ท่านเทพมาแล้ว 384-387
บทที่ 384 อนาคตของข้า
โดย
Ink Stone_Romance
เสียงของเขาแหบพร่าจนทุ้มต่ำอยู่บ้าง แววตาที่มองมู่จิ่วมีความลังเล จนปัญญา ทั้งยังหวาดกลัวเล็กน้อย
เขาที่เป็นเทพชั้นสูงคนหนึ่ง ตอนนี้กลับไม่ต่างกับเด็กน้อยซุกซนที่กระทำผิด
น้ำตามู่จิ่วไหลรินออกมาสองสาย นางเบือนหน้าหนี
คลื่นขนาดใหญ่สาดซัดเข้ามาในใจนาง แต่ละคลื่นกระทบเข้ามาจนเวียนหัวตาพร่า
ความเศร้าของลู่จียังคงอยู่ในใจนาง ความเจ็บปวดทุกกระเบียดนิ้วของลู่จีเหมือนมีดเฉือนบนผิวนาง แต่สิ่งเหล่านี้กลับไม่ใช่เรื่องสำคัญ ต่อให้ความเจ็บปวดเหล่านั้นเจ็บยิ่งกว่านี้ ความผิดหวังลึกล้ำยิ่งกว่านี้ ก็ล้วนเป็นความทรงจำที่ผ่านไปนานแล้ว อีกทั้งหลายปีมานี้ทั้งเขาและนางก็อยู่ด้วยกันทุกเช้าค่ำ ทุกช่วงเวลาสามารถกลบฝังความทรงจำเหล่านั้นได้ ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะเอาเรื่องที่ผ่านไปแล้วกับเรื่องที่บอกได้ยากว่าใครผิดใครถูกมาทำร้ายปัจจุบัน
จิตใจของนางไม่ได้ซับซ้อนเช่นนั้น
นางรู้ว่าคนที่นางรักในปัจจุบันคือลู่ยา
แต่…นางยังคงไม่อาจยอมรับความจริงเรื่องที่ลู่ยาคือชายชุดเขียวได้…พูดอีกอย่างคือ ยังไม่อาจยอมรับเรื่องพวกนี้
ตลอดมามู่จิ่วคิดว่าชายชุดเขียวคือศัตรู นางเห็นเรื่องเศร้าของชิงผิงและเฟยอี เห็นการเปลี่ยนแปลงของมังกรอ๋าวเจียงที่ถูกเลี้ยงมาแบบตามใจ และเติบโตกลายเป็นหนุ่มน้อยที่สุขุมอย่างรวดเร็วเพราะปัญหาที่บ้าน รวมทั้งซื่ออินที่เศร้าโศกเพราะการจากไปของเหลียงจี ยังมีอาฝูที่ตอนแรกหลงมาถึงสวรรค์แล้วถูกศิษย์ของวังโตวลวี่ไล่ล่าบนถนน สุดท้ายก็คือเรื่องของหลินเจี้ยนหรูที่ตอนนี้ยังไม่รู้จุดจบ…
มู่จิ่วมองเขาเป็นศัตรูมาโดยตลอด แต่ตอนนี้นางกลับพบคำตอบด้วยตนเอง คนที่ก่อเรื่องเหล่านี้ขึ้นมากลับเป็นคนที่นางไว้ใจที่สุด… อันที่จริงเขาไม่มีเจตนาร้าย ไม่ได้ทำให้เกิดโศกนาฏกรรมอะไรขึ้น และนางก็เห็นว่าเขาดำเนินเรื่องไปตามชะตาชีวิตของแต่ละคน ทว่าจะให้นางเปลี่ยนการต่อต้านที่มีต่อชายชุดเขียวมาเป็นความรักที่มีต่อลู่ยาอย่างรวดเร็วได้อย่างไรกัน?
แท้ที่จริงแล้วพวกเขาเป็นคนคนเดียวกัน
ไม่ใช่บอกว่ายอมรับแล้วจะยอมรับได้ทันที หรือบอกว่าเป็นแบบนี้นี่เองคำเดียวแล้วจะลบล้างเรื่องทั้งหมดได้
นางมองไปด้านนอก แสงจันทร์ส่องสว่างลงมาแล้ว สีของฟ้ามืดยิ่งกว่าก่อนหน้านี้ ชวนให้เกิดความรู้สึกไปว่าได้เข้าสู่ปรโลก
ลู่ยามองนางจากข้างหลัง ในใจเหมือนแขวนอยู่กลางอากาศตลอด ใจสลายจนอยากร้องไห้
นางที่เป็นแบบนี้ทำให้เขาหวาดกลัว เขาเคยสูญเสียนางไปแล้วครั้งหนึ่ง ความรักของพวกเขาครั้งนี้บริสุทธ์และเรียบง่าย รักได้อย่างอิสระและหวานชื่น กระทั่งทุกครั้งเมื่อหวนนึกถึงก็ยังอดยิ้มไม่ได้ ไม่เหมือนชาตินั้นที่เต็มไปด้วยความซับซ้อน เขาเคยชินเสียแล้วกับนางที่เรียบง่ายและหัวรั้น นางยึดมั่นในความยุติธรรม ถึงแม้มักจะต้องบอบช้ำกับความจริงที่ได้พบ
เขาไม่อยากเสียนางไปอีกแล้ว
“อาจิ่ว”
เสียงของเขาแหบพร่าจนเกือบขาดห้วง “เจ้าอภัยให้ข้าได้หรือไม่?”
มู่จิ่วไม่ขยับ นางแหงนหน้าขึ้นเล็กน้อย มองดาวหลายดวงบนท้องฟ้า เงียบจนเหมือนไร้ลมหายใจ
ขอบตาลู่ยาร้อนผ่าว เขาลำบากเพียงไรกว่าจะมาถึงนาทีนี้ได้ ใจของเขาเหมือนโดนมีดเฉือน รอยกรีดแต่ละรอยราวกับจารึกไว้ด้วยความหมดหวัง
ในดวงตามู่จิ่วก็มีน้ำตา นางยกริมฝีปากปากน้อยๆ หันตัวกลับมาเอ่ย “ให้ข้าได้เห็นเจ้าในร่างชายชุดเขียวอีกที”
ลู่ยาชะงัก จับจ้องนางอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเปลี่ยนตนเองให้กลับมาอยู่ในร่างชายชุดเขียว
มู่จิ่วมองเขา สายตาจับอยู่บนใบหน้า
แม้เสื้อผ้าของเขาจะเปลี่ยนไป แต่ใบหน้ากลับยังเป็นของลู่ยา
ก่อนที่จะรู้ความจริงเรื่องนี้ ในสายตานางชายชุดเขียวคือคนอีกคนหนึ่ง แต่ตอนนี้อาคมพรางตาไม่มีประโยชน์กับนางแล้ว ถึงแม้ชายชุดเขียวจะมีตัวตนอยู่อีกคนจริง สำหรับนางแล้วก็ไม่ได้ต่างอะไรกัน
นางหมุนตัวเดินออกจากประตูไป
ลมที่เกิดจากพลังวิญญาณตรงประตูดึงดูดนาง นางอยากจะออกไปสูดอากาศ
ลู่ยาเปลี่ยนร่างกลับมาทันที คว้าข้อมือนางไว้ ถึงแม้ไม่ได้เอ่ยอะไร แต่คำพูดทั้งหมดกลับแสดงออกมาแล้วทางแววตา
มู่จิ่วเงียบอยู่นานถึงเงยหน้าขึ้นมองเขา แล้วเอ่ย “คนที่ลู่จีรักคือชายชุดเขียว คนที่ชายชุดเขียวรักก็คือลู่จี”
ใจของลู่ยาติดอยู่ที่ลำคอ เขาถาม “หมายความว่าอย่างไร?”
สายตาของมู่จิ่วหยุดลงที่ดวงตาของเขา “หมายความว่าคนที่ข้าต้องการคือเจ้า คนที่เจ้าต้องการคือข้า ข้าไม่อยากให้ลู่ยากับชายชุดเขียวมาเปลี่ยนอนาคตข้า”
ลู่ยาชะงักไปครู่หนึ่ง น้ำตาหลั่งรินลงมาทันที
ในแววตาของมู่จิ่วมีความอบอุ่นเจืออยู่ นางเดินกลับมา เขย่งปลายเท้าโอบรอบคอเขา พูดอยู่ริมหูว่า “เจ้าบอกเองมิใช่หรือ รอหลังจากข้าสำเร็จเป็นเซียนแล้วชายชุดเขียวก็จะหายตัวไปเอง? เช่นนั้นก็ให้พวกเขาอยู่ของพวกเขา พวกเราอยู่ของพวกเราไป ข้ารู้จักเพียงตัวเจ้าในชาตินี้ ข้ารู้จักเพียงลู่ยาที่หลอกคนเป็นแต่ก็ยังไม่ถือสาว่าข้าโง่และยังต้องการข้า”
น้ำตาของลู่ยาไหลรินลงมาดั่งฝน มือทั้งสองกอดนางแน่น ซุกใบหน้ากับไหล่นาง ราวกับต้องการหลอมรวมนางเข้ามาในใจ
คลื่นยักษ์ในใจมู่จิ่วค่อยๆ สงบลง
นางไม่ได้พูดผิด คนที่ลู่จีรักคือชายชุดเขียว คนที่ชายชุดเขียวยึดมั่นไม่ยอมปล่อยก็คือลู่จี ถึงแม้นางมีความทรงจำของลู่จี สามารถรับรู้ความเจ็บปวดของการจากลาและความยินดีของการพบเจอได้ แต่สุดท้ายนางก็ไม่ใช่ลู่จีอยู่ดี ลู่ยาก็เช่นเดียวกัน ถึงแม้ชายชุดเขียวจะเป็นจิตส่วนหนึ่งของเขา เป็นตัวเขาอีกส่วนหนึ่ง แต่ความรักที่มีต่อลู่จีนั้นมาจากชายชุดเขียวในหนึ่งหมื่นปีต่อมาทั้งหมด
นางไม่อาจมองเขาเป็นชายชุดเขียวได้ จึงทำได้เพียงใช้เหตุผลอันเรียบง่ายนี้มาอธิบาย
พวกเขาไม่อาจซ้ำรอยความผิดพลาดของชายชุดเขียวและลู่ยาได้อีก พวกเขาคือพวกเขา เป็นคนที่ไม่สนใจความต่างของตำแหน่งฐานะและอายุ แม้แตกต่างก็ยังอยู่ด้วยกันจนผู้อื่นนึกไม่ถึง
บางทีนางยังรู้สึกขัดใจการดำรงอยู่ของชายชุดเขียว แต่อย่างไรก็รู้สึกขอบคุณเขา
หากไม่มีเขา นางคงไม่มีชีวิตที่อบอุ่นเช่นนี้ โลกของลู่จีมีเพียงลู่ยาเพียงคนเดียว แต่ตอนนี้นางมีอาจารย์ที่เอ็นดูนางและศิษย์พี่จำนวนมาก มีเหล่าสัตว์ปีศาจที่เติบโตมาด้วยกันที่หงชาง มีสหายที่ดีมากมายในสวรรค์ ทั้งยังมีเสี่ยวซิง ซ่างกวนสุ่น รุ่ยเจี๋ย และอาฝู
และที่สำคัญยังได้ลู่ยากลับมา
นางมีอะไรอยู่มากมาย นางไม่ใช่เทพหญิงแห่งหกวิญญาณที่ตัดขาดจากสังคม หวาดกลัวความเดียวดายคนนั้นอีกแล้ว นางมีชีวิตที่มีรสชาติและสมบูรณ์แบบมาก ตอนที่ไม่มีลู่ยานางก็มีครอบครัว เวลาโดนรังแกข้างนอกนางก็สามารถกลับไปหาอาจารย์และศิษย์พี่ได้ นางไม่มีโอกาสได้รู้จักความเดียวดายอีกแล้ว นางช่างโชคดีนัก
ชีวิตที่นางหวังไว้ คงจะเป็นแบบนี้กระมัง?
นางเคยเห็นเรื่องราวประหลาดมากมายในโลกมนุษย์ยามอยู่ที่คลื่นจิตพสุธา นางอิจฉาคนเหล่านั้น พวกเขามีญาติมีเพื่อนร่วมบ้านที่ดีมากมาย โลกของนางไม่ได้แคบจนมีเพียงแต่ความรักเท่านั้น ถึงแม้คนผู้นี้จะสำคัญมากว่าอะไรทั้งหมดก็ตาม
“พวกเรากลับบ้านกันเถอะ” นางพูด
“อืม”
ลู่ยาพยักหน้า จูงมือนางเดินออกจากประตูไป
คำว่ากลับบ้านสองคำนี้ทำให้ใจเขาอบอวลไปด้วยความอบอุ่น เป็นเทพอาศัยอยู่ในสวรรค์อันสูงส่งที่สูงขนาดนั้นมานานแล้ว เขากลับตกหลุมรักบ้านเล็กๆ หลังนี้ บางทีอาจเพราะบ้านนี้มีนางอยู่
มีคำพูดมากมายที่อยากพูดแต่ไม่ได้เอ่ยออกมา แต่ที่จริงถึงพูดไปก็เป็นเรื่องเกินจำเป็นแล้ว สิ่งที่อยากพูดมีเพียงเขาเจ็บปวดเพียงใด อยากถนอมนางเพียงใดในตอนนี้ แต่คำพูดทั้งหมดกลับถูกเก็บไว้ เพียงแค่เห็นความในใจในดวงตาของแต่ละคนก็ดีแล้ว
มู่จิ่วกับลู่ยาบอกลากันที่ด้านหน้าลานบ้าน เมื่อกลับถึงห้อง กระจกที่อยู่บนโต๊ะสะท้อนใบหน้าอันสงบสุขและมีความสุขของนาง
นางกับลู่จีมีร่างกายเดียวกัน ดวงจิตเดียวกัน แต่แววตากลับแตกต่าง
นางชอบตัวนางในตอนนี้มากกว่า ถึงแม้ไม่ฉลาด ไม่สมบูรณ์แบบ และไม่เด็ดขาดก็ตาม
…………………………………………
บทที่ 385 ภายในคุก
โดย
Ink Stone_Romance
ใจของมูจิ่วมีความรู้สึกมั่นคงแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน
แต่คืนนี้นางยังไม่ง่วง
นางเข้าใจเรื่องระหว่างตนกับลู่ยากระจ่างดีแล้ว แต่ต่อไปสิ่งที่นางต้องเผชิญหน้าคือสะสมบุญกุศลสุดท้ายและขึ้นเป็นเซียน จนตอนนี้มู่จิ่วเข้าใจแล้วว่าทำไมนางถึงได้ขาดบุญกุศล เข้าใจแล้วว่าการสำเร็จเป็นเซียนไม่ใช่เรื่องของนางคนเดียว แต่เป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกับคลื่นจิตพสุธาและต้องทำให้สำเร็จให้ได้ ในเมื่อเป็นแบบนี้ นางก็ต้องทุ่มเทเรื่องของหลินเจี้ยนหรูเสียแล้ว
ตัดเรื่องที่นางอยากช่วยเขาออกไป การสงบความโกรธแค้นในใจเขาก็เป็นหน้าที่ของนางเช่นกัน
ยังมีเรื่องที่หงชางอีก ในเมื่อลู่ยาเล่าเรื่องออกมาอย่างหมดเปลือก แน่นอนว่าเรื่องที่หลิวหยางคือจุ่นถีและจื่อเย่าคือหงจวิน เขาก็เล่ามาหมดแล้ว
ตอนอยู่ที่คลื่นจิตพสุธาไม่ทันได้ขบคิดเรื่องเหล่านี้อย่างละเอียด ตอนนี้เมื่อคิดดูแล้วก็อดคิดวนไปมาไม่ได้
ดูแล้วตอนนั้นซุนหงอคงไม่ได้เข้าใจผิด นางเป็นศิษย์ร่วมสำนักกับเทพเจ้าสงครามในตำนานจริง เมื่อหวนนึกว่าจุ่นถีดูแลนางตั้งแต่เล็กมาจนเติบใหญ่ ก็ทอดถอนใจอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว ตอนนั้นจุ่นถีสอนซุนหงอคงก็เพียงวิชาจำแลงกายเจ็ดสิบสองกระบวนท่าอย่างลับๆ ส่วนนางไม่มีทั้งคุณสมบัติและความสามารถ เขากลับเลี้ยงดูเยี่ยงบุตรีในอุทรมาตั้งหลายปี
ทั้งยังมีอีกหลายอย่าง หลายอย่างนัก…
ความทรงจำที่หลั่งไหลออกมา แท้จริงยังมีอีกมาก เหมือนกับเม็ดทรายอ่างใหญ่ที่พยายามยัดเข้าไปในถุงผ้าขนาดเพียงหนึ่งในสามของมัน แต่ละเรื่องหลั่งไหลออกมา และในเวลาเดียวกันก็พลอยลากอย่างอื่นออกมาอีกกองใหญ่ ไม่มีหนทางสงบใจครุ่นคิดอย่างละเอียดได้เลย
เสี่ยวซิงตื่นเช้ามาเจอมู่จิ่วนึ่งติ่มซำในห้องครัวก็ประหลาดใจ “บอกว่าจะไม่กลับมาไม่ใช่หรือ?”
“พอดีจัดการธุระเสร็จก่อนเวลา เลยกลับมาก่อน” มู่จิ่วบอก เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดต่อ “เรื่องเมื่อวาน ข้าจะเล่าให้เจ้าฟังอย่างละเอียดทีหลัง”
นางมีฐานะอะไร แน่นอนว่าไม่อาจปิดบังเสี่ยวซิง แต่เรื่องนี้ไม่ได้เร่งด่วน ให้นางคิดให้ดีก่อนแล้วค่อยบอก
ในเมื่อต้องสำเร็จเป็นเซียน และไปทำลายพลังร้ายก่อนที่มันจะก่อร่างสำเร็จ เช่นนั้นก็ไม่อาจชักช้าได้ แน่นอนว่ายิ่งเร็วได้เท่าไหร่ยิ่งดี
หลิวจวิ้นก็มาที่หน่วยงานเช้านัก กำลังพลิกอ่านบันทึกงาน เมื่อเห็นนางก็รีบกวักมือเรียก “เจ้ามาพอดีเลย หูเจียงเต๋อมาถึงแล้ว ยังไม่ทันได้สอบสวนเขาก็พ่นเรื่องที่แม่ลูกจีหมิ่นจวินเคยทำร้ายหลินเจี้ยนหรูอยู่หลายครั้งออกมา ถึงแม้จะขาดหลักฐานยืนยันอยู่บ้าง แต่อย่างน้อยก็ยืนยันได้ว่าคนในแรกพยับทำกับเขาแบบนี้หลายคน”
มู่จิ่วหยิบมาพลิกๆ ดู วางลงแล้วเงียบไป
บนบันทึกล้วนเป็นคำให้การของหูเจียงเต๋อ นางย่อมเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง ถึงแม้ชะตาชีวิตของหลินเจี้ยนหรูจะถูกลู่ยาเปลี่ยนมาก่อน ชาตินี้ต่อไปก็ต้องเข้าสู่ทางมาร แต่เรื่องราวที่เหลือยังต้องให้นางเป็นคนแก้ หากทำเพื่อส่วนรวมแล้ว นางต้องการช่วยวิญญาณดวงหนึ่งเพื่อเติมเต็มบุญกุศล แต่โดยส่วนตัวนางก็อยากให้เขาลบล้างความโกรธแค้นในใจแล้วใช้ชีวิตอย่างมีความสุข
“มีปัญหาอะไรหรือไม่?” หลิวจวิ้นถาม
“ไม่มีเจ้าค่ะ” นางส่ายหน้าก่อนยืนขึ้นมา “ข้าอยากไปดูที่คุกหน่อย”
หลิวจวิ้นพยักหน้าเงียบๆ หยิบป้ายจากลิ้นชักส่งให้นาง
มู่จิ่วกลับไปบ้าน จากนั้นมุ่งหน้าไปที่คุกหลวง
คุกหลวงใต้แสงอาทิตย์ยามเช้า เมื่อมองไปแล้วก็เหมือนยามค่ำคืน
เถิงเส๋อขดตัวอยู่กลางอากาศ ถึงแม้จะปิดตาอยู่ แต่ท่าทางเหมือนยังคอยระวังป๋ายเจ๋อที่อยู่บนหินอยู่ตลอด
มู่จิ่วเพิ่งมาถึงประตูเขาก็ตื่นแล้ว ยืดคอขึ้นมา ขู่ฟ่อพลางจ้องนาง จากนั้นใช้หางฟาดลงไปบนหัวของป๋ายเจ๋อ ด่าว่า “เจ้าโง่! รู้จักแต่นอน มีคนมาแล้ว!” ป๋ายเจ๋อก็ลุกขึ้นมาด่าทอ เหลือบมองมู่จิ่วสองครั้ง ก่อนหันไปด่าเถิงเส๋อสักประโยค แล้วถึงช่วยกันเปิดประตู ปล่อยให้นางเข้าไป
มู่จิ่วเดินเข้าไปตามทางช้าๆ ฟังเสียงโคมในคุกทั้งสองข้างทาง เหมือนกับเดินอยู่บนหนทางอสูร
หลินเจี้ยนหรูถูกขังอยู่ในสุด รอบด้านไม่มีนักโทษคนอื่น หน่วยลาดตระเวนหลายคนเห็นนางเดินเข้ามาก็รีบเดินขึ้นหน้า ทำความเคารพ
หลินเจี้ยนหรูที่อยู่ในคุกนั่งขัดสมาธิ ผมปล่อยสยาย มองไม่เห็นใบหน้า หากไม่เพราะยังมีพลังวิญญาณลอยอยู่ คงเข้าใจไปว่าเขาตายแล้ว
“เป็นอย่างไรบ้าง?” นางถาม
“ไม่ขยับเลยขอรับ” คนเฝ้ายามตอบเสียงเบา ขณะเดียวกันก็หันกลับไปมองเขาคราหนึ่ง “ตั้งแต่เข้ามาจนถึงตอนนี้ก็ไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย ไม่พูดด้วยขอรับ”
มู่จิ่วตอบรับคำหนึ่ง จากนั้นโบกมือให้พวกเขาเปิดประตู
นางเดินเข้าไป มองโซ่ที่ล่ามติดผนังทั้งสี่ด้าน ก่อนจะเอาเก้าอี้ตัวเล็กมานั่งลงตรงหน้าเขา
“ข้ามาแล้ว” นางพูด
หลินเจี้ยนหรูไม่ขยับ ผ่านไปนานจึงค่อยๆ ช้อนตาขึ้นมองผ่านผมเผ้าอันยุ่งเหยิง
แววตาคู่นั้นสงบนิ่งดุจบ่อน้ำแห้งเหือด ลุ่มลึกราวบึงน้ำลึก แววตาของเขาจับจ้องบนใบหน้านาง แล้วจึงหลุบลงอย่างช้าๆ
ใจของมู่จิ่วก็หนักอึ้งตามไปด้วย นางพูด “ตอนนี้ใต้เท้าหลิวเป็นผู้นำทำคดี คำให้การของหูเจียงเต๋อเป็นประโยชน์ต่อเจ้า พวกเรากำลังพยายามอยู่ แต่เพราะทางด้านแรกพยับก็ไม่ยอม ดังนั้นจึงไม่อาจมีบทสรุปออกมาได้โดยง่าย แต่ข้าจะไม่ทิ้งเจ้า เจ้าก็อย่าได้ละทิ้งตนเองเสียล่ะ”
มีเสียงหัวเราะเยาะลอยออกมาจากใต้ผมเผ้าอันยุ่งเหยิง
มู่จิ่วมองเขาก่อนพูดต่อ “พวกเรามาคุยกันหน่อยเถิด ข้าเอาเหล้ามา ยังมีกับข้าวที่ข้าทำมาด้วยเล็กน้อย พวกเราไม่ได้พูดคุยดื่มเหล้าเล่นกันมานานแล้ว” นางปลดห่อผ้าออก หยิบซึ้งไม้ไผ่ออกมาสี่ห้าอัน จากนั้นค่อยหยิบกาเหล้าออกมารินลงจอกของแต่ละคนจนเต็ม “ข้าจำได้ว่าเมื่อก่อนตอนพวกเราลาดตระเวนอยู่ด้วยกันก็ทำแบบนี้บ่อยๆ”
หลินเจี้ยนหรูยิ้มเยาะขณะมองอาหารและเหล้าตรงหน้า “เจ้ามาส่งอาหารมื้อสุดท้ายหรือ?”
“ไม่ใช่” มู่จิ่วตอบ “ข้าอยากคุยกับเจ้า”
นางวางกาเหล้าลง มองแสงสะท้อนจากโคมในแก้ว เอ่ยว่า “ที่จริงช่วงนี้ข้าไม่ค่อยได้ไปที่หน่วยงาน”
หลินเจี้ยนหรูจ้องตานางอยู่นาน หยิบจอกเหล้าขึ้นมา “ทำไม?”
“เพราะทุกครั้งที่ข้าคิดถึงเจ้าขึ้นมา ภาพที่ปรากฏมักจะเป็นตอนที่เจ้าปกป้องข้าจากใต้เท้าหลิว เจ้าในตอนนั้น เหมาะกับคำว่ากล้าหาญชายชัยนัก ทำให้ข้าประทับใจไม่น้อย”
มู่จิ่วยกริมฝีปากพูดเบาๆ “ตอนเข้ามาที่หน่วยใหม่ๆ ฟ้ารู้ว่าข้าโชคร้ายขนาดไหน พบเจอแต่อุปสรรค ได้แต่ระมัดระวังเพื่อไม่ให้อาจารย์ลำบาก ขี้ขลาดยิ่งนัก ภายใต้สถานการณ์เช่นนั้น เหล่าสหายร่วมงานต่างก็กดดันข้า แต่กลับมีคนหนึ่งยื่นมือเข้าปกป้อง ความประทับใจนั้นเกรงว่าจะมีไม่กี่คนที่ได้เห็น…เจ้าจำได้หรือไม่?”
นางยิ้มพลางมองเขา
เขามองเหล้าที่ขยับไหวเล็กน้อย แววตาค่อนข้างเลื่อนลอย
ความทรงจำที่เหมือนห่างไกล แท้จริงแล้วไม่ได้ห่างไปเท่าไหร่
ตอนนั้นนางบอกเพียงตนเองเป็นเด็กกำพร้า เป็นผู้บำเพ็ญตนเป็นเซียน เขากับนางจึงเหมือนหัวอกเดียวกัน นางเป็นผู้บำเพ็ญ ถึงแม้จะได้ลำดับสูงในการทดสอบ แต่ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับหลิวจวิ้นที่มีอคติ เผชิญหน้ากับการเยาะเย้ยของหยางอวิ้นและอวี๋เสี่ยวเหลียนที่คิดว่าตนเองถูกต้อง
แม้เขาอยู่ในฐานะศิษย์ลัทธิฉ่าน แต่กลับต้องแบกรับความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจยามทำงานอยู่ในสวรรค์ ทั้งยังต้องเผชิญกับการกลั่นแกล้งของพวกจีหย่งฟาง
ความรู้สึกของพวกเขาเหมือนกัน
เผชิญหน้ากับความจริง ไม่มีหนทางต่อต้าน ทำได้เพียงเลือกที่จะอดทน
………………………..
บทที่ 386 ข้าไม่เกลียดเขา
โดย
Ink Stone_Romance
เดิมทีเขาโดดเดี่ยว แต่เพราะมีนางเคียงข้าง วันคืนเหล่านั้นของเขาถึงเปลี่ยนไปมีสีสันมากขึ้น
นางเป็นเพื่อนของเขา ถึงแม้สุดท้ายนางกับเขาจะอยู่คนละฝั่งกัน เขาก็ไม่เคยมีความคิดที่จะเอาชีวิตนางมาก่อน
สำหรับเขาความจริงใจเป็นเรื่องฟุ่มเฟือยในชีวิต ชีวิตนี้เขาสามารถมีความอบอุ่นเช่นนี้ได้ จะมีเหตุผลให้กำจัดนางได้อย่างไร
เขาเหม่อลอยอยู่ชั่วขณะ เบือนหน้าหนีก่อนเอ่ย “อย่าคิดว่าข้าใสซื่อถึงเพียงนั้นเลย ตอนนั้นที่ข้าเข้าหาเจ้าเป็นเพราะข้ามีเป้าหมาย”
“มีเป้าหมายแล้วเกี่ยวอะไรด้วย?” มู่จิ่วยิ้ม “ตอนนั้นข้าต้องการให้คนมาช่วยข้าจริง แล้วเจ้าก็โผล่ออกมา” นางพูดไปมองหน้าเขาไป “ข้าก็ไม่ได้โง่ขนาดนั้น หากเจ้ามีเป้าหมายหรือว่าคิดหลอกใช้ข้า ข้าก็คงไม่สนิทสนมกับเจ้าขนาดนั้น เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเห็นคุณสมบัติอะไรในตัวเจ้าที่ได้มายากที่สุด?”
เขาขมวดคิ้ว ไม่ตอบอะไร
“ความตรงไปตรงมาและความยึดมั่น” มู่จิ่วตอบ “ความคิดของข้าเรียบง่าย ไม่ชอบเล่นเล่ห์เพทุบาย และก็ไม่ชอบคิดเล็กคิดน้อย ดังนั้นความตรงไปตรงมาและความเปิดเผยของเจ้าเลยทำให้ข้ารู้สึกว่าเป็นเพื่อนกับเจ้าได้อย่างสบายใจ หากข้าต้องคอยระแวดระวัง ก็ไม่ใช่ว่าทำไม่ได้ แต่ก็เหนื่อยเกินไป ข้าไม่ได้โง่ขนาดนั้น หากเจ้าเข้าใกล้ข้าเพียงเพื่อหลอกใช้ข้า คิดจะหลอกเอาผลประโยชน์จากข้า ข้าก็คงไม่ให้โอกาสเจ้า”
นางเป็นผู้บำเพ็ญเซียน ประโยชน์ที่ดีที่สุดในการสำเร็จเป็นเซียนของนางคงจะเป็นการได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระเสรี
นางไม่ต้องถูกกักขังอยู่ที่ใดที่หนึ่ง ทำตามกฎเพื่อจะได้ใช้ชีวิตไปวันๆ
ดังนั้นหากต้องระแวดระวัง ต้องมีไหวพริบ ต้องใส่ใจครุ่นคิดสักเล็กน้อย ก็ใช่ว่าทำไม่ได้ เพียงแค่รู้สึกว่าไม่คุ้มก็เท่านั้น
หลินเจี้ยนหรูเงียบอยู่นาน พลันเหลือบตาขึ้นมองตรงหน้า เอ่ยเหยียดหยันตัวเองว่า “เจ้าพูดเช่นนี้ ข้าเหมือนยังไม่ถึงกับไร้ทางเยียวยา”
“เจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า?” มู่จิ่วจิบเหล้า คีบขนมสุ่ยจิง[1]ขึ้นมาให้เขา
“ข้าหรือ?” หลินเจี้ยนหรูยิ้มเยาะ ยกจอกเหล้าขึ้นดื่ม ถือจอกไว้ในมือยามพูดเบาๆ “ข้าก็ไม่รู้ว่าจะพูดถึงชีวิตนี้ของข้าอย่างไรดี เรื่องบุญคุณความแค้นของข้ากับแรกพยับ จะพูดก็มากมายเกินไป ข้าไม่เสียใจ ข้าเพียงเกลียดเท่านั้น หากข้าสามารถควบคุมชะตาชีวิตของข้าได้ คงไม่เลือกเกิดเป็นลูกของหลินเซี่ย”
“คนที่ข้าเกลียดที่สุดคือเขา ความชั่วร้ายทั้งหมดก็เกิดขึ้นเพราะเขา แต่เมื่อเทียบกับเขา ข้ากลับไม่ได้รู้สึกเช่นนั้นกับพวกจีหมิ่นจวินแม่ลูก เพราะพวกนางไม่ใช่พ่อแม่ข้า ข้าไม่ได้เกิดมาเพราะพวกนาง มีเพียงหลินเซี่ยเท่านั้น เขาเป็นพ่อแท้ๆ ของข้า สามารถเปลี่ยนแปลงทางเดินในอนาคตของข้าและสิ่งที่ต้องเผชิญหน้าได้”
“เป็นเขาที่ไม่สนใจข้าเลย ดังนั้นทุกคนถึงได้ปฏิบัติกับข้าเป็นเพียงสุนัขตัวหนึ่ง”
“ถึงแม้ข้าไม่ได้เรียนมาเยอะ แต่ข้าก็เข้าใจหลักการมากมาย ข้ารู้ว่าข้าอยากมีชีวิตแบบไหน หลินเซี่ยให้ข้าไม่ได้ ข้าก็สามารถสร้างมันขึ้นมาได้ด้วยตนเอง ดังนั้นข้าถึงได้กัดฟันดิ้นรนเอาโอกาสที่จะได้ขึ้นสวรรค์มา ข้าอยากได้โอกาสหลีกหนีจากพวกเขา ข้าคิดว่าตัวเองต่อกรกับพวกเขาไมได้ แต่หลบเลี่ยงได้”
“แต่ความจริงก็ได้ยืนยันแล้วว่าลิขิตฟ้าก็คือลิขิตฟ้า ไม่ว่าเจ้าอยากจะเดินหนทางธรรมขนาดไหน สุดท้ายก็ยังหนีไม่พ้นเคราะห์กรรม”
เขารินเหล้าด้วยตนเอง ก่อนดื่มอีกจอก
มู่จิ่วรู้สึกผิดในใจ นางเอ่ย “ความตั้งใจของชายชุดเขียวไม่ใช่ลากเจ้าเข้าสู่ทางมาร”
“ไม่” หลินเจี้ยนหรูส่ายหน้า “เจ้าคิดว่าข้าโทษชายชุดเขียวหรือ? ไม่ใช่เลย”
มู่จิ่วเงียบ
“ข้าไม่เกลียดชายชุดเขียว ข้าเพียงโกรธวิสัยมนุษย์” หลินเจี้ยนหรูมองไปข้างหน้า “หากไม่ใช่เพราะพวกเขาอคติคงไม่ยืนกรานรังแกข้าตลอด ถึงแม้ข้าจะกลายเป็นทหารสวรรค์แล้ว พวกเขาก็ไม่ได้มองข้าดีขึ้นแม้แต่น้อย สิ่งที่ทำให้ข้ากลายเป็นมารคือความเป็นมนุษย์ที่บิดเบี้ยวของพวกเขา คือพวกเขาที่คิดว่าตนเองอยู่สูงกว่าและข้าต่ำต้อย”
“ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ สิ่งที่ข้าต้องการมีเพียงอิสระและความเท่าเทียมเท่านั้น หากพวกเขาปล่อยข้าลงจากเขาหลังจากที่แม่ของข้าตาย ไม่เสแสร้งเลี้ยงดูข้าเพื่อชื่อเสียง ข้าก็คงไม่มาถึงขั้นนี้ เหลียงชิวฉานเคยพูดว่าแรกพยับและหลินเซี่ยมีบุญคุณที่เลี้ยงดูข้าให้เติบใหญ่ บอกให้ข้าอย่าลืมบุญคุณแล้วทำเรื่องเลวร้าย”
“แต่นางมีสิทธิ์อะไรมาพูดเช่นนี้กับข้า? คนของแรกพยับมีสิทธิ์อะไรมาลำเลิกบุญคุณทำตัวเป็นผู้มีพระคุณ? ให้กำเนิดข้าไม่ใช่ทางเลือกของข้า ส่วนเรื่องที่ข้าเติบโตที่แรกพยับ บุญคุณเลี้ยงดูสั่งสอน ก็ไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการ พวกเขาที่ดึงดันเก็บข้าไว้เอง ทั้งยังทำร้ายข้ามากมาย อันที่จริงข้ามีที่ซุกหัวนอนอิ่มท้องอยู่บนเขานั้น ยังสามารถบำเพ็ญตนเป็นเซียน คนทั่วไปไม่อาจได้รับโอกาสเช่นนี้”
“แต่บาดแผลในใจนั้นลึกล้ำกว่าบาดแผลบนกายมากนัก หลายปีมานี้ สิ่งที่พวกเขาทำทั้งหมดอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยคือต้องการให้ข้ายอมรับว่าข้าต้อยต่ำ ไม่ว่าใครก็เยาะเย้ยถากถางตามใจได้ แต่สิ่งที่ข้าไม่เคยละทิ้งคือการต่อต้านพวกเขา ข้าบอกตนเองเสมอว่าอย่าได้ก้มหัว อย่าได้ยอมรับชะตาชีวิต”
“เพราะหากข้ายอมรับก็เท่ากับจบสิ้น”
“เจ้าบอกว่าข้าดื้อรั้น ใช่แล้ว ต้องโทษที่ข้าดื้อรั้นขนาดนี้ ข้าดื้อรั้นที่จะเชื่อว่าโลกนี้มีด้านที่ดีอยู่ อย่างเช่นแม่ของข้า ข้ามีช่วงเวลาอยู่กับนางไม่นาน แต่หากกระทั่งนางยังไม่ถือว่ามีจิตใจดี เช่นนั้นนางคงไม่ยอมแบกรับความกดดันมากมายขนาดนั้นเพื่อให้กำเนิดข้า”
“ตอนข้ายังเด็กก็เคยคิดอยู่หลายครั้ง หากต้องมีชีวิตอยู่แบบนี้ มิสู้นางฆ่าข้าให้ตายแต่แรกจะดีกว่า แต่ก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้น เมื่อข้าโตขึ้นแล้วพบว่ายังมีโอกาสอยู่ก็ไม่ได้คิดแบบนั้นอีกแล้ว ข้าก็เหมือนกับหิ่งห้อยตัวหนึ่ง เพื่อให้ได้แสงสว่างมาถึงได้ยืนหยัดตามหา ความอดทนและความเจ็บปวดของข้าล้วนเพื่อให้สมปรารถนาในท้ายที่สุด”
“ตอนที่ข้าถูกหัวชิงเรียกให้กลับมาแรกพยับ ข้ามีความคิดชั่วร้ายจริง ข้าอยากเห็นคนที่เคยกดหัวข้าทำร้ายข้า สุดท้ายกลายเป็นเหมือนสุนัขที่หมอบอยู่ใต้เท้าตน ดังนั้นข้าจึงทำไปตามความเข้าใจผิดของหัวชิง หลอกว่าตัวเองคือศิษย์ของลู่ยา ข้ารู้ว่าคงปิดเรื่องนี้ได้ไม่นาน แต่ก็ไม่สนใจอะไรแล้ว”
“ข้ายอมรับ ในกายข้ามีความบ้าคลั่งอยู่”
“พวกเขาทำข้าอับอายอยู่หลายปี อย่างน้อยก็ทำให้ใจของข้าบิดเบี้ยว แต่หากจีหมิ่นจวินไม่คิดจะมาทำร้ายข้าอีก ข้าก็คงไม่ฆ่านาง การกระทำของจีหมิ่นจวินได้ทำลายฟางเส้นนั้นของข้าลง”
“ดังนั้น คนที่ทำให้ข้ากลายเป็นมารไม่ใช่ชายชุดเขียว แต่เป็นพวกแรกพยับที่ถือตนว่าสูงส่งทำตัวเป็นสุภาพชน”
เขารินเหล้าเอง ก่อนยกขึ้นจิบ
มู่จิ่วละสายตากลับมา ค่อยๆ สูดหายใจ
นางไม่คิดเลยว่าเวลานี้เขาจะยังมีความคิดกระจ่างชัดเช่นนี้ เขาไม่ได้เกิดมาต้อยต่ำ และไม่ได้ชั่วร้ายแต่กำเนิด แต่เป็นเพราะประสบการณ์ที่เลวร้ายทำให้เขาเป็นเช่นนี้ คนผู้หนึ่งยังคงสติอยู่ได้หลังจากเกิดเรื่องมากมาย สามารถมองเห็นธาตุแท้ของเรื่องราวและยังมีความหวังในใจ นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
นางนึกถึงภพชาติหลังจากนี้ของเขาที่เห็นบนกำแพงวิญญาณ
บ้านไม้เล็กๆ ในถ้ำที่เขาคุนหลุนตะวันออกกับดอกไม้พืชผักที่ด้านหน้ายังคงกระจ่างชัดในสายตา นางจำได้ว่าเขาพูดถึงการปลูกผักได้ชำนิชำนาญนัก สร้างรั้วไม้ไผ่ขึ้นก็ทำอย่างจริงจัง ในชาติที่เขากลายเป็นมารคงต้องทำเรื่องเหล่านี้มานับครั้งไม่ถ้วน
………………………………
[1] ขนมสุ่ยจิง เป็นของกินเล่นของทางปักกิ่ง มีลักษณะใสเหมือนคริสตัล นุ่มเหนียว รสชาติหวานหอม
บทที่ 387 คนรัก
โดย
Ink Stone_Romance
ความฝันของเขาคืออยากมีบ้านเล็กๆ เช่นนี้หลังหนึ่ง บำเพ็ญตนเป็นเซียนอย่างอิสระ ยามว่างก็ปลูกผักปลูกดอกไม้ เหล่าแมวนอกบ้านพากันอาบแดด เหล่าสุนัขวิ่งเล่นไม่หยุด บางครั้งก็เอาเป็ดไก่มาทำกับข้าวแกล้มเหล้า ชีวิตราบเรียบสงบสุข สิ่งที่เขาต้องการแท้จริงแล้วไม่ได้มากมายเลย
“มันต้องดีแน่นอน” นางถือจอกเหล้าพลางเอ่ย “คนที่ทำชั่วสุดท้ายย่อมได้รับโทษหนัก ข้าไม่เชื่อว่าคนของแรกพยับจะยังวางก้ามได้เช่นแต่ก่อน และไม่เชื่อว่าทุกคนจะแล้งน้ำใจ อย่างไรก็ต้องมีคนออกหน้ามาแน่”
หลินเจี้ยนหรูมองนาง ยกยิ้มให้ “ขอบคุณเจ้าด้วย หากไม่ใช่เจ้า ข้าก็ไม่รู้ว่าบนโลกนี้จะมีอะไรคู่ควรให้ข้าอาลัยอาวรณ์อีก ข้าไม่กล้าพูดว่าหากไม่มีเจ้าคงต้องแย่แน่ แต่อย่างน้อยนอกจากแม่ของข้าแล้ว เจ้าก็เป็นคนเดียวที่ข้าพบแล้วสบายใจที่สุด”
มู่จิ่วหลุบตาต่ำ จากนั้นเงยหน้าขึ้นมา “เช่นนั้นเหลียงชิวฉานล่ะ?”
แววตาของเขามืดหม่นลง สีหน้าสดใสกลืนหายไปในความเจ็บปวด
“ข้าไม่รู้” เขาก้มหน้าลงพึมพำ “ข้าก็ไม่รู้เช่นกันว่านางเป็นอะไรสำหรับข้า และก็ไม่รู้ว่าจะให้นางอยู่ในฐานะอะไร ข้ารู้เพียงว่าข้าไม่ได้เกลียดนางตั้งนานแล้ว ข้าไม่โกรธนาง ไม่รู้สึกรำคาญนาง หากนางยังมาคุยกับข้าได้อีกครั้ง ข้าต้องตอบนางว่า…เอาละ ข้าเข้าใจแล้วแน่นอน”
ในดวงตาของเขามีประกาย เสียงสั่นเครือ คำพูดหยุดไปตรงนั้น
เขายันแขนข้างหนึ่งกับเข่า ถือจอกเหล้าไว้ เงาร่างอันสูงใหญ่เจือไปด้วยความเจ็บปวด
ขอบตาของมู่จิ่วร้อนผ่าว ก้มหน้าจิบเหล้า
“กินข้าวเถอะ ข้าทำเองกับมือ เจ้าเคยบอกว่าเจ้าชอบกิน” นางหลุบตากลั้นหยาดน้ำที่อยู่ตรงหางตา สูดลมหายใจขณะยิ้ม ก่อนจับตะเกียบคีบหมูก้อนผัดน้ำแดงไปให้เขา “รอเจ้าออกมา ข้าจะสอนเจ้าทำ ข้าทำอาหารเป็นหลายอย่าง”
หลิวจวิ้นเป็นคนดูแลคดีของหลินเจี้ยนหรูด้วยตนเอง มู่จิ่วเพียงช่วยอยู่ด้านข้างเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงก็ไม่มีเรื่องอะไรให้นางต้องจัดการเท่าไหร่
เรื่องของสำนักแรกพยับเกิดขึ้นพอดีกับที่ไท่ซ่างเหล่าจวินกำลังเข้มงวดเรื่องการสั่งสอน ทำให้บนสวรรค์เกิดการเคลื่อนไหวขึ้นไม่น้อย แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นคือเหล่าศิษย์สำนักฉ่านเข้าใส่สีตีไข่ พูดใส่ความว่าหลินเจี้ยนหรูก่อให้เกิดความขัดแย้ง แพร่สะพัดไปทั่วทุกหัวมุมถนน ทุกที่ต่างถกกันถึงเรื่องนี้
และคนเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นศิษย์แถวล่าง หูเบา ได้ยินลมก็กลายเป็นฝนได้ แต่นั่นไม่รวมถึงพวกที่เบื้องหลังมีผลประโยชน์ผลักดันอยู่
แน่นอนว่าไม่ใช่ทั้งหมดจะไปตามกระแส มีคนจำนวนหนึ่งไม่ยอมปริปากพูด บางส่วนเคยเป็นสหายร่วมงานกับหลินเจี้ยนหรู บางส่วนคือพวกที่ไม่พอใจการวางอำนาจบาตรใหญ่ของพวกลัทธิฉ่าน และยังมีคนซึ่งไม่ชอบพวกที่ซ้ำเติมคนอื่น สรุปคือ อย่างไรบนโลกนี้ก็ไม่มีทางมีเหตุการณ์ที่ทุกคนจะอยู่ฝั่งเดียวกันทั้งหมดได้
ตอนที่ไม่ต้องเข้าหน่วยงาน มู่จิ่วก็อยู่บ้าน
ลู่ยาเล่าที่มาที่ไปของชายชุดเขียวให้ฟังหมดแล้ว หากว่างก็จะหลอมกระบี่ให้นาง เขารู้สึกว่านางขาดอาวุธที่เหมาะสม อันที่จริงความคิดที่จะหลอมกระบี่มีมานานแล้ว แค่ช่วงนี้เพิ่งมีเวลาลงมือทำ ตอนนี้เขาร่างภาพไว้เรียบร้อย เหลือเพียงเลือกวัสดุ เมื่อเลือกได้แล้วก็ยังต้องเอาเข้าเตาหลอม หลังทำเสร็จมันจะกลายเป็นกระบี่ที่แข็งแกร่งที่สุดสามอันดับแรกในฟ้าดินนี้
“จะทำเสร็จก่อนไปทำลายพลังชั่วร้ายของคลื่นจิตพสุธาได้หรือไม่?” มู่จิ่วถาม
“เรื่องนี้ไม่แน่ เจ้าสำเร็จเป็นเซียนได้เร็ว เวลาที่จะไปคลื่นจิตพสุธาก็เร็วขึ้น หากสำเร็จเป็นเซียนช้า เวลาก็จะยิ่งยืดยาวออกไป” ลู่ยายกพู่กันวาดดอกไม้ลงบนกระบี่ พลางพูด “พวกเรารอให้กระบี่เสร็จแล้วค่อยไปก็ได้ แต่นั่นก็ต้องรอนานหน่อย เพราะกว่าจะหลอมเสร็จ อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาหลายร้อยปี”
พูดจบก็วางพู่กันลง มองนาง ยกยิ้มแล้วเอ่ย “แต่ก่อนหน้านั้นเจ้าสามารถตั้งชื่อที่ชอบให้มันได้ก่อน”
มู่จิ่วเท้าคางครุ่นคิดอย่างจริงจัง
ลู่ยามองนางที่กำลังเหม่อลอย ยิ้มน้อยๆ ก่อนวาดเมฆมงคลลงบนกระดาษ
ช่วงนี้บรรยากาศสงบสุข ตั้งแต่กลับมาจากคลื่นจิตพสุธานางก็เก็บตัวมากขึ้น อีกทั้งในใจของเขาก็ได้ลบล้างความกังวลใจไปแล้ว เรียกได้ว่าเขาให้ความสำคัญกับความรู้สึกในปัจจุบันยิ่งกว่าแต่ก่อน เขาทิ้งความรู้สึกรักใคร่แบบเด็กน้อยเหล่านั้นไป นิสัยแบบเด็กๆ จึงค่อยจางหาย ทำให้ใจยินยอมปล่อยเวลาเคลื่อนผ่านไปแต่โดยดี
“ข้าคิดดีแล้ว” มู่จิ่วนั่งลง “อย่างไรก็ต้องรออีกหลายร้อยปี”
ลู่ยาพยักหน้า วางพู่กันลง เป่าหมึกที่ยังไม่แห้งก่อนเอ่ยว่า “ไปเถอะ”
มู่จิ่วยืนขึ้น “ไปไหน?”
“พวกเราไปหงชางกันเถอะ”
หงชาง? ใช่แล้ว
นางรู้เรื่องทั้งหมดแล้ว เช่นนั้นจุ่นถีน่าจะปรากฏตัวแล้วเช่นกัน
ในเมื่อเขาปรากฏตัว นางก็ควรกลับไปดูสักหน่อย
พวกเขาออกเดินทาง เดินเคียงคู่กันไปหงชาง
ไม่ได้เจอกันหลายเดือน หงชางที่รกร้างกลับคืนสู่สภาพเดิมเหมือนเกิดใหม่ ทั้งภูเขาเต็มไปด้วยดอกไม้นานาพรรณ เรือนทั้งหมดในหงชางตกอยู่ในวงล้อมของสีชมพูและสีขาว ดุจภาพวาดน้ำหมึกฝีมือยอดปรมาจารย์มือทอง
เหล่าสัตว์ปีศาจต่างก็ออกมาหมดแล้ว มีบางส่วนเดินเล่นอยู่บนเขา บางส่วนงีบหลับอยู่ใต้ต้นไม้
ปีศาจหนูสีเทากำลังคุยเล่นอยู่ใต้ภูเขา ครั้นเห็นมู่จิ่วกับลู่ยาที่เดินมาแต่ไกลก็พากันยิ้มทักทาย “แม่นางจิ่วพาคนรักมา” ปีศาจจิ้งจอกที่กำลังหวีขนอยู่ริมแม่น้ำนอกระยะครึ่งลี้ได้ยินเข้า ก็รับวิ่งเข้ามาด้วยความอยากรู้อยากเห็น มือทั้งสองกอดอก ฟองสีชมพูลอยเต็มดวงตา “อาจิ่วพาผู้ชายจากสวรรค์กลับมา!”
มู่จิ่วรู้สึกขัดเขินอยู่บ้าง ลู่ยากลับจูงมือนางอย่างผ่าเผย เอ่ยว่า “ต่อไปพวกเจ้าต้องเรียกข้าว่าสามีของศิษย์พี่เก้าแล้ว” พูดพลางหยิบกระเป๋ายาที่เก็บอยู่ในอกเสื้อออกมา “น้ำใจเล็กน้อย ถือเป็นของขวัญแรกพบหน้าแล้วกัน”
ปีศาจจิ้งจอกรับกระเป๋ายามา เห็นไอมงคลเหนือหัวเขาเข้าพอดี ดวงตาเล็กๆ คู่นั้นพลันเบิกกว้าง! ไอมงคลของสามีศิษย์พี่เก้าเด่นตาและยิ่งใหญ่นัก ต้องเป็นเทพเซียนที่ดูแคลนไม่ได้แน่!
เหล่าปีศาจตื่นเต้นกันทันที
มู่จิ่วถามลู่ยา “นั่นยาอะไร?”
“ยาปกป้องจิตต้นกำเนิด สามารถปกป้องพวกเขาจากอสุนีบาตเก้าสิบเก้าสาย เห็นแก่ที่พวกเขาปากหวาน จึงตบรางวัลให้หน่อย” ลู่ยาดึงนางเข้าประตูสำนัก
เด็กอ้วนที่ประตูสำนักเห็นพวกเขาทั้งสองจึงกลิ้งเข้าไป
ลู่ยามือเร็วนัก พริบตาเดียวก็ดึงพวกเขากลับมา “อยากกินไก่ย่างหรือไม่?”
น้ำลายของเด็กอ้วนไหลยืดลงมาสามฉื่อ
“หากอยากกินก็อย่าได้โหวกเหวกไป ข้าเพียงมาดื่มชากับเจ้าสำนักของพวกเจ้าแล้วพูดคุยเรื่องเก่าก่อนเท่านั้น” ลู่ยาวางเขาลง กลางฝ่ามือพลันปรากฏไก่ย่างห่อใบบัวส่งกลิ่นหอมตัวหนึ่ง
เด็กอ้วนรีบเข้ามาหยิบก่อนวิ่งไปไกล
ก่อนหน้านี้ลู่ยาอยู่บนเขาหลายวัน ทุกคนจำอาจารย์อาใหญ่ผู้นี้ได้แล้ว ทั้งยังเคยติดตามเขาก่อเรื่องไปทั่วภูเขา เดิมทีทั้งเขาจะออกมากราบไว้เขาก็เป็นเรื่องเหมาะสม แต่ในเมื่อเขาบอกว่าไม่ต้อง ก็ย่อมไม่เกรงใจ
วันนี้จุ่นถีไม่ได้อ่านหนังสือไม่ได้สวดมนต์ อีกทั้งไม่ได้ต้มชา เขายืนอยู่ปากทางเข้าที่ปกคลุมไปด้วยป่าไผ่ สูงส่งสง่างามยิ่ง
เขาเห็นลู่ยาเดินจูงมือมู่จิ่วเข้ามาตามระเบียงทางเดิน มุมปากก็ยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย สุดท้ายจึงกลายเป็นรอยยิ้ม
“อาจารย์!”
มู่จิ่วเห็นเขาก็กระโดดเข้าหาด้วยความดีใจ มือโอบกอดรอบคอเขา
จุ่นถีถูกนางโผเข้ามาในอ้อมอก จากนั้นมองคนที่เดินตามมาอยู่ตรงไหล่นาง
……………………….
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น