กระบี่จงมา 384.1-386.1
บทที่ 384.1 การประชันเมฆหลากสี
ยามฟ้าสาง เฉินผิงอันเพิ่งจะฝึกท่าฟ้าดินเสร็จ เผยเฉียนที่ยังงัวเงียไม่หายก็มาเคาะประตูอยู่ข้างนอก จึงเดินไปเปิดประตู เฉินผิงอันเห็นเด็กหญิงผิวดำราวกับถ่านมีสีหน้าอ่อนเพลีย ดูท่าแล้วคำเตือนด้วยความหวังดีของชุยตงซานเมื่อคืนคงทำให้เผยเฉียนตกใจไม่น้อย เฉินผิงอันจึงบอกให้นางมานอนต่อในห้องของตัวเอง เผยเฉียนรู้สึกเหมือนได้รับอภัยโทษครั้งใหญ่ หัวถึงหมอนก็นอนหลับไปทันที เฉินผิงอันช่วยห่มผ้าให้เผยเฉียนแล้วก็มานั่งอยู่ข้างโต๊ะพลิกอ่านตำราหลอมโอสถที่เซียนดินลู่ยงแห่งตำหนักพยัคฆ์เขียวมอบให้ แม้ว่าจะอธิบายในเรื่องของการหลอมยา แต่ถึงอย่างไรก็เป็นวิชาลับเฉพาะของผู้ฝึกตนก่อกำเนิด จึงได้รวบรวมประสบการณ์ที่อัศจรรย์บนมหามรรคาเอาไว้ด้วย ทุกครั้งที่เฉินผิงอันสงบใจศึกษาล้วนได้รับผลประโยชน์ คู่ควรกับสี่คำว่า ‘เปิดตำรามีประโยชน์’ อย่างแท้จริง
โรงเตี๊ยมแห่งนี้สร้างขึ้นอย่างเรียบง่าย อาหารสองสามมื้อในหนึ่งวันต้องให้แขกที่เข้าพักออกจากโรงเตี๊ยมไปหากินกันเอาเอง นับตั้งแต่เถ้าแก่จนถึงลูกจ้างล้วนเจ้าอารมณ์กันทั้งสิ้น ตอนที่กลุ่มของเฉินผิงอันมาเข้าพักก็เห็นว่าคนของโรงเตี๊ยมกำลังด่าอยู่กับขบวนพ่อค้ากลุ่มหนึ่ง ต่างฝ่ายต่างรังเกียจกัน แต่กลุ่มของเฉินผิงอันมีชุยตงซาน หลูป๋ายเซี่ยงและสุยโย่วเปียนสามคนช่วยสยบปัญหา ทางโรงเตี๊ยมที่รู้จักพลิกแพลงไปตามสถานการณ์จึงกระตือรือร้นกับพวกเขาค่อนข้างมาก เป็นฝ่ายแนะนำอาหารรสเลิศขึ้นชื่อของท้องถิ่นให้ด้วยตัวเอง
เฉินผิงอันพาเผยเฉียนที่นอนหลับจนเต็มอิ่มออกไปข้างนอกด้วยกัน กินอาหารเช้าเรียบร้อยแล้วก็ยังซื้อกลับมาอีกส่วนหนึ่ง เขาไม่ได้กลับไปที่ห้อง แต่ยืนอยู่หน้าประตูโรงเตี๊ยม นอกจากสั่งให้เผยเฉียนเอาของกินไปมอบให้พวกชุยตงซานแล้ว ยังสั่งให้นางบอกพวกเขาว่าต้องการให้พวกเขาอยู่ในอำเภอแห่งนี้สองวัน ส่วนตัวเขาจะออกไปเดินเที่ยวข้างนอกเพียงลำพัง เผยเฉียนย่อมยินดีที่จะได้หยุดพักเท้าสองวัน ในเมื่อไม่ต้องรีบเร่งเดินทางก็หมายความว่าไม่ต้องฝึกเดินนิ่งหกก้าวที่น่าเบื่อหน่าย ยอดเยี่ยมยิ่งนัก
ตอนที่เฉินผิงอันเดินเตร็ดเตร่อยู่ในอำเภอ ชุยตงซานและคนทั้งสี่ในภาพวาดต่างก็รับเอาอาหารเช้าที่เผยเฉียนนำกลับมาไปกิน ชุยตงซานทำสีหน้าซาบซึ้งใจ บอกว่าอาจารย์กำลังช่วยตรวจสอบช่องโหว่เพื่อเติมเต็มในส่วนที่ขาดตกบกพร่องของศิษย์ ทำไปด้วยใจล้วนๆ อาจารย์ที่คิดเพื่อลูกศิษย์เช่นนี้จะไปหาจากที่ไหนได้อีก เผยเฉียนไม่กล้าเถียง ได้แต่นินทาอยู่ในใจว่าตรวจสอบช่องโหว่เพื่อเติมเต็มในส่วนที่ขาดตกบกพร่องอะไรกัน เห็นๆ กันอยู่ว่าไม่วางใจในการจัดการเรื่องราวของเจ้า
กินอาหารเช้าแล้ว ชุยตงซานก็อารมณ์ดีอย่างมาก เขาหันมายิ้มพูดกับเผยเฉียนว่า “เล่นหมากห้าเม็ดเรียงเป็นไข่มุกเป็นหรือไม่? พวกเรามาวางเดิมพันกันเล็กๆ แพ้ชนะหนึ่งตาก็ได้เหรียญทองแดงหนึ่งเหรียญ เป็นอย่างไร?”
เผยเฉียนเคยเล่นหมากห้าเม็ดเรียงเป็นไข่มุกมาก่อน นี่คือการละเล่นเล็กๆ ที่หลูป๋ายเซี่ยงสอนนาง กฎนั้นง่ายมาก เผยเฉียนมักจะลากเว่ยเซี่ยนมายืมกระดานหมากของหลูป๋ายเซี่ยงแล้วเข่นฆ่ากันอยู่บนกระดานจนมืดฟ้ามัวดิน คนทั้งสองตอบโต้กันไปมา เมื่อเทียบกับความเงียบสงบน่าเบื่อระหว่างที่หลูป๋ายเซี่ยงประลองฝีมือกับสุยโย่วเปียนแล้ว เผยเฉียนกับเว่ยเซี่ยนจะเล่นกันอย่างครึกครื้นสนุกสนาน เวลาวางเม็ดหมากเสียงดังลั่นโป๊ะป๊ะ พลังอำนาจเปี่ยมล้นจนกระดานหมากเกือบจะทะลุเป็นรู ทำเอาหลูป๋ายเซี่ยงที่มองดูอยู่เสียใจภายหลังอย่างถึงที่สุด
เวลาประลองกับเว่ยเซี่ยนที่ฝีมือการเล่นหมากล้อมห่วยแตก เผยเฉียนจะชนะมากกว่าแพ้ หากได้เปรียบเมื่อไหร่ก็จะชอบคะนองหลงลืมตน แต่หากเสียเปรียบก็จะล้มกระดาน โชคดีที่เว่ยเซี่ยนไม่ค่อยถือสากับผลแพ้ชนะและสภาพบนกระดานหมากเท่าไหร่นัก
คราวนี้ได้ยินชุยตงซานบอกว่าจะเดิมพัน เผยเฉียนก็ส่ายหน้าอย่างแรง นางไม่ได้โง่สักหน่อย ต่อให้ชุยตงซานจะบอกว่าต้องการเรียนวิธีเล่นหมากล้อมจากหลูป๋ายเซี่ยง แต่หมากห้าเม็ดเรียงเป็นไข่มุกที่เป็นดั่งประตูข้างบานเล็กไม่มีธรณีประตูให้พูดถึงนี้ เผยเฉียนกลับไม่มีความมั่นใจว่าจะชนะเงินเดิมพันมาได้ ถึงอย่างไรคนโง่ที่เป็นดั่งตอไม้อย่างเหล่าเว่ย บนโลกนี้ก็มีน้อย
ชุยตงซานหัวเราะเฮอๆ “พวกเราสองคนเล่นหมากล้อมกัน เจ้าและข้าสองคนคือลูกศิษย์ของอาจารย์ แน่นอนว่าจะทำลายความสามัคคีไม่ได้ ใครแพ้คนนั้นได้เงินไป!”
เผยเฉียนดวงตาเป็นประกาย แพ้หนึ่งกระดานยังได้เงินหนึ่งอีแปะ ใต้หล้ามีเรื่องดีๆ เช่นนี้ด้วยหรือ?
ดังนั้นหลูป๋ายเซี่ยงจึงเอาอุปกรณ์ในการเล่นหมากล้อมทั้งหมดมาที่ห้องเผยเฉียน จากนั้นชุยตงซานกับเผยเฉียนลูกศิษย์ร่วมสำนักที่ยังไม่แบ่งแยกลำดับศักดิ์คู่นี้จึงเริ่มเล่นหมากห้าเม็ดเรียงเป็นไข่มุกที่ย่ำยีกระดานหมากมากที่สุด
สี่คนในภาพวาดมายืนชมอยู่ด้านข้างด้วยความรู้สึกที่เฉียบไว
เผยเฉียนวางเม็ดหมากมั่วๆ ระหว่างหมากสองเม็ดที่วางไล่หลังกันอยู่ห่างกันไกลหนึ่งแสนแปดพันลี้ ชุยตงซานเองก็วางเม็ดหมากอย่างไร้ระเบียบเช่นกัน บางครั้งยังตามติดอยู่หลังก้นเม็ดหมากของเผยเฉียน บางครั้งก็วางในมุมตะวันออก ใต้ตะวันตก และเหนือมุมละเม็ด ซึ่งเป็นรูปแบบของการเล่นหมากล้อมในระดับเริ่มต้นอย่างตื้นเขิน มองดูเหมือนว่าเผยเฉียนน่าจะแพ้มากกว่า เพียงแต่ว่าเมื่อพื้นที่บนกระดานหมากแคบลงเรื่อยๆ เผยเฉียนทั้งค้นพบด้วยความเสียดายและตกตะลึงว่า หมากห้าเม็ดเรียงเป็นไข่มุกที่ยิ่งเล่นยิ่งง่ายนี้ รอจนกระดานหมากเต็มไปด้วยเม็ดหมากสีขาวดำสลับกันดุจเขี้ยวสุนัขแล้ว เผยเฉียนกลับเป็นฝ่ายชนะ ไม่ว่านางจะวางเม็ดหมากอย่างไรก็ล้วนเป็นภาพหมากห้าเม็ดเรียงเป็นเส้นไข่มุกที่ยิ่งใหญ่ตระการตา
แล้วก็ต้องเสียเงินหนึ่งอีแปะไปอย่างน่าน้อยใจและไม่เอาไหนเช่นนี้ เผยเฉียนเสียใจจนไส้เขียว แทบอยากจะกินกระดานหมากเข้าไปในท้อง ล้มกระดานมันเสียเลย เพียงแต่พอชำเลืองตามองชุยตงซานที่นั่งไขว่ห้างแทะเมล็ดแตงอยู่ฝั่งตรงข้าม นางกลับไม่กล้าเล่นแง่
ชุยตงซานเหล่ตามองกระดานหมากตรงหน้า กล่าวอย่างเสียดายว่า “แพ้หนึ่งตา แพ้หนึ่งตา ดูท่าโชคในการเสี่ยงดวงของข้าจะดีกว่าเจ้าเล็กน้อย ไม่อย่างนั้นพวกเรามาเล่นกันอีกสักตาดีไหม? หากรังเกียจที่กระดานหมากอันเดียวไม่สามารถแสดงฝีมือในการเล่นหมากล้อมของเจ้าเผยเฉียนออกมาได้อย่างหมดสิ้น พวกเราสามารถเพิ่มกระดานหมากให้เป็นหนึ่งสองสามอัน แต่ทุกกระดานที่เพิ่มขึ้นมา เดิมพันก็จะต้องเพิ่มเป็นเหรียญทองแดงหนึ่งเหรียญด้วย ส่วนข้า ขอแค่เอาชนะได้ก็จะรีบควักถุงเงินคืนเงินให้เจ้าทันที เจ้าเผยเฉียนสามารถเพิ่มกระดานหมากได้ตามใจชอบ จนกว่าจะแพ้แล้วได้เงินไป แบบนี้ถือว่าพอจะยุติธรรมอยู่บ้างกระมัง?”
เผยเฉียนกล่าวอย่างลังเล “แต่บนโต๊ะวางกระดานหมากสองอันไม่ได้นี่นา”
ชุยตงซานชี้ไปบนพื้น “พวกเราเล่นบนพื้น จะกลัวอะไร กระดานหมากมีมากมาย จะเล่นยาวไปจนถึงระเบียงนอกห้องเลยก็ยังได้ ถูกไหม? ถึงอย่างไรยิ่งกระดานหมากมากเท่าไหร่ เจ้าก็ยิ่งได้เงินมากเท่านั้น ข้ารู้ว่าเจ้าความจำดี ของข้าก็พอถูไถ พวกเราให้หลูป๋ายเซี่ยงหรือไม่ก็สุยโย่วเปียนไปยืมถ่านไม้สองก้อนมาจากโรงเตี๊ยม ถึงเวลานั้นข้าจะใช้ถ่านวาดเป็นกระดานหมากล้อม พวกเราก็ไม่ต้องใช้เม็ดหมากแล้ว หากใครจำผิดก็ถือว่าแพ้”
เผยเฉียนหันหน้าไปมองเหล่าเว่ย เว่ยเซี่ยนคงจะรู้สึกว่าวิธีการเล่นที่หวังให้ตัวเองแพ้เช่นนี้เหมือนคนน้ำเข้าสมองเกินไปจึงเดินจากไปทันที จูเหลี่ยนก็ยิ่งกลอกตามองบนเดินออกไปนอกห้อง
กลับเป็นอดีตยอดฝีมือในการเล่นหมากล้อมระดับแคว้นของพื้นที่มงคลดอกบัวที่ยังอยู่ต่อ แล้วหลูป๋ายเซี่ยงก็ไปยืมถ่านไม้กลับมาจริงๆ สุยโย่วเปียนยืนสีหน้าเฉยเมยอยู่ด้านข้าง ถึงอย่างไรพวกเขาสองคนก็อยู่ต่อในห้องอย่างคนมีความอดทนอยู่แล้ว จึงคอยดูหนึ่งคนโตหนึ่งเด็กที่มีอาจารย์คนเดียวกันนั่งเล่นเหลวไหลกันอยู่บนพื้น
เฉินผิงอันและสี่คนในภาพวาดต่างก็รู้มานานแล้วว่าความทรงจำของเผยเฉียนนั้นดีเยี่ยมจนเรียกได้ว่าโดดเด่น พรสวรรค์ที่มีมาตั้งแต่กำเนิดนี้ ไม่ว่าจะเป็นเฉินผิงอันหรือหลูป๋ายเซี่ยงที่ฝีมือการเล่นหมากล้อมยอดเยี่ยม ทบทวนกระดานหมากแต่ละครั้งที่เล่นจนเกิดความเคยชินก็ยังละอายใจที่สู้ไม่ได้
หลังจากใช้กระดานหมากสองกระดานจนหมด เผยเฉียนและชุยตงซานนอกจากจะแข่งกันเรื่องความน่าไม่อายแล้ว ยังแข่งกันเรื่องความทรงจำด้วย
บนพื้นวาดกระดานหมากอีกสองกระดานด้วยถ่านไม้แล้ว หากเผยเฉียนไม่เพิ่มอีกกระดานก็ยังจะชนะอยู่ดี ดังนั้นจึงจำต้องบอกให้ชุยตงซานวาดเพิ่มไปอีกกระดาน
หลูป๋ายเซี่ยงเดินออกมานอกห้องเงียบๆ สุยโย่วเปียนเดินตามติดมาด้านหลัง
กลางระเบียง สุยโย่วเปียนเอ่ยถาม “มองความตื้นลึกหนาบางออกหรือไม่?”
หลูป๋ายเซี่ยงส่ายหน้า “หมากห้าเม็ดเรียงเป็นไข่มุกง่ายเกินไป ต่อให้วาดอีกสิบกระดาน เผยเฉียนก็ยังคงไม่สามารถหยั่งเชิงจนรู้ว่าคนผู้นี้มีฝีมือการเล่นหมากล้อมแข็งแกร่งหรืออ่อนด้อยได้อยู่ดี”
สุยโย่วเปียนถาม “หากเจ้าไม่เก็บงำอำพราง แต่เลือกจะแสดงฝีมืออย่างเต็มที่ พวกเราห่างชั้นกันมากแค่ไหน?”
หลูป๋ายเซี่ยงยิ้มกล่าว “บอกตามตรง เจ้าน่าจะไม่สามารถทำให้ข้าใช้หมากเด็ดได้ (คำศัพท์ในวงการหมากล้อม ภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า tesuji คือหมากที่ทำให้บรรลุวัตถุประสงค์ใดวัตถุประสงค์หนึ่งอย่างยอดเยี่ยม)
คำว่าหมากเด็ดก็คือวิธีการอันยอดเยี่ยมบนกระดานหมาก ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นเมื่อคู่ต่อสู้บนกระดานหมากมีฝีมือสูสีกัน การเข่นฆ่าดำเนินไปอย่างดุเดือด จัดการหมากเดี่ยว (คือคำศัพท์ในการเล่นหมากล้อม เวลาเล่นหมากล้อม บางครั้งเพื่อทำลายข้อได้เปรียบของฝ่ายตรงข้าม จึงต้องทำลายความสมดุลของสถานการณ์บนกระดาน เพื่อให้สถานการณ์ส่งผลดีต่อตัวเอง จึงจำต้องเข้าไปต่อสู้ในอาณาเขตของฝ่ายตรงข้าม แล้วถูกฝ่ายตรงข้ามโจมตี ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้หมากที่ถูกฝ่ายตรงข้ามโจมตีจะเรียกว่า ‘หมากเดี่ยว’ ‘จัดการหมากเดี่ยว’ ก็คือการใช้ข้อบกพร่องและจุดอ่อนของคู่ต่อสู้มาจัดการหมากเดี่ยวของตนให้ดีขึ้นและมีประสิทธิภาพสูง) สังหารมังกรใหญ่ล้วนง่ายที่จะปรากฎวิธีเทพเซียนเช่นนี้
ความหมายของหลูป๋ายเซี่ยงก็คือ เขาแค่จำเป็นต้องทำตามขั้นตอน ‘ปูหมาก’ เหมือนช่างวางอิฐวางกระเบื้อง สี่ด้านแปดทิศราบเรียบมั่นคงก็สามารถเอาชนะสุ่ยโย่วเปียนได้แล้ว
สุยโย่วเปียนไม่ได้รู้สึกโกรธเคืองเพราะถูกดูหมิ่นอะไร ฝีมือในการเล่นหมากล้อมสูงหรือต่ำ ความจริงล้วนวางให้เห็นอยู่ตรงหน้า ตลอดทางที่ผ่านมานี้นางมักจะเล่นหมากล้อมกับหลูป๋ายเซี่ยงเป็นประจำ หากสุยโย่วเปียนไม่ผลักกระดานหมากล้อมออกก็โยนเม็ดหมากทิ้ง นักเล่นหมากล้อมระดับแคว้นในโลกแทบไม่เคยมีใครพูดคำว่า ‘ข้าแพ้แล้ว’ ออกมา ทว่าการผลักกระดานและการโยนเม็ดหมากทิ้งก็คือการยอมรับความพ่ายแพ้แบบไร้เสียง แม้สุยโย่วเปียนจะให้ความสำคัญกับเรื่องแพ้ชนะมาก แต่ในเรื่องการเล่นหมากล้อมนี้ เดิมทีก็ถูกนางมองเป็นการละเล่นเพื่อผ่อนคลายอารมณ์เท่านั้น แพ้หรือชนะไม่อาจส่งผลกระทบต่อวิถีกระบี่ที่ห่างชั้นไกลจากฝีมือเล่นหมากล้อมของนางได้ ดังนั้นสุยโย่วเปียนจึงยอมรับความพ่ายแพ้ในเรื่องนี้ได้
อีกทั้งหากดูตาม ‘วงการหมากล้อมในรุ่นหลัง’ ที่จูเหลี่ยนพูดถึงเป็นบางครั้ง ฉีไต้จ้าวและมือเล่นระดับแคว้นของแต่ละแคว้นในพื้นที่มงคลดอกบัวล้วนให้ความเคารพเลื่อมใสในฝีมือการเล่นหมากล้อมของหลูป๋ายเซี่ยงบรรพบุรุษผู้บุกเบิกลัทธิมารอย่างถึงที่สุด หากเลือกจากคนที่แข็งแกร่งที่สุด ยอดฝีมือหมากล้อมของแต่ละสำนักแต่ละราชวงศ์แต่ละยุคสมัยอาจจะยังมีแบ่งแยกไปอีก แต่หากเลือกมาจากสามอันดับแรกของประวัติศาสตร์พื้นที่มงคลดอกบัว ต้องมีหลูป๋ายเซี่ยงเป็นหนึ่งในนั้นแน่นอน นี่ก็มากพอจะแสดงให้เห็นถึงชื่อเสียงอันสูงส่งในวงการหมากล้อมของหลูป๋ายเซี่ยงแล้ว
อีกสองคนที่เหลือ คนหนึ่งคือหวังจี้หยวนที่ถูกขนานนามให้เป็นอริยะแห่งหมากล้อมพันปี อีกท่านหนึ่งคือ ‘หวงฮ่าว’ ที่ได้รับการพิสูจน์ในภายหลังว่าเป็นเจ๋อเซียน หรือก็คือบรรพจารย์อวี๋เจินอี้ บรรพบุรุษผู้กู้คืนความรุ่งโรจน์ให้แก่สำนักหูซานแคว้นชิงไล่ แล้วก็เป็นคนผู้นี้ที่อาศัยชื่อเสียงอันยิ่งใหญ่ของสำนักและฝีมือการเล่นหมากล้อมที่ตนเองคิดว่าไร้เทียมมายกเลิกระบบจั้วจื่อ (ระบบกติการในการเล่นหมากล้อมแบบเก่า) ของวงการหมากล้อม เป็นเหตุให้วงการหมากล้อมของพื้นที่มงคลดอกบัวเกิดเส้นแบ่ง นับแต่นั้นมาจึงมีการแบ่งเป็นฝ่ายหมากล้อมยุคเก่ากับฝ่ายหมากล้อมสมัยใหม่ หวังจี้หยวนอายุน้อยกว่าหวงฮ่าวหกสิบปี ตอนที่หวงฮ่าวอายุเจ็ดสิบปีก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย เป็นเหตุให้คนทั้งสองไม่เคยมีโอกาสประมือกันมาก่อน เกี่ยวกับฝีมือการเล่นหมากล้อมที่ใครสูงใครต่ำของคนทั้งสามในยุคสมัยที่แตกต่างกันนี้ เหล่าปรมาจารย์ในวงการหมากล้อมรุ่นหลังโต้เถียงกันอย่างไม่อาจถอนตัวได้ และไม่ต้องสงสัยเลยว่าหลูป๋ายเซี่ยงก็คือสุดยอดแห่งฝ่ายหมากล้อมยุคเก่า ส่วนหวังจี้หยวนก็คือจุดสูงสุดของฝ่ายหมากล้อมสมัยใหม่ และยิ่งเป็นยอดฝีมือในการเล่นรูปแบบมีดบิน ดังนั้นจึงมีคนเชื่อมั่นว่าหากหวังจี้หยวนมีโอกาสได้ประชันฝีมือกับหลูป๋ายเซี่ยง แม้จะยอมให้วางหมากก่อนสองเม็ด ถึงกระนั้นหลูป๋ายเซี่ยงก็ยังไม่มีคุณสมบัติที่จะนั่งในตำแหน่งทัดเทียมกับหวังจี้หยวนอริยะแห่งหมากล้อมพันปีได้แน่นอน แต่ยอดฝีมือวงการหมากล้อมที่ศึกษาการเล่นหมากล้อมในสมัยโบราณกลับป่าวประกาศว่า ให้หลูป๋ายเซี่ยงได้ทำความเข้าใจกับฝ่ายหมากล้อมสมัยใหม่สักสองสามเดือนจนคุ้นชินเสียก่อน แล้วค่อยไปประชันกับหวังจี้หยวนอีกที หนีไม่พ้นจะมีลูกศิษย์เป็นอริยะหมากล้อมที่โขกหัวกราบไหว้หลูป๋ายเซี่ยงเป็นอาจารย์อีกคนก็เท่านั้น สรุปก็คือผู้คนมีความเห็นแตกต่างกันออกไป เนื่องจากภายหลังไม่มีผู้เล่นระดับแคว้นที่ฝีมือทัดเทียมกับคนทั้งสามปรากฎขึ้นอีก ยิ่งไม่มีคำวิจารณ์อย่างเป็นกลางที่ผู้คนให้การยอมรับ ดังนั้นเกี่ยวกับฝีมือสูงต่ำของคนทั้งสามจึงถูกกำหนดมาให้กลายเป็นคดีค้างเติ่งที่หาข้อสรุปไม่ได้
สุยโย่วเปียนพลันเอ่ยว่า “อย่าแพ้ให้คนผู้นั้น”
หลูป๋ายเซี่ยงยิ้มบางๆ “ตั้งตารอดูกันไปเถอะ”
ส่วนในห้องเผยเฉียน ชุยตงซานนั่งยองแทะเมล็ดแตง เผยเฉียนหน้านิ่วคิ้วขมวด น้ำตาคลอเจียนหยด
นางใกล้จะต้องเสียเงินหกเหรียญทองแดงแล้ว
ชุยตงซานเอ่ยปลอบใจ “ถ่านไม้ยังมีมากพอ แพ้ชนะยังไม่ตัดสิน วาดอีกกระดานหนึ่งก็แล้วกัน เดิมพันมากได้เงินมาก”
เผยเฉียนยกหลังมือเช็ดดวงตา ควักถุงหอมที่น้ากุ้ยมอบให้แต่นางเอามาทำเป็นถุงเงินออกมาจากชายแขนเสื้อ หยิบเหรียญทองแดงเจ็ดเหรียญออกมาจากด้านใน นี่คือเงินที่มาจากหยาดเหงื่อแรงกายของนาง นางกำเหรียญทองแดงไว้แน่น ลุกขึ้นยืนอย่างลังเลใจ วางพวกมันลงบนโต๊ะเบาๆ มองเจ้าคนแซ่ชุยด้วยท่าทางน่าสงสาร หวังว่าเขาจะเดินจากไปด้วยท่วงท่าของเทพเซียน คิดไม่ถึงว่าชุยตงซานจะยิ้มแต้เดินมาหยุดข้างโต๊ะ ยื่นมือมาปาดหนึ่งครั้ง เหรียญทองแดงก็ไม่เหลือแม้เงา จากนั้นชุยตงซานถึงได้เดินไปทางประตูห้อง ยังไม่ลืมหันหน้ามายิ้มเตือน “จำไว้ว่าเอาอุปกรณ์การเล่นไปคืนหลูป๋ายเซี่ยงด้วย แล้วก็ยังต้องเช็ดร่องรอยบนพื้นให้สะอาด ไม่อย่างนั้นหากเฉินผิงอันรู้ว่าพวกเราเล่นพนันต้องด่าข้าไม่เหลือชิ้นดีแน่ จากนั้นก็จะต้องสั่งให้เจ้าคัดตัวอักษรจนแขนหัก ส่วนเรื่องเงินนี่ กล้าเดิมพันก็ต้องกล้ายอมรับความพ่ายแพ้ เฉินผิงอันไม่มีทางช่วยทวงคืนกลับไปให้เจ้าแน่”
ชุยตงซานใช้สองมือรองไว้ใต้ท้ายทอย เดินอาดๆ จากไป “วันนี้ช่างเป็นวันดีจริงๆ ได้เงินมาแล้วออกไปซื้อถังหูลู่กินดีกว่า”
เผยเฉียนยืนอยู่ข้างโต๊ะ หลั่งน้ำตาอย่างน่าสงสาร
ชุยตงซานพลันถอยกรูดกลับมา เอนตัวมาด้านหลัง ยื่นมาแต่ศีรษะ พูดด้วยรอยยิ้ม “เผยเฉียน ข้าอยากจะเรียนรู้วิธีเล่นหมากล้อมกับหลูป๋ายเซี่ยงใช่ไหมล่ะ ก็เลยกะว่าจะหานิมิตหมายอันดีให้ตัวเองสักหน่อย หลังจากนี้ทุกครั้งที่เจ้าเรียกข้าว่าเซียนหมากล้อม ข้าก็จะให้เงินเจ้าหนึ่งอีแปะ”
เผยเฉียนดวงตาเป็นประกาย วิ่งปรู๊ดออกไปนอกธรณีประตู เดินตุปัดตุเป๋ตามก้นชุยตงซานต้อยๆ ปากก็ตะโกนเรียกว่าเซียนหมากล้อมอย่างอุตสาหะ
ไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม นอกจากจะต้องเอาอุปกรณ์การเล่นหมากล้อมไปคืนหลูป๋ายเซี่ยง ก็ยังต้องตะโกนเรียกว่าเซียนหมากล้อมครั้งแล้วครั้งเล่า เผยเฉียนจึงคอแหบคอแห้งไปหมด พอคนทั้งสองกลับมาถึงห้องของนาง เผยเฉียนก็ส่งเสียงอ้อแอ้ เพราะนางพูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว สุดท้ายจึงได้แต่ยิ้มกว้างพลางยื่นมือออกมา เห็นว่าชุยตงซานไม่มีปฏิกิริยาตอบรับ นางจึงรีบเขียนตัวเลขลงบนโต๊ะ
ชุยตงซานยิ้มบางๆ “ล้อเจ้าเล่นน่ะ เจ้าเชื่อจริงๆ หรือ?”
เผยเฉียนใจสลาย แถมยังพูดอะไรไม่ออก ได้แต่กางเล็บแสยะเขี้ยว
ชุยตงซานหรี่ตาลง ยื่นมือมาจิ้มดวงตาคู่นั้นของเผยเฉียน “หากยังพูดมากอีก เจ้าจะไม่เพียงแต่กลายเป็นคนใบ้น้อย ยังจะกลายเป็นคนตาบอดด้วย ต่อให้เฉินผิงอันจะโมโหแค่ไหนก็คงไม่ถึงขั้นฆ่าลูกศิษย์อย่างข้าตายหรอกกระมัง แต่เจ้าช่างน่าเวทนานัก กลายเป็นคนตาบอด ชีวิตนี้ยังจะมีความหวังอะไรอีก ว่าไหมล่ะ?”
ชุยตงซานลุกขึ้นยืนแล้วแสร้งทำเป็นคนตาบอดที่ยื่นมือออกมาคลำสะเปะสะปะไปทั่ว
เผยเฉียนหน้าดำ เม้มปากแน่น แต่กลับไม่กล้ายกไม้เท้าเดินป่าขึ้นมาฟาดเจ้าคนสารเลวผู้นี้ นางยิ่งคิดยิ่งสิ้นหวัง สีหน้าจึงแข็งทื่อ นั่งแปะลงบนขอบเตียง หมดอาลัยตายอยาก น้ำตาพรั่งพรูดั่งสายฝน
ชุยตงซานพลันหยิบวัตถุลักษณะคล้ายก้อนเงินก้อนหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อโยนให้เผยเฉียนเบาๆ “เห็นว่าเจ้ารู้กาลเทศะ จะให้เจ้ายืมเล่นสองสามวัน หากข้าเรียนหมากล้อมได้ราบรื่น ไม่แน่ว่าอารมณ์ดีก็จะยกมันให้เจ้า แต่ตอนที่ข้าเล่นหมากล้อมกับหลูป๋ายเซี่ยง จำไว้ว่าต้องเอามาคืนให้ข้าก่อน”
เผยเฉียนใช้สองมือประคองก้อนเงินหนักอึ้ง พลันคลี่ยิ้มกว้างทั้งน้ำตา
ชุยตงซานจากไปอีกครั้ง
บทที่ 384.2 การประชันเมฆหลากสี
เผยเฉียนวางก้อนเงินก้อนนั้นไว้บนโต๊ะ มองซ้ายมองขวา มองแนวตั้งมองแนวนอน มองกี่รอบก็ไม่เบื่อ ขณะที่กำลังใคร่ครวญว่าจะหาวิธีเอาก้อนเงินนี้มาเป็นของตัวเองได้อย่างไร นางพลันเบิกตากว้าง เห็นเพียงว่า ‘ก้อนเงิน’ เริ่มกระดุกกระดิกได้เอง จากนั้นก็เปลี่ยนไปเป็นตั๊กแตกสีขาวหิมะตัวหนึ่งที่กระโดดไปทางหน้าต่าง แผล็บเดียวก็หายวับไปไม่เหลือเงา รอจนเผยเฉียนคืนสติก็รีบปีนขึ้นไปบนหน้าต่าง กระโดดลงไปแล้วเริ่มตามหา ‘ก้อนเงิน’ อยู่ในเรือนด้านหลังอย่างยากลำบาก หาตามพุ่มไม้ มุมกำแพง ร่องหินอยู่นานถึงครึ่งชั่วยาม สุดท้ายยังเริ่มใช้มือขุดพื้นดิน แต่ก็ยังไม่อาจดึงตัวก้อนเงินที่จำแลงร่างกลายเป็น ‘แมลง’ ก้อนนั้นมาได้ เผยเฉียนที่หมดเรี่ยวหมดแรงได้แต่นั่งเหม่ออยู่ท่ามกลางกองดิน คราวนี้แม้แต่จะร้องไห้ก็ยังไม่เหลือแรงแล้ว
รอจนเฉินผิงอันที่ไปเยือนแถวศาลบุ๋นย้อนกลับมายังโรงเตี๊ยมก็เห็นแผ่นหลังผอมบางที่หม่นหมองเศร้าซึมของเผยเฉียน มือทั้งสองข้างของนางยังกำชายแขนเสื้อไว้แน่น
เฉินผิงอันถอนหายใจ เดินไปหาชุยตงซานโดยตรง เพียงไม่นานก็มายืนตรงหน้าต่าง ตะโกนพูดกับเผยเฉียน “เงินเหรียญทองแดงเจ็ดเหรียญ เจ้ามีความสามารถก็คว้าชัยชนะเอากลับคืนมาให้ได้ ชนะไม่ได้ก็ต้องยอมรับความพ่ายแพ้ แต่เงินก้อนที่ชื่อว่า ‘แมลงเงิน’ ก้อนนี้ของชุยตงซาน เจ้าสามารถเอาไปเล่นได้ เขาต้องการจะเอากลับคืนไปเมื่อไหร่ เจ้าก็แค่คืนให้เขาไป”
แม้ว่าเผยเฉียนจะยังเสียใจอยู่มาก แต่ก็ลุกขึ้นยืนอย่างว่องไว ปีนขึ้นไปบนหน้าต่าง กระโดดลงบนพื้น ประคองสองมือไปรับ ‘แมลงเงิน’ ที่กลับคืนสภาพมาเป็นก้อนเงินอีกครั้งอย่างระมัดระวัง
เฉินผิงอันดึงหูเผยเฉียนลากนางไปที่ข้างโต๊ะ “เอาใหญ่แล้วนะ รู้จักพนันขันต่อกับคนอื่นแล้วรึ?”
เผยเฉียนนั่งลงข้างโต๊ะอย่างกล้าๆ กลัวๆ สองมือกำแมลงเงินเอาไว้แน่น
เฉินผิงอันถาม “ชอบพนันขนาดนี้ ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะเอากล่องเก็บสมบัติในหีบไม้ไผ่ออกมาให้เจ้า ถึงอย่างไรตอนนี้เจ้าก็มีทรัพย์สินมากมายอยู่แล้วนี่นา เจ้าสามารถเดิมพันกับชุยตงซานได้อีกหลายครั้ง จะให้ข้าไปเอามาให้เจ้า หรือเจ้าจะไปเอามาเอง?”
เผยเฉียนสีหน้าลนลาน ส่ายหน้าอย่างแรง
เฉินผิงอันตบโต๊ะ “ไปเอากล่องเก็บสมบัติมา วันหน้าแบกเอาเอง! “
เผยเฉียนสะบัดหน้าหนี หน้าตาบึ้งตึง ทั้งไม่ร้องไห้แล้วก็ไม่อ้อนวอน ไม่มองเฉินผิงอันแล้วก็ไม่เชื่อฟังเขาด้วย
เฉินผิงอันโมโหมาก
เผยเฉียนกัดฟัน ขว้างก้อนเงินที่อยู่ในมือออกไปนอกหน้าต่าง
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน ไปเปิดหีบไม้ไผ่ที่อยู่ในห้องด้านข้าง หยิบเอากล่องเก็บสมบัติออกมา กลับมาที่ห้องเผยเฉียน วางมันไว้บนโต๊ะแล้วเดินจากไป
คิดไม่ถึงว่าครู่หนึ่งต่อมา เฉินผิงอันเพิ่งจะดื่มเหล้าดองอยู่ในห้องไปได้คำเดียว เผยเฉียนก็ถือกล่องเก็บสมบัติวิ่งพรวดเข้ามาแล้วเอามันยัดกลับเข้าไปในหีบไม้ไผ่ด้วยความเร็วปานสายฟ้าแลบจนคนไม่ทันยกมือป้องหู จากนั้นก็วิ่งออกไป
เฉินผิงอันหยิบกล่องเก็บสมบัติออกมาใหม่ เดินไปที่ห้องด้านข้าง คิดไม่ถึงว่าเผยเฉียนจะลั่นดาลลงกลอนประตูไว้อย่างแน่นหนา
ไฟโทสะของเฉินผิงอันลุกโชน ใจนึกอยากจะถีบประตูให้เปิดแล้วเอาตัวเจ้าเด็กนี่พร้อมกล่องเก็บสมบัตินี้จับโยนออกไปนอกโรงเตี๊ยมพร้อมกัน
เฉินผิงอันยืนอยู่นอกประตูครู่ใหญ่
ด้านในประตู เผยเฉียนที่ลงกลอนใช้แผ่นหลังดันบานประตูไว้อย่างแน่นหนา ยกแขนสองข้างที่เล็กบางขึ้น ใช้หลังมือบดบังใบหน้าเล็กๆ ที่ดำราวกับถ่าน
บนหลังคาของโรงเตี๊ยม เด็กหนุ่มชุดขาวที่เป็นตัวการของเรื่องนอนหงายหนุนแขนตัวเอง สีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
……
หลูป๋ายเซี่ยงที่อยู่ในห้องตั้งใจศึกษาตำราการเล่นหมากล้อม
คือ ‘ตำราเมฆหลากสี’ ที่มีชื่อเสียงอย่างถึงที่สุดในใต้หล้าไพศาล สิบกระดานท่ามกลางเมฆหลากสี และใช้การประชันครั้งนั้นมาวิวัฒนาการเป็นตำราหมากล้อมรูปแบบต่างๆ มีคนตั้งใจ ‘ผ่าตัด’ (คำศัพท์ในวงการหมากล้อม หมายถึงการวิเคราะห์ผลได้ผลเสียในการเล่นหมากล้อม) ของการแข่งขันเมฆหลากสี บางคนก็แค่ต้องการเจาะลึกความมหัศจรรย์ของการแข่งขันเมฆหลากสีเท่านั้น ว่าการว่าตำรานี้ไม่รู้ว่าอบรมบ่มเพาะให้เกิดยอดฝีมือด้านวิชาหมากล้อมในยุทธมากน้อยเท่าไหร่
หากพูดถึงแค่การเล่นหมากล้อม เมื่ออยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัว หลูป๋ายเซี่ยงถือว่าไร้เทียมทานแล้ว ตอนที่มาเยือนใต้หล้าไพศาลช่วงแรก เขามองว่าตัวเองมีฝีมือในการเล่นหมากล้อมสูงส่ง เพียงแต่ว่าเมื่อเขาได้ ‘ตำราเมฆหลากสี’ เล่มนี้มาโดยบังเอิญถึงเพิ่งจะรู้ว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมีคน ยิ่งศึกษาก็ยิ่งตระหนักได้ถึงความลึกล้ำของฝีมือการเล่นหมากล้อมของทั้งสองฝ่าย ยังไม่ต้องพูดถึงเจ้านครจักรพรรดิขาวที่ ‘ถ่อมตนแด่บรรพชนหมากล้อมทั่วหล้า’ พูดถึงแค่ยอดฝีมือที่มีคุณสมบัติประมือกับยักษ์ใหญ่แห่งลัทธิมารบนเมฆหลากสีผู้นั้น แม้ว่าจะแพ้หลายครั้ง แต่ว่าหากไม่มองช่วงที่นครจักพรรดิขาวเป็นฝ่าย ‘ถูกกระทำ’ ในแต่ละครั้ง ลำพังดูแค่การจัดวางสถานการณ์หมากบนกระดานของยอดฝีมือท่านนี้ก็จะได้เห็นว่าแต่ละก้าวของเขาช่างยอดเยี่ยมจนทำให้คนรุ่นหลังที่ศึกษาตำราการเล่นหมากล้อมรู้สึกเหมือนมีเสียงฟ้าคำรามพร้อมกับลมพายุพุ่งทะลุแผ่นกระดาษมาปะทะใบหน้า ทำให้คนหายใจแทบไม่ออก
เป็นเหตุให้หลูป๋ายเซี่ยงต้องไปตามหาและรวบรวมตำราการประชันหมากล้อมส่วนใหญ่ของยอดฝีมือคนนี้มา สุดท้ายได้ข้อสรุปอย่างหนึ่งว่า วิชาหมากล้อมของคนผู้นี้ควรจะต้องเรียกว่า ‘เข้าใกล้มรรคาอย่างไร้ที่ติ’ ปรมาจารย์ด้านหมากล้อมของใต้หล้าไพศาลส่วนใหญ่ล้วนมีคำวิจารณ์ที่สูงส่งเกี่ยวกับคนผู้นี้ โดยคร่าวๆ แล้วมีอยู่สามข้อ ข้อแรกคือใช้สายตาที่เฉียบคมมาทำลายข้อสรุปเดิมที่มีอยู่แล้ว ข้อสองแม้ว่าบางครั้งที่คนผู้นี้เดินหมากจะเผยความเฉียบคม เผยวิธีการที่นองเลือด แต่โดยภาพรวมแล้วคนผู้นี้คู่ควรกับคำสรรเสริญที่ว่า ‘ท่วงทำนองบางเบา บรรลุถึงขอบเขตที่กว้างไกลที่สุดและละเอียดอ่อนที่สุด’ สามคือคนผู้นี้เป็นผู้ริเริ่มความคิดอันมหัศจรรย์มากมายอย่างเช่นรูปแบบการเดินหมากหิมะใหญ่ถล่มเลี้ยววงใน รูปแบบปลายแหลมเล็กหนึ่งในใต้หล้า ฯลฯ แม้ว่าร้อยปีให้หลัง ส่วนใหญ่จะถูกยอดฝีมือหมากล้อมแก้ได้ หรือไม่ก็ตอนที่เพิ่งปรากฎเป็นครั้งแรกในการแข่งขันเมฆหลากสีก็ถูกเจ้านครจักรพรรดิขาวมองออกอย่างทะลุปรุโปร่ง ทว่าทุกคนที่ดูการแข่งขันผ่านตำราเมฆหลากสีกลับอดตื่นตะลึงและชื่นชมในความคิดอันบรรเจิดเลิศล้ำของคนผู้นี้ไม่ได้ ทำให้คนรู้สึกราวกับว่าคนผู้นี้กับนักเล่นหมากล้อมทุกคนบนโลกล้วนไม่ได้เล่นอยู่บนกระดานหมากเดียวกัน
การที่เขาพ่ายแพ้ให้กับเจ้านครจักรพรรดิขาว หลูป๋ายเซี่ยงก็ได้แต่พูดว่าคนผู้นี้เกิดมาไม่ถูกยุคสมัย ดันมาเจอเข้ากับตัวประหลาดที่ในอดีตไม่เคยปรากฏมาก่อน และในอนาคตก็จะไม่มีทางปรากฏเช่นกัน เนื่องจากฝ่ายหลัง ‘บรรลุมหามรรคา’ ไปแล้ว
หลูป๋ายเซี่ยงศึกษา ‘ตำราเมฆหลากสี’ ก็ใคร่ครวญไปมา คงได้แต่ใช้คำว่า ‘ไร้ความผิดพลาด ไร้ความสะเพร่า’ มาบรรยายยอดฝีมือลัทธิขงจื๊อที่ชื่อเสียงฉาวโฉ่กระฉ่อนเลื่องลือผู้นี้แล้ว
หลูป๋ายเซี่ยงเคยพูดเล่นกับเฉินผิงอันว่า ความหวังที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตนี้ก็คือสามารถได้ไปเยือนนครจักรพรรดิขาว แต่ส่วนลึกในหัวใจของหลูป๋ายเซี่ยงกลับคิดว่าคนที่เขาอยากเล่นหมากล้อมด้วยมากที่สุดกลับไม่ใช่เจ้านครจักรพรรดิขาว แต่เป็น ‘ชุยฉาน’ ท่านชุยผู้ยิ่งใหญ่ อดีตลูกศิษย์คนแรกของเหวินเซิ่งผู้นี้
หลูป๋ายเซี่ยงวางตำราหมากล้อมลง ถอนหายใจหนึ่งที
นครจักรพรรดิขาวน่าจะไปเยือนได้ แค่จะช้าหรือเร็วเท่านั้น แต่จะได้เล่นหมากล้อมกับชุยฉานสิบตาหรือไม่กลับเป็นความหวังที่ค่อนข้างเลื่อนลอย
แม้ว่าตอนนี้ชุยฉานจะเป็นราชครูของราชวงศ์ต้าหลีบ้านเกิดเฉินผิงอัน แต่ในฐานะคนชมการเล่นก็พอจะมองออกได้คร่าวๆ ว่าคนผู้นี้หยิ่งทระนง ต่อให้เขาหลูป๋ายเซี่ยงได้พบหน้าเขาชุยฉาน แต่ก็คงยากมากที่จะได้เล่นหมากล้อมกับอีกฝ่ายสมดั่งใจหวัง
เพราะหลูป๋ายเซี่ยงรู้ดีว่าฝีมือในการเล่นหมากล้อมของตนยังไม่ดีพอ
เพียงแต่คนรุ่นหลังทำลายหมากล้อมเพราะตัวคน โดยเฉพาะในใบถงทวีปและในแจกันสมบัติทวีป สำหรับคำวิจารณ์ที่มีต่อฝีมือการเล่นหมากล้อมของท่านชุยผู้ยิ่งใหญ่นี้จึงจงใจลดระดับให้ต่ำลงมาเยอะมาก
สำหรับถ้อยคำอันห้าวเหิมสามประโยคที่คนผู้นี้ทิ้งไว้ให้กับคนรุ่นหลัง หลูป๋ายเซี่ยงรู้สึกเลื่อมใสอย่างมาก
‘ไม่ว่าฝ่ายกระทำจะเล่นอย่างไรก็ไม่เป็นไร’
‘กวานจื่อ (คำศัพท์ในวงการหมากล้อม ระหว่างที่แข่งขันกันบนกระดาน ต่างฝ่ายต่างยึดฐานที่มั่นของตัวเองได้แล้ว ยังไม่มีการวางเม็ดหมากลงไปบนที่ว่างรอยต่อของกันและกัน หากวางเม็ดหมากลงไปในเวลานี้จะเรียกว่ากวานจื่อ) ก็คือการเก็บกวาดสนามรบ ใครเอ่ยประโยคทำนองว่ากวานจื่อไร้เทียมทาน มีแต่จะทำให้ผู้เชี่ยวชาญหัวเราะขำขันเท่านั้น’
‘หมากดำเรียนรู้จากหม่าเหลยผู้นั้น หมากขาวเรียนรู้จากข้าชุยฉาน หมากยอมอ่อนข้อให้เรียนรู้จากเจ้านครจักรพรรดิขาว ผู้ที่เรียนรู้จากหม่าเหลย สามารถเรียนรู้ได้เจ็ดแปดส่วน ผู้ที่เรียนรู้จากชุยฉาน สามารถเรียนรู้ได้ห้าหกส่วน เรียนรู้จากเจ้านครจักรพรรดิขาว เรียนไปก็เปล่าประโยชน์’
หลูป๋ายเซี่ยงสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ชำเลืองตามองกระดานหมากบนโต๊ะแล้วเตรียมจะลุกขึ้นไปหาชุยตงซาน คาดว่าหากชนะสองในสามตาก็น่าจะพอหยั่งเชิงฝีมือของคนผู้นี้ได้บ้างแล้ว
ตอนที่หลูป๋ายเซี่ยงเดินออกจากห้องกลับเห็นเว่ยเซี่ยนกำลังเดินกลับเข้าห้องด้วยสีหน้าแปลกประหลาด
หลูป๋ายเซี่ยงเดินเลี้ยวหัวมุมระเบียงจะไปเคาะประตูห้องที่อยู่ห่างไปค่อนข้างไกล เว่ยเซี่ยนยืนอยู่ตรงทางแยก ถามว่า “จะไปหาชุยตงซาน?”
หลูป๋ายเซี่ยงพยักหน้ารับ
เว่ยเซี่ยนโบกมือ “ไม่ต้องไปแล้ว ไอ้หมอนี่ก็ไปเดิมพันกับจูเหลี่ยนเช่นกัน ตอนนี้ออกจากอำเภอไปแล้ว สุยโย่วเปียนก็ตามไปด้วย”
หลูป๋ายเซี่ยงกล่าวอย่างกังขา “เดิมพันอะไร?”
เว่ยเซี่ยนกล่าว “ชุยตงซานบอกว่าจะลองประมือกับจูเหลี่ยนสักหน่อย ขอแค่จูเหลี่ยนชนะ เขาก็จะเอาวัตถุจื่อชื่อชิ้นหนึ่งออกมามอบให้จูเหลี่ยน หากจูเหลี่ยนแพ้ วันหน้าต้องทำอาหารมื้อดึกให้เขาชุยตงซานทุกมื้อ”
หลูป๋ายเซี่ยงยิ้มกล่าว “จูเหลี่ยนตอบรับด้วยหรือ?”
เว่ยเซี่ยนลังเลเล็กน้อย ก่อนจะเกาหัวพูดว่า “ตอนแรกจูเหลี่ยนย่อมไม่ตอบรับ ถึงอย่างไรเผยเฉียนก็ถูกหลอกต้มเสียจนเปื่อยขนาดนั้น จูเหลี่ยนเองก็กลัวว่าจะเดินตามรอยนาง แต่ชุยฉานบอกว่าเขาสามารถยืนเฉยๆ ไม่ขยับ แต่จูเหลี่ยนก็ยังไม่ตอบรับ เจ้าหมอนั่นกลับพูดอีกว่าเขาจะไม่ขยับมือขยับเท้า จูเหลี่ยนจึงถามเขาว่าเขาใช่ผู้ฝึกกระบี่เซียนดินหรือไม่ ชุยตงซานบอกว่าเขาไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่แน่นอน ดังนั้นจูเหลี่ยนเลยยอมตกลง สุยโย่วเปียนก็ตามไปดูเรื่องสนุกด้วย”
ผ่านไปแค่ครึ่งชั่วยาม ชุยตงซานก็กลับโรงเตี๊ยมมาด้วยสีหน้าเบิกบาน ด้านหลังคือสุยโย่วเปียนที่มีสีหน้าแปลกพิกล แน่นอนว่ายังมีจูเหลี่ยนที่หน้าเปรอะเปื้อนมอมแมมด้วย
จูเหลี่ยนเดินดิ่งตรงไปที่ห้องตัวเอง ปิดประตูลงดังปัง
หลูป๋ายเซี่ยงที่นั่งเงียบๆ อยู่ในห้องไม่ได้ถามมาก สุยโย่วเปียนเดินเข้ามาในห้อง นั่งลงตรงข้าม พูดกับหลูป๋ายเซี่ยงว่า “ชุยตงซานบอกว่าอีกไม่นานเขาจะมาเรียนวิชาหมากล้อมกับเจ้า”
หลูป๋ายเซี่ยงยิ้มถาม “จูเหลี่ยนแพ้ได้อย่างไร? ก่อนหน้านี้ไม่นานเขาเพิ่งจะแอบเลื่อนเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตแปดไม่ใช่หรือ?”
สุยโย่วเปียนกล่าวอย่างระอาใจ “ไอ้หมอนั่นยืนนิ่งไม่ขยับก็จริง เพียงแต่ว่าคนผู้นี้…มีสมบัติอาคมติดตัวค่อนข้างมาก ตั้งแต่ต้นจนจบ จูเหลี่ยนขยับเข้าใกล้เขาในระยะสิบจั้งไม่ได้เลย เหมือนสุนัขที่ถูกจูงอย่างไรอย่างนั้น ต่อให้ข้ารับมือกับคนผู้นี้ก็คงไม่ได้ดีไปกว่าจูเหลี่ยนสักเท่าไหร่”
หลูป๋ายเซี่ยงรินชาถ้วยหนึ่งให้สุยโย่วเปียน สุยโย่วเปียนกลับไม่ดื่มชา นางส่ายหน้ากล่าวว่า “พวกเจ้าเล่นหมากล้อมกัน ข้าคงไม่ดูแล้ว”
หลูป๋ายเซี่ยงยิ้มถาม “ทำไม รู้สึกว่าโอกาสชนะของข้ามีไม่มากงั้นหรือ?”
สุยโย่วเปียนลุกขึ้นยืน “ข้าไม่ได้รู้สึกว่าวิชาหมากล้อมของคนผู้นี้สูงส่งสักเท่าใด แต่เชื่อในเรื่องหนึ่ง นั่นคือขอแค่เขาเดิมพันกับคนอื่น ก็ดูเหมือนว่าจะไม่เคยแพ้มาก่อน”
เรื่องที่ทำให้จูเหลี่ยนหนาวเยือกในใจมากที่สุดก็คือคนผู้นี้ยืนอยู่ที่เดิม แต่กลับสามารถบังคับสมบัติอาคมชิ้นแล้วชิ้นเล่าที่ ‘มากมายละลานตาจนหาที่สิ้นสุดไม่ได้’ ทำเอาจูเหลี่ยนไม่เพียงแต่โงหัวไม่ขึ้น ที่น่าโมโหยิ่งกว่าคือเขายังโบกธงร้องไห้กำลังใจจูเหลี่ยน จากนั้นก็ทำสีหน้าเสียดาย พูดว่ามดตัวน้อยอย่างเจ้าจูเหลี่ยนอยู่ข้างกายอาจารย์ของข้า ก็คงเป็นได้แค่พ่อครัวที่มีหน้าที่ทำอาหารเท่านั้นจริงๆ
และเรื่องที่ทำให้สุยโย่วเปียนเกือบจะออกกระบี่ก็คือคนผู้นั้นพูดกับจูเหลี่ยน แล้วยังชำเลืองหางตามองมายังนาง บอกว่าเจ้าดีกว่าเล็กน้อย ถึงอย่างไรก็หน้าตาพอดูได้ ไม่แน่ว่าคืนใดอาจารย์ของข้านอนหลับอาจหันหน้าไปทางขวา (ทางขวาก็คือโย่วเปียน)
หลูป๋ายเซี่ยงจมอยู่ในภวังค์ความคิด พอสุยโย่วเปียนจากไป เขาก็เปิด ‘ตำราเมฆหลากสี’ อีกครั้งด้วยความเคยชิน
ผ่านไปไม่นานเท่าไหร่ เด็กหนุ่มชุดขาวผู้เอ้อระเหยลอยชายก็มาเยือนถึงห้อง เขาเดินแทะเมล็ดแตงมาตลอดทาง พอเข้าประตูมาแล้ว ยังไม่ทันนั่งก็เห็นตำราหมากล้อมที่หลูป๋ายเซี่ยงเพิ่งจะวางลง จึงกล่าวอย่างตกตะลึงว่า “เจ้าอ่านของเล่นนี่เพื่อเรียนรู้รูปแบบ หลักการและกลเม็ดเคล็ดลับในการเล่นหมากล้อมงั้นหรือ?”
หลูป๋ายเซี่ยงถามกลับ “มีอะไรไม่เหมาะสมหรือ?”
ชุยตงซานถอนหายใจ นั่งแปะลงตรงข้ามกับหลูป๋ายเซี่ยง พูดหน้านิ่วคิ้วขมวด “ช่างเถอะ ข้าไม่เรียนหมากล้อมกับเจ้าแล้ว”
หลูป๋ายเซี่ยงขมวดคิ้วแน่น หยิบหมากเม็ดหนึ่งมาคีบไว้ที่ปลายนิ้ว ถามว่า “เป็นเพราะอะไร?”
ชุยตงซานใช้มือหนึ่งถือเมล็ดแตงที่หลอกเอามาจากเผยเฉียน มือข้างที่ว่างยื่นนิ้วชี้มาชี้หลูป๋ายเซี่ยง จากนั้นก็ยกนิ้วโป้งชี้ไปที่ตัวเอง “เปลี่ยนเป็นเจ้ามาเรียนวิชาหมากล้อมกับข้าดีกว่า”
บทที่ 385.1 เล่นหมากจบ คัดตัวอักษรเสร็จ
หลูป๋ายเซี่ยงลุกขึ้นยืน ยิ้มมองเด็กหนุ่มหล่อเหลาที่หว่างคิ้วมีปานแดงหนึ่งเม็ดแล้วผายมือเชื้อเชิญให้ชุยตงซานนั่งหน้ากระดานหมากล้อม “ใครเรียนรู้จากใคร อันที่จริงไม่สำคัญเลย”
หนึ่งในผู้ที่มีฝีมือการเล่นหมากล้อมยอดเยี่ยมที่สุดในประวัติศาสตร์ของพื้นที่มงคลดอกบัวท่านนี้มีลางสังหรณ์อย่างหนึ่งว่า วันนี้ตนอาจจะได้ผลงานที่ดีเลิศที่สุดในชีวิตการเล่นหมากล้อม
ชุยตงซานนั่งลง เท้าข้างหนึ่งเหยียบบนม้านั่ง ค้อมตัวลง เอาคางวางบนเข่า เมื่อเทียบกับท่านั่งตัวตรงอย่างสำรวมของหลูป๋ายเซี่ยงแล้วช่างต่างกันราวฟ้ากับเหว
ชุยตงซานยื่นมือมา เอานิ้วปาดผ่านขอบโถใส่เม็ดหมากล้อมเบาๆ กล่าวอย่างเกียจคร้านว่า “เจ้ายังไม่ได้ถูกจัดลำดับสินะ?”
หลูป๋ายเซี่ยงหลุดหัวเราะพรืด คิดไม่ถึงว่าในวงการหมากล้อมจะมีวันที่ตนถูกคนดูแคลนเช่นนี้ เพียงแต่หลูป๋ายเซี่ยงยังไม่ถึงขั้นวุ่นวายใจเพียงเพราะเรื่องเล็กๆ แค่นี้ เขาจึงพยักหน้ายิ้มรับ “เพิ่งจะมาถึงได้ไม่นาน ยังไม่ได้ถูกจัดลำดับจริงๆ นั่นแหละ”
ชุยตงซานผงกศีรษะ “เรื่องของการจัดลำดับ หากอิงตามกฎของโลก สามารถเล่นกับฉีไต้จ้าวลำดับเก้าท่านหนึ่งได้สามตา สามสองหนึ่ง ฉีไต้จ้าวจะยอมให้คนเล่นใหม่สามเม็ด สองเม็ดและหนึ่งเม็ด แน่นอนว่าแพ้ชนะจะไม่ส่งผลต่อการจัดลำดับในท้ายที่สุด แต่จะถือเป็นการสนับสนุน เป็นการสร้างเกียรติให้มากกว่า โชคของเจ้าหลูป๋ายเซี่ยงแข็งแกร่งกว่าฝีมือในการเล่นหมากล้อมของเจ้ามากนัก”
ผู้ที่ตัดสินอันดับของผู้เล่นใหม่อย่างแท้จริง แน่นอนว่าต้องเป็นพวกคนที่เล่นได้เสมอกับนักเล่นหมากล้อมลำดับสี่ลำดับห้า
ชุยตงซานพลันเงยหน้าขึ้น “เจ้าอาจจะรู้สึกว่าการประลองระหว่างเจ้ากับข้าหลังจากนี้ ทำให้เจ้ามีโอกาสได้เล่นกระดานที่สุดยอดที่สุดในชีวิต ไม่สู้ข้าบอกเจ้าก่อนดีกว่าว่า นี่เป็นความรู้สึกที่เจ้าคิดไปเอง แต่เจ้าต้องไม่ยินยอมอย่างแน่นอน ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะเรียงลำดับกลับหลัง จะยอมให้เจ้าหนึ่งเม็ดก่อน ให้เจ้าได้รู้ความสามารถที่แท้จริงของตัวเอง เป็นอย่างไร? ส่วนจะใช้ระบบจั้วจื่อ (ระบบที่ก่อนเริ่มเล่นให้วางหมากสี่เม็ดลงบนมุมสี่ตำแหน่ง ซึ่งหมากแต่ละสีจะตรงกันในแนวทแยง และในกฎกติกาของหมากล้อมในสมัยโบราณนี้จะกำหนดให้หมากขาวเดินก่อน) หรือเปิดกระดานด้วยการไม่วางเม็ดหมากลงไปก่อนก็ตามแต่เจ้าจะเลือก”
หลูป๋ายเซี่ยงส่ายหน้า “ไม่ต้องยอมต่อให้ ต่อให้ข้าแพ้ก็ยังรู้ระยะห่างระหว่างเจ้าและข้าได้อยู่ดี”
ชุยตงซานยื่นนิ้วชี้หน้าหลูป๋ายเซี่ยง “ข้าชอบความภาคภูมิใจในตัวเองอย่างหน้ามืดตามัวไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดินของพวกเจ้าแบบนี้นี่แหละ เอาล่ะ ข้าเดาว่าหากบอกว่าจะยอมต่อเม็ดหมากให้ เจ้าก็คงไม่ตอบรับ ถ้าอย่างนั้นก็มาเปิดกระดานด้วยการไม่วางเม็ดหมากแล้วกัน แต่ว่าไม่ต้องเสี่ยงทายหมากแล้ว ให้เจ้าหลูป๋ายเซี่ยงที่ถือหมากดำเดินก่อนแล้วกัน”
หลูป๋ายเซี่ยงยิ้มถาม “ถ้าอย่างนั้นจะได้แต้มต่อเท่าไหร่?” (ภาษาญี่ปุ่นคือ komi หรือแต้มต่อ คือคะแนนที่ฝ่ายขาวจะได้เพื่อชดเชยความเสียเปรียบที่ฝ่ายดำได้เดินก่อน)
ชุยตงซานหุบยิ้ม เริ่มหงุดหงิดขึ้นมาบ้างแล้ว “เดินก่อนค่อยว่ากัน”
หลูป๋ายเซี่ยงประหนึ่งแขกที่ตามใจเจ้าบ้าน โถเก็บเม็ดหมากที่อยู่ข้างฝ่ามือเป็นโถเก็บเม็ดหมากสีดำพอดี จึงหยิบขึ้นมาแล้ววางหมากลงก่อน
ชุยตงซานปล่อยให้หลูป๋ายเซี่ยงวางหมากตามรูปแบบปลายแหลมเล็กหนึ่งในใต้หล้าของ ‘ตำราเมฆหลากสี’ หมากดำหนึ่งสามห้ายึดมุม หมากดำเจ็ดพิทักษ์มุม หมากดำเก้าปลายแหลมเล็ก ทั้งแข็งแกร่งมิอาจทำลาย ทั้งแฝงไว้ด้วยปราณสังหารประหนึ่งลมฟ้าลมฝนกำลังจะมาเยือน
ชุยตงซานไม่เห็นเป็นสำคัญ เขาวางหมากตามกฎตามเกณฑ์ ถึงขั้นไม่ได้ใช้วิธีรับมือที่ ‘ไม่เสียเปรียบ’ ใดๆ ของคนรุ่นหลัง
หลูป๋ายเซี่ยงเหมือนภิกษุเฒ่าเข้าฌาน จมจ่อมอยู่กับสถานการณ์บนกระดานหมากจนเรียกได้ว่าลืมตนไปอย่างสิ้นเชิง
ทว่าชุยตงซานกลับเป็นพวกช่างจ้อ ไม่เพียงแต่วางหมากอย่างไม่อนาทรร้อนใจ ยังเริ่มยกเรื่องโน้นเรื่องนี้มาพูด ราวกับกำลังสอนหลูป๋ายเซี่ยงว่าควรจะเล่นหมากล้อมอย่างไรจริงๆ “อันที่จริงระบบจั้วจื่อสนุกกว่า แน่นอนว่าวิธีเปิดกระดานด้วยการไม่วางเม็ดหมากที่นิยมในทุกวันนี้ก็ต้องมีข้อดีของตัวเอง เพราะจะทำให้กระดานหมากเปลี่ยนมาเป็น ‘ใหญ่ยิ่งกว่าเดิม’ แต่หากฝีมือการเล่นหมากล้อมไม่ดีพอ ช่วงเปิดฉากก็ใช้รูปแบบอันมหัศจรรย์ที่ปรัชญาเมธีผู้ล่วงลับสร้างไว้จนหมดสิ้น มองดูเหมือนกลุ่มบุปผาเป็นพุ่มเป็นช่อ แต่พอมาถึงช่วงกลางกระดานกลับกลายเป็นว่าเข้าผิดออกผิดจนแทบทนมองไม่ได้ ชาวนาขุดหลุมขี้ หมาบ้ากัดคนไม่เลือกหน้า จับปลาหนีชิวในน้ำคลำ น่าเบื่ออย่างยิ่ง ทำให้ผู้ชมที่ดูอยู่ด้านข้างหลับได้เลย”
“คนยุคปัจจุบันวิจารณ์ระบบจั้วจื่อของคนโบราณว่าชอบลดค่าของการเล่นโหมโรง ยอมรับแค่ความตระการตาของการไล่ตามกวางในทุ่งกว้างช่วงกลางกระดาน อันที่จริงพูดแบบนี้ก็ไม่ค่อยถูกนัก”
“หลูป๋ายเซี่ยง ลางสังหรณ์ที่เจ้ามีต่อสถานการณ์ของหมากถือว่าไม่เลว แต่ก็แค่ไม่เลวเท่านั้น ส่วนสัจธรรมแห่งหมาก กลับเหมือน…เอี๊ยมตัวในของสุยโย่วเปียน อย่าว่าแต่เจ้าจะลูบคลำเลย แม้แต่เห็นคงก็ไม่เคยเห็นมาก่อนกระมัง”
สถานการณ์บนกระดานเพิ่งเข้าสู่ช่วงกลางกระดาน ชุยตงซานที่พูดพร่ำไม่หยุดก็ใช้ฝ่ามือปิดโถใส่เม็ดหมากแล้ว
หลูป๋ายเซี่ยงเงยหน้าขึ้น “ท่านชุยทำแบบนี้เพื่ออะไร?”
ชุยตงซานอึ้งตะลึง “เจ้ามองไม่ออกหรือว่าเจ้าแพ้แล้ว? อย่างมากสุดก็แค่เดินอีกสามสิบครั้งเท่านั้น”
ชุยตงซานยกมือขึ้น “งั้นก็เล่นต่อเถอะ”
หลูป๋ายเซี่ยงขมวดคิ้ว วางเม็ดหมากต่อ
จำต้องยอมรับว่าเวลาที่หลูป๋ายเซี่ยงวางเม็ดหมากเปี่ยมไปด้วยบุคลิกอันเลิศล้ำ ไม่ว่าจะเป็นตอนยื่นมือมาคีบเม็ดหมากหรือตอนที่โน้มตัวลงมาวางเม็ดหมาก หรือแม้แต่ตอนที่ไล่สายตาตรวจสอบสถานการณ์บนกระดานก็ล้วนพลิ้วไหวสง่างาม
น่าเสียดายก็แต่ชุยตงซานไม่คิดจะมองเรื่องพวกนี้ หรือแม้แต่หมากบนกระดาน ชุยตงซานก็ยังไม่ค่อยใส่ใจนัก เขาวางเม็ดหมากรวดเร็วราวกับบิน หลังจากที่หมากสีขาวแต่ละเม็ดวางลงบนกระดานหมากอย่างเป็นรากเป็นฐานแล้วก็รอคอยหลูป๋ายเซี่ยงอย่างเบื่อหน่าย และนี่น่าจะเป็นสาเหตุที่เขาบ่นอยู่ตลอดเวลา เพราะรู้สึกว่าการรอคอยน่าเบื่อเกินไป
ชุยตงซานพูดชวนคุย “กระดานแบบวางหมากไว้ก่อนกับกระดานแบบว่างเปล่า อันที่จริงก็ไม่ถือว่ามีข้อดีหรือข้อเสียอะไร ตอนนี้นักเล่นหมากล้อมเถียงกันเรื่องโน้นเรื่องนี้ จะว่าไปแล้วก็เพียงแค่เพราะมุมมองที่มีต่อสถานการณ์หมากบนกระดานไม่ลึกซึ้งมากพอ ไม่กว้างขวางมากพอ โดยเฉพาะนอกเหนือจากสิบตาของการแข่งเมฆหลากสี เดิมทีควรยังต้องมีตาที่สิบเอ็ด ส่วนกระดานมากก็คงไม่ได้มีแค่ตั้งนอนสิบเก้าช่องเท่านั้น เล็กเกินไป”
หลูป๋ายเซี่ยงหัวใจหดรัดตัว หยุดนิ่งไปนาน จับจ้องมองหมากบนกระดานที่สถานการณ์ไม่ซับซ้อนเงียบๆ
ฝ่ายตรงข้ามไม่ได้มีกระบวนท่าพิฆาตที่พลังสังหารไร้เทียมทานมากนัก ไม่มีการสลับสับเปลี่ยนที่อัศจรรย์ ไม่มีมีดปีศาจเอียงทแยงอะไร
ราวกับว่าแค่เล่นอีกครึ่งกระดานที่เหลือเป็นเพื่อนหลูป๋ายเซี่ยงอย่างสบายๆ แค่อดใจรอให้เขายอมแพ้เท่านั้น
อารมณ์ของหลูป๋ายเซี่ยงหนักอึ้ง วางหมากสองเม็ดไว้ที่มุมขวาล่างของกระดาน
โยนเม็ดหมากยอมแพ้
ชุยตงซานหาวหวอด “ใช่ไหม ข้าบอกแล้วว่าไม่ต้องคิดเรื่องแต้มต่อไม่แต้มต่ออะไรนั่น จากนี้จะยอมให้เจ้าหนึ่งเม็ดดีไหม?”
หลูป๋ายเซี่ยงพูดเสียงหนัก “ท่านชุยยอมให้ข้าสองเม็ด ตกลงไหม?”
ชุยตงซานหัวเราะฮ่าๆ “ผู้รู้สถานการณ์คือผู้มีสติปัญญาเป็นเลิศ ไม่เลวๆ ไม่เสียแรงที่ข้าสอนหมากเจ้าหนึ่งตา”
หลูป๋ายเซี่ยงยิ้มขื่นอย่างอับจนคำพูด หลังจากปรับจิตใจให้มั่นคงก็เริ่มเก็บกระดานหมาก สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง เริ่มตาที่สอง
ชุยตงซานยังคงไม่มีท่าทีว่าจะทุ่มสุดกำลังที่มี เพียงแค่เอ่ยคำทำนายทายทักไว้แต่เนิ่นๆ ว่า “ข้าไม่ผิดพลาดแม้แต่ก้าวเดียว ย่อมต้องชนะอย่างสมบูรณ์แบบ”
พอหมากเดินไปถึงกลางกระดาน หลูป๋ายเซี่ยงมักจะต้องใช้เวลาครุ่นคิดค่อนข้างนาน
ชุยตงซานไม่ได้เอ่ยเร่ง เพียงแต่เหลียวซ้ายแลขวาไม่อยู่นิ่ง ไร้กฎระเบียบอยู่เหมือนเดิม
หลังจากหลูป๋ายเซี่ยงวากหมากตัวหนึ่งลงแล้วก็เป็นฝ่ายเอ่ยถามอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน “แค่ไม่ผิดพลาดแม้แต่ก้าวเดียวเท่านั้นหรือ?”
ชุยตงซานอืมรับหนึ่งที “เป็นเช่นนั้นแหละ แต่คำว่าไม่ผิดพลาดของข้า ไม่ใช่อย่างที่พวกนักเล่นระดับแคว้นลำดับเก้าทั่วไปพูดกัน เจ้าไม่เข้าใจ นี่คือความรู้อันลึกล้ำที่อยู่ห่างจากพื้นไปหนึ่งแสนแปดพันลี้ จะเอามาสอนนักเรียนประถมในโรงเรียนคนหนึ่งได้อย่างไร?”
หมากกระดานนี้หลูป๋ายเซี่ยงลากไปถึงช่วงปิดท้าย แต่กระนั้นก็ยังโยนหมากยอมแพ้อยู่ดี
ชุยตงซานพลันเปลี่ยนท่าที กลายเป็นว่าเกิดความตื่นเต้นขึ้นมา ยิ้มถามว่า “ตาที่สาม พวกเรามาเดิมพันเล็กๆ น้อยๆ กันดีไหม?”
หลูป๋ายเซี่ยงถามกลับ “เดิมพันด้วยอะไร?”
ชุยตงซานยิ้มกล่าว “อาจารย์ของข้าเคยบอกข้าว่า พวกเจ้าสี่คนต่างก็ได้รับประโยคกันคนละหนึ่งประโยค เนื้อหาคร่าวๆ ข้าพอจะรู้แล้ว แต่ข้าเองก็รู้ว่าในบรรดาพวกเจ้าต้องมีคนที่โกหก ไม่แน่เสมอไปว่าจะพูดความจริงทั้งหมด น่าจะกึ่งจริงกึ่งเท็จ ตามหลักแล้วเจ้าหลูป๋ายเซี่ยงเป็นคนที่น่าสงสัยมากที่สุด เพราะประโยคนั้นของเจ้าไร้ประโยชน์มากที่สุด แต่เรื่องพวกนี้ล้วนไม่สำคัญ หากข้าชนะตาที่สาม เจ้าหลูป๋ายเซี่ยงต้องบอกข้าว่า เจ้าคิดว่าใครน่าจะโกหกมากที่สุด แค่บอกชื่อใครมาก็ได้ ขอแค่เจ้าบอกชื่อแก่ข้าก็พอ”
หลูป๋ายเซี่ยงไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “ทำเช่นนี้จะยังมีความหมายอีกงั้นหรือ?”
ชุยตงซานกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “มี”
หลูป๋ายเซี่ยงครุ่นคิดแล้วก็ส่ายหน้า “สองตาก็เพียงพอแล้ว”
ใบหน้าของชุยตงซานเต็มไปด้วยความผิดหวัง “หากเจ้าคิดจะช่วงชิงลำดับเก้าแข็งแกร่งของแจกันสมบัติทวีป ไม่ใช่เรื่องยาก แม้จะบอกว่าเทียบเท่าได้กับลำดับเก้าทั่วไปของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางเท่านั้น แต่ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว เรียนหมากล้อมให้มากหน่อย ศึกษาตำราบ่อยๆ วันหน้าในวงการหมากล้อมของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางที่มียอดฝีมือมากมายดุจก้อนเมฆก็สามารถมีพื้นที่ของเจ้าหลูป๋ายเซี่ยง ยอมให้เจ้าสามเม็ดก็ยังไม่กล้าเล่นอีกหรือ?”
หลูป๋ายเซี่ยงลังเลเล็กน้อย ถามอย่างใคร่รู้ว่า “วิชาหมากล้อมของท่านชุย สามารถอยู่สิบอันดับแรกของใต้หล้าไพศาลนี้หรือไม่?”
ชุยตงซานกลอกตามองบน “หมากล้อมเป็นแค่มรรคาเล็กๆ ติดสิบอันดับแรกแล้วอย่างไร? พวกผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนของสำนักหยินหยางและสำนักคำนวณ แต่ละคนต่างเชี่ยวชาญวิชานี้ แต่ก็ยังถูกผู้ฝึกตนขอบเขตเดียวกันซ้อมจนร้องหาพ่อหาแม่อยู่ดีไม่ใช่หรือ?”
สายตาหลูป๋ายเซี่ยงฉายประกายเร่าร้อน “ขอถามอีกหนึ่งคำ ท่านชุยกับเจ้านครจักรพรรดิขาว ห่างชั้นกันแค่ไหน?”
ชุยตงซานคิดแล้วก็ตอบว่า “ต่างกันเท่าหม่าเหลยถือหมากดำเดินก่อนกระมัง?”
จิตใจของหลูป๋ายเซี่ยงเริ่มสงบลง ถามด้วยรอยยิ้ม “หากยอมให้สามเม็ด แล้วข้าชนะ ท่านชุยจะทำอย่างไร?”
ชุยตงซานชี้ไปที่ ‘ตำราเมฆหลากสี’ เล่มนั้น “ข้าก็จะกินมัน”
หลูป๋ายเซี่ยงแค่คิดว่าอีกฝ่ายล้อเล่น แต่ก็อดไม่ไหวถามอีกว่า “ฝีมือการเล่นหมากล้อมของท่านชุยกับชุยฉานราชครูต้าหลี ห่างกันมากน้อยเท่าไหร่?”
ชุยตงซานชำเลืองมองหลูป๋ายเซี่ยง ไม่พูดอะไรอีก
หลูป๋ายเซี่ยงเอ่ยขออภัย “เป็นข้าที่เสียมารยาทแล้ว”
ชุยตงซานลุกขึ้นยืน ถามว่า “แพ้ไปสองตา คิดว่าอย่างไร?”
หลูป๋ายเซี่ยงลุกขึ้นยืนตาม พูดชื่นชมด้วยใจจริง “ได้รับผลประโยชน์มากมาย แม้จะแพ้ แต่ก็แพ้อย่างสมเกียรติ”
ชุยตงซานโคลงศีรษะอย่างไม่เห็นเป็นสำคัญ “เจ้ามีคุณสมบัติจะพูดประโยคสุดท้ายเสียเมื่อไหร่”
มองแผ่นหลังของชุยตงซาน
หลูป๋ายเซี่ยงกลับไปนั่งที่เดิม เริ่มย้อนทวนกระดานหมากอยู่กับตัวเอง
ชุยตงซานเดินอยู่กลางระเบียง พึมพำเบาๆ ว่า “เว่ยเซี่ยน ค่อนข้างอันตรายแหะ”
แต่จากนั้นเขาก็เอ่ยเยาะหยันตัวเอง “นี่จะนับเป็นอะไรได้?”
เขาพลันยิ้มกว้าง เดินไปเคาะประตูห้องของสุยโย่วเปียน “พี่หญิงสุย อยู่หรือไม่? ข้าเรียนหมากล้อมกับหลูป๋ายเซี่ยงเสร็จแล้ว จะมาขอเรียนวิชากระบี่กับเจ้าบ้างแล้วกัน”
……
หลังจากเฉินผิงอันเอากล่องเก็บสมบัติมาเก็บไว้ในหีบไม้ไผ่ก็เดินออกจากโรงเตี๊ยมไปเพียงลำพัง ถือโอกาสเดินดูขนบธรรมเนียมประเพณีของคนในท้องถิ่น
อำเภอขนาดเล็ก แม้จะเป็นนกกระจิบแต่ก็ยังมีอวัยวะภายในครบถ้วน ศาลบุ๋นบู๊ ศาลเทพอภิบาลเมือง โรงเรียนในอำเภอ ร้านรวงต่างๆ มีครบหมดทุกอย่าง
ถนนทางดินสีเหลืองที่เป็นหลุมเป็นบ่อ ต้นหลิ่วที่เพิ่งแตกหน่อ เสียงหมาเห่าเสียงไก่ขัน ภาพเทพทวารบาลกลอนคู่ใหม่เอี่ยม
พ่อค้าหาบเร่ต่างถิ่นที่เร่งร้อนเดินทางหอบหิ้วสินค้ามาขายโดยไม่ได้ลงหลักปักฐาน เด็กเล็กที่วิ่งไล่จับกัน ส่วนใหญ่ล้วนเปลี่ยนมาสวมชุดใหม่เอี่ยมสำหรับช่วงปีใหม่ บรรยากาศสดชื่นมีชีวิตชีวา
เดินไปเดินมาก็มาถึงด้านนอกศาลบู๊โดยไม่ทันรู้ตัว ระหว่างนี้ยังเดินผ่านศาลเทพเจ้าแห่งโชคลาภแห่งหนึ่ง เมื่อเทียบกับศาลบุ๋นที่เงียบสงบแล้ว ที่นี่กลับมีควันธูปโชติช่วงกว่ามาก
เฉินผิงอันเดินทางขึ้นเขาลงห้วยมาเป็นระยะทางนับพันนับหมื่นลี้แล้ว เขาพบเรื่องที่น่าสนใจเรื่องหนึ่ง นั่นคือดูเหมือนว่าชาวบ้านบนโลกจะไม่ค่อยใกล้ชิดสนิทใจกับเทพใหญ่เท่าใดนัก แต่องค์เทพในศาลเล็กที่ตำแหน่งไม่สูงอย่างศาลเทพเจ้าแห่งโชคลาภ ศาลเทพเจ้าที่และศาลเจ้าแม่ต่างๆ กลับมีความใกล้ชิดมากกว่า ยกตัวอย่างเช่นแคว้นชิงหลวนที่มีวัดวาอารามมากมายดาษดื่น องค์เทพหลักที่ตั้งอยู่ใจกลางห้องโถงใหญ่ พวกชาวบ้านมักจะแค่มาจุดธูปกราบไหว้เสร็จแล้วก็แล้วกันไป ส่วนใหญ่จะไม่รั้งรออยู่นาน แต่กลับโขกหัวก้มลงกราบอยู่ใต้ฝ่าเท้าขององค์เทพที่มีหน้าที่ดูแลจัดการเรื่องบางอย่างด้วยความจริงใจ ปากก็พร่ำท่องขอพรไปด้วย
เฉินผิงอันเดินเข้าไปในศาลบู๊ ด้านในมีผู้มีจิตศรัทธาบางตา น้อยจนนับนิ้วได้
เทวรูปเป็นลักษณะของแม่ทัพบู๊ รูปปั้นดินเผาลงสี ในอ้อมกอดคือคทาเหล็ก ถลึงตาสีหน้าดุดัน มีอำนาจบารมีอย่างยิ่ง
บทที่ 385.2 เล่นหมากจบ คัดตัวอักษรเสร็จ
คนดูแลศาลของที่แห่งนี้ไม่ได้ปรากฏตัว ตอนนี้เฉินผิงอันมีตบะวิถีวรยุทธ์ขอบเขตห้า เพียงแต่ว่าอาการบาดเจ็บยังไม่หายดี จึงมีทั้งข้อดีและข้อเสีย มีความหวังเสี้ยวหนึ่งที่จะช่วงชิงคำว่าแข็งแกร่งที่สุดอันเลือนรางล่องลอยนั้นมาได้ แน่นอนว่าก่อนที่จะเป็นเช่นนั้นต้องให้เฉาสือผู้มากพรสวรรค์แห่งราชวงศ์ต้าตวนเลื่อนขั้นเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตหกเสียก่อน กุญแจสำคัญของขอบเขตหกก็คือตามหาดีวีรบุรุษหนึ่งดวง ซึ่งค่อนข้างคล้ายคลึงโอสถทองของผู้ฝึกลมปราณ โดยรวมแล้วมีทางลัดอยู่สองอย่าง หนึ่งคือเข้าไปในศาลบุ๋นบู๊เพื่อเสี่ยงโชค ดูว่าจะได้รับความโปรดปรานจนได้รับมอบโชคชะตาบู๊ส่วนหนึ่งมาหรือไม่
นอกจากนี้ก็คือไปยังซากปรักหักพังของสนามรบโบราณ เข่นฆ่าสังหารวิญญาณวีรบุรุษบนสนามรบที่จิตหยินยังไม่แหลกสลาย แต่วิธีนี้ค่อนข้างจะอันตรายอย่างมาก ในซากปรักของสนามรบโบราณ น้อยมากที่วิญญาณวีรบุรุษจะเร่ร่อนอยู่เพียงลำพัง แม่ทัพบู๊วิญญาณวีรบุรุษที่สติปัญญาไม่จางหายเหล่านั้นจะต้องมีขุนพลหยินทหารหยินเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาจำนวนไม่เท่ากัน ซึ่งรับมือได้ยากอย่างถึงที่สุด หนังสือเทพเซียนที่ซื้อมาจากภูเขาห้อยหัวเล่มนั้นบันทึกไว้ว่าในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางมีซากปรักขนาดใหญ่มโหฬารอยู่แห่งหนึ่ง วิญญาณวีรบุรุษตนนั้นมีตบะเท่าเทียมได้กับขอบเขตสิบสองของผู้ฝึกยุทธ์ บวกกับที่เมื่ออยู่ในซากปรักจะเป็นเหมือนอริยะสำนักการทหารที่เฝ้าบัญชาการณ์สนามรบ ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะมีตบะเท่ากับขอบเขตบินทะยานในตำนาน ขุนพลหยินทหารหยินที่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาน่าจะมีมากหลายแสนตน เล่าลือกันว่าก่อนที่เทียนซือใหญ่ของภูเขามังกรพยัคฆ์แต่ละรุ่นจะรับสืบทอดตำแหน่งล้วนต้องเดินทางไปฝึกประสบการณ์ ณ ที่แห่งนั้น ถึงขั้นที่ว่ามีโศกนาฎกรรมมากมายเกิดขึ้นที่นั่น
เฉินผิงอันไม่เคยคาดหวังว่าจะได้รับโชควาสนาอะไรจากศาลบุ๋นบู๊ และวันนี้ก็แค่มาเดินเล่นเท่านั้น เขาหวังไว้กับซากปรักหักพังของสนามรบโบราณที่มีชื่อในประวัติศาสตร์มากกว่า อาศัยสองหมัดของตัวเองช่วงชิงขอบเขตหกที่มั่นคงมา
เฉินผิงอันยืนอยู่ในห้องโถงของศาลบู๊เพียงลำพัง ศาลบู๊ของอำเภอเล็กเกินไป ไม่มีจุดให้เชิญธูป ล้วนเป็นพวกชาวบ้านที่พกธูปกันมาเอง เฉินผิงอันรู้สึกว่าหากใช้แค่สิบนิ้วพนมคงไม่เหมาะสมสักเท่าไหร่ จึงเลือกจะกุมหมัดคารวะ ใช้ตัวตนของผู้ฝึกยุทธ์ขออภัยอริยะบู๊ท่านนั้นเสียเลย จากนั้นจึงหมุนตัวเดินจากไป
นอกห้องโถงใหญ่ แสงฤดูใบไม้ผลิอบอุ่นงดงาม
เฉินผิงอันเดินข้ามธรณีประตูออกไป
ตอนนี้สะพานแห่งความเป็นอมตะถูกสร้างขึ้นมาใหม่ หลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตชิ้นแรกได้สำเร็จ ก็เท่ากับว่าเฉินผิงอันเดินข้ามธรณีประตูของผู้ฝึกลมปราณเข้ามาแล้ว
แต่นี่ไม่ใช่โชควาสนาที่ใหญ่เทียมฟ้าอะไร ใต้หล้านี้มีเรื่องดีที่คนคนหนึ่งได้กินทั้งอุ้งตีนหมีและหูฉลามพร้อมกันน้อยมาก โดยเฉพาะคนที่ควบสองสถานะอย่างผู้ฝึกลมปราณและผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวที่ยิ่งวิ่งก็ยิ่งห่างไกลเป้าหมาย ใช่ว่าจะไม่มีคนที่ฝึกควบสองอย่าง แต่กวาดตามองไปตามทั่วหล้าทั้งหลายกลับมีหร็อมแหร็มเพียงหยิบมือ ผู้ฝึกกระบี่บางคนของกำแพงเมืองปราณกระบี่ นักพรตเรือนเตาซือ และยังมีตัวประหลาดทั้งหลายที่ชุยฉานเคยเอ่ยถึงเหมือนไม่ได้ตั้งใจ ก็ถือว่าอยู่ในประเภทนี้ การที่การกระทำเช่นนี้ถูกมองว่าเป็นเรื่องโง่เง่านั้นอยู่ที่ว่า ยิ่งเดินไปข้างหลังก็ยิ่งง่ายที่จะปรากฏช่องโหว่ที่ร้ายแรงถึงชีวิต เดิมทีการสร้างโอสถทองของผู้ฝึกลมปราณก็ไม่ง่ายอยู่แล้ว การฝ่าทะลุคอขวด การทำลายจิตมารของก่อกำเนิดก็ยากยิ่งกว่ายาก ร่างทองมิพ่ายที่ลัทธิพุทธฝึกฝน ร่างแก้วไร้มลทินที่ลัทธิเต๋าแสวงหา อันที่จริงก็คือการไล่ตามสองคำว่า ‘ไร้ที่ติ’ อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเท่านั้น และการฝึกตนบนวิถีวรยุทธ์ก็ยิ่งต้องมีคำว่าเต็มตัวนำหน้า
หากเลือกที่จะบุกเบิกทางสองเส้นในเวลาเดียวกันก็เท่ากับหาเรื่องลำบากให้ตัวเอง ง่ายที่จะไปไม่ถึงทั้งสองฝั่ง ความสำเร็จในท้ายที่สุดจึงมีจำกัด
และในขณะที่เท้าขวาของเฉินผิงอันก็กำลังจะข้ามออกไปจากธรณีประตูนั้นเอง ปราณวิญญาณระลอกหนึ่งก็กระเพื่อมไหวอยู่ด้านหลังเขาพร้อมเสียงทุ้มหนักดังขึ้น “เซียนซือโปรดหยุดก่อน”
เฉินผิงอันหดเท้าหมุนตัวเดินกลับเข้าไปในตำหนักใหญ่ บนเทวรูปหลากสีมีแสงสีทองชั้นหนึ่งกระเพื่อมเป็นริ้ว จากนั้นก็มีแม่ทัพบู๊วัยกลางคนที่สวมเสื้อเกราะสีทองตนหนึ่งเดินออกมาจากในเทวรูป พลิ้วกายลงในตำหนักใหญ่
อริยะบู๊ในท้องถิ่นของแคว้นชิงหลวนท่านนี้กุมหมัดยิ้มกล่าวว่า “เรื่องครั้งนี้โชคดีที่ได้ลูกศิษย์คนนั้นของเซียนซือให้การช่วยเหลือ ถึงได้ทำให้ศาลบุ๋นบู๊ของพวกเขาผ่านพ้นหายนะมาได้ ไม่ทราบว่าเซียนซือจะให้โอกาสพวกเราได้ตอบแทนสักครั้งหรือไม่? หากเซียนซือต้องการสิ่งใดก็บอกมาได้เลย ขอแค่เป็นสิ่งที่พวกเราสองศาลทำได้ ย่อมไม่กล้าปฏิเสธแน่นอน”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ลงมือช่วยเหลือครั้งนี้เป็นความต้องการของลูกศิษย์ข้าคนเดียว ไม่เกี่ยวอะไรกับข้า อริยะบู๊ไม่ต้องขอบคุณข้า ครั้งนี้ข้าก็แค่ผ่านทางมาเท่านั้น รบกวนท่านแล้ว”
อริยะบู๊กล่าวอย่างจนใจ “แต่ข้ากลับอยากให้ท่านรบกวน”
เฉินผิงอันไร้คำพูดตอบโต้
ควันธูปขององค์เทพคือเรื่องที่มหัศจรรย์อย่างถึงที่สุด
เดิมทีเฉินผิงอันก็ไม่มีอะไรให้ทำอยู่แล้ว จึงไปหยิบเบาะรองนั่งมาแล้วนั่งลง อริยะบู๊ร่ายเวทอำพรางตาเพื่อป้องกันไม่ให้คนธรรมดาแตกตื่น แล้วก็นั่งลงเช่นกัน
เฉินผิงอันสอบถามเรื่องประวัติความเป็นมาและกฎระเบียบเกี่ยวกับศาลบุ๋นบู๊ทั้งสองแห่ง แล้วก็ถามเกี่ยวกับเรื่องหัวใจบุ๋น คำถามข้อนี้ปะปนอยู่กับคำถามมากมายที่ฟังดูสะเปะสะปะ จึงฟังดูแล้วไม่กะทันหันสักเท่าไหร่
อริยะบู๊ตอบทุกเรื่องที่ตัวเองรู้ไปทีละคำถาม
เฉินผิงอันได้สิ่งที่ต้องการก็ลุกขึ้นเอ่ยขอบคุณแล้วบอกลา อริยะบู๊เพียงแค่มาส่งที่หน้าประตูของห้องโถงใหญ่ หลังจากที่เซียนซือหนุ่มผู้นั้นค่อยๆ จากไปไกลแล้ว ร่างทองก็หวนย้อนกลับไปพักพิงอยู่ในเทวรูปดินเผาอีกครั้ง
คนหนุ่มชุดขาวเดินอยู่บนถนน เดินผ่านต้นไม้สีเขียวขจี เดินผ่านสุนัขพันธ์พื้นบ้านที่นอนหมอบตากแดดอยู่บนพื้น เดินผ่านกลุ่มเด็กๆ ที่หัวเราะสนุกสนาน คนหนุ่มพึมพำกับตัวเองเบาๆ ไปด้วย
“เจ้าอายุเท่านี้ ย่อมต้องมีเรื่องที่ทำไม่ได้ หรือบางทีพยายามแล้วทำได้ แต่ก็ทำได้ไม่ดี จะเป็นอะไรไป ไม่เป็นไรหรอก”
“แต่ทำไม่ดีกับทำผิดเป็นคนละเรื่องกัน อายุน้อยทำความผิดก็ไม่ต้องกลัว แต่นี่ก็ไม่ใช่เหตุผลที่รู้ว่าผิดแล้วไม่แก้ไข”
“หากเจ้ามีพ่อแม่คอยดูแล เมื่อทำผิดพวกเขาย่อมตีเจ้าดุเจ้า หากไปเรียนหนังสือที่โรงเรียน อาจารย์ก็จะเอาไม้บรรทัดมาตีฝ่ามือเจ้า เป่าผิงน้อยมีอาจารย์ฉี มีพี่ใหญ่หลี่ซีเซิ่ง เฉาฉิงหล่างมีพ่อแม่ ตอนนี้ยังได้เรียนในโรงเรียน แต่เจ้าไม่มีเลยสักอย่าง ไม่เป็นไร ข้าจะสอนเจ้าเอง”
“แต่สอนอย่างไรถึงจะดีกับเจ้าที่สุดกันนะ? ตอนที่ข้าอายุเท่าเจ้าก็ไม่เคยมีใครสอนข้ามาก่อนเหมือนกัน”
คนหนุ่มต่างถิ่นผู้นี้เดินผ่านกลอนคู่ที่เขียนได้ธรรมดาสามัญ เดินผ่านเทพทวารบาลที่วาดอย่างหยาบๆ
เขาไม่ได้รีบร้อนกลับไปที่โรงเตี๊ยม
เฉินผิงอันพลันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงเดินเลี้ยวเข้าไปในตรอกที่เงียบสงบ หยิบยันต์กระดาษเหลืองแผ่นหนึ่งออกมาจากแผ่นหยกวัตถุจื่อชื่อ ก็คือยันต์แผ่นที่ผีงามโครงกระดูกของแคว้นไฉ่อีพักอาศัย ตอนที่อยู่บนเกาะกุ้ยฮวาเดินทางไปภูเขาห้อยหัว น้ากุ้ยกับผู้ฝึกกระบี่โอสถทองหม่าจื้อช่วยให้เขาทำสัญญากับนาง เพียงแต่ในอดีตเฉินผิงอันเคยเจอกับความยากลำบากที่ผีสาวชุดแต่งงานสร้างให้มาก่อน จึงรู้สึกไม่ชอบพวกวัตถุหยินที่สร้างความวุ่นวายตามสัญญาตญาณ นับตั้งแต่ออกจากเกาะกุ้ยฮวามาจนถึงทุกวันนี้จึงไม่เคยให้โอกาสผีสาวได้ปรากฎตัว
เวลานี้นางกลับมาได้เห็นแสงตะวันอีกครั้งก็ให้รู้สึกปรับตัวไม่ทัน ยืนอยู่ในเงามืด เรือนกายสะโอดสะอง แต่กลับแผ่ปราณอึมครึมเยียบเย็น
นางสวมชุดหรูหรางดงามชายแขนเสื้อกว้างใหญ่ สองมือซ่อนอยู่ในชายแขนเสื้อ แต่เฉินผิงอันรู้ดีว่า นอกจากดวงหน้าที่งามล้ำแล้ว นับตั้งแต่ลำคอลงไปของผีสาวตนนี้ล้วนมีแต่กระดูกขาวโพลน
นางยอบกายคารวะ เผยให้เห็นข้อมือสองข้าง…ที่เป็นโครงกระดูกสีขาวหิมะ กล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “บ่าวคารวะนายท่าน”
เฉินผิงอันรู้สึกลำบากใจที่จะพูด จึงเกิดลังเลใจตัดสินใจไม่ได้
ตอนที่ลงนามทำสัญญา เฉินผิงอันถึงเพิ่งจะรู้ว่าชื่อจริงของผีสาวคือสือโหรว
เฉินผิงอันคอยระวังว่าบริเวณใกล้เคียงมีคนผ่านทางมาหรือไม่พลางใคร่ครวญหาคำพูดไปด้วย
นางยิ้มกล่าว “นายท่านต้องการให้บ่าวทำเรื่องสกปรกบางอย่างหรือ? นายท่านไม่ต้องลังเลใจ เดิมทีนี่ก็เป็นงานในหน้าที่ของบ่าวอยู่แล้ว”
เฉินผิงอันถอนหายใจ ส่ายหน้ากล่าวว่า “ไม่ได้จะให้เจ้าไปทำเรื่องสกปรกที่สู้หน้าใครไม่ได้ เจ้าเป็นสตรี ข้าอยากจะถามเรื่องบางอย่างที่พวกเจ้าถนัด”
ผีงามโครงกระดูกหรี่ตาลง “อ้อ? ขอถามนายท่าน เป็นเรื่องระหว่างชายหญิงหรือไม่?”
แล้วนางก็เริ่มหัวเราะ ยื่นมือกระดูกข้างหนึ่งโผล่มาจากชายแขนเสื้อกว้างใหญ่ ยกขึ้นปิดปากหัวเราะ ทว่าสายตากลับเย็นชา “คิดไม่ถึงว่านายท่านจะมีความชื่นชอบในเรื่องนี้ด้วย นับว่าเป็นโชคดีของบ่าว”
เฉินผิงอันไม่ถือสาคำเหน็บแนมของนาง เพียงกล่าวอย่างหน่ายใจว่า “ข้าอยากถามเจ้าว่าตอนยังมีชีวิตอยู่ เคยแต่งงานเป็นภรรยาของบุรุษ เคยอบรมสั่งสอนบุตรหรือไม่? เข้าใจวิธีตั้งกฎเกณ์ให้กับลูกหลานหรือเด็กรุ่นหลังในตระกูลบ้างไหม”
นางมึนงงสับสน เห็นได้ชัดว่าความคิดของเฉินผิงอันอยู่เหนือจากการคาดการณ์ของนางไปมาก ในอดีตจิตวิญญาณของนางถูกกักไว้ในม้วนภาพวาด ถูกเซียนซือผู้เฒ่าคนนั้นใช้ให้ทำเรื่องชั่วร้าย เรื่องน่าสะอิดสะเอียนที่ขัดต่อเจตจำนงของตนจนเคยชิน เพราะถึงอย่างไรก็ดีกว่าต้องทนเห็นดวงวิญญาณของพี่สาวน้องสาวแหลกสลาย ดวงวิญญาณของพี่น้องที่น่าสงสารเหล่านั้นยังต้องถูกผู้เฒ่าใช้ ‘วิชานั่งเทียน’ หนึ่งในเวทอาคมของตระกูลเซียนอันโหดเหี้ยมอำมหิตมาทำเป็นไส้ตะเกียง ค่อยๆ หลอมละลายไปทีละนิด น่าสังเวชอเนจอนาถอย่างถึงที่สุด นอกจากนาง ใครจะกล้าละเมิดกฎไม่ทำตามอีก?
ตอนนี้นางได้เปลี่ยนเจ้านายคนใหม่แล้ว แต่เหตุใดถึงเปลี่ยนแปลงไปมากขนาดนี้?
นางผ่อนลมหายใจโล่งอก ก่อนจะส่ายหน้า “ตอนมีชีวิตอยู่บ่าวไม่เคยแต่งงาน ยิ่งไม่เคยรู้เรื่องที่นายท่านพูดถึง”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็เก็บนางกลับเข้าไปในยันต์ แล้วใส่ไว้ในวัตถุจื่อชื่อ
ในความมืดมิดของกรงขังยันต์ ร่างของผีสาวล่องลอย นางมีสีหน้ามึนงง นี่คือจบเรื่องแล้ว?
นางไม่พอใจเล็กน้อย หากรู้แต่แรกว่าจะเป็นเช่นนี้ก็ควรจะหลอกเขาสักหน่อย นี่มันนานเท่าไหร่แล้วที่ตนไม่เคยเห็นทัศนียภาพของฟ้าดินด้านนอกเลย?
ต่อให้ต้องเจ็บปวดเพราะถูกลมพายุพัดเป่าเหมือนถูกกรีดเนื้อ โดนสายฟ้าฤดูใบไม้ผลิฟาดผ่าประหนึ่งถูกเถือกระดูก นางก็ยินดี
เฉินผิงอันเดินออกจากตรอก สุดท้ายไปนั่งกอดเข่าเหม่อลอยอยู่บนบันไดนอกประตูบานใหญ่ที่ปิดสนิท
ครอบครัวหนึ่งที่มีกันสามคน แต่ละคนสวมเสื้อผ้าเรียบง่ายเดินผ่านมา เด็กน้อยไร้เดียงสา ไร้ทุกข์ไร้กังวล แต่สตรีแต่งงานแล้วกลับตาแดงก่ำคล้ายกำลังน้อยเนื้อต่ำใจ บุรุษยิ้มประจบ พูดจาหวานหู ในมือถือเนื้อชิ้นยาวที่ห่อด้วยกระดาษน้ำมัน ทว่ายิ่งบุรุษทำตัวกระตือรือร้นเช่นนี้ สตรีแต่งงานแล้วก็ยิ่งโมโห สุดท้ายจึงจูงมือลูกเดินเร็วๆ จากไป ทิ้งบุรุษให้ยืนอยู่เพียงลำพัง
บุรุษห่อไหล่งอเอว รู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย กลับบ้านเดิมพร้อมภรรยาครั้งนี้ ลูกเขยทั้งหลายมารวมตัวกัน บางคนทำงานในที่ว่าการ บางคนเป็นอาจารย์สอนหนังสือในบ้านคนรวย แน่นอนว่ายังมีชาวไร่ชาวนาอย่างเขา พ่อตามอบของขวัญกลับคืนมาให้ ลูกเขยอีกสองคนต่างก็ได้ขาหมู แต่เขากลับได้เนื้อยาวๆ มาชิ้นเดียว ในใจเขาย่อมมีโทสะ แต่ภรรยาโทษเขา เขาเป็นบุรุษจะให้ทะเลาะกับนางต่อหน้าลูกอย่างนั้นหรือ? จะว่าไปแล้วก็เป็นเพราะเขาไม่เอาถ่านเองไม่ใช่หรือไง? บุรุษถอนหายใจ พลันสังเกตเห็นว่าหน้าประตูห่างไปไม่ไกลมีชายหนุ่มแปลกหน้าคนหนึ่งนั่งอยู่ บุรุษจึงยืดเอวตั้งตรงตามจิตใต้สำนึก คลี่ยิ้มให้เฉินผิงอันแล้วถึงวิ่งเหยาะๆ ไล่ตามภรรยาที่เดินห่างไปไกลทุกที
เฉินผิงอันมองภาพนี้ แม้ว่าจะพูดภาษาถิ่นของที่นี่ไม่ได้ แต่เดิมทีเขาก็มีชาติกำเนิดยากจนจากตรอกหนีผิงอยู่แล้ว รู้ดีถึงการกระทบกระทั่งในกลุ่มชาวบ้านชนชั้นล่าง รู้ดีถึงเรื่องหยุมหยิมยิบย่อยที่บั่นทอนใจคนไปอย่างช้าๆ พวกนั้นดี ดังนั้นเฉินผิงอันจึงพอจะเดาได้คร่าวๆ ว่า รอให้เด็กคนนั้นโตขึ้นอีกหน่อย เกรงว่าคงจะรู้ได้ถึงความทุกข์ยากของพ่อแม่เขาบ้างกระมัง ตอนที่เรียนหนังสือในโรงเรียนก็น่าจะขยันมากขึ้น รอยยิ้มในช่วงเวลาปกติอาจจะน้อยลงไปมาก อาจจะรู้สึกว่าบิดาที่ค้ำฟ้ายันดินได้ในใจของเขา แท้จริงแล้วค่อนข้างจะไม่ได้เรื่อง จะรังเกียจพ่อเหมือนกับแม่เขาไปด้วย แต่ก็มีความเป็นไปได้ว่าระหว่างทางที่กลับบ้านวันนี้จะช่วยพ่อเขาแบกเนื้อชิ้นนั้น จากนั้นพ่อแม่ของเขาก็จะกลับมาดีกันดังเดิม รู้สึกว่าถึงท้ายที่สุดแล้วชีวิตก็ยังผ่านพ้นไปได้
ล้วนมีความเป็นไปได้ทั้งนั้น
……
เผยเฉียนคัดตัวอักษรอยู่ในห้องของตัวเอง
คัดตัวอักษรเสร็จแล้ว นางก็ย่องมายืนอยู่ตรงหน้าประตูเงียบๆ แอบฟังความเคลื่อนไหวจากข้างนอก
เพียงแต่ว่ารออยู่นานก็ยังไม่ได้ยินเสียงฝีเท้า
นางจึงนั่งหันหลังให้กับประตู มองปลายเท้าตัวเอง
ตอนแรกๆ ที่ยังไม่ชินกับทางเดินบนภูเขา ใต้ฝ่าเท้าของนางเต็มไปด้วยตุ่มแผลผุพอง แต่นางกลับไม่กล้าใช้หนามบ่งให้แตก
มีคนคนหนึ่งมานั่งอยู่ข้างกายนาง ช่วยบ่งตุ่มน้ำให้นางทีละตุ่มทีละตุ่ม จากนั้นพอทายาสมุนไพรที่ถูกบดจนเละก็จะไม่เจ็บแล้ว
ตอนที่เผยเฉียนกำลังนั่งเหม่อ ด้านนอกประตูก็มีเสียงที่คุ้นเคยถามขึ้น “คัดตัวอักษรของวันนี้แล้วหรือยัง?”
เผยเฉียนรีบกระโดดผลุงขึ้น ตะโกนตอบเสียงดัง “คัดเสร็จแล้ว!”
เสียงฝีเท้าค่อยๆ ห่างออกไป จากนั้นก็เป็นเสียงประตูห้องด้านข้างที่ปิดลงเบาๆ
บทที่ 386.1 คราบร่างเซียนเหรินมีผีพัก...
สุยโย่วเปียนไม่ได้เปิดประตูให้ชุยตงซาน แม้ชุยตงซานจะบอกกับนางว่าตนสามารถช่วยทำให้เวทกระบี่ ปณิธานกระบี่ หรือแม้แต่วิถีกระบี่ของนางสูงขึ้นจากเดิมได้ถึงสามฉื่อ เท่ากับว่าสุยโย่วเปียนจะได้ตัวอ่อนกระบี่ตระกูลเซียนมาเพิ่มอีกเล่มหนึ่งอย่างเปล่าๆ แต่สุยโย่วเปียนก็ยังคงไม่เปลี่ยนใจ
ชุยตงซานยืนลูบปลายคางอยู่นอกประตู ลองเปลี่ยนวิธีใหม่โดยการถามสุยโย่วเปียนว่า อยากรู้หรือไม่ว่าเซียนกระบี่ที่แท้จริงของใต้หล้าไพศาลมีท่วงท่าองอาจสง่างามถึงเพียงไหน
สุยโย่วเปียนยังคงไม่สะทกสะท้าน ใช้แท่นสังการมังกรก้อนหนึ่งขัดกลึงกระบี่ชือซิน แท่นสังหารมังกรก้อนนี้นางซื้อต่อมาจากเฉินผิงอัน ตอนที่มาอยู่ในมือนางเหลือขนาดหนาเท่าแค่ฝ่ามือ ถือว่าเป็นของที่กระบี่บินชูอีสืออู่ ‘กิน’ เหลือ
แม้ว่าเดิมทีชือซินก็เป็นสมบัติอาคมตระกูลเซียนที่นักพรตคนหนึ่งสร้างขึ้น อีกทั้งยังมีโอกาสที่จะเลื่อนระดับขั้นให้สูงขึ้น แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่ถูกฟูมฟักมาจากร่างของผู้ฝึกกระบี่ จึงยังถือว่ายังอยู่ในขอบเขตของวัตถุไร้ชีวิต ดังนั้นจึงไม่เหมือนกับกระบี่บินสองเล่มนั้นของเฉินผิงอันที่แค่วางแท่นสังหารมังกรไว้ให้ก็ไม่ต้องสนใจอีก สุยโย่วเปียนที่ต้องการหล่อหลอมชือซินจึงจำเป็นต้องเผาผลาญพลังใจในการจับตามองดูมัน
ตอนที่กระบี่ถูกขัดกลึง ลูกไฟสาดกระเซ็นไปทั่วจนเกิดเป็นสะเก็ดแสงห้าสีที่ลี้ลับเกินจะหยั่ง สุยโย่วเปียนรู้แค่ว่าแท่นสังหารมังกรถูกขนานนามให้เป็นหินลับกระบี่ที่มีมูลค่าสูงสุดของโลก ส่วนต้นสายปลายเหตุนั้น นางยังไม่รู้ แต่ระหว่างที่ใช้แท่นสังหารมังกรลับกระบี่ก็ทำให้สุยโย่วเปียนได้ผลประโยชน์มหาศาลเช่นกัน ปราณกระบี่ที่เล็กละเอียดไหลเวียนวนดุจก้อนเมฆที่มารวมตัว ก่อนจะแยกออกจากกัน ล่องลอยไปตามเส้นทางปราณวิญญาณบางอย่างที่ไม่หยุดนิ่ง ประกายแสงพุ่งวาบผ่านไปบนคมกระบี่ เกิดเป็นแสงวาววับคมกริบ
ราวกับว่าวัตถุที่ถูกลับ นอกจากกระบี่อาคมชือซินแล้ว ยังมีจิตแห่งกระบี่ของนางที่เดิมทีก็ใสกระจ่างอยู่แล้วด้วย
ชุยตงซานแปลกใจยิ่งนัก บุคคลที่ลุ่มหลงในกระบี่อย่างถึงที่สุดเฉกเช่นสุยโย่วเปียน เขาอาจเคยเจอมาไม่ถึงหนึ่งร้อย แต่ก็ต้องมีหลายสิบคนแล้ว อันที่จริงจิตใจของพวกเขานั้นเรียบง่ายที่สุด พูดให้น่าฟังก็เรียกว่าจิตใจมั่นคงยึดมั่น แต่พูดให้ไม่น่าฟังสักหน่อยก็เรียกว่าหัวแข็งดึงดัน ไม่รู้จักเดินอ้อม สร้างถ้อยคำที่น่าฟังให้แก่ตัวเองว่าวิถีแห่งกระบี่ต้องเดินด้วยตัวเอง อีกทั้งดูจากการที่นางหล่อเลี้ยงปราณกระบี่ด้วยความอบอุ่นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน สิ่งที่นางต้องการอย่างแท้จริงกลับเป็นจิตแห่งกระบี่ ซึ่งนี่ไม่ใช่สิ่งที่พวกอาจารย์กระบี่แสวงหา เห็นได้ชัดว่าสุยโย่วเปียนตั้งใจจะเปลี่ยนจากผู้ฝึกยุทธ์มาเป็นผู้ฝึกลมปราณ มีปณิธานว่าจะได้เป็นหนึ่งในเซียนกระบี่อันดับต้นๆ ของใต้หล้าไพศาล อีกทั้งยังเป็นผู้หญิงโง่เง่าที่คิดว่าโลกหมุนวนรอบตัวเอง ตามหลักแล้วนางก็ไม่ควรกระบิดกระบวนขนาดนี้ถึงจะถูก
ชุยตงซานที่กินน้ำแกงประตูปิดจนปัญญากับนาง หากเป็นเซี่ยเซี่ย ป่านนี้เขาคงถีบประตูบุกเข้าไปตบนางให้คว่ำแล้ว ทว่าสุยโย่วเปียนมีเฉินผิงอันเป็นยันต์คุ้มกันกาย ชุยตงซานจึงอดรู้สึกเหมือนถูกมัดมือมัดเท้าอย่างเลี่ยงไม่ได้ ในเมื่อไม่อาจร่ายใช้วิธีการอันอัศจรรย์ที่สั่งสอนและปรับเปลี่ยนใจคนได้ ก็ได้แต่จากไป
อันที่จริงเขายังมีอีกเรื่องหนึ่ง ขอแค่พูดออกไป ไม่มีทางที่สุยโย่วเปียนจะไม่หวั่นไหว เพียงแต่ตอนนี้เขายังไม่อยากแบไต๋ของตัวเองเท่านั้น
กลับไปที่ห้องของตัวเอง พอปิดประตูลง ชุยตงซานก็กระทืบเท้าหนักๆ หนึ่งที เรียกเทพแห่งผืนดินของที่แห่งนี้ออกมารับคำสั่ง คือสตรีแต่งงานแล้วรูปร่างอวบอิ่มที่แต่งตัวได้งดงามฉูดฉาด นับว่าค่อนข้างหาได้ยาก ชุยตงซานยืนอยู่ริมเตียง ทิ้งตัวนอนหงายไปด้านหลัง สลัดรองเท้าหุ้มแข้งออก บอกให้เจ้าแม่เทพแห่งผืนดินที่ระดับขั้นต่ำที่สุดช่วยทุบขาให้เขา สตรีแต่งงานแล้วหลุบตาต่ำนั่งคุกเข่าอยู่ข้างเท้าของเซียนซือท่านนี้ ลงมือนวดด้วยท่วงท่านุ่มนวล ว่าง่ายอย่างถึงที่สุด
อากาศหนาวเย็น สี่ฤดูกาลหมุนเวียนเปลี่ยนผ่าน เกิดแก่เจ็บตาย ลมปราณทำให้เป็นเช่นนี้
ผู้ที่กินลมปราณอายุขัยยืนยาว นี่ก็คือหนึ่งในที่มาของผู้ฝึกลมปราณ เกี่ยวพันไปถึงรากฐานมหามรรคาที่แท้จริง
อริยะเคยกล่าวไว้ว่า คนกินเนื้อกล้าหาญแกร่งกร้าว คนกินธัญพืชทั้งห้าเฉลียวฉลาดมีปฏิภาณ คนกินลมปราณอายุขัยยืนยาว คนที่ไม่กินอะไรเลยคือเทพเซียนที่ไม่ตาย
สามอย่างแรกค่อนข้างจะเข้าใจได้ง่าย แต่ประโยคสุดท้ายกลับพูดอย่างคลุมเครือไม่ครบถ้วนกระบวนความ มีทั้งความนัยที่ว่า ‘มรรคามิอาจกล่าว’ เพราะในเรื่องนี้มีข้อห้ามที่ใหญ่มากเกินไป มีทั้งความนัยถึงทางสายขาดของผู้ฝึกยุทธ์ และมีทั้งความนัยที่ว่าอริยะของฝ่ายต่างๆ ล้วนไม่คาดหวังให้คนรุ่นหลังสืบเสาะตามหาต้นกำเนิดควันธูปของเทพเซียน
แต่ชุยตงซานกลับรู้ถึงสามชั้นของผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสิบ ปราณโชติช่วง คืนความจริง เทพมาเยือน ตอนนี้ซ่งจ่างจิ้งอ๋องผู้ครองเมืองน่าจะอยู่แค่ช่วงปราณโชติช่วง กลับเป็นหลี่เอ้อร์ที่มีขอบเขตปลายทางของวิถีวรยุทธ์เสียอีกที่เลื่อนสู่คืนความจริงแล้ว ครั้งแรกที่ชุยตงซานได้ข่าวนี้ เขารู้สึกประหลาดใจอย่างมาก เป็นเหตุให้วิ่งไปสั่งสอนอวี๋ลู่ที่วันๆ เอาแต่เที่ยวเล่นส่งเดชเป็นเพื่อนเกาเซวียนองค์ชายต้าสุยมาคำรบหนึ่ง อวี๋ลู่ที่หน้าบวมจมูกเขียวก็ไม่กล้าเอาคืน คาดว่าจนถึงตอนนี้ก็คงยังไม่เข้าใจว่าเหตุใดอยู่ดีๆ ถึงได้โดนซ้อม และอวี๋ลู่ก็ยิ่งไม่เข้าใจประโยคว่า ‘ระวังว่าวันหน้าในมือจะมีกระดาษชำระ แต่กลับไม่มีห้องส้วมให้เจ้าเข้าไปขี้’ ของชุยตงซาน
ชุยตงซานร้อนใจแทนลูกสมุนจริงๆ ขนาดหนึ่งแคว้นยังมีการแบ่งชะตาบู๊ว่าหนาบางหรือตื้นลึก หนึ่งทวีปจะไม่มีได้อย่างไร? เดิมทีแจกันสมบัติทวีปก็เป็นทวีปที่เล็กที่สุดในใต้หล้าไพศาลอยู่แล้ว ผลกลับกลายเป็นว่าซ่งจ่างจิ้งที่อายุยังน้อยก็ได้เลื่อนขั้นสู่ขอบเขตปลายทาง ตามมาติดๆ ด้วยหลี่เอ้อร์ที่พอเดินทางไปเยือนอุตรกุรุทวีป เพียงไม่นานก็แซงหน้าอีกฝ่ายไป ตอนนี้จึงกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสิบขั้นคืนความจริงแล้ว แล้วนับประสาอะไรกับที่ยังมีตาแก่ผู้นั้นอยู่อีกคน ว่ากันว่าตอนนี้นิสัยของเขาเปลี่ยนไปมาก เก็บตัวเงียบเป็นฤษีอยู่ในเรือนไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่วใช้ชีวิตอย่างอิสระเสรีไปแล้ว
ดังนั้นหากไม่เป็นเพราะเจิ้งต้าเฟิงผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเก้าล้มหัวทิ่มอยู่ในนครมังกรเฒ่า เปลี่ยนจากคนที่มีหวังว่าจะเลื่อนสู่ขอบเขตปลายทางมาเป็นคนไร้ค่า คาดว่าร้อยปีในอนาคต เส้นทางสายขาดใต้ฝ่าเท้าของผู้ฝึกยุทธ์แจกันสมบัติทวีปก็คงไม่ใช่ขอบเขตสิบอะไรอีกแล้ว แต่ถดถอยลงไปที่ขอบเขตเก้าโดยตรง บวกกับเฉินผิงอัน รวมไปถึงผู้ติดตามสี่คนที่จู่ๆ ก็โผล่มาในแจกันสมบัติทวีป เจ้าอวี๋ลู่และเซี่ยเซี่ย ในฐานะคู่บ่าวใต้การปกครองของข้าชุยตงซานกลับไม่ใช้สมอง ไม่รีบไปนั่งยองตำแหน่งห้องส้วมของผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสิบซะ ไม่อย่างนั้นวันหน้าคิดจะขี้ก็ไม่มีที่ให้ขี้แล้ว
อวี๋ลู่-อวี๋หลู เศษเดนสกุลหลูที่เหลืออยู่ ในฐานะรัชทายาทของราชวงศ์สกุลหลูที่แคว้นล่มสลาย หากไม่ใช่เศษเดนสกุลหลูยังจะเป็นอะไรได้อีก
ขอบเขตวิถีวรยุทธ์ของอวี๋ลู่ไต่ทะยานไปตลอดทาง ประเด็นสำคัญคือทุกก้าวที่เดินขึ้นบันไดไปยังนับได้ว่ามั่นคง นอกจากพรสวรรค์ในการเรียนวรยุทธ์ของตัวเขาเองที่ดีเยี่ยมที่สุดแล้ว ที่มากกว่านั้นยังเป็นเพราะฮ่องเต้สกุลหลูสติวิปลาส ถ่ายโอนโชคชะตาบู๊ครึ่งหนึ่งของแคว้นมาไว้บนร่างของรัชทายาทอวี๋ลู่
ในสายตาของอริยะแล้ว ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวไม่ใช่ก้อนหินในห้องส้วมที่ทั้งเหม็นทั้งแข็ง ทั้งเอาออกหน้าออกตาไม่ได้หรอกหรือ?
ชุยตงซานเป็นกังวลอย่างมาก คนโง่ใต้หล้านี้มีมากเกินไปแล้ว ไม่มีใครเข้าใจการมองการณ์ไกลของเขาเลย ก่อนหน้านี้เป็นกลุ่มเด็กๆ เซี่ยเซี่ย อวี๋ลู่ ตอนนี้ยังมามีคนข้างกายเฉินผิงอันอย่างพวกจูเหลี่ยน หลูป๋ายเซี่ยงนี่อีก
ยังคงเป็นเป่าผิงน้อยที่ดีที่สุด
เพียงแต่ว่าแม่นางน้อยชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงนิสัยเจ้าอารมณ์ไปสักหน่อย
ชุยตงซานล้มตัวลงบนเตียง ยกมือลูบหน้าผากตัวเอง อยู่ดีๆ ก็รู้สึกอารมณ์เสียจึงถีบเจ้าแม่เทพแห่งผืนดินของอำเภอแห่งนี้กระเด็นออกไป
ร่างของสตรีแต่งงานแล้วกระแทกลงบนผนัง ต่อให้ระดับขั้นต่ำแค่ไหนก็ยังเป็นองค์เทพที่ได้รับควันธูปจากโลกมนุษย์ จึงไม่มีเสียงใดๆ เล็ดรอดออกมา นางรีบลุกขึ้นยืนอย่างเงียบเชียบ กล่าวอย่างกล้าๆ กลัวๆ “บ่าวโง่เขลา ขอเซียนซือโปรดระงับโทสะ”
ก่อนหน้านี้เทพเซียนต่างถิ่นผู้มีที่มาไม่แน่ชัดคนนี้คุมตัวนางจาก ‘จวน’ เรียบง่ายใต้ดินให้ไปโผล่ที่ศาลบู๊ของอำเภอ จากนั้นก็สะบัดชายแขนเสื้อหนึ่งครั้งกระชากร่างทองของอริยะแม่ทัพบู๊ออกมาจากเทวรูป สอบถามต้นสายปลายเหตุของเรื่องราวแล้วคืนนั้นก็จัดการกับความแค้นที่เดิมทีหากไม่มีใครตายก็ไม่ยอมเลิกราให้ยุติลง อริยะควันธูปสองท่านจากศาลบุ๋นบู๊ที่ได้รับความช่วยเหลือจากคนผู้นี้ก็ได้ร่างทองที่บริสุทธ์กลับคืนมา แต่ที่ทำให้คนคิดเป็นร้อยตลบก็คิดไม่ตกเลยก็คือ ตระกูลที่มีลูกศิษย์สำนักเซียนแห่งนั้นกลับรู้สึกปิติยินดีชื่นมื่นกันไปทั้งจวน ราวกับว่าได้เปรียบครั้งใหญ่อย่างไรอย่างนั้น
จะไม่ให้นางกลัวได้อย่างไร
ผู้ฝึกลมปราณหนุ่มที่มีขอบเขตถ้ำสถิตคนหนึ่งกลับเกือบจะทำให้ฮวงจุ้ยของอำเภอเปลี่ยนแปลงไป คนต่างถิ่นที่นางใคร่ครวญดูแล้วคิดว่าอย่างน้อยก็ต้องเป็นเซียนดินผู้นี้ ไม่ควรไปมีเรื่องด้วย ขนาดองค์เทพที่ได้รับการสืบทอดอย่างถูกต้องสองท่านแห่งศาลบุ๋นบู๊ซึ่งตอนมีชีวิตอยู่หยิ่งทระนงอย่างถึงที่สุดก็ยังเต็มใจทำหน้าที่เป็นเทพทวารบาลให้กับเขา ยืนเฝ้าอยู่นอกโรงเตี๊ยมหนึ่งคืนเป็นการตอบแทนพระคุณ นางเป็นแค่เทพผืนดินเล็กๆ ที่ได้แต่กินเศษซากน้ำแกงเหลือของคนอื่น อีกทั้งยังเป็นสตรีคนหนึ่ง ไหนเลยจะกล้าวางตัวโอหังอวดดี
ชุยตงซานนั่งลงข้างโต๊ะ ด้านบนวางตำราของนักประพันธ์ปึกหนึ่งที่ซื้อติดมือมาระหว่างเดินทาง ส่วนใหญ่เป็นผลงานของนักประพันธ์ที่มีชื่อแคว้นชิงหลวน ชุยตงซานหยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมาเปิด เปิดอ่านได้ไม่กี่หน้าก็เริ่มอ้าปากหาว
เขากวักมือเรียก “เจ้ามาช่วยเปิดหนังสือให้ข้า”
นางรีบเดินไปหา ช่วยเปิดตำราให้กับ ‘เด็กหนุ่ม’ ที่หน้าตางดงามผู้นี้ นี่เป็นงานที่ต้องใช้ความประณีตบรรจง จำเป็นต้องคอยสังเกตสายตาของเซียนซืออย่างละเอียด เปิดเร็วไปหรือเปิดช้าไปต้องทำให้เซียนซือไม่สบอารมณ์อีกเป็นแน่
ชุยตงซานอ่านไปอีกไม่กี่หน้าก็โบกมือ “หลังจากนี้ไม่มีธุระของเจ้าแล้ว”
นางไม่กล้าเผยสีหน้าดีใจออกมาแม้แต่น้อย ขณะที่กำลังจะบอกลาก็พลันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ ชั่งน้ำหนักอยู่ครู่หนึ่งก็ตัดสินใจบอกเรื่องที่เห็นมาก่อนหน้านี้ให้ชุยตงซานฟังทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบ
นั่นก็คือเรื่องที่เฉินผิงอันออกไปเที่ยวนอกโรงเตี๊ยมในช่วงระยะเวลาสั้นๆ เรื่องที่เขาไปเยือนศาลบู๊ พอออกมาก็เข้าไปในตรอกเปลี่ยวร้าง พบกับสาวงามในยันต์ผู้นั้น
ถึงอย่างไรนางก็เป็นเทพแห่งผืนดิน ร่างอยู่ใต้ดินก็เท่ากับอำพรางตัวอยู่ท่ามกลางลมและน้ำของพื้นที่แถบหนึ่ง เว้นจากว่าเป็นเซียนดิน ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตกลางก็ยากที่จะค้นพบร่องรอยของนาง
ชุยตงซานฟังจบแล้วปากก็บอกว่านางมีคุณความชอบครั้งใหญ่ ครั้นจึงคลี่ยิ้มโบกชายแขนเสื้อหนึ่งที เกือบจะทำให้จิตวิญญาณของเจ้าแม่เทพแห่งผืนดินผู้นี้แหลกสลาย กว่าเขาจะหยุดมือก็เป็นช่วงที่คับขันอย่างถึงที่สุดแล้ว ถึงกระนั้นก็ยังช่วยนางสร้างร่างทองให้กลับมามั่นคงอีกครั้ง นี่ถึงทำให้นางสูญเสียตบะควันธูปที่บริสุทธิ์ไปแค่เจ็ดแปดตำลึงเท่านั้น ไม่อย่างนั้นอำเภอแห่งนี้ก็น่าจะได้เปลี่ยนเทพแห่งผืนดินคนใหม่แล้ว แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น ควันธูปที่บริสุทธิ์เจ็ดแปดตำลึง นางก็ต้องใช้เวลาสะสมเกือบหกสิบปี ขณะเดียวกันกับที่รู้สึกหวาดผวาพรั่นพรึง ยังรู้สึกเสียดายเหมือนหัวใจหลั่งเลือดไปด้วย เพียงแต่นางก็ยังไม่กล้าแสดงความโกรธเคือง ได้แต่คุกเข่าอ้อนวอนน้ำตาคลอเจียนจะหยด “เซียนซือโปรดอภัยให้ด้วย”
ชุยตงซานครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็คลี่ยิ้มกว้าง “เจ้าสร้างคุณความชอบใหญ่ขนาดนี้ ข้าควรแต่งตั้งเจ้าให้เป็นเทพแห่งภูเขาและสายน้ำที่ถูกต้องตามระบบสืบทอดของแคว้นชิงหลวนให้กับเจ้า ส่วนเรื่องที่เจ้าแอบสืบเรื่องของอาจารย์ข้าโดยพลการ ถือว่ามีโทษประหาร ความชอบก็ส่วนความชอบ โทษทัณฑ์ก็ส่วนโทษทัณฑ์ คุณความชอบไม่อาจลบล้างได้ การให้รางวัลและการลงโทษต้องแบ่งแยกอย่างชัดเจน เดิมทีเจ้าก็ต้องตายสถานเดียว ต่อให้ข้ามีใจอยากจะช่วยยกระดับตำแหน่งเทพของเจ้า รางวัลนี้ก็ไม่อาจหล่นลงบนหัวเจ้าได้ แต่ตอนนี้ เจ้าจงรอข่าวดีมาเคาะประตูบ้านอย่างว่าง่ายเถิด”
ส่วนข้อที่ว่าเหตุใดเขาถึงยอมปล่อยนางไปในท้ายที่สุด ชุยตงซานกลับไม่ได้พูดถึง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น