กระบี่จงมา 387.3-388.2

 บทที่ 387.3 ฤดูใบไม้ผลิอีกปี

 

สถานที่ที่เซียนซือพักแรมย่อมต้องเงียบสงบและห่างไกล อีกทั้งเมื่อสร้างสัมพันธ์อันดีกับทางการได้แล้วก็ยังสามารถสร้างค่ายกลที่เก็บรวบรวมน้ำและลมเอาไว้ ปราณวิญญาณจึงเหนือกว่าพื้นที่ทั่วไปในหมู่ชาวบ้านร้านตลาด


อีกทั้งเทพทวารบาลหลากสีสององค์ที่แปะไว้บนหน้าประตูใหญ่ของโรงเตี๊ยมแห่งนี้ก็เป็นยันต์เทพทวารบาลของแท้แน่นอน หากมีภูตผีหรือสิ่งเสนียดจัญไรเข้าใกล้ มัลละเทพที่สวมเสื้อเกราะสีทองก็จะเดินออกมาสยบกำราบกลิ่นอายชั่วร้ายแล้วกลืนกินเหล่าภูตผี


นอกจากนี้ทุกวันบนโต๊ะจะยังมีผลไม้ตระกูลเซียนวางไว้จานเล็กๆ เป็นของดีที่ผู้ฝึกตนสำนักกสิกรรมคนหนึ่งของสวนร้อยบุปผาถนัดที่สุด แล้วก็เป็นป้ายทองเรียกแขกของโรงเตี๊ยมบนภูเขาที่สร้างอยู่ล่างภูเขาแห่งนี้


ตอนที่เผยเฉียนกำลังคัดตัวอักษร มีหลายครั้งที่นางวางพู่กันบิดข้อมือก็จะเห็นว่าเฉินผิงอันนั่งเหม่ออยู่ตรงหน้าพุทราและสาลี่ที่อยู่ในจานนั้น


นางคิดแล้วก็ไม่เข้าใจ


รู้สึกว่าดูเหมือนอาจารย์จะนึกถึงเรื่องที่ไม่สบายใจอะไรบางอย่าง


พอนางคัดตัวอักษรเสร็จก็พบว่าเฉินผิงอันยังนั่งอยู่ที่เดิม เพียงแต่หันหน้าออกไปมองนอกหน้าต่าง


เผยเฉียนค่อนข้างเป็นห่วง จึงเอ่ยหยอกล้อเขา “อาจารย์ ท่านเป็นอะไรไป? คิดถึงอาจารย์แม่หรือ?”


เฉินผิงอันคืนสติกลับมา ยิ้มบางๆ ตอบว่า “อยากคัดเพิ่มอีกห้าร้อยตัวรึ?”


เผยเฉียนหน้าม่อย


เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน ตบศีรษะเผยเฉียนเบาๆ แล้วเริ่มเดินนิ่งหกก้าววนไปรอบโต๊ะ


เผยเฉียนยิ่งสงสัยใคร่รู้ ทุกวันนี้เฉินผิงอันมักจะฝึกท่าฟ้าดินซึ่งรวมทั้งสามท่าไว้ด้วยกันมากกว่า ไม่ค่อยจะฝึกท่าหมัดที่ง่ายที่สุดและเป็นขั้นเริ่มต้นที่สุดนี้เดี่ยวๆ เท่าไหร่แล้ว


เผยเฉียนเก็บกระดาษและพู่กัน ฟุบตัวลงบนโต๊ะ ถามชวนคุย “อาจารย์ ท่านไม่กลัวผีมาตั้งแต่เลยหรือ?”


เฉินผิงอันเดินนิ่งช้าๆ พลางตอบคำถามไปด้วย “ไม่ค่อยเหมือนกับเจ้าเท่าไหร่ ข้าไม่กลัวผีมาตั้งแต่เด็กแล้ว กลับกันยังหวังให้บนโลกมีพวกภูติผีอยู่จริงๆ จึงมักจะไปที่สุสานเทพเซียนนอกเมืองเล็กของบ้านเกิดคนเดียวเป็นประจำ พอโตขึ้นมาหน่อยก็ติดตามคนอื่นไปตัดไม้ในภูเขาเอามาทำฟืน หรือไม่ก็ไปหาดินที่เหมาะสำหรับนำมาเผาเครื่องปั้น ก็ไม่เคยกลัวมาก่อน”


เผยเฉียนร้องว้าว “อาจารย์ช่างมีพรสวรรค์เลิศล้ำจริงๆ”


เฉินผิงอันเพียงแค่ยิ้มรับ ไม่ได้อธิบายต้นสายปลายเหตุ


ตอนเที่ยงของวันนี้ ลูกจ้างในโรงเตี๊ยมก็นำข่าวตระกูลเซียนอีกข่าวหนึ่งมาบอกให้ เนื้อหาค่อนข้างสะเปะสะปะ มีเรื่องหนึ่งที่ทำให้เฉินผิงอันสนใจที่สุด พอเรียนหมากล้อมกับชุยตงซานเสร็จแล้ว เขาจึงถามความคิดเห็นจากชุยตงซาน


ระหว่างทางที่ผู้บัญชาการใหญ่แคว้นชิงหลวนนำทหารเดินทางขึ้นเหนือได้ผ่านเมืองแห่งหนึ่ง เพราะเรื่องเล็กเรื่องหนึ่งจึงลากตัวขุนนางสองคนที่บกพร่องต่อหน้าที่ออกมาได้ คนหนึ่งคือทหารฝ่ายบู๊ที่ทุจริตและละเมิดกฎหมาย รับสินบนหลายแสนตำลึงเงิน อีกคนหนึ่งเล่นสำนวนบิดเบือนข้อกฎหมายเพื่อยักยอกเงินทอง ผลกลับกลายเป็นว่าฝ่ายแรกแค่ถูกลดขั้น ฝ่ายหลังกลับฆ่าก่อนแล้วค่อยรายงานทีหลัง


ชุยตงซานหลุดปากตอบโดยที่แทบจะไม่ต้องคิดพิจารณา “นี่ก็คือวิธีการจัดการเรื่องราวของสำนักนิติธรรม สำหรับฝ่ายหลัง คนทั่วไปมักจะมองว่าความผิดเบากว่าฝ่ายแรก แต่สำนักนิติธรรมกลับจะเพิ่มโทษให้หนักขึ้น”


ชุยตงซานยิ้มถาม “อาจารย์นึกถึงจุดที่เชื่อมโยงกันของเรื่องราวนี้ออกหรือไม่?”


เฉินผิงอันตั้งใจใคร่ครวญแล้วก็ทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจัง “ร้ายกาจจริงๆ”


ชุยตงซานพูดชวนคุย “นอกเหนือจากสามลัทธิที่สามารถตั้งตระหง่านมาเป็นพันปีโดยไม่ล้มมาจนถึงทุกวันนี้ เมธีร้อยสำนักต่างก็มีรากฐานในการหยัดยืนและเอกลักษณ์เฉพาะตัวเป็นของตัวเอง ดังนั้นจึงมีคนผู้หนึ่งเคยกล่าวไว้นานแล้วว่า ‘หนึ่งชีวิตของคนสามารถมองเห็นขอบเขต แต่ความรู้นั้นไร้ขอบเขต ใช้ชีวิตที่มีขอบเขตไปไล่ตามแสวงหาความรู้ที่ไร้ขอบเขต อันตรายย่อมใกล้เข้ามา’ คนธรรมดาชอบครึ่งประโยคแรก ผู้ฝึกตนกลับรู้สึกว่าความมหัศจรรย์อยู่ที่ครึ่งประโยคหลัง จะว่าไปแล้ว ความรู้ของสามลัทธิร้อยสำนัก หากศึกษาแค่อย่างเดียว เกรงว่าผู้ฝึกตนใช้เวลาทั้งชีวิตก็ยังไม่กล้าพูดว่าเดินไปถึงปลายทางของความรู้ แค่ต้องดูที่ว่าจะคัดเลือกอย่างไร เลือกมาแล้ว มีความรู้กี่ส่วนที่กลายมาเป็นความสามารถของตัวเองอย่างแท้จริง แล้วส่วนที่ละทิ้งไปเล่า จะกลายเป็นว่าหยิบเมล็ดงาทิ้งเมล็ดแตงหรือไม่”


เฉินผิงอันพยักหน้ารับ


ชุยตงซานหยิบสาลี่ลูกหนึ่งขึ้นมากิน เสียงพูดจึงอู้อี้คลุมเครือ “เพียงแต่ว่าความรู้ก็คือความรู้ การประพฤติตัวก็คือการประพฤติตัว มีความสัมพันธ์กัน แต่ไม่ใช่ความสัมพันธ์ที่ตายตัว ดังนั้นถึงมีคำกล่าวที่ว่าโลกนี้ซับซ้อนอย่างไรเล่า คนคนหนึ่งมีชีวิตอยู่อย่างไร กับเล่าเรียนตำราอะไรบ้าง เรียนไปแล้วมีประโยชน์หรือไม่ ล้วนเป็นผลบุญผลกรรมของแต่ละคน คนโง่บนโลกมีมากมายเกินไป พวกเขาต่างก็ไม่รู้ว่าการเรียนหนังสือคือเรื่องสำคัญอันดับหนึ่งที่ทำให้พวกเราได้รู้จักโลกใบนี้มากขึ้น ทำลายความหวังดีของเหล่าอริยะปราชญ์ของสามลัทธิร้อยเมธี อริยะถ่ายทอดความรู้ ตำราคัมภีร์แต่ละเล่มก็คล้ายกับโคมไฟแต่ละดวงที่แขวนไว้ยามราตรี เส้นทางแตกต่าง โคมไฟมีเล็กบ้างใหญ่บ้าง มีสลัวรางมีสวางจ้า เสียดายก็แต่คนบนโลกหูตามืดบอดกันไปเอง”


สำหรับเรื่องนี้เฉินผิงอันไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ


เดิมทีชุยตงซานก็แค่หาเรื่องชวนคุยอยู่แล้วจึงเปลี่ยนหัวข้อไปพูดถึงเรื่องประสบการณ์อันรุ่งโรจน์ของเป่าผิงน้อย


บอกว่าเมื่อปลายปีที่แล้ว เจ้าเด็กทึ่มหลี่ไหวทะเลาะกับเพื่อนร่วมห้อง ตำราเล่มหนึ่งที่ทางสำนักศึกษาเพิ่งแจกให้ถูกเพื่อนร่วมห้องเอาไป บอกว่าเป็นของเขา หลี่ไหวหาหลักฐานมาไม่ได้ ผลคือหลี่เป่าผิงผ่านทางมาพอดีจึงทำหน้าที่ตัดสินคดีเสียเลย นางใช้วิธีการนำตำราเล่มนั้นมาแล้วบอกกับพวกหลี่ไหวสองคนว่า ถึงอย่างไรพูดกันไปก็ไม่เข้าใจ ถ้าอย่างนั้นก็ฉีกแบ่งเป็นสองส่วนแล้วเอาไปกันคนละครึ่ง หลี่ไหวร้อนใจตาแดงก่ำ แต่เด็กอีกคนกลับเห็นด้วยอย่างอารมณ์ดี ดังนั้นหลี่เป่าผิงจึงโยนตำราเล่มนั้นให้หลี่ไหวแล้วซ้อมเด็กอีกคนอย่างแรง จนกระทั่งอาจารย์ท่านหนึ่งที่แอบมองอยู่ไกลๆ หัวเราะร่าเสียงดัง เด็กคนนั้นไม่รู้ว่าปัญหาเกิดขึ้นที่ตรงไหนจึงร้องไห้ไปฟ้องอาจารย์ผู้เฒ่า ผลกลับกลายเป็นว่าถูกตีอีกรอบ


เฉินผิงอันฟังจบก็ยิ้มอย่างเบิกบานใจ


เผยเฉียนที่นั่งฟังอยู่ด้วยกันทอดถอนใจ “เจ้าคนขโมยหนังสือเล่มนั้นก็โง่เกินไปหน่อยแล้ว เฮ้อ ใต้หล้านี้มีคนโง่เยอะจริงๆ ด้วย ช่วยไม่ได้เลย”


เฉินผิงอันเขกมะเหงกใส่นาง “ไม่ใช่เรื่องโง่หรือไม่โง่ แต่การขโมยหนังสือก็ผิดมาตั้งแต่แรกแล้ว ขโมยหนังสือแล้วฉลาดจนใครจับพิรุธไม่ได้ ก็ยิ่งไม่ถูกต้อง”


เผยเฉียนกล่าวอย่างน้อยใจ “ข้าไม่ได้บอกสักหน่อยว่าขโมยหนังสือเป็นเรื่องถูก”


ชุยตงซานยิ้มกล่าว “คนที่ทั้งโง่และเลวบนโลกนี้ก็มีไม่น้อยเหมือนกัน คนจำพวกนี้ ความรู้ลัทธิขงจื๊อไม่อาจนำมาสั่งสอนได้”


เผยเฉียนเห็นด้วยอย่างยิ่ง นางพยักหน้ารับ “สำนักนิติธรรมที่พวกท่านเพิ่งพูดกันเมื่อครู่นี้ดีมาก ใช้รับมือกับคนโง่ รู้สึกว่าได้ผลอย่างยิ่ง”


กล่าวมาถึงตรงนี้ เผยเฉียนก็รีบหุบปากฉับด้วยกลัวว่าเฉินผิงอันจะโกรธ


เฉินผิงอันกลับยิ้ม “ตอนนี้เจ้าคิดอย่างนี้ก็ไม่ผิด แต่ก็ยังต้องอ่านหนังสือให้มากจึงจะได้ อย่าได้รู้สึกว่าตอนนี้ก็ได้คำตอบที่ถูกต้องแล้ว”


เผยเฉียนคิดแล้วก็ตอบว่า “ถ้าอย่างนั้นลัทธิขงจื๊อก็คงจะดีกว่ากระมัง”


ตอนนี้นางคัดตำราลัทธิขงจื๊อเล่มนั้นเล่มเดียวก็เหนื่อยมากพอแล้ว หากยังมีตำราของสำนักนิติธรรมเพิ่มมาอีกหนึ่งเล่ม จะไม่เท่ากับว่าหาเรื่องใส่ตัวหรอกหรือ?


ชุยตงซานยกนิ้วโป้งให้ “ไม่เสียแรงที่จูเหลี่ยนชมว่ามีความหยิ่งในศักดิ์ศรี”


เผยเฉียนแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน


ชุยตงซานยิ้มถาม “เผยเฉียน ความสัมพันธ์ของเจ้ากับเว่ยเซี่ยนไม่เลวเลยนี่?”


เผยเฉียนเกิดใจระแวดระวัง แต่ก็ยังยิ้มตาหยีตอบว่า “ก็ธรรมดาๆ”


ชุยตงซานร้องโอ้โห “ขับเรือตามกระแสลม ฉลาดมาก”


เผยเฉียนเหลือกตามองบน


พออยู่กับอาจารย์กลับเอ่ยคำประจบสอพลอคำแล้วคำเล่า แต่พอมาเจอกับนางกลับเป็นปากสุนัขที่ไม่งอกงาช้าง ไม่มีคำพูดน่าฟังสักคำ ไอ้หมอนี่ช่างน่ารังเกียจจริงๆ


วันใดเจ้าคนแซ่ชุยผู้นี้ทำให้อาจารย์โมโห แล้วนางที่เป็นลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขา เวลานั้นคงฝึกวิชากระบี่และวิชาดาบล้ำโลกได้สำเร็จแล้ว นางจะทำแบบที่บอกไว้ในนิทานจอมยุทธ์ เก็บกวาดทำความสะอาดสำนัก!


ชุยตงซานเหมือนเป็นพยาธิในท้องเผยเฉียน เขาหัวเราะคิกคัก “ทำไม อาศัยวิชากระบี่วิชากระดาบชั้นต่ำนั่นของเจ้า ก็คิดว่าวันใดในอนาคตจะหาโอกาสมางัดข้อกับข้างั้นหรือ?”


เผยเฉียนตีหน้ามึน “เจ้าพูดอะไรน่ะ?”


ชุยตงซานหยิบพุทราลูกหนึ่งออกมาจากจานใบเล็ก ขว้างใส่หน้าผากเผยเฉียนเบาๆ “นังหนูน้อย คิดจะสู้กับข้างั้นรึ?”


เผยเฉียนยื่นมือมารับพุทราที่ร่วงลง แสร้งทำท่าว่าจะขว้างกลับไป ชุยตงซานนิ่งเฉยไม่สะทกสะท้าน เผยเฉียนแสร้งทำอยู่อีกหลายที ชุยตงซานยังคงยิ้มเฉย เผยเฉียนคิดว่าตนน่าจะขว้างไม่โดนเจ้าหมอนี่ แต่หากทำได้สำเร็จจริงๆ สุดท้ายนางก็คงต้องเสียเปรียบอยู่ดี จึงยัดพุทราใส่ปาก ถลึงตาดุดันใส่เขาแทน


ชุยตงซานพลันพูดขึ้นอย่างแตกตื่น “แย่แล้ว พุทราลูกนี้คือลูกหลานของภูตพุทราสวนร้อยบุปผา ผู้ฝึกลมปราณอย่างพวกเราไม่กลัวว่าภูตผีจะมาตอแย แต่เด็กน้อยอย่างเจ้าเผยเฉียน เจ้าหมอนั่นต้องคิดว่าเป็นมะพลับนิ่มที่รังแกง่ายแน่นอน ดังนั้นก่อนที่เจ้าจะนอนจะต้องตรวจดูประตูหน้าต่างให้ดี ไม่อย่างนั้นกลางดึกอาจจะมีกิ่งไม้มากมายไต่คลานเข้ามาในห้อง น่ากลัวเกินไปแล้ว…”


ระหว่างที่พูด ชุยตงซานยังแกล้งบิดแขนพร้อมทำเสียงประกอบเลียนแบบให้ดูว่าภูตต้นไม้แอบแฝงเข้าไปในห้องทำร้ายคนอย่างไร


ทำเอาเผยเฉียนตกใจจนรีบหยิบยันต์ที่รักที่สุดแผ่นนั้นออกมาแปะลงบนหน้าผากหนักๆ จากนั้นยกสองแขนขึ้นกอดอก


ชุยตงซานถอนหายใจหนึ่งที “ไม่ได้หรอก ยันต์แผ่นนี้คือยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจ พวกต้นไม้ที่กลายมาเป็นภูตไม่กลัวยันต์ประเภทนี้หรอก”


เผยเฉียนหยิบยันต์ปราณหยางส่องไฟที่เฉินผิงอันยกให้นางในตอนหลังออกมาอีก แล้วก็แปะไว้บนหน้าผาก


ชุยตงซานใช้หมัดทุบฝ่ามือ พูดอย่างเป็นกังวล “ไม่นะ ยันต์แผ่นนี้คือยันต์นำทาง ไม่สามารถต้านทานภูตผีปีศาจได้สักหน่อย ไม่แน่ว่ากลับจะยิ่งดึงดูดความสนใจของภูตต้นไม้ตัวอื่นๆ มา แล้วรู้สึกว่าเจ้าท้าทายพวกมันก็ได้นะ ถึงเวลานั้นภูตดอกไม้ภูตต้นไม้ต่างพากันติดตามภูตต้นพุทรามาเป็นแขกที่ห้องเจ้า ยืนออกันข้างเตียงเจ้า ใต้เตียงเจ้าก็มี”


เผยเฉียนเม้มปากยู่ใบหน้าเล็กๆ สีดำราวกับถ่าน น้ำตาเริ่มมาคลอในดวงตา


เฉินผิงอันตบศีรษะชุยตงซานหนึ่งที ด่ายิ้มๆ “เลิกแกล้งขู่เผยเฉียนได้แล้ว”


ชุยตงซานร้องอ้อหนึ่งที จากนั้นก็ใช้มือหนึ่งกุมท้อง ยื่นนิ้วของมืออีกข้างไปยังเผยเฉียนที่กระจ่างแจ้งในบัดดล “ฮ่าๆ เจ้าโง่น้อย!”


เผยเฉียนอับอายจนพานเป็นความโกรธ เตรียมจะไปหยิบไม้เท้าเดินป่าในห้องด้านข้างมา ถึงอย่างไรตอนนี้นางก็รู้สึกว่าวิชากระบี่มารคลั่งที่ตัวเองสร้างสรรค์ขึ้นก็ยิ่งมีอานุภาพมากกว่าเดิมแล้ว นางพร้อมจะสู้ตายกับเขา!


ชุยตงซานเห็นท่าไม่ดีก็เผ่นหนีว่องไวเหมือนใต้รองเท้าทาด้วยน้ำมัน


พอชุยตงซานหนีไปแล้ว เผยเฉียนก็หันมายิ้มให้เฉินผิงอัน “อาจารย์ เมื่อครู่ข้าแกล้งกลัวไปอย่างนั้นแหละ ต่อให้ไม่มียันต์สองแผ่นนี้ ตอนกลางคืนก่อนนอนข้าก็ยังท่องตำราอริยะปราชญ์ สิ่งชั่วร้ายใดๆ ก็ไม่อาจรุกราน ภูตผีก็ไม่ย่างกรายเข้าใกล้ ใช่ไหม?”


เฉินผิงอันมองเจ้าตัวน้อยที่หน้าผากยังแปะยันต์อยู่สองแผ่นก็กลั้นยิ้มแล้วพยักหน้ารับ “อาจจะกระมัง”


เผยเฉียนตื่นตระหนก “แค่ ‘อาจจะ’ หรือ?”


เฉินผิงอันยิ้ม “ที่นี่คือโรงเตี๊ยมตระกูลเซียน ไหนเลยจะมีภูตผีกล้าทำร้ายแขกที่มาเข้าพัก”


เผยเฉียนพูดอย่างน่าสงสาร “แล้วถ้ามีล่ะ?”


เฉินผิงอันงันไป ก่อนจะลูบศีรษะของนาง “วางใจเถอะ ข้าก็อยู่ห้องติดกับเจ้าไม่ใช่หรือ จะกลัวอะไร?”


เผยเฉียนตาเป็นประกาย รีบปลดยันต์เก็บเข้าไปในชายแขนเสื้อ วิ่งไปที่ริมหน้าต่างแล้วพร่ำพูดกับสวนดอกไม้ หนีไม่พ้นคำพูดไร้เดียงสาทำนองว่าอาจารย์ของข้าคือเฉินผิงอัน พวกเราเป็นน้ำบ่อไม่ยุ่งกับน้ำคลอง ฯลฯ

 

 

 


บทที่ 387.4 ฤดูใบไม้ผลิอีกปี

 

มุมอื่นของโรงเตี๊ยม สุยโย่วเปียนเป็นฝ่ายไปหาชุยตงซานด้วยตัวเอง ถามว่า “เจ้ามีวิชาลับในการบ่มเพาะกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตใช่หรือไม่?”


ชุยตงซานเพียงคลี่ยิ้ม ไม่เอ่ยอะไร


สุยโย่วเปียนถามเข้าประเด็น “เจ้าต้องการให้ข้าจ่ายด้วยอะไร?”


ชุยตงซานนั่งอยู่ข้างโต๊ะ มองสตรีสะพายกระบี่ที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูแล้วยิ้มบางๆ “ง่ายมาก ไม่ลืมรากเหง้าของตัวเอง”


สุยโย่วเปียนขมวดคิ้ว “หมายความว่าไง?”


ชุยตงซานทำสีหน้ารังเกียจ โบกมือไล่คน “เรื่องแค่นี้ยังคิดไม่เข้าใจ แล้วยังกล้าจะใช้ร่างของผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวมาบำรุงหล่อเลี้ยงตัวอ่อนกระบี่ของกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตได้ในเร็ววันอีกรึ?”


สุยโย่วเปียนหมุนกายเดินจากไปด้วยใบหน้าประหนึ่งน้ำค้างแข็ง


ชุยตงซานไม่ถือสา คิดแล้วก็ไปยังที่พักของเว่ยเซี่ยน


จูเหลี่ยนกำลังเดินเล่นอยู่ในสวนร้อยบุปผา ไม่อยู่ในห้องพอดี ประตูห้องไม่ได้ลงดาล ชุยตงซานจึงผลักประตูเดินเข้าไปโดยตรง


เว่ยเซี่ยนกำลังอ่านอักขรานุกรมท้องถิ่นและตำราประวัติศาสตร์ที่ทำขึ้นเองซึ่งซื้อมาจากข้างทาง เขาวางหนังสือลง ถามว่า “มีธุระรึ?”


ชายแขนเสื้อใหญ่ของชุยตงซานพลิ้วสะบัด พอเดินข้ามธรณีประตูเข้ามา ประตูห้องก็ปิดลงด้วยตัวเอง


ชุยตงซานยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกมา กำเป็นหมัดเบาๆ “เจ้าเว่ยเซี่ยนไม่ดูขั้นตอน ดูแค่ผลลัพธ์ ในบรรดาคนทั้งสี่ เจ้าคือคนที่มีฝีมือเล่นหมากล้อมห่วยแตกที่สุด แต่กลับเป็นคนที่ใกล้ชิดสัจธรรมแห่งหมากล้อมมากที่สุดโดยไม่รู้ตัว สักวันหนึ่งต้องมีหนึ่งหมัดของเจ้าที่ต่อยลงบนจุดอันตรายของร่างกายอาจารย์ข้า ไม่สู้ให้ข้าต่อยเจ้าให้ตายไปวันนี้เลยดีกว่า”


เว่ยเซี่ยนกล่าวอย่างเฉยเมย “คิดจะใส่ร้ายคนอื่น ย่อมไม่หน่ายจะหาข้ออ้างสินะ?”


ชุยตงซานสะบัดชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง ภาพวาดภาพหนึ่งก็หล่นลงบนโต๊ะข้างกายเว่ยเซี่ยน และยังมีเงินเหรียญทองแดงแก่นทองอีกสามเหรียญ


ชุยตงซานก้าวยาวๆ ไปข้างหน้า เอามือหนึ่งไพล่หลัง อีกมือหนึ่งกำเป็นหมัด “ฆ่าผิดก็ฆ่าผิดไปเถอะ ฆ่าจนขอบเขตเจ้าถดถอยจนถอยกว่านั้นไม่ได้อีกแล้ว รอจนอาการบาดเจ็บของอาจารย์ข้าหายดี ค่อยถือโอกาสฝ่าทะลุคอขวดขอบเขตห้า ถึงเวลานั้นต่อให้เจ้าคิดอยากจะลงมือก็ทำไม่ได้แล้ว”


เว่ยเซี่ยนหัวเราะเสียงเย็น “ข้าก็อยากจะรู้เหมือนกันว่า ความเสียหายจากการที่ขอบเขตของข้าถดถอยจะมากกว่า หรือการที่เจ้าสูญเสียความสัมพันธ์ฉันท์อาจารย์และศิษย์จะน่าอนาถยิ่งกว่า เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้จริงๆ หรือว่าภาพวาดนี้คือเวทอำพรางตาของเจ้าชุยตงซาน? เฉินผิงอันเป็นคนอย่างไร คิดว่าเจ้าน่าจะรู้ดีอยู่แก่ใจ”


ชุยตงซานตกตะลึงเล็กน้อย เขาทอดฝีเท้าให้ช้าลง “ก่อนหน้านี้ดูแคลนฮ่องเต้ผู้บุกเบิกแคว้นหนันเยวี่ยนอย่างเจ้าไปหน่อยจริงๆ พูดมาเถอะ พวกเราสองคนต่างก็รู้กันดีอยู่แก่ใจว่าเจ้าเว่ยเซี่ยนต่างหากที่เป็นภัยร้ายซ่อนแฝงที่แท้จริง แต่เจ้าไม่ยอมลงมือสักที ข้าประหลาดใจอย่างมาก เป็นเพราะ…เผยเฉียนอย่างนั้นรึ?”


เว่ยเซี่ยนสีหน้าไร้อารมณ์ ไม่พูดตอบโต้


ชุยตงซานคลี่ยิ้มแล้วนั่งลง “อาศัยโอกาสตอนที่สอนอาจารย์ข้าเล่นหมากล้อมแล้วช่วยทบทวนกระดานหมากให้เขา เกี่ยวกับเรื่องของพื้นที่มงคลดอกบัว ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ ข้าก็ล้วนสอบถามมาหมดแล้ว หนึ่งในนั้นคือภูมิหลังความเป็นมาของคนทั้งสี่ในภาพวาดอย่างพวกเจ้า ขอแค่เป็นเรื่องที่เขารู้ ข้าก็รู้หมด เบาะแสใดๆ ที่เขาไม่สังเกต ข้าล้วนไม่ปล่อยผ่าน”


ชุยตงซานชี้ไปยังตำราประวัติศาสตร์ที่รวบรวมขึ้นเองเล่มหนึ่งบนโต๊ะ “เมื่อเทียบกับบันทึกประวัติศาสตร์ที่เขียนขึ้นเองของคนรุ่นหลังในแคว้นหนันเยวี่ยนแล้ว ฮ่องเต้ผู้บุกเบิกแคว้นที่อำมหิตโหดร้ายคนนั้นของพวกเขารักองค์หญิงน้อยที่ตายไปตั้งแต่ยังเด็กมากที่สุด เพื่อนางแล้ว เขาถึงกับส่งผู้ที่งมงายในเรื่องของเซียนและอายุวัฒนะทุกคนในราชสำนักไปตามหาเซียน ถ้าเช่นนั้นในสายตาของเจ้าเว่ยเซี่ยน เผยเฉียนกับบุตรสาวของเจ้าคล้ายคลึงกันกี่ส่วน? หากสังหารเฉินผิงอัน เจ้าก็จะสามารถให้นางฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่ในพื้นที่มงคลดอกบัว หรือไม่ก็อาศัยร่างของเผยเฉียนทำให้บิดาและบุตรสาวกลับมาพบกันใหม่อีกครั้งในใต้หล้าไพศาลแห่งนี้? อืม บางทีเจ้าเว่ยเซี่ยนอาจจะตาย แต่ถึงอย่างไรนางก็สามารถมีชีวิตได้อีกหนึ่งชาติภพ ส่วนเรื่องที่ว่าจะได้อยู่ในแคว้นหนันเยวี่ยนอันเป็นมาตุภูมิหรือไม่กลับไม่สำคัญแล้ว ถึงอย่างไรญาติพี่น้องก็ล้วนเหลือเพียงโครงกระดูก ไม่แน่ว่าอยู่ในใต้หล้าไพศาลอาจจะประสบความสำเร็จมากกว่า ดังนั้นเจ้าเว่ยเซี่ยนจึงเลือกที่จะรออยู่เงียบๆ หวังจะปูทางให้นางได้มากกว่านี้ก่อน? สะสมทรัพย์สมบัติให้มากขึ้น หลีกเลี่ยงไม่ให้นางพบจุดจบที่ต้องตายก่อนวัยอันควรอีกครั้ง? ดังนั้นจึงต้องฆ่าเฉินผิงอันให้ได้ เพียงแต่ว่าสมบัติมากมายบนร่างของเขา เจ้าก็ต้องการเช่นเดียวกัน จะได้เก็บไว้ให้เผยเฉียนคนใหม่ของเจ้าเป็นสมบัติในการฝึกตนวันหน้า?”


มือที่อยู่ใต้โต๊ะของเว่ยเซี่ยนกำเป็นหมัด


ชุยตงซานจุ๊ปากพูด “อาจารย์ของข้าพูดได้ดี ผู้อาวุโสท่านนี้มีมรรคกถาเลิศล้ำค้ำฟ้า คิดคำนวณทุกด้านอย่างรอบคอบ เขามอบพื้นที่ว่างในการเลือกให้แก่เฉินผิงอัน ให้แก่เผยเฉียนและให้แก่เจ้าตามกฎเกณฑ์ และยังวางแผนแห่งมหามรรคาไว้ในกฎเกณฑ์บางอย่างอีกด้วย”


เว่ยเซี่ยนเอ่ยชื่นชมจากใจจริง “แม้ว่าข้าจะไม่เข้าใจการเล่นหมากล้อม แต่วิชาหมากล้อมของท่านชุยสูงส่งอย่างแท้จริง”


จากนั้นเว่ยเซี่ยนก็ยิ้มกล่าวว่า “แต่หากต่อให้ตายอย่างไรข้าก็ไม่ยอมรับกับเฉินผิงอัน ท่านชุยจะทำอะไรได้?”


ชุยตงซานหัวเราะเสียงดัง “เจ้าเว่ยเซี่ยนคิดว่าตัวเองเข้าใจเฉินผิงอันจริงๆ หรือ? ไม่พูดถึงวิชาลับเฉพาะบางอย่างของข้าที่สามารถกักขังวิญญาณเจ้าให้คายความจริงออกมาได้ ข้ากล้ายืนยันเลยว่า ขอแค่ข้าบอกคำอนุมานเหล่านี้แก่เฉินผิงอันไปตามตรง จุดจบของเจ้าเว่ยเซี่ยนก็น่าจะเป็น…ข้าใช้กระบี่บินวาดวงกลม อำพรางฟ้าดิน จากนั้นเขาเฉินผิงอันใช้ตบะในปัจจุบันต่อยให้เจ้าเว่ยเซี่ยนตายติดต่อกันสามครั้ง สิ่งที่สำคัญที่สุดไม่ใช่เรื่องพวกนี้ แต่เป็นชีวิตนี้เจ้าเว่ยเซี่ยนจะไม่มีโอกาสได้พบคนที่เจ้าอยากพบที่สุดอีกแล้ว”


เว่ยเซี่ยนคลายหมัดที่อยู่ใต้โต๊ะ ตอบอย่างตรงไปตรงมา “เป็นเช่นนี้จริง”


นี่น่าจะเป็นครั้งแรกที่ชุยตงซานเรียกชื่อเฉินผิงอันออกมาตรงๆ ต่อหน้าคนสี่คนในภาพวาด


ชุยตงซานบังคับกระบี่บินเล่มนั้นให้วาดเป็นวงกลมแล้วก็หยิบเอาภาพม้าวิ่งออกมาคลี่เปิด หยิบช่วงหนึ่งของแม่น้ำแห่งกาลเวลาออกมา ยิ้มกล่าวว่า “อยู่ร่วมกันอย่างปรองดองย่อมนำทรัพย์สมบัติมาให้ ไม่เห็นจำเป็นต้องฆ่าแกงกัน จิตใจของเจ้าเว่ยเซี่ยนไม่เลว แต่เสียตรงที่วิสัยทัศน์คับแคบ มาๆๆ ข้าจะบอกตาแก่บ้านนอกอย่างเจ้าเองว่า ก่อนหน้านี้ตอนที่ข้าอยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจูได้เอาเศษกระเบื้องแห่งชะตาชีวิตกองใหญ่มาตั้งใจประกอบให้เป็นคนมีชีวิตที่กระโดดโลดเต้นได้อย่างไร เบิกตาสุนัขของเจ้าให้กว้าง ตั้งใจดูให้ดี ข้าจะสอนให้เจ้ารู้ว่านอกจากนายท่านผู้เฒ่าจมูกวัวหน้าเหม็นในพื้นที่มงคลดอกบัวของเจ้าคนนั้นแล้ว ข้าชุยตงซานก็มีโอกาสจะทำให้เจ้าได้สมปรารถนาเช่นเดียวกัน ไม่กล้ารับรองว่าจะต้องสำเร็จอย่างแน่นอน แต่โอกาสก็มีมากกว่าที่ฮ่องเต้ผู้บุกเบิกแคว้นอย่างเจ้าจะใช้วิธีเสี่ยงอันตรายภายใต้เปลือกตาข้ากระมัง?”


ครึ่งก้านธูปต่อมา


เว่ยเซี่ยนลุกขึ้นยืน ก้มหน้ากุมหมัดไม่พูดไม่จา


ชุยตงซานเก็บภาพกาลเวลาม้าวิ่งไปแล้วก็ไม่ได้เปิดปากพูดอะไร


เว่ยเซี่ยนเงยหน้าขึ้น แต่ยังคงกุมหมัดเอาไว้ “ท่านก็คือราชครูต้าหลี ซิ่วหู่ ชุยฉานกระมัง?”


ชุยตงซานเลิกคิ้วขึ้น “ไม่เสียแรงที่เคยเป็นฮ่องเต้มาก่อน รู้เพียงน้อยนิดก็อนุมานไปได้กว้างไกล ฉลาดกว่าหลูป๋ายเซี่ยงไม่น้อย”


สายตาเว่ยเซี่ยนฉายประกายร้อนแรง “ใต้เท้าราชครูช่วยบอกข้าน้อยได้หรือไม่ว่า ต้าหลีที่มีอาณาเขตเล็กๆ สามารถเขมือบกลืนแผ่นดินครึ่งหนึ่งของทวีปได้อย่างไร?”


ชุยตงซานยิ้มคลุมเครือ “เจ้าอาศัยอะไรมาเรียกร้องกับข้าเช่นนี้?”


เว่ยเซี่ยนวางหมัดลง กลับไปนั่งที่เดิม “ก็อาศัยที่ใต้เท้าราชครูยินดีเปลืองน้ำลายพูดคุยกับข้าเว่ยเซี่ยนที่ต้องแพ้อย่างแน่นอนอยู่ในห้องนี้ บนร่างข้าย่อมต้องมีสิ่งที่ราชครูคิดว่ามีค่า วันนี้ไม่มี วันหน้าก็ต้องมี”


ชุยตงซานพยักหน้ารับ พูดอย่างปลงอนิจจังว่า “เหล่าเว่ย เจ้าเป็นคนตรงไปตรงมาดีจริงๆ พูดคุยกับเจ้าแล้วไม่เหนื่อยใจ”


เว่ยเซี่ยนลังเลอยู่ชั่วครู่ก็เตรียมจะพูดอะไรบางอย่าง


ชุยตงซานกลับโบกมือ “ข้ารู้ว่าเจ้าอยากพูดอะไร นี่ต่างหากถึงเป็นกุญแจสำคัญที่แท้จริงที่ทำให้เจ้ายังมีชีวิตอยู่ ในฐานะลูกศิษย์ใหญ่เปิดภูเขาของอาจารย์ข้า หากเจ้ากล้าคิดร้ายกับเผยเฉียนจริงๆ ขอแค่เอานางมาทำเป็นหุ่นเชิดแล้วเผยพิรุธออกมา เจ้าก็ต้องตายอย่างที่ไม่อาจตายไปได้มากกว่านั้นได้อีกแล้ว ไม่ใช่ข้าที่ฆ่าเจ้า แต่เป็นเฉินผิงอัน”


สายตาของชุยตงซานมืดลึก “เจ้ากำลังรอโอกาส เฉินผิงอันเองก็กำลังรอให้เจ้าลงมืออยู่เช่นกัน อาจจะเป็นเช่นนี้ หรือบางทีอาจจะไม่ใช่ แต่โอกาสที่จะใช่มีมากกว่า”


เว่ยเซี่ยนส่ายหน้า “เรื่องนี้ข้าไม่เชื่อ”


ชุยตงซานสอดสองมือรองไว้ใต้ท้ายทอย แหงนหน้ากล่าว “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็คงไม่รู้สินะว่าเฉินผิงอันเคยงัดข้อ เคยเล่นชักคะเย่อบนสภาพจิตใจกับคนแบบใดมาบ้าง ดังนั้นถึงได้บอกอย่างไรล่ะว่าวิสัยทัศน์ของเจ้าเว่ยเซี่ยนคับแคบ”


เว่ยเซี่ยนถาม “ราชครูต้องการอะไรอีก?”


ชุยตงซานถอนหายใจ “บอกยาก ไว้รอดูอีกที จำไว้ว่าวันหน้าห้ามเรียกข้าว่าราชครู ตอนนี้ข้าเป็นศัตรูกับตัวเองครึ่งตัว”


ชุยตงซานลุกขึ้นยืน สะบัดชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง บนพื้นก็ปรากฏภาพแผนที่แจกันสมบัติทวีป คือภาพแผนที่ก่อนที่สกุลซ่งต้าหลีจะฮุบกลืนราชวงศ์สกุลหลู ชุยตงซานเดินไปบนจุดที่อยู่เหนือสุดของทวีป หัวเราะเสียงดังอย่างฮึกเหิม “อยู่ว่างๆ ก็น่าเบื่อ จะเล่าให้เจ้าฟังถึงความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของข้าในปีนั้นก็แล้วกัน เล่าว่าข้าลงใต้อย่างไร ในอนาคตจะทำให้อาณาเขตของหนึ่งทวีปกลายเป็นแผ่นดินของหนึ่งแคว้นได้อย่างไร!”


……


หลังจากเผยเฉียนออกจากห้องไปแล้ว


เฉินผิงอันที่อยู่คนเดียวก็หลับตาทำสมาธิคล้ายเหนื่อยล้าเล็กน้อย


เขาลืมตาขึ้น ลุกขึ้นยืน เดินไปที่หน้าต่าง


ฤดูใบไม้ผลิของอีกปีกำลังจะสิ้นสุดลงแล้ว


เฉินผิงอันฟุบตัวนอนคว่ำอยู่บนขอบหน้าต่าง คลี่ยิ้มมองออกไปข้างนอก


……


จวนตระกูลเซียนแห่งใหม่ที่เพิ่งสร้างขึ้นบนภูเขาเมฆาเรือง คือที่พักสำหรับฝึกตนในปัจจุบันของเทพธิดาไช่จินเจี่ยน


จวนตั้งอยู่ติดกับหน้าผา การมองเห็นจึงเปิดกว้าง สามารถมองไปได้ไกลมาก


นางไล่พวกบ่าวรับใช้หญิงที่พรสวรรค์ในการฝึกตนพอใช้ออกไป ตัวเองนั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะรองเพียงลำพัง ในมือถือม้วนภาพที่ไม่เคยเอาให้ใครดูมาก่อน


ตอนนี้ไช่จินเจี่ยนมีชื่อเสียงโด่งดังในภูเขาเมฆาเรือง หรือแม้แต่ในบรรดาพรรคและตระกูลเซียนมากมายของแจกันสมบัติทวีป นางก็กลายมาเป็นคนรุ่นเยาว์ที่มีคุณสมบัติจะนั่งทัดเทียมกับผู้อาวุโสเซียนดินได้แล้ว


หลังกลับมาจากถ้ำสวรรค์หลีจู นอกจากตบะของนางจะเพิ่มพูนขึ้นแล้ว ยังมีความลับอีกมากมายที่ไม่มีใครล่วงรู้ ยกตัวอย่างเช่นความสัมพันธ์อันสนิทแน่นแฟ้นระหว่างนางกับฝูหนันหัวแห่งนครมังกรเฒ่า


และเมื่อไช่จินเจี่ยนได้ผ่านความรุ่งโรจน์สูงสุดและความตกต่ำสูงสุดมาแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งหายนะแห่งความตายที่แม้แต่บุรพาจารย์ในสำนักก็ยังไม่รู้ครั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นตบะหรือจิตใจของไช่จินเจี่ยนก็ล้วนเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างที่เรียกว่าผลัดครรภ์เปลี่ยนกระดูก ทำให้คนรู้สึกตกตะลึงและอิจฉา


เมื่อหลายปีก่อนไช่จินเจี่ยนชอบลงจากภูเขาไปท่องเที่ยวไกลๆ ทว่าสองปีนี้กลับปิดด่านตลอด


ไช่จินเจี่ยนคลี่ม้วนภาพวาดที่อยู่ในมือ ด้านบนคือภาพของชาวลัทธิขงจื๊อคนหนึ่งที่สวมชุดสีเขียว จอนผมสองข้างเป็นสีดอกเลา


เป็นภาพที่นางวาดเอง


ไช่จินเจี่ยนที่ในสายตาของคนนอกจิตแห่งมรรคาแข็งแกร่งขึ้นทุกที อีกทั้งมหามรรคายังรออยู่ตรงหน้า เวลานี้ก้มหน้าลง ขนตาสั่นระริก พูดเบาๆ ว่า “อาจารย์ฉี”


นางเก็บม้วนภาพวาดช้าๆ นำมาประคองไว้ในอ้อมกอด ใจลอยไปไกล


ปีนั้นนางตายและฟื้นคืนชีพกลับมาอีกครั้ง ช่วงเวลาก่อนที่จะแยกจากกับอาจารย์ฉี เขาบอกว่ามีเรื่องหนึ่งอยากจะขอร้องนาง


ไช่จินเจี่ยนย่อมยินดีช่วย


อาจารย์ฉีต้องการให้นางนำภาพม้าวิ่งแห่งกาลเวลาภาพหนึ่งส่งไปที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ของภูเขาห้อยหัว


อีกทั้งหลังจากนั้นอาจารย์ฉียังบอกให้นางช่วยทยอยส่งภาพอีกหลายม้วนไปที่นั้น


บุคคลสำคัญในภาพวาดก็คือเด็กหนุ่มตรอกหนีผิงคนนั้น เนื้อหาในม้วนภาพนอกจากเฉินผิงอันตอนเป็นเด็กที่อยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจูแล้ว ก็ยังมีภาพที่เขาออกเดินทางไกลไปยังต้าสุย และจากนั้นก็เดินทางลงใต้ไปส่งกระบี่เพียงลำพัง สุดท้ายคือก่อนจะเดินทางไปถึงแคว้นไฉ่อี หลังจากนั้นอาจารย์ฉีก็เอ่ยขอบคุณและบอกลานางไช่จินเจี่ยน


ไช่จินเจี่ยนเคยปลุกความกล้าถามไปด้วยความใคร่รู้ว่าตนสามารถดูภาพพวกนั้นได้ไหม


อาจารย์ฉียิ้มอ่อนโยน พยักหน้าบอกว่าได้


บนภาพม้วนสุดท้ายมีอาจารย์ฉีปรากฎตัว เอ่ยคำสั่งเสียสุดท้ายก่อนจากลา


พูดให้คนผู้นั้นที่อยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่ฟัง


‘ข้ามีคำขอร้องที่อาจจะไม่สมเหตุสมผลเท่าใดนัก ขอแม่นางหนิงโปรดรับไว้พิจารณา’


‘เฉินผิงอันที่เป็นเช่นนี้จะดีต่อคนบนโลก ถ้าอย่างนั้นก็ขอแม่นางหนิงโปรดดีต่อเฉินผิงอัน’


‘หากสุดท้ายแล้วแม่นางหนิงยังคงไม่ชอบเฉินผิงอันก็ไม่เป็นไร ขอแค่อย่าทำให้ศิษย์น้องเล็กของข้าเสียใจกับคำว่ารักมากเกินไป ฉีจิ้งชุนขอขอบคุณมา ณ ที่นี้’


เวลานี้ไช่จินเจี่ยนเงยหน้าขึ้น เหม่อมองไปยังทิศไกล


อาจารย์ฉี มักจะทำให้คนรู้สึกเหมือนอาบไล้อยู่ท่ามกลางสายลมฤดูใบไม้ผลิเช่นนี้เสมอ

 

 

 


บทที่ 388.1 อินทรีกระดาษโบยบิน ฝูงนกแ...

 

ในเมื่อจะอยู่ในเมืองอีกวันหนึ่ง เฉินผิงอันจึงพาเผยเฉียนออกไปเที่ยวเล่น เขาซื้อว่าวมู่เย่า (ว่าวรูปนกอินทรี) ที่มีเฉพาะในแคว้นชิงหลวนให้เผยเฉียนตัวหนึ่งในร้านขายว่าว ราคาไม่ธรรมดา ตอนที่เฉินผิงอันควักเงินจ่าย ทำเอาเผยเฉียนที่มองดูอยู่อกสั่นขวัญผวา กระตุกชายแขนเสื้อของเฉินผิงอัน ชี้ไปยังว่าวผีเสื้อกองใหญ่ในร้านที่ราคาถูกกว่า บอกว่าอันที่จริงพวกมันก็สวยมากเหมือนกัน เฉินผิงอันลูบศีรษะเผยเฉียน ยิ้มบอกว่าเงินพวกนี้ไม่จำเป็นต้องประหยัด เงินที่ใช้ในชีวิตประจำวัน อาจารย์รู้ดีว่าควรจัดการเช่นไร


ก่อนจะซื้อว่าวมู่เย่า เผยเฉียนที่เห็นมันก็ทั้งชอบและเสียดาย แต่พอซื้อมาแล้วกลับรู้สึกเพียงความลิงโลดดีใจ ตรงเอวห้อยเตาเจี้ยนชว่อ ในมือถือประคองว่าวมู่เย่า ยิ้มจนปากแทบจะฉีกไปถึงรูหู


พาเผยเฉียนไปเยือนทัศนียภาพที่มีชื่อเสียงมากมายที่นักท่องเที่ยวต้องไปเยือน ไม่ว่าจะเป็นศาลเทพอภิบาลเมือง วัดวาอาราม บ้านโบราณเก่าแก่หลังหนึ่งของอัครมหาเสนาบดีของราชวงศ์ก่อน เวลาตลอดทั้งช่วงเช้าจึงผ่านพ้นไปอย่างสบายอารมณ์เช่นนี้


ช่วงเที่ยงตรงเฉินผิงอันพาเผยเฉียนไปกินข้าวที่ร้านอาหารเล็กๆ แห่งหนึ่ง อาหารอร่อยถูกปาก อีกทั้งราคายังประหยัด เพียงแต่เผ็ดไปสักหน่อย เผยเฉียนกินจนเหงื่อแตกเต็มศีรษะ เม็ดเหงื่อไหลเข้าตา แต่ก็ยังจ้วงตะเกียบรัวเร็วราวกับบิน


ขณะที่อาหารสามจานบนโต๊ะเหลืออีกไม่เท่าไหร่ เผยเฉียนที่เหงื่อท่วมราวตากฝนก็เช็ดใบหน้าดำเกรียมแรงๆ แล้วก็พลันสังเกตเห็นว่าเฉินผิงอันวางตะเกียบลงแล้ว กำลังมองมาทางตนด้วยรอยยิ้ม เผยเฉียนจึงยิ้มอย่างกระอักกระอ่วนเล็กน้อย ตนกินมูมมามเกินไปหน่อย คราวหลังต้องกินให้สุภาพกว่านี้ ไม่อย่างนั้นวันหน้าที่ท่องยุทธภพอยู่ข้างนอกกับเฉินผิงอันอาจทำให้อาจารย์ขายหน้าโดยไม่ทันระวังเอาได้


กลับมาถึงโรงเตี๊ยมตระกูลเซียนแห่งนั้น เฉินผิงอันก็ช่วยนางเลือกพื้นที่โล่งกว้างของสวนร้อยบุปผา แล้วเผยเฉียนก็เริ่มปล่อยว่าวกระดาษ


เฉินผิงอันนั่งอยู่บนม้านั่งตัวยาวในศาลา มองเด็กหญิงผอมแห้งวิ่งตะบึง ว่าวกระดาษล่องลอยไปตามสายลม ยกเหล้าหมักกุ้ยฮวากาหนึ่งในจำนวนที่เหลืออยู่อีกไม่มากในวัตถุจื่อชื่อขึ้นมาดื่ม จิตใจมั่นคงสงบนิ่ง


เผยเฉียนหันหน้ามาตะโกนถามเสียงดัง “อาจารย์ จะมาเล่นว่าวด้วยกันไหม?”


เฉินผิงอันโบกมือ


เผยเฉียนจึงชักเท้าออกวิ่งต่ออีกครั้ง


สวนดอกไม้ของสวนร้อยบุปผามีบุปผาละลานตาแข่งกันบานสะพรั่ง งดงามจนแทบละสายตาไม่ได้


ชุยตงซานพาสุยโย่วเปียนเดินมาทางศาลาแห่งนี้ ชุยตงซานคารวะเรียบร้อยแล้วก็นั่งขัดสมาธิบนม้านั่งตัวยาว เอนหลังพิงราวสีชาด แต่สุยโย่วเปียนกลับไม่ได้นั่ง นางกล่าวว่า “เฉินผิงอัน ข้าคิดว่าจะไปจากที่นี่ เดินทางไปที่สำนักกุยหยกของใบถงทวีปก่อนกำหนด”


เฉินผิงอันพยักหน้ารับอย่างไม่รู้สึกประหลาดใจ “เดินทางระวังด้วย”


สุยโย่วเปียนรอประโยคหลังจากนั้น เพียงแต่ว่าพอเฉินผิงอันเอ่ยสี่คำนี้ก็ดูเหมือนว่าจะพูดทุกอย่างจบแล้ว สุยโย่วเปียนจึงทำหน้าปึ่งชา ทั้งไม่ไปจากศาลา แล้วก็ไม่เปิดปากพูดอะไร คุมเชิงอยู่กับเฉินผิงอัน ปล่อยให้บรรยากาศกระอักกระอ่วนไปแบบนั้น


เฉินผิงอันมองชุยตงซาน ฝ่ายหลังพลันกระจ่างแจ้งอยู่ในใจ รีบใช้กระบี่บินสีทองวาดวงกลมวงใหญ่อยู่นอกศาลา สร้างฟ้าดินขนาดเล็กแห่งหนึ่งที่สกัดกั้นทุกอย่างไว้ข้างนอกขึ้นมา เพื่อป้องกันไม่ให้คนทั้งในและนอกโรงเตี๊ยมลอบมอง ถึงอย่างไรที่นี่ก็ไม่ใช่ฟ้าดินขนาดเล็กอย่างแท้จริง ไม่แน่เสมอไปว่าจะขวางกั้นวิชามองภูเขาแม่น้ำผ่านฝ่ามือของพวกเซียนดินไว้ได้ เพียงแต่ว่าเมื่อเป็นเช่นนี้ จิตของชุยตงซานจะสัมผัสได้ แค่สังหารก่อกำเนิดหรือโอสถทองผายลมสุนัขในพื้นที่เล็กๆ อย่างแคว้นชิงหลวนนี้จะเป็นเรื่องยากอะไร? อย่าไม่เห็นนายท่านใหญ่ชุยอย่างเขาเป็นต้นหอมเด็ดขาดเขียว (ต้นหอมมาจากประโยค 你算哪根葱 ของภาษาจีนที่แปลว่า เจ้าคิดว่าเจ้าคือหอมต้นไหน หรือเจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใคร)


เฉินผิงอันถึงได้พูดว่า “สุยโย่วเปียน ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะพูดจาตรงไปตรงมาซึ่งค่อนข้างจะทำลายบรรยากาศ ไม่ว่าเจ้าจะชอบฟังหรือไม่ เจ้าก็ต้องฟังให้จบ อันดับแรก กระบี่ชือซินข้าแค่ให้เจ้ายืม เจ้ายังต้องคืน และยังมีแท่นสังหารมังกรแผ่นนั้นที่ต้องคืนเป็นเงินเช่นกัน ข้อสอง เรื่องเข้าไปอยู่ในทำเนียบวงศ์ตระกูลแคว้นต้าหลี นี่คือเรื่องที่ข้ากับเจ้าตกลงกันไว้แต่แรกแล้ว ห้ามกลับคำ ดังนั้นก่อนหน้าที่เจ้าจะไปจากแจกันสมบัติทวีป ยังต้องให้ชุยตงซานจัดการให้เสร็จสิ้นเสียก่อน ห้ามจากไปดื้อๆ ทั้งอย่างนี้ ข้อที่สาม ข้าจะเก็บม้วนภาพวาดเอาไว้ แต่หากเจ้าเปลี่ยนจากผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวไปเป็นผู้ฝึกกระบี่เมื่อไหร่ เงินเหรียญทองแดงแก่นทองจะช่วยให้เจ้าเดินออกมาจากภาพวาดได้อีกหรือไม่ เรื่องนี้เจ้าและข้าต่างก็ไม่มั่นใจ ดังนั้นนอกจากเดินทางลงใต้แล้วยังต้องระมัดระวังตัวให้มาก ห้ามทำอะไรโดยใช้อารมณ์เด็ดขาด เมื่อไปถึงสำนักกุยหยกก็ต้องยิ่งเก็บความเจ้าอารมณ์ของเจ้าไว้ให้ดี ในฐานะผู้ฝึกกระบี่ ฝึกกระบี่ก็คือการฝึกตน แต่การฝึกตนไม่ใช่แค่ฝึกกระบี่อย่างเดียวเท่านั้น”


สุยโย่วเปียนมองเฉินผิงอันแล้วพยักหน้ารับช้าๆ


ชุยตงซานซับหัวตา แสร้งพูดเสียงสะอื้น “ซาบซึ้งใจยิ่งนัก หากข้าเป็นสตรีที่พอจะมีมโนธรรมในหัวใจบ้างก็คงไม่จากไปแล้ว”


เขาหันหน้าไปมองว่าวที่ลอยอยู่กลางอากาศนอกศาลา “คนบนโลกแค่รู้ว่าเทพเซียนมีอิสระเสรี ข้าเพียงอิจฉายวนยาง ไม่อิจฉาเซียน” (ยวนยางคือนกเป็ดน้ำที่เป็นสัญลักษณ์ของการครองคู่)


เฉินผิงอันและสุยโย่วเปียนต่างก็ไม่สนใจมุขตลกที่ขัดจังหวะของชุยตงซาน


สุยโย่วเปียนเงียบงันไม่เอ่ยคำใด


เฉินผิงอันกล่าวอีกครั้งว่า “เตรียมเงินเดินทางไว้เรียบร้อยแล้วหรือยัง? ถือว่าข้าไม่ได้ถามก็แล้วกัน เจ้าต้องไม่มีแน่ ตลอดทางมานี้พวกเจ้าไม่ได้หาเงินเพื่อเลี้ยงชีพ ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะเตรียมถุงเงินไว้ให้เจ้าสองถุงก็แล้วกัน ถุงหนึ่งเป็นเงินธรรมดา อีกถุงหนึ่งเป็นเงินเกล็ดหิมะ เงินร้อนน้อยข้าเองก็เหลืออีกแค่ไม่กี่เหรียญแล้ว เงินฝนธัญพืชก็ยิ่งไม่มีแม้แต่เหรียญเดียว ดังนั้นเจ้าเงินทางลงใต้ไปยังใบถงทวีปครั้งนี้ย่อมไม่มีโอกาสจะใช้เงินมือเติบอีก ไม่แน่ว่าเรือข้ามฟากตระกูลเซียนและเส้นทางที่เลือกไปยังต้องให้เจ้าคิดคำนวณค่าใช้จ่ายด้วยตัวเอง ยิ่งไม่อาจพักแรมในห้องที่ราคาแพง จะได้ไม่กลายเป็นว่าเดินทางโดยสารเรือไปได้ครึ่งทางแล้วยังต้องลงมาเดินเท้าอีกครึ่งทาง แบบนั้นย่อมเกิดปัญหาแทรกซ้อนได้ง่าย”


เฉินผิงอันพลันเปลี่ยนความคิด “ดังนั้นเจ้าสามารถไปหาฟ่านเอ้อร์ที่นครมังกรเฒ่าก่อนได้ บอกว่าข้าเป็นคนรับปากเจ้า ให้เจ้ามาขอยืมเงินจากเขา”


เฉินผิงอันยื่นฝ่ามือออกมาข้างหนึ่ง “อย่างมากสุดแค่ห้าเหรียญเงินฝนธัญพืช มากสุดห้าเหรียญเท่านั้น!”


มุมปากของสุยโย่วเปียนตวัดขึ้นน้อยๆ ยังคงไม่พูดอะไร


เฉินผิงอันนึกว่านางกำลังยิ้มหยันนิสัยขี้เหนียวของตน จึงพูดเสียงขุ่น “ห้ามต่อรองแล้ว เจ้ายืมเงินจากฟ่านเอ้อร์ได้มากสุดแค่ห้าเหรียญเท่านั้น”


สุยโย่วเปียนพยักหน้ารับ “ตกลง”


ชุยตงซานคิดแล้วก็ตัดสินใจไม่ข้ามเครื่องเซ่นไหว้ไปเป็นพ่อครัว (เปรียบเปรยว่าทำเกินหน้าที่) ทำหน้าที่เป็นกุมารแจกทรัพย์แทนเฉินผิงอัน หากเป็นเรื่องเล็กๆ ลูกศิษย์น่าสงสารที่มีชะตาชีวิตหนีไม่พ้นต้องเป็นถุงเงินอย่างเขาช่วยอาจารย์ควักถุงเงินเหมาจ่ายย่อมไม่เป็นปัญหา แต่เมื่อเป็นเรื่องใหญ่ที่เกี่ยวพันกับความเป็นความตายเช่นนี้ ปล่อยให้อาจารย์จัดการไปเองจะดีกว่า


แต่ถุงเงินสองถุงก็ยังโผล่มากลางมือของชุยตงซาน เขาโยนมันให้สุยโย่วเปียน จากนั้นหันไปยิ้มพูดกับเฉินผิงอัน “วันหน้าอาจารย์ค่อยคืนให้ข้า”


เฉินผิงอันไม่ได้รู้สึกแปลกใจ


อันที่จริงทั้งเฉินผิงอันและสุยโย่วเปียนต่างก็ไม่มีนิสัยอืดอาดยืดยาด หลังจากนั้นจึงไม่มีเรื่องอะไรให้พูดกันอีกจริงๆ


สุยโย่วเปียนหมุนตัวเดินไปนอกศาลา ชุยตงซานจึงสลายตราผนึกบ่อสายฟ้าสีทองนั้นไป สุยโย่วเปียนเดินลงบันไดไปตลอดโดยที่ไม่ได้หันหน้ากลับมา ทำเอาชุยตงซานที่มองดูอยู่จุ๊ปาก ช่างเป็นสตรีล้างผลาญแถมยังจิตใจอำมหิตด้านชาจริงๆ


แต่ไม่นานชุยตงซานก็ยิ้มอย่างเข้าใจ หลับตาลง สองมือกำเป็นหมัด เริ่มนับอยู่ในใจ แล้วจึงยื่นนิ้วออกมาข้างหนึ่ง


สุยโย่วเปียนเดินออกจากศาลาไปแล้วก็ไปหาเผยเฉียน เผยเฉียนรีบเก็บว่าวหันมาพูดคุยกับสุยโย่วเปียน เดี๋ยวก็พยักหน้า เดี๋ยวก็ส่ายหน้า และไม่นานก็วิ่งตะบึงมาที่ศาลา พูดพร้อมหอบหายใจดังฮักๆ “อาจารย์ พี่หญิงสุยบอกว่าอยากให้ท่านไปส่งนางสักระยะทางหนึ่ง แค่หน้าประตูโรงเตี๊ยมก็พอ ไม่ต้องไปส่งไกล”


ชุยตงซานเพิ่งจะนับได้ถึงสิบ สองมือที่กำเป็นหมัดล้วนแบออก หัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง หันมายักคิ้วหลิ่วตาให้เฉินผิงอัน


เฉินผิงอันรู้สึกว่านี่เป็นอารมณ์ความรู้สึกของคนทั่วไปจึงเดินเร็วๆ ตามสุยโย่วเปียนที่เริ่มจะจากไปไกล


พอตามไปทันสุยโย่วเปียนแล้ว ทั้งสองคนก็ไม่ได้พูดอะไรกัน เมื่อไปถึงประตูโรงเตี๊ยม ด้านหลังก็คือเทพทวารบาลสีสันสดใสสูงเท่าตัวคนสององค์ที่แปะอยู่บนประตูบานใหญ่


สุยโย่วเปียนหยุดเดิน เฉินผิงอันจึงหยุดเดินด้วย


สุยโย่วเปียนไม่ได้หันหน้ามามองเฉินผิงอัน นางเงยหน้ามองท้องฟ้าสีครามสะอาดเจิดจ้าแล้วพูดขึ้นเบาๆ ว่า “แต่ไหนแต่ไรมาเจ้าก็แค่รู้สึกว่าข้าคือตัวภาระ พอข้าบอกว่าจะไป เจ้าก็เลยรู้สึกผ่อนคลายขึ้นไม่น้อยใช่หรือไม่”


เฉินผิงอันหันไปมองใบหน้าด้านข้างของสุยโย่วเปียน ยิ้มกล่าว “อย่าเอาแต่คิดถึงคนอื่นในแง่ร้ายขนาดนั้นสิ”


ปฏิเสธไม่ได้ว่าสุยโย่วเปียนคือหญิงสาวที่งามเพริศพริ้งคนหนึ่ง โดยเฉพาะบางเวลาที่สีหน้าของนางไม่เย็นชาก็ยิ่งเหมือนดอกราตรีที่บานชั่วข้ามคืน ทำให้คนรู้สึกตกตะลึงในความงามอย่างยิ่ง


ไม่รู้ว่าสุยโย่วเปียนจะเจอบุรุษที่ถูกใจในยุทธภพหรือไม่ อยู่ในสำนักกุยหยกใบถงทวีปจะกลายไปเป็นคู่บำเพ็ญตนกับใครหรือไม่ แต่คนคนนั้นก็น่าจะเป็นผู้ฝึกกระบี่หนุ่มที่รูปงามและมีความสามารถพอสมควรกระมัง?


เฉินผิงอันสงสัยใคร่รู้อย่างยิ่งว่าวันหน้าสุยโย่วเปียนจะถูกใจบุรุษแบบใด แล้วก็คาดหวังอย่างยิ่งสำหรับการพบเจอกันครั้งหน้าในแจกันสมบัติทวีป อยากเห็นภาพที่นางยืนเคียงไหล่กับใครบางคนแล้วเอ่ยทักทายตน


พอคิดถึงภาพที่ยากจะจินตนาการได้ถึง แต่ก็น่าสนใจอย่างมากเหล่านี้ เฉินผิงอันก็หัวเราะอย่างอดไม่อยู่


สุยโย่วเปียนหันหน้ากลับมา ถามอย่างประหลาดใจว่า “เจ้าหัวเราะอะไร?”


เฉินผิงอันไม่กล้าบอกสิ่งที่คิดอยู่ในใจ เพราะค่อนข้างจะเสียมารยาทไปสักหน่อย สุยโย่วเปียนเป็นคนหน้าบาง แถมยังเจ้าอารมณ์ อย่าทำให้การจากลาที่ดีกลายเป็นว่าตัวเองถูกสุยโย่วเปียนชักกระบี่แทงจะดีกว่า


เฉินผิงอันจึงกล่าวแค่ว่า “รักษาตัวด้วย”


สุยโย่วเปียนก้าวยาวๆ จากไป ประโยคที่ทิ้งไว้ให้เฉินผิงอันคือถ้อยคำที่ฮึกเหิมแต่น้ำเสียงอ่อนโยน “ข้าจะกลายเป็นเซียนกระบี่ห้าขอบเขตบนอย่างรวดเร็ว”


เดินไปถึงปลายทางของถนนใหญ่ สุยโย่วเปียนหันหน้ากลับมามอง ไม่เหลือเงาร่างของเฉินผิงอันแล้ว เหลือให้เห็นเพียงเทพทวารบาลหลากสีสันสององค์


สุยโย่วเปียนคลี่ยิ้มบางๆ ครั้นจึงจากไป


……


ราวกับนัดหมายกันไว้ สุยโย่วเปียนเพิ่งจะจากไป หลูป๋ายเซี่ยงก็มาอำลา บอกว่าจะไปท่องเที่ยวตามวัดวาอารามน้อยใหญ่ทั้งหมดในอาณาเขตแคว้นชิงหลวนซึ่งรวมถึงวัดป๋ายสุ่ยด้วย หลังจากนั้นจะไปเยือนพื้นที่รอบๆ อย่างแคว้นชิ่งซาน แคว้นอวิ๋นเซียว อีกสองสามปีถึงจะไปเยือนเขตการปกครองหลงเฉวียนอันเป็นบ้านเกิดของเฉินผิงอันได้


เฉินผิงอันที่อยู่ในห้องชำเลืองตามองชุยตงซาน ฝ่ายหลังรีบอธิบาย “ไม่เกี่ยวกับศิษย์! หากศิษย์โกหกจะใช้วิชาห้าอสนีผ่าตัวเองให้ตายเลย!”


หลูป๋ายเซี่ยงยิ้มกล่าว “ไม่เกี่ยวกับท่านชุยจริงๆ เป็นข้าที่อยากเดินทางท่องเที่ยวไปตามแม่น้ำและภูเขาเพียงลำพังเหมือนตอนอยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัวปีนั้น หวังว่าภายในสามปี นอกจากเลื่อนสู่ขอบเขตเจ็ดแล้ว ยังสามารถเลื่อนไปสู่ขอบเขตเดินทางไกล ทะยานลมเดินทางได้อย่างผู้ฝึกลมปราณ เพื่อสะดวกที่จะมองทัศนียภาพงดงามบนภูเขาให้ถ้วนทั่ว หลังจากนั้นหลูป๋ายเซี่ยงก็จะพึงสำรวมตน ยอมใช้สถานะข้ารับใช้ติดตามและอุทิศตนเพื่อเจ้าแต่โดยดี จนกระทั่งในอนาคตวันใดชีวิตนิ่งสงบจนต้องการการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง ค่อยออกไปท่องเที่ยวหาประสบการณ์ข้างนอกใหม่”


ก่อนหน้านี้ไม่นานเฉินผิงอันเพิ่งจะเอาเงินธรรมดาและเงินเทพเซียนสองถุงคืนให้กับชุยตงซาน ตอนนี้ต้องควักเงินอีกครั้ง เขาจึงอดพูดอย่างฉุนๆ ปนขบขันไม่ได้ “พูดมาเถอะว่าต้องการยืมเงินค่าเดินทางจากข้าเท่าไหร่?”


หลูป๋ายเซี่ยงหัวเราะร่าเสียงดัง “ไม่ต้องการเงินเทพเซียนแม้แต่เหรียญเดียว แค่เงินธรรมดาก็พอ”


แต่เฉินผิงอันก็ยังคงมอบถุงเงินสองถุงให้กับหลูป๋ายเซี่ยง “เงินหนึ่งอีแปะก็ทำให้วีรบุรุษเจอกับความยากลำบากได้ เจ้าก็จงรับเงินเกล็ดหิมะถุงนี้ไว้เถอะ เผื่อมีความจำเป็นต้องใช้”


หลูป๋ายเซี่ยงไม่ได้ปฏิเสธอย่างเกรงใจ เขารับเงินมา แล้วพลันเอ่ยเย้ยตัวเอง “หากข้าแค่ออกจากประตูก็ต้องไปตายอยู่ข้างนอก จะไม่น่ากระอักกระอ่วนอย่างถึงที่สุดหรอกหรือ”


เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “อีกไม่นานเจ้าก็จะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเจ็ดแล้ว อีกทั้งยังไม่ได้มีนิสัยขี้หงุดหงิดฉุนเฉียว ทั้งสองอย่างนี้มากพอจะทำให้เจ้าท่องอยู่ในแจกันสมบัติทวีปอย่างไม่ต้องกริ่งเกรงใครแล้ว”


หลูป๋ายเซี่ยงลุกขึ้นยืน กุมหมัดกล่าวลา “ถ้าอย่างนั้น ไว้พบกันใหม่?”


เฉินผิงอันกุมหมัดคารวะกลับคืน “ไว้พบกันใหม่”


เฉินผิงอันเอ่ยสัพยอก “ที่นี่คือใต้หล้าไพศาล ไม่ใช่พื้นที่มงคลดอกบัว อย่าสร้างลัทธิมารอะไรขึ้นมาอีกล่ะ”


ชุยตงซานพูดขัดคอขึ้นว่า “หลูป๋ายเซี่ยงไม่ใช่ตระกูลเซียนบนภูเขาสักหน่อย การก่อตั้งลัทธิหรือสร้างสำนักในยุทธภพไม่ใช่เรื่องที่ร้ายแรงอะไร”


เผยเฉียนพลันตะโกนขึ้นว่า “เสี่ยวป๋าย เจ้ารอข้าสักเดี๋ยว”


เผยเฉียนหมุนตัวกลับ ควักถุงเงินหอมที่กุ้ยฮูหยินมอบให้ออกมา หยิบเงินเกล็ดหิมะหนึ่งเหรียญออกมาจากด้านใน แล้ววิ่งมาหยุดตรงหน้าหลูป๋ายเซี่ยง “เสี่ยวป๋าย ยื่นมือมา”


หลูป๋ายเซี่ยงยิ้มพลางแบมือออก


เผยเฉียนตบเงินเกล็ดหิมะลงบนฝ่ามือของหลูป๋ายเซี่ยงหนักๆ พูดอย่างจริงจังว่า “เสี่ยวป๋าย ข้ามอบให้เจ้า ของขวัญไม่เบา แต่น้ำใจหนักยิ่งกว่า!”


หลูป๋ายเซี่ยงกำเงินเกล็ดหิมะเหรียญนั้นเอาไว้ สำหรับผีซิวน้อย (หรือปี่เซียะ คือสัตว์ดุร้ายที่กล่าวถึงในหนังสือโบราณ เชื่อกันว่าปี่เซียะเป็นลูกตัวที่ 9 ของมังกร ปีเซียะให้ความหมายในทางความกล้าหาญ การปกป้องคุ้มภัย และการต่อสู้เพื่อจะให้ได้มาซึ่งชัยชนะ) ตนนี้ ให้นางเป็นฝ่ายควักเงินเทพเซียนเหรียญหนึ่งออกมาด้วยตัวเอง อีกทั้งยังยกให้เลย ไม่ใช่ให้ยืม ถือว่าเป็นน้ำใจที่ไม่เบาเลยจริงๆ หลูป๋ายเซี่ยงจึงยิ้มบางๆ กล่าวว่า “วางใจเถอะ หลายปีที่ข้าท่องอยู่ในยุทธภพนี้จะช่วยหมายตาของดีๆ ไว้ให้เจ้า ดูว่าจะช่วงชิงมาได้หรือไม่ ครั้งหน้าที่พบกันจะต้องนำมามอบให้เจ้าเป็นของขวัญพบหน้าอย่างแน่นอน”


เผยเฉียนพยักหน้ารับอย่างแรง พูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เที่ยวเล่นก็ส่วนเที่ยวเล่น ห้ามให้เป็นตัวถ่วงการฝึกวรยุทธ์เด็ดขาด เส้นทางแห่งการฝึกยุทธ์คือการล่องเรือทวนกระแสน้ำ หากไม่บุกไปข้างหน้าย่อมถอยหลังกลับ ต้องเรียนรู้จากข้า คัดตำรา ฝึกเดินนิ่ง ฝึกวิชากระบี่วิชาดาบทุกวันอย่างมุมานะและอุตสาหะ นกโง่ต้องหัดบินก่อน!”


หลูป๋ายเซี่ยงยิ้มแล้วยื่นมือออกมา “รู้แล้วน่า”


เผยเฉียนหลบฝ่ามือของเขาที่จะลูบศีรษะของนางได้อย่างว่องไว พูดบ่นว่า “เดี๋ยวตัวไม่สูง”


จากนั้นนางก็รีบหันไปส่งยิ้มกว้างให้เฉินผิงอัน “แต่อาจารย์ลูบหัวข้าได้ ไม่เป็นไร”


หลูป๋ายเสียงหัวเราะเสียงดังอย่างเบิกบานใจ สุดท้ายหันไปมองเทพเซียนหนุ่มชุดขาวที่นั่งไขว่ห้างอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน ชุยตงซานยกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้นมา บอกให้หลูป๋ายเซี่ยงเก็บคำพูดไว้ในท้องดังเดิม “บุรุษอย่างพวกเราอย่าทำตัวอืดๆ อาดๆ ร่ำไรอยู่เลย”


หลูป๋ายเซี่ยงจึงจากไปอย่างสง่างาม

 

 

 


บทที่ 388.2 อินทรีกระดาษโบยบิน ฝูงนกแ...

 

ในห้องเงียบสงัด


ก่อนเฉินผิงอันจะเอ่ยถามว่า “ข้ายังต้องเตรียมตัวไว้อีกหรือไม่? หลังจากนี้จะเป็นจูเหลี่ยนหรือเว่ยเซี่ยน?”


ชุยตงซานชี้ไปที่ตัวเอง


เผยเฉียนทำหน้าตึง พยายามกลั้นหัวเราะอย่างยากลำบาก


ชุยตงซานคีบพุทราลูกหนึ่งขึ้นมา ดีดหนึ่งทีมันก็พุ่งมากระแทกหน้าผากเผยเฉียนอย่างแม่นยำ


เผยเฉียนก้มตัวลงเก็บลูกพุทรา คราวนี้นางไม่กล้ากิน ด้วยกลัวว่าชุยตงซานจะหาเรื่องน่ากลัวอะไรมาข่มขู่นางอีก ได้แต่เอามันไปวางไว้ในจานเล็กบนโต๊ะ แล้วนั่งลงข้างกายเฉินผิงอัน


เฉินผิงอันถาม “ไม่รอชมงานโต้วาทีพุทธเต๋าของแคว้นชิงหลวนสักหน่อยหรือ?”


ชุยตงซานส่ายหน้า เปิดเผยความลับสวรรค์ว่า “คนทั่วไปเห็นแค่ว่าคนสองกลุ่มของสถานที่สำคัญอย่างเมืองหลวงทะเลาะกัน แค่พวกนักพรตจมูกโคหน้าเหม็นกับลาหัวโล้นที่ชี้หน้าด่ากันไปด่ากันมา ไม่มีความหมายมากนัก สิ่งที่พวกเขาสนใจอย่างแท้จริงอยู่ที่พุทธะที่กลับชาติมาจุติใหม่ท่านนั้นของวัดป๋ายสุ่ย กับเจ้าอารามป๋ายอวิ๋นของเมืองหลวงแคว้นชิงหลวนมากกว่า คนหนึ่งเคยเป็นภิกษุชั้นสูงที่มีคุณธรรมและชื่อเสียงสูงส่งมาอย่างยาวนาน และในชาติภพนี้ก็บรรลุพระธรรมชั้นสูงสุดเช่นกัน อีกคนหนึ่งคือนักพรตวัยกลางคนที่ไร้รากฐาน ดีแต่อ่านตำรา ไม่ว่าตำราอะไรก็ล้วนอ่านจนปรุโปร่งไปหมด เพียงแต่ว่าการสนทนาธรรมของสองคนนี้ย่อมมีคนให้ความสนใจไม่มาก ทว่าแต่ละคนล้วนเป็นตัวปัญหากันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นสำนักศึกษากวานหู สกุลเจียงอวิ๋นหลิน ไม่แน่ว่าอาจจะยังมีพวกว่างงานอีกหลายคนที่เยื้องกรายลงมาจากท้องฟ้า แล้วก็ยังมีพวกตะพาบเฒ่าที่คลานออกมาจากใต้น้ำเพื่อสูดอากาศบริสุทธ์ หนึ่งเพราะข้าเคยเห็นโลกที่กว้างใหญ่กว่านี้มาแล้ว แต่ก็ยังคงดูแคลนงานโต้วาทีครั้งนี้อยู่ดี อีกอย่างศัตรูคู่แค้นของข้ามีมากเกินไป ไม่เหมาะจะไปที่นั่น”


เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ระมัดระวังย่อมขับเรือได้นานหมื่นปี”


ชุยตงซานลุกขึ้นยืนกุมมือคารวะ “ศิษย์จากไปครั้งนี้จำเป็นต้องพาเว่ยเซี่ยนไปด้วย ขออาจารย์โปรดตอบตกลง”


เฉินผิงอันเคี้ยวพุทรา ยิ้มถามว่า “ข้าควรขอบคุณเจ้าไม่ใช่หรือ?”


ชุยตงซานไม่ได้ใส่ใจคำพูดที่ไม่ว่าใครก็ไม่คิดเป็นจริงเป็นจังเหล่านั้น เขาวางสองแขนไว้บนโต๊ะ สิบนิ้วประสานกัน พูดช้าๆ ว่า “ตอนนี้สถานการณ์ของภาคกลางแจกันสมบัติทวีปค่อนข้างซับซ้อน บนภูเขาล่างภูเขาล้วนขมวดรวมกันยุ่งเหยิง ผู้ฝึกตนอิสระฉวยโอกาสปล้นสะดมตอนไฟไหม้ กระทำการใดๆ ก็ล้วนอำมหิตโหดเหี้ยม มีเซียนดินที่คิดจะจับปลาในน้ำขุ่นโผล่มามากมาย ในบรรดานั้นก็มีตระกูลเซียนที่มีชาติกำเนิดถูกต้องอีกไม่น้อยที่ทำอะไรไม่พิถีพิถัน เดิมทีทะเลสาบเจี่ยนหูแห่งนั้นก็เป็นอ่างน้ำเน่าที่มีทั้งปลาและมังกรปะปนกันอยู่แล้ว เป็นอ่างน้ำใบใหญ่ที่มีทั้งปลาและกุ้งเน่าเหม็น ดังนั้นข้าแนะนำอาจารย์ว่าเมื่อออกไปจากเมืองหลวงแคว้นชิงหลวนแล้ว อาจารย์ควรไปที่สำนักศึกษาซานหยาต้าสุย จะได้หลอมหัวใจบุ๋นสีทองอยู่ที่นั่นให้เป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตชิ้นที่สองได้พอดี”


“ข้าจะส่งจดหมายไปหนึ่งฉบับ นอกจากต้าหลีจะสามารถส่งเงินเหรียญทองแดงแก่นทองส่วนที่เหลือไปยังสำนักศึกษาโดยตรงได้แล้ว เวลานั้นเหมาเสี่ยวตงจะช่วยอาจารย์ปกป้องค่ายกล สำหรับอาจารย์แล้วนี่คือการเพิ่มบุปผาลงบนผ้าแพร แต่สำหรับสกุลเกาต้าสุยแล้วกลับถือเป็นการส่งถ่านท่ามกลางหิมะอย่างที่มองไม่เห็น อาจารย์ไม่ต้องรู้สึกว่าตัวเองเอาเปรียบคนอื่น เดิมทีต้าสุยก็เป็นแคว้นที่มีวัฒนธรรมและประเพณีเจริญรุ่งเรืองอยู่แล้ว เหมาะให้หลอมหัวใจบุ๋นสีทองที่ระดับขั้นยอดเยี่ยมดวงนั้นมากที่สุด”


“หลังจากนั้นจะเดินทางย้อนกลับไปท่องเที่ยวแถบแคว้นไฉ่อีหรือแคว้นซูสุ่ย หรือว่าย้อนกลับเขตการปกครองหลงเฉวียนไปดูบ้านบรรพบุรุษก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่แล้ว”


“และหลังจากนั้นไปอีก อาจารย์ค่อยไปเยือนทะเลสาบเจี่ยนหูถึงจะมั่นคงที่สุด เวลานั้นสถานการณ์วุ่นวายของภาคกลางแจกันสมบัติทวีปคงสงบลงแล้ว ไม่แน่ว่าป้ายสงบสุขปลอดภัยแผ่นนั้นที่ต้าหลีมอบให้อาจจะสามารถทำให้เซียนดินท่านหนึ่งก้มหัวให้ได้”


เฉินผิงอันใคร่ครวญอยู่นานมาก เขาปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ดื่มยาดองเหล้าคำเล็กหนึ่งคำ และในที่สุดก็พยักหน้าตอบรับ “ได้ หลังออกไปจากแคว้นชิงหลวนแล้ว ข้าจะเดินทางไปตามเส้นทางที่เจ้ากำหนดไว้”


ชุยตงซานทำท่าโล่งอกอย่างไม่ปิดบังเลยแม้แต่น้อย “อาจารย์โปรดวางใจ ในนี้ไม่มีแผนการที่จะทำร้ายอาจารย์อย่างแน่นอน อีกอย่างตอนนี้ศิษย์อย่างข้ากับอาจารย์อย่างท่านก็เหมือนตั๊กแตนที่ถูกผูกไว้บนเชือกเส้นเดียวกัน เดินไปบนทางเส้นหนึ่ง ยิ่งอาจารย์ประสบความสำเร็จสูงเท่าไหร่ ข้าชุยตงซานที่ต่อให้วันๆ เกียจคร้านไม่ทำอะไรก็ยิ่งสามารถอาศัยใบบุญของอาจารย์นำพาให้เดินไปสูงขึ้นเท่านั้น”


เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย “ตอนนี้เจ้ากับคนที่อยู่ในเมืองหลวงคบหากันอย่างไร?”


ชุยตงซานเอาศีรษะกระแทกลงบนโต๊ะอย่างแรง ท่าทางห่อเหี่ยวอยากตาย หลังจากโขกหัวตัวเองเสียงดังโป้กๆๆ สามทีก็เงยหน้าขึ้นพูดว่า “พอพูดถึงเรื่องนี้ ศิษย์ก็เจ็บปวดหัวใจยิ่งนัก”


เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เจ้าหาเรื่องใส่ตัวเอง จะไปโทษคนอื่นไม่ได้”


ชุยตงซานพูดน้ำเสียงน้อยเนื้อต่ำใจ “แต่อาศัยอะไรตาแก่นั่นถึงได้เสวยสุข ได้เป็นราชครูต้าหลีผู้มากบารมีต่อไป แต่ศิษย์กลับไม่เหลือแม้แต่ฉายาซิ่วหู่ ทุกครั้งได้แต่วิ่งออกไปข้างนอก นอนกลางดินกินกลางทราย เก็บตัวหลบๆ ซ่อนๆ?”


เฉินผิงอันพูดอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น “เจ้าก็รู้จักพอเสียเถอะ นอกจากสมบัติอาคมมากมายในวัตถุจื่อชื่อแล้ว ยังมีคราบร่างเซียนเหรินที่ดีกว่าจิตหยางกายนอกกายของตู้เม่าร่างนี้อีก”


ชุยตงซานถอนหายใจ เอามือเท้าคางข้างเดียว ทำท่าเงยหน้ามองท้องฟ้า “ก็จริงนะ ดีที่ข้าในเวลานี้ไม่ค่อยสนใจเรื่องการรบราฆ่าฟันมากนัก ก็เด็กหนุ่มนี่นะ แค่ค่อนข้างจะเบื่อง่ายไปสักหน่อย พอได้ออกมาจากสำนักศึกษาต้าสุยก็ยังดี ได้มาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับอาจารย์ข้าก็มีความสุขดี ตอนอยู่บนภูเขาตงซาน เป่าผิงน้อยไม่ใคร่จะสนใจข้า พวกอวี๋ลู่กับเซี่ยเซี่ย ข้าเห็นแล้วก็รำคาญใจ หลี่ไหวหลินโส่วอีก็ยิ่งคุยกันไม่รู้เรื่อง อยู่คนเดียวช่างเงียบเหงาวังเวงยิ่งนัก”


เฉินผิงอันคร้านจะเอ่ยปลอบใจ แล้วนับประสาอะไรกับที่ซิ่วหู่แห่งต้าหลีผู้นี้ต้องการให้คนอื่นช่วยขจัดความขุ่นข้องหมองใจด้วยหรือ? นั่นมันเรื่องตลกที่ใหญ่เทียมฟ้าแล้ว


ชุยตงซานยืดเอวตั้งตรง พูดด้วยรอยยิ้มว่า “อาจารย์ คนสี่คนในม้วนภาพวาดของพื้นที่มงคลดอกบัว น่าจะถือว่าถึงเวลายุติบทบาทลงชั่วคราวแล้ว ศิษย์จะช่วยทบทวนกระดานเล็กๆ ให้อาจารย์ ถือซะว่าเป็นการสอนกระดานนอกกระดานให้อาจารย์เป็นครั้งสุดท้ายก่อนจากลากันก็แล้วกัน”


เฉินผิงอันขยับตัวนั่งตรงตามจิตใต้สำนึก ทุกครั้งที่เรียนหมากล้อมกับชุยตงซาน เขามักจริงจังเช่นนี้เสมอ “โปรดพูด”


ชุยตงซานรู้สึกตลกเล็กน้อย แล้วก็รู้สึกเสียใจนิดๆ เพียงแต่ว่าอารมณ์เหล่านี้ถูกเขาเก็บไปอย่างว่องไว ไม่ได้เปิดเผยออกมาแม้แต่เสี้ยวเดียว


เขาใช้กระบี่วาดบ่อสายฟ้าก่อน


“สุยโย่วเปียนผู้นั้นคือผู้หญิงโง่ ดั่งเครื่องกระเบื้องในเตาเผามังกรที่งดงาม ทุ่มทีเดียวก็แตก แต่โง่ก็ส่วนโง่ นางคือตัวอ่อนกระบี่ก่อนกำเนิดที่แท้จริง ขอแค่สำนักกุยหยกยินดีอบรมปลูกฝัง ย่อมไปได้ไม่ต่ำกว่าเซียนกระบี่ก่อกำเนิดแน่นอน ส่วนข้อที่ว่าจะกลายไปเป็นเซียนกระบี่หญิงห้าขอบเขตบนได้หรือไม่นั้น กลับไม่ใช่เรื่องที่นางจะตัดสินใจคนเดียวได้ ต้องถามฟ้าดินแห่งนี้ก่อนว่าจะยอมตอบรับนางหรือไม่ ไม่ว่าอย่างไร สุยโย่วเปียนก็ถือว่าเป็นคนที่โชคดีที่สุดในบรรดาคนทั้งสี่ในม้วนภาพวาด ตลอดทางมานี้อาจารย์ปกป้องนางได้ดีจริงๆ ตายไปสามครั้ง สภาพจิตใจของสุยโย่วเปียนไม่เพียงแต่ไม่แตกละเอียด กลับยิ่งสว่างจ้าแจ่มชัด”


สายตาของเฉินผิงอันฉายแววประหลาด


ชุยตงซานยื่นนิ้วออกมาประกบกัน พูดอย่างเด็ดเดี่ยวว่า “ขอสาบานต่อสวรรค์ คำพูดประโยคนี้ของศิษย์ไม่มีความนัย ไม่มีความหมายอื่นแอบแฝงนอกเหนือจากนี้แน่นอน!”


เฉินผิงอันยื่นสาลี่สีขาวหิมะลูกหนึ่งให้เผยเฉียน เผยเฉียนใช้สองมือกุมสาลี่ไว้แล้วหมุนสองสามที ถือว่าเช็ดสะอาดแล้ว ถึงได้กัดมันเบาๆ


ชุยตงซานพูดต่อว่า “ส่วนเผือกร้อนลวกมืออย่างเว่ยเซี่ยน…ก็ได้ช่วยอาจารย์จัดการเรียบร้อยแล้ว ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนทึ่มคนหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องพูดถึงให้มากความ”


เดิมทีชุยตงซานยังอยากจะพูดถึงชั้นเชิงอันลี้ลับที่ซ่อนอยู่ให้ละเอียดยิ่งขึ้น แต่พบว่าเฉินผิงอันส่งสายตาให้เขา ชุยตงซานฉลาดถึงเพียงนี้ เขาเข้าใจโดยพลัน รีบเปลี่ยนประเด็นไปพูดเรื่องอื่นทันที


ชุยตงซานชำเลืองตามองเผยเฉียนที่โคลงศีรษะกินผลไม้อย่างเอร็ดอร่อย “กินๆๆ รู้จักแต่กินอย่างเดียว ตาไม่มีแววเลยสักนิด…”


ผลกลับกลายเป็นว่าถูกเฉินผิงอันเตะขาใต้โต๊ะ


ชุยตงซานจึงพูดต่ออย่างไม่ใคร่จะพอใจนัก “หลูป๋ายเซี่ยงคือผู้ที่มีความสามารถสูงสุด เป็นบุคคลที่มีหวังว่าจะกลายเป็นผู้รอบรู้คนหนึ่ง เพียงแต่หากคิดจะเดินไปบนจุดสูงสุดของวิถีวรยุทธ์กลับยากยิ่ง ขอบเขตเก้านั้นไม่ยาก แต่ขอบเขตสิบกลับไม่ต้องคาดหวัง เว้นเสียจากว่ามีโชควาสนาใหญ่หล่นลงมาจากฟ้าถึงจะได้ แน่นอนว่าผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเก้า ต่อให้อยู่ในราชสำนักต้าหลีในอนาคตก็ยังคงเป็นบุคคลโดดเด่นที่มีชะตาบู๊ในระดับที่แน่นอน ถึงเวลานั้นด้วยความฉลาดเฉลียวของหลูป๋ายเซี่ยง ข้าสอนวิชานอกรีตบางอย่างเพิ่มเติมไปให้ก็ยังถือว่าเป็นสุนัขรับใช้มือดีที่มีพลังการต่อสู้ไม่ธรรมดา…ไม่ถูกสิ ต้องเป็นผู้ช่วยมือดี เป็นผู้ติดตามมือดี”


เผยเฉียนเบิกตากว้าง “อยู่ต่อหน้าอาจารย์ของข้าและเจ้าหัดพูดดีๆ หน่อยสิ ห้ามพูดจาเหลวไหลเหยียบย่ำเหล่าเว่ยกับเสี่ยวป๋ายแบบนี้”


ชุยตงซานยิ้มตาหยี “ข้าเล่าเรื่องเกี่ยวกับภูตสาลี่ลูกนี้ให้เจ้าฟังดีไหม?”


เผยเฉียนคลี่ยิ้มทันใด “ผิดแล้วรู้จักแก้ไขคือเรื่องดีที่ใหญ่เทียมฟ้า อาจารย์ข้ามีลูกศิษย์อย่างเจ้าก็ไม่ถือว่าเสียเกียรติแล้ว”


ชุยตงซานยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกมาโบกเบาๆ แล้วจุ๊ปากพูดเลียนแบบประโยคเผยเฉียน “อาจารย์ข้ามีลูกศิษย์ดีที่หยิ่งในศักดิ์ศรีอย่างเจ้าก็ถือเป็นเรื่องดีใหญ่เทียมฟ้าเหมือนกัน”


เผยเฉียนหัวเราะคิกคักแกล้งโง่


ชุยตงซานหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย เขาพูดเสียงทุ้มหนักว่า “มีเพียงจูเหลี่ยนที่มองดูเหมือนเป็นคนไม่ดึงดันมากที่สุด ปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ได้ดีที่สุด อยู่ที่ไหนก็หาความสุขใส่ตัวได้ แต่นี่หมายความว่าเขาต่างหากที่เป็นคนที่จิตใจไม่มั่นคงมากที่สุด มีชาติกำเนิดจากตระกูลเศรษฐีร่ำรวยของพื้นที่มงคลดอกบัว อดีตคุณชายผู้สูงศักดิ์ที่หล่อเหลาหาผู้ใดมาเปรียบมิได้ แต่กลับไปเรียนวรยุทธ์ แล้วเขาก็ฝึกวิชาจนกลายเป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้าได้จริงๆ เชี่ยวชาญการทำอาหาร ชอบกินอาหารรสเลิศ ปากก็บอกว่าหวังอยากได้ความจริงใจของสาวงาม อีกทั้งยังยืดได้หดได้ เป็นเหตุให้ในบรรดาสี่คนในภาพวาด เขาจูเหลี่ยนมีโลกทัศน์สูงสุด และจิตใจก็หยิ่งทระนงสูงสุดเช่นกัน”


เผยเฉียนพยักหน้ารับอย่างแรง


ในบรรดาคนทั้งสี่ นางกลัวผู้เฒ่าหลังค่อมคนนั้นที่สุด


ชุยตงซานพลันหัวเราะ “อันที่จริงคนแบบนี้ไม่มีสิ่งใดให้ยึดติด หากอาจารย์สอนได้ไม่ดี ไม่แน่ว่าวันใดจูเหลี่ยนอาจจะเอาอาจารย์ไปขาย แต่หากอาจารย์สอนได้ดี…ก็จะมีเรื่องไม่คาดฝันที่น่ายินดีเกิดขึ้น ถึงเวลานั้นในบรรดาคนทั้งสี่ จูเหลี่ยนจะเป็นคนเดียวที่ยินยอมพร้อมใจกระโจนเข้าหาความตายเพื่ออาจารย์มากที่สุด! อีกทั้งหากจะบอกว่าตายก็ตายเลย ไม่มีความลังเลแม้แต่น้อย ต่อให้เขาเหลือแค่ชีวิตสุดท้ายก็จะทำแบบเดียวกัน คนอื่นๆ อีกสามคน ข้าสามารถควบคุมจัดการได้ มีเพียงจูเหลี่ยนที่ศิษย์อย่างข้าสอนไม่ได้ คงต้องให้อาจารย์ลงมือเองเท่านั้น”


ชุยตงซานเห็นว่าเฉินผิงอันทำท่าเหมือนจะไม่เข้าใจก็เอ่ยอธิบายอย่างใจเย็นว่า “สุยโย่วเปียนนั้นไม่ได้ นางกำลังไขว่คว้าวิถีแห่งกระบี่ นี่คือสิ่งที่นางต้องการมากที่สุด มองดูเหมือนอาจารย์เข้ากับหลูป๋ายเซี่ยงได้ดีที่สุด แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับไม่ใช่ คนผู้นี้แทบไม่มีความใกล้ชิดสนิทใจให้ใครเลย”


จากนั้นชุยตงซานก็ไม่เปิดปากพูดอีก แต่ใช้เสียงในใจบอกกับเฉินผิงอันอย่างเป็นความลับ “เว่ยเซี่ยนรู้สึกว่าตัวเองจะตายไม่ได้ เพราะยังไม่ได้ในสิ่งที่ปรารถนา อีกทั้งยังมีชาติกำเนิดเป็นฮ่องเต้ เว้นเสียจากความยึดมั่นหนึ่งเดียวในใจเขาแล้ว คนอื่นๆ บนโลกล้วนฆ่าได้หมด สิ่งของทุกอย่างบนโลกล้วนซื้อขายได้หมด เกี่ยวกับความยึดมั่นนี้ อาจารย์อย่าโทษว่าข้ายุ่งไม่เข้าเรื่อง ศิษย์ยังจำเป็นต้องอาศัยความสัมพันธ์กับใบถงทวีปมาขุดหาเรื่องที่เกี่ยวกับครอบครัวของเว่ยเซี่ยนในช่วงแรกๆ ที่เขาบุกเบิกแคว้นหนันเยวี่ยน”


เฉินผิงอันเอ่ยเตือน “เกี่ยวพันกับนักพรตผู้เฒ่าแห่งอารามกวานเต๋าผู้นั้น เจ้าต้องระวังสักหน่อย”


ชุยตงซานคลี่ยิ้ม “นักพรตเฒ่าจมูกวัวผู้นั้น ข้าต้องระวังอย่างถึงที่สุด บอกตามตรง ต่อให้เป็นช่วงที่ข้ามีขอบเขตสิบสองเซียนเหรินขั้นสูงสุดก็ยังไม่กล้าเป็นฝ่ายไปหาเรื่องเขาก่อน กลับเป็นซิ่วไฉเฒ่าที่มีความสัมพันธ์ไม่ธรรมดากับเขา”


ชุยตงซานเงียบไปครู่หนึ่งก็ลุกขึ้นยืน เดินวนกลับไปกลับมา สองฝ่ามือถูเข้าหากันคล้ายกำลังสอนเฉินผิงอัน ‘เล่นหมากล้อม’ แต่ก็คล้ายกำลังทบทวนกระดานหมากของสายบุ๋นในปีนั้นให้กับตัวเอง พูดเบาๆ ว่า “อาจารย์จำไว้ว่า ศิษย์ก็ดี ลูกศิษย์ในสำนักก็ช่าง ภูเขาลูกหนึ่งต้องซับซ้อน จะให้มีคนประเภทเดียวไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่อาจให้ทุกคนเป็นเหมือนอาจารย์ทั้งหมด”


“ทุกคนไม่อาจดีต่อคนอื่น รักษาวิถีแห่งวิญญูชนอย่างเคร่งครัดได้เฉกเช่นอาจารย์ ทุกคนไม่อาจทำแต่บทความคุณธรรม สร้างความรู้ที่ยิ่งใหญ่ ทุกคนไม่อาจใช้แต่กำลัง ไม่ใช้สมอง”


“จำเป็นต้องมีคนอย่างข้าที่ทำเรื่องซึ่งขัดต่อเจตนารมณ์ของตัวเอง คนที่ศึกษาช่องโหว่ของกฎเกณฑ์ มองสถานการณ์ใหญ่อย่างชัดเจน เข้าใจการคล้อยไปตามสถานการณ์ เป็นคนชั่วร้ายที่ทำให้ผู้คนรังเกียจ ขับดุนความดีของอาจารย์ให้โดดเด่น ก็จะสามารถทำให้ภาพลักษณ์ของอาจารย์เป็นดั่งภูเขาสูงสายน้ำไหลยาว เป็นดั่งฟ้าใสหลังฝนตกได้ตลอดไป”


“จำเป็นต้องมีคนที่ยินดียอมรับอาจารย์แค่คนเดียว ความเป็นความตายของอาจารย์ก็คือความเป็นความตายของนาง ถึงขั้นที่ว่าฝ่ายแรกมีน้ำหนักมากยิ่งกว่าด้วยซ้ำ”


“มีคนที่สืบทอดความรู้ของอาจารย์ คือคนที่เดินบนมหามรรคาสายบุ๋น เดินบนเส้นทางเดียวกันอย่างแท้จริง ต้องมีต้นกล้าที่ดีที่สามารถประคับประคองสถานการณ์ อวดหน้าอวดตาได้”


“แล้วก็จำเป็นต้องมีคนที่สามารถกำราบพวกคนต่ำช้า พวกมารนอกรีต โดยเฉพาะคนบ้าคลั่ง วิญญูชนจอมปลอม ยกตัวอย่างเช่นจูเหลี่ยน”


“แล้วก็ต้องมีรากฐานของครอบครัว ยกตัวอย่างเช่นท่านผู้นั้นที่อยู่ในเรือนไม้ไผ่บนภูเขาลั่วพั่ว…เอาเถอะ อาจารย์น่าจะรู้แล้ว เขาก็คือท่านปู่ของข้า”


“มีสมบัติมีชีวิตที่สร้างความเพลิดเพลินใจ ไร้เดียงสามีชีวิตชีวา ไม่อย่างนั้นภูเขาลูกหนึ่งจะน่าเบื่อเกินไป ยกตัวอย่างเช่นงูเหลือมไฟและน้ำสองตัวที่ข้าช่วยกำราบมาจากแคว้นหวงถิงให้อาจารย์ในปีนั้น”


“สรุปก็คือเวลาใช้เหตุผลกับคนอื่น ต้องมีคนที่สามารถหยัดยืนขึ้นมาช่วยอาจารย์ใช้เหตุผลสยบผู้คน”


“เวลาที่ประมือประชันว่ามหามรรคาสูงหรือต่ำ ก็ต้องมีคนที่ออกหน้าช่วยอาจารย์ใช้คุณธรรมสยบผู้คน”


“หากเวลาที่พวกเราใช้เหตุผล แล้วมีคนชอบออกหมัดประลองตบะ พวกเราถูกบีบให้ต้องลงมือ เวลาที่เจอหมัดใหญ่กว่ากลับแสร้งทำเป็นน่าสงสาร ก็ต้องมีคนที่ช่วยอาจารย์อัดพวกเขาให้ยอมศิโรราบ ถึงท้ายที่สุดอาจารย์ก็ด่าแค่ไม่กี่คำ หรืออย่างมากที่สุดก็แค่ชดเชยให้กับคู่ต่อสู้ที่หน้าเขียวจมูกบวม ให้พวกเขากินพุทราสักลูก (มาจากสำนวนตบแล้วค่อยให้กินพุทราหวาน คล้ายสำนวนไทยตบหัวแล้วลูบหลัง) คนอื่นก็ไม่อาจตำหนิได้ว่าขนบธรรมเนียมประเพณีและกฎบ้านกฎสำนักของภูเขาพวกเรามีปัญหา”


ชุยตงซานลุกขึ้นยืน ยิ้มพูดว่า “แค่พูดให้ฟังเท่านั้น หากอาจารย์เต็มใจเลือกทำตามสักข้อสองข้อ ศิษย์ก็พึงพอใจแล้ว”


เฉินผิงอันที่นั่งตัวตรงอย่างสำรวมกล่าวว่า “รับคำชี้แนะแล้ว”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)