้นมาออกแรงแต่งเนื้อแต่งตัว
ยามที่ตู๋กูซิงหลันตื่นขึ้นมาในตอนเช้า ก็เห็นเซี่ยวเหลี่ยเฝ้ารออยู่แล้ว ร่างที่บอบบางสวมใส่ชุดลายดอกทั้งตัว คุกเข่าอยู่ข้างเตียงรอเข้าเฝ้าแต่เช้า
“ฝ่าบาท กระหม่อมจะสวมฉลองพระองค์ถวายนะพะยะค่ะ” เซี่ยวเหลี่ยโผเข้ามาที่ข้างเตียง ยื่นมือเข้ามาประคองนาง”
“ฝ่าบาท กระหม่อมจะช่วยล้างพระพักตร์” บุรุษงามอีกผู้หนึ่งอุ้มอ่างน้ำร้อนเอาไว้รออยู่ด้านข้าง
“ฝ่าบาท กระหม่อมจะวาดคิ้วถวาย”
…………………….
ริมหูของตู๋กูซิงหลันระงมไปด้วยเสียงของเหล่าบุรุษ
คนที่พวกพี่ชายส่งมาส่วนมากล้วนถูกนางไล่กลับไปจนเกือบหมด เหลือเอาไว้ประมาณสิบคนเพื่อทำงานจุกจิกในพระตำหนักหย่งหนิงเท่านั้น
ยามปกติก็ไม่เห็นพวกเขาจะกระตืนรือร้นเท่าไร โดยเฉพาะบางคนก็เป็นประเภทขี้อาย หรือไม่ก็ถือตัว พอเห็นนางเป็นต้องเดินอ้อมไป
แต่ตอนนี้แต่ละคนต่างก็รีบร้อนแย่งกันมาปรนนิบัติแล้ว?
นี่เป็นเพราะว่าพระอาทิตย์ย้ายไปขึ้นทางตะวันตกแล้วหรือไง?
ตู๋กูซิงหลันลืมตาโตอย่างงุนงง นางสะบัดผ้าห่มออกไป สองเท้าที่งดงามดั่งหยกพึ่งจะยื่นออกมา ก็มีมือที่คุ้นเคยคู่หนึ่งรั้งเอาไว้
นางกวาดตามองไปก็เห็นร่างในชุดสีแดงที่ดูเย้ายวนไปทั้งตัวรั้งฝ่าเท้าของนางเอาไว้ พลางหันมาส่งยิ้มให้กับนาง “อาหลัน ให้ข้าปรนนิบัติเจ้าสวมรองเท้าเถอะ”
ฝ่าเท้าของนางเล็กและละเอียดนุ่มมาก ทั้งยังขาวนวลราวกับหยกมันแพะ นิ้วโป้งแม้เท้าก็กลมมน ดูน่ารักมาก
“อาหลันนั้นแสนงาม เท้ายิ่งน่าดู” เขากุมเท้าหยกของนางเอาไว้ ส่งยิ้มพลางกล่าวอย่างชื่นชมออกมา จากนั้นก็โน้มตัวลงจูบลงไปบนหลังเท้าของนางครั้งหนึ่ง
ชั่วขณะนั้น เหล่าหนุ่มน้อยที่รายล้อมอยู่รอบๆต่างก็แทบจะระเบิดตัวเองกันแล้ว!
ต่างก็รู้สึกขึ้นมาในทันใดว่าที่พวกตน ยกน้ำชา เทน้ำร้อน ช่วยสวมเสื้ออะไรต่างๆนานาล้วนสู้ไม่ได้ทั้งสิ้น!
ดูไอ้คนที่มาใหม่ผู้นั้นสิ นั้นถึงจะเรียกว่าประจบตบก้นม้าเก่งที่สุด!
ตามธรรมเนียมของแผ่นดินนี้ เท้าของสตรี คือสิ่งที่เล้นลับ ทรงคุณค่ามาโดยตลอด
สตรีทั่วไปหากว่าถูกบุรุษมองเห็นเท้าที่เปล่าเปลือย ก็อาจจะต้องถึงกับถูกบังคับให้แต่งงานเป็นภรรยาไปเลย
พวกเขาคอยปรนนิบัติรับใช้ฮ่องเต้หญิงมาตลอด เห็นพระบาทที่เปลือยเปล่าของพระนางจนเป็นเรื่องปกติ แต่เรื่องที่จะไปจูบหลังพระบาทนั้น…..ไม่เคยมีใครที่กล้าทำถึงขนาดนั้นมาก่อนเลย!
เจ้าที่มาใหม่ผู้นี้ ไม่เพียงแต่มีรูปโฉมแต่ว่ายังมีความกล้ามากอีกด้วย!
จัดแจงแย่งชิงความสำคัญถึงเพียงนี้ จะให้ฮ่องเต้หญิงไม่ทรงหวั่นไหวพระทัยก็คงจะยากละมั้ง?
ตู๋กูซิงหลันมองดูท่าทางของซูเยาอยู่ๆก็คิดขึ้นมาว่าตนเองก็เคยจูบหลังเท้าของผู้อื่นเช่นกัน
ในสมองพลันเกิดภาพทะเลสาบหยู่จื่อถานปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง
ช่างน่าตายจริงๆ! ทั้งๆที่ตัดสินใจจะโยนคนผู้นั้นทิ้งไปให้ไกลพันลี้แล้วแท้ๆ พอไม่ทันระวัง ใจก็เกิดคิดขึ้นมาเสียได้!
นางขมวคคิ้วแนบแน่น สีหน้าไม่สบอารมณ์
เหล่าพี่ชายตัวน้อยๆที่เมื่อครู่กำลังอิจฉาริษยากันใหญ่ก็พลันยินดีขึ้นมา
คนมาใหม่มีความกล้าก็เรื่องหนึ่ง แต่ดูท่าจะประจบจนเกินงามไปแล้ว
ดูฮ่องเต้หญิงสิ เห็นชัดเลยว่าไม่ได้ทรงสบพระทัย
ซูเยาก็ไม่ได้ตื่นตระหนก เขาคุกเข่าข้างหนึ่งอยู่ที่ข้างเตียงของตู๋กูซิงหลัน มือข้างหนึ่งประคองฝ่าเท้าหยกของนาง มืออีกข้างก็สวมรองเท้าปักลายบุปผาสีแดงลงไป
จากนั้น ก็สวมอีกข้างให้นางอย่างไม่รีบไม่ร้อน
ราวกับว่าเป็นสุภาพชนที่มีความยับยั้งช่างใจเป็นอย่างดี
“อาหลัน วันนี้อากาศดีมากเลย พวกเราออกไปข้างนอกด้วยกันดีไหม?”
จากนั้นซูเยาก็ยื่นมือไปช่วยพยุงนางลงมา “ตอนที่ข้ามาถึง เห็นดอกไม้ในเมืองหวงตูผลิบานงดงามตลอดทางไปจนถึงนอกเมืองเลย ช่างน่าชมอย่างยิ่ง อยากจะไปดูพร้อมๆกับเจ้า”
นี่เป็นวันแรกที่เขากับอาหลันอยู่ร่วมกัน ถือว่าเป็นการนัดหมายเล็กๆระหว่างเขากับนางแล้วกัน
แค่ได้เดินชมอะไรไปเรื่อยๆกับนางเขาก็มีความสุขมากแล้ว
ตู๋กูซิงหลันมองไปนอกหน้าต่างแวบหนึ่ง ท้องฟ้ายังไม่ทันสว่างดีนัก ไม่รู้ว่าเขาดูออกได้อย่างไรว่าอากาศดี
“เรายังต้องออกว่าราชการยามเช้า” นางลุกขึ้นยืน รับฉลองพระองค์คลุมชั้นนอกจากพี่ชายตัวน้อยผู้หนึ่งมาสวมใส่ จากนั้นก็ลูบไล้ศีรษะของซูเยาเบาๆ “เราเลิกประชุมเช้าแล้วค่อยมาอยู่เป็นเพื่อนเจ้า คนดี”
ซูเยาสูงกว่านางครึ่งศีรษะแท้ๆ
แต่เขากลับย่อเข่าลงให้นางลูบผม
“ตกลง” ว่าแล้วซูเยาก็พยักหน้า ดวงตาเป็นประกายราวกับดวงดาวกระพริบ “งั้นข้าจะรอเจ้านะ”
เจ้าตัวร้าย ยามยิ้มหวานออกมายังเห็นถึงเขี้ยวน้อยๆ
เขาอายุมากกว่านาง ร่างสูงกว่านาง แต่ว่าในสายตาของตู๋กูซิงหลัน กลับเห็นเป็นลูกจิ้งจอกน้อยไม่หย่านมที่ยังไม่มีกระทั่งกรงเล็บเสียอย่างนั้น
นางยิ่งลูบผมเบาๆอย่างนุ่มนวลกว่าเดิม
เหล่าหนุ่มน้อยทั้งหลายพากันอิจฉาริษยาจนตาแดงแล้ว ต่างก็ล้อมเข้ามารอบกายตู๋กูซิงหลัน “ฝ่าบาท พวกเราก็อยากจะออกไปเป็นเพื่อนพระองค์”
ตอนที่ 390 มนุษย์มัจฉาจากทะเลตะวันตก
“ฝ่าบาท พระองค์มิอาจประทานพระเมตตาเพียงแค่บางคนนะพะยะค่ะ!” หนุ่มน้อยเซี่ยวเหลี่ยที่เมื่อวานพึ่งจะได้นอนข้างพระองค์ วันนี้ก็ต้องสูญเสียความโปรดปรานไปเสียแล้ว
ในหัวใจมีแต่น้ำขมๆ
เขาน้ำตาคลอหน่วย พลางกัดริมฝีปากด้วยท่าทางน่าสงสาร
“หากว่าฝ่าบาททรงรังเกียจว่าพวกเราไม่น่าดูเท่ากับเขา พวกเราจะสวมหน้ากากเอาไว้ก็ได้พะยะค่ะ”
เหล่าหนุ่มน้อยยอมถอยจนถึงที่สุดแล้ว
มิว่าจะอย่างไร การได้อยู่ข้างกายฝ่าบาทก็นับว่าดีกว่าใช่หรือไม่? จะได้เผยโฉมหรือไม่ล้วนไม่สำคัญ
ยิ่งไปกว่านั้น หากว่าเผยโฉมหน้า…….แล้วต้องมาโดนเปรียบเทียบกับคนใหม่ผู้นั้น มีหวังต้องถูกเปรียบจนหมดความมั่นใจในตนเอง แบบนี้มิสู้ปิดเอาไว้ดีกว่า
“ไปสิ ไปกันหมดทุกคนเลย” ตู๋กูซิงหลันแจกจ่ายความรักอย่างเท่าเทียม
วิญญาณทมิฬกลอกตาขาว……นับตั้งแต่ที่ได้เป็นฮ่องเต้หญิงสตรีผู้นี้ก็เอาแต่ใจใหญ่แล้ว สร้างต้นแบบของสตรีเสเพลขึ้นมา
แต่ว่าพ่อหนุ่มน้อยเหล่านั้นกลับยินดีถูกหยอกเย้าอย่างเต็มใจ
แต่ละคนๆ หากนำไปเลี้ยงดูปลุกปั้นที่โลกโน้นละก็ ต้องได้เป็นยอดนายแบบหรือไม่ดาราใหญ่ไปแล้ว!
รูปร่างหน้าตาอย่างพวกเจ้า หากออกไปภายนอกต้องการสตรีแบบไหนล้วนหาได้ทั้งนั้นกลับจะมายอมเป็นของตายอยู่กับหลันหลันเช่นนี้?
เจ้าจิ้งจอกตัวนั้นกลับไม่โกรธเคือง ไม่เพียงไม่โกรธ ซ้ำยังยิ้มแย้มพราวอย่างใจกว้างออกมา “อาหลัน ไปข้างนอกมีฉากหลังติดตามก็ถือว่าดีไม่เลว”
วิญญาณทมิฬ “เฮอะ เฮอะ เฮอะ…..เจ้าสุนัขจิ้งจอก เจ้ามันร้าย!”
ตู๋กูซิงหลัน “ซุกซนนัก”
………………………………………………
เมืองหวงตูของแคว้นเหยียนติดกับทะเล ภูมิอากาศจึงอบอุ่นกว่าต้าโจวมาก
ยังไม่ทันถึงต้นฤดูร้อน เมืองหวงตูก็มีสาระพัดบุปผาเบ่งบานแล้ว
ดอกซานฉาคือดอกไม้ประจำแคว้นเหยียน ดอกซานฉาสีแดง เหลือง ชมพู ขาว ล้วนผลิบานตลอดสองข้างทางของเมืองหวงตู
สดสวน และงดงาม
ตาร้านอาหารและโรงเตี้ยมมีผู้คนมากมาน ส่งเสียงครึกครื้น การค้าก็คึกคัก ทั่วทั้งเมืองหวงตูมีแต่ความเจริญรุ่งเรือง
นับตั้งแต่ที่ตู๋กูซิงหลันขึ้นเป็นฮ่องเต้ ผู้คนที่มายังแคว้นเหยียนเพื่อทำการค้าก็มีมากขึ้นกว่าแต่ก่อน
เมืองหวงตูของแคว้นเหยียนจึงยิ่งคึกคักกว่าเดิม
พอมีพ่อค้าจากต่างแคว้นผ่านไปผ่านมา สินต้าที่แปลกตาก็ยิ่งมีหลากหลายเพิ่มขึ้น
ท่ามกลางความคึกคักวุ่นวาย มีร่างสีแดงสองร่างดึงดูดสายตาผู้คน
บนถนนตะวันตก มีผู้คนไม่น้อยต่างคอยมองตาม
ทั้งสองต่างสวมใส่ชุดสีแดงเหมือนกัน คุณชายที่ตัวสูงกว่าดูงดงามอย่างร้ายกาจ คุณชายที่ตัวเล็กกว่าเล็กน้อยดูองอาจสง่างามเกินธรรมดา
ที่ด้านหลังของพวกเขา มีบุรุษหน้าตาดีอีกสิบกว่าคนติดตามมา
แต่ละคนรูปร่างสูงโปร่ง รูปโฉมไม่ธรรมดา
องครักษ์ของตระกูลตู๋กูเพียงคอยติดตามมาอารักขาอย่างเงียบๆ
นับตั้งแต่ที่ฝ่าบาททรงขึ้นครองราชย์มาก็เอาแต่เก็บพระองค์อยู่ในวัง ไม่เคยเสด็จออกมาก่อน
คุณชายใหญ่และคุณชายรองต่างก็กังวลว่านางจะเก็บกดจนเกิดปัญหา จึงพยายามจะชักชวนให้นางออกมาเพื่อผ่อนคลายบ้าง แต่ก็ไม่เคยทำได้สำเร็จ
คิดไม่ถึงว่า ฝ่าบาทจะเสด็จออกมาด้วยพระองค์เอง
……………………………..
ตู๋กูซิงหลันเดินนำอยู่ด้านหน้าสุด นางสวมใส่ชุดแดงทั้งร่าง ยามก้าวเดินก็พลิ้วไหว
ที่ผ่านมานางมักจะคอยถ่อมตัว สวมใส่แต่สีเขียวอมดำ ดูนุ่มนวลและสุขุม
ตอนนี้กลับให้ความรู้สึกว่า เกิดเป็นคนสมควรได้ทำตามอำเภอใจบ้าง เมื่อสวมสีแดงลงไปบนร่างยิ่งส่งเสริมให้นางดูโดดเด่นองอาจกว่าเดิม
คนหนึ่งเดินนำอยู่ด้านหน้า ด้านหลังมีเนื้อหวานหอมติดตามมาเป็นพรวน ยิ่งทำให้นางรู้สึกถึงความอู้ฟู่โอ่อ่าของตนเอง!
นี่เป็นครั้งแรกที่พาเหล่าละอ่อนน้อยออกมาสร้างความตระการตาบนถนน แต่ละคนจึงวางตนเรียบร้อยเกินธรรมดา
หากว่านางมองดูสิ่งใดนานอยู่สักหน่อย ทันใดนั้นเหล่าหนุ่มน้อยก็จะพากันกุลีกุจอนับสิ่งนั้นส่งมาถึงเบื้องหน้านาง
ในเมื่อรูปโฉมหรือราศีก็ไม่อาจเทียบได้กับคนที่สวมใส่ชุดแดงผู้นั้น ย่อมต้องเคลื่อนไหวให้เร็วหน่อยมิใช่หรือ?
สามารถรับใช้อยู่ข้างกายฮ่องเต้หญิง นับเป็นบุญวาสนาที่พวกเขาสั่งสมมาแปดชาติ ย่อมต้องขยันขันแข็งให้มากไว้
“อาหลัน ชิมลูกอม” ซูเยาก็ไม่ได้ขุ่นเคือง หยิบนั่นเลือกนี่จากบรรดาสิ่งของที่พวกเขาส่งเข้ามาจนได้ลูกอมมาเม็ดหนึ่ง
พอแกะห่อออก ก็ส่งให้ถึงปากของนาง คลี่ยิ้มดุจฤดูใบไม้ผลิออกมา
ยิ่งเมื่อมีฉากหลังเป็นดอกซานฉาที่กำลังผลิบาน ยิ่งเป็นภาพที่งดงามเหนือบรรยาย
ลูกอมเม็ดหนึ่งพอเข้าปาก ก็ส่งกลิ่นหอมของดอกไม้และให้รสหวานที่ทำให้ชื่นอกชื่นใจออกมา
สิ่งของมากมายที่เหล่าหนุ่มน้อยส่งมา สุดท้ายพอถึงมือของเขา ย่อมต้องเลือกเฟ้นที่ดีที่สุดให้กับตู๋กูซิงหลัน
ผู้คนทั้งหลาย “……..”
ดังนั้นพวกเขาที่เป็นฉากหลังหยิบนั่นฉวยนี่กันอย่างวุ่นวายก็ยังเป็นได้แค่เพียงแบกหามทำงานให้กับเจ้าจิ้งจอกผู้นั้นใช่หรือไม่?
พวกเขาล้วนหงุดหงิดใจแต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรออกมา ใครใช้ให้ผู้อื่นคือคนโปรดกันเล่า?
ตลอดทางมานี้ ตู๋กูซิงหลันถูกยัดทนานจนอิ่มหนำไปแล้ว
“เวลาอาหลันกินอาหาร ก็น่ารักมากเลย” ซูเยาคอยชมนางอยู่ตลอดเวลา หูตาพราวระยับ หวานเสียจนฟันจะร่วง
“เจ้าเองก็น่ารัก” ตู๋กูซิงหลันยิ้มให้กับเขา พอดีกับที่มีกลีบดอกไม้จากด้านบนปลิวลงมา หล่นลงบนศีรษะของเขา
นางยื่นมือไปหยิบออกให้
ในตอนนั้นเอง เกิดสายลมพัดกรูบนถนน ได้ยินเสียงเฟี้ยว ขวับ ดังมาเป็นระยะคล้ายจะเป็นเสียงแส้ฟาด
ตู๋กูซิงหลันหันหน้ากลับไปก็เห็นเบื้องหน้าไปไม่ไกลมีผู้คนคึกคัก ทั้งยังมีกลินทะเลโชยมาจากทางนั้นอีกด้วย
นางเก็บมือกลับไป เดินไปชมดู
ซูเยาเองก็ติดตามอยู่ไม่ห่าง
เหล่าหนุ่มน้อยทั้งหลายต่างก็รีบติดตามมา
“มนุษย์มัจฉาที่พึ่งจะจับมาจากทะเลตะวันตก! อ้าว วันนี้จะให้ทุกท่านได้เปิดหูเปิดตากันแล้ว!”
ในตอนนั้นเอง ได้ยินน้ำเสียงหยาบหนาตะโกนดังๆออกมา
ตู๋กูซิงหลันเบียดเข้าไปในฝูงชน ก็เห็นบุรุษที่กำยำล่ำสันหลายคนแบกกรงอันหนาใหญ่มา กรงใบใหญ่นั้นมีผ้าสีเทาคลุมเอาไว้
ครึ่งบนของกรงเหล็กถูกครอบเอาไว้ ครึ่งล่างปล่อยโล่ง ทำให้มองเห็นขาสีเขียวอมฟ้าที่มีครีบและพังผืดคู่หนึ่ง
“มนุษย์มัจฉา?”
คนที่รายล้อมอยู่ต่างก็พากันคึกคักขึ้นมา แคว้นเหยียนติดกับทะเล จึงมีเรื่องเล่าขานมานานแล้ว กลางทะเลตะวันตกมักมีมนุษย์มัจฉาปรากฎตัว
เมื่อหลายปีก่อนเคยมีคนจับมาได้ เพียงแต่ว่าสิ่งมีชีวิตอย่างมนุษย์มัจฉานั่นเจ้าเล่ห์มากไป หลบหนีก็เก่งกาจ จึงจับตัวได้ยาก หลายปีมานี้จึงไม่ได้พบเห็นอีก
นับตั้งแต่ที่ฮ่องเต้หญิงทรงขยายการค้าให้เปิดกว้าง ในเมืองหวงตูนี้สิ่งแปลกประหลาดใดๆก็มีให้เห็น
แม้กระทั่งมนุษย์มัจฉาที่สาปสูญไปนานแล้วก็ยังมี
“นี่มันใช่ของจริงหรือไม่!” บางคนยังรู้สึกประหลาดใจเกินคาด
พอเขาเอ่ยออกมา ก็เห็นหนึ่งในบุรุษกำยำ เปิดผ้าคลุมกรงออก ทันใดนั้นกลิ่นน้ำทะเลที่เข้มข้นก็กำจายออกมา
กรงใบนั้นมีขนาดเพียงห้องเล็กห้องหนึ่ง แต่เหล็กกลับหนาขนาดเท่านิ้วมือเชื่อมเป็นลูกกรงอย่างแน่นหนา
เห็นภายในมุมหนึ่งของกรงใบใหญ่มีร่างเล็กๆร่างหนึ่งคุดคู้อยู่ ดูคล้ายร่างมนุษย์ ที่ข้อมือและข้อเท้าของเขาล้วนถูกล่ามเอาไว้
ผิวกายของเขาเป็นสีฟ้าอมเขียว ปกคลุมไปด้วยเกล็ดทั้งร่าง สองมือกอดหัวเข่าเอาไว้ ศีรษะก็ซุกลงไปในอ้อมแขนดวงตาสีเขียวราวกับลูกแก้วกำลังมองดูคนที่รายล้อมอยู่ด้วยความหวาดกลัว
“เฮ้ย ไอ้ตัวน้อย เงยหน้าขึ้นมาให้ทุกคนได้เห็นกันหน่อย!” บุรุษกำยำผู้นั้นกระชากโซ่เหล็กกระตุกดึงข้อมือของเขาออกมา
มนุษย์มัจฉาตัวน้อยถูกตะคอกใส่ ก็เงยหน้าสีเขียวอมฟ้าขึ้นมาให้คนตรงหน้าได้ชม
สองข้างแก้มของเขายังมีครีบปลา พอได้รับความตกใจก็อ้าปากขึ้นมา เผยให้เห็นฟันแหลมคมเต็มปาก ส่งเสียงกรีดร้องใส่ฝูงชน
“อ้ายย่าห์!” ฝูงชนต่างตื่นตระหนกจนต้องสูดลมหายใจเย็นเฉียบเข้าไป
ดูจากลักษณะท่าทางแล้ว คงจะเป็นมนุษย์มัจฉาอย่างที่เล่าขานกันมาอย่างแน่นอน
“เจ้าตัวน้อยนี่ ยังกล้าข่มขู่ผู้คนด้วย!” บุรุษกำยำผู้นั้นยกแส้ขึ้นมา ฟาดหนักๆลงไปบนกรงเหล็กครั้งหนึ่ง
เสียงฟาดดังเพี้ยะ เจ้าตัวนั้นก็ได้แต่ตื่นตระหนกจนหลบเข้าไปในมุมลึกสุดอีกครั้ง
จากนั้นบุรุษกำยำผู้นั้นก็หันไปกล่าวกับฝูงชนว่า “ทุกท่านสามารถชมดูให้ดี นี่เป็นมนุษย์มัจฉาจากทะเลตะวันตกจริงๆ น้ำตามนุษย์มัจฉากลายเป็นไข่มุก เมือกมัจฉาสามารถสร้างโคมฉางหมิงเติง เนื้อมนุษย์มัจฉากินแล้วจะมีอายุยืนยาวนาน ทั่วทั้งร่างล้วนเป็นสมบัติล้ำค่าเชียวนะ!”
ตอนที่ 391 เผ่ามังกรทมิฬ
“เนื่องด้วยฮ่องเต้หญิงทรงเปิดกว้างทางการค้า ดังนั้นพวกเราจึงได้นำสมบัติล้ำค่าชิ้นนี้มาขายที่เมืองหวงตู!”
“วันนี้นับว่าเป็นบุญตาของทุกท่านที่ได้เห็นแล้ว! มนุษย์มัจฉาน้อยที่ยากจะได้พบพาน วันนี้ขอนำออกมาประมูลในเมืองหวงตู ราคาเริ่มต้นที่พันตำลึงทอง ผู้ให้ราคาสูงสุดจะได้รับไปครอบครอง!”
บุรุษกำยำผู้นั้นโก่งคอตะโกน พลางกำแส้เอาไว้ในมือ
ผู้ชนต่างก็พากันมาดูด้วยความตื่นเต้นอย่างไม่ขาดสาย ……มนุษย์จมัจฉานั่นเป็นตัวจริงหรือตัวปลอมพวกเขาล้วนดูไม่ออก
ขอเพียงแค่ได้ชมความคึกครื้นบ้างก็พอแล้ว
เนื่องเพราะอดีตรัชทายาทเหยียนหยุนเป็นผู้ที่กระตุ้นให้เกิดการศิโรราบแต่แรกๆ ราชวงศ์เหยียนจึงมิได้ถูกประหัตประหารล้างผลาญ
ทั้งในเมืองหวงตูก็ยังมีเหล่าผู้ลากมากดีอยู่กลุ่มหนึ่ง ซึ่งส่วนใหญ่มีลูกหลานเป็นเหล่าคุณชายเจ้าสำราญ พอได้เห็นสิ่งที่น่าดึงดูดใจถึงเพียงนี้ก็สะกิดให้หัวใจของแต่ละคนคันคะเยอขึ้นมา
หากว่าซื้อตัวไปได้ แล้วนำไปถวายฮ่องเต้หญิงใช่ว่าจะได้หน้าได้ตาอย่างยิ่งหรือไม่?
ตู๋กูซิงหลันเปลี่ยนเป็นสวมใส่ชุดบุรุษ ทั้งยังติดหนวดบางๆ พวกลูกหลานของคนในราชสำนักจึงจดจำนางไม่ออก
ตู๋กูซิงหลันที่อยู่ท่ามกลางกลุ่มคนจดจ้องไปยังมนุษย์มัจฉาน้อยผู้นั้นอยู่เนิ่นนาน
“นั่นเป็นตัวจริง” ซูเยายืนอยู่ข้างกายนาง “มนุษย์มัจฉาจากทะเลตะวันตก อาศัยอยู่ในท้องทะเลมานานแล้ว ยากนักที่จะปรากฏตัวให้คนพบ ทั่วทั้งร่างกายของพวกเขามีค่า เนื้อของพวกเขา สตรีกินแล้วจะบำรุงความงาม บุรุษกินแล้วจะแข็งขันคึก…”
ยามพูดสองคำหลักนั้น เขาก็อดที่จะอึกอักอยู่บ้างไม่ได้ พลางกล่าวที่ข้างหูนางด้วยเสียงเบาลงว่า “แน่นอนอยู่แล้วว่า อาหลันไม่จำเป็นจะต้องบำรุงความงาม ข้าก็ไม่ต้องบำรุงให้แข็งขันมากเกิน”
น่าอายเกินไปแล้ว!
เพียงแค่ครู่เดียว ก็เห็นเหล่าคนในกลุ่มของพวกราชวงศ์เก่าเริ่มแย่งชิงกันขึ้นมาแล้ว
ตู๋กูซิงหลันเอาแต่จับตามองดูมนุษย์มัจฉาน้อย พอสายตาจับจ้องไป มนุษย์มัจฉาน้อยผู้นั้นก็สังเกตเห็นนางขึ้นมาในทันที
เขาจับจ้องมาที่ตู๋กูซิงหลันด้วยสายตาที่สั่นสะท้าน จากนั้นก็ผุดลุกขึ้นมาและพุ่งตัวเข้าหานาง ส่งเสียงตะโกนบางอย่างออกมาจากในกรง
เขายื่มมือไปทางนาง ด้วยท่าทางที่วอนขอความช่วยเหลือ
ทันทีที่ยื่นมือออกไป มนุษย์มัจฉาน้อยก็ถูกฟาดแส้ใส่หนักๆครั้งหนึ่ง ข้อมือสีเขียวอมฟ้าถูกตวัดจนเป็นแผล จนเลือดสดๆสีฟ้าไหลซึมออกมา
“เจ้าสัตว์ตัวน้อย รู้จักสงบเสงี่ยมหน่อย!” บุรุษผู้นั้นตะโกนใส่ จากนั้นก็หันไปทำการค้าขายต่อไป
มนุษย์มัจฉาน้อยมิได้ถอยหลบไป หากแต่ยังคงยื่นมือไปทางตู๋กูซิงหลัน
อยู่ๆตู๋กูซิงหลันก็รู้สึกอุ่นวาบจากในอก บางสิ่งกำลังไหลซึมออกมา
นางก้มศีรษะลงมองดูครั้งหนึ่ง สีหน้าและแววตาก็เปลี่ยนไปในทันที “ส่งเขามาที่ตำหนักหย่งหนิงกงภายในหนึ่งก้านธูป”
ในบรรดาเหล่าหนุ่มน้อยที่ติดตามตู๋กูซิงหลันมาตลอดทางย่อมไม่ขาดผู้มีฐานะร่ำรวยอยู่ด้วย อย่างเช่น เฉาโหยวเฉียน ลูกหลานของครอบครัวเศรษฐีในต้าเหยียน เดิมเขาก็ถูกตู๋กูจุนจับมัดใส่ถุงกลับมาเหมือนกัน
สุดท้ายพอได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้หญิงก็เกิดใจรักแรกพบ ทั้งๆที่เป็นถึงหลายชายคนโตของตระกูลใหญ่ แต่กลับเต็มใจรั้งอยู่ในตำหนักหย่งหนิงกงยกน้ำชาเทน้ำร้อน
ในตอนนั้นเอง ท่ามกลางเสียงแก่งแย่งกัน คุณชายเฉาก็โยนทองคำหลายก้อนออกไป
ผู้คนทั้งหมดต่างก็ตกตะลึงจนปากค้าง
………………………..
ในตำหนักหย่งหนิงกง ตู๋กูซิงหลันนั่งอยู่ข้างหน้ากระจกทองเหลือง ในมือของนางมีไข่มุกมังกรที่เปลี่ยนเป็นสีแดงราวโลหิตไปแล้ว
ตอนนี้ไข่มุกมังกรนั้นกำลังมีของเหลวซึมออกมา เหมือนกับเลือดที่ซึมออกมาทีละหยดทีละหยด
ทั้งยังส่งผ่านความอุ่นร้อนสายหนึ่งสู่มือของนาง เพียงครู่เดียวก็กลายเป็นลูกแก้วโลหิตสีแดงลูกเล็กๆลูกหนึ่ง
มนุษย์มัจฉาน้อยถูกจับอาบน้ำล้างตัวจนสะอาดสะอ้านจึงได้ถูกนำตัวมาพบนาง กลิ่นน้ำทะเลบนร่างของเขาจางไปมาก
เขายังคงถูกขังอยู่ในกรง ข้อมือและข้อเท้ายังคงถูกล่ามตรวนเอาไว้ พลางแยกคมเขี้ยวในปากออกมา
กระทั่งถูกนำมาอยู่เบื้องหน้าตู๋กูซิงหลัน เขาถึงได้สงบนิ่งลง
พอมองเห็นไข่มุกมังกรในมือของตู๋กูซิงหลัน ดวงตาก็เบิกโต อ้าปากค้างตะโกนเป็นภาษามนุษย์มัจฉาออกมา
“ทะเลตะวันตก…..องค์หญิงหลี……..ท่านรู้จักนางใช่หรือไม่?”
เขาพึ่งจะเอ่ยออกมา นางก็เห็นพี่รองวิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน
“น้องเล็ก เกล็ดของชือหลีเปลี่ยนสีได้ด้วยหรือ? เป็นสีแดงไปแล้ว! เจ้าคิดว่านางไปก่อเรื่องอะไรกับใครหรือไม่ ถูกเอาไปตุ๋นแล้วหรือเปล่า!”
ตู๋กูซิงหลัน “……”
“พวกกุ้งพวกปูพอสุก ก็กลายเป็นสีแดง นางเองก็เช่นกันใช่หรือไม่?” ตู๋กูเจวี๋ยล้วงเกล็ดสีแดงออกมาจากในอก วางลงไปบนฝ่ามือของตู๋กูซิงหลัน
อุ่นร้อน!
“องค์หญิงหลี…..” มนุษย์มัจฉาน้อยมองดูเกล็ดชิ้นนั้น ก็ยิ่งตื่นเต้นขึ้นมา “พวกท่านช่วยนางได้หรือไม่?”
“ในมือของท่านมีไข่มุกมังกรจากพลังชีวิตขององค์หญิง ท่านสามารถฟังคำพูดของข้าออก” มนุษย์มัจฉาน้อยหันมาอ้อนวอนตู๋กูซิงหลัน “เผ่ามังกรทมิฬ! นางไปถึงที่นั่น เช่นนี้เท่ากับว่าตายสถานเดียว!”
ตู๋กูซิงหลันขมวดคิ้วแนบแน่น นางไม่เคยนึกมาก่อนเลยว่า ยายตัวแสบชือหลีจะมอบไข่มุกมังกรจากแก่นชีวิตให้กับนาง
นี่จะเรียกว่าใจกว้างหรือว่าเชื่อถือนางจนหมดใจดี?
สิ่งของชิ้นนี้ นับว่ามีพลังตบะที่ชือหลีสะสมมามากกว่าครึ่ง
ตอนนั้นนางเคยบอกเอาไว้ว่า จะไปที่ทะเลตะวันตกเพื่อฟื้นคืนดวงจิตของน้องสาว…..ตอนนั้นตู๋กูซิงหลันก็รู้สึกได้ว่านางกำลังจะไปเสี่ยงอันตราย คิดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องขึ้นเร็วขนาดนี้
ในเมื่อนางมอบไข่มุกมังกรให้กับตน…..แล้วจะปกป้องตัวเองได้อย่างไร?
ยิ่งไปกว่านั้นเผ่ามังกรทมิฬ…..นั่นคืออะไร
ในขณะที่ใจของนางมีคำถามมากมาย ก็สั่งให้คนเปิดกรงออก ปล่อยตัวมนุษย์มัจฉาผู้นั้นออกมา
……………………
ณ แคว้นต้าโจว
ที่นี่มีฝนตกหนักติดต่อกันมาหลายวันแล้ว เรียกว่าตลอดทั้งเดือนนี้แทบจะไม่มีวันที่ฟ้าใสอากาศดีเลยด้วยซ้ำ
ซุนย่วนพึ่งออกมาจากตำหนักตี้หัวกง ก็เห็นว่าภรรยาของตนเองกำลังสนทนาอยู่กับหัวหน้าราชองครักษ์ลับ หลงเซียว
ทั้งสองยืนอยู่ข้างกันในมุมหนึ่ง กระซิบกระซาบกันเบาๆ พอเห็นเขาออกมา อู๋เหนียงจื่อก็เดินเข้าไปรับหน้า
นางสะบัดคางไปทางตำหนักตี้หัวกง จากนั้นก็ถามออกมาว่า
“ว่าอย่างไร?”
ซุนย่วนส่ายศีรษะติดๆกัน เหลือบตามองซ้ายมองขวาโดยรอบ “มารดาของข้า นี่เจ้ายังจะกล้ายุ่งเกี่ยวเรื่องของฝ่าบาทกับไทเฮาน้อยอีกหรือ”
อู๋เหนียงจื่อตบอกรัวๆ “นั่นจะไม่ยุ่งได้หรือไร? ใต้หล้านี่ไม่มีด้ายแดงเส้นใดที่ข้าอู๋เหนียงจื่อผูกไม่ได้หรอกนะ!”
นางพูดพลาง ก็เหลือบมองไปทางตำหนักตี้หัวพลาง
“เจ้ายังคงตัดใจเสียเถอะ ไม่เห็นหรือว่าตอนนี้คนที่ได้รับความโปรดปรานที่สุดในวังหลังคือใคร” สีหน้าของซุนย่วนมีแต่ความเหน็ดเหนื่อย “เจ้านายน้อยผู้นั้นมิใช่ผู้ที่ใครๆก็จะรับใช้ได้โดยง่ายนะ เห็นอยู่ว่าไม่ได้เป็นอะไรอยู่ชัดๆ ก็ยังจะมาบอกว่าปวดหัวตัวร้อน ถามแต่ว่าข้าตรวจดูแล้วนางเป็นอะไร?”
ซุนย่วนเองก็มีแต่ความกลัดกลุ้มอยู่เต็มหัวใจ นับตั้งแต่ที่ในวังมีฉางซุนอิงเพิ่มขึ้นมา เรื่องราวต่างๆก็ไม่ราบรื่นอีกต่อไป
เริ่มจากซูหวงกุ้ยเฟยที่ไปชนกับนางโดยไม่ทันระวัง เห็นๆอยู่ว่าทั้งสองตกลงมาด้วยกัน หวงกุ้ยเฟยกับสูญเสียพระครรภ์ไป…..
แต่ว่าฮ่องเต้กลับทรงปกป้องฉางซุนอิง น่าเสียดายครรภ์มังกรที่เกือบจะใกล้ครบกำหนดอยู่แล้วแท้ๆ….
ที่ยิ่งน่าสงสารก็คือซูหวงกุ้ยเฟย ที่ถูกส่งเข้าตำหนักเย็นเพราะฉางซุนอิง สุดท้ายต้องมาผูกคอตาย
ตอนนี้ฉางซุนอิงก็เริ่มจะมาหาเรื่องเขาเข้าแล้ว
ประเดี๋ยวก็รู้สึกไม่สบาย ประเดี๋ยวก็เจ็บตรงนั้นปวดตรงนี้ ทุกๆวันเป็นต้องตามไปตรวจชีพจร
ดูเอาเถอะ คนที่ไม่มีแม้แต่ชีพจรอย่างนาง จะให้เขาตรวจว่าเป็นอะไร
นี่มิใช่ว่าต้องการจะสร้างความลำบากให้เขาชัดๆหรอกหรือ?
ประเด็นที่สำคัญก็คือภรรยาในบ้านก็ยิ่งทำให้คนลำบากใจ ทุกครั้งไม่ว่ามีเรื่องใดหรือไม่เป็นต้องคอยกระตุ้นให้เขาเอ่ยถึงไทเฮาน้อยสักสองประโยค
วันนี้เขาก็เอ่ยขึ้นมาแล้ว แต่สีพระพักตร์ของฝ่าบาทกลับไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง
ท่าทางประหนึ่งว่ามิได้ทรงสนพระทัยเลยเสียด้วยซ้ำ!
ดูเอาเถอะ อยู่ดีๆแคว้นที่ตีชิงมาได้กลับถูกไทเฮาน้อยฮุบไปเสียอย่างนั้น แล้วฝ่าบาทจะมิทรงพิโรธได้หรือ?
ที่มิได้ไปทำสงครามอีกในขณะที่เหล่าราษฏร์ของแคว้นเหยียนกำลังมัวแต่ร่าเริงยินดี ก็ต้องนับว่าทรงพระทัยดีมีเมตตามากแล้ว
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น