กระบี่จงมา 386.2-387.2
บทที่ 386.2 คราบร่างเซียนเหรินมีผีพัก...
เจ้าแม่เทพแห่งผืนดินหวนกลับไปยังใต้ดินด้วยความปิติยินดีอย่างยิ่งยวด
เหตุการณ์เปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในแคว้นไฉ่อีครั้งนั้น เดิมทีก็เป็นหนึ่งในหมากจำนวนมากมายที่เขา หรือควรจะพูดว่า ‘พวกเขา’ วางไว้ในปีนั้นอยู่แล้ว
เพียงแต่ว่าปีนั้นชุยตงซานไม่ได้ทุ่มเทความคิดจิตใจกับนักพรตเฒ่าบ้ากามที่ชอบสะสมผีเร่ร่อนสาวงามผู้นั้นนัก ไม่ถือว่าเป็นหมากสำคัญอะไร แต่เมื่อได้อ่านจดหมายลับจำนวนนับไม่ถ้วนที่ถูกสายลับเมืองหลวงต้าหลีส่งมาดั่งเกล็ดหิมะปลิวปราย ชุยตงซานเคยให้ความสนใจบันทึกฉบับหนึ่ง ตัวอักษรในบันทึกมีไม่มาก แค่ยี่สิบกว่าตัวอักษรเท่านั้น ถือเป็นเนื้อหาที่เขียนลวกๆ อย่างขอไปที คาดว่าแม้แต่ตัวของสายลับต้าหลีที่รายงานเรื่องนี้ก็คงไม่ได้ใส่ใจสักเท่าไหร่
หากเป็นในอดีต เรื่องน่าสนใจเล็กๆ น้อยๆ ที่ถูกราชครูต้าหลีมองเป็นการฆ่าเวลาอันยาวนานที่น่าเบื่อนี้ก็คงไม่ต่างจากจดหมายลับในคลังของต้าหลีที่กองทับถมกันเป็นภูเขาซึ่งต้องถูกปิดผนึกทิ้งไว้ปีแล้วปีเล่า
เมื่อลองสืบสาวเบาะแสในขณะที่ว่างงานไม่มีอะไรทำ เนื่องจากชุยฉานเป็นคนจัดการเรื่องลับวงในจำนวนนับไม่ถ้วนของแจกันสมบัติทวีป ดังนั้นเขาจึงกล้าพูดว่าตัวเองรู้ประวัติความเป็นมาของผีสาวตนนั้นดียิ่งกว่าอดีตเจ้านายของนางซะอีก
ค้นหาถ้อยคำจากในตำรา นำบทความมาแต่งกวี ฝึกปรือทักษะอันน้อยนิด และสืบสาวราวเรื่องจนไปเจอสำนักหยินหยาง
ราชครูชุยฉานล้วนถนัดทั้งสองอย่าง
ชุยตงซานลุกขึ้นยืน เดินออกไปจากห้อง ไปเคาะประตูห้องของเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันเปิดประตูออกแล้วถามว่า “มีธุระหรือ?”
ชุยตงซานพยักหน้ารับแรงๆ “ศิษย์มีเรื่องใหญ่จะพูดกับอาจารย์!”
เฉินผิงอันชำเลืองตามองเขา ชุยตงซานยิ้มบางๆ กล่าวว่า “มีแค่สำเร็จกับไม่สำเร็จเท่านั้น ขึ้นอยู่กับว่าอาจารย์โชคดีหรือไม่ดี”
เฉินผิงอันจึงปิดประตูลง เพียงแต่ว่าชุยตงซานตาไวรีบยื่นสองมือมายันประตูไม้สองบานเอาไว้แน่น พูดอ้อนวอนอย่างอยากลำบาก “อาจารย์ให้ข้าค่อยๆ เล่าให้ท่านฟังเถอะ หากเป็นอย่างที่ข้าคิดไว้จริงๆ แต่อาจารย์กลับไม่ยินดีฟัง ถ้าอย่างนั้นก็จะต้องสิ้นเปลืองสมบัติสวรรค์แล้ว อีกทั้งยังถือว่าเป็นการย่ำยีของดีถึงสองชิ้น และยังพลาดวาสนาใหญ่ที่ถูกกำหนดให้เกิดขึ้นในชีวิตไป ศิษย์ไม่โกหกท่านแม้แต่คำเดียว!”
เดิมทีชุยตงซานคิดว่าคงต้องหาโอกาสครั้งหน้า คิดไม่ถึงว่าเฉินผิงอันจะยอมให้เขาเข้าไปในห้อง
ชุยตงซานปิดประตู ยิ้มตาหยีแล้วนั่งลงไป รินน้ำชาให้เฉินผิงอันและตัวเองคนละหนึ่งถ้วย จากนั้นก็ร่ายตราผนึก ปล่อยกระบี่บินที่ได้มาจากการเดิมพันหมากล้อมกับผู้ฝึกกระบี่แผ่นดินกลางคนหนึ่งออกมา แสงสีทองว่องไวราวสายฟ้าพุ่งหมุนวนเป็นวงกลมแนบติดพื้นดิน แล้วบินพรวดกลับมาที่หว่างคิ้วของชุยตงซาน ทว่าแสงสีทองที่หยุดลอยนิ่งอยู่บนพื้นกลับไม่สลายหายไปไหน ราวกับว่าใช้ผงสีทองวาดปากบ่อน้ำสีทองวงหนึ่งไว้บนพื้นอย่างไรอย่างนั้น
ชุยตงซานยิ้มกล่าว “เจ้าแม่เทพผืนดินของที่แห่งนี้ใจกล้า ไม่รู้จักกลัวตาย บังอาจสะกดรอยตามอาจารย์ไปที่ศาลบู๊ และนางก็ได้เห็นเรื่องบางอย่างที่ไม่สมควรเห็น ที่น่าโมโหยิ่งกว่านั้นก็คือ นางถึงกับกล้าเอามาขอความดีความชอบจากศิษย์ นางไม่รู้จักห้าสิ่งที่มีความหมายและบุญคุณต่อมนุษย์ (ได้แก่ ฟ้า ดิน กษัตริย์ บุพการีและครูบาอาจารย์) บ้างเลยหรือ…”
เฉินผิงอันถามเข้าประเด็น “ดังนั้นเจ้าเลยฆ่าเจ้าแม่แห่งผืนดินไปแล้ว?”
ชุยตงซานหัวเราะร่า “จะเป็นไปได้อย่างไร ศิษย์ก็แค่ใช้เหตุผลพูดจากับนางอย่างปรองดอง บอกนางว่าวันหน้าอย่าทำผิดแบบนี้อีก เจ้าแม่แห่งผืนดินผู้นี้รู้เหตุผลและมารยาทดี แค่มองก็รู้แล้วว่าฟังเข้าหู ดังนั้นข้าจึงมอบโชควาสนาครั้งหนึ่งให้กับนาง ถือว่าเป็นการผูกบุญสัมพันธ์เล็กๆ”
เฉินผิงอันพูดแทงใจดำชุยตงซานด้วยประโยคเดียว “หากไม่เป็นเพราะเจ้ายังต้องมาหาข้าครั้งนี้ ข้าเกรงว่าเจ้าแม่แห่งผืนดินที่ขอความดีความชอบไม่สำเร็จคงถูกตัดรายชื่อทิ้งจากทำเนียบวงศ์ตระกูลแห่งแม่น้ำภูเขาแคว้นชิงหลวนไปแล้วกระมัง”
ชุยตงซานยิ้มประจบ “อาจารย์เข้าใจข้าผิดไปไกลแล้ว เดี๋ยวนี้ศิษย์ทำดีกับคนอื่นทุกเรื่องทุกเวลาเชียวนะ”
เฉินผิงอันดื่มน้ำชาหนึ่งอึก “ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็มาพูดเรื่องเป็นการเป็นงานกันเถอะ”
ชุยตงซานดื่มน้ำชาให้ลำคอชุ่มชื้น ตรึกตรองหาถ้อยคำที่เหมาะสมแล้วพูดอย่างระมัดระวังว่า “เกี่ยวกับคราบร่างเซียนที่เป็นดั่งซี่โครงไก่นั้น หากอาจารย์โชคดี ไม่แน่ว่าอาจมีวิธีที่ทำให้ได้ผลดีด้วยกันทั้งสองฝ่าย”
เฉินผิงอันเบิกตากว้าง “ชุยตงซาน เจ้าไม่ได้เป็นบ้ากระมัง?! ผีสาวในแผ่นยันต์ ยังไม่ต้องพูดถึงว่าในสายตาของสำนักหยินหยาง กระดูกของมันแข็งพอหรือไม่ ต่อให้เจ้าใช้วิธีชั่งน้ำหนักหน่วยจินให้เป็นตำลึง ยกโครงกระดูกแข็งๆ นั่นไม่ไหว แต่ไม่ว่าจะพูดอีกสักกี่พันกี่หมื่นอย่าง นางก็ยังเป็นผี! เป็นผี! คราบร่างเซียนเหรินนี้คือจิตหยางกายนอกกายของตู้เม่า!”
ชุยตงซานใช้นิ้วลูบไปบนถ้วยชาเบาๆ สีหน้าเฉยเมย จ้องตาเฉินผิงอันนิ่ง “จะมาสนใจเรื่องพวกนี้ไปทำไม? ต่อให้สนใจก็ไม่ควรปล่อยให้เป็นเรื่องของผีสาวในแผ่นยันต์หรอกหรือ อาจารย์จะต้องเปลืองแรงกายแรงใจไปกับมันทำไม?”
เฉินผิงอันอึ้งตะลึงไปก่อน แต่จากนั้นก็พยักหน้ารับ “มีเหตุผล”
ชุยตงซานหัวเราะฮ่าๆ “คงไม่มีคำว่า ‘แต่ว่า’ ตามมาหรอกกระมัง?”
เมื่อความคิดของเขาฉุกขึ้น แผ่นยันต์กระดาษสีเหลืองที่ทำมาจากวัสดุพิเศษแผ่นหนึ่งก็ปรากฏขึ้นบนโต๊ะ ล่องลอยส่ายไหวเบาๆ เฉินผิงอันใช้เวท ‘เปิดประตู’ ของพรรคมหายันต์ที่ไม่ถือว่าลึกล้ำเท่าใดนักปล่อยสือโหรวผีงามโครงกระดูกออกมาจากยันต์ที่เป็นทั้งบ้านและกรงขัง
สือโหรวลอยนิ่งอยู่เหนือโต๊ะ อาภรณ์สีสันสดใสลากระอยู่บนผิวโต๊ะ ชุยตงซานต้องเงยหน้ามองนาง
สือโหรวก้มหน้ามองไปเห็นเด็กหนุ่มหน้าตางดงามที่มีใฝแดงตรงหว่างคิ้ว แม้ฝ่ายหลังจะไม่ได้พูดอะไร แต่สายตาของเขาบอกนางด้วยสี่คำอย่างชัดเจนว่า เจ้าอยากตายไหม?
แม้สือโหรวจะไม่รู้ตัวตนของคนผู้นี้ ถึงขั้นมองความตื้นลึกของตบะเขาไม่ออก แต่ส่วนลึกในใจกลับมีความหวาดกลัวผุดขึ้นมา จึงรีบพลิ้วกายลงบนพื้น หมุนตัวกลับไป ไม่กล้ามองสบสายตากับเด็กหนุ่ม หันไปเผชิญหน้าเฉินผิงอันแทน ทว่าต่อให้ทำเช่นนี้ก็ยังรู้สึกเสียวแผ่นหลังวาบๆ นางก้มหน้าหลุบตาลงต่ำ พูดกับเฉินผิงอันด้วยสีหน้าอ่อนโยนนุ่มนวลซึ่งค่อนข้างจริงใจอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน “บ่าวคารวะนายท่าน”
ชุยตงซานลุกขึ้นยืน ถูมือยิ้มบางๆ ท่าทางคันไม้คันมือเต็มแก่
เฉินผิงอันพยักหน้าให้เขา
ชุยตงซานยื่นมือมากดบ่าของผีสาวอาภรณ์สีสันฉูดฉาดตนนี้ นางรู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่า ปราณดุร้ายของวัตถุหยินที่มีอยู่ทั่วร่างไหลพรั่งพรูออกมาจำนวนมหาศาล ใบหน้าบิดเบี้ยว เส้นผมสีนิลเต็มศีรษะโบกสะบัดอย่างบ้าคลั่ง ชุยตงซานแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น เพียงแค่ยกนางขึ้นเบาๆ ร่างนางก็ลอยขึ้นช้าๆ ตามไปด้วย จนกระทั่งลอยพ้นพื้นมาหนึ่งฉื่อกว่า เขาก็เพิ่มน้ำหนักที่นิ้วมือ กระชากผีงามโครงกระดูกที่เผยความดุร้ายออกมาอย่างเต็มเปี่ยมตนนี้ให้สูงขึ้นอีกหนึ่งชื่อ ชุยตงซานยังคงไม่เลิกรา กระชากขึ้นเป็นครั้งที่สาม โครงกระดูกของผีสาวสือโหรวพลันคลายลงในชั่วพริบตา คล้ายกับถูกถลกเนื้อเละๆ ทั้งหมดที่อยู่บนกระดูก เป็นดั่งหุ่นเชิดที่ถูกเส้นใยยึดโยงไว้กลางอากาศถึงได้ไม่ล้มพับลงบนพื้น
ชุยตงซานปล่อยมือ ผีสาวยังคงลอยตัวอยู่ที่เดิม จิตวิญญาณสั่นสะท้าน ร่างล่องลอยไม่หยุดนิ่ง ปราณชั่วร้ายอันเป็นพลังต้นกำเนิดไหลพรูออกมาจากทวารทั้งเจ็ด ไม่ต่างจากเลือดที่ไหลออกจากทวารทั้งเจ็ดของคนที่ยังมีชีวิตอยู่ นางอ้าปากกว้างคล้ายกำลังร้องโหยหวน แต่กลับไม่มีเสียงใดๆ เล็ดรอดออกมา
ชุยตงซานเดินวนอ้อมนางหนึ่งรอบ สามครั้งที่ดึงร่างของผีสาวให้สูงขึ้นล้วนมีส่วนที่ต้องพิถีพิถัน ครั้งแรกใช้วิชาชั่งจินให้เป็นตำลึงของหมอดูมาชั่งปราณกระดูก ครั้งที่สองคือ ‘ดึงต้นกล้า’ ของอูจู้ (คำเรียกแม่มดหมอผีหรือคนทำพิธีบวงสรวงเซ่นสังเวย) ในสมัยโบราณ ครั้งที่สามก็ยิ่งเป็นวิชาลับ คือวิธีจับจุดสำคัญที่ผ่านการเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้นโดยตัวเขาเอง จึงหลุดพ้นไปจากวิชาอภินิหารซึ่งเป็นผลงานของอริยะปราชญ์ลัทธิขงจื๊อ จนไม่ต่างจาก ‘วิธีอ่านตำราโดยฉายประกายคมกริบทั้งแปดด้าน’ เป็นวิธีการที่บุคคลระดับขั้นต่ำสุดของลัทธิขงจื๊อก็ต้องเป็นเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาถึงจะสามารถควบคุมได้
นอกจากชุยตงซานจะมีสมบัติอาคมเยอะแล้ว วิชาคาถาที่เขาเชี่ยวชาญก็เยอะมากเช่นกัน เมื่อกวาดสายตามองไปทั่วใต้หล้าไพศาลก็ถือว่าเป็นคนที่โดดเด่นคนหนึ่ง
ชุยตงซานชำเลืองตามองเฉินผิงอัน พบว่าฝ่ายหลังมีสีหน้าเป็นปกติ
ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่เด็กหนุ่มสวมรองเท้าฟางอย่างในปีนั้นอีกแล้ว
ชุยตงซานเก็บความคิดทั้งหมดลงไป ดีดเงินร้อนน้อยเหรียญหนึ่งไปที่หว่างคิ้วของผีสาว ฝ่ายหลังร่วงลงบนพื้น มือกระดูกสองข้างยันพื้นไว้ ไหล่ห่อลง แม้แต่หน้าก็เงยไม่ขึ้น เห็นได้ชัดว่าทนรับกับความทรมานไม่น้อย
ยังดีที่เงินร้อนน้อยเหรียญนั้นหลอมละหลายกลายเป็นปราณวิญญาณที่บริสุทธิ์ ทำให้ความเจ็บปวดในส่วนลึกของจิตวิญญาณผีสาวสงบลงไปได้หลายส่วน
เฉินผิงอันถาม “เป็นอย่างไร?”
ชุยตงซานถอนหายใจหนึ่งที “พอใช้ได้ โชคของอาจารย์…ค่อนข้างจะธรรมดา”
คนทั้งสองกลับมานั่งตรงข้ามกันอีกครั้ง
เฉินผิงอันพูดกับผีสาวโครงกระดูกที่ลุกขึ้นอย่างโซซัดโซเซ “ข้ามีคราบร่างที่เท่าเทียมกับขอบเขตเซียนเหรินอยู่ร่างหนึ่ง เจ้ายินดีจะเข้าไปสิงสู่ในนั้นหรือไม่?”
ผีสาวตกตะลึงสุดขีด ไม่กล้าเชื่อเลยแม้แต่น้อยจึงเงียบงันไร้คำตอบโต้ไปชั่วขณะ
โชคดียิ่งใหญ่เทียมฟ้าเช่นนี้ วัตถุหยินที่เป็นผีตนหนึ่งอย่างนางจะรับได้ไหวหรือ? อย่าว่าแต่ในสายตาของเทพเซียนพสุธาอย่างโอสถทองและก่อกำเนิดเลย คราบร่างเซียนเหรินนี้ แม้แต่ผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบก็ยังอยากได้จนน้ำลายหก! หรือกระทั่งผู้ฝึกลมปราณใหญ่ขอบเขตเซียนเหรินก็อาจจะตาแดงก่ำ ถึงอย่างไรการตั้งใจหล่อหลอมคราบร่างเซียนเหรินให้กลายมาเป็นเสื้อเกราะของจิตหยินที่ออกเดินทางไกลก็จะใช้ได้ทั้งรุกและรับ นั่นคือเรื่องดีงามดุจพยัคฆ์ติดปีก และยิ่งเป็นวีรกรรมที่ยิ่งใหญ่
แม้นางจะเป็นภูตผีวัตถุหยินที่มีตบะต่ำต้อย หาไม่แล้วก็คงไม่ถึงขั้นถูกผู้ฝึกตนที่ขอบเขตยังไม่ถึงเซียนดินคนหนึ่งกักขังเล่นงานได้ตามใจปรารถนา แต่ก็เพราะความสัมพันธ์บางอย่างถึงทำให้แท้จริงแล้วสายตาของนางไม่ได้ตื้นเขิน
ผีสาวสือโหรวล่องลอยไปหยุดที่ประตูห้อง คุกเข่าลงไปแล้วเริ่มโขกศีรษะคำนับ นี่น่าจะแสดงถึงการขอร้องอ้อนวอนเฉินผิงอันและรวมไปถึงชุยตงซานด้วย นางพูดด้วยน้ำเสียงสะอื้นไห้ “ขอโปรดเมตตา! ให้บ่าวได้มีเรือนกาย สามารถเดินอยู่ในโลกคนเป็นได้อย่างเปิดเผย! บ่าวจะยอมเป็นวัวเป็นม้าให้ท่านทุกชาติทุกภพ…”
ชุยตงซานพลันเดือดดาลอย่างหนัก ยกฝ่ามือตบผีสาวโครงกระดูกอยู่ไกลๆ ทำให้ศีรษะของนางเอียงไปทางเฉินผิงอันเท่านั้น “เจ้าจะมาโขกหัวให้ผีตัวเล็กอย่างข้าไปเพื่ออะไร เข้าใจกฎเกณฑ์บ้างไหม เข้าวัดจุดธูป ต้องกราบไหว้พระโพธิสัตว์และองค์เทพที่แท้จริง! คนเป็นทั้งคน เข้าไปในศาลบุ๋นบู๊แล้วจะโขกหัวกราบไหว้คนเฝ้าศาลอย่างนั้นหรือ? ข้าว่าเจ้าสือโหรวเป็นผีมาหกร้อยปี สมองคงเสื่อมจนฝ่อไปหมดแล้ว!”
ผีสาวโขกหัวถี่ยิ่งกว่าเดิม พูดประโยคนั้นกลับไปกลับมา ขอให้เมตตา ขอให้มอบร่างให้นาง
เฉินผิงอันพลันถามขึ้นว่า “ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในตรอกเล็ก ข้าไม่เคยพูดชื่อสือโหรวนี้ของนางออกมา เจ้าชุยตงซานรู้ได้อย่างไร? หายนะที่เมืองแยนจือแคว้นไฉ่อีนั่นเป็นแผนการลับของเจ้ากับต้าหลีใช่หรือไม่?”
สีหน้าของชุยตงซานแข็งค้าง ครั้งนี้ตนคะนองจนหลงลืมตนเกินไปจริงๆ ถึงกับหลุดช่องโหว่บัดซบนี่ออกมาได้ เฮ้อ เล่นหมากล้อมกับคนฝีมือห่วยแตกอย่างหลูป๋ายเซี่ยงแล้วทำให้ฝีมือการเล่นหมากล้อมของตัวเองถดถอยฮวบฮาบอย่างที่คิดไว้จริงๆ ชุยตงซานรีบลุกขึ้นยืน โค้งกายก้มต่ำอย่างถึงที่สุดพลางเอ่ยแก้ตัวให้ตัวเอง “เป็นฝีมือของราชครูชุยฉาน อาจารย์โปรดตรวจสอบให้กระจ่าง ไม่เกี่ยวข้องกับศิษย์ชุยตงซานแม้แต่น้อยเลย! ไม่เกี่ยวข้องแม้แต่ครึ่งเหรียญทองแดง!”
คำพูดไร้ยางอายเช่นนี้ เฉินผิงอันกลับไม่อาจหาข้อบกพร่องใดได้เลย
เฉินผิงอันนิ่งเงียบไปพักใหญ่ก็กล่าวอย่างจนใจว่า “ลุกขึ้นเถอะ”
ชุยตงซานแสร้งทำเป็นยกมือเช็ดหน้าผากที่ไม่มีเหงื่อ
แต่กลับพบว่าเฉินผิงอันกำลังมองไปที่ผีสาวตนนั้น ชุยตงซานจึงได้แต่ก้มตัวคารวะอีกครั้ง
บทที่ 386.3 คราบร่างเซียนเหรินมีผีพัก...
ผีสาวยังคงไม่เต็มใจจะลุกขึ้นยืน โขกหัวไม่หยุด ความจริงใจนี้ไม่จำเป็นต้องเอื้อนเอ่ยแล้ว
เฉินผิงอันหันหน้ามาพูดกับชุยตงซาน “ถ้าอย่างนั้นก็มอบนางให้เจ้าแล้ว หากเป็นไปได้ก็ช่วยให้นาง ‘เปิดภูเขา’ เข้าไปอยู่ในคราบร่างเซียน หากไม่ได้ก็ไม่ต้องฝืน”
ชุยตงซานตบอกรับรอง “อาจารย์วางใจได้เลย ต่อให้สุดท้ายทำไม่สำเร็จก็รับรองว่านี่จะยังเป็นการค้าที่มีแต่ผลกำไร ไม่มีขาดทุน”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “หากสำเร็จ เจ้าต้องการให้ข้าตอบแทนเจ้ายังไง?”
ชุยตงซานกล่าวอย่างตกตะลึง “เคารพครูบาอาจารย์และเคารพในคำสั่งสอน ช่วยอาจารย์แก้ไขปัญหายุ่งยากคือหน้าที่ของศิษย์อยู่แล้ว จำเป็นต้องตอบแทนด้วยหรือ?”
เฉินผิงอันหลุดหัวเราะพรืด “ตัวเจ้าเองเชื่อคำพูดนี้ไหม?”
ชุยตงซานยิ้มเขินอาย “อาจารย์ไม่เพียงแต่มีความรู้ลึกล้ำ ทั้งยังเข้าใจจิตใจผู้คนเป็นอย่างดี ติดตามอาจารย์แสวงหามรรคา ศิษย์…”
เฉินผิงอันจำต้องตัดบทคำประจบสอพลอที่ทำให้คนขนลุกขนชันของชุยตงซาน “หยุดเถอะ มีอะไรพวกเราก็มาพูดกันตรงๆ”
ชุยตงซานคิดแล้วก็นั่งกลับลงไปบนม้านั่งตัวยาว ดื่มน้ำชาหนึ่งคำแล้วถามหยั่งเชิงว่า “หากศิษย์บอกว่าต้องให้อาจารย์นำเงินเหรียญทองแดงแก่นทองทั้งหมดออกมา อีกทั้งยิ่งมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี อาจารย์จะตอบรับหรือไม่?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ
ชุยตงซานถาม “อาจารย์ไม่กลัวว่าโชคดีจะมาพร้อมหายนะ เมื่อผีสาวตนนี้ได้รับคำชี้นำจากข้าก็จะกลายเป็นนกพิราบยึดครองรังนกกางเขน เมื่อหล่อหลอมคราบร่างเซียนได้แล้ว ข้าจะเล่นตุกติก สุดท้ายนางก็ไม่จงรักภักดีต่ออาจารย์อีก? อาจารย์เต็มใจเชื่อข้าชุยตงซานในเรื่องที่ใหญ่ขนาดนี้หรือ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ข้าไม่เชื่อใจเจ้าชุยตงซาน แต่เชื่อใจอาจารย์ที่ยอมให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง”
ชุยตงซานเงียบไป
ผีสาวสือโหรวที่รับฟังอยู่รู้สึกเหมือนตกอยู่ท่ามกลางไอหมอก
ไม่รู้เลยว่าอาจารย์และศิษย์คู่นี้กำลังทำนายปริศนาอะไรกันอยู่
ชุยตงซานยื่นนิ้วสองข้างมาคีบยันต์สีเหลืองแผ่นนั้น ขณะเดียวกันผีสาวสือโหรวก็ถูกกระชากกลับเข้าไปในยันต์และถูกเก็บเข้าไปในชายแขนเสื้อใหญ่สีขาวหิมะของชุยตงซาน
ต้องรู้ว่ายันต์แผ่นนี้เป็นวัตถุที่ผ่านการหล่อหลอมจากเฉินผิงอันแล้ว
ผีสาวโครงกระดูกที่อารมณ์กระเพื่อมรุนแรงล่องลอยอยู่ท่ามกลางความว่างเปล่าที่มืดมิด อดรู้สึกเลื่อมใสเด็กหนุ่มเทพเซียนที่มีใฝแดงกลางหว่างคิ้วผู้นี้เพิ่มขึ้นอีกไม่ได้
ส่วนเฉินผิงอันที่ถือว่าเป็นเจ้านายแท้จริงของนางในนาม อีกทั้งยังลงนามสัญญาเป็นตายต่อกันแล้วด้วย อันที่จริงนางไม่กลัวเขามากนัก ส่วนความนับถือเลื่อมใสก็ยิ่งไม่มี
ทำไมถึงเป็นเช่นนี้
เพราะเรื่องราวบนโลกก็เป็นเช่นนี้
ชุยตงซานเก็บยันต์ไปแล้วก็กล่าวว่า “อาจารย์อยู่ที่นี่ต่ออีกสักสองสามวันได้ไหม? อย่างมากสุดแค่สามวันก็รู้ผลแล้ว ไม่ว่าจะดีหรือร้าย ถึงเวลานั้นก็สามารถออกเดินทางต่อได้”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ได้”
ชุยตงซานยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกไปให้เฉินผิงอันด้วยความรู้สึกละอายใจและเขินอายเล็กน้อย
เฉินผิงอันหยิบเงินเหรียญทองแดงแก่นทองหลายถุงที่ราชสำนักต้าหลีให้เป็นของขวัญไถ่โทษออกมาจากวัตถุฟางชุ่น
ยังไม่ทันถือได้ร้อนมือก็ต้องส่งต่อไปให้คนอื่นแล้ว หากผีสาวเข้าไปอยู่ในคราบร่างเซียนเหรินได้สำเร็จ หลังจากนี้ยังต้องใช้เงินเหรียญทองแดงแก่นทองไปเติมเต็มหลุมไร้ก้นที่น่ากลัวนั่นอีก
จากนั้นเฉินผิงอันก็หยิบจิตหยางกายนอกกายของตู้เม่าออกมาจากวัตถุจื่อชื่อ แล้วชุยตงซานก็เอาเก็บเข้าไปไว้ในวัตถุจื่อชื่อของเขาอีกที
ชุยตงซานเดินไปที่ประตูห้องก็หยุดเดิน หันหน้ามายิ้มพูดว่า “อาจารย์ แม้จะบอกว่าเป็นเรื่องที่ตกลงกันไว้ก่อนแล้ว แต่ศิษย์จัดการกับคนพวกนั้นด้วยวิธีเช่นนี้ อาจารย์โกรธหรือไม่?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ในเมื่อไม่ใช่เรื่องร้ายแรง เจ้าก็ทำไปเถอะ”
ชุยตงซานถามอีก “แล้วเผยเฉียนล่ะ?”
เฉินผิงอันถอนหายใจ “ข้าได้แต่บอกกับตัวเองว่า ผิดไวก็รู้ไว ถึงอย่างไรก็ดีกว่าวันหน้าปล่อยให้นางทำเรื่องผิดมหันต์แล้วค่อยล้อมคอกเมื่อวัวหาย”
ชุยตงซานทำท่าจะพูดแต่ก็เงียบไป และนี่ก็ไม่ใช่วิธีแสร้งปล่อยเพื่อจับ สุดท้ายเขาเองก็ถอนหายใจเลียนแบบเฉินผิงอัน “ช่วงนี้ไม่สู้อาจารย์อ่านตำราของอริยะปราชญ์สำนักนิติธรรมให้มาก ถึงอย่างไรการใช้กฎเกณฑ์พิธีการของลัทธิขงจื๊อและบรรทัดฐานของลัทธิเต๋ามาวัดการกระทำของคนทั้งบนภูเขาและล่างภูเขาก็ยิบย่อยและกินแรงมากเกินไป ยกตัวอย่างเช่นข้อที่ว่า ‘กษัตริย์ขุนนาง บนล่าง สูงศักดิ์ต่ำต้อยล้วนทำตามกฎ’ ‘ไม่แบ่งแยกใกล้ชิดห่างเหิน ไม่แบ่งแยกยากดีมีจน ทุกอย่างล้วนตัดสินกันด้วยกฎเกณฑ์’ ของสำนักนิติธรรม ล้วนถือเป็นยาดีในการปกครองโลก ทั้งยังสามารถลดทอนเรื่องวุ่นวายใจที่ไม่จำเป็นได้มากมาย ต่อให้อาจารย์ไม่ยกย่องสำนักนิติธรรม แต่เอามาใช้ฆ่าเวลา นำสำนักนิติธรรมมาเป็นอาหารเสริม เป็นยาบำรุงของลัทธิขงจื๊อ ก็น่าจะไม่ใช่เรื่องเลวร้าย”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ตกลง ฉวยโอกาสช่วงสองสามวันที่ยังอยู่ในอำเภอ ข้าจะไปหาผลงานของสำนักนิติธรรมมาอ่านดู”
ชุยตงซานกุมมือคารวะ “อาจารย์ยอมรับฟังคำแนะนำด้วยความหวังดีอย่างเป็นธรรมชาติดุจน้ำไหลลงสู่ที่ต่ำ ศิษย์ละอายใจที่สู้ไม่ได้ ได้รับการชี้แนะแล้ว”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างระอาใจ “ทำไมเจ้าไม่แข่งเรื่องความสามารถในการประจบสอพลอกับพวกเว่ยเซี่ยนล่ะ พวกเขาสี่คนต้องยอมแพ้เจ้าทั้งกายและใจแน่นอน”
ตอนที่ชุยตงซานปิดประตู เขายิ้มกว้างถามว่า “อาจารย์ วันหน้ามีเวลาว่าง ข้าสอนท่านเล่นหมากล้อมดีไหม?”
เฉินผิงอันอึ้งตะลึงไปครู่หนึ่ง “ไว้ค่อยว่ากันเถอะ”
ชุยตงซานจากไปด้วยรอยยิ้ม
วงกลมที่มีแสงสีทองไหลเวียนวนในห้องก็สลายตามไปด้วย
ชุยตงซานกลับไปที่ห้องตัวเอง หลับตาทำสมาธิ
สุดท้ายเขาหยิบม้วนภาพวาดม้วนหนึ่งออกมาอย่างเคร่งขรึม นั่นคือม้วนภาพที่มีแกนภาพทำมาจากวัสดุเดียวกับเงินเหรียญทองแดงแก่นทอง
หลังจากที่ชุยตงซานเปิดมันออก ม้วนภาพวาดบนโต๊ะก็ไหลรินเหมือนแม่น้ำสายยาวแห่งกาลเวลา ภาพเหตุการณ์มากมายไหลผ่านตามกันไปไม่ขาดตอน คล้ายคนและสิ่งของที่สมจริงที่สุดในโลก
และคนที่อยู่บนม้วนภาพวาดก็คือเฉินผิงอัน
บุคคลที่อยู่ใน ‘ช่วงตอน’ ของแม่น้ำแห่งกาลเวลาสายยาวบนม้วนภาพวาด ส่วนใหญ่คือเฉินผิงอันและซ่งจี๋ซินเพื่อนบ้านของเขาในตรอกหนีผิง
คนหนึ่งเกี่ยวพันกับมหามรรคาของราชครูชุยฉานเอง อีกคนหนึ่งเกี่ยวพันกับทิศทางการดำเนินไปของแคว้นต้าหลี
ม้วนภาพมหัศจรรย์ที่ใช้แม่น้ำแห่งกาลเวลามาเป็น ‘กระดาษเซวียนจื่อ’ เช่นนี้ ถูกตระกูลเซียนบนภูเขาเรียกว่าภาพม้าวิ่ง ล้ำค่าอย่างถึงที่สุด
มีเพียงผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยาน หรือไม่ก็ผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนเหรินที่เชี่ยวชาญวิชาลับบางอย่างในยุคบรรพกาลเท่านั้นถึงจะมีวิชาอภินิหารเช่นนี้ได้
ตระกูลเซียนที่มีคำว่าสำนักในชื่อที่มีรากฐานลึกล้ำ ไม่ขาดแคลนทรัพย์สินเงินทองซึ่งคอยให้การปกป้องคนที่บุรพาจารย์ของสำนักกลับมาจุติอย่างลับๆ ส่วนใหญ่มักจะมีวัตถุชิ้นนี้และจะเก็บไว้อย่างทะนุถนอม ม้วนภาพน้ำไหล ภาพม้าวิ่งนี้ไม่ใช่ของชิ้นเล็กที่ช่วยผ่อนคลายอารมณ์อะไร ต้องเผาผลาญสมบัติมหาศาล เกี่ยวพันไปถึงการฝึกตนบนมหามรรคา
อารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ ริ้วกระเพื่อมในทะเลเสาบหัวใจที่เกิดขึ้นในทุกการกระทำ ทุกคำพูด ทุกเสียงหัวเราะ ทุกเสียงร้องไห้ ทุกอุปสรรคของคนที่ถูกจับตามองล้วนถูกบันทึกไว้บนม้วนภาพอย่างสมบูรณ์แบบ
ม้วนภาพนี้ แม้แต่ฮ่องเต้ต้าหลีและมารดาแท้ๆ ของซ่งจี๋ซินที่เคยเป็นพันธมิตรกับชุยฉานในอดีตก็ยังไม่เคยเห็น
มองเฉินผิงอันและซ่งจี๋ซินคนวัยเดียวกันบนภาพวาดค่อยๆ เปลี่ยนจากเด็กชายมาเป็นเด็กหนุ่ม ชุยตงซานก็จมจ่อมเข้าสู่ภวังค์ความคิด แต่เรื่องที่เขาครุ่นคิดกลับไม่ได้เกี่ยวกับคนสองคนที่อยู่บนภาพวาด
ระหว่างช่วงเวลาที่เขาพาเนื้อหนังมังสาร่างนี้ไปหยุดอยู่ในเมืองเล็ก ช่วงที่เรื่องราวใกล้จะปิดฉากลง หลังจากที่ร่างและมรรคาของฉีจิ้งชุนดับสลายไปแล้ว ชุยตงซานค้นพบว่าแม่น้ำแห่งกาลเวลาของถ้ำสวรรค์หลีจูถูกคนใช้วิชาอภินิหารปาดออกไปบางๆ หนึ่งชั้นอย่างลับๆ อย่าว่าแต่มนุษย์ธรรมดาและผู้ฝึกตนเซียนดินที่อยู่ในเมืองเล็กเลย เกรงว่าแม้แต่ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตเซียนเหรินก็ยังสัมผัสไม่ได้
นี่หมายความว่าบนมือของใครบางคนน่าจะได้ครอบครองม้วนภาพ ‘น้ำไหล’ ที่มากพอจะประคับประคองเส้นเวลาที่ยาวนานยิ่งกว่า
ใครกันแน่ที่ทำเรื่องละเมิดต่อวิถีสวรรค์เช่นนี้ ยากที่จะบอกได้ อาจจะเป็นลู่เฉินหนึ่งในสามเจ้าลัทธิใหญ่ของลัทธิเต๋าที่ทำเพื่อหลี่ซีเซิ่ง ‘หนึ่งในศิษย์พี่ใหญ่’ ของเขา หรือไม่ก็เพื่อเด็กหนุ่มคิ้วยาวผู้เป็นลูกหลานของเทียนจวินเซี่ยสือ หรืออาจจะเป็นหร่วนฉงอริยะพิทักษ์เมืองเล็กที่มารับช่วงต่อจากฉีจิ้งชุนที่ทำเพื่อบุตรสาวหร่วนซิ่ว และอาจจะเป็นหยางเหล่าโถวแห่งร้านยาที่ทำเพื่อหม่าขู่เสวียนที่มีโชควาสนาเทียมฟ้า หรือไม่ก็เพื่อคนหนุ่มบางคนที่เขาแอบเดิมพันเอาไว้
ชุยตงซานเก็บม้วนภาพวาดกลับไปซ่อนไว้ในวัตถุจื่อชื่ออย่างระมัดระวัง
จากนั้นก็ใช้กระบี่บินวาดวงกลมสร้างฟ้าดินเล็กๆ แห่งหนึ่งขึ้นมา แล้วถึงได้หยิบยันต์กระดาษสีเหลืองกับเงินเหรียญทองแดงแก่นทองหลายถุง รวมไปถึง…คราบร่างเซียนเหรินที่มีมูลค่าควรเมืองชิ้นนั้นออกมา
ชุยตงซานนวดคลึงหว่างคิ้ว
เมื่อเทียบกับการประกอบร่างเด็กหนุ่มเศษกระเบื้องคนนั้นขึ้นมาในถ้ำสวรรค์หลีจูก็มีแต่จะยากกว่า ไม่ง่ายกว่า
ชุยตงซานถอนหายใจหนึ่งที “ศิษย์แบ่งเบาความกังวลแทนอาจารย์ ช่วยควักถุงเงินจ่ายให้อาจารย์อย่างใจกว้าง เป็นเรื่องที่ถูกต้องตามหลักฟ้าดิน มารดามันเถอะ กราบไหว้อาจารย์ขอเล่าเรียนความรู้สองครั้งล้วนมีสภาพที่ต้องกลายเป็นถุงเงินของคนอื่นอย่างน่าอนาถเช่นนี้ ไม่เสียแรงที่ข้าชุยตงซานและชุยฉานเป็นคนคนเดียวกัน”
……
เฉินผิงอันไปที่ร้านหนังสือในอำเภอเพื่อซื้อตำราที่กล่าวถึงความรู้ของสำนักนิติธรรมมาจุดตะเกียงอ่านยามค่ำคืนจริงๆ
ยามสนธยาของวันแรกหลังจากวันนั้น ชุยตงซานที่มีสีหน้าอิดโรยมาบ่นระบายทุกข์ให้เฉินผิงอันฟังคำรบหนึ่งพร้อมขอเหล้ากุ้ยฮวาดื่มหนึ่งกา แถมยังทำหน้าหนาเอากลับไปด้วยอีกหนึ่งกา
วันที่สองสีหน้าของชุยตงซานเหมือนขี้เถ้ามอด เดินสะโหลสะเหลเข้ามาในห้องของเฉินผิงอัน เผยเฉียนกำลังตั้งใจก้มหน้าก้มตาคัดตัวอักษร ชุยตงซานบอกให้เด็กหญิงขยับถอยไปนิด จากนั้นเขาก็ฟุบลงบนโต๊ะ นอนกรนครอกๆ ครึ่งชั่วยามถึงจะตื่นขึ้นมา เห็นเฉินผิงอันกำลังฝึกเดินด้วยท่าฟ้าดิน กับเผยเฉียนที่ฝึกเดินนิ่งหกก้าว เขาก็จากไปเงียบๆ แน่นอนว่าไม่ลืมเอาเหล้าหมักกุ้ยฮวาที่วางไว้บนโต๊ะไปด้วย
วันที่สาม ชุยตงซานบอกว่าวันมะรืนถึงจะออกเดินทางได้ สีหน้าของเขาชื่นบานแจ่มใจ ตอนที่มาเยือนยังพกอุปกรณ์เล่นหมากล้อมของหลูป๋ายเซี่ยงมาด้วย บอกว่าเอามาเล่นแก้เบื่อ ต้องการจะสอนอาจารย์เล่นหมากล้อม ด้วยพรสวรรค์ของอาจารย์ เรียนแค่สองสามวันก็เก่งกาจเกินหลูป๋ายเซี่ยงแล้ว ห้าหกวันก็คงจัดการเขาชุยตงซานได้อย่างง่ายดาย
ก่อนจะเล่นหมากหล้อมอย่างเป็นทางการ มองเฉินผิงอันที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามด้วยสีหน้าจริงจัง ชุยตงซานก็เหม่อลอยไปครู่หนึ่ง
ชุยตงซานสอนรูปแบบปลายแหลมเล็กในตำราเมฆหลากสีเล่มนั้น
ผลคือเขาต้องเสียเวลาหนึ่งชั่วยามเต็มในการอธิบายแก่นสำคัญและการเปลี่ยนแปลงมากมายในภายหลังของรูปแบบการเดินหมากนี้ หากหลูป๋ายเซี่ยงหรือฉีไต้จ้าวคนใดก็ตามของต้าหลี ‘โง่เง่า’ ขนาดนี้ เกรงว่าเขาคงด่าอีกฝ่ายจนไม่เหลือชิ้นดีแล้ว แต่คงเป็นเพราะสถานะ ‘อาจารย์’ ของเฉินผิงอัน ถึงทำให้ชุยตงซานไม่มีความหงุดหงิดอย่างที่หาได้ยากยิ่ง แล้วก็อาจเป็นเพราะเฉินผิงอันที่ทำให้ชุยตงซานเผชิญกับความยากลำบากสุดแสนไม่เคยขอความรู้กับเขาอย่างจริงจังเช่นนี้มาก่อน?
สรุปก็คือชุยตงซานสอนหมากล้อม เฉินผิงอันเรียนหมากล้อม เสียงเม็ดหมากกระทบกระดานใสกังวาน รวมไปถึงเสียงถามตอบที่ดังขึ้นๆ ลงๆ แว่วมาเป็นระยะ
กลางดึกวันที่สี่
เมื่อเฉินผิงอันเปิดประตูห้องออกมาก็พลันรู้สึกผวาพรั่นพรึง แล้วตามมาด้วยขนทั้งร่างที่พากันลุกพรึ่บ
เห็นเพียงว่าข้างกายชุยตงซานมี ‘ตู้เม่า’ ที่ยิ้มด้วยสีหน้าเอียงอายยืนอยู่ กล่าวด้วยน้ำเสียงขลาดๆ ว่า “บ่าวคารวะนายท่าน”
บทที่ 387.1 ฤดูใบไม้ผลิอีกปี
ความคิดในหัวของเฉินผิงอันตีกันอยู่พักหนึ่งถึงได้บอกให้ชุยตงซานและจิตหยางกายนอกกายที่สือโหรวสิงสู่เข้ามาในห้อง
ชุยตงซานยังคงใช้กระบี่บินสีทองเล่มนั้นวาดวงกลมวงใหญ่ เฉินผิงอันอดไม่ไหวสอบถามว่านี่คือวิชาอภินิหารอะไร ชุยตงซานยิ้มบอกว่าเป็นวิธีการของเทพบรรพกาล วาดพื้นให้เป็นกรงขัง สามารถนำมาเป็นได้ทั้งสถานที่ปกป้องคุ้มครองคน แล้วก็สามารถกักขังผู้คน เข้าไปไม่ได้ ออกมาไม่ได้ ดังนั้นจึงมีคำเรียกว่า ‘บ่อสายฟ้า’ คนรุ่นหลังนำวิชาตระกูลเซียนนี้มาปรับปรุงเปลี่ยนแปลงจนแตกกิ่งก้านออกไปอีกหลายสิบชนิด ส่วนใหญ่ล้วนเบี่ยงออกจากทางสายตรง ไม่มีค่าพอให้พูดถึง
พอนั่งลงแล้วพูดถึงสือโหรว ชุยตงซานก็หน้าบานเป็นกระด้ง ชื่นชมฐานกระดูกของสือโหรวคำรบใหญ่ บอกว่าเรื่องของการเปิดภูเขานี้ นอกจากต้องผลาญเงินเหรียญทองแดงแก่นทองไปสองถุงแล้ว ทุกอย่างล้วนราบรื่นไปหมด สือโหรวที่เป็นวิญญาณหยินถึงกับสามารถใช้ความเด็ดเดี่ยว ใช้โชควาสนาที่ยิ่งใหญ่มาเปลี่ยนร่างทองแก้วใสที่ดึงออกมาจากผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานให้กลายเป็นถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลแห่งหนึ่งที่ฝากวิญญาณพักพิงเอาไว้ ตอนนี้ระหว่างเรือนกายที่มีเนื้อหนังมังสาของตู้เม่ากับจิตวิญญาณของสือโหรว แม้ว่ายังมีบางส่วนที่ขัดแย้งผลักไสกัน แต่หลังจากนี้ก็แค่ต้องใช้เวลาและเงินทองเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรแล้ว
ชุยตงซานบอกข่าวดีใหญ่เทียมฟ้านี้แล้วก็เริ่มพูดถึงข้อบกพร่อง “เมื่อเปิดประตู เปลี่ยนจากแขกมาเป็นเจ้าบ้าน ก็เป็นแค่ด่านแรกเท่านั้น ในเรื่องฐานกระดูก สือโหรวนับว่าได้รับการดูแลจากสวรรค์เป็นพิเศษ หากก่อนหน้านี้มีคนที่มองของดีออก อีกทั้งยังยอมทุ่มเงิน จะช่วยวางแผนให้นางกลายเป็นองค์เทพของห้าขุนนางอันดับหนึ่งของแจกันสมบัติทวีปก็ยังไม่มีปัญหา เพราะว่ารากฐานดี นางถึงได้สามารถช่วงชิงความได้เปรียบใหญ่ขนาดนี้มาได้ เพียงแต่ว่าฐานกระดูกของนางดีไม่ได้หมายความว่าพรสวรรค์จะเลิศล้ำไปด้วย ในความเป็นจริงแล้วสือโหรวเป็นวิญญาณเร่ร่อนมีชีวิตมาหลายร้อยปีก็ยังไม่สามารถฝึกตนจนเป็นรูปเป็นร่างอะไร ไม่ได้กลายเป็นพวกราชาแห่งผีอะไรนั่น นอกจากที่เจ้านายคนเก่าพึ่งพาไม่ได้แล้ว ยังเป็นเพราะพรสวรรค์ของสือโหรวเองไม่ถือว่าโดดเด่นนัก ดังนั้นคอขวดของสือโหรวจึงค่อนข้างเป็นเรื่องที่ร้ายแรง ถูกกำหนดมาแล้วว่านางจะไม่สามารถทำลายขีดจำกัดของร่างทองแก้วใสนี้จนพัฒนาก้าวหน้าไปอีกขั้น กระทั่งมีอิสระเสรีที่แท้จริงได้”
เฉินผิงอันหยิบเหล้ากุ้ยฮวาออกมาหนึ่งกา หลังจากชุยตงซานรับไปดื่มแล้วก็แหงนหน้ากระดกอึกใหญ่ ก่อนจะเช็ดปากกล่าวว่า “ยังดีที่เข้ามาในภูเขาทอง ต่อให้เป็นผีน้อยขนสมบัติที่น่าเวทนา ทุกครั้งขนสมบัติได้น้อยแค่ไหน แต่ผ่านไปหลายสิบปีหลายร้อยปี มุมานะไม่ย่อท้อ สุดท้ายก็จะขนสมบัติจนกลายเป็นคนมีเงินเป็นเศรษฐีในพื้นที่แถบหนึ่งได้ หลังจากนี้สือโหรวแค่ต้องใช้วิธีโง่ๆ แทะกระดูกแข็งๆ เท่านั้น นางจะไม่เจอด่านในการฝึกตนใดๆ อีก นี่ก็คือจุดที่น่าอิจฉาที่สุดของคราบร่างเซียนเหริน มันมุ่งไปยังห้าขอบเขตบนตลอดเวลา ไม่ต้องสร้างโอสถทอง ไม่ต้องฟูมฟักทารกก่อกำเนิด แม้แต่เทวบุตรมารก็ไม่ต้องสนใจ ใครเล่าจะไม่ริษยา?”
ชุยตงซานหัวเราะหึหึ “แน่นอนว่าอาจารย์เฉลียวฉลาดและมีจิตใจเด็ดเดี่ยว ไม่มีทางอิจฉาแน่ ส่วนศิษย์อย่างข้าก็มีอัญมณีมาวางไว้ตรงหน้านานแล้ว ไม่จำเป็นต้องอิจฉา สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้ว ข้าก็ยังสู้อาจารย์ไม่ได้อยู่ดี”
เฉินผิงอันเอ่ยเตือน “ไม่ว่าสือโหรวจะต้องสั่งสมเงินเหรียญทองแดงแก่นทองเพื่อใช้ในการฝึกตนอย่างไร ข้าก็จะต้องเก็บเงินเหรียญทองแดงแก่นทองไว้ในมือหกเหรียญ เจ้าอย่าได้หวังว่าจะแตะต้องเงินก้อนนี้”
ชุยตงซานพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “มีอาจารย์ที่จิตใจกว้างขวางเปี่ยมเมตตาเป็นเจ้านายของมดสี่ตัวจากพื้นที่มงคลดอกบัว ช่างเป็นโชควาสนาที่พวกเขาสั่งสมมาหลายชาติจริงๆ หากพวกเขายังไม่รู้จักทะนุถนอมความโชคดีนี้ไว้ก็ควรถูกฟ้าผ่าตายแล้ว อาจารย์ท่านวางใจได้ วิชาห้าอสนีของภูเขามังกรพยัคฆ์ ศิษย์พอจะใช้เป็นอยู่บ้าง ไม่แน่ว่าอาจจะเชี่ยวชาญยิ่งกว่าชนชั้นสูงหวงจื่อของจวนเทียนซือบางคนด้วยซ้ำ ถึงเวลานั้นอาจารย์สั่งมาคำเดียว ข้าจะผดุงความเป็นธรรมแทนสวรรค์ทันที”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ข้ายังคงหวังให้พวกเขาทั้งสี่คนมีการเริ่มต้นที่ดีและจุดจบที่ดี”
ชุยตงซานเอ่ยเบาๆ “เหตุใดอาจารย์ถึงไม่ถามว่า อีกหกสิบปีให้หลังควรจะควบคุมสือโหรวให้อยู่มืออย่างไร?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ข้าไม่ถาม แล้วเจ้าจะไม่พูดหรือ? พูดแค่เรื่องทำการค้า เรื่องการวางแผน ข้าห่างชั้นจากเจ้าไกลนัก ข้าเชื่อเจ้า ยิ่งเชื่อว่าเจ้าไม่มีทางทำลับๆ ล่อๆ อยู่นอกมหามรรคา เพราะแบบนั้นเป็นการดูแคลนเจ้าชุยตงซานเกินไป”
ชุยตงซานซาบซึ้งใจเหลือแสน “ไม่เคยคิดเลยว่าในใจอาจารย์ ศิษย์จะเป็นคนที่เข้าอกเข้าใจผู้อื่นถึงเพียงนี้ อาจารย์เต็มใจเชื่อใจศิษย์ ศิษย์จะกล้าไม่ทุ่มเทให้ท่านจนตัวตายได้อย่างไร?!”
เฉินผิงอันมองผีงามโครงกระดูกที่มาเดินอยู่ในโลกมนุษย์ด้วยรูปลักษณ์ของตู้เม่าก็ถามว่า “ไม่เสียใจภายหลังรึ?”
สือโหรวยิ้มกล่าว “นายท่านไม่รู้ถึงความเจ็บปวดนานาประการที่วิญญาณหยินต้องพบเจอ ได้ยินเสียงฟ้าผ่าในฤดูใบไม้ผลิ เสียงระฆังตียามเช้าเย็น ลมพายุปราณสะอาดบริสุทธิ์ระหว่างฟ้าดิน ความหนาวเหน็บในช่วงฤดูใบไม้ร่วง กลิ่นอายแห่งการเข่นฆ่าบนสนามรบ ศาลตามภูเขาแม่น้ำและศาลเทพอภิบาลเมืองของพื้นที่แต่ละแห่ง และอีกมากมาย ล้วนเป็นความทุกข์ทรมานสำหรับผีเร่ร่อนอย่างพวกเรา อีกทั้งยังง่ายที่จะทำให้สูญเสียสติปัญญาส่วนสุดท้าย กลายมาเป็นผีชั่วร้ายที่รู้จักแต่การเข่นฆ่า…”
สือโหรวพูดจ้อเกี่ยวกับเรื่องวงในและกฎเกณฑ์มากมายของการมีชีวิตอยู่บนโลกของวัตถุหยิน
เฉินผิงอันตั้งใจรับฟัง นั่นถึงพอจะลดความรู้สึกกระดากเวลาที่เขาเผชิญหน้ากับ ‘ตู้เม่า’ ให้ลดน้อยลงไปได้บ้าง
ใบหน้าของชุยตงซานมีรอยยิ้มบางๆ แต้มอยู่ตลอดเวลา เงี่ยหูรับฟังคำอธิบายของสือโหรวพร้อมกับเฉินผิงอันไปด้วย
เรื่องที่เข้ามาพักอยู่ในร่างทองแก้วใสของตู้เม่าคงจะถือว่าเรียบร้อยดีแล้ว
ชุยตงซานบอกแค่ว่าพรุ่งนี้ต้องหยุดพักอีกหนึ่งวัน เฉินผิงอันก็พยักหน้าตอบรับ
บรรยากาศในห้องค่อนข้างคล้ายกับการเฉลิมฉลอง เพียงแต่ว่าสามคนที่อยู่ในสถานการณ์มีแค่เหล้ากุ้ยฮวากาเดียวเท่านั้น
สุดท้ายชุยตงซานก็ลุกขึ้นยืนบอกลา เฉินผิงอันเดินมาส่งคนทั้งสองที่หน้าประตูห้อง พอปิดประตูลงแล้ว เด็กหนุ่มชุดขาวและผู้เฒ่าชุดขาวก็เดินตามหลังกันไปกลางระเบียง
แม้ว่าใบหน้าของชุยตงซานจะเต็มไปด้วยแววปิติยินดี แต่ไม่รู้ว่าเหตุใดสือโหรวถึงรู้สึกอกสั่นขวัญผวามากขึ้นทุกที พอไปถึงในห้องของชุยตงซานก็จริงอย่างที่นางคาด เขาคว้ากระชากศีรษะของ ‘ตู้เม่า’ ห้านิ้วงอเป็นตะขอกดหัวสือโหรวเข้ากับผนัง พูดเสียงกร้าวสีหน้าดุดัน “เป็นแค่วัตถุหยินตัวเล็กๆ ยังสู้กับมดสักตัวไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่กลับกล้าบังอาจพูดจาคุยโวโอ้อวดต่อหน้าอาจารย์ข้ารึ?! ใครให้ความกล้านี้แก่เจ้า!”
ร่างทองแก้วใสที่เท่าเทียมกับร่างของขอบเขตเซียนเหรินแข็งแกร่งไม่แพ้ร่างของผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเก้าเลย ตามหลักแล้วเมื่อถูกชุยตงซานที่มีแค่ขอบเขตเซียนดินกระชากดึงทึ้ง สือโหรวก็น่าจะแค่คันๆ เท่านั้น แต่เห็นได้ชัดว่าชุยตงซานใช้วิชาอภินิหารลับบางอย่างที่บอกกับใครไม่ได้ ประหนึ่งเหมือนมีพายุลมกรดพัดกระโชกใส่รากฐานจิตวิญญาณของสือโหรว พาให้จิตวิญญาณของนางสั่นสะเทือน เจ็บปวดจนใบหน้าแก่ชราของสือโหรวบิดเบี้ยว หลั่งน้ำตาไม่ขาดสาย
ชุยตงซานยกมืออีกข้างหนึ่งดีดนิ้วลงบนหน้าผากของสือโหรว ปานประหนึ่งเสียงระฆังดังกังวานสะเทือนไปทั้งห้องหัวใจของสือโหรว
หลังจากปล่อยนิ้วทั้งห้าออก สือโหรวก็ตัวอ่อนยวบทรุดลงกับพื้น ร่างทั้งร่างสั้นเทิ้ม เหงื่อแตกโซมกาย
ชุยตงซานยกเท้าเหยียบลงบนศีรษะของนาง เป็นเหตุให้ท้ายทอยของสือโหรวกระแทกกับผนัง ชุยตงซานค้อมเอวลง หลุบตามองนางจากมุมสูง พูดเย้ยหยันว่า “ความสามารถไม่คู่ควรกับคุณธรรม คุณธรรมไม่คู่ควรกับตำแหน่ง เจ้ากลับยึดครองมันทั้งสองอย่าง เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะกระชากดวงวิญญาณเจ้าออกมาจากคราบร่างเซียนใหม่อีกครั้ง ปล่อยให้เจ้าอาบไล้อยู่ท่ามกลางฝนรสหวานและลมชำระบาปที่ยิ่งใหญ่ทั้งวันทั้งคืน หรือไม่ก็เอาคราบร่างนี้มาทำเป็นตะเกียงดวงหนึ่ง โดยใช้วิญญาณของเจ้าเป็นไส้ตะเกียง แต่เจ้ากลับไม่อาจรับรู้ได้เลย หกสิบปีให้หลังเจ้าก็จะตายอย่างเฉียบพลัน?!”
ชุยตงซานเพิ่มน้ำหนักเท้า ผนังด้านหลังท้ายทอยของสือโหรวเกิดรอยปริแตกออกทีละนิด
ชุยตงซานสายตาเย็นชา “ทำไม แค่ในกางเกงมีไอ้จ้อนโผล่มาก็เย่อหยิ่งจนลืมหน้าที่ที่ตนต้องทำไปแล้วหรือ?”
สือโหรวพลันหน้าเปลี่ยนสี สายตาเฉยเมย ต่อให้ได้รับความอัปยศอย่างใหญ่หลวงและได้รับความเจ็บปวดทางวิญญาณก็ยังคงเงยหน้าขึ้น จ้องมองสบตากับเซียนซือชุดขาวผู้นี้เป็นครั้งแรก
ชุยตงซานรู้สึกว่าน่าสนใจอย่างถึงที่สุด จึงยิ้มบางๆ กล่าวว่า “กากเดนที่แคว้นล่มสลายเมื่อหกร้อยปีก่อนอย่างเจ้า สายรองของลัทธิเต๋าสายนั้นตายดับกันไปหมด สู้ลำบากอดทนมานานหลายปีขนาดนี้ กลับฝึกปรือจนมีน้ำอดน้ำทนได้แค่นี้เองหรือ? ถึงขั้นกล้าแข่งฝีมือหมากล้อมกับข้า? ผู้อื่นถามคำถาม แต่ตอบกลับเป็นบทเพลง รูปร่างดุจโครงกระดูก หัวใจดุจขี้เถ้ามอด เป็นอย่างไร ถูกข้าจับจุดได้แล้วสินะ? ไม่อย่างนั้นให้ข้าใช้เวทลับที่มีเฉพาะของบรรพบุรุษผู้กู้คืนความรุ่งโรจน์ในสายของเจ้ามาลบรัศมีแสงลัทธิเต๋าที่หลงเหลืออยู่น้อยนิดของเจ้าให้หมดสิ้นไปเลยดีไหม?”
สือโหรวทำสีหน้าเหลือเชื่อ ในที่สุดก็เผยความหวาดกลัวอย่างลึกล้ำออกมา นั่นเป็นความหวาดกลัวที่มากกว่ายามเผชิญหน้ากับความตายเสียอีก
ตอนอยู่บนป้ายศิลาในศาลเทพอภิบาลเมืองแคว้นไฉ่อี นางเคยคลอเพลงหนึ่งเบาๆ ซึ่งเฉินผิงอันเข้าใจผิดคิดว่าเป็นเพลงพื้นบ้านของแคว้นไฉ่อี เดิมทีนางนึกว่านั่นเป็นเรื่องเก่าแก่ของเมื่อหลายร้อยปีก่อน บวกกับที่ร่องรอยทุกอย่างล้วนถูกกองกำลังฝ่ายต่างๆ ของแจกันสมบัติทวีปทำลายทิ้งไปหมด จึงไม่มีใครรู้เรื่องวงในมานานแล้ว อีกทั้งต่อให้เปิดเจอเนื้อเพลงที่ไม่เต็มบทพวกนี้จากหนังสืออ่านเล่น แต่จะเอามาอนุมานถึงตัวตนที่แท้จริงของนาง อยู่ดีๆ ก็คว้าจับจุดตายของผีสาวตัวเล็กๆ อย่างนางได้อย่างไร?
ชุยตงซานยื่นนิ้วออกมาสองนิ้ว กระบี่บินสีทองเล่มนั้นพุ่งออกมาจากหว่างคิ้ว บินล้อมวนอย่างรวดเร็ว สุดท้ายกลับวาดยันต์สีทองแผ่นหนึ่งที่หายสาบสูญไปนานแล้ว ทำให้บนปลายนิ้วของชุยตงซานคล้ายมีดอกบัวสีทองที่เคร่งขรึมโอฬารผลิบานหนึ่งดอก
สือโหรวอยากจะอ้าปากขอร้อง แต่กลับค้นพบว่าไม่ว่าตนจะดิ้นรนอย่างไรก็ไม่อาจเปล่งเสียงได้ ได้แต่เบิกตามองปลายนิ้วของคนผู้นั้นขยับเข้ามาใกล้หว่างคิ้วของนางเรื่อยๆ
สือโหรวหลับตาลง ริมฝีปากสั่นสะท้าน ใช้เสียงในใจคลอเพลงช่วงต้นของบทเพลงสายรองลัทธิเต๋าที่นางเคยอยู่ในปีนั้นขึ้นมา
สือโหรวที่กำลังรอความตายลืมตาขึ้นช้าๆ พบว่าคนผู้นั้นหยุดมือแล้ว กำลังใช้สายตาเวทนามองประเมินนาง
ชุยตงซานยืดเอวตั้งตรง ถูพื้นรองเท้าลงบนใบหน้าของ ‘ตู้เม่า’ ปานประหนึ่งเหยียบโคลนแล้วรองเท้าสกปรกจึงต้องเช็ดออกให้สะอาด
เขาชำเลืองตามองสือโหรวที่เพิ่งรอดพ้นจากความตายมาอย่างหวุดหวิด “คราวหน้าห้ามทำอีก”
สือโหรวพยักหน้ารับเบาๆ
ชุยตงซานเพิ่งเดินออกไปได้ไม่กี่ก้าวก็หันขวับกลับมา กระทืบเท้าลงบนศีรษะของสือโหรวแรงๆ หนึ่งครั้ง ศีรษะเกินครึ่งผลุบหายเข้าไปฝังในผนัง พูดอย่างขุ่นเคืองว่า “พระคุณที่ไม่ฆ่า ยังไม่รู้จักพูดขอบคุณข้าสักคำหรือ?”
สือโหรวงัดศีรษะออกมาจากผนัง คุกเข่าโขกหัวคำนับชุยตงซานสามครั้งเงียบๆ
ชุยตงซานไปนั่งข้างโต๊ะ พูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ข้าไม่อาจเดินทางร่วมกับอาจารย์ได้ตลอดไป เมื่อข้าจากไปแล้ว จำไว้ว่าอย่าได้ย่ำยีเรือนกายที่ทนทานกับการถูกซ้อมมากที่สุดนี้ให้เสียเปล่า หากอาจารย์ข้าได้รับบาดเจ็บเพราะเจ้าไม่พยายามอย่างสุดความสามารถ ไม่ว่าจะบาดเจ็บน้อยหรือมาก ข้าก็จะดึงแสงรัศมีของเมล็ดพันธ์เต๋าที่อยู่ในจุดลึกของจิตวิญญาณเจ้าออกมา แล้วค่อยย้ายเอาไปปลูกไว้บนร่างของภิกษุ”
สือโหรวเงยหน้าขึ้นช้าๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยความเศร้าระทม มองเซียนซือที่รูปงามดั่งเทพเซียน ความคิดละเอียดรอบคอบ แต่จิตใจกลับอำมหิตโหดเหี้ยมผู้นี้แล้วพึมพำเบาๆ “บนโลกมีคนน่ากลัวอย่างเจ้าอยู่ได้อย่างไร?”
ชุยตงซานหลุดหัวเราะพรืด “นี่ก็ไม่ใช่เพราะอาจารย์สั่งสอนหรอกหรือ ข้าก็เรียนรู้ด้วยตัวเองจนประสบความสำเร็จอย่างไรล่ะ”
สือโหรวลุกขึ้นยืน ได้แต่กล้ายืนแนบอยู่ติดผนัง
ชุยตงซานเอามือตบโต๊ะ “ยังไม่รีบไสหัวกลับไปที่ห้องของตัวเองอีก มายืนบื้อเป็นคนตายอยู่ตรงนี้ทำไม? เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะเฉือนเจ้าของเล่นในกางเกงเจ้าออกมา แล้วให้เจ้ากินมันลงไป?”
สือโหรวที่ทั้งเจ็บแค้นทั้งเศร้าใจก้มหน้าลง เดินเร็วๆ ออกไปจากห้องที่เหมือนนรกบนดินแห่งนี้
ชุยตงซานเปิดตำราที่นักประพันธ์แคว้นชิงหลวนเขียนซึ่งวางไว้บนโต๊ะออกอ่าน ยิ่งอ่านไฟโทสะก็ยิ่งลุกโหม กระแทกหน้าหนังสือปิดลงอย่างแรง ปากก็สบถด่าไปด้วย “สามวันไม่อ่านตำรา พูดจาน่าเบื่อ เห็นหน้าให้พาลรังเกียจ (คนที่ไม่อ่านหนังสือมักจะเป็นคนน่าเบื่อหน่าย พานให้คนอื่นไม่ชอบ) กับผายลมสุนัขอะไร อ่านเจ้าของเล่นพวกนี้แล้ว เหมือนมีคนเอาขี้มาป้ายหน้าข้าผู้อาวุโส แถมแม่งยังเป็นขี้ท้องเสียด้วย”
บทที่ 387.2 ฤดูใบไม้ผลิอีกปี
ชุยตงซานนอนไม่หลับ ด้วยความเบื่อหน่ายจึงออกจากโรงเตี๊ยมไปเดินเล่นข้างนอกเงียบๆ
บังเอิญเห็นผู้ฝึกตนอิสระห้าขอบเขตล่างท่าทางยากจนคนหนึ่งกำลังใช้วิชาผีน้อยขโมยเงินชั้นต่ำบังคับให้ภูตผีตัวจิ๋วสิบกว่าตัวไปขโมยเงินเก็บของชาวบ้านครอบครัวหนึ่งมา มองดูแล้วเหมือนมดกำลังย้ายรัง พวกมันจับกลุ่มกันสองตนสามตนร่วมแรงร่วมใจขนเงินเหรียญทองแดงและเศษเงินเม็ด ผู้ฝึกตนนั่งยองอยู่มุมกำแพง ชั่งน้ำหนักเศษเงินสองสามก้อนที่มีค่ามากที่สุดแล้วยิ้มกว้างจนแทบหุบปากไม่ลง
สะสมทีละเล็กทีน้อยจนมากขึ้น ไม่หมิ่นเงินน้อย
ผลคือพอหันหน้ากลับมามองก็เห็นคนหนุ่มชุดขาวผู้หนึ่งนั่งยองอยู่ข้างกายตน นี่มานั่งชมจันทร์เป็นเพื่อนเขาหรือไร?
ผู้ฝึกตนอิสระตกใจสะดุ้งโหยง
ชุยตงซานยิ้มตาหยีพูดว่า “เจ้าทำลงด้วยหรือ? ทำไมถึงไม่ไปขโมยเงินของตระกูลใหญ่ล่ะ?”
ผู้ฝึกตนอิสระกลืนน้ำลาย พูดอย่างกล้าๆ กลัวๆ “เพราะพวกเทพทวารบาลของตระกูลใหญ่รับมือยาก ผีน้อยขนเงินที่ข้าฟูมฟักเลี้ยงดูมาอย่างยากลำบากจะถูกพวกเขาฆ่าตายเสียเปล่าๆ เป็นการค้าที่ขาดทุน”
ชุยตงซานพยักหน้ารับ “ก็จริงนะ”
ผู้ฝึกตนอิสระกลอกตาว่องไว คิดจะหาทางหนี ต้องฆ่าเด็กหนุ่มท่าทางประหลาดผู้นี้ปิดปาก? เพื่อเงินแค่ไม่กี่ตำลึง คุ้มกันแล้วหรือ? อีกอย่างสวรรค์เท่านั้นกระมังที่รู้ได้ว่าใครจะฆ่าใครกันแน่?
ชุยตงซานยื่นสองนิ้วไปคีบผีน้อยขโมยเงินที่ร่างสูงเท่านิ้วคนขึ้นมาหนึ่งตน จากนั้นวางไว้กลางฝ่ามือ ประกบนิ้วทั้งสิบเข้าด้วยกัน ปั้นๆ คลึงๆ อย่างไร้กฎเกณฑ์อยู่พักหนึ่ง ทำเอาผู้ฝึกตนอิสระที่ตบะน้อยนิดมองจนหนังตากระตุก ดีนักนะ นี่ถือว่าแม่ทัพใหญ่ใต้บังคับบัญชาตายไปคนหนึ่งแล้ว มันจะทนรับการนวดคลึงบดบี้จากคนแบบนี้ได้อย่างไร ผีน้อยขโมยเงินที่เขาเลี้ยงมาพวกนี้มีระดับขั้นต่ำยิ่ง ไม่อย่างนั้นแม้แต่ด่านของเทพทวารบาลก็คงไม่ถึงขั้นข้ามผ่านไปไม่ได้
ในขณะที่ผู้ฝึกตนอิสระกำลังเสียใจอย่างสุดแสนนั้นเอง ชุยตงซานก็แบฝ่ามือออก บนร่างของผีน้อยขโมยเงินที่แสยะปากแยกเขี้ยวตนนั้นคล้ายจะมีชุดสีแดงเพิ่มขึ้นมาอีกตัว เขาโยนมันลงบนพื้น ออกคำสั่งว่า “ไป ไปขโมยทองก้อนหนึ่งมาจากบ้านเศรษฐี”
สองมือของเจ้าตัวน้อยกำเป็นหมัด อมลมแก้มป่องวิ่งฉิวออกไปอย่างขยันขันแข็ง
ผ่านไปประมาณหนึ่งก้านธูป มันก็แบกทองก้อนขนาดเท่าเล็บมือมาได้ก้อนหนึ่งจริงๆ
ผู้ฝึกตนอิสระคนนั้นมองตาค้าง พอคืนสติกลับมาก็รีบกุมมือคารวะ “เซียนซือมีวิชาอภินิหารยิ่งใหญ่ ทำให้คนได้เปิดโลกทัศน์แล้ว”
ชุยตงซานลุกขึ้นยืน ร่างทะยานวูบหายไป หลงเหลือเพียงผู้ฝึกตนอิสระที่ตื้นเต้นเป็นกำลัง
เขาไปเยือนศาลบุ๋นบู๊สองแห่งของอำเภอ ชุยตงซานทนรับความพินอบพิเทาของพวกเขาไม่ไหว ชวนคุยสัพเพเหระอยู่ไม่กี่คำก็จากไป
เพราะว่าเบื่อหน่ายอย่างถึงที่สุด ชุยตงซานจึงใช้วิธีแต้มนัยน์ตามังกรกับภาพเทพทวารบาลหลากสีของครอบครัวหนึ่ง ทำให้เทพทวารบาลสองตนสามารถรวบรวมเค้าโครงร่างทองขึ้นมาได้ ห่างจากการเป็นองค์เทพที่แท้จริงอีกประมาณหนึ่งแสนแปดพันลี้ แต่ก็สามารถข่มขู่วัตถุหยินที่ไร้ประโยชน์ที่สุดได้ และสามารถบดบังลมปราณชั่วร้ายได้มากกว่าเดิม จากนั้นก็ไปเยือนครอบครัวเศรษฐีอันดับสองของอำเภอ แงะรูปปั้นสัตว์บนชายคาของพวกเขาทิ้งเล่น
ไร้เป้าหมาย ทำไปตามใจปรารถนา
เซียนดินท่านหนึ่งกลับเบื่อหน่ายได้ถึงขนาดนี้ก็คงมีแค่ชุยตงซานผู้เดียวแล้ว
ค่ำคืนนี้ หลังจากชุยตงซานพาสือโหรวจากไป เฉินผิงอันที่ฝึกท่าฟ้าดินเสร็จแล้วก็เดินออกไปจากห้อง เคาะประตูห้องด้านข้างเบาๆ พูดอย่างฉุนๆ ด้วยรอยยิ้ม “ดึกขนาดนี้แล้วยังไม่นอนอีก”
เผยเฉียนกำลังนั่งอ่านนิยายจอมยุทธ์เล่มใหม่ที่เพิ่งได้มาไม่นานอยู่ใต้แสงตะเกียง พอเฉินผิงอันมาเคาะประตูก็รีบเป่าไฟให้ดับ กระโจนตัวลงบนเตียงนอน แสร้งทำเป็นว่าเพิ่งจะสะดุ้งตื่น “นอนแล้วนะ ทำไมอาจารย์ยังไม่นอนอีก? ต้องให้ข้าไปเปิดประตูไหม?”
เฉินผิงอันยิ้ม ไม่ได้ถือสาคำโกหกเล็กๆ น้อยๆ นี้ เพียงเอ่ยเตือนว่า “ไม่ต้องเปิดประตู หนังสืออะไรก็เลิกอ่านได้แล้ว เดี๋ยวจะเสียสายตา พรุ่งนี้พวกเราไม่ต้องเร่งเดินทางต่อ ค่อยอ่านใหม่ตอนกลางวัน”
เฉินผิงอันหมุนตัวเตรียมจะเดินจากไป นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงยืนพูดอยู่หน้าประตูอีกว่า “พอข้าจากไปแล้ว เจ้าห้ามเอาตะเกียงไปซ่อนไว้ใต้ผ้าห่มแอบอ่านหนังสืออีก”
เผยเฉียนที่อยู่ในห้องอ้าปากกว้าง อาจารย์ร้ายกาจจริงๆ เรื่องนี้ก็เดาได้ด้วยหรือ?
นางได้แต่ตอบไปว่า “ทราบแล้ว”
หลังจากที่เฉินผิงอันเดินออกไป แม้ว่าจะยังพะวงถึงบุญคุณความแค้นและแสงดาบเงากระบี่ในนิยายเล่มนั้น แต่เผยเฉียนก็ยังอดทนข่มกลั้นต่อความล่อลวง ล้มตัวลงนอน เพียงแต่ว่าดวงตายังเบิกกว้าง ไม่รู้สึกง่วงแม้แต่น้อย ผ่านไปนานกว่าจะค่อยๆ ผล็อยหลับไป
วันที่สองพอกินอาหารเช้าเรียบร้อย ชุยตงซานก็ยังคงมาสอนเฉินผิงอันเล่นหมากล้อมอยู่ในห้องของเขา ยังคงพัวพันอยู่กับรูปแบบปลายแหลมเล็กนั้นอยู่เหมือนเดิม
ก่อนหน้านี้หลูป๋ายเซี่ยงมานั่งดูด้วย พอดูแล้วก็เพลิดเพลินจนละสายตาไม่ได้ สุดท้ายระหว่างชั่วครู่สั้นๆ ก่อนจะวางเม็ดหมาก เขากลับลุกขึ้นแล้วก้าวจากไปเร็วๆ ไปเรียกสุยโย่วเปียนให้มาดูด้วยกัน บอกว่ามหัศจรรย์จนบรรยายไม่ถูก สุยโย่วเปียนเคยถูกหลูป๋ายเซี่ยงใช้ปลายแหลมเล็กเปิดฉากบนกระดาน จากนั้นก็เข่นฆ่าสังหารจนนางต้องโยนหมวกเหล็กทิ้งเสื้อเกราะ นางไม่ยอมแพ้ ปล่อยให้หลูป๋ายเซี่ยงใช้รูปแบบนี้ติดกันสามครั้ง ผลคือเล่นก่อนแต่กลับสูญสิ้นทั้งหมด แพ้เละเทะราบคาบ เป็นเหตุให้นางยอมแหกกฎวางหมากมั่วซั่วสะเปะสะปะไปเป็นชุดๆ อย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน แต่ก็ยังไม่อาจกู้คืนสถานการณ์ ดังนั้นตอนที่หลูป๋ายเซี่ยงพูดว่าก่อนหน้านี้ความเข้าใจที่ตัวเองมีต่อปลายแหลมเล็กหนึ่งในใต้หล้ามีแค่แก่นแท้สามสี่ส่วนของมันเท่านั้น สุยโย่วเปียนจึงบังเกิดความสนใจ เลยตามมาดูด้วยว่าชุยตงซานสอนคนอื่นเล่นหมากล้อมอย่างไร แล้วเฉินผิงอันเรียนหมากล้อมจากคนอื่นอย่างไร
ไม่นานจูเหลี่ยนก็มาร่วมวงความครึกครื้นด้วย เว่ยเซี่ยนเดินเข้าห้องมาเป็นคนสุดท้าย
เพียงแต่ว่าไม่นานสุยโย่วเปียนก็หมดอารมณ์จะดู นั่นเป็นเพราะพรสวรรค์ในการเล่นหมากล้อมของเฉินผิงอันธรรมดาเกินไป ต่อให้ชุยตงซานจะสอนคนด้วยวิธีการอันยอดเยี่ยมมหัศจรรย์แค่ไหน แต่มาเจอกับคนหัวทึบอย่างเฉินผิงอันก็ไร้ประโยชน์อยู่ดี
นี่ย่อมทำให้สุยโย่วเปียนที่เชี่ยวชาญกับการเล่นหมากล้อมแล้วอดจะรู้สึกหงุดหงิดและเบื่อหน่ายอย่างเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นนางจึงเดินออกจากห้องไปเงียบๆ ช่วงเวลาระหว่างนี้สุยโย่วเปียนก็อดหันไปมองผู้เฒ่าที่ยืนอยู่ด้านหลังชุยตงซานหลายทีไม่ได้ ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกพิลึกพิลั่น ทำไมรู้สึกว่าเขาทำให้คนสะอิดสะเอียนยิ่งกว่าจูเหลี่ยนเสียอีก…กระเทยเฒ่า? เจ้าเป็นบุรุษกลับไม่กล้าสบตาคนอื่น แถมยังชอบเม้มปาก จีบนิ้วจับชายอาภรณ์ นี่มันหมายความว่าอย่างไร?
หลังจากที่สุยโย่วเปียนออกไป จูเหลี่ยนและเว่ยเซี่ยนก็ทยอยกันเดินออกจากห้อง
การเข่นฆ่าสังหารในนครมังกรเฒ่าครั้งนั้น สนามรบถูกแบ่งแยกห่างกันไกล ดังนั้นคนทั้งสี่ในม้วนภาพวาดจึงไม่เคยเห็นตู้เม่ามาก่อน ส่วนสือโหรวผีงามโครงกระดูกก็อยู่ในยันต์กระดาษเหลืองมาตลอดเวลา พวกเขาจึงไม่เคยพบมาก่อนเช่นกัน ดังนั้นเมื่อคราบร่างเซียนเหรินของตู้เม่าเผยกาย พวกสุยโย่วเปียนที่ถูกปิดหูปิดตาจึงได้แต่คิดว่าเป็นคนนอกที่ไม่รู้ว่าชุยตงซานไปลากออกมาจากมุมไหน
หลังจากกินอาหารเที่ยงแล้ว ชุยตงซานก็เริ่มปิดประตูไม่ออกไปไหน
เช้าตรู่วันถัดมา คนทั้งกลุ่มก็ออกเดินทางกันต่ออีกครั้ง มุ่งหน้าไปเมืองหลวงแคว้นชิงหลวน
วัวสีเหลืองที่เดิมทีเดินทางร่วมอยู่ในกลุ่มคนสะดุดตาเกินไป แต่พอชุยตงซานขึ้นไปขี่บนหลังวัวเหลือง แม้ว่าจะยังคงมีคนให้ความสนใจ แต่คนผ่านทางที่มองเห็นภาพนี้ต่างก็แค่คาดเดาไปว่าเด็กหนุ่มหล่อเหลาผู้นี้น่าจะแค่มีชาติกำเนิดจากตระกูลร่ำรวยที่พาพวกผู้ติดตามออกมาท่องเที่ยวในยุทธภพ แม้จะแปลกประหลาดไปสักหน่อย แต่อายุยังน้อยก็มีบุคลิกสง่างามดั่งนักประพันธ์ผู้มีชื่อเสียงแล้ว
มีชุยตงซานอยู่ด้วย จึงเดินทางกันไปตามอารมณ์ตลอดทาง
คนทั้งสี่ในภาพวาดก็พอจะขบคิดใคร่ครวญความหมายบางอย่างออก หากจะบอกว่าตอนที่เฉินผิงอันเจอกับสหายสองคนอย่างสวีหย่วนเสียและจางซานเฟิง เขาอยู่ในสภาวะอารมณ์ร่าเริงสดใส ไม่เหลือความคร่ำครึของคนแก่เกินวัยอยู่เลย ถ้าอย่างนั้นเมื่อมาเจอกับลูกศิษย์ในต่างถิ่นต่างแดนผู้นี้ เขากลับมีความสบายในระดับหนึ่ง แม้ว่าการอยู่ร่วมกันของอาจารย์และศิษย์ทั้งสองจะไม่นับว่าสอดคล้องกับหลักเกณฑ์ทั่วไปมากนัก แต่ก็ดูเหมือนว่าภาระบนบ่าของเฉินผิงอันได้ลดน้อยลงไปส่วนหนึ่ง อีกทั้งในฐานะอาจารย์ นอกจากเฉินผิงอันจะเรียนวิชาหมากล้อมกับลูกศิษย์แล้ว ยังขอความรู้จากลูกศิษย์ผู้นี้ด้วย
ตลอดทางล้วนเป็นชุยตงซานที่แย่งออกค่าใช้จ่าย ไม่ยอมให้อาจารย์ของตัวเองควักเงินแม้แต่แดงเดียว
ฉวยโอกาสตอนที่เฉินผิงอันกับชุยตงซานพูดคุยกัน คนทั้งสี่ในภาพวาดก็ได้รับผลเก็บเกี่ยวไม่น้อย ความเข้าใจที่มีต่อใต้หล้าไพศาลแห่งนี้จึงยิ่งแจ่มชัดและกว้างไกลมากขึ้น
ยกตัวอย่างเช่นหลูป๋ายเซี่ยงรู้ว่าเมื่ออยู่ในฟ้าดินที่เต็มไปด้วยความอัศจรรย์แห่งนี้ นอกจากจิตใจที่มุ่งมั่นจะเดินไปถึงยอดเขาสูงสุดเพื่อบรรลุมรรคาและขอบเขตปลายทางของวิถีวรยุทธ์แล้ว อันที่จริงยังมีชาวลัทธิขงจื๊อที่ทุ่มเทกับเรื่องความรู้และการฝึกตนอย่างแท้จริงอยู่ด้วย
แล้วก็มีผู้ฝึกลมปราณไม่น้อยของเมธีร้อยสำนักที่ถูกมองว่าเป็นเจินเหรินผู้บำเพ็ญตน ให้ความสำคัญกับระบบของการศึกษา แต่ดูแคลนตบะและศักยภาพของคน
สุยโย่วเปียนได้เห็นคาถาตระกูลเซียนที่ชุยตงซานร่ายออกมาซึ่งเรียกได้ว่าเต็มไปด้วยแสงสีประหลาดพิสดาร รู้ว่าควรจะปรับตัวเข้ากับชีวิตประจำวันไปทีละนิดอย่างไร
เวลาที่รอบกายไร้ผู้คน จูเหลี่ยนเคยขอความรู้จากชุยตงซานอีกสองครั้ง ความคิดของเขานั้นง่ายมาก นั่นคืออยากจะรู้ว่าไอ้หมอนี่ได้ครอบครองสมบัติวิเศษตระกูลเซียนกี่ชิ้นกันแน่
เว่ยเซี่ยนยังคงเป็นคนที่เงียบขรึมพูดน้อยที่สุด มีแต่กับเผยเฉียนที่เขาคุยได้รู้เรื่องที่สุด หนึ่งคนโตหนึ่งเด็ก วันๆ เอาแต่ทำตัวไม่รู้จักเด็กไม่รู้จักผู้ใหญ่
ชุยตงซานยังคงทำเหมือนตอนที่ออกจากเมืองหลวงต้าสุยสมัยก่อน คนทั้งสองจับคู่เดินทางด้วยกัน แต่บางครั้งก็หายตัวไปช่วงระยะเวลาหนึ่ง เฉินผิงอันก็ไม่เคยถามไถ่อยากรู้
ในที่สุด ‘ผู้เฒ่า’ สือโหรวก็ยอมสลัดกลิ่นเครื่องประทินโฉมทิ้ง เวลาเดินก็ไม่ยักย้ายส่ายสะโพกเหมือนสตรีสักเท่าไหร่ ดวงตาไม่มีริ้วประกายน้ำแผ่กระเพื่อม แล้วก็ไม่จีบนิ้วโดยไม่รู้ตัว ในที่สุดก็มีลักษณะคล้ายผู้เฒ่าผมขาวอย่างที่ควรจะเป็นแล้ว
แต่สือโหรวยังคงเป็นคนที่ไม่เป็นที่ชื่นชอบที่สุดในกลุ่ม เกรงว่าสถานะของนางยังเทียบกับวัวเหลืองไม่ได้ด้วยซ้ำ
เผยเฉียนค่อนข้างมุมานะตั้งใจฝึกวิชาวานรขาวสะพายกระบี่และลากดาบ ถึงอย่างไรก็มีกระบวนท่าอยู่แล้ว อีกทั้งยังน่าเกรงขาม ไม่ต้องทนเจ็บปวดกับการถูกดึงเอ็นเคลื่อนกระดูก เมื่อเทียบกับการเดินนิ่งหกก้าวแล้ว นางชอบใช้กระบี่ไม้ไผ่และดาบไม้ไผ่ที่เฉินผิงอันทำให้มาฝึกกระบวนท่าดาบและกระบี่ที่นักพรตหญิงหวงถิงสอนนางมากกว่า เพียงแต่ว่ามีอยู่ครั้งหนึ่งถูกชุยตงซานที่นั่งขี่อยู่บนหลังวัวพูดด้วยน้ำเสียงแปลกแปร่ง ถล่มวิชาสะพายกระบี่ของนางเสียจนยับเยิน แถมเขายังกุมท้องหัวร่องอหงาย ถึงกับกระโดดจากหลังวัวลงมาบนพื้น โจมตีให้เผยเฉียนเงียบงันไปหลายวัน ทุกวันได้แต่กล้าฝึกเดินนิ่งเท่านั้น
คนทั้งกลุ่มเดินทางมาถึงเมืองแห่งหนึ่งที่ใกล้กับเมืองหลวงแคว้นชิงหลวนมากที่สุด
ไม่รู้ว่าชุยตงซานตามหาอย่างไร ทุกคนถึงได้พักแรมอยู่ในโรงเตี๊ยมตระกูลเซียนที่เงียบสงบท่ามกลางความวุ่นวาย
เฉินผิงอันไม่มีพรสวรรค์ในการเล่นหมากล้อมจริงๆ แต่ก็ไม่ได้ทอดทิ้งมันไป แล้วก็ไม่ได้มุ่งมั่นศึกษาจนถ่วงเวลาการฝึกวิชาหมัดและวิชากระบี่ ทุกวันจะเรียนหมากล้อมกับชุยตงซานแค่ประมาณหนึ่งชั่วยามเท่านั้น
เมื่อมาถึงโรงเตี๊ยมตระกูลเซียนที่ชื่อว่าสวนร้อยบุปผาแห่งนี้ ว่ากันว่าเถ้าแก่คือผู้ฝึกตนขอบเขตชมมหาสมุทรที่มีโฉมหน้าเป็นบุรุษวัยกลางคน เพียงแต่ว่าไม่ได้มาปรากฏตัวต่อหน้าพวกเฉินผิงอัน อาณาบริเวณของโรงเตี๊ยมค่อนข้างใหญ่ อีกทั้งยังปลูกต้นไม้ดอกไม้มากมายละลานตา พาให้จิตใจคนปลอดโปร่ง เนื่องจากงานโต้วาทีพุทธเต๋าจะจัดขึ้นในเมืองหลวงที่ห่างไปไม่ไกล โรงเตี๊ยมตระกูลเซียนในเมืองแห่งนี้จึงเหลือห้องว่างอีกไม่มาก เผยเฉียนได้นอนร่วมห้องกับสุยโย่วเปียนอีกครั้ง หลูป๋ายเซี่ยง จูเหลี่ยนและเว่ยเซี่ยนสามคนนอนเบียดกันในหนึ่งห้อง ชุยตงซานนอนกับสือโหรว มีเพียงเฉินผิงอันที่ได้นอนคนเดียว
อาศัยอยู่ที่นี่สิ้นเปลืองเงินทองอย่างมาก เพียงแต่ว่าก็คุ้มค่ากับราคาที่ต้องจ่ายไป เพราะมีผลประโยชน์หลายอย่างที่ต่อให้มีทองพันชั่งก็ยากจะหาซื้อได้ ยกตัวอย่างเช่นเรื่องวงในที่น่าสนใจบนภูเขาเกี่ยวกับงานโต้วาทีพุทธเต๋าซึ่งลูกจ้างร้านจะนำมาบอกแก่แขกในโรงเตี๊ยมทุกวันคล้ายคลึงกับการส่งรายงานในจวนขุนนาง นอกจากนี้ทุกห้องจะยังได้รับวัตถุวิเศษชิ้นเล็กๆ ที่มีประโยชน์มากแต่ราคาต่ำ แม้จะเรียกว่าสมบัติวิเศษของตระกูลเซียน แต่แท้จริงแล้วก็แค่ทำมาจากเศษวัสดุที่ใช้ทำของวิเศษเท่านั้น มูลค่ารวมกันแล้วประมาณสองสามเหรียญเงินเกล็ดหิมะ จึงปล่อยให้แขกที่เข้าพักเอากลับไปได้ตามใจชอบ
นี่ทำให้เผยเฉียนอารมณ์ดีอย่างยิ่ง
นางพูดจาหวานหูกับสุยโย่วเปียนจนได้ของชิ้นเล็กชิ้นน้อยในห้องของพวกนางไปแล้วก็วิ่งไปหาเหล่าเว่ยกับเสี่ยวป๋าย เชื้อเชิญให้พวกเขากินเมล็ดแตงกับผลไม้แล้วก็ยังทำอิดๆ ออดๆ ไม่ยอมออกจากห้องเสียที สุดท้ายเป็นจูเหลี่ยนที่ทนรำคาญไม่ไหวจึงบอกให้เผยเฉียนเอาของสามชิ้นนั้นไปแล้วรีบออกไปซะ สุดท้ายเมื่อรวมกับของชิ้นเล็กอีกสี่ชิ้นในห้องของเฉินผิงอัน เผยเฉียนจึงมีวัตถุวิเศษระดับปลายแถวเพิ่มมาทีเดียวถึงสิบชิ้น เซียนซือห้าขอบเขตกลางดูแคลนตัวถ่วงที่ถูกตาแต่ไร้ผลประโยชน์เหล่านี้ เซียนซือห้าขอบเขตล่างกลับไม่มีปัญญาจะเข้าพักที่นี่ได้ ผลกลับทำให้เผยเฉียน ‘กลายเป็นเศรษฐีเพียงชั่วข้ามคืน’ กล่องเก็บสมบัติใบนั้นไม่มี ‘ที่พักอาศัย’ ให้กับของมากมายขนาดนี้ นางจึงได้แต่เก็บไว้ในวัตถุจื่อชื่อของเฉินผิงอันชั่วคราวก่อน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น