หมอดูยอดอัจฉริยะ 385-386

 ตอนที่ 385 ช่วยตรวจสอบ

โดย

Ink Stone_Fantasy

“นี่……ไวน์ลาฟีท 3 ขวด ก็……150,000?”


มองดูตัวเลขที่เขียนไว้ในบิล เยี่ยเทียนอดไม่ได้ที่จะตะลึง เขาไม่เคยคิดเลยว่าไวน์แดงที่เขาสั่งไปงั้นๆ กลับเป็นค่าใช้จ่ายที่แพงที่สุดของวันนี้


“คุณผู้ชายครับ ไวน์แดงที่คุณสั่งเป็นของปี 82 และปี 82 เป็นหนึ่งในปีที่มีเงื่อนไขดีที่สุดในการทำไวน์ ทั้งฝนตกและอุณหูมิอากาศก็เหมาะแก่การปลูกองุ่นมากที่สุด ดังนั้นไวน์องุ่นของปีนั้นจึงมีคุณค่ามากที่สุด


และที่สำคัญไวน์ลาฟีทจะผลิตเพียง 240,000 ขวดต่อปีเท่านั้น ในจำนวนนั้นมีเพียง 20,000 ขวดที่นำเข้ามายังประเทศจีน ดังนั้นราคาจะแพงกว่าต่างประเทศนิดหน่อย หวังว่าคุณจะเข้าใจครับ……”


พูดตามตรง ผู้จัดการใหญ่คนนี้เริ่มสงสัยฐานะของเยี่ยเทียนแล้ว เพราะว่าลูกหลานตระกูลขุนนางในปักกิ่งเวลาที่มากินข้าวที่นี่ เอาใบเสร็จรับเงินกลับไปเบิกกับบริษัทอะไรสักบริษัทหนึ่ง พวกเขาไม่เคยต้องถามรายละเอียดเหล่านี้เลย


แต่เรื่องที่เยี่ยเทียนตบบ้องหูหวงซือจื้อเมื่อสักครู่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง เขาเปิดดูแม้กระทั่งกล้องวงจรปิดเรียบร้อย คนที่ไม่มีพื้นหลังที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ใครจะกล้าทำ? ดังนั้นผู้จัดการใหญ่จึงใช้ความอดทนอธิบายความรู้พื้นฐานของไวน์แดงให้กับเยี่ยเทียนฟัง


“เหล่าถังนะเหล่าถัง ครั้งนี้คุณทำฉันแย่จริงๆ พูดก็พูดคุณวางไวน์ราคาแพงขนาดนี้ไว้ในตู้ไวน์ทำไม? แต่รสชาติของไวน์นี้ก็ไม่เลวนะ คราวหน้าไปฮ่องกง คงต้องปล้นสักหน่อยแล้ว!”


ความคับแค้นใจของเยี่ยเทียนทำให้ถังเหวินหย่วนที่อยู่ไกลถึงฮ่องกงอดไม่ได้ที่จะจามหนึ่งที จึงรีบปิดแอร์ในห้อง อายุเยอะแล้วทนหนาวไม่ค่อยได้


“ฉันก็ไม่ขาดทุนหรอก ไวน์นี้ส่วนใหญ่ก็ถูกฉันดื่มไป” เยี่ยเทียนพูดปลอบใจตัวเอง ไวน์ 3 ขวดนั้นมี 2 ขวดที่น่าอยู่ไหลเข้าท้องเขาหมดแล้ว


ดูรายการในบิลลงไปเรื่อยๆ ในใจของเยี่ยเทียนก็ยิ่งสงบนิ่งลง เพราะเขาพบว่า ค่าอาหาร 260,000 ตัวเขาคนเดียวอย่างน้อยก็น่าจะกินไปแล้ว 230,000-240,000 แล้ว


ที่จริงแล้วหอยเป่าฮื้อหูฉลามพวกนั้นถึงแม้ราคาไม่ถูกเหมือนกัน แต่ปกติแล้ว กลุ่มเยี่ยเทียนกินด้วยกันหกคน ดังนั้น2-3 หมื่นก็เพียงพอแล้ว


วันนี้เยี่ยเทียนอารมณ์ไม่ดี แต่เจริญอาหารมาก แค่เขาคนเดียวก็กินปริมาณของ 4-5 คนไปแล้ว ดังนั้นราคาจึงพุ่งขึ้นหลายเท่าตัว และทำให้ผู้จัดสาวคนนั้นตกใจจนไม่สามารถปกปิดเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ ต้องรีบไปรายงานให้ผู้จัดการใหญ่ทราบ


“โอเค รูดบัตรครับ……”


รังนกล้างปากหูฉลามกินกับข้าวอร่อย วันนี้เยี่ยเทียนก็ฟุ่มเฟือยไปยกใหญ่ หยิบเครดิตขึ้นมารูดอย่างสง่างามด้วยจำนวน 260,000 กับเครื่องรูดบัตรเครดิตของทางร้าน


ก่อนออกจากร้านเยี่ยเทียนสั่งให้พนักงานบริการห่อหอยเป่าฮื้อกับข้าวถ้วยสุดท้ายมาให้ด้วย เพราะเหมาโถวชอบกินปลามากที่สุด วันนี้ลูกพี่สะใจ ต้องปลอบใจเจ้าตัวน้อยสักหน่อยสิ


ส่วนพนักงานบริการที่แสดงสายตาดูถูก เยี่ยเทียนทำเป็นมองไม่เห็น เก็บหอมรอมริบเป็นคุณงามความดีของคนจีน จะมีเงินมากมายแค่ไหนก็ห้ามลืมกึ๋นของตัวเอง พวกเราก็มีชาติกำเนิดจากคนจนเหมือนกัน


หลังจากออกจากร้านอาหารและเข้าไปที่ลิฟต์แล้ว หูเสี่ยวเซียนมีความอยากรู้อยากเห็นมองไปที่เยี่ยเทียนถามว่า “เยี่ยเทียน นายห่อกับข้าวจากร้านอาหารกลับบ้านไม่อายคนเหรอ?”


หูเสี่ยวเซียนพูดออกไป แม้แต่อวี๋ชิงหย่าก็จ้องไปที่เยี่ยเทียน กิริยาท่าทางของเยี่ยเทียนเมื่อสักครู่ กลับทำให้พวกเขาไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ สองแสนก็จ่ายไปแล้ว ทำไมถึงยังจะเอากับข้าวเหลือแค่นี้อีก?


ต้องรู้ว่า ปี 1998 แบบนี้ ผู้คนต่างๆยังไม่มีจิตสำนักการห่อกับข้าวกลับบ้าน เยี่ยเทียนนั้นเรียนรู้จากที่ฮ่องกง เขากับถังเหวินหย่วน เวลาที่ไปดื่มชาตอนเช้า ตาแก่นั่นเหลือลูกชิ้นเหลือสองลูกยังเรียกพนักงานบริการช่วยห่อกลับบ้านเลย


“ฉันใช้เงินซื้อของพวกนี้มา กินไม่หมดทำไมนำกลับไปด้วยไม่ได้ล่ะ?”


เยี่ยเทียนพูดอย่างภาคภูมิใจว่า “เด็กประถมยังรู้เลยว่าการประหยัดเป็นสิ่งดี การฟุ่มเฟือยเป็นสิ่งน่าอับอาย ความรู้สึกตัวของพวกคุณก็ต่ำเกินไปหรือเปล่า?  มหาเศรษฐีพันล้านของฮ่องกงยังห่อข้าวกลับบ้านเลย แล้วอย่างฉันนี่คืออะไร?”


คำพูดของเยี่ยเทียนทำให้อวี๋ชิงหย่าและคนอื่นๆต่างก็มองหน้าซึ่งกันและกัน เดิมเป็นเรื่องที่ทำให้สูญเสียหน้าอย่างมากแต่ถูกเยี่ยเทียนพูดแบบนี้แล้ว ดูเหมือนเป็นเรื่องที่น่าภูมิใจยิ่งนัก


แต่พอมาคิดไตร่ตรองอย่างละเอียดแล้ว คำพูดของเยี่ยเทียนก็มีเหตุผลพอสมควร เป็นความจริงที่ไม่ควรนำเรื่องการห่อข้าวกลับบ้านมาตัดสินความใจกว้างหรือไม่ของคน นี่เป็นปัญหาเรื่องแนวคิด


และแน่นอนว่า อย่างน้อยในปัจจุบันก็ยังไม่ค่อยนิยมการห่อข้าวกลับบ้านกันเท่าไหร่ เพราะว่ามหาเศรษฐีพันล้านห่อกลับเรียกประหยัด แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอาจจะถูกเรียกว่าขี้งกก็เป็นไปได้


“คุณผู้หญิงทั้งหลาย รอก่อนนะครับ ผมจะไปขับรถมาที่นี่” ขณะที่พูดคุยหยอกล้อกันทุกคนก็ออกจากลิฟต์ ให้อวี๋ชิงหย่าและคนอื่นๆรออยู่ด้านหน้าร้านอาหาร ส่วนเยี่ยเทียนเดินไปฝั่งลานจอดรถ


“อืม? คนพวกนี้ทำเกี่ยวกับอะไรกัน?”


เยี่ยเทียนเพิ่งเดินออกมาสิบกว่าเมตร ก็พบว่ามีผู้ชายสามคนกำลังเดินตามหลังตนเองอยู่ และสิ่งที่อยู่ข้างหลังผู้ชายสามคนนี้คือคนมาราไกย์สี่คน เยี่ยเทียนไม่รู้เหมือนกันว่าอาหารกลางวันของพี่ฝรั่งพวกนี้แก้ปัญหากันยังไง?


“หรือจะเป็นนักฆ่าที่หวงซือจื้อหามา?”


เยี่ยเทียนเพิ่งคิดถึงข้อนี้ได้ ทันใดนั้นก็ถูกกำจัดออกไป อย่าพูดว่าคนพวกนี้ไม่มีความอยากฆ่า ถึงจะเป็นหวงซือจื้อก็ไม่มีความกล้าแบบนี้หรอก การซื้อโจรเพื่อให้ไปฆ่าคนในปักกิ่ง งั้นหวงซือจื้อไม่ใช่ลูกผู้ลากมากดีแล้วแต่เป็นไอ้โง่


แต่ใช้เวลาไม่นานเยี่ยเทียนก็จะรู้ตัวตนของพวกนี้แล้ว ตอนที่เขาเปิดประตูรถออก ผู้ชายสามคนนั้นเร่งฝีเท้าวิ่งมาประกบหน้าประกบหลังเยี่ยเทียน คนที่อยู่ยืนอยู่ข้างหน้าถือบัตรไว้ในมือหนึ่งอัน พูดว่า “คุณชื่อเยี่ยเทียนใช่ไหม? พวกเรามีคดีตั้งใจฆ่าและทำร้ายร่างกายหนึ่งคดี ขอให้คุณช่วยตรวจสอบด้วยครับ!”


“ตำรวจ?”


เยี่ยเทียนเริ่มขมวดคิ้ว ยืนมือไปหยิบบัตรตำรวจมาดู ดูชื่อบนบัตรพูดว่า “คุณตำรวจหยาง ผมคือเยี่ยเทียนครับ ไม่ทราบว่าผมไปทำร้ายใครครับ? ใครสั่งให้พวกคุณมาหาผมเหรอครับ?”


เยี่ยเทียนถามทั้งๆที่รู้คำตอบอยู่แล้ว ใช้ก้นคิดยังคิดได้เลยว่าเรื่องแบบนี้มีแต่หวงซือจื้อเท่านั้นที่คิดได้ แต่เขาโตขนาดนี้ยังไม่เคยถูกจับเข้าสถานีตำรวจเลยสักครั้ง และไม่อยากถูกคนพวกนี้จับไปแบบนี้แน่ๆ


“คุณทำร้ายคุณหวงซือจื้อครับ เขาได้แจ้งความไว้แล้ว ดังนั้นขอเชิญคุณไปกับเราหน่อยครับ นี่คือหมายเรียกตัวครับ!” เห็นเยี่ยเทียนนิ่งสงบขนาดนี้ ตำรวจที่เป็นหัวหน้ากลับยิ่งสุภาพมากขึ้น จึงได้หยิบหมายเรียกตัวออกมาจากกระเป๋า


ตำรวจทั้งสามคนนี้เห็นกับตาว่าเยี่ยเทียนเดินออกจากร้านอาหารปักกิ่ง และมีสาวๆ อีกสี่คนเดินตามหลัง และยังขับรถหรูหนึ่งคันที่เรียกชื่อไม่ถูกหนึ่งคัน


ร่องรอยต่างๆแสดงให้เห็นว่า คนหนุ่มคนนี้ไม่ใช่ประชาชนธรรมดาที่ยอมให้ใครทำอะไรก็ได้แน่นอน ถ้าหากตนเองจัดการกับคดีไม่ระวังเพียงนิดเดียว ต้องถูกฝั่งตรงข้ามจับจุดอ่อนได้แน่นอน


แต่คดีนี้เป็นคดีที่ต้องจัดการ เพราะว่าเป็นคำสั่งจากอธิบดีสำนักย่อย


และตอนที่หวงซือจื้อแจ้งความ พวกเขาอยู่ในสถานที่เกิดเหตุ ในเมื่ออธิบดีจนบันทึกและยืนยันคดีนี้ด้วยตนเองแล้วการดำเนินคดีให้เสร็จด้วยความรวดเร็วจะเป็นการทำลายสถิติที่เคยมีในสำนักย่อยของพวกเขาอย่างแน่นอน


ตำรวจหยางและคนอื่นๆล้วนเป็นตำรวจอาชญากร เรื่องการชกตีกันเล็กน้อยแบบนี้ถึงตาพวกเขาออกหน้ามาจัดการเมื่อไหร่กัน? ถ้าไม่ใช่เพราะอธิบดีสั่งลงมา แม้แต่ชุดเครื่องแบบยังไม่ทันใส่ก็ต้องรีบมาจัดการแล้ว


แต่หลังจากที่ได้เจอเยี่ยเทียนแล้ว ตำรวจพวกนี้เพิ่งจะรู้ว่าเรื่องนี้ไม่ง่ายอย่างที่คิดไว้ มีความเป็นไปได้สูงมากว่าทั้งสองฝ่ายล้วนเป็นบุคคลที่พวกเขาไม่สามารถทำอะไรได้ ดังนั้นจึงใช้ความสุภาพเช่นนี้


ถ้าหากว่าคนตรงหน้าแต่งตัวซกมกไม่เรียบร้อย แล้วยังปั่นจักรยานไว้ละก็ เกรงว่าผู้ชายกลุ่มนี้ก็คงนำกุญแจข้อมือคล้องเยี่ยเทียนไว้และพากลับไปแล้ว


“คุณเยี่ยครับ เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ?”


ตอนที่เยี่ยเทียนกับตำรวจพวกนั้นกำลังคุยกันอยู่นั้น มาลาไกย์และคนอื่นๆก็วิ่งมาหา สองคนในนั้นผลักตำรวจสามคนออกไป ส่วนอีกสองคนบังไว้ที่ี่่ตรงหน้าเยี่ยเทียน


“พวกคุณจะทำอะไร?” มองเห็นฝรั่งสี่คนแทรกเข้ามาตรงหน้าอย่างกระทัน ตำรวจทั้งสามคนต่างก็ขวัญหายกันหมด


สุภาษิตกล่าวไว้ว่าการทูตไม่มีเรื่องเล็ก โดยเฉพาะที่ปักกิ่ง ฝรั่งถึงแม้ไม่ได้สูงกว่าคนอื่นหนึ่งระดับ แต่คดีที่มีต่างชาติเกี่ยวข้องเป็นเรื่องที่น่าปวดหัวมากที่สุด


“พวกเราคือตำรวจ มีเรื่องต้องขอให้คุณเยี่ยเทียนช่วยตรวจสอบครับ ไม่ทราบว่าพวกคุณมีความสัมพันธ์ยังไงกับเยี่ยเทียนเหรอครับ?” ตำรวจหยางที่เป็นหัวหน้าเรียนจบจากมหาวิทยาลัยตำรวจ ภาษาอังกฤษระดับ 6 เวลาพูดคุยกับฝรั่งไม่เคยมีอุปสรรคใดๆ


ได้ยินคนตรงข้ามพูดอังกฤษ มาลาไกย์และคนอื่นๆสบตาซึ่งกันและกัน พูดว่า “คุณเยี่ยเป็นเป้าหมายที่พวกเราจะต้องปกป้อง ไม่ทราบว่าเขาทำผิดกฎหมายอะไรของประเทศคุณเหรอ? ถ้ามีความจำเป็น พวกเราจะเชิญทนายที่เก่งที่สุดในโลกให้


กับเขา!”


มาลาไกย์เป็นแค่บอดี้การ์ด สิ่งที่เขาต้องรับผิดชอบคือความปลอดภัยของเยี่ยเทียน แต่ถ้าเยี่ยเทียนทำผิดกฎหมายจริง เขาเองก็ไม่รู้จะทำยังไง แน่นอน มาลาไกย์รู้วิธีกดดันตำรวจที่อยู่ตรงหน้าแน่นอน


“แม่งเอ้ย ไอ้หนุ่มนี่มันเป็นใครกันแน่? ถึงกับมีฝรั่งสี่คนเป็นบอดี้การ์ด” หลังจากได้ยินคำพูดของมาลาไกย์แล้ว ตำรวจหยางที่พาทีมมาด้วยรู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันที


เขาเป็นตำรวจมาสิบกว่าปี และเคยรับภารกิจรักษาความปลอดภัยสำหรับแขกชาวต่างชาติ เคยเห็นบอดี้การ์ดหลายคนที่ปกป้องผู้มีเกียรติจากต่างประเทศมาไม่น้อย แต่ยังไม่เคยได้ยินว่าในปักกิ่งจะมีใครเชิญชาวต่างชาติมาเป็นบอดี้การ์ดส่วนตัว?


“คุณผู้ชายทุกท่าน ตอนนี้เยี่ยเทียนเพิ่งอยู่ขั้นตอนตรวจสอบ พวกเราไม่สามารถมั่นใจได้ว่าเขามีความผิดหรือไม่ แต่เขาต้องกลับไปพร้อมกับพวกเราเพื่อเข้ารับการตรวจสอบ หวังว่าพวกคุณจะไม่ขัดต่อการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเรา!”


คดีนี้ถึงแม้ในใจของตำรวจหยางจะคดงอไปบ้าง แต่อธิบดีสำนักย่อยมีคำสั่งลงมาแล้ว ยังไงก็ต้องนำตัวเยี่ยเทียนกลับไปด้วย ดังนั้นท่าทีของเขาจึงค่อนข้างแข็ง


“พวกคุณพาคู่กรณีของพวกเราไปได้ แต่เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้ความทรมานเพื่อให้เขาสารภาพ พวกเราจะขอตามไปด้วย”


หน้าที่ของมาลาไกย์และคนอื่นๆ ก็คือป้องกันเยี่ยเทียนไม่ให้รับบาดเจ็บ ถ้าเยี่ยเทียนถูกตีที่สถานีตำรวจ แน่นอนแสดงว่าพวกเขาป้องกันได้ไม่ดี


“มาลาไกย์ เรื่องนี้คุณไม่ต้องยุ่ง ฉันจัดการเองได้”


เยี่ยเทียนรู้ว่าวันนี้ต้องตามพวกเขาไป จึงได้ตอบตำรวจพวกนั้นไปว่า “รถของฉันต้องส่งไปให้เพื่อนของฉันขับ รอฉันขับไปข้างหน้าประตูร้านอาหารก่อนแล้วค่อยขึ้นรถของพวกคุณ”


“ได้ ไม่มีปัญหา!”


ได้ยินว่าเยี่ยเทียนตกลงที่จะไปสถานีตำรวจ ตำรวจหยางรู้สึกโล่งใจทันที เพราะอย่างไรแล้วอธิบดีมีคำสั่งก็คือพาเขากลับไป หลังจากที่ไปถึงสถานีตำรวจตนเองจะลาพักทันที มีแต่คนโง่เท่านั้นแหละที่จะยุ่งกับเรื่องนี้


หลังจากที่ขับรถไปถึงหน้าประตูร้านอาหาร เยี่ยเทียนนำกุญแจรถโยนให้กับอวี๋ชิงหย่า มองดูรถที่ตามหลังมาและพูดกับตำรวจที่ลงจากรถว่า “ชิงหย่า เธอขับรถกลับไปนะ หวงซือจื้อแจ้งว่าฉันตั้งใจทำร้ายร่างกายผู้อื่น ฉันจะไปสถานีตำรวจกับตำรวจพวกนี้!”


 ………..


ตอนที่ 386 สอบสวน

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ไปสถานีตำรวจ? เยี่ยเทียน พวกเราไปกับนายด้วย!”


อวี๋ชิงหย่าพูดกับตำรวจพวกนั้นว่า “พวกเราทั้งหมดเป็นผู้อยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมด สามารถเป็นพยานได้ว่าหวงซือจื้อลงมือก่อน!’


“ใช่ พวกเราจะไปด้วย”


“คนชั่วฟ้องร้องก่อนนิ คนนั้นมันชั่วจริงๆ!”


“คุณตำรวจ ฉันเป็นนักข่าวของสถานีโทรทัศน์ปักกิ่ง พวกคุณไม่สามารถฟังความข้างเดียวนะ มิฉะนั้นจะเปิดโปงเรื่องนี้ในทีวีนะ!”


ผู้หญิงที่กินข้าวกับเยี่ยเทียนวันนี้ล้วนไม่ใช่คนที่ยอมโดนรังแกทั้งนั้น เว่ยหรงหรงยิ่งกว่า เธอได้นำความสัมพันธ์ในหน้าที่การงานเข้าสู่สถานีโทรทัศน์ปักกิ่งแล้วด้วยซ้ำ แม้กระทั่งบัตรนักข่าวก็ได้ถือไว้ที่มือแล้ว


“แม่งเอ้ย นี่ทำอะไรกันบ้างเนี่ย? นักข่าวก็ออกมาแล้ว”


ตำรวจหยางรู้สึกลำบากใจอย่างบอกไม่ถูก ปี 98 ตอนนั้น อินเตอร์เน็ตยังไม่ค่อยเผยแพร่เท่าไหร่นัก ความสนใจจึงถูกวางไว้ที่โทรทัศน์ทีวี ถ้าหากมีการรายงานข่าวว่าพวกเขาบังคับใช้กฎหมายตามอำเภอใจ ก็คงต้องรับผิดชอบถึงผลที่จะตามมา เกรงว่าลูกพี่ใหญ่สำนักย่อยก็คงต้านทานไม่ไหวเช่นกัน


“ขอลา ใครจะไปก็ไป ฉันจะกลับไปลา!” สิ่งที่คิดอยู่ในใจตำรวจหยางมั่นใจมาก ยมทูตตีกัน ไม่จำเป็นต้องลากผีน้อยอย่างพวกเขามาเป็นที่รองหลังหรอก?


“เอาเถอะ เรื่องใหญ่แค่ไหนกันเชียว ชิงหย่า เธอไปส่ง หูเสี่ยวเซียนกับเพื่อน ๆ กลับมหาวิทยาลัยไปก่อน ฉันจะไปกับพี่ใหญ่ ไม่แน่ ตอนที่เธอถึงบ้านแล้วฉันเองก็ถึงบ้านแล้วเหมือนกัน”


เยี่ยเทียนเห็นสาวๆพูดคุยเจี้ยวจ้าวอยู่ตรงนั้น อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา เขาดูออกว่าเรื่องนี้ไม่ค่อยมีความสัมพันธ์กับตำรวจพวกนี้เท่าไหร่ รากยังคงอยู่ที่ตัวของหวงซือจื้อ


ในเมื่อฝั่งตรงข้ามแจ้งความแล้ว เขาดำเนินการตามขั้นตอนปกติ เยี่ยเทียนไม่ไปอาจจะโดนจับจุดอ่อนได้ ถึงแม้จะรู้ว่าพื้นหลังของหวงซือจื้อหนาแน่น แต่เยี่ยเทียนก็ไม่กลัวเขา เขาไม่เชื่อหรอกว่าสังคมตอนนี้จะสามารถพูดเรื่องดำเป็นขาวได้จริงๆ?


อวี๋ชิงหย่ารู้ว่าเยี่ยเทียนมีความบันยะบันยังเวลาทำเรื่องอะไร ในเมื่อพูดขนาดนี้แล้วในใจก็คงมีความมั่นใจแล้วแหละจึงได้ผงกหัวพูดว่า “โอเค เยี่ยเทียน ถ้างั้นนายระวังตัวด้วยนะ ถ้าพวกเขาทำเรื่องผิดกฎหมายอะไรก็ตาม พวกเราจะฟ้องจนพวกเขาต้องถอดเสื้อผ้าออก!”


“คุณผู้หญิงคนนี้ครับ ขอให้พวกคุณเชื่อหน่วยงานที่ปฎิบัติงานตามกฎหมายอย่างพวกเรา พวกเราจะไม่ละเมิดคนดี และจะไม่ปล่อยคนเลว!”


คำพูดของอวี๋ชิงหย่าแอบแฝงการประชด ตำรวจหยางก็ไม่ได้พูดอะไร แต่ตำรวจที่อายุหนุ่มกว่าที่อยู่ข้างๆรู้สึกไม่พอใจเท่าไหร่ ตำรวจอาชญากรดำเนินคดีอย่างหนัก เคยรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรมแบบวันนี้ที่ไหนกันเล่า?


“เสี่ยวหวัง พอแล้ว” ตำรวจหยางไม่อยากมีปัญหาเพิ่มอีก จึงหันหัวกลับไปมองลูกน้องหนึ่งที ยิ้มกับเยี่ยเทียนพูดว่า “พวกเราไปกันเถอะ?”


“ได้ ไปสิ”


เยี่ยเทียนขึ้นไปยังรถตำรวจที่จอดอยู่ข้างหลัง ยื่นหัวออกจากหน้าต่างรถ พูดกับอวี๋ชิงหย่าว่า “หอยเป่าฮื้อแช่ข้าว อย่าลืมเอาให้เหมาโถวนะ ให้มันลองชิมอาหารรสเด็ดของร้านอาหารปักกิ่งสักหน่อย!”


“ฉันรู้แล้ว นายระวังหน่อยนะ” อวี๋ชิงหย่าพยักหน้า รอจนรถตำรวจขับออกไปแล้ว จากนั้นรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรออก


และจุดห่างรถตำรวจไปสิบกว่าเมตร มาลาไกย์เริ่มขับรถที่เช่ามาคันนั้นขับตามหลังไป เขาหยิบมือถือขึ้นมาเหมือนกันและโทรศัพท์ออกไป


ในฐานะบอดี้การ์ดส่วนตัวของเยี่ยเทียน มาลาไกย์สามารถรับประกันได้ว่าสถานการณ์ที่มีตนเองติดตามอยู่ด้วยนั้น เยี่ยเทียนจะไม่ได้รับอันตรายใดๆ แต่เขาไม่สามารถตามเยี่ยเทียนเข้าไปยังห้องกักกันภายในสถานีตำรวจได้ ดังนั้นเขาจะต้องรายงานเรื่องนี้ให้ผู้ว่าจ้างทราบ


……


“เยี่ยเทียน ดูแล้วคุณอายุไม่เยอะนะ มีลูกหรือยัง?”


ตำรวจหยางรู้ว่าวันนี้เขาพาทีมมาจับคน ที่จริงเป็นการล่วงเกินเยี่ยเทียนไปแล้ว และอยากจะผ่อนคลายความสัมพันธ์ลงอย่างน้อยต้องถีบตนเองออกจากเรื่องนี้ออกไปให้ได้


“ลูก? ผมไม่มีลูก” เยี่ยเทียนได้ยินก็ตะลึงไปเลย สีหน้าแปลกประหลาดพูดว่า “คุณหมายถึงเหมาโถว?”


ตำรวจหยางพยักหน้า  เยี่ยเทียนยิ้มอย่างขมขื่น “ตัวที่ผมเลี้ยงคือลูกเฟอร์เรต ไม่เกี่ยวกับคนเลย”


“หา เข้าใจผิด เข้าใจผิดแล้ว”


คำพูดของเยี่ยเทียนพูดออกไปแล้ว ตำรวจหยางและคนอื่นๆต่างก็แอบด่าอยู่ในใจ พวกเขายังไม่เคยกินหอยเป่าฮื้อแช่ข้าวเลย บุคคลที่อยู่เบื้องหน้ากลับเอาไปให้สัตว์กิน? นี่มันตัวอย่างลูกไม่เอาไหนนี่เอง


ถึงแม้ตำรวจที่อยู่ในใจจะสุภาพอยู่บ้าง แต่เยี่ยเทียไม่รู้ว่าถ้าเข้าไปในสถานีตำรวจแล้วจะเกิดอะไรขึ้น คิดไปคิดมา พูดว่า “ว่าแต่ ผมโทรศัพท์หน่อยไม่เป็นไรใช่ไหมครับ?”


“ได้สิ คุณแค่ช่วยตรวจสอบ” ตำรวจหยางต้องไว้หน้าก่อน


“พี่หู ฉันเยี่ยเทียนนะ วันนี้หวงซือจื้อนั่นหาเรื่อง ส่งฉันเข้าสถานีตำรวจแล้ว” ความแค้นของหวงซือจื้อเกิดขึ้นจากร้า น4S ของหูจวิน เบอร์โทรเบอร์แรกที่เยี่ยเทียนโทรออกไปก็คือโทรหาหูจวิน


“อะไรนะ? ไอ้บ้าเอ้ย ไอ้นั่นมันหาที่ตายเหรอ?”


หูจวินที่อยู่ในสายได้ยินปุ๊ปก็เดือดขึ้นมาทันที ก่อนหน้านี้เขาเคยเตือนหวงซือจื้อแล้วว่าอย่างทำไปเรื่อยนะ “เยี่ยเทียนฉันอยู่ที่เทียนจิน นายอยู่สำนักย่อยตรงไหน? สองชั่วโมง ไม่ ชั่วโมงเดียวฉันจะรีบตามไป!”


หลังจากถามชื่อสำนักย่อยกับตำรวจหยางเสร็จ เยี่ยเทียนก็แจ้งให้หูจวินทราบ ทางนั้นตอบกลับมาหนึ่งคำ ก่อนจะวางสายไปเยี่ยเทียนก็ได้ยินเสียงสตาร์ทรถแล้ว


“หรือไม่โทรศัพท์หาลูกพี่ลูกน้องดี? ช่างเถอะ เขาอาจจะช่วยไม่ได้”


“แม่งเอ้ย อยากเทียบความสัมพันธ์ เดี๋ยวลูกพี่จะเล่นด้วยเอง!”


หลังจากวางสายของหูจวินไปแล้ว เยี่ยเทียนครุ่นคิดไปสักครู่ และได้โทรศัพท์ออกไปที่เกาะฮ่องกง ถังเหวินหย่วนเหมือนกับว่ามีตำแหน่งสภาที่ปรึกษาทางการเมืองของจีนด้วยมั้ง?


“เหล่าถัง ฉันเกิดเรื่องแล้ว……”


หลังจากถังเหวินหย่วนรับสาย เยี่ยเทียนไม่พูดไร้สาระและเล่าเรื่องทันที “อย่าทำให้เป็นเรื่องใหญ่ แค่จับไอ้พวกเล่นพรรคเล่นพวกออกมาก็พอ!”


สาเหตุของเรื่องเกิดขึ้นจากหวงซือจื้อ แต่เยี่ยเทียนไม่พอใจกับหัวหน้าที่ออกคำสั่งคนนั้น ถ้าไม่มีคนเหล่านี้ช่วยคนชั่วก่อกรรมทำเข็ญ หวงซือจื้อแม้แต่ผายลมก็ไม่คงไม่กล้า


“ผมรู้แล้ว คุณสบายใจเถอะ ไม่มีใครกล้าทำอะไรคุณหรอก” ถังเหวินหย่วนอยากให้เยี่ยเทียนมีเรื่องและมาขอความช่วยเหลือจากเขา และในตอนนี้ก็ได้ยืนยันผ่านโทรศัพท์แล้ว


หลังจากได้ยินการโทรศัพท์ทั้งสองครั้งของเยี่ยเทียนแล้ว ตำรวจหยางและคนอื่นๆต่างก็สงบนิ่งทันที บุคคลคนนี้คิดจะทำให้เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่สินะ? ต้องรู้ว่าท่านที่เล่นพรรคเล่นพวกก็คือผู้การของพวกเขา?


เมื่อกี้เยี่ยเทียนรู้สึกไม่พอใจตำรวจหนุ่มคนนั้น ตอนนี้กลับตกใจจนเหงื่อไหลตามหลัง ลูกพี่สำนักย่อยยังไม่อยู่ในสายตา แล้วตนเองละแม้แต่ต้นหอมยังไม่ใช่เลย?


ครึ่งชั่วโมงผ่านไป รถตำรวจก็ขับไปถึงสำนักย่อย ตำรวจหยางพาเยี่ยเทียนเดินเข้าตึกใหญ่ไม่นาน ก็มีคนหนึ่งคนเข้ามาต้อนรับ มองดูอย่างไม่เป็นมิตรกับเยี่ยเทียนพูดว่า


“เหล่าหยาง ทำไมไปนานขนาดนั้น? ผู้การถามหาหลายครั้งแล้ว”


“สารวัตรอู๋ เขาคือเยี่ยเทียน ท่านนี้ชื่อสวีเจิ้นหนาน เป็นพยานในที่เกิดเหตุ”


หลังจากได้พบผู้ที่เดินทางมาแล้ว ตำรวจแนะนำเยี่ยเทียนให้กับคนนั้นทราบ และพูดว่า “สารวัตรอู๋ เมื่อสักครู่ที่บ้านมีเรื่องนิดหน่อย ผมต้องขอไปพบผู้การและขอลาก่อน คดีนี้ ผมจะส่งมอบให้คุณนะ!”


ตำรวจหยางเป็นรองสารวัตรที่รับผิดชอบอาชญากรรมในสำนักย่อย และคนที่อยู่ตรงหน้าเป็นสารวัตรที่รับผิดชอบความสงบและความเรียบร้อยสาธารณะ คนที่เข้าใจโครงสร้างระบบจะรู้ดีว่าตำรวจรักษาความสงบและความเรียบร้อยสาธารณะเป็นตำแหน่งที่ร่ำรวย สารวัตรคนนี้แน่นอนว่าต้องมีความสัมพันธ์ระดับหนึ่งถึงได้ตำแหน่งนี้มา


เรื่องจริงก็เป็นเช่นนี้แหละ สารวัตรอู๋เลื่อนตำแหน่งขึ้นมาโดยผู้การ และปีหน้ารองผู้การท่านหนึ่งในสถานีจะลงจากตำแหน่งแล้ว เป็นไปได้สูงมากว่าเขาจะพัฒนาได้อีกหนึ่งขั้น


สำหรับเรื่องนี้แล้ว สารวัตรอู๋รู้ชัดเจนเช่นกัน เพราะว่าตอนที่ผู้การเพิ่งจะเรียกเขาเข้าไปรับงานนั้น คุณชายหวงคนนั้นกำลังดื่มน้ำชาอยู่ในห้องทำงานของผู้การ มองเห็นท่าทางที่สนิทสนมของผู้การ ภายในใจของสารวัตรอู๋ก็รู้แจ้งเลยทันที


เขตปักกิ่งนี้ คนที่สามารถทำให้ผู้การอายุห้าสิบต้นที่มีอำนาจจริงในสถานีตำรวจย่อยออกหน้า แล้วยังมีท่าทีสนิทสนมมากกับคนที่อายุประมาณสามสิบ ก็คงมีเพียงสองเหตุผลเท่านั้น ถ้าไม่ใช่ความสัมพันธ์ญาติ ก็คือฝั่งตรงข้ามมีเบื้องหลังที่แข็งแกร่ง


สารวัตรอู๋เดาได้ไม่ผิด ผู้การเสิ่น เมื่อสามสิบปีก่อน เคยเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยของคุณปู่หวงซือจื้อ หลังจากนั้นย้ายจากระดับกองพันเข้าไปรับตำแหน่งผู้การท้องที่ ก็เพราะเฒ่าแก่จางโข่ว ตระกูลหวงเป็นคนจัดการให้ทั้งหมด


ดังนั้นหวงซือจื้อจึงมาหาคนที่อยู่สูง ผู้การเสิ่นไม่ว่าจะเป็นยังไงก็ไม่กล้าเมินเฉย ถึงแม้เฒ่าแก่หวงจะตายแล้วก็ตาม แต่เห็นแก่ความรู้สำนึกในบุญคุณถ้ายังไม่คืนบุญคุณนี้ ยังไงก็คงถูกด่าว่าไอ้คนอกตัญญู


“พอละ เหล่าหยาง มีอะไรก็ไปทำเถอะ ผู้การเซิ่นบอกแล้ว คดีนี้ผมรับมือเอง!”


เห็นตำรวจหยางขอออกจากคดีนี้ด้วยตนเอง สารวัตรอู๋รู้สึกดีใจอย่างไม่ได้ตั้งใจ เมื่อกี้ผู้การเสิ่นสั่งให้เขา “ดูแล” เยี่ยเทียนให้เป็นอย่างดี เขาก็กำลังอารมณ์ไม่ดีที่ตำรวจหยางทำตัวเกะกะ


ตำรวจหยางยิ้มกับเยี่ยเทียน พูดกับสารวัตรอู๋ว่า “สารวัตรอู๋ ที่จริงแล้วคุณเยี่ยเป็นผู้เสียหาย ผู้กองต้องสอบสวนดีดีนะ”


“รู้แล้ว ที่บ้านคุณมีธุระก็รีบไปเถอะ” สารวัตรอู๋สะบัดมือ ที่จริงเขาไม่เอาคำพูดของตำรวจหยางเก็บใส่ใจเลย กลับไม่รู้


ว่าตำรวจหยางวางแผนให้เขาติดกับ


ส่วนกรมสอบสวนคดีพิเศษนี้ ดูแลควบคุมโดยรองผู้การที่กำลังจะย้ายลงไปเป็นผู้อำนวยการส่วนการสอบสวนอาญาในปีหน้าและรองผู้การท่านนี้ก็เตรียมตัวแล้วว่าถ้าตนเองลงไปอยู่ในตำแหน่งนั้น จะให้สารวัตรคนปัจจุบันในส่วนอาชญากรรมมารับตำแหน่งนี้เป็นเช่นนี้แล้ว รองสารวัตรตำรวจหยางก็สามารถพัฒนาขั้นไปอีกขั้น เพียงแต่ว่าผู้การเสิ่นเคยเป็นทหารมาก่อน ดังนั้นเขาจึงเป็นคนค่อนข้างแข็งกร้าว ความคิดของคนประเภทนี้จึงยากนักที่จะประสบความสำเร็จ


แต่วันนี้ตำรวจหยางกลับมองเห็นความหวัง เขารู้สึกตั้งแต่ที่ได้ยินเสียงในโทรศัพท์ที่เยี่ยเทียนโทรอันนั้น ถ้าหากผู้การเสิ่นยืนกรานจะช่วยคุณชายหวง เกรงว่าเรื่องนี้จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ทันที ถึงเวลานั้นโอกาสของเขาก็มาถึงแล้ว


“เสี่ยวจ้าว คุณพาคนๆนี้ไปบันทึกคำให้การหน่อย คุณคือเยี่ยเทียน? มากับผม!”


ถ้าเป็นคดีใหญ่ สารวัตรอู๋สู้ตำรวจหยางที่มาจากมืออาชีพ  การชกต่อยแบบนี้จะดูแลโดยทีมรักษาความปลอดภัย จัดการเรื่องของเยี่ยเทียนถือว่าตรงประเด็นมากๆ


“เห้ จะสอบปากคำก็ต้องไปด้วยกัน?” สวีเจิ้นหนานเห็นเยี่ยเทียนกำลังถูกพาไปโดยตัวคนเดียว เขาจึงโหวกเหวกขึ้นมา


“ตำรวจดำเนินดีต้องให้คุณสอนด้วยเหรอ?” สารวัตรอู๋สะบัดมือ ตำรวจสองคนพาสวีเจิ้นหนานไปที่ห้องข้างๆ


หลังจากแยกสวีเจิ้นหนานออกไปแล้ว สารวัตรอู๋กลับพาคนอีกสองคน นำทางเยี่ยเทียนไปถึงห้องให้ปากคำด้าน


ในสุดของตึกสำนักงาน


“นั่งลง!” เพิ่งเข้ามาถึงในห้อง ตำรวจสอบคนก็ดันเยี่ยเทียนให้เขานั่งลงไปที่เก้าอี้สอบสวนที่มีแผ่นพลิกอันนั้น


 ……….

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)