ท่านเทพมาแล้ว 388-395

 บทที่ 388 หาโอกาส

โดย

Ink Stone_Romance

สีหน้าลู่ยาดูขุ่นเคือง แต่พริบตาเดียวมุมริมฝีปากก็ยกยิ้ม


“เอาเถอะ ต่างก็โตๆ กันหมดแล้ว” จุ่นถีวางนางลง “เข้าไปนั่งข้างในเถิด”


อย่างไรก็เป็นศิษย์ที่ตนเองเลี้ยงดูมากับมือถึงสองพันปี เหมือนกับลูกสาวในไส้ก็ไม่ปาน เห็นนางตัวติดกับชายอื่น ในใจเลยรู้สึกอาลัยเล็กน้อย เกรงว่าต่อไปนางจะกลายเป็นอาจารย์อาหญิงของเขาแล้ว…


ทั้งสามคนนั่งอยู่บนระเบียงเปิดโล่งของเรือนสนครวญ ที่นั่นมีชาที่ต้มไว้ก่อนแล้ว มีผลไม้สดมากมายวางไว้


วันนี้ลมอ่อนโยนเป็นพิเศษ แสงแดดก็สว่างไสวยิ่งนัก


พวกชิงเสียชิงซวงต่างวิ่งมาหามู่จิ่ว ทั้งยังนำลูกพลับที่บ่มไว้อย่างดีเมื่อปีก่อนมาตะกร้าหนึ่งด้วย ลู่ยาอาจารย์ผู้ก่อตั้งคนนี้ เมื่ออยู่ต่อหน้าชนรุ่นหลังแล้วเหมือนไม่ได้แผ่ความน่ายำแกรงออกมาเท่าไหร่นัก อันที่จริงกระทั่งเจ้าสำนักของพวกเขายังไม่ได้มองลู่ยาเป็นรุ่นอาวุโสเลย


มู่จิ่วพูดคุยกับพวกเขาอยู่พักหนึ่ง จึงหันกลับมาเอ่ยกับลู่ยาและจุ่นถีที่กำลังพูดคุยกันอยู่ “หลังจากข้ากลับไปวันนี้ อาจารย์คงไม่เปลี่ยนชื่อแซ่ย้ายที่อยู่หรอกนะเจ้าคะ? ก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไรอาจารย์ถึงได้เร้นกายหายไปนานขนาดนี้?” สิ่งที่นางอยากถามคือเป็นเพราะความขัดแย้งของลัทธิประจิมในตอนนั้นหรือไม่? แต่ก็ไม่กล้าถามอย่างชัดเจน


“ไม่ใช่” จุ่นถีกุมเข่าตอบ “ตอนนั้นที่ตัดสินใจเร้นกายเพราะไม่อยากให้ใครมาถามหรือยุ่งเรื่องของลัทธิประจิมมากเกินไป ไม่ได้ซับซ้อนอย่างที่พวกเจ้าคิดหรอก ตอนนี้ผ่านไปหลายปีแล้ว วิชาสูบวิญญาณของข้าก็ก้าวหน้าขึ้นมาก หากข้าต้องการตั้งสำนักขึ้นก็เป็นเรื่องง่ายนัก แต่เวลาผ่านไปใจคนเปลี่ยน ตอนนี้ข้าอยู่ที่หงชางก็สบายใจดี”


มู่จิ่วถอนหายใจ


“รอจนพวกเจ้าเดินทางไปคลื่นจิตพสุธา บางทีข้าอาจจะช่วยพวกเจ้าอีกแรงได้” จุ่นถีชะงักไปก่อนเอ่ย “บุญกุศลที่ยังขาดอยู่ของเจ้า เดิมทีมาจากคนที่พบเจอหรือเรื่องที่เกิดขึ้นในชะตาชีวิต เพียงขาดความเข้าใจไป หากจัดการคดีของหลินเจี้ยนหรูจบสิ้น บุญกุศลของเจ้าก็ใกล้ครบแล้ว”


มู่จิ่วตื่นตัวขึ้นมาทันที “มิน่าล่ะ ข้าถึงได้รู้สึกว่าช่วงนี้จิตใจสงบนัก! เมื่อเป็นเช่นนี้ข้าก็สามารถสำเร็จเป็นเซียนได้ไวขึ้นแล้ว”


จุ่นถีพยักหน้า


ลู่ยาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง วางถ้วยชาลง “เจ้ามิใช่เคยบอกว่าอาคมสูบวิญญาณสามารถเปลี่ยนวิญญาณร้ายเป็นวิญญาณดีได้หรือ?”


“ถึงแม้จะยังไม่เก่งกาจถึงเพียงนั้น แต่ก็ประมาณนั้นได้” จุ่นถีตอบ “อาคมสูบวิญญาณสามารถสูบพลังวิญญาณโดยรอบ มีความสามารถในการควบคุมวิญญาณร้าย”


ลู่ยาพยักหน้า ไม่ได้เอ่ยอะไรอีกแต่ยกชาขึ้นจิบ


นั่งได้ไม่นานเท่าไหร่ มู่อวิ๋นมู่หัวก็เข้ามา และเชิญคนทั้งสองให้อยู่ต่อเพื่อทานข้าว


ลู่ยาตามใจมู่จิ่ว มู่จิ่วก็ไม่ได้มีธุระเร่งร้อนอะไร กินข้าวเสร็จค่อยกลับสวรรค์ก็ได้


ตั้งแต่กลับจากหงชาง มู่จิ่วใส่ใจกับการเปลี่ยนแปลงในร่างกายของนางตลอดเวลา


จุ่นถีบอกว่าบุญกุศลของนางใกล้ครบแล้ว และนางสามารถกลับมาจากคลื่นจิตพสุธาได้อย่างไร้รอยขีดข่วน นี่แสดงว่าคุณสมบัติบนร่างของเทพหญิงแห่งหกวิญญาณเริ่มปรากฏบ้างแล้ว ถึงแม้พลังวิญญาณในร่างนางยังมีโอกาสระเบิดออกมา ช่วงเวลาก่อนที่จะสำเร็จเป็นเซียน ไม่ว่าอย่างไรนางต้องคอยระวังไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดขึ้น


ดีที่ลู่ยาก็คอยระวังอยู่ตลอด อย่างไรตอนนี้ทุกอย่างก็เปิดเผยหมดแล้ว ไม่มีอะไรต้องกลัวอีก อีกอย่างหลังจากที่ความคิดจิตใจของชายชุดเขียวกับเขากลับเข้ามารวมกัน ก็สามารถควบคุมพลังวิญญาณของนางได้ ตอนนี้นางไม่จำเป็นไม่จำเป็นต้องวิ่งรอกไปทั่ว ย่อมไม่มีปัญหาแน่นอน


เรื่องราวเบื้องหลังนี้ยังไม่ได้บอกผู้อื่น แต่หลังจากที่หลิวจวิ้นกลับจากวังหลิงเซียวก็มาพูดกับมู่จิ่ว “ทางด้านฝ่าบาทน่าจะสืบเจออะไรบางอย่าง ก่อนหน้านี้ได้คุยกับข้าเรื่องคลื่นจิตพสุธามีการเคลื่อนไหว เหล่าสัตว์น้ำสัตว์บกต่างก็หันหน้าร้องคร่ำครวญไปทางทิศเหนือตลอดทั้งคืน พระองค์ยังคิดจะไปเชิญเทพบนสวรรค์อันสูงส่งไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ข้าขวางไว้แล้ว”


มู่จิ่พลันนึกถึงเรื่องประหลาดตอนที่นางไปคลื่นจิตพสุธา คาดว่าคงทำให้สวรรค์เก้าชั้นตกใจ เมื่อคิดแล้วจึงเอ่ย “รอจนทำคดีนี้เสร็จ ข้าจะไปคุยกับฝ่าบาทและเหนียงเหนียงเอง”


ถึงแม้หลิวจวิ้นจะไม่รู้เบื้องลึกเบื้องหลัง แต่เพราะยังมีลู่ยาอยู่ด้วย ดังนั้นจึงยินยอมไปตามนั้น


“ทางด้านแรกพยับเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ?” สิ่งที่มู่จิ่วกังวลใจที่สุดยังคงเป็นเรื่องนี้


หลิวจวิ้นหยิบม้วนบันทึกคดีออกมา ก่อนตอบ “ต่อจากหูเจียงเต๋อก็มีสองสามคนแสดงตัว แต่ไม่มีน้ำหนักมากนัก คนเหล่านั้นส่วนใหญ่กลายเป็นเซียนแล้ว มีเส้นสายอยู่ในสวรรค์บ้าง อีกทั้งทางด้านลัทธิฉ่าน…” พูดตรงนี้เขาก็ส่ายหน้า พูดต่อว่า “แต่หากได้คำให้การจากปากของหลินเซี่ยหรือจีหมิ่นจวินเอง เรื่องราวคงง่ายขึ้นเยอะ”


คำให้การของจีหมิ่นจวินกับหลินเซี่ย?


มีคำให้การของผู้ที่เกี่ยวข้องโดยตรง นั่นย่อมเป็นประโยชน์ต่อหลินเจี้ยนหรู แต่มู่จิ่วประหลาดใจอยู่บ้าง เอ่ยถามว่า “ตอนนั้นหลินเซี่ยถูกหลินเจี้ยนหรูทำลายจิตต้นกำเนิด วิญญาณดับสูญไปแล้ว และจิตต้นกำเนิดของจีหมิ่นจวินก็เหมือนจะโดนทำลายไปเช่นกันมิใช่หรือ? จะหาพวกเขาเจอได้อย่างไร?”


และไม่ใช่ว่าทุกคนจะโชคดีแบบนั้น สามารถรวบรวมจิตที่แตกสลายกลับมาได้ มิฉะนั้นแล้วหกภพคงไม่มีโทษทัณฑ์นี้


“ตอนนี้ยังไม่แน่ใจ แต่เจ้าสามารถไปดูที่ปรโลกได้” หลิวจวิ้นตอบ “หากไม่สำเร็จ แค่คำให้การของบุตรสาวจีหมิ่นจวินก็น่าจะพอได้ สรุปคือตอนนี้สิ่งที่พวกเราต้องทำคือทำให้แรงจูงใจในการฆ่าคนของหลินเจี้ยนหรูมีเหตุผล เพียงแค่สมเหตุสมผล การฆ่าคนของเขาก็จะต่างออกไปแล้ว”


“หากมีตัวต้นเรื่องมายืนยันว่าเคยรังแกหลินเจี้ยนหรูอย่างไรบ้าง หากไท่ซ่างเหล่าจวินถามหาผู้รับผิดชอบขึ้นมา นั่นก็ไม่ใช่ความผิดของหลินเจี้ยนหรูแล้ว แต่จะเป็นความรับผิดชอบของเจ้าสำนักแรกพยับแทน โอกาสรอดชีวิตของหลินเจี้ยนหรูจะสูงมาก”


มู่จิ่วได้ยินถึงตรงนี้ก็ยืนขึ้นแล้ว “เช่นนั้นข้าไปก่อนนะเจ้าค่ะ”


หลิวจวิ้นพยักหน้า ส่งบันทึกคดีของตระกูลจจีหมิ่นจวินให้นาง


ในปรโลกไม่มีกลางวันกลางคืน มีเพียงแสงสลัวยามโพล้เพล้ตลอดเวลา


มู่จิ่วมุ่งตรงไปยังวังพญายม


พญายมเป็นบัณฑิตหน้ามนท่าทางสง่างาม เห็นมู่จิ่วในเครื่องแบบก็รีบลุกขึ้นหลังโต๊ะ เมื่อมองนางอย่างละเอียดจึงเห็นว่าระหว่างคิ้วนางมีไอมงคลลอยวน แววตาซื่อตรงกระจ่างใส ดูออกว่าไม่ใช่ขุนนางสวรรค์ธรรมดา จึงรีบเข้ามาทำความเคารพด้านหน้าแล้วนำนางไปยังตำหนักหลัง


มู่จิ่วเล่าเหตุที่ตนมาให้ฟัง พญายมรีบส่งคนไปตามหา


เพิ่งผ่านไปชั่วครึ่งถ้วยชา ภูตผีน้อยก็กลับมาแล้ว “เรียนท่านพญายม เหล่าคนที่ท่านเอ่ยนามมาเมื่อครู่ไม่มีอยู่เลย” พูดพลางส่งรายชื่อคนตายมาให้ “ผู้พิพากษาค้นหาอยู่นานก็ไม่พบเลย เขาให้ข้านำสิ่งนี้มาให้”


เมื่อพญายมฟังจบก็รับบัญชีรายชื่อมา จากนั้นส่งให้มู่จิ่ว


มู่จิ่วพลิกไปยังหน้าของหลินเซี่ย เห็นบันทึกไว้เพียงวันเดือนปีเกิด บ้านเกิด ชะตาก็มีบันทึกไว้ แต่สถานที่ที่วิญญาณกลับไปกลับว่างเปล่า เมื่อดูหน้าของจีหมิ่นจวินก็เป็นเช่นเดียวกัน คืนนั้นนางเห็นกับตาว่าหลินเจี้ยนหรูเผานางไปแล้ว และก็เห็นว่าเขาทำลายจิตต้นกำเนิดของนาง จุดจบเช่นนี้ไม่ได้น่าประหลาดใจนัก


จีเทียนอวี้กับจีเพ่ยฟางก็เป็นเช่นนี้ พลังของหลินเจี้ยนหรูที่กำลังบ้าคลั่งนั้นยิ่งใหญ่นัก เขารวบรวมความเกลียดชังตลอดสองร้อยปีเข้าไปในฝ่ามือ พี่น้องตระกูลจีตายด้วยฝ่ามือพิฆาตนั้น


……………………..


บทที่ 389 สถานการณ์พลิกผัน

โดย

Ink Stone_Romance

คิ้วของมู่จิ่วยิ่งขมวดแน่น


หากตระกูลจีไม่อยู่กันหมดแล้ว คดีนี้ก็ยิ่งถอยหลังเข้าคลอง


การถอยหลังเข้าคลองนี้ไม่เป็นประโยชน์ต่อหลินเจี้ยนหรู วันสำเร็จเป็นเซียนของนางก็จะยิ่งห่างออกไป หรือว่าจะต้องใช้ไม้แข็งกับแรกพยับแล้วจริงๆ?


นางไม่อยากลงมือโดยไม่เลือกวิธีการ


หลังครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ชื่อของคนผู้หนึ่งกลับแล่นเข้ามาในความคิด…จีหย่งฟาง!


ใช่แล้ว จีหย่งฟาง!


นางลืมชื่อนี้ไปได้อย่างไร?!


มู่จิ่วรีบพลิกไปที่หน้าของจีหย่งฟาง และก็ไม่ทำให้นางผิดหวังจริงๆ! ตระกูลใหญ่ของจีหมิ่นจวินมีเพียงจีหย่งฟางเท่านั้นที่ตายด้วยเงื้อมมือของหัวชิง อีกทั้งหัวชิงก็เพียงผลักนางเข้าไปในหลุมตัดวิญญาณเท่านั้น ไม่ได้ทำลายจิตต้นกำเนิดของนาง ไม่ได้ตัดทางเวียนว่ายตายเกิด! จิตใจที่สงบลงมาร่วมเดือนของมู่จิ่วตื่นเต้นขึ้นมาอีกครั้งเพราะเรื่องนี้!


“วิญญาณของจีหย่งฟาง ไม่รู้ว่าสามารถพาไปสอบปากคำที่สวรรค์ได้หรือไม่?”


พูดกันชัดๆ วังพญายมก็เป็นหนึ่งในหน่วยของสวรรค์ หากทัพทหารสวรรค์ต้องการพาวิญญาณไปร่วมทำคดีอาจไม่มีอุปสรรค์ใด


แต่หลังจากที่พญายมดูแล้วกลับเอ่ยว่า “เกรงว่าจะไม่ได้?”


มู่จิ่วกำลังจะขมวดคิ้ว เขาก็ชี้ไปบนหน้ากระดาษ ก่อนพูดต่อ “ใต้เท้าโปรดดู วิญญาณของจีหย่งฟางกลับไปเวียนว่ายตายเกิดแล้ว ตอนนี้ไปเกิดเป็นคนรับใช้ของตระกูลพ่อค้า…ในเมื่อลงไปเกิดแล้วย่อมไม่มีเหตุผลที่จะนำวิญญาณกลับมา นี่เป็นเรื่องผิดกฎ”


มู่จิ่วนิ่งอึ้ง นางคาดไม่ถึงว่าจีหย่งฟางจะไปเกิดใหม่แล้ว…


ความตื่นเต้นในตอนแรกมอดดับไปทันที


“แต่ใต้เท้าไม่ต้องร้อนใจไป” พญายมรีบเอ่ยปลอบ “จีหย่งฟางผู้นี้แม้ชาตินี้จะไปเกิดเป็นข้ารับใช้ตระกูลพ่อค้า แต่ชาติก่อนได้ทำเรื่องผิดคุณธรรมไว้มาก ปรโลกมีบันทึกไว้ถึงได้ตัดสินโทษให้นาง ข้าจะไปที่กรมตัดสินคดี เอารายละเอียดมาให้ใต้เท้า ท่านนำบันทึกกลับไปอาจจะมีประโยชน์”


จิตใจของมู่จิ่วดีขึ้นเล็กน้อย ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี! แต่ไม่น่าเชื่อเลย หลังจากตายจีหย่งฟางก็มาที่ปรโลก เรื่องแรกที่ทำคือโดนสอบสวน การกระทำของทั้งชีวิตนี้ล้วนถูกบันทึกในสมุดคุณงามความดี หากนางไม่ได้เล่าเรื่องที่เคยทำกับหลินเจี้ยนหรูทั้งหมด จะไปเกิดเป็นข้ารับใช้ของพ่อค้าได้อย่างไร?


ชาติก่อนนางทำกับหลินเจี้ยนหรูไว้น้อยเสียเมื่อไหร่? เพียงแค่เรื่องที่ทำร้ายเขานอกประตูสวรรค์แดนใต้กับเรื่องที่เคยคิดฆ่าเขาก็พอที่จะชี้ปัญหาได้แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าหลินเจี้ยนหรูเคยอยู่ที่แรกพยับถึงสองร้อยปี! ในสองร้อยปีนี้สามารถทำเรื่องได้มากน้อยเท่าไหร่?


นางวางใจแล้ว จึงรีบขอบคุณ มองส่งพญายมที่เดินออกไป


รอประมาณเวลาครึ่งถ้วยชา พญายมก็เดินเร็วๆ กลับมา หยิบม้วนบันทึกมาให้นางด้วยม้วนหนึ่ง “กรรมของจีหย่งฟางทั้งหมดอยู่ในนี้”


มู่จิ่วนำมาดู ประสานมือขอบคุณเขา เมื่อขอบคุณเสร็จก็มุ่งหน้ากลับสวรรค์


หลิวจวิ้นเลิกงานกลับมาพอดี เมื่อฟังเรื่องที่มู่จิ่วเล่าจบก็ตื่นเต้นยินดีเช่นกัน! จีหย่งฟางก็เป็นหนึ่งในผู้กระทำผิด คำให้การของนางมีผลเช่นเดียวกับคำให้การของจีหมิ่นจวิน


“ข้าจะทำสรุปก่อน พรุ่งนี้เช้าเจ้ามาหาข้าที่หน่วย” หลิวจวิ้นเอ่ยขึ้นหลังนั่งกลับลงไปตรงโต๊ะทำงาน


มู่จิ่วรู้ว่าเขายุ่งจึงไม่กล้ารบกวน และจากมาด้วยความยินดี


เมื่อกลับถึงบ้าน ลู่ยากำลังรอนางอยู่ เมื่อเห็นนางเดินเข้ามาถึงรีบเข้าไปรับ “เจ้าไปทำอะไรที่ปรโลก?”


มู่จิ่วเล่าเรื่องที่ไปหาคำให้การของจีหย่งฟาง ลู่ยาฟังจบก็เอ่ยช้าๆ “ในเมื่อคำให้การของจีหมิ่นจวินมีประโยชน์ เช่นนั้นคำให้การของเหลียงชิวฉานก็มีประโยชน์เหมือนกันหรือ?”


“แน่นอนว่ามี!” มู่จิ่วได้ยินเขาเอ่ยชื่อเหลียงชิวฉาน ดวงตาก็เป็นประกาย “ตำแหน่งยิ่งสูงกว่า เคยเกี่ยวข้องกับเขามาก คำพูดยิ่งมีน้ำหนัก คำให้การของเหลียงชิวฉานย่อมมีประโยชน์แน่!” พูดถึงตรงนี้นางก็ยืนขึ้นมา “เมื่อเป็นเช่นนี้ข้าคงต้องไปปรโลกอีกรอบ ดูว่าสามารถนำจิตต้นกำเนิดของหัวชิงออกมาได้ด้วยหรือไม่!”


หากมีคำให้การของจิตต้นกำเนิดหัวชิง เช่นนั้นคดีของหลินเจี้ยนหรูก็จะผลิกผันแล้ว! เพราะเขาเคยเป็นถึงเจ้าสำนักแรกพยับ!


พูดไปนางก็ทนรอไม่ไหว ฝากฝังอย่างลวกๆ ทีหนึ่งก็ออกไป


ลู่ยาคิดจะเรียกนางเพื่อพูดอะไรบางอย่าง แต่นางกลับหายไปแล้ว


มู่จิ่วมุ่งตรงไปยังปรโลกเก้าแดน


พญายมเห็นนางกลับไปแล้วกลับมาอีกจึงอดกังวลไม่ได้ รอจนนางบอกที่มาจนกระจ่างถึงค่อยยิ้มเอ่ย “ใต้เท้ามาได้จังหวะพอดี รายชื่อคนตายยังอยู่ในมือข้า ยังไม่ได้คืนไป ข้าจะเอามันออกมาให้ท่านดู”


เขาหมุนตัวกลับไปที่โต๊ะทำงาน หยิบรายบัญชีชื่อออกมา พลิกไปยังสักหน้าก่อนเอ่ย “วิญญาณของหัวชิงเจินเหรินยังอยู่ที่ปรโลก ท่านเพียงแสดงคำสั่งเรียกตัวในฐานะเจ้าหน้าที่สวรรค์ก็พอ ส่วนเหลียงชิวฉานนั้น…” พูดถึงตรงนี้เขาก็ขมวดคิ้ว พลิกไปหลายหน้า แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ


“เหลียงชิวฉานทำไมหรือ?” มู่จิ่วรีบถาม


พญายมเงยหน้าขึ้นมา “อายุขัยของเหลียงชิวฉานหมดแล้ว แต่วิญญาณของนางไม่ได้อยู่ที่นี่”


“ไม่อยู่?” มู่จิ่วอึ้งไป


โดยปกติแล้ว เมื่อวิญญาณทั้งหมดในหกภพหลุดออกจากร่างแล้วและไม่ได้ถูกควบคุมจะต้องถูกขังอยู่ในปรโลก เหลียงชิวฉานตายแล้ว จะไม่อยู่ที่นี่ได้อย่างไร?


นางรับรายชื่อมา พลิกดูด้วยตนเอง


เห็นเพียงบันทึกหลังจากที่นางสิ้นชีวิตว่างเปล่า!


จะเป็นไปได้อย่างไร? จิตต้นกำเนิดของพวกจีหมิ่นจวินแตกสลายไปแล้ว หน้ากระดาษถึงได้ว่างเปล่า แต่เหลียงชิวฉานตายด้วยเงื้อมมือนาง ตอนนั้นนางลงมืออย่างไว้ไมตรี ไม่ได้ทำลายจิตต้นกำเนิดของเหลียงชิวฉาน แล้วนางไปอยู่ไหน?


“มีหนทางตามหาหรือไม่?” นางถาม


พญายมพยักหน้า เดินเข้าไปหยิบของวิเศษออกมา ลงมืออยู่ครู่หนึ่งกลับเอ่ยว่า “แปลกนัก กระดิ่งขังวิญญาณของข้าหานางไม่พบ!”


มู่จิ่วเอ่ยไม่ออก เหลียงชิวฉานหายตัวไป?


เมื่อไม่ได้ผลจึงเงียบไปครู่หนึ่ง ทำได้เพียงขอวิญญาณหัวชิงมาก่อน โดยให้พวกภูตผีชั้นล่างพากลับสวรรค์ไป


ชาติก่อนหัวชิงเป็นเซียน ทั้งยังไม่ได้ทำบาปอะไรหนักหนา ตายแล้วจึงได้รับการปฏิบัติที่ดีหน่อย ตอนที่มู่จิ่วเจอเขา ท่าทางเขายังสุขสบายดี แววตาไม่มั่นคง เห็นชัดว่ายังมองนางเป็นพวกเดียวกับหลินเจี้ยนหรู


มู่จิ่วไม่ได้พูดอะไรกับเขา เมื่อมาถึงสวรรค์ก็ส่งเขาให้หลิวจวิ้น เล่าเรื่องการไปครั้งนี้ให้ฟัง หลิวจวิ้นพอใจที่ได้หัวชิงมา ส่วนเหลียงชิวฉานหายไปที่ไหนนั้น ตอนนี้เขาไม่ได้ใส่ใจ


มู่จิ่วนำความสงสัยกลับบ้านไป เท้าคางอยู่ตรงขอบหน้าต่างพลางครุ่นคิด


ตอนนั้นเหลียงชิวฉานถูกหลินเจี้ยนหรูพาตัวไปแล้ว เขาคงไม่ได้ทำลายจิตต้นกำเนิดของนางหรอกกระมัง?


นางไปที่ไหนกันแน่? หรือนางก็เหมือนกับเฟยอี…


“พาคนมาได้หรือไม่?”


ตอนนี้เอง ลู่ยาถือถาดขนมเข้ามา ส่งให้นางพลางถาม


มู่จิ่วถอนหายใจ หยิบขนมกุ้ยฮวามาไว้ในมือ ตอบว่า “พาหัวชิงกลับมาได้แล้ว แต่เหลียงชิวฉานกลับหายไป”


ลู่ยายกริมฝีปากมองนาง หยิบขวดขนาดเล็กจากอกเสื้อออกมา “ทำไมเจ้าถึงไม่ถามข้า?”


มู่จิ่วชะงักไป ลู่ยาจึงพูดต่อ “นี่คือวิญญาณของเหลียงชิวฉาน ตอนที่นางตายข้านำวิญญาณนางมาด้วย ภายหลังได้นำร่างของนางไปไว้ที่คุนหลุนตะวันออกแล้วหล่อเลี้ยงไว้ด้วยพลังวิญญาณ ไม่ว่าเจ้าพาวิญญาณนางกลับทัพสวรรค์ไปตอนนี้ หรือจะรอให้วิญญาณนางกลับเข้าร่างก่อนแล้วค่อยไป ทั้งสองอย่างก็เหมือนกัน


……………………………..


บทที่ 390 เจ้าก็มีความผิด

โดย

Ink Stone_Romance

มู่จิ่วยินดียิ่งนัก ยืนขึ้นมากล่าว “ที่แท้เจ้าเป็นคนพาตัวนางไป! หากข้าเดาไม่ผิด ชายชุดเขียวคงเป็นคนลงมือทำกระมัง? นี่ดียิ่งนัก เจ้าบอกว่าศพของนางอยู่ที่คุนหลุนตะวันออก นั่นหมายความว่าหลินเจี้ยนหรูยังมีโอกาสเริ่มใหม่กับนางอีกครั้งใช่หรือไม่ แต่แบบนี้ชะตาชีวิตของนางต่อไปจะเป็นอย่างไร เช่นนี้มิผิดต่อลิขิตฟ้าหรือ?”


เมื่อได้รู้ว่าร่างของเหลียงชิวฉานถูกย้ายไปที่คุนหลุนตะวันออก มู่จิ่วดีใจยิ่งกว่าได้เจอวิญญาณของนางแล้วพาไปที่หน่วยเสียอีก เหลียงชิวฉานตายด้วยเงื้อมมือของนาง อีกทั้งหลินเจี้ยนหรูก็น่าสงสารนัก วันนั้นได้ยินเขายินดีจะใช้ชีวิตร่วมกับเหลียงชิวฉาน หากพวกเขาสามารถเคียงคู่กันไปได้ นับเป็นเรื่องที่ดีกับคนทั้งคู่!


“เจ้าวางใจเถอะ หากหลินเจี้ยนหรูไม่กลายเป็นมารไปก่อน เหลียงชิวฉานก็คงไม่ตายเร็วเช่นนี้ และเดิมทีพวกเขาไม่ควรเกี่ยวข้องกัน แต่เพราะการปรากฏตัวของพวกเราทำให้เรื่องราวมากมายเปลี่ยนไป ชีวิตนี้หลินเจี้ยนหรูได้รับความรักจากเหลียงชิวฉานก็เป็นเพราะฟ้าเห็นใจเขา การมอบชะตาชีวิตให้เขาแบบนี้ สำหรับพวกอวี้ตี้ไม่นับว่ายุ่งยากอะไร แล้วจะสร้างความลำบากใจให้ข้าได้อย่างไร?”


ลู่ยาส่งผ้าเช็ดหน้าให้นาง มองดูลวดลายดอกไม้บนขนมในมือขณะพูดอย่างช้าๆ


มู่จิ่วยิ้มน้อยๆ หยิบขวดขึ้นมาดู ก่อนเก็บเข้าไปในอกเสื้อ


อันที่จริงนางก็รู้ว่าเรื่องเหล่านี้ไม่นับเป็นอะไรสำหรับเขา เพียงแต่ได้ยินเขาพูดเช่นนี้วางใจ


ทางนี้ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง นางก็พลันถามขึ้น “เช่นนั้นเฟยอีล่ะ? นางไปที่ไหน?”


ลู่ยาชะงัก ชักมือที่กำลังหยิบขนมกลับไป ตอบว่า “ตอนนี้นางอยู่กับชิงผิง”


มู่จิ่วอึ้ง “ไม่ใช่อยู่ที่คลื่นจิตพสุธาหรือ?”


“เดิมทีก็ใช่” ลู่ยาบอก “หลังจากที่นางผ่านเคราะห์กรรมกับชิงผิงซึ่งมาเกิดเป็นกษัตริย์แล้วก็ถูกจองจำอยู่ปรโลก ตอนนั้นข้ายังขาดวิญญาณเซียนอยู่ จึงได้ไปหานาง เสนอให้นางมอบวิญญาณเซียนให้ข้า จากนั้นข้าก็สัญญาว่าชาติหน้าจะให้นางไปเกิดเป็นเซียน แต่นางกลับไม่ต้องการ ขอเพียงให้นางไปอยู่ข้างกายชิงผิง”


“ข้าบอกนางว่าอายุขัยของชิงผิงยังอีกยาวนัก นางบอกว่านางรอได้ ข้าจึงพานางกลับไปคลื่นจิตพสุธา หลังจากที่ชิงผิงไปเวียนว่ายตายเกิดแล้วข้าจึงส่งนางกลับไป”


มู่จิ่วกระจ่างโดยทันที


มิน่าล่ะ ตอนที่นางไปคลื่นจิตพสุธาถึงได้ไม่เจอผู้อื่นเลย ที่แท้เฟยอีจากไปพอดี!


นางยืนขึ้น “เช่นนั้นข้าพาเหลียงชิวฉานไปที่หน่วยเลยนะ!”


ตอนนี้ไม่มีเรื่องอะไรสำคัญไปกว่าการพลิกคดีนี้ หลินเจี้ยนหรูออกมาได้เร็วหนึ่งวัน นางก็สามารถสงบใจได้เร็วขึ้นหนึ่งวัน ตอนนี้เหลียงชิวฉานมีโอกาสกลับมามีชีวิตอีกครั้ง อย่างไรนางก็ต้องช่วยพวกเขา


ลู่ยาไม่ได้รั้งนางไว้ เมื่อนางออกไปเขาก็กลับมาสนใจการหลอมกระบี่ล้ำค่าต่อ


มู่จิ่วไปที่หน่วย หลิวจวิ้นดีใจอย่างไม่ต้องเอ่ยถึง เมื่อปรึกษากันเรื่องสืบสวนคดีเรียบร้อย แต่ละคนก็กลับไปทำหน้าที่ของตนเอง


ตกดึกนางทำอาหารแล้วไปหาหลินเจี้ยนหรูที่คุกหลวงอีกครั้ง


ท่าทางของเขาดีขึ้นกว่าคราวก่อนบ้าง แต่ตอนนี้มู่จิ่วยังไม่ได้บอกเรื่องเหลียงชิวฉานกับเขา ดูจากความเจ็บปวดที่เขาเอ่ยถึงนางในครั้งก่อนแล้ว เขาคงยังทำใจเรื่องนางไม่ได้กระมัง? ในใจของเขามีปม ถึงแม้จะรีบบอกเรื่องนี้ไป ก็ใช่ว่าเขาจะออกมาได้ทันที


วันถัดมานางตื่นแต่เช้าตรู่ไปที่หน่วย เจอหลิวจวิ้นที่ประตูพอดี พวกเขาต่างก็เข้าใจกันโดยไม่ต้องเอ่ยคำ พากันเข้าโถงกลางไป จากนั้นเปิดการพิจารณาทันที พาพยานที่หามาได้ในหลายวันนี้เข้ามา


หลายคนคือศิษย์ของยอดเขาบัวหยกสำนักแรกพยับ เคยฝึกวิชาด้วยกันกับหลินเจี้ยนหรู เพราะมากน้อยก็เป็นสหายร่วมห้อง ทั้งยังไม่ได้รับอิทธิพลร้ายของแรกพยับ จึงยังมีความเห็นใจหลินเจี้ยนหรูบ้าง เพียงแต่ตำแหน่งต้อยต่ำทำให้น้ำหนักคำพูดน้อย ถึงแม้จะไม่เห็นด้วย กลับช่วยอะไรไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นยังมาที่แรกพยับเพื่อกราบไหว้อาจารย์ศึกษาเล่าเรียน ย่อมต้องไม่มีความคิดจะออกโรงปกป้องหลินเจี้ยนหรู


หลังให้การเรื่องที่หลินเจี้ยนหรูเคยประสบมาบนเขาในปีนั้นเสร็จ หลิวจวิ้นก็ปล่อยพวกเขาไป จากนั้นให้คนนำหัวชิงเข้ามา


หัวชิงยังคงทะนงตน แต่ยังดีกว่าตอนที่เจอมู่จิ่วนัก


หลิวจวิ้นสั่งคนนำคำให้การมาให้ ก่อนเอ่ยปาก “ดูซิว่าคำให้การเหล่านี้เป็นจริงหรือไม่?”


หัวชิงไม่ยินยอมดู เขาเอ่ย “คำพูดเพ้อเจ้อ! ศิษย์สำนักแรกพยับของข้ามิใช่พวกแล้งน้ำใจ! หลินเจี้ยนหรูคนนั้นเกิดมาพร้อมรากฐานมาร เข้ามาสำนักเราสองร้อยปีไม่ได้ชำระรากฐานวิญญาณ สิ่งที่พวกเราทำผิดในตอนนั้นมีเพียงแค่ใจอ่อน ยอมปล่อยให้เขาอยู่ในสำนักต่อไป หากปีนั้นพวกเราไม่ปล่อยเขาไว้ วันนี้ก็คงไม่มีจุดจบเช่นนี้!”


มู่จิวเหลือบมองหัวชิง รอจนเขาพูดจบค่อยเข้าไปตรงหน้า “เจ้าพูดว่าเพ้อเจ้อ นั่นก็เท่ากับว่าเจ้ายอมรับว่าเคยรังแกหลินเจี้ยนหรูจริงหรือไม่?”


“จะเรียกว่ารังแกได้อย่างไร? ศิษย์คนไหนไม่เคยลำบากบ้าง? การสั่งสอนก็นับเป็นการรังแกเช่นเดียวกันหรือ?” หัวชิงทัดทานด้วยเหตุผล


มู่จิ่วไม่รีบร้อนเถียงเขา เพียงหยิบคำให้การอีกฉบับขึ้นมาบนโต๊ะ “แต่จีหย่งฟางไม่ได้บอกเช่นนี้ ตอนอยู่ที่วังพญายาม บาปที่นางสารภาพออกมาเกี่ยวข้องกับหลินเจี้ยนหรูเก้าส่วน นางไม่เพียงให้การว่านางชิวเสียตัวเพราะคำหลอกลวงหวานหูของหลินเซี่ย ทั้งยังยอมรับด้วยว่าหลินเซี่ยนั้นเจ้าชู้ประตูดิน”


“ไม่เพียงเท่านั้น หลินเซี่ยยังเคยฆ่านางชิวด้วยมือของตัวเอง ในเมื่อหลินเซี่ยเคยฆ่าผู้บริสุทธิ์ เช่นนั้นการที่หลินเจี้ยนหรูฆ่าเขา จะมีอันใดผิดกัน? นอกจากนั้นจีหย่งฟางยังให้การอีกว่าจีหมิ่นจวินจงใจไม่ชำระล้างรากฐานวิญญาณของหลินเจี้ยนหรูให้หมดจด รวมถึงความร้ายกาจที่เหล่าแม่ลูกจีหมิ่นจวินปฏิบัติต่อหลินเจี้ยนหรูอีกนับไม่ถ้วนด้วย นี่คือคำให้การที่ฝ่ายปรโลกบันทึกไว้ เจ้ามีความเห็นว่าอย่างไรบ้าง?”


หัวชิงไร้คำพูดตอบโต้


“ใช่แล้ว” มู่จิ่วพูดต่อ “พูดถึงการตายของจีหย่งฟาง เจ้าก็ผลักความรับผิดชอบไม่ได้ด้วย”


“ถึงแม้การตายของจีหย่งฟางจะเกิดจากการใส่ร้ายของหลินเจี้ยนหรู แต่เจ้าก็มีความผิดในฐานะเจ้าสำนักที่ไม่ตรวจสอบให้ดีก่อน นอกจากนั้นชัดเจนว่าหลินเจี้ยนหรูไม่ใช่ศิษย์ของลู่ยา แต่เพื่อทัดทานกับจีหมิ่นจวิน เจ้ายังยกหลินเจี้ยนหรูขึ้นเป็นผู้อาวุโส ทั้งที่รู้ชัดถึงความแค้นระหว่างพวกเขา เคราะห์กรรมที่แรกพยับจะได้รับ เจ้าที่เป็นเจ้าสำนักก็หลีกหนีความรับผิดชอบไม่พ้น”


“ดังนั้นถึงแม้เจ้าจะตายแล้ว แต่คดีนี้ต้องจัดการให้ถึงที่สุด เรื่องที่เจ้าต้องรับผิดชอบก็ต้องรับไป”


หัวชิงรู้สึกเพียงลมหายใจติดขัด ไม่มีหนทางปฏิเสธได้


เขาคิดไม่ถึงว่าจะมีคำให้การของจีหย่งฟางหลงเหลืออยู่ที่ปรโลก วิญญาณทุกดวงก่อนจะไปเกิดต้องไปที่วังพญายมเพื่อตัดสินบุญบาป นี่ไม่เหมือนกับการขึ้นให้การในชั้นศาล เรื่องที่เคยทำก่อนไปเกิดถูกบันทึกอยู่ในมือผู้พิพากษานานแล้ว จิตต้นกำเนิดของพวกหลินเซี่ยแตกสลายไปเรียบร้อย แต่จีหย่งฟางตายด้วยมือเขา เขาก็ไม่คิดว่าพวกมู่จิ่วจะไปเอาคำให้การของจีหย่งฟางมา ครั้งนี้เขาจนคำพูดแล้ว


“หากเจินเหรินสารภาพออกมาจนหมด เกรงว่าถึงตอนนั้นยังสามารถลบล้างความผิดในปรโลกได้ ทั้งหมดขึ้นอยู่กับท่านแล้ว” หลิวจวิ้นอธิบายช้าๆ พลางหยิบคำให้การที่เรียบร้อยแล้วออกมา


มู่จิ่วเข้าใจโดยไม่ต้องบอก นางหยิบดอกบัวทองขนาดสามชุ่นที่ลู่ยาให้ออกมาเล่น


ในเมื่อหัวชิงสามารถแยกพลังเสวียนหมิงออก จะไม่รู้ได้อย่างไรว่าดอกบัวทองนั้นหมายถึงลู่ยา?


ถึงแม้จะเป็นวิญญาณ แต่ตอนนี้หัวชิงก็ยังต้องหลั่งเหงื่อ!


……………………………..


บทที่ 391 ทำให้ดีที่สุด

โดย

Ink Stone_Romance

ยามบ่ายตอนพระอาทิตย์คล้อยต่ำ หัวชิงถูกพาตัวออกไป หลิวจวิ้นถอนหายใจยาวก่อนยืนขึ้นมา “เอาบันทึกคำให้การทั้งหมดมา พวกเราไปวังหลิงเซียว!”


พูดจบก็ก้าวเท้าออกไปก่อน


มู่จิ่วรีบกอดบันทึกคำให้การแล้วตามออกไป ใจที่ราวกับมีหินถ่วง ตอนนี้ร่วงลงอย่างมั่นคงไปแล้ว หัวชิงได้เล่าเรื่องความอยุติธรรมทั้งหมดที่หลินเจี้ยนหรูเคยได้รับมาตลอดสองร้อยปีที่แรกพยับจนหมด ทั้งยังเล่าเรื่องราวเบื้องหลังที่จีหมิ่นจวินและหลินเซี่ยฆ่านางชิวอย่างไรออกมาด้วย ไม่ว่าสุดท้ายหลินเจี้ยนหรูจะได้รับโทษอะไร แต่มีคำให้การของหัวชิงเจ้าสำนักอยู่ อย่างน้อยก็ช่วยยืนยันได้ว่าการฆ่าคนของเขาเป็นเรื่องอับจนหนทาง


วังหลิงเซียวยังคงสงบเหมือนที่ผ่านมา อวี้ตี้และหวังหมู่กำลังฟังเพลงพิณอยู่ในสวนดอกไม้


หลังจากขุนนางผู้ดูแลเดินเข้าไปแจ้ง หวังหมู่ก็โบกมือไล่เหล่าหญิงรับใช้ให้ออกไป แล้วเชิญพวกเขาทั้งสองเข้ามา


หลิวจวิ้นแจ้งเหตุที่มาก่อน “คดีที่ศิษย์ในสำนักหลินเจี้ยนหรูสังหารคนจำนวนมากที่สำนักแรกพยับ บัดนี้สืบได้กระจ่างชัดแล้ว เจ้าสำนักหัวชิงให้การมา หลินเจี้ยนหรูเป็นลูกลับนอกสมรสของศิษย์น้องเขาหลินเซี่ย นางชิวมารดาของคนแซ่หลินเป็นผู้บริสุทธิ์ อดทนให้กำเนิดหลินเจี้ยนหรูออกมา และบากหน้าพาไปหาบิดาของเขาที่แรกพยับ ถึงได้รู้ว่าหลินเซี่ยนั้นมีครอบครัวอยู่แล้ว”


“ด้วยแรงกดดันของภรรยา หลินเซี่ยจึงได้วางยาฆ่านางชิว ทั้งยังทำลายจิตต้นกำเนิดของนางก่อนที่จะถูกพาไปปรโลกโดยไม่รู้จักถูกผิด ทำให้นางชิวต้องไปเวียนว่ายตายเกิดอย่างยากลำบากหลายหน หลินเจี้ยนหรูอาศัยอยู่ที่แรกพยับ ได้รับการกลั่นแกล้งจากเหล่าคนตระกูลจี และหลินเซี่ยบิดาแท้ๆ ของเขากลับวางเฉย ภายใต้การปล่อยปละละเลยของหลินเซี่ย คนทั้งสำนักแรกพยับต่างกลั่นแกล้งหลินเจี้ยนหรู”


“หลินเจี้ยนหรูเก็บความเกลียดไว้ในใจ ทำให้ฆ่าพ่อและน้องสาว จากนั้นยังทำการฆ่าคนหมู่มาก นี่คือคำให้การทั้งหมด ขอให้ฝ่าบาทและเหนียงเหนียงพิจารณา”


มู่จิ่วได้ยินแล้วจึงรีบส่งบันทึกคดีขึ้นไป


เมื่ออวี้ตี้หวังหมู่ได้ยินก็ทำหน้าเคร่ง “มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ?”


คดีของแรกพยับไม่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่นัก วันนั้นแม้อวี้ตี้หวังหมู่จะตกใจ แต่เมื่อผ่านไปหลายวันก็ลืมไปมากแล้ว เพียงแค่ยังมีความทรงจำหลงเหลืออยู่บ้างเท่านั้น จำได้เพียงว่าหลินเจี้ยนหรูคือคนชั่วที่ลืมบุญคุณหักหลังสำนักเท่านั้น และยังเป็นลูกนอกสมรสด้วย


แต่ตอนนี้เมื่อได้ยินคำพูดของหลิวจวิ้น หวังหมู่ก็ขมวดคิ้วก่อน “หลินเซี่ยผู้นี้ไม่รามือกระทั่งลูกแท้ๆ ของตนเอง”


“ไม่เพียงแค่ไม่รามือเท่านั้นหรือ?” มู่จิ่วรีบก้าวขึ้นมาพูด “เหนียงเหนียง หลินเซี่ยไม่ได้มองหลินเจี้ยนหรูเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตน ทุกครั้งที่แม่ลูกตระกูลจีทำร้ายเขา หลินเซี่ยไม่เคยยื่นมือเข้าช่วย ศิษย์ทั้งหมดบนเขาไม่เคยมองเขาเป็นมนุษย์ คำให้การเหล่านี้ล้วนมาจากพวกเขาทั้งหมด ขอฝ่าบาทและเหนียงเหนียงพิจารณาด้วย!”


หวังหมู่จ้องนางอยู่พักหนึ่ง จากนั้นมองอวี้ตี้ ก่อนจะก้มหน้าลงอ่าน


สายตาของมู่จิ่วจับจ้องอยู่บนหน้าของพวกเขาตลอด เห็นเพียงสีหน้าหวังหมู่ที่อ่านอยู่เผยความโกรธ มู่จิ่วยังไม่ทันได้พูด นางก็ปิดบันทึกคำให้การลง ก่อนเอ่ย “เจ้าพวกสำนักแรกพยับนี่ เน่าเฟะไปหมดแล้วหรือ? เจ้าบอกว่าสองคนนั้นรังแกหลินเจี้ยนหรูก็แล้วไปเถอะ เจ้าบอกว่าหลินเซี่ยไม่มองเขาเป็นลูกในไส้ก็แล้วไปเถอะ แต่ทำไมคนทั้งสำนักถึงกระทำแบบเดียวกันได้ลง?”


“เหนียงเหนียง” มู่จิ่วค้อมตัวลง “นิสัยของหัวชิงเจ้าสำนักผู้นี้ไม่เด็ดขาด และจีหมิ่นจวินยังเป็นถึงองค์หญิงแห่งอาณาจักรจื่อจิว วางอำนาจบาตรใหญ่ในแรกพยับ ไม่เพียงหลินเซี่ยไม่กล้าหือกับนาง กระทั่งหัวชิงยังต้องไว้หน้านางสามส่วน”


“จีหมิ่นจวินไม่ยอมรามือจากหลินเจี้ยนหรู เพราะความเกลียดที่มีต่อหลินเซี่ย จึงจงใจเก็บหลินเจี้ยนหรูไว้รองรับอารมณ์ของนางโดยไม่ยอมปล่อยเขาไป มีนางค่อยปั่นความเกลียดชัง หัวชิงก็ไม่สนใจ เหล่าศิษย์บนสำนักส่วนใหญ่ก็เป็นผู้บำเพ็ญตนขั้นแรกเท่านั้น ย่อมต้องทำไปตามคนหมู่มาก ทำร้ายหลินเจี้ยนหรูโดยไม่ยำเกรงสิ่งใด”


“ช่างไม่มีขื่อมีแปยิ่งนัก!”


อวี้ตี้ยืนขึ้น พูดด้วยความโกรธกริ้ว “สำนักแรกพยับช่างเละเทะนัก พวกเขากดดันคนจนถึงขั้นนี้ ทั้งยังคิดกำจัดเขาอีก? คนที่เป็นผู้บำเพ็ญเซียน ความเห็นอกเห็นใจขั้นพื้นฐานยังไม่มี ถึงแม้หลินเจี้ยนหรูจะเป็นลูกนอกสมรส แต่นั่นมิใช่บาปของหลินเซี่ยหรอกหรือ? เขาไม่เพียงไม่เลี้ยงดูบุตรให้ดี กลับยังปล่อยให้คนอื่นรังแก เขาตายในเงื้อมมือบุตรตนเองก็โทษใครไม่ได้!”


หวังหมู่พยักหน้าเห็นด้วย จากนั้นก็ยืนขึ้น “การตายของหลินเซี่ยและจีหมิ่นจวินสามารถละเว้นโทษให้หลินเจี้ยนหรูได้ แต่เขาฆ่าคนอื่น เรื่องนี้ก็ออกจะเกินไปเสียหน่อย”


“เหนียงเหนียง! นี่ก็เป็นเรื่องที่สามารถให้อภัยได้ คนที่รังแกเขาในแรกพยับมีจำนวนไม่น้อย ถึงแม้เขาจะขาดสติไปบ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับขาดมโนธรรมสำนึก กระทั่งที่เหลียงชิวฉานฆ่าหัวชิงก็เป็นเพราะเขาลอบทำร้ายจากข้างหลัง ตั้งใจจะฆ่าหลินเจี้ยนหรู นางถึงได้ฆ่าเขา! พูดตามจริง หากไม่มีการดูแคลนในตอนแรก ก็ย่อมไม่มีการทำร้ายในภายหลัง ไม่อาจให้หลินเจี้ยนหรูแบกรับเพียงคนเดียวได้!”


มู่จิ่วเข้าไปอธิบายกับหวังหมู่


“ความลำบากของหลินเจี้ยนหรู ตัวข้าเข้าใจได้ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจละเว้นความบ้าคลั่งนี้” หวังหมู่เอ่ย “ถึงแม้เขาจะน่าสงสาร แต่ใช่ว่าจะไม่มีความผิดเลย ถึงแม้ฝ่าบาทกับตัวข้าสามารถทำใจกว้างได้ แต่มันไม่ยุติธรรมต่อผู้อื่น และจะเป็นการให้ท้ายผู้กระทำผิด อีกอย่างคงยากที่จะอธิบายกับไท่ซ่างเหล่าจวินให้เข้าใจ”


มู่จิ่วขมวดคิ้วแลกสายตากับหลิวจวิ้น หลิวจวิ้นพูด “เช่นนั้นฝ่าบาทกับเหนียงเหนียงจะตัดสินคดีนี้อย่างไร?”


อวี้ตี้กลั้นลมหายใจ ประสานมือเอ่ย “พักไว้ก่อน รอข้าไปเชิญไท่ซ่างเหล่าจวินมาหารือก่อนค่อยว่ากัน นี่เป็นเรื่องราวภายในลัทธิฉ่าน ต้องให้เกียรติถามความเห็นวังโตวลวี่ด้วย”


หวังหมู่ได้ยินก็พยักหน้า


มู่จิ่วรู้ว่านี่คือสัญญาณจากเขาทั้งสอง จำต้องก้มหน้ารับและถอยออกไป


ตอนนี้สิ่งที่พวกเขาควรทำก็ได้ทำหมดแล้ว ต่อไปทำได้เพียงรอข่าวจากวังหลิงเซียวเท่านั้น


แน่นอนว่าต้องไม่เร็วขนาดนั้น เพราะคนของแรกพยับยังคงปล่อยข่าวลืออย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังไม่รู้ว่าไท่ซ่างเหล่าจวินจะรับเรื่องที่สำนักแรกพยับกลายเป็นคนร้ายได้หรือไม่


แต่ภายใต้การเคลื่อนไหวของคนส่วนหนึ่งที่เอือมระอาลัทธิฉ่าน มีจำนวนไม่น้อยมุ่งความโกรธไปยังแรกพยับ…อันที่จริงไม่ว่าหลินเจี้ยนหรูควรจะได้รับโทษหรือไม่ เรื่องที่เขาเป็นผลผลิตจากความเจ้าชู้ของหลินเซี่ยนั้นเป็นเรื่องจริง ทั้งเรื่องที่ทั้งสำนักแรกพยับรวมหัวกันกลั่นแกล้งเด็กไม่มีทางสู้ก็เป็นเรื่องจริงเช่นกัน


รวมถึงยังมีเรื่องที่หลินเจี้ยนหรูเป็นเพียงผู้บำเพ็ญขั้นจู้จีอายุสองร้อยปีเท่านั้น กลับเข้าสังหารคนในสำนักโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น เรื่องราวเบื้องหลังก็เชื่อมโยงได้ง่ายดายนัก


ถึงแม้มู่จิ่วจะไม่ได้คำตอบจากวังหลิงเซียว แต่ได้ยินว่ากระแสของเรื่องราวเปลี่ยนไป ในใจก็สงบไปได้บ้าง


หวังหมู่ก็ไม่ได้พูดผิด หลินเจี้ยนหรูทำผิดจริง แต่การกระทำผิดของเขาไม่ถึงขั้นต้องชดใช้ด้วยชีวิต ไม่ใช่ว่าทุกคนที่เป็นแบบเขาจะเดินทางถูกได้ ความดีชั่วบนโลกนี้ล้วนมีเหตุและผล เขาสามารถแบกรับผลลัพธ์เพราะความขาดสติได้ แต่อนาคตที่เขาควรมี ฟ้าก็ไม่ควรติดค้างเขาเหมือนกัน


ถึงแม้ไม่มีโลกทั้งใบเคียงข้าง ขอเพียงมีชีวิตอยู่ เขาก็ยังมีเหลียงชิวฉานอยู่คนหนึ่ง


……………………………


บทที่ 392 มีข่าวมาแล้ว

โดย

Ink Stone_Romance

หลายวันนี้พักผ่อนอยู่ในบ้าน แน่นอนว่ายังต้องไปที่หน่วยด้วย นอกจากคดีของหลินเจี้ยนหรูแล้ว นางยังมีคดีอื่นที่ต้องจัดการ แต่ทุกวันผ่านไปเช่นนี้ บางครั้งก็เครียดจนโมโห บางครั้งก็อารมณ์ดี เหมือนกับถูกกระแสของคลื่นยักษ์พัดขึ้นๆ ลงๆ จนไม่ได้หยุดพัก


หลังกลับมาจากคลื่นจิตพสุธา พลังวิญญาณของนางก็ควบคุมได้มากขึ้น ไม่รู้ว่าเพราะควบคุมได้สำเร็จแล้วตอนที่นางรู้ความจริง หรือเพราะเข้าใกล้วันที่จะสำเร็จเป็นเซียนแล้ว ถึงพลังวิญญาณวิ่งกระแทกชีพจรเป็นพักๆ นางก็ไม่ได้รู้สึกหนักหนาอะไรในการควบคุมมันด้วยตนเอง


ภายใต้การช่วยเหลือของลู่ยา ตามพื้นฐานแล้วนางยังสามารถใช้มันในชีวิตประจำวันได้ด้วย อย่างเช่นระหว่างเดินทาง การใช้เมฆ หรือการต่อสู้ใช้วิชาอาคม หากมีพลังวิญญาณอันยิ่งใหญ่คอยหนุนหลังอยู่ ทุกอย่างก็ง่ายเหมือนปลาได้น้ำ


กระทั่งเสี่ยวซิงยังรู้สึกว่าช่วงนี้นางก้าวหน้าขึ้นมาก การเคลื่อนไหวก็ปราดเปรียวคล่องแคล่ว ถึงแม้นางจะยังเป็นนางคนเดิมแต่กลับไม่เหมือนในความรู้สึก


แน่นอน นอกจากเรื่องพลังวิญญาณแล้ว มู่จิ่วเองกลับไม่รู้สึกว่ามีอะไรต่างออกไป นางยังคงเข้าครัวทำอาหาร ยังคงต่อปากต่อคำกับซ่างกวนสุ่น เพียงแค่ตอนนี้นางออดอ้อนลู่ยาอย่างไม่สนใจสายตาผู้อื่นบ้าง หรือบางครั้งก็ทำตัวไร้เหตุผล ราวกับมีความสุขสงบอยู่ชั่วฟ้าดินสลายแน่นอน


ใจของลู่ยาราวกับเต็มไปด้วยความหวาน แต่ก็ยังมีความกังวลเล็กน้อย ตอนที่เขาพาเจ้าตัวน้อยทั้งสองไปอาบแดดที่ภูเขาในภพเบื้องล่าง เขาก็เอ่ยขึ้น “ตอนนี้พวกเราสบายอกสบายใจเช่นนี้ ต่อไปไปยังสวรรค์อันสูงส่ง ศิษย์พี่รองของข้าอาจจะอิจฉาข้าเอาได้” เขาได้ยินว่าตอนจื่อจิ้งกลับไปถูกเขาซักฟอกเสียนาน โดยเน้นย้ำถามว่าหลังจากที่ตนรู้ความจริงแล้วมีท่าทางเป็นเช่นไรบ้าง ช่างใจร้ายนัก


“เช่นนั้นก็หาคนรักให้เขาเสียหน่อย” มู่จิ่วที่หนุนอยู่บนตักเขาเอ่ย “ข้าคิดว่าอาจารย์ของข้าคงสนับสนุน”


“พูดได้ดี!” ลู่ยาอุทาน “แต่ข้าปล่อยให้เขาอิจฉาข้าก่อนดีกว่า” หากภายหลังต้องการตอบโต้กลับไปคงไม่ง่ายแล้ว จุ่นถีคืออาจารย์ของนาง หุนคุนก็คืออาจารย์ของจุ่นถี เขาไม่มองจุ่นถีเป็นศิษย์พี่ได้ แต่กลับไม่อาจไม่สนใจนางที่ยืนอยู่ตรงกลาง


มู่จิ่วยกยิ้ม ลุกขึ้นมาเก็บดอกเบญจมาศป่าที่อยู่บนเนิน


ผ่านไปเช่นนี้หลายวัน ใจของนางค่อยๆ กังวล


วันนี้ตั้งใจว่าจะไปวังหลิงเซียวเพื่อสอบถามข่าวคราว ผู้ติดตามของหลิวจวิ้นกลับพลันมาดักนางที่หน้าประตูหน่วยบัญชาการ “ใต้เท้าหลิวมีเรื่องด่วน ขอให้ใต้เท้าไปหาด่วน!”


มู่จิ่วเห็นสีหน้าของเขาเคร่งเครียด ใจก็หนักอึ้ง รีบเดินทางมุ่งไปยังห้องทำงานของหลิวจวิ้น


เมื่อเข้าไปในประตู ในห้องกลับสงบเงียบยิ่งนัก เหล่านกร้องอยู่ใต้ต้นอู๋ถง และก็ไม่เห็นว่ามีใครอื่นอีก มู่จิ่วรอไม่ไหว จึงออกจากลานบ้านข้ามไปยังระเบียงทางเดินฝั่งตรงข้าม เมื่อมองไปก็เห็นหลิวจวิ้นนั่งอยู่หลังโต๊ะทำงาน กำลังอ่านม้วนบันทึกคดีอยู่


“ใต้เท้าเรียกหาข้ามีเรื่องอะไรเจ้าคะ?” มู่จิ่วรีบเดินเข้าไปแล้วเอ่ยถาม “หรือทางด้านวังหลิวเซียวมีข่าวร้าย?”


“ข่าวร้าย?” หลิวจวิ้นวางม้วนบันทึกลง หยิบผ้าแพรสีเหลืองจากในลิ้นชักออกมาส่งให้นาง “ข่าวร้ายหรือไม่ข้าก็ไม่รู้ เจ้าดูเองแล้วกัน”


มู่จิ่วเห็นท่าทางของเขาก็ประหลาดใจ เมื่อเห็นผ้าแพรสีเหลืองก็รีบรับมาทันที ก่อนจะคลี่มันออกอย่างรวดเร็ว สายตาจับจ้องไปที่คำว่า ‘อภัยโทษ’ สองคำนี้ นางอดดูอย่างละเอียดอีกรอบไม่ได้ คราวนี้เห็นชัดเจนว่าบนนั้นเขียนไว้ว่าอภัยโทษหลินเจี้ยนหรูละเว้นโทษตายไว้อย่างชัดเจน เก็บรากฐานเซียนไว้ ไม่ผิดแม้แต่ตัวเดียว! ตราประทับที่ด้านหลังก็ชัดเจนแจ่มแจ้ง!


“ดียิ่งนัก!” ใจของนางลิงโลด ราวกับพุ่งจากเหวลึกขึ้นสู่กลางอากาศ ความดีใจนี้ไม่สามารถบรรยายออกมาได้ “ฝ่าบาทเหนียงเหนียงปรีชาสามารถนัก!”


“อย่าได้รีบดีใจไป บนราชโองการนั้นเขียนอย่างชัดเจน ถึงแม้ฝ่าบาทกับเหนียงเหนียงจะเห็นพ้องต้องกันว่าให้รักษารากฐานเซียนของเขาไว้ แต่เขาก็ต้องรับโทษทัณฑ์อสุนีบาตเก้าสาย เขาจะทนรับได้หรือไม่ก็ยังไม่แน่!”


หลิวจวิ้นพลันสาดน้ำเย็นดับฝันนาง


“จะกลัวอะไร!” แต่ความยินดีของมู่จิ่วยังไม่ดับมอด นางเอ่ย “นั่นก็ถือว่าเป็นการผ่านด่านเคราะห์! ที่จริงแล้วอยู่หรือตายมีอะไรสำคัญกัน? สิ่งที่สำคัญคือความหมาย ถึงแม้จะผ่านอสุนีบาตนี้ไปไม่ได้ แต่เมื่อมีราชโองการนี้ อย่างน้อยก็นับว่าสวรรค์ได้มอบความยุติธรรมให้แก่เขาแล้ว! เหล่าคนที่รวมหัวจมท้ายไปกับแรกพยับไม่มีทางจะทำเรื่องชั่วต่อไปได้อีก! ข้าคิดว่าคุ้มค่าเสียอีก”


นางพูดพลางเก็บราชโองการไป คิดจะไปหาหลินเจี้ยนหรูที่คุก


หลิวจวิ้นรีบเรียกนางไว้ “เจ้าหน้าที่ตัดสินคดีส่งข่าวไปนานแล้ว! เมื่อแจ้งข่าวเสร็จถึงได้นำราชโองการมาให้ข้า ตอนนี้กำลังรอรับโทษ เจ้าไปไม่ได้!”


มู่จิ่วจึงทำได้เพียงถอยกลับมา


จากนั้นก็หยิบราชโองการขึ้นมาเปิดอีกรอบ ยังคงกักเก็บความดีใจไว้ไม่มิด


ผลลัพธ์เช่นนี้คงนับว่าดีที่สุดในเวลาเช่นนี้แล้วใช่หรือไม่? ได้รับอภัยโทษ ระหว่างหลินเจี้ยนหรูกับแรกพยับก็นับว่าหายกันแล้ว


ส่วนอสุนีบาตเก้าสายนั้น นางไม่กังวลใจแทนเขา ไม่ใช่ว่ามั่นใจในตัวเขามาก แต่ตลอดมานางเห็นใจเขาเรื่องที่ต้องแบกรักความอยุติธรรมจากแรกพยับ วันใดที่สวรรค์คืนความยุติธรรมให้เขาแล้ว อยู่หรือตายก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอีก คนไม่น้อยตายเพราะอสุนีบาต มีเขาเพิ่มเข้าไปอีกคนก็ไม่เป็นไร อยู่ในปรโลกสักพัก ชาติหน้าค่อยอาศัยรากฐานเซียนมาฝึกบำเพ็ญเป็นเซียนต่อได้


มีคำโบราณกล่าวไว้ว่า คนมีชีวิตอยู่กับใบหน้าหนึ่ง ต้นไม้มีชีวิตอยู่กับเปลือกชั้นหนึ่ง หากไม่สามารถชำระแค้นกับแรกพยับได้หมดจด ต่อไปเขากลายเป็นเซียนก็คงยังหนีไม่พ้นบาดแผลในจิตใจ การจะเกิดจิตชั่วร้ายขึ้นมาเป็นเรื่องที่ช้าเร็วก็ต้องเกิด


“เช่นนั้น อสุนีบาตนี้จะมาเมื่อไหร่?” นางถาม


“ท่าทางจะเป็นตอนกลางดึก” หลิวจวิ้นตอบพลางยืนขึ้นมา เอ่ยกับนางว่า “คดีนี้ก็นับว่าจบแล้ว แต่ยังมีอีกสองเรื่อง ตอนนี้รู้ตัวตนของชายชุดเขียวแล้ว ซึ่งก็คือลู่ยาเต้าจู่ แต่เฟยอีล่ะ? ยังมีอีก เจ้ายังไม่ได้เล่าเหตุผลที่เต้าจู่ก่อเรื่องเหล่านี้ขึ้นให้ข้าฟัง เรื่องเหล่านี้ข้าควรจะรายงานเช่นไร เจ้าต้องบอกข้า”


มู่จิ่วเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนเอ่ย “มิสู้ข้าพาท่านไปหาเขาเลย”


หลิวจวิ้นพยักหน้า ก่อนจะเดินตามนางออกไป


เมื่อมาถึงบ้าน ลู่ยากำลังบดยาอยู่บนระเบียงทางเดิน มู่จิ่วเล่าเหตุที่หลิวจวิ้นมาให้ฟัง เขาครุ่นคิดแล้วก็กวักมือเรียกนางให้พาเข้ามา


หลิวจวิ้นสะบัดผ้าคลุมคุกเข่าลง คำนับให้เขาสามครั้งอย่างเป็นทางการ ยังไม่ทันได้เอ่ย ลู่ยากลับชี้ไปยังมู่จิ่วแล้วเอ่ย “นี่คือเจ้าของคลื่นจิตพสุธา เจ้าก็ทำความรู้จักเสียใหม่”


ตอนนี้บุญกุศลของมู่จิ่วใกล้ครบแล้ว ไม่จำเป็นต้องปิดบังอะไรกันอีก


หลิวจวิ้นได้ยินคำว่าเจ้าของคลื่นจิตพสุธาก็พลันนิ่งอึ้งไป มู่จิ่วยกยิ้ม ก่อนพยักหน้าให้เขา


“นี่คือ…นี่คือเรื่องอะไรกัน?” หลิวจวิ้นสับสนอยู่บ้าง เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าคลื่นจิตพสุธามีเจ้าของอยู่ด้วย และยิ่งไม่รู้ว่ามู่จิ่วมีที่มาที่ไปซับซ้อนเช่นนี้!


มู่จิ่วกระดากอายอยู่บ้าง


นางจะมีหน้าไปเล่าเรื่องเบื้องหลังเหล่านี้ได้อย่างไร ยังมีเรื่องที่นางกับลู่ยาก่อไว้จนยุ่งเหยิงตอนนั้นอีก?


ทำได้เพียงให้เวลาพวกเขา ส่วนตนเองเดินออกมาก่อน


…………………………………………


บทที่ 393 เคราะห์ที่ควรได้รับ

โดย

Ink Stone_Romance

ทางด้านลู่ยาก็เงียบอยู่พักหนึ่งถึงได้ยอมเปิดปาก “ก่อนหน้าที่ปฐมวิญญาณจะรวมร่างกลับคืนสู่ธรรมชาติเคยทำนายไว้ว่า หมื่นปีข้างหน้าคลื่นจิตพสุธาจะเกิดเคราะห์”


“ถึงตอนนั้นพลังร้ายที่ถูกผนึกอยู่ในคลื่นจิตพสุธาจะบำเพ็ญสำเร็จและก่อเป็นรูปร่าง หกวิญญาณที่คอยสกัดกั้นมันไว้อาจเอาไม่อยู่ แต่ถึงแม้จะสกัดไว้ได้ก็อาจเสียหายจนไม่เหลือซาก ดังนั้นก่อนที่พลังร้ายจะก่อร่าง ปฐมวิญญาณได้ทำให้หกวิญญาณให้กำเนิดเทพหญิงออกมา เทพหญิงแห่งหกวิญญาณผู้นั้นก็คือมู่จิ่วที่เจ้ารู้จัก”


“มู่จิ่ว…”


หลิวจวิ้นยิ่งตกใจมากขึ้นไปอีก!


เขาจำได้แม่นยำว่ากระจกฟ้าดินฉายภาพเด็กสาวที่เกิดบ้านนอก บังเอิญพบเจอเซียนจึงได้โอกาสขึ้นเขามาบำเพ็ญ ทำไมตอนนี้กลายเป็นเทพหญิงแห่งหกวิญญาณไปได้?!


ทางด้านมู่จิ่วก็บอกข่าวหลินเจี้ยนหรูให้พวกเสี่ยวซิงฟัง ทุกคนกับหลินเจี้ยนหรูไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกัน มีเพียงอาฝูและเสี่ยวซิงเท่านั้นที่คุ้นเคยอยู่บ้าง แต่ตอนนี้ทั้งสวรรค์ล้วนให้ความสนใจเรื่องของเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งซ่างกวนสุ่นกับอาฝู เรื่องนี้ชัดเจนว่าแรกพยับรังแกคน หลินเจี้ยนหรูได้รับโทษ แต่หากความเลวร้ายที่เขาเคยได้รับมาไม่ถูกสะสางก็ไม่ได้


ดังนั้นความดีใจของทุกคนจึงเป็นเรื่องที่ชัดเจน ดูดีใจเสียยิ่งกว่านางตอนได้รับข่าวดีอยู่บ้าง แต่ละคนล้วนด่าทอแรกพยับ ถึงแม้มู่จิ่วไม่ได้พูดอะไร ทว่าก็เหมือนได้วางหินลง สบายอกสบายใจยิ่งนัก


เพียงแต่ไม่รู้ว่าเวลาที่สำเร็จขึ้นเป็นเซียนจะมาถึงเมื่อไหร่?


ทางด้านหลังลานบ้าน ลู่ยาเล่าเรื่องส่วนใหญ่เกี่ยวกับคลื่นจิตพสุธาให้หลิวจวิ้นฟังจนจบ ก่อนเอ่ย “สรุปคือ เทพหญิงแห่งหกวิญญาณเกิดมาเพื่อต่อกรกับพลังร้ายที่ค่อยๆ ก่อร่าง และเพราะข้าเป็นต้นเหตุทำให้หกวิญญาณเสียหายในชาติก่อน ทำให้ข้าเข้ามาเกี่ยวข้องพัวพันกับนาง รวมถึงการที่กลายเป็นชายชุดเขียวเพื่อจัดการเรื่องทั้งหมดอยู่เบื้องหลัง เพื่อให้บุตรีแห่งวิญญาณกลายเป็นเซียนได้เร็วขึ้นหน่อย ตอนนี้บุญกุศลของนางเกือบครบแล้ว ใกล้จะสำเร็จเป็นเซียน อีกไม่นานก็ต้องจากหน่วยลาดตระเวนนี้ไป”


หลิวจวิ้นนิ่งอึ้งอยู่ตรงนั้น พูดไม่ออกอยู่นาน


เขาไม่คิดเลยว่าคดีที่มู่จิ่วรับมาทั้งหมดนั้นจะมีต้นเหตุลึกซึ้งเกี่ยวพันกับนางเช่นนี้ ถึงแม้เขารู้สึกว่าทหารใหม่เช่นนางโชคดีอยู่ไม่น้อย แต่ไม่เคยคิดเลยว่าเรื่องจะซับซ้อนเช่นนี้…


เขามองลู่ยา เอ่ยว่า “พูดเช่นนี้ แสดงว่ามู่จิ่วเข้ามาที่หน่วยลาดตระเวนของข้าน้อยได้ก็เพราะมีเหตุผล?”


ลู่ยาพยักหน้า


ใจของเขากระจ่างทันที มิน่าล่ะเขาถึงยิ่งมองนางดีขึ้นเรื่อยๆ…ยังมีอีก ลู่ยาที่เป็นเทพดีๆ ผู้หนึ่งเป็นโสดมาตั้งนานหลายปี ทำไมถึงได้ตกมาอยู่ในมือนางได้!


ถึงแม้เป็นเซียนมาหลายปีขนาดนี้ คลื่นลมอะไรล้วนเจอมาหมดแล้ว แต่เพราะคุ้นเคยกับนางเกินไป ภาพในใจของเขาที่มีต่อนางคือน้องสาวข้างบ้านได้ประทับลึกลงไปนานแล้ว อยู่ๆ มีคนมาบอกว่านางคือเทพหญิงแห่งหกวิญญาณ นี่ก็เหมือนกับเลี้ยงเด็กคนหนึ่งมานานหลายปีแล้วพลันกลายเป็นองค์หญิงผู้สูงศักดิ์ไปเสียอย่างนั้น เรื่องประหลาดนี้ไม่ใช่เพียงครู่เดียวก็จะยอมรับกันได้


เขาครุ่นคิดกับตนเองอยู่พักหนึ่ง ก่อนเอ่ย “เช่นนั้นข้าไปรายงานเรื่องนี้กับวังหลิงเซียวได้หรือไม่?”


ลู่ยาบดยาในชามบดพลางเอ่ย “เล่าเรื่องเหล่านี้ให้เจ้าฟังก็เพื่อให้เจ้าไปรายงานรายละเอียด สิ่งที่ควรบอกก็บอกให้กระจ่าง เรื่องที่ไม่ควรบอกก็ไม่ต้องพูดมาก เท่านั้นพอแล้ว” พูดถึงตรงนี้เขาก็เงยหน้าขึ้นมา จับจ้องสายตาอีกฝ่ายอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนกล่าว “วาสนาของเจ้ากับมี่เฟยจบลงแล้ว ปล่อยวางให้เร็วเสียเถิด”


หลิวจวิ้นตระหนกเล็กน้อย ใบหน้าที่เข้มแข็งพลันปรากฏร่องรอยความเศร้าหมอง


ตอนที่ทั้งสองคนออกมาก็บ่ายแล้ว กลิ่นอาหารของบ้านสกุลกัวลอยคลุ้งไปทั้งด้านนอกและใน


“ใต้เท้าหลิวมากินก่อนแล้วค่อยไปเถอะ! พวกเราทำอาหารไว้มากมายเพื่อเฉลิมฉลองผลงาน ยังมีเหล้าอีก มารวมกันเร็ว!” มู่จิ่วอยู่ตรงระเบียงทางเดิน ล้างปลาไปพลางเอ่ยปากเรียกไปพลาง


หลิวจวิ้นจ้องใบหน้ายิ้มแย้มของนางอยู่พักหนึ่ง ก่อนหันมามองลู่ยาที่เอามือไพล่หลังอยู่ด้านหลัง ยกริมฝีปาก จากนั้นพยักหน้า


ท่าทางหัวแข็งไม่ยอมแพ้ของเด็กสาวที่ถือหนังสือรับตำแหน่งเข้ามาในหน่วยลาดตระเวนเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน จากที่ดูแคลนนางกลายมาเป็นยอมรับนาง จนถึงขั้นเชื่อใจ สุดท้ายมาถึงขั้นที่คบหาสมาคมกันโดยไม่สนใจอายุ เรื่องนี้ไม่ว่าใครก็คาดไม่ถึง และเรื่องที่ยิ่งคาดไม่ถึงคือเวลาไม่ถึงสามปีดีนางก็ต้องจากไปแล้ว…เมื่อพลันนึกถึงตรงนี้ ใจก็รู้สึกอาวรณ์


ในสายตาของเขานางไม่ใช่เทพหญิงแห่งหกวิญญาณอะไรนั่น แต่เป็นเพียงกัวมู่จิ่วที่โง่เง่าจริงใจ


และเขาก็เคยเข้าใจว่าอย่างน้อยนางต้องอยู่ที่หน่วยลาดตระเวนนี้ไปสักห้าร้อยปี


บนโต๊ะอาหารค่ำวันนี้ทุกคนล้วนมีความสุข


ต่างคนต่างพูดคุยหยอกล้อกันไม่หยุด


มู่จิ่วทั้งมีความสุขทั้งกังวล มีความสุขที่หลินเจี้ยนหรูได้รับความยุติธรรมในที่สุด และตนเองใกล้ทำตามฝันที่จะสำเร็จเป็นเซียนสำเร็จ ความทรงจำของนางล้วนหยุดตรงที่ร่างของกัวมู่จิ่ว ลู่ยาได้กลายเป็นเงาร่างหนึ่ง ประทับอยู่ลึกในใจนาง ดังนั้นนางถึงได้มีความฝันและความสุขที่เรียบง่าย


ส่วนที่นางกังวลคือไม่รู้คืนนี้หลินเจี้ยนหรูจะผ่านเคราะห์อสุนีบาตไปได้หรือไม่ ถึงแม้ขอเพียงรากฐานเซียนไม่ถูกตัด เป็นตายไม่ต่างกัน แต่นางก็ยังหวังให้เขาสามารถใช้ชีวิตนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ความโศกเศร้าของเขาควรหยุดลงได้แล้ว รอรับความสุขที่จะเข้ามา แล้วเริ่มชีวิตใหม่ที่เหลือกับเหลียงชิวฉานอย่างสะอาดบริสุทธิ์ถึงจะถูก


แต่เสี่ยวซิงกลับดีใจแทน หลายปีมานี้นางยึดถือเอาความฝันของมู่จิ่วเป็นความฝันของตัวเอง ในที่สุดก็มาถึงวันที่สะสมบุญกุศลได้ครบ นางพอใจยิ่งกว่าได้สิ่งใดทั้งหมด


ซ่างกวนสุ่นก็ดีใจที่มู่จิ่วสำเร็จเป็นเซียน ภายหลังจะได้ไปที่สวรรค์อันสูงส่ง แบบนี้เสี่ยวซิงก็ตามเขากลับไปที่เขาเนินอารามได้แล้ว


แต่ในขณะเดียวกันเขาก็ไม่อยากแยกจากพวกเขาไป อยู่ด้วยกันมานานขนาดนี้ เขาเปลี่ยนจากองค์ชายเจ็ดผู้สูงศักดิ์แห่งเผ่านกต้าเผิงมาเป็น ‘ผู้ดูแลบ้าน’ ที่ยินยอมทำงานบ้าน และก็ไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรไม่ดีด้วย อีกทั้งเสี่ยวซิงก็ไม่ยินยอมแยกจากมู่จิ่ว เขาไม่อยากเห็นนางเสียใจเช่นกัน ดังนั้นเมื่อคิดแบบนี้จึงกังวลนัก


อาฝูกับรุ่ยเจี๋ยไม่กดดันอะไร กินอาหารอย่างเอร็ดอร่อย พวกเขาไม่มีอะไรต้องกังวล หากจะบอกว่ามีคือต่อไปต้องไปสวรรค์อันสูงส่ง ที่นั่นทั้งเงียบเหงาและสูงส่ง ไม่คึกคักเหมือนกับสวรรค์หรือมีอะไรที่เหมือนกัน ทว่าพวกเขาก็ไม่เคยไปสวรรค์อันสูงส่ง ด้านบนนั้นเป็นอย่างไรไม่อาจพูดได้ เช่นนั้นก็มีความสุขกับตอนนี้ก่อนแล้วกัน!


ลู่ยาเป็นถึงเทพผู้สูงศักดิ์ ปกติยามดีใจมักจะไม่แสดงออกบนใบหน้า แต่วันนี้คำพูดคำจากลับแสดงออกชัดเจนมากขึ้น


เดิมทีหลิวจวิ้นที่ได้รู้ความจริงรู้สึกว่าใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวบ้าง แต่เมื่อบรรยากาศพาไปก็ค่อยๆ ผ่อนคลายมากขึ้น เหล้ากุ้ยฮวาสิบชั่ง ไม่กี่คนก็ดื่มจนหมดได้


เหล้าสิบชั่งไม่อาจทำให้เมา แต่กลับเป็นของดีที่เพิ่มความรื่นรมย์


บทสนทนาไม่รู้จบ ตั้งแต่ต้นมาจนถึงปัจจุบัน ก็ไม่รู้ว่าผ่านไปแล้วกี่ชั่วยาม


จนกระทั่งถึงเวลางานเลี้ยงเลิกรา แสงจันทร์ได้พ้นเนินไปแล้ว


มู่จิ่วเดินกลับไปนอนที่ห้องทั้งสติพร่าเลือน ตอนที่ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง นอกหน้าต่างยังคงมืดมิด ไม่รู้ว่าฝนค่อยๆ พร่างพรมลงมาเมื่อไหร่ ใบกล้วยที่นอกห้องถูกน้ำฝนตกกระทบดังเปาะแปะ


ใจของนางรู้สึกไม่สงบอย่างบอกไม่ถูก ตอนนี้เองที่ลู่ยาเดินถือโคมเข้ามา “หลินเจี้ยนหรูกำลังจะรับอสุนีบาตแล้ว”


มู่จิ่วตื่นทันที กระโดลงจากเตียงวิ่งไปที่ระเบียงทางเดิน เห็นเพียงเมฆดำปกคลุมท้องฟ้า แสงอสุนีบาตสว่างวาบไม่หยุด ช่างเป็นอสุนีบาตที่พบเห็นได้เสียจริง!


……………………………………


บทที่ 394 พลังของหกวิญญาณ

โดย

Ink Stone_Romance

ใจของนางหนักอึ้งเล็กน้อยเมื่อเห็นรูปการณ์ อสุนีบาตนี้รุนแรงนัก ไม่รู้ว่าหลินเจี้ยนหรูจะรับไหวหรือไม่?


หากรู้ว่าอสุนีบาตรุนแรงขนาดนี้ ก็อาจจะสามารถตัดรากฐานเซียนเขาได้!


“นี่เป็นอสุนีบาตที่จิ้งจอกเฒ่าไท่ซ่างเหล่าจวินเตรียมไว้ พวกเรามีหนทางหยุดยั้งหรือขัดขวางหรือไม่?” นางหันมาถามลู่ยา


ลู่ยาขมวดคิ้ว “ข้าไปไม่ได้ สวรรค์อันสูงส่งมีกฎของมันอยู่ ไม่อาจสอดมือเข้ายุ่งเรื่องของหกภพได้ หลินเจี้ยนหรูก่อเรื่องฆ่าคนจึงนับเป็นความแค้นของลัทธิฉ่าน หากข้ายื่นมือเข้ายุ่ง วันนี้เขาคงหลบเลี่ยงอสุนีบาตได้ แค่ภายหลังคงไม่ได้เจอแค่อสุนีบาตแน่”


พูดถึงตรงนี้เขาก็ชะงัก ก่อนเอ่ยอีก “แต่เจ้าไปลองดูได้ ชะตาชีวิตของเขามีประโยชน์ต่อเจ้า อย่างน้อยก็ไม่ทำร้ายเจ้า”


สิ่งที่มู่จิ่วรออยู่ก็คือคำนี้ นางพยักหน้า หมุนตัวไปหยิบยันต์กันน้ำก่อนขึ้นเมฆจากไป


ลู่ยาก็ถอดจิตตามไปเช่นเดียวกัน


หลินเจี้ยนหรูยังอยู่ในคุกหลวง เวลานี้มีเจ้าหน้าที่หน่วยลาดตระเวนเฝ้าอยู่รอบนอกหลายคน คนเหล่านี้ล้วนได้รับคำสั่งให้มาดูแลการลงทัณฑ์ และไม่อยู่นอกเหนือความคาดหมายของมู่จิ่ว ทางด้านข้างยังมีศิษย์ของวังโตวลวี่อยู่สองคนด้วย ตอนเห็นมู่จิ่วทุกคนต่างจ้องมา จากนั้นค่อยพยักหน้าส่งสัญญาณให้นาง


ฝั่งนางเพิ่งจะยืนได้มั่นคง หลิวจวิ้นก็เข้ามา


เป็นเพียงผู้บำเพ็ญเซียนตัวเล็กๆ เท่านั้น เดิมทีไม่จำเป็นต้องใช้คนเยอะขนาดนี้ ถึงแม้ทางด้านลัทธิฉ่านจะรับปากไม่ตัดรากฐานเซียนของหลินเจี้ยนหรูแล้ว แต่กลับไม่คิดจะปล่อยเขาไปโดยง่าย และจงใจส่งศิษย์มาลงโทษประหาร ส่วนทางด้านหน่วยลาดตระเวนย่อมต้องมีเจ้าหน้าที่อยู่ในพื้นที่ เหตุที่หลิวจวิ้นมาส่วนใหญ่ก็เป็นเพราะมู่จิ่วมาด้วย


มู่จิ่วถามเขา “หลินเจี้ยนหรูล่ะเจ้าคะ?”


หลิวจวิ้นเหลือบมองศิษย์ของวังโตวลวี่คราหนึ่ง ก่อนกดเสียงต่ำตอบ “ยังอยู่ในคุก แต่ข้าได้แปะยันต์ป้องกันไว้แล้วสองแผ่น แม้ไม่อาจหลบอสุนีบาตได้ แต่มากน้อยก็สามารถต้านได้บ้าง”


มู่จิ่วได้ยินเขาพูดเช่นนี้กลับยิ่งไม่สบายใจ กระทั่งเขายังลอบไปแปะยันต์ไว้ก่อน แสดงว่าอสุนีบาตเก้าสายนั้นไม่ธรรมดาจริงๆ ไท่ซ่างเหล่าจวินไม่ควรเป็นคนเลอะเลือนเช่นนี้ หากเขารู้สึกจริงว่าโทษของหลินเจี้ยนหรูไม่ควรให้อภัย ย่อมต้องไม่ยินยอมให้อวี้ตี้และหวังหมู่ปล่อยเขาไป นี่ต้องเป็นพวกแรกพยับที่คอยยุแหย่อยู่ข้างหลังอีกแน่


เมื่อคิดถึงตรงนี้นางก็ถาม “ฝ่าบาทลงโทษเพียงหลินเจี้ยนหรู แล้วพวกแรกพยับนั่นไม่ต้องรับโทษใดเลยหรือ?”


หลิวจวิ้นเหลือบมองนาง “นี่นับว่าไม่เลวแล้ว หากแรกพยับได้รับโทษอีก หลินเจี้ยนหรูจะไม่ได้รับโทษหนักกว่านี้หรือ?”


มู่จิ่วยิ้มเยาะในใจ กลับไม่ได้ว่าอะไรเขา


เดิมทีเข้าใจว่าคดีนี้จบลงได้อย่างสวยงาม แต่ดูแล้วกลับไม่ใช่อย่างที่คิด หลินเจี้ยนหรูย่อมต้องได้รับโทษ แต่พวกแรกพยับที่ทำความเลวนั้นเป็นคนดีหรือ? หลินเจี้ยนหรูต้องรับอสุนีบาตเก้าสายไม่ใช่เพราะเป็นแพะรับบาป แต่แรกพยับอาศัยอะไรถึงไม่ต้องรับโทษใดเลย?


แต่ช่างมันเถิด แก้ไขเรื่องตอนนี้สำคัญกว่า


ท้องฟ้าเริ่มมีแสงสว่างวาบของอสุนีบาต สายแรกฟาดลงบนยอดของคุกหลวง วันนี้ป๋ายเจ๋อและเถิงเส๋อสงบศึกกันหนึ่งวัน ยืนมองท้องฟ้าอยู่เคียงข้างกันตรงหน้าประตูหิน


อสุนีบาตฟาดต่อเนื่องกันลงมาสามสาย เพราะอสุนีบาตนั้นมุ่งลงฟาดที่เป้าหมายอย่างเดียว ดังนั้นคนและสิ่งของที่ไม่เกี่ยวข้องย่อมไม่ได้รับผลกระทบ และเมื่อเป็นแบบนี้ต่อให้หลบอยู่ใต้ดินก็ไม่มีประโยชน์ นอกจากจะใช้วิชาอาคมเหนี่ยวนำอสุนีบาตออกไป แต่นี่คือโทษทัณฑ์อสุนีบาต จะเหนี่ยวนำไปก็ทำไม่ได้ ถึงแม้จะกังวลก็ทำได้เพียงมองดูอย่างร้อนใจเท่านั้น


ในคุกนั้นไม่มีเสียงอะไรเลย


อสุนีบาตรอบที่สองมาต่อทันที


รอบนี้ก็มีสามสาย และค่อยๆ แข็งแกร่งขึ้นทุกที


มู่จิ่วยังคงกังวลว่าหลินเจี้ยนหรูจะรับไหวหรือไม่ มือทั้งสองหลั่งเหงื่อออกมา


บนใบหน้าหลิวจวิ้นมีความกังวล พวกเขาทุ่มเทมากมายเพื่อปกป้องชีวิตเขา ทั้งยังถามหาความยุติธรรมแทนเขา หากสุดท้ายเขาตายด้วยอสุนีบาต มากน้อยก็ทำให้รู้สึกว่าไม่ค่อยคุ้มค่า


ดังนั้นด้านหนึ่งพวกเขาจึงหวังว่าอสุนีบาตนั้นจะฟาดลงมาเร็วหน่อย อีกด้านหนึ่งก็หวังว่าจะช้าลงหน่อยเพื่อหลีกเลี่ยงการรับมือไม่ทัน


อสุนีบาตฟาดลงมาเจ็ดสายแล้ว เมฆดำบนฟ้าค่อยๆ สลายไป รอจนสายที่แปดฟาดผ่าลงมา ฝนก็หยุดลงเรียบร้อย บนฟ้าปรากฏแสงดาวหลายดวง บางทีอาจเป็นเพราะฝนหยุดตกแล้ว เสียงของอสุนีบาตสายที่เก้าถึงได้บาดหูยิ่งนัก แสงสว่างจ้ากลางอากาศกำลังฟาดเปรี้ยงลงมา แสบตาจนไม่อาจลืมตาขึ้นมองได้!


มู่จิ่วยกแขนขึ้นกำบังสายตาทันที และตอนนี้บนอากาศพลันมีอสุนีบาตสามสายฟาดลงมาต่อเนื่องกัน เสียงอสุนีบาตสั่นสะเทือนแก้วหูนัก เกือบจะยกร่างของนางลอยขึ้นกลางอากาศอยู่รอมร่อ…


แต่ริมหูนางกลับพลันได้ยินเสียงพิณแว่วมาเบาๆ จากนั้นก็ได้ยินเสียงร้องประหลาดใจดังขึ้นมามากมาย นางเข้าใจว่าหลินเจี้ยนหรูออกมาแล้วจึงรีบลดมือลง กลับพบว่าแท้จริงตนเองอยู่บนเมฆกลางอากาศ รอบตัวปกคลุมไปด้วยไอมงคลห้าสี ดอกไม้ศักดิ์สิทธิ์ลอยอยู่เหนือหัว เรือนร่างอ้อนแอ้น อีกทั้งบริเวณจุดตันเถียนยังมีพลังวิญญาณหลั่งไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง เคลื่อนไปตามชีพจรของร่างกาย!


“กัวมู่จิ่ว รีบนั่งสมาธิกำกับลมหายใจ!”


ยามที่นางกำลังรับรู้ถึงอะไรบางอย่าง หลิวจวิ้นตะโกนขึ้นมาจากข้างล่าง!


เสียงของเขาเจือด้วยความตื่นเต้นและยินดี มือที่กุมกระบี่ทั้งสองสั่นน้อยๆ


มู่จิ่วรีบนั่งลงบนเมฆ มือทั้งสองประสานอยู่ด้านหน้า กลิ่นไม้กฤษณาที่คุ้นเคยลอยเข้ามาแตะจมูก ลู่ยามาถึงข้างกายนางแล้ว เขานั่งลงฝั่งตรงข้าม ยกมือนางขึ้นมาวางไว้บนหน้าเข่า


นางรู้สึกเพียงในร่างกายมีคลื่นสายหนึ่ง ทั้งร่างเต็มไปด้วยพลังที่ยิ่งใหญ่ไร้ขอบเขต โลกตรงหน้านางเต็มไปด้วยความสุขและไอมงคล เมฆมงคลห้าสีครอบคลุมไปทั่วทั้งสี่ทิศแปดด้าน!


“นี่ นี่คือลางเทพเซียนชั้นสูงหวนกลับ! ทำไมนางถึง…”


เหล่าศิษย์ของวังโตวลวี่ต่างเปิดปากพลางชี้นางที่นั่งอยู่บนเมฆ เมื่อมองจากด้านข้างขึ้นไป ไอมงคลรอบกายนางนั้นยังมากกว่าไท่ซ่างเหล่าจวินเจ้าสำนักของพวกเขาเสียอีก และภาพเช่นนี้พวกเขาก็ไม่เคยพบเห็นมาก่อน


“ทำไมจะเป็นไปไม่ได้? นี่คือร่างกลับชาติมาเกิดของเทพหญิงแห่งหกวิญญาณ!” หลิวจวิ้นหันกลับไปเหลือบมองพวกเขา ลากเสียงยาวเอ่ย “ข้าเดาว่าเหล่าจวินต้องกำลังรีบมา พวกเจ้ายังไม่รีบไปดูที่คุกแล้วกลับไปรายงานอีกหรือ?”


หลายคนลุกขึ้นค้อมตัว จากนั้นรีบมุ่งไปยังคุกหลวง


แต่หลิวจวิ้นเพิ่งพูดจบ รอบด้านก็พลันมีเสียงดนตรีลอยเข้ามาต่อ ราวกับไอมงคลถูกคุกดึงดูดให้ค่อยๆ ลอยเข้ามาที่นี่


เถิงเส๋อกับป๋ายเจ๋อต่างก็เห็นลู่ยาที่อยู่กลางอากาศอย่างชัดเจน ทั้งสองตกใจจนวิ่งเข้าหากัน ก่อนจะกระโดดถอยออกมาสองก้าว “นั่นมันเซิ่งจุนที่สี่!”


ลู่ยาเหลือบมองเขาทั้งสองคราหนึ่ง ดึงมือตนเองกลับมาจากข้อมือของมู่จิ่ว ก่อนชี้นิ้วเสกดอกกล้วยไม้ขึ้นมา แต้มลงระหว่างคิ้วนาง ทันใดนั้น ใบหน้าดุจหยกของนางก็พลันมีดอกกล้วยไม้ขนาดเท่าตัวหมากล้อมผุดขึ้นมา พลังวิญญาณรอบด้านรวมอยู่ที่ดอกไม้นั้นในพริบตา เอ่ยว่า “ลองดู พลังของหกวิญญาณเป็นอย่างไรบ้าง?”


มู่จิ่วพยักหน้าก่อนลุกขึ้นยืน ค่อยๆ กางแขนออก เห็นเพียงม่านฟ้ากว้างใหญ่ บัดนี้เต็มไปด้วยกลุ่มแสงจำนวนมากร่วงหล่นลงมา พลังที่รวมอยู่ตรงมือทั้งสองของนางหมุนวนช้าๆ กลุ่มแสงจำนวนมากนั้นก็รวมกันกลายเป็นน้ำวนขนาดใหญ่ สักพักหนึ่ง ดวงดาวบนฟ้าก็มารวมตัวกัน แม่น้ำลำธารต่างเกิดคลื่นกระเพื่อม ทางช้างเผือกพลิกกลับด้าน วิหคทองโผบินขึ้นไปกลางอากาศ พลังควบคุมฟ้าดินของหกวิญญาณประจักษ์ให้เห็นในเหตุการณ์นี้!


…………………………………………


บทที่ 395 คนมีปัญญามักคิดมาก

โดย

Ink Stone_Romance

“เซิ่งจุนสี่!”


อวี้ตี้กับหวังหมู่อยู่ไม่ไกลนัก จึงได้พาเหล่าองค์ชายองค์หญิงเร่งรุดมา ครั้นเห็นมู่จิ่วสำเร็จเป็นเซียนแล้ว ทั้งยังมีพลังวิญญาณยิ่งใหญ่ไร้ขอบเขตอีก ก็ตกใจจนไม่รู้จะพูดอะไรดี! และเมื่อมองเห็นด้านข้างมีลู่ยาอยู่ด้วย จึงรีบคุกเข่าลงไป


ลู่ยาเรียก “พวกเจ้ามาพอดี กัวมู่จิ่วคือเทพหญิงแห่งหกวิญญาณกลับชาติมาเกิด ตอนนี้สำเร็จเป็นเซียนแล้ว จิตต้นกำเนิดกลับคืนสู่ที่ สมควรแก่เวลาที่นางจะไปทำภารกิจของนางแล้ว”


อวี้ตี้กับหวังหมู่ไม่รู้ว่าจะบรรยายความตื่นตกใจนี้ว่าอย่างไรดี เพียงแค่ลู่ยาอยู่ที่นี่ก็ทำให้คนอ้าปากค้างได้แล้ว ยิ่งเขาบอกว่ามู่จิ่วคือเทพหญิงแห่งหกวิญญาณ จะให้พวกเขาทำใจรับทันทีได้อย่างไร?


แต่พวกเขาก็ไม่ใช่คนโง่เง่า ดูแลสวรรค์มานานหลายปีขนาดนี้ จิตใจจะไม่เข้มแข็งได้อย่างไร?


จึงรีบสะกดใจที่สั่นไหวลงไป ค้อมตัวเอ่ย “ข้าน้อยรับคำสั่ง”


ทางนี้กำลังพูด พวกไท่ซ่างเหล่าจวินกับไท่ป๋ายจินซิงก็มาถึงแล้ว ต่อมาเหล่าเซียนบนสวรรค์ก็ล้วนมากันพร้อม


มู่จิ่วเพิ่งลงมาคุยกับพวกเขาได้ไม่กี่คำ เวลานี้แสงสีทองทางทิศเหนือเริ่มเปิดทาง แสงสว่างสีขาวสายหนึ่งนำพาเหล่าศิษย์ในชุดสีเขียวมาที่นี่ กระทั่งจุ่นถียังมาเยือน! มู่จิ่วรีบเข้าไปรับ คุกเข่าโขกศีรษะคารวะ


คนทั้งหมดต่างก็ไม่เคยเห็นใบหน้าที่เปลี่ยนไปแล้วของจุ่นถี จึงอดสงสัยไม่ได้


ยังเป็นไท่ซ่างเหล่าจวินที่คุ้นเคยกับศิษย์ร่วมสำนักเสียหน่อย แววตาส่องประกายขณะเดินเข้าไปเอ่ย “ผู้ที่มาใช่ศิษย์น้องจุ่นถีหรือไม่?”


จุ่นถีค้อมคำนับ ก่อนจะทำความเคารพลู่ยา


หมู่คนต่างก็ตกอยู่ในความประหลาดใจ จุ่นถีหายตัวไปนานหลายปีขนาดนี้ ทุกคนคิดไม่ถึงเลยว่ามู่จิ่วที่ทำคดีไม่เพียงแต่จะมีภูมิหลังเป็นถึงเทพหญิงแห่งหกวิญญาณอันสูงส่ง หนำซ้ำยังเป็นศิษย์ของจุ่นถีอีก! สำหรับหกภพแล้วในปีนั้นลัทธิประจิมนับว่าเป็นลัทธิที่มีชื่อเสียงระบือไกล เขาหลบเร้นกายมาหลายปี เกรงว่าอาคมวิชาของเขาในตอนนี้อาจจะเหนือไท่ซ่างเหล่าจวินไปแล้วก็เป็นได้!


“ดูนั่น มีสหายมาจากทางด้านตะวันตกอีกแล้ว!”


ทางฝั่งนี้กำลังคึกคัก ไม่รู้ว่าใครปรากฏตัวขึ้น ทางด้านตะวันตกมีแสงเจ็ดสีและหงส์ฟ้าจำนวนมากนำทางมา เมื่อมองเข้าไปเห็นเพียงหมอกสีรุ้งเท่านั้น ครั้นกะพริบตาแล้วมองอีกครั้ง ก็เห็นว่าแสงนั้นกลายเป็นนกพาหนะสูงราวจั้ง บนหลังของมันมีคนสวมใส่อาภรณ์สดใสอยู่เบื้องหลังม่านหมอก ใบหน้าใจดีมีเมตตา ท่าทางนิ่งสงบน่าเกรงขาม แต้มแดงตรงระหว่างคิ้วโดดเด่นสะดุดตานัก


หวังหมู่หลุดปากพูด “เป็นเซิ่งจุนที่สาม! รีบคุกเข่าต้อนรับ!”


คนทั้งหมดล้วนคุกเข่าลง มู่จิ่วก็ทำตามเช่นกัน แต่เข่าทั้งสองกลับงอลงไปไม่ได้ เมื่อเงยหน้าขึ้นก็พบว่าหนี่ว์วากำลังยื่นมือมาทางนาง “เทพหญิงมานี่เถิด”


มู่จิ่วพยักหน้าตอบรับก่อนก้มหน้าเดินเข้าไป เมื่อมาถึงตรงหน้าหนี่ว์วาก็เอ่ยคำเรียก ‘เซิ่งจุน’ หนี่ว์วามองสำรวจนางก่อนเอ่ย “บัดนี้เจ้าได้สำเร็จเป็นเซียนแล้ว กลับคืนสู่ร่างเดิม เป็นเจ้าแห่งหกวิญญาณ ข้ารับคำสั่งของศิษย์พี่ใหญ่มารับเจ้าไปที่สวรรค์อันสูงส่งเพื่อรับการแต่งตั้ง เจ้ากับน้องสี่ตามข้าไปเถิด”


มู่จิ่วคิดไม่ถึงว่าหนี่ว์วามาเพื่อรับนางไปที่สวรรค์อันสูงส่ง ถึงแม้นางทำนายไม่ได้ว่าจะกลายเป็นเซียนเมื่อไหร่ แต่เพราะรอคอยวันนี้มานานเกินไป จึงคิดไว้ว่าถึงแม้จะกลายเป็นเซียนก็ยังสามารถอยู่บนสวรรค์ได้สักพักก่อนค่อยจากไป ต้องไปกะทันหันแบบนี้ นางยังไม่ได้เตรียมใจเลย!


นางลังเลขึ้นมา


“เป็นอะไรไป?” หนี่ว์วาถาม


นางไม่ได้ตอบ ลู่ยากลับตอบแทน “ศิษย์พี่กลับไปก่อนเถิด ผ่านไปสักหลายวันข้าจะพานางกลับไป”


คนที่คุกเข่าอยู่ยังไม่รู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างนางกับลู่ยา เมื่อได้ยินคำนี้ก็อดเงยหน้าขึ้นไม่ได้ ไม่รู้ทำไมเขาถึงได้ดูสนิทสนมกับเทพหญิงแห่งหกวิญญาณเป็นพิเศษ?


หนี่ว์วาจ้องลู่ยาอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยกับมู่จิ่ว “เช่นนั้นเจ้าอย่าได้ชักช้า หลังจากเจ้าได้รับแต่งตั้งแล้วถึงจะสามารถควบคุมคลื่นจิตพสุธาและวิญญาณทั้งหกได้ รอจนกลับวังแล้วก็รับการแต่งตั้งเรียบร้อย อย่าได้ทำให้การงานล่าช้าไป แล้วอยากไปไหนข้าก็จะไม่ขวางพวกเจ้า” พูดจบนางก็ยกยิ้มมองพวกเขา แล้วมองเหล่าคนที่คุกเข่าอยู่ “พวกเจ้าลุกขึ้นมาเถิด”


เหล่าคนทั้งหมดลุกขึ้นอีกครั้ง


หนี่ว์วาเรียกไท่ซ่างเหล่วจวินเข้ามาคุยด้วย จากนั้นค่อยเรียกอวี้ตี้กับหวังหมู่เข้ามา กำชับแต่ละคนสักหลายประโยค ให้พรแก่เหล่าทวยเทพ แล้วจึงหมุนตัวจากไป


คนทั้งหมดประสานมือส่งนางจนแสงสว่างลาลับ จึงค่อยๆ แสดงท่าทีเลื่อมใส


หวังหมู่เดินเข้ามาก่อนทันที มองมู่จิ่วคล้ายคิดจะเอ่ยอะไรแต่ก็ระงับไว้


มู่จิ่วจับมือของนาง เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เหนียงเหนียงอยากพูดอะไรก็พูดเถิด”


หวังหมู่ยิ้มอารมณ์ดี “เจ้าเด็กคนนี้ ช่างทำให้ประหลาดใจเสียจริง เดิมทีเจ้ากับข้าก็มีวาสนาต่อกัน ต่อไปข้าคงไม่กล้าเรียกเจ้าว่าเด็กน้อยอีกแล้ว เว้นไว้เพียงครั้งนี้ หากคิดถึงเจ้าก็อย่าโทษข้าเสียล่ะ”


มู่จิ่วดึงนางเข้ามากอดเบาๆ “เหนียงเหนียงดีกับข้าที่สุด ข้าจะโทษท่านได้อย่างไร”


ก่อนขึ้นมาสวรรค์ นางเคยเข้าใจว่าหวังหมู่เป็นภรรยาแสนเย็นชาผู้แข็งกระด้าง แต่ในความเป็นจริงนางไม่เพียงไม่แข็งกระด้าง แต่ยังมีเหตุผลยิ่งนัก เมื่อถึงเวลานี้นางย่อมอาลัยอาวรณ์หวังหมู่อยู่บ้าง


นอกจากหวังหมู่ยังมีหลิวจวิ้น ทั้งยังมีสหายร่วมหน่วยมากมาย…ใช่แล้ว ยังมีหลินเจี้ยนหรู!


คิดถึงตรงนี้นางก็รีบไปดูในคุก พุ่งตัวเข้าไปข้างในอย่างรวดเร็ว


เพิ่งจะเข้าไปตรงทางเดิน นางก็ชนเข้ากับอกของคนผู้หนึ่งเต็มๆ อีกฝ่ายร้องออกมาอย่างเจ็บปวดก่อนล้มลงกับพื้น มู่จิ่วรีบพยุงเขาขึ้นมา เมื่อมองไปกลับเป็นหลินเจี้ยนหรู!


“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?!” นางถาม


หลินเจี้ยนหรูลุกขึ้นมา สูดลมหายใจเข้าไปหลายครั้ง ตอบว่า “ข้าไม่เป็นไร ข้าคิดว่าไม่ควรให้พวกเขาทำร้ายข้าเปล่าๆ ทั้งชาติ ข้าจึงกัดฟันอดทน!” เมื่อเห็นดอกกล้วยไม้ตรงระหว่างคิ้วของมู่จิ่ว เขาก็ตกใจเล็กน้อย “เจ้าเป็นเซียนแล้ว? เช่นนั้นอสุนีบาตที่เพิ่มมาอีกสามสายก็คือ…”


“ไม่ผิด อสุนีบาตสามสายนั้นเป็นด่านเคราะห์ของข้าเอง! ข้ากลายเป็นเซียนแล้ว” มู่จิ่วดีใจจนตาส่องประกาย


“ดียิ่งนัก… “ หลินเจี้ยนหรูเอนพิงร่างกับกำแพงพลางยิ้ม เหมือนกับสมปรารถนาอะไรบางอย่าง


มู่จิ่วพยุงเขาออกมาพลางส่งกระแสจิตเรียกลู่ยา เมื่อออกมาที่ปากทางได้ ลู่ยาก็รออยู่ตรงนั้นแล้ว หลินเจี้ยนหรูเห็นเขาก็อดรั้งมือมู่จิ่วให้นั่งลงคุกเข่าไม่ได้


ทางด้านหลิวจวิ้นก็ตามมาเช่นกัน พอดีกับที่พวกซ่างกวนสุ่นรุ่ยเจี๋ยตามมาด้วย เมื่อเห็นมู่จิ่วกลายเป็นเซียน อีกทั้งหลินเจี้ยนหรูยังปลอดภัยดี อาฝูก็พุ่งเข้าหามู่จิ่ว ส่วนซ่างกวนสุ่นรีบกลับบ้านไปรับเสี่ยวซิงทันที!


มู่จิ่วพูดกับหลินเจี้ยนหรูอย่างยินดี “เจ้ากลับบ้านไปกับข้าก่อน ข้ายังมีเรื่องจะบอกเจ้า!”


หลินเจี้ยนหรูพยักหน้า เดินตามหลังลู่ยามุ่งตรงไปยังบ้านสกุลกัวอย่างครึกครื้น


เพิ่งเดินไปได้ไม่นาน อวี้ตี้หวังหมู่และไท่ซ่างเหล่าจวินก็ตามมา “ขอเชิญเซิ่งจุนสี่กับเทพหญิงย้ายไปยังวังสายธารเถิด” บ้านหลังเล็กๆ หลังนั้นไม่สมฐานะแล้ว…


“ไม่จำเป็น พวกเจ้าไปจัดการธุระของพวกเจ้าเถอะ” ลู่ยาบอกปัดไปคำหนึ่ง ก่อนจะพามู่จิ่วบินไปไกล


ไท่ซ่างเหล่าจวินมองส่งอยู่เนิ่นนาน ก่อนจะกุมมือเอ่ยเบาๆ “แย่แล้ว!”


หวังหมู่มองมา เขาก็มองไป นางทิ้งสายตาอันลุ่มลึกไว้แล้วจากไป


มิน่าล่ะ วันนั้นที่ลู่ยามาเยี่ยมวังโตวลวี่ถึงได้มีเซียนเด็กเพิ่มมาอีกคน ทั้งวันงานเลี้ยงลูกท้อถึงได้ไม่ยอมปล่อยเด็กสาวคนนี้ไป และลู่ยายังไปที่คลื่นจิตพสุธากับหลีหังก่อน…ที่แท้อยู่ข้างกายตลอดนี่เอง


ยังดีที่ครั้งนี้เขาแค่ใช้อสุนีบาตเก้าสาย มิฉะนั้นแล้ว…เฮอะๆ


………………………………………

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)