ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น 383-390
ตอนที่ 383 อู่เยวี่ยผู้ไร้สติสัมปชัญญะ
ในจังหวะที่พวกอู่เหมยวิ่งมาถึง อู่เยวี่ยกำลังอยู่ภายใต้วงล้อมของกลุ่มนักเรียนหญิงที่กำลังทำให้เธออยู่ในความสับสน อู่เยวี่ยเธอสูงจึงทำให้มองเห็นได้ง่าย แต่ด้วยอาการท้องเสียทำให้ร่างกายของเธออ่อนแอและไม่อาจสู้กลับได้ แต่อย่างไรเธอก็มีอาวุธมีคมอย่างหนึ่ง
กลิ่นเหม็นบนตัวเธอคืออาวุธสังหาร เพียงแค่นักเรียนหญิงคนนั้นเข้าใกล้เธอ ก็ราวกับถูกควันพ่นจนแทบไร้เรี่ยวแรง จะเอากำลังที่ไหนไปต่อสู้กับเธอได้!
“ไม่ไหว ฉันอยากอ้วกมาก อู่เยวี่ย แกเก่งมากเลยนะ!”
นักเรียนหญิงคนนั้นตาเหลือกตาหลน บีบจมูกตัวเองไว้แล้ววิ่งเข้าห้องน้ำไป นักเรียนหญิงคนอื่นๆ ที่คอยยุงยงส่งเสริม ต่างก็มีสีหน้าไม่สู้ดีนัก ทุกคนต่างพากันอุดจมูกแล้วถอยห่างจากอู่เยวี่ย
อู่เยวี่ยได้รับแรงกระตุ้นอีกครั้ง เธอแทบอยากจะเอาชนะยัยพวกบ้านี่ แต่เธอไม่อยากใช้วิธีอัปยศอดสูแบบนี้ นั่นเป็นเพียงสิ่งที่เตือนใจเธอในเวลานั้น เธอคือคนที่มีกลิ่นตัวเหม็นจนทำให้คนไม่พอใจ
อู่เหมยที่อยู่รวมกับกลุ่มคนมากมาย ริมฝีปากของเธอยกยิ้มแทบฉีก ไม่ง่ายเลยที่จะหัวเราะแบบไม่ส่งเสียง แม้ว่าอู่เยวี่ยในตอนนี้จะน่าสงสารแค่ไหน แต่ถึงอย่างไรก็ไม่อาจทำให้เธอซาบซึ้งได้
เมื่อชาติก่อนเธอน่าสงสารยิ่งกว่านี้ ทุกอย่างล้วนเป็นเพราะอู่เยวี่ย ในชาตินี้ต่อให้อู่เยวี่ยต้องตายอยู่ตรงหน้าเธอ เธอก็จะไม่มีทางใจอ่อนให้แม้แต่น้อย
แม้ว่าอู่เชาเองจะไม่ชอบอู่เยวี่ย แต่ถึงอย่างไรอู่เยวี่ยก็เป็นลูกพี่ลูกน้องของเขา หากว่าอู่เยวี่ยต้องอับอาย ตัวเขาเองก็มีแต่จะเสียหน้า
“พวกเราเข้าไปเกลี้ยกล่อมอู่เยวี่ยกันเถอะ อย่าให้เธอต้องขายขี้หน้าไปมากกว่านี้เลย!” อู่เชาพูดจบก็เบียดเสียดผู้คนกลุ่มนั้นเข้าไป อู่เหมยจึงจำใจเดินตามเข้าไป จี้เหวินฮุ่ยทำแก้มป่องและเดินตามพวกเขาเข้าไปอย่างไม่เต็มใจ แต่ในใจเธอกลับดีใจเสียยิ่งกว่าดอกไม้บาน
ไม่เคยเห็นอู่เยวี่ยร้ายกาจขนาดนี้มาก่อน กลับไปจะต้องบอกเรื่องนี้กับแม่ แม่เองก็ต้องดีใจแน่ๆ
“พี่คะหยุดสร้างความวุ่นวายได้แล้ว ตอนบ่ายพี่ยังมีสอบนะ!”
อู่เหมยเดินเข้าไปด้านหน้าเพื่อเกลี้ยกล่อมเธอ ไม่ได้มีท่าทีจู้จี้จุกจิกใดๆ แต่กลับมีแต่ความจริงใจและเป็นห่วง
นักเรียนคนอื่นๆ ที่อยู่ในเหตุการณ์เตรียมปลีกตัวแยกย้าย แต่กลับต้องจ้องมองอีกครั้ง มีนักเรียนชายบางคนที่เอาแต่ใจจดใจจ่อเพื่อรอฟังว่าสาวสวยคนนี้คือใคร เมื่อได้ยินว่าเป็นน้องสาวแท้ๆ ของอู่เยวี่ย ทุกคนต่างก็อ้าปากค้างกลางอากาศ
จากตอนแรกคิดว่าอู่เยวี่ยสวยแล้ว ตอนนี้นึกไม่ถึงว่าน้องสาวจะสวยกว่าเธอมาก อู่เยวี่ยพูดต่อหน้าอู่เหมยราวกับเป็นสาวใช้ ไม่ได้มีสีสันหรือเกียรติอะไร
พวกเขาเริ่มนึกได้ถึงเหตุการณ์ที่อู่เยวี่ยริษยาน้องสาวตัวเอง ปฏิบัติกับอู่เหมยราวกับเรื่องเล่าขาน ตอนแรกก็ไม่ได้มีใครเชื่ออะไรมาก แต่พอได้เห็นตัวจริงของอู่เหมย พวกเขาจึงได้เริ่มมั่นใจและเชื่อขึ้นมา สายตาที่ใช้มองอู่เยวี่ยมีแต่ความรู้สึกแปลกๆ
มีน้องสาวที่หน้าตาสะสวยกว่าตัวเองร้อยเท่า เด็กสาวที่ใจแคบแบบนี้ จะเกิดความริษยาจนเสียสติได้หรือเปล่านะ?
สิ่งที่อู่เยวี่ยทำก็ถือว่าเป็นเหตุผลอย่างหนึ่ง แต่เธอก็ใจดำไปหน่อย!
“แกออกไป ฉันไม่ต้องการให้แกมาทำตัวเสแสร้งต่อหน้าฉัน” อู่เยวี่ยเมื่อเห็นอู่เหมยก็โกรธยิ่งกว่าเดิม เรื่องที่เธอขโมยของมาคงเป็นเพราะยัยอู่เหมยเอาไปเปิดเผยแน่ๆ แล้วไหนตอนนี้ยังจะแสร้งเข้ามาทำตัวเป็นคนดีอีก
อู่เหมยถูกอู่เยวี่ยผลักออกอย่างแรง จนต้องเซถอยหลังไปหลายก้าว โชคดีที่สยงมู่มู่ช่วยพยุงไว้จึงไม่ทำให้ล้มลงไป อู่เหมยพูดขึ้นอย่างน้อยใจ “พี่คะ ทำไมพี่ต้องพูดแบบนี้ด้วย? หนูก็แค่เป็นห่วงพี่ ถ้าครั้งนี้สอบได้ไม่ดีเหมือนครั้งก่อนอีก แม่คงจะไม่พอใจมาก”
“อู่เหมย แกไสหัวไป แกอย่ามาทำตัวน่าสงสารแล้วเรียกร้องความสนใจจากคนอื่น อย่าคิดว่าฉันไม่รู้ว่าเป็นแกที่เอาฉันไปพูดลับหลังแล้วสร้างข่าวลือบ้าๆ นี่!”
อู่เยวี่ยตะโกนอย่างสุดเสียง ต่างจากเมื่อก่อนโดยสิ้นเชิงที่ไร้ซึ่งความอ่อนโยน สีหน้าท่าทางที่แสดงออกมีแต่ความน่ากลัวจนทำให้ทุกคนต่างตกใจ และต่างเห็นใจต่ออู่เหมยมากขึ้น
ต่อหน้าทุกคนที่อยู่ภายนอก หากเธอมองน้องสาวด้วยท่าทีแบบนี้จริง แต่พอได้คิดไตร่ตรองอีกนิดถึงจะรู้ว่าหากอยู่ที่บ้านก็ไม่ได้ดีไปกว่านี้แล้ว สาวน้อยคนนี้ช่างน่าสงสาร!
สยงมู่มู่ไม่พึงพอใจต่อท่าทีของอู่เยวี่ย จึงพูดด้วยความโกรธ “อู่เยวี่ยเธอมีความกล้ามากพอที่จะทำ แต่ทำไมไม่กล้ายอมรับล่ะ? อู่เหมยเธอไม่คิดเล็กคิดน้อยอะไรกับเธอแล้ว แต่เธอกลับได้ใจแล้วเหิมเกริมเหรอ? ขโมยหรือไม่ขโมยทุกคนต่างรู้ดี แต่เธอคิดแต่จะหลอกตัวเองหรือไง?”
…………………………………………………………………………………………..
ตอนที่ 384 ใครคือดอกบัวที่บริสุทธิ์กว่ากัน
คำพูดของสยงมู่มู่ยิ่งถือเป็นหลักฐานให้กับเรื่องที่อู่เยวี่ยขโมยของ จากตอนแรกมีนักเรียนบางคนที่ไม่ได้เชื่อ แต่พอได้ยินแบบนั้นจึงเชื่อตาม และมองอู่เยวี่ยอย่างสับสนมากขึ้น
ที่แท้คนเราก็ไม่ควรมองแค่ภายนอก ใครจะคิดว่าอู่เยวี่ยที่เคยเป็นนักเรียนดีเด่น ที่แท้ก็เป็นพวกที่มีความคิดและแผนการที่สกปรก!
ช่างเป็นเรื่องน่าแปลกเสียจริง!
อู่เยวี่ยโกรธจัดและตะโกนขึ้น “แกพูดไร้สาระ แกกับอู่เหมยมันพวกเดียวกัน พวกแกร่วมมือกันหลอกคนอื่น พวกแกมันเป็นคนชั่ว ที่เอาแต่จะทำร้าย…”
“เธอนี่ช่างไม่รู้จักความหวังดีของคนอื่นเลย ถ้าหากว่าพวกเราจะทำร้ายเธอ คงเอาเรื่องพรรค์นั้นประกาศออกไปตั้งนานแล้ว ดูเหมยเหมยเอาแต่ช่วยเธอปกปิด คนอย่างเธอนี่มันไม่ควรค่าเสียจริง” สยงมู่มู่เริ่มโมโหขึ้นมาอีก
วันที่สองที่เครื่องเงินหายไป ในจังหวะที่อู่เหมยเลี้ยงซาลาเปาไข่ปูให้เขากับอู่เชา ได้เอาเรื่องราวทั้งหมดเล่าให้พวกเขาฟัง ตอนนั้นเขาและอู่เชาต่างตกใจไม่น้อย คาดไม่ถึงว่าคนร้ายตัวจริงคืออู่เยวี่ย เพราะพวกเขาต่างใส่ร้ายไปยังเหอปี้อวิ๋น!
ตอนนั้นอู่เหมยได้บอกไม่ให้พวกเขาเอาเรื่องนี้ไปพูดต่อ อยากช่วยอู่เยวี่ยเก็บเป็นความลับ แต่อู่เยวี่ยช่างไม่รู้ถึงความหวังดีเสียเลย มองอย่างไรก็น่ารำคาญ
อู่เยวี่ยมองอู่เหมยด้วยสายตาเย็นชา และพูดอย่างเคียดแค้น “หากไม่ใช่อู่เหมยพูดแล้วจะเป็นใคร? กับพวกนายเธอยังบอกเลย แล้วทำไมจะบอกคนอื่นไม่ได้?”
ทุกคนที่มองอยู่รอบๆ ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกัน จากตอนแรกที่ยังคงสับสนไม่มั่นใจนัก แต่ในเวลานี้ต่างพากันเชื่อสนิทใจ และอู่เยวี่ยก็ออกปากยอมรับเองด้วย พวกเขาจึงคล้อยตามอย่างช่วยไม่ได้
เมื่ออู่เยวี่ยพูดออกไปแล้วถึงได้รู้ว่ามีความผิดปกติ ในจังหวะนั้นเธอเริ่มใจเย็น และเริ่มรู้สึกเสียใจต่อคำพูดมาก
ทำไมเธอถึงได้โง่ขนาดนี้? นึกไม่ถึงว่าจะออกปากยอมรับว่าตัวเองขโมยของ?
“ไม่จริง ฉันไม่ได้ขโมยของ ทั้งหมดเป็นเพราะพวกมันแต่งเรื่องขึ้น ฉันไม่ได้ขโมยของ!” อู่เยวี่ยส่ายหน้าปฏิเสธสุดชีวิต และเอาแต่พูดแก้ตัวให้ตัวเองไม่หยุด แต่ในเวลานี้ไม่มีใครเชื่อเธออีกแล้ว ทุกคนต่างพากันจ้องมองเธอที่กำลังแสดงละครอยู่
อู่เหมยก้มหน้าลง นัยน์ตาบ่งบอกถึงความพึงพอใจ เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นอย่างที่เธอคาดไว้ไม่มีผิด เรื่องนี้ไม่ใช่ตัวเธอที่เป็นคนปล่อยออกไป เพราะเธอไม่ได้โง่ขนาดนั้น
ในคืนวันนั้นเธอรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่ามีคนแอบฟังความเคลื่อนไหวภายในบ้านของเธอจากระเบียงด้านนอก คงจะเป็นพวกเพื่อนบ้านที่มาแอบดูเหตุการณ์เพื่อความสนุกสนาน อู่เจิ้งซือและเหอปี้อวิ๋นต่างก็ไม่เห็น มีเพียงแต่เธอที่สังเกตเห็น เพราะงั้นตอนนี้ที่เธอพูดว่าอู่เยวี่ยขโมยของ เธอพยายามพูดขึ้นเสียงดังจนแสบคอและเสียงแหบแห้ง นั่นก็เพื่อจงใจให้เพื่อนบ้านและคนนอกได้ยิน
พอมาเห็นเหตุการณ์ตอนนี้แล้ว ดูเหมือนว่าการที่เธอเสียงแหบแห้งก็ถือว่าคุ้มค่า!
ดูผลลัพธ์ในตอนนี้ดีแค่ไหน ข่าวแพร่กระจายมาตั้งแต่อี้จงจนถึงโรงเรียนของเธอ!
“พี่อย่าเพิ่งตื่นเต้นไปสิคะ คำพูดพวกนั้นหนูไม่ได้พูดจริๆ พี่อย่าเข้าใจหนูผิดสิ” อู่เหมยพูดขึ้นอย่างขี้ขลาด ดูท่าราวกับเด็กน่าสงสาร
คนหนึ่งมีท่าทีโหดร้ายน่ากลัว แต่อีกคนกลับทำตัวประนีประนอม สิ่งไหนถูกสิ่งไหนผิด ทุกคนมองก็พอจะรู้ได้คร่าวๆ และเลือกเอนเอียงไปทางฝั่งอู่เหมยอย่างเสียไม่ได้
อู่เยวี่ยไม่มีทางเชื่อในคำพูดของอู่เหมย เธอมั่นใจมากว่าอู่เหมยเป็นคนที่พูดออกไป แต่ในตอนนี้เธอใจเย็นขึ้นมาบ้าง และก็รู้ด้วยว่าตัวเธอเองทำผิดครั้งใหญ่ไป เธอต้องการความช่วยเหลือ และก็หวังว่ามันจะช่วยได้ทัน
“อู่เหมยก็อย่าเข้าใจพี่ผิด พี่ไม่ได้เอาของของน้องไป พ่อเองก็รู้ดี เธอบอกพวกเขาไปสิว่าพี่ไม่ได้เอาของของน้องไป” อู่เยวี่ยมีสีหน้าโกรธเคือง ราวกับท่าทีน่าสงสารก่อนหน้านี้ไม่มีผิด พร้อมกับมีน้ำตาคลอเบ้า
อู่เหมยหัวคิ้วตึงแน่น ยายชั่วนี่ฉลาดแกมโกงนัก รู้ว่าอู่เจิ้งซือให้ความสำคัญกับชื่อเสียงและหน้าตามาก ถ้าหากเธอยอมรับว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงต่อหน้าคนเยอะๆ แบบนี้ อู่เจิ้งซือต้องโกรธมากแน่ๆ
ตอนนี้เธอเป็นแค่นกน้อยไร้ประสบการณ์ และยังไม่ใช่จังหวะที่จะต้องมาผิดใจกับอู่เจิ้งซือ เรื่องที่อู่เยวี่ยขโมยของ จะต้องไม่หลุดจากปากของเธอ แต่ถ้าต้องให้เธอล้างความผิดให้อู่เยวี่ย เธอไม่ยินยอม
อู่เหมยใช้สมองคิดอย่างหนัก มองอู่เยวี่ยด้วยท่าทีลำบากใจ และพูดด้วยเสียงเบา “พี่บอกว่าเป็นยังไงก็เป็นแบบนั้นแหละค่ะ ไม่ว่ายังไงขอเพียงแค่พี่มีความสุขก็พอแล้ว”
เมื่อชาติก่อนเธอเคยดูทีวี ดอกบัวขาวที่เก่งกาจก็มักจะใช้วาจาคำพูดแบบนี้ไม่ใช่หรือ เธอเองก็ได้จำมาแล้วก็ใช้ในชีวิตจริง!
…………………………………………………………………………………………..
ตอนที่ 385 ไร้ศักดิ์ศรีไปโดยสิ้นเชิง
อู่เยวี่ยโกรธเคืองต่อคำพูดของอู่เหมยจนแทบจะอาเจียนออกมาเป็นเลือด อะไรคือแล้วแต่ความสุขของเธอ?
ระหว่างพูดแบบนี้กับการบอกต่อหน้าคนอื่นว่าเธอขโมยของมันต่างกันตรงไหน?
อู่เยวี่ยสัมผัสได้ถึงสายตาของคนรอบข้างที่เปลี่ยนไปจากเดิม และยังมีสายตารังเกียจเหยียดหยามของกลุ่มนักเรียนหญิงที่แสดงออกอย่างชัดเจน ดวงตาของเธอแดงก่ำขึ้นอย่างฉับพลัน
“เยวี่ยเยวี่ย ใครรังแกน้อง? รีบถอยไปสิ!”
เสียงตะโกนของเหยียนหมิงต๋าดังมาแต่ไกล เสียงมาก่อนตัว ฟังแล้วทำให้รู้ได้ว่าร้อนใจมากเพียงไหน เพียงครู่เดียวเหยียนหมิงต๋าก็สามารถเบียดเสียดแออัดเข้ามาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วง พุ่งเข้าไปหาอู่เยวี่ยและสำรวจดูตัวของเธอ
“เยวี่ยเยวี่ยไม่เป็นไรใช่ไหม? ทำไมสีหน้าน้องดูไม่ดีเลยล่ะ น้องไม่สบายหรือเปล่า?” เหยียนหมิงต๋าถามไถ่สารทุกข์สุขดิบเธอด้วยความเป็นห่วง
ในใจอู่เยวี่ยที่เต็มไปด้วยความอึดอัดน้อยใจจนยากเกินเยียวยา แต่ในเวลานี้กลับได้รับความเป็นห่วงจากการปรากฏตัวของเหยียนหมิงต๋า เปรียบเสมือนเปลวไฟที่ลุกโชนในช่วงฤดูหนาว ทำให้ดวงใจเธออบอุ่น
“หนูไม่…”
อู่เยวี่ยพูดได้แค่ครึ่งประโยค น้ำตาก็เอ่อคลอขึ้นมาเต็มเบ้า และไหลพรั่งพรูออกมาเป็นสาย นั่นกลับทำให้เหยียนหมิงต๋าเจ็บปวดเหลือเกิน เขาหันไปถามอู่เหมย “ใครรังแกเยวี่ยเยวี่ยเหรอ?”
อู่เหมยมองไอ้เด็กโง่ตรงหน้า จมูกใช้การไม่ได้ไม่พอ สมองยังใช้การไม่ได้อีก สมควรแล้วที่ในชาติก่อนเขาต้องเลี้ยงฝูงม้าอยู่แต่ในทุ่งหญ้า!
“ไม่มีใครรังแกพี่เยวี่ยเยวี่ย พี่หมิงต๋าเข้าใจผิดแล้ว!” อู่เหมยพูดขึ้นเสียงเบา
“ถ้าไม่มีใครรังแกแล้วทำไมเยวี่ยเยวี่ยถึงได้ร้องไห้? ต้องมีคนรังแกแน่ๆ เยวี่ยเยวี่ย บอกพี่มาว่าใครที่กล้าทำขนาดนี้ พี่จะฆ่ามันให้ตาย!” เหยียนหมิงต๋าตะโกนร้องเสียงดังด้วยดวงตาแดงก่ำ
นักเรียนหญิงที่พึ่งไปอาเจียนในห้องน้ำเมื่อครู่ได้วิ่งกลับมา ใบหน้าซีดเซียวเล็กน้อย ได้ยินเสียงเรียกตะโกนของเหยียนหมิงต๋า จึงเปล่งเสียงพูดอย่างเหยียดหยาม “เหยียนหมิงต๋านายป่วยเหหรอ? อู่เยวี่ยนางบ้าขึ้นมาเอง แถมยังมีความคิดและแผนการที่ไม่ใสสะอาดอีก ใครจะกล้ารังแกหล่อนล่ะ?”
“หนูไม่ได้ขโมยของ พี่หมิงต๋าต้องเชื่อหนูนะ หนูจะขโมยของได้ยังไง!”
ท่าทางอ่อนแอของอู่เยวี่ยทำให้เหยียนหมิงต๋ารู้สึกเจ็บปวดเป็นอย่างมาก เขาได้ลืมคำพูดของเหยียนหมิงซุ่นไปเสียหมด ในสายตาเขาและในใจเขาตอนนี้มีแค่อู่เยวี่ยเพียงคนเดียว
“พี่เชื่อน้อง เยวี่ยเยวี่ยไม่มีทางขโมยเครื่องเงินของอู่เหมยเป็นแน่ น้องอยากได้อะไรแม่ก็มักจะหาซื้อมาให้ ไม่จำเป็นที่น้องต้องไปขโมย พอดีเลยที่อู่เหมยก็อยู่ตรงนี้ ให้อู่เหมยช่วยอธิบายหน่อยสิ เหมยเหมยเร็วเข้าสิ!”
เหยียนหมิงต๋าพูดเองตอบเองอยู่คนเดียว แน่นอนว่าเขาต้องการให้อู่เหมยช่วยลบล้างความผิดให้อู่เยวี่ย สยงมู่มู่ถอนหายใจออกมาอย่างเย็นชา และด่าออกไป “เหยียนหมิงต๋านายนี่มันโง่จริงๆ แค่เธอบอกว่าไม่ได้ขโมยก็คือไม่ได้ขโมยเหรอ เรื่องนี้รู้ไปทั่วทั้งตึกแถวบ้านฉันแล้ว นายคนเดียวพูดแบบนี้จะมีประโยชน์อะไร!”
“นายด่าว่าใครโง่? สยงมู่มู่ถ้านายกล้ามากก็พูดอีกทีสิ!”
เหยียนหมิงต๋าโมโหขึ้นมาในทันที เขาจ้องสยงมู่มู่ไม่วางตา ท่าทางพร้อมจะทะเลาะวิวาทมาก แน่นอนว่าสยงมู่มู่เองก็ไม่ได้ยอมอ่อนข้อให้ แข็งคอนิ่งและจ้องมองไปยังเหยียนหมิงต๋า สายตาทั้งคู่ราวกับอาฆาตพยาบาทต่อกันจนสามารถทะเลาะกันขึ้นมาได้ทุกเมื่อ
“ครูมาแล้ว!”
ไม่รู้ว่าใครพูดประโยคนี้ออกมา คนที่มุงดูอยู่รอบๆ ต่างพากันแยกย้ายแตกตื่นออกไป แค่ครู่เดียวก็หายไปไม่เหลือแม้แต่เงา เหลือเพียงแค่อู่เหมยและอู่เยวี่ยที่ยังคงยืนอยู่ ครูประจำชั้นของอู่เยวี่ยเดินเข้ามาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
อู่เจิ้งซือที่ได้รับสายจากครูประจำชั้นของอู่เยวี่ย ในหัวมีแต่อารมณ์โมโห ลูกสาวคนโตที่เป็นคนว่านอนสอนง่าย ในขณะที่คะแนนเธอลดน้อยลง ยังกล้ามีเรื่องทะเลาะวิวาทกับเพื่อนในห้องอีกหรือ?
อีกทั้งเธอยังเป็นคนลงมือก่อนด้วย? ในสายตาของทุกคนที่จับจ้อง หลายๆ คนต่างก็สังเกตเห็น!
อู่เจิ้งซือกลับไม่รู้ พอเขารีบตรงดิ่งไปถึงโรงเรียนทดลอง ครูประจำชั้นได้พูดเรื่องที่ทำให้เขาเป็นทุกข์มาก
ในใจของเขาที่ปกปิดเรื่องอู่เยวี่ยขโมยของ นึกไม่ถึงว่าจะถูกเปิดเผยออกมา ในเวลานี้แค่โรงเรียนทดลองยังรู้ไปทั่ว!
อู่เยวี่ยขายหน้า ส่วนเขายิ่งเสียศักดิ์ศรี!
…………………………………………………………………………………………..
ตอนที่ 386 หนูไม่ได้เป็นคนพูด
อู่เจิ้งซือไม่รู้เลยว่าตัวเขาเองพาอู่เยวี่ยกลับจากโรงเรียนมาถึงบ้านได้อย่างไร ระหว่างทางเขาไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้น เพราะเขารู้สึกว่าคนรอบข้างต่างพากันติฉินนินทาเขา บอกว่าเขาเลี้ยงดูลูกสาวที่ชอบลักขโมย
คะแนนสอบที่อู่เยวี่ยทำได้ อู่เจิ้งซือไม่ได้กังวลอะไรแล้ว เขาเพียงแค่อยากรู้ว่าใครเป็นคนพูดเรื่องนี้ออกไป?
ความคิดของเขาไม่ต่างกับอู่เยวี่ย ที่คิดว่าอู่เหมยเป็นคนทำ
เรื่องนี้มีแค่คนภายในบ้านเท่านั้นที่รู้ เขาและเหอปี้อวิ๋นไม่มีทางพูด ยิ่งอู่เยวี่ยก็ไม่มีทางพูดแน่ เหลือเพียงแค่อู่เหมย ถ้าไม่ใช่เธอแล้วจะเป็นใคร?
อู่เหมยที่เพิ่งกลับมาถึงบ้าน ก็รับรู้ได้ว่าบรรยากาศภายในบ้านไม่ปกติ สีหน้าท่าทางของอู่เจิ้งซือและเหอปี้อวิ๋นต่างก็มืดมน แต่อู่เยวี่ยกลับตาแดงก่ำอย่างชัดเจน บ่งบอกได้ว่าเพิ่งผ่านการร้องไห้มา
จากตอนเที่ยงที่ครูประจำชั้นของอู่เยวี่ยเข้ามา เธอและอู่เชาก็ได้เดินออกไป แต่หลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นเธอไม่ได้รับรู้เลย เธอยังคงคิดว่าที่อู่เยวี่ยร้องไห้นั่นเป็นเพราะเรื่องเมื่อตอนเที่ยง
“พ่อคะ หนูกลับมาแล้ว” อู่เหมยตะโกนส่งเสียงเรียกพร้อมกับรอยยิ้ม
“เข้ามาแล้วก็ปิดประตูด้วย พ่อมีเรื่องจะพูดกับลูก!” ท่าทีของอู่เจิ้งซือดูเคร่งขรึมมาก
ใจของอู่เหมยเต้นตุบๆ และเงียบเสียงลง ดูท่าแล้วคงจะเป็นเพราะอู่เยวี่ยเล่าเรื่องอะไรให้อู่เจิ้งซือฟังแน่นอน ไม่เช่นนั้นอู่เจิ้งซือจะเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือได้อย่างไร?
ทั้งที่ช่วงนี้เขาดูจะอ่อนโยนและเมตตาเอามาก อู่เหมยค่อยๆ ดึงประตูปิดลง และพูดขึ้นอย่างไร้เดียงสา “พ่อจะถามเรื่องที่พี่มีเรื่องทะเลาะวิวาทในโรงเรียนเหรอคะ? เรื่องนี้หนูเองก็ไม่ค่อยแน่ใจนัก ช่วงที่หนูกับอู่เชาไปถึง พี่ก็มีเรื่องกับนักเรียนคนอื่นแล้ว จะจับแยกยังทำไม่ได้เลย”
อู่เยวี่ยมีสีหน้าที่เปลี่ยนไป เธอพูดขึ้นอย่างทนไม่ได้ “พวกมันใส่ร้ายฉัน เพราะงั้นฉันถึงได้ทะเลาะกับพวกนั้น”
“พวกเขาใส่ร้ายอะไรพี่เหรอคะ?” อู่เหมยถามขึ้นอย่างมีเจตนา
อู่เยวี่ยถูกบีบจนไร้หนทางในทันที ความจริงแล้วเธอไม่อยากพูดออกมาว่า ‘ขโมยของ’ สามพยางค์นี้เลย หากเป็นที่โรงเรียนเธอสามารถพูดออกไปได้ว่าอย่างเต็มปากว่าถูกใส่ร้าย เพราคนนอกไม่มีใครรู้ว่าความจริงคืออะไร แต่พออยู่ในบ้านเธอกลับขาดความมั่นใจ
เรื่องราวความเป็นจริงทุกอย่างเป็นอย่างไร ตัวเธอนั้นรู้ดีเสียยิ่งกว่าใคร วันนั้นเธอได้เอาเครื่องเงินของอู่เหมยไปจริงๆ และเธอยังได้ทำลายภาพวาดของอู่เหมยด้วย แต่เธอก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองขโมยของ เธอเพียงแค่หยิบของของคนในบ้านออกไปก็เท่านั้น เธอไม่ได้ไปขโมยของของคนอื่น
ทำไมถึงได้บอกว่าเธอขโมยของด้วยล่ะ?
เหอปี้อวิ๋นออกหน้าช่วย โดยพูดตำหนิขึ้น “เป็นเพราะแกเอาแต่ไปพูดไร้สาระแล้วบอกว่าพี่ของแกขโมยของสินะ? ฉันจะตีแกให้ตายยายเด้กบ้านี่ ใจของแกมันดำไปถึงไหนแล้ว แกนี่ทนเห็นพี่แกได้ดีไม่ได้เลย!”
มีหรือที่อู่เหมยจะยอมทนให้เหอปี้อวิ๋นด่าทอและทำร้ายร่างกาย เธอหลีกตัวไปยืนตรงปากประตู ยิ้มเยาะแล้วพูดขึ้น “พี่ทำตัวไม่ไว้หน้า แล้วหนูต้องทำตัวไม่ไว้หน้าด้วยเหรอ เอาเรื่องของพี่ออกไปพูดแล้วมีผลดีอะไรกับหนูเหรอ? จะว่ายังไงหนูก็แซ่อู่เหมือนกัน หากคนอื่นๆ ต่างบอกว่าพี่เป็นเหมือนหนูขี้ขโมย แล้วหนูยังจะไปสู้หน้าใครได้อีกเหรอ?”
ความสงสัยในสายตาของอู่เจิ้งซือหายไปเล็กน้อย ดูจากลักษณะแล้วคงจะไม่ใช่อู่เหมยที่เป็นคนเอาไปพูด หากเรื่องนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่ มันก็ไม่มีผลดีอะไรกับชื่อเสียงของอู่เหมยเลย เธอคงไม่มีทางทำอะไรที่ทำลายภาพพจน์ของตัวเอง
แต่ถ้าหากว่าไม่ใช่อู่เหมยแล้วจะเป็นใครกัน?
“ไม่ใช่แกแล้วเป็นใคร? หากว่าไม่ใช่เพราะแกชอบพูดจาไร้สาระ เพื่อนในโรงเรียนของพี่แกจะรู้เรื่องนี้ได้ยังไง? แกยังคิดจะแก้ตัวอีกเหรอ?”
เหอปี้อวิ๋นไม่เชื่อเลยสักนิด เธอจับไม้ขนไก่ได้ก็เตรียมจะฟาดอู่เหมย ยากมากที่อู่เจิ้งซือจะรู้สึกผิดใจกับอู่เหมยเหมือนอย่างวันนี้ เธอจะต้องรีบคว้าโอกาสนี้ไว้ รีบจัดการยายเด็กบ้านี่ถึงจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด
“หนูจะรู้ได้ยังไงว่าใครเป็นคนพูด? คืนวันนั้นพวกเราส่งเสียงดังกันขนาดนั้น คนทั้งตึกได้ยินหมดแล้ว ยังจำเป็นที่หนูจะต้องออกไปพูดให้ใครฟังอีกเหรอ?”
อู่เหมยจับลูกบิดประตูของเธอไว้แน่น เพียงแค่เหอปี้อวิ๋นลงมือเธอก็จะหนีออกไป ถึงอย่างไรเธอก็จะไม่ยอมเสียเปรียบ
…………………………………………………………………………………………..
ตอนที่ 387 ละครสนุกที่ฉายขึ้นต่อเนื่อง
อู่เจิ้งซือมีสีหน้าท่าทางเปลี่ยนไปมาก คำพูดของอู่เหมยได้เตือนสติเขาไว้ คืนวันนั้นเขาดื่มเหล้าเข้าไปเยอะมาก สติสัมปชัญญะก็ไม่ได้เหมือนกับตอนปกติ ทำให้เขาไม่ได้ระวังอะไรมาก น้ำเสียงและคำพูดที่ใช้ก็ดังเสียยิ่งกว่าตอนปกติ
ตอนนี้ความเป็นไปได้ก็คงจะเป็นเพราะเพื่อนข้างบ้านที่อยู่ตรงระเบียงได้ยินเข้า จากนั้นก็กระจายข่าวต่อๆ ไป ขนาดรอบนอกของโรงเรียนยังรู้เรื่องนี้
อู่เจิ้งซือส่ายหน้าไปมาอย่างอารมณ์เสีย อุบัติเหตุจากการดื่มเหล้า!
เหอปี้อวิ๋นกลับไม่ต้องการฟังคำพูดของอู่เหมย เธอมั่นใจแน่วแน่มากว่าต้องเป็นยัยเด็กบ้านี่ที่เอาเรื่องไปบอกคนอื่น เธอจะต้องระบายอารมณ์กับยายเด็กนี่แทนอู่เยวี่ย เธอยกไม้ขนไก่ขึ้นและวิ่งไล่ตีอู่เหมย
“หนูบอกแล้วว่าไม่ใช่หนู ทำไมถึงยังจะตีหนูอีก? ตอนที่พี่ขโมยของทำไมหนูไม่เห็นแม่จะตีพี่เลย?”
อู่เหมยเปิดประตูออกในทันที และมุดออกจากประตูไป เธอตะโกนร้องเสียงหลง จนเป็นที่สะดุดตาของหลายๆ คนที่อยู่บริเวณระเบียง ทำให้ทุกคนต่างทำกับข้าวไปด้วยและได้ดูละครสนุกๆ ไปด้วย ช่วงนี้ตระกูลอู่ถือว่ามีละครสนุกๆ ที่ฉายขึ้นต่อเนื่อง!
อีกทั้งยังได้ยินมาว่าวันนี้ลูกสาวคนโตของตระกูลอู่ ได้ทำเรื่องขายหน้าไว้ที่โรงเรียนด้วย นึกไม่ถึงว่าจะมีเรื่องทะเลาะวิวาทกับเพื่อนนักเรียนได้?
จิ๊ๆ อู่เยวี่ยในตอนนี้เทียบกับเมื่อก่อนไม่ได้เลยจริงๆ
ลูกสาวทั้งสองคนของตรระกูลนี่ช่างน่าสนใจเสียจริง ราวกับพวกเธอได้เปลี่ยนไปเป็นคนละคน แต่คนโตเปลี่ยนไปในทางที่แย่ลง ส่วนคนเล็กกลับเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น เปรียบเสมือนว่าทั้งสองคนได้สลับกันไปหมด
อู่เจิ้งซือที่เห็นว่าอู่เหมยวิ่งหนีออกไปด้านนอกก็รับรู้ได้ถึงเหตุการณ์ไม่ดี และรู้สึกปวดหัวอย่างหนัก ในตอนนี้ลูกสาวคนเล็กดีพร้อมทุกอย่าง แต่มีสิ่งเดียวที่เป็นข้อบกพร่องคือการชอบเอาเรื่องในบ้านออกไปพูดหรือประจาน นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้เขาโกรธ
“เหมยเหมยกลับมา!” อู่เจิ้งซือใช้เสียงต่ำพูดเตือน
แน่นอนว่าอู่เหมยไม่มีทางเชื่อฟังง่ายๆ และน้ำเสียงก็ไม่มีทางลดต่ำลง “ไม่ค่ะ ถ้ากลับไปแม่ต้องตีหนูแน่ หนูจะยืนอยู่ข้างนอก”
พูดจบเธอก็ได้หันหน้าไปทางอาจารย์แม่จางที่กำลังเป็นห่วงเธออยู่ และได้ขยิบตาส่งให้ อาจารย์แม่จางยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย จากที่เป็นห่วงเธอก็ต้องโล่งใจ ตอนนี้ยายตัวแสบไม่ได้มีนิสัยอ่อนแอเหมือนแต่ก่อนแล้ว และเธอก็ไม่ต้องเป็นห่วงอะไรมาก
อาจารย์แม่จางได้ยกกับข้าวเข้าบ้านไป ในเมื่อยายแสบไม่ได้เป็นอะไรแล้ว เธอก็เบื่อที่จะต้องคอยดูละครฉากยักษ์นี้ ดูทุกวันจนรู้สึกเบื่อแล้ว
ในบ้านของตระกูลจางมีลูกชายคนรองจางเฟิงที่ตอนนี้ท่าทีไม่เป็นปกติ เขาเองก็เรียนอยู่ชั้นมัธยมต้นที่โรงเรียนทดลอง แต่เขาอยู่ชั้นมัธยมปีที่สาม คืนนั้นคนที่อยู่ตรงระเบียงแล้วได้ยินก็คือเขา และคนที่พูดเรื่องนี้ออกไปก็คือเขา
อันที่จริงเขาแค่พูดให้เพื่อนฟังก็เท่านั้น และยังบอกเพื่อนคนนี้ว่าอย่าเอาไปพูดต่อ แต่ใครจะรู้ว่าเพื่อนของเขาจะเป็นพวกปากไม่มีหูรูด แค่หันหลังให้แวบเดียวก็เอาไปเล่าต่อแล้ว จากหนึ่งคนเป็นสิบคน จากสิบคนเป็นร้อยคน และจากร้อยคนเล่าต่อเป็นพันคน และตอนนี้ก็กระจายไปถึงโรงเรียนแล้วด้วย
และยิ่งเรื่องเล่ากระจายต่อไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นไม่มีที่สิ้นสุด
อู่เยวี่ยทะเลาะวิวาท อู่เหมยถูกตี ทั้งหมดล้วนเกี่ยวกับเรื่องนี้ ไม่สิ หากพูดให้ถูกต้องคือเรื่องทั้งหมดล้วนมีส่วนเกี่ยวกับตัวเขา
เขายังดีกว่าเมื่อเทียบกับเด็กหนุ่มในเหตุการณ์ซาราเยโว[1]ในหนังสือประวัติศาสตร์ที่ใช้ปืนแค่กระบอกเดียวในสงคราม
จางเฟิงรู้สึกผิดต่ออู่เหมย เขาเอาแต่ภาวนากับตัวเองเพื่ออู่เหมย หวังว่าเธอจะรอดพ้นจากการถูกเหอปี้อวิ๋นตี ไม่เช่นนั้นในใจของเขาต้องไม่สบายใจมากแน่
จางเฟิงที่รู้สึกไม่สบายใจมากจึงลุกเดินออกไปยังระเบียง หากว่าอู่เหมยทนไม่ไหวแล้ว เขาจะเข้าไปหาอู่เจิ้งซือเพื่อสารภาพความจริงทุกอย่าง ถึงอย่างไรเขาก็ไม่สามารถยอมให้อู่เหมยเป็นแพะรับบาปแทนเขา
อู่เหมยไม่ได้สังเกตเห็นจางเฟิง อู่เจิ้งซือได้เรียกให้เธอเข้าบ้านไป เหอปี้อวิ๋นเองก็ถูกเขาด่าไปด้วย เธอจึงเดินกลับเข้าบ้านไป
จากตอนแรกที่อู่เจิ้งซือตั้งใจว่าจะทานข้าวให้เสร็จ แล้วค่อยจัดการเรื่องของลูกสาวทั้งสอง ลูกสาวคนโตเป็นเป้าหมายหลัก ลักษณะท่าทางของเธอในช่วงนี้แย่เอามากๆ ส่วนทางลูกสาวคนเล็กเองก็ต้องให้การอบรม เพื่อให้เธอแก้ไขข้อบกพร่องเรื่องที่มักจะเอาเรื่องในบ้านออกไปพูด
แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้สั่งสอนหรือตักเตือนใดๆ กลับได้รับสายจากคุณปู่อู่เรียกไปหาเพื่อสั่งสอนอีกครั้งหนึ่ง สีหน้าท่าทางที่กลับมาแทบดูไม่ได้ และเขาเองก็ไม่มีอารมณ์ที่จะมาอบรมสั่งสอนลูกๆ อีก
…………………………………………………………………………………………..
ตอนที่ 388 การเพ้อฝันอย่างหนึ่งของเด็กโง่
ในเวลานี้ตระกูลเหยียนเองก็ไม่สงบ เพราะคุณย่าหยางเอาแต่ด่าว่าเหยียนหมิงต๋าเหมือนหมา คุณปู่เหยียนก็ได้สั่งสอนเขาโดยการให้ยืนทำท่าสควอช และบนหัวก็ให้วางชามที่ใส่น้ำไว้ เพื่อเป็นการสั่งสอนให้เขาหลาบจำ
การกระทำของเหยีนหมิงต๋าที่โรงเรียนนั้นเป็นดั่งชายผู้กล้าช่วยวารี เหยียนหมิงซุ่นรู้ได้อย่างรวดเร็ว เป็นสยงมู่มู่เองที่ตั้งใจมาเจอกับเหยียนหมิงซุ่นตอนเลิกเรียน และได้เล่าเรื่องราวของเจ้าโง่นี่อย่างละเอียดชัดเจน
เหยียนหมิงซุ่นหมดคำพูดกับน้องชายโง่ๆ ของตัวเองแล้ว โง่เขลาจนไม่มียารักษาได้ แต่สิ่งที่ทำให้เขาต้องโกรธคือกล้าที่จะมองคำพูดของเขาเป็นดั่งสายลมที่พัดผ่านไป!
เหยียนหมิงซุ่นที่โกรธมากแต่กลับไม่ได้คิดที่จะลงโทษน้องชายโง่ๆ ด้วยตัวเอง แค่กลับมาที่บ้านเพื่อคุยกับคุณปู่และคุณย่า จากนั้นเติมน้ำมันและจุดไฟเพิ่มสักหน่อย แบบนั้นคนแก่ทั้งสองก็จะโกรธจนไฟลุกลามไปหลายวา
ผู้หญิงอย่างอู่เยวี่ยเป็นคนที่มีนิสัยใจคอเราะร้าย เจ้าแสบหมิงต๋านี่ก็เหมือนกันผู้หญิงดีๆ ก็ไม่ไปชอบ แต่ยังคิดจะชอบผู้หญิงไร้มนุษยธรรมอย่างอู่เยวี่ย?
แถมยังจะออกหน้าปกป้องผู้หญิงคนนี้อีก น่าโมโหนัก!
ดังนั้นจึงต้องทำให้เกิดโศกนาฏกรรมต่อเหยียนหมิงต๋า!
ทุกคนในครอบครัวต่างนั่งอยู่ในบ้านอุ่นๆ และทานอาหารกลิ่นหอมฟุ้ง มีเพียงเขาที่ต้องอยู่ในสวนด้วยบรรยากาศหนาวเหน็บ อีกทั้งยังต้องทำท่าสควอชและบนหัวยังต้องแบกชามที่ใส่น้ำไว้อีกด้วย หากน้ำกระเด็นออกมาแม้แต่น้อยก็จะเพิ่มระยะเวลาเข้าไปอีก
เหยียนหมิงซุ่นยกชามข้าวเดินเข้าไปยังสวน โดยในชามใบนั้นมีกระดูกหมูที่เหยียนหมิงต๋าชอบกินอยู่ เหยียหมิงต๋าดวงตาแพรวพราวมองกระดุกหมูอย่างน่าสงสาร เขากลืนน้ำลายไม่หยุด
“อยากกิน?”
เหยียนหมิงซุ่นถามขึ้นเบาๆ อีกทั้งยังคีบกระดูกหมูชิ้นหนึ่งยื่นไปตรงหน้าเหยียนหมิงต๋าแล้วแกว่งไปมา เหยียนหมิงต๋าถูกดึงดูดด้วยความหิวโหยและน่าสงสาร แต่ภายใต้จิตสำนึกจึงทำให้เขาพยักหน้า จากนั้นก็
“เคร้ง”
ชามใบนั้นหล่นลงมา น้ำกระเซ็นออกมาจนหมด ขอบจานหมุนกระทบเป็นวงอยู่บนพื้นหลายรอบ และหมุนกลิ้งกลับไปยังเท้าของเหยียนหมิงต๋า
“ปู่ครับ หมิงต๋าทำน้ำกระเซ็นออกไปหมดแล้ว” เหยียนหมิงซุ่นตะโกนเข้าไปในบ้าน
คุณตาจึงทำได้แค่ถอนหายใจหนักๆ “คุกเข่าต่อไปอีกครึ่งชั่วโมง!”
เหยียนหมิงต๋าเป็นดั่งเด็กตาดำๆ น่าสงสาร พระเจ้า! เขาคุกเข่าไปตั้งครึ่งชั่วโมงแล้ว หากต้องคุกเข่าต่อไปอีกครึ่งชั่วโมงเขาคงได้ตายพอดี!
เขาจ้องมองผู้ร้ายตรงหน้าอย่างโกรธเคือง ในสายตามีแต่คำถามว่า เขาไม่ควรจะใช้วิธีคัดค้านต่อพี่น้องอยู่อีกหรือ?
เหยียนหมิงซุ่นได้ทำภารกิจอันเป็นเกียรติเสร็จสิ้นก็คีบเอากระดูกหมูยัดใส่ปาก เคี้ยวไปไม่กี่ครั้งก็เหลือแต่กระดูกแล้วคายกระดูกที่เกลี้ยงเกาออกมา พยักหน้าอย่างพึงพอใจ และพูดขึ้น “ฝีมือการตุ๋นกระดูกหมูของย่านี่นับวันยิ่งอร่อย รสชาติดีจริงๆ”
เหยียนหมิงต๋าโกรธจนหายใจฟืดฟาด ต่อให้เขาจะโง่แค่ไหน แต่ตอนนี้เขารู้ดีว่าพี่ชายกำลังจัดการเขาอยู่!
“นายความอดทนสูงไม่ใช่เหรอ? ผิดชอบชั่วดีก็คงไม่ต้องแยกแยะแล้วล่ะ ถ้างั้นนายก็ยืนต่อไปนะ ยืนจนกว่าจะคิดได้!” เหยียนหมิงซุ่นพูดด้วยเสียงเย็นชา
เหยียนหมิงต๋าตะโกนออกไปอย่างไม่พอใจ “เยวี่ยเยวี่ยเธอไม่ได้ขโมยของตั้งแต่แรก ทำไมผมถึงจะไม่รู้ผิดชอบชั่วดีล่ะ? เป็นเพราะพวกพี่ไม่แยกแยะเองต่างหาก!”
“คุณปู่ หมิงต๋าบอกว่าตัวเขาไม่ผิด แล้วก็ไม่พอใจด้วย!” เหยียนหมิงซุ่นตะโกนกลับเข้าไปในบ้านอีกครั้ง
“ไม่พอใจก็คุกเข่าต่อไป พอใจเมื่อไหร่ค่อยกลับเข้าบ้าน เหอะ!” คุณปู่ตะโกนด่าอย่างโมโห หากไม่ใช่เพราะคุณย่าหยางดึงเขาเอาไว้ เขาคงได้ออกไปตีสั่งสอนคน
ตอนแรกเหยียนหมิงซุ่นแค่ตั้งใจจะทำให้เหยียนหมิงต๋าทรมานเล็กน้อย ต่อไปเขาจะได้ตีตัวออกห่างจากอู่เยวี่ยบ้าง แต่เขาประมาทความลุ่มหลงของน้อชายโง่ๆ ที่มีต่ออู่เยวี่ยเกินไป และเขาเองก็ประมาทความดื้อรั้นของเหยียนหมิงต๋าเกินไป
เจ้าตัวเล็กนี่เริ่มต่อต้านพวกเขาขึ้นมาจริงๆ ใบหน้าเริ่มขึ้นสีขาวซีดแล้วแต่ยังไม่ยอมรับออกมาว่าตัวเขาเองทำผิด เหยียนหมิงซุ่นจึงทำได้แค่ต่อยเขาจนสลบไป
หากต้องทรมานให้ไอ้เด็กนี่ยืนต่อไป ขาของเขาต้องพิการและใช้การไม่ได้แน่
ในใจของเหยียนหมิงซุ่นมีความเป็นห่วงเขาอยู่ ความรู้สึกที่หมิงต๋ามีต่ออู่เยวี่ยนั้นลึกซึ้งเสียยิ่งกว่าที่เขาคาดไว้ ต่อไปก็เกรงว่าจะได้มีแต่เรื่องทะเลาะวิวาท!
…………………………………………………………………………………………..
[1] เหตุการณ์ลอบปลงพระชนม์อาร์ชดยุกฟรันซ์ แฟร์ดีนันแห่งออสเตรีย
ตอนที่ 389 ลำดับที่ 35
ไม่เกินไปกว่าที่คาดหมายไว้ เพราะในครั้งนี้อู่เยวี่ยสอบได้แย่อีกแล้ว แม้ว่าผลคะแนนสอบจะยังไม่ออก แต่อู่เจิ้งซือไม่ได้กอดความหวังไว้แล้ว มีทั้งเรื่องทะเลาะวิวาทและไหนจะร่างกายมีปัญหาแปลกๆ อีก คงแปลกถ้าอู่เยวี่ยสอบได้คะแนนดี แต่สิ่งที่เขาเป็นห่วงในตอนนี้ไม่ได้อยู่ที่เรื่องคะแนน แต่เขาเป็นห่วงเรื่องสุขภาพร่างกายของอู่เยวี่ย
เมื่อก่อนอู่เยวี่ยเป็นคนอ่อนโยนเรียบร้อย เข้ากับเพื่อนๆ ในห้องได้เป็นอย่างดี อย่าว่าแต่เรื่องทะเลาะวิวาทเลย ขนาดแค่คำพูดกระทบกระทั่งกันยังไม่เคยเกิดขึ้นเลย กลับกันในตอนนี้ที่ยังเป็นช่วงเวลาสอบ ยังกล้าทะเลาะตบตีกับเพื่อนในห้อง ทะเลาะกันรุนแรงจนคนรู้ไปทั่วทั้งโรงเรียนแล้ว
แต่สิ่งที่ทำให้อู่เจิ้งซือปวดหัวที่สุดก็เป็นเรื่องชื่อเสียงของอู่เยวี่ยเกี่ยวกับหัวขโมย ตอนนี้ปิดยังไงก็ไม่มิดแล้ว เกรงว่าขนาดเด็กสามขวบยังรู้ได้ว่าลูกสาวคนโตของอู่เจิ้งซือเป็นคนที่มีความคิดและแผนการที่ไม่สะอาด
ในมหาวิทยาลัยต้นแบบของเขาต่างมีลูกศิษย์ที่เขาสอนมาจำนวนไม่น้อย แต่บัดนี้เขากลับสอนลูกสาวตัวเองออกมาให้กลายเป็นหัวขโมย!
เขาจะมีหน้าออกจากบ้านเหรอ?
ทุกครั้งที่เดินตามถนนมักจะสัมผัสได้ถึงสายตาของหลายๆ คนที่แปลกไป นั่นไม่ต้องพูดในห้องพักครูเลย
อู่เจิ้งซือไม่รู้เลยว่าไม่กี่วันมานี้เขามีชีวิตรอดผ่านมาได้อย่างไร เมื่อก่อนพอหมดคาบเรียนเขาก็จะกลับมานั่งในห้องพักครู เพื่อนั่งตรวจการบ้านหรือไม่ก็เตรียมแผนการสอน น้อยมากที่เขาจะออกเดินไปข้างนอก
แต่ตอนนี้เขาทำกลับกันทุกอย่าง น้อยมากที่ไปนั่งอยู่ในห้องพักครู การบ้านและแผนการสอนต่างก็เอากลับบ้านไป ยินยอมที่จะทำงานเข้ากะดึกหน่อย แต่เขาไม่ยินยอมที่จะต้องนั่งอยู่ในห้องพักครูเพื่อทนฟังคำพูดกระซิบนินทา รวมทั้งเสียงหัวเราะราวกับเขาเป็นคนโง่
ในตอนนี้อู่เจิ้งซือถึงได้รับรู้ว่าช่วงก่อนหน้านี้สภาพแวดล้อมของเขางดงามแค่ไหน อย่างน้อยก็เป็นเพียงแค่การทะเลาะกันของสามีภรรยา และมีลูกสาวที่ไม่ค่อยเชื่อฟังนัก แต่นั่นก็เป็นเพียงปัญหาเล็กน้อยภายในครอบครัวเท่านั้น ซึ่งทุกๆครอบครัวก็มักจะพบเจอปัญหาแบบนี้เสมอและไม่ใช่เรื่องน่าอายอะไร
แต่เรื่องที่อู่เยวี่ยขโมยของนั้นไม่เหมือนกัน นี่คือปัญหาคุณสมบัติของตัวคน และเป็นลูกสาวคนโตที่อู่เจิ้งซืออบรมสั่งสอนมา เป็นเรื่องน่าอายและทำลายศักดิ์ศรีความเป็นครูดีเด่นอย่างยิ่ง และทำให้ภาพลักษณ์ของตระกูลอู่แย่ไปหมด!
ไม่แปลกใจเลยที่คุณปู่อู่จะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟขนาดนี้ ในวันนั้นคุณปู่ได้เรียกให้เขาเข้าไปหา เพื่อด่าทออย่างกับหมามีเลือดอาบท่วมหัว
สมควรแล้วที่เขาจะโดนด่า คุณปู่ด่าดีและด่าได้ถูกต้องทุกอย่าง
เรื่องราวแย่ๆ พวกนี้ได้เหนี่ยวรั้งความคิดและจิตใจของอู่เจิ้งซือไปทั้งหมด เขาไม่มีวิธีไหนที่จะเข้าไปยุ่งเรื่องคะแนนของอู่เยวี่ยเลย ในช่วงไม่กี่วันมานี้เขาพยายามจะช่วยอู่เยวี่ยรักษาชื่อเสียงให้กลับมา พูดได้เพียงว่าอู่เยวี่ยกับอู่เหมยล้อกันเล่น จึงได้นำเอาของของอู่เหมยไปซ่อน
ไม่ว่าอู่เจิ้งซือจะเจอกับใคร ก็มักจะดึงประเด็นและหัวข้อเข้ามาสู่เรื่องนี้ให้ได้ จากนั้นถึงได้พูดถึงเรื่องนี้ และรอให้คนอื่นๆ เห็นด้วยกับเขาและพูด “ผมว่าแล้ว ครูอู่น่ะมีคุณธรรมและศีลธรรมสูง ลูกสาวที่เลี้ยงดูมาจะเป็นหัวขโมยไปได้ยังไง พวกคนที่เอาแต่สร้างข่าวแย่ๆ นั่นช่างอำมหิต!”
เมื่อได้ยินประโยคแบบนี้ อู่เจิ้งซือก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาบ้างเล็กน้อย หลอกตัวเองและค่อยๆ พูดออกไปหลายๆ รอบอยู่แบบนั้นชื่อเสียงของเขาและอู่เยวี่ยก็จะกลับมาได้
แต่เขากลับไม่รู้ว่าคนส่วนใหญ่ต่างเป็นพวกอิจฉาตาร้อน ต่อให้เป็นครูก็ไม่มีข้อยกเว้น ในทุกๆ ปีอู่เจิ้งซือมักจะแย่งเอาชื่อเสียงของครูต้นแบบในอี้จงไปเสมอ ด้วยสิ่งเดียวที่เขามีอยู่นั้นก็ทำให้ตัวเขาเองคิดว่าคนอื่นๆ จะไม่มี
เป็นแบบนี้แล้ว คนอื่นๆ ที่มีอาชีพเดียวกันอีกหลายคนและพร้อมด้วยความสามารถจะสบายใจได้เหรอ?
ในใจนึกเพียงแค่ว่ารอให้ถึงวันที่อู่เจิ้งซือโชคร้าย!
และวันนี้ได้มีโอกาสเหยียบเท้าของอู่เจิ้งซือแล้ว คนพวกนี้จะปล่อยเขาไปง่ายๆ ได้อย่างไร?
ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องจุดไฟเพิ่ม และเติมน้ำมันเข้าไปอีก อย่างน้อยก็สามารถกำจัดแผดเผากลิ่นเหม็นเน่าในใจออกไปได้!
คนพวกนี้เมื่ออยู่ต่อหน้าของอู่เจิ้งซือก็มักจะพูดจาดี แต่พอลับหลังก็มักจะเหยียบย่ำซ้ำเติมเขาไปอีก กระทั่งพวกเขายังช่วยเติมน้ำมันและเติมน้ำส้มสายชูเข้าไปให้อีกด้วย เรียกได้ว่าอู่เจิ้งซือใช้น้ำลายไปอย่างสิ้นเปลืองเสียเปล่า
ในสัปดาห์นี้ ผลคะแนนสอบประจำเดือนของนักเรียนมัธยมปีที่สองออกมาแล้ว หลังจากที่อู่เยวี่ยได้รับคะแนนไป เธอกลับมาบ้านด้วยความหม่นหมองและเคร่งเครียด เหอปี้อวิ๋นหยิบเอาไปคะแนนไปด้วยความประหลาดใจ มองแค่แวบเดียวก็นิ่งไปครู่หนึ่ง
“เยวี่ยเยวี่ย ทำไมถึงเป็นลำดับที่สามสิบห้า? นี่จะเป็นไปได้ยังไง?”
…………………………………………………………………………………………..
ตอนที่ 390 โดนตบอีกครั้ง
เหอปี้อวิ๋นร้องอุทานขึ้นอย่างตกใจ และไม่อาจเชื่อในสิ่งที่เห็น
ตั้งแต่อู่เยวี่ยเข้าเรียนชั้นอนุบาลมาจนถึงตอนนี้ เธอไม่เคยตกจากลำดับที่หนึ่งเลย แต่ในตอนนี้เธอกลับทำคะแนนสอบออกมาได้ตกต่ำจนแทบไม่อาจเชื่อสายตา แล้วนี่จะทำให้เธอเชื่อในสิ่งที่เห็นได้อย่างไร?
“ครูตรวจผิดหรือเปล่า? หรือนี่คือคะแนนสอบของคนอื่น เยวี่ยเยวี่ย เป็นแบบที่แม่พูดใช่ไหม?” เหอปี้อวิ๋นตะโกนใส่อู่เยวี่ย เธอได้มองข้ามใบหน้าซีดเซียวและแววตาหม่นหมองของอู่เยวี่ยไป
อู่เจิ้งซือก็เพิ่งจะกลับมาถึงบ้าน พอได้ยินเสียงของเหอปี้อวิ๋น เขาจึงมีสีหน้าท่าทีเปลี่ยนไป เขารีบแย่งใบคะแนนสอบไป แม้ว่าเขาจะเตรียมใจมาก่อนแล้ว แต่ก็ยังคงถูกลำดับที่สามสิบห้าสาดกระทบจนตาแทบบอดเสียให้ได้
“เหอปี้อวิ๋น หุบปาก!”
อู่เจิ้งซือใจเย็นลงอย่างรวดเร็ว เขารับรู้ได้ถึงความผิดปกติของอู่เยวี่ยแล้ว จึงทำให้ใจของเขาแทบจมดิ่งลงไป ลักษณะท่าทางของอู่เยวี่ยในตอนนี้ ต่อให้เขาไม่ใช่แพทย์เฉพาะทางแต่ก็ดูออกว่าเธอมีสภาพไม่ปกติ
“เยวี่ยเยวี่ย ลำดับที่สามสิบห้าก็ดีมากแล้ว ลูกลองคิดดูสิชั้นมัธยมปีที่สองมีทั้งหมดห้าห้องเรียน เมื่อนับรวมแล้วมีนักเรียนทั้งหมดมากกว่าสามร้อยคน และอาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ ลูกแซงหน้าพวกนั้นมาเยอะแล้ว ถือว่าเก่งมากๆ เลยนะ!”
อู่เจิ้งซือลดน้ำเสียงให้อ่อนลง บนใบหน้ายังปรากฏรอยยิ้ม ราวกับครูอนุบาลที่ต้องคอยระมัดระวังเด็กเป็นพิเศษ
หลายวันมานี้เขาได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับสภาพทางจิต และรู้ดีว่าผู้ป่วยที่มีอาการทางจิตต่างก็ให้ความสนใจกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากเกินไป วิธีที่ดีที่สุดก็คือ ทำให้เขาหรือเธอไม่ใส่ใจกับสิ่งนั้น และมองสิ่งนั้นๆ ให้เหมือนกับเศษฝุ่นที่ถูกพัดให้ปลิวหายไปตามสายลม
สิ่งที่ทำให้อู่เยวี่ยจมปลักอยู่ก็คือลับดับที่หนึ่งไม่ใช่เหรอ เพราะฉะนั้นเขาไม่ควรจะแสดงออกต่อหน้าลูกว่าตัวเขาเองให้ความสนใจกับลำดับที่มากขนาดไหน ไม่ว่าอู่เยวี่ยจะสอบได้ลำดับที่เท่าไหร่ เขาจะต้องชื่นชมและยินดีกับเธอ เพื่อให้เธอสบายใจและปล่อยวาง
ความคิดของอู่เจิ้งซือเป็นสิ่งที่ถูกต้องทุกอย่าง อู่เยวี่ยมีปัญหาทางสภาพจิตเสียที่ไหนล่ะ แต่หลังจากที่เขาได้อ่านหนังสือเล่มนั้นของอู่เหมย อีกทั้งยังถูกชักจูงด้วยคำพูดต่างๆ ของอู่เหมย ไม่แปลกเลยหากเขาจะเชื่อและยึดติดกับความเชื่อนั้น
ในใจของอู่เยวี่ยที่เจ็บปวดทรมาน เมื่อได้ฟังคำพูดของอู่เจิ้งซือ จิตใจของเธอที่ตึงเครียดก็ค่อยๆ ผ่อนคลายไป ลักษณะท่าทางก็ดีขึ้นมาก เพียงแต่…
“คุณอู่ คุณเป็นอะไรของคุณ? สอบได้ลำดับที่สามสิบห้าก็ดีงั้นเหรอ? เยวี่ยเยวี่ยเธอเคยสอบได้คะแนนแย่แบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? พวกเราไม่ควรจะปล่อยวางเรื่องคะแนนของอู่เยวี่ยนะ!”
เหอปี้อวิ๋นไม่พอใจต่อคำพูดของอู่เจิ้งซือมาก เธอคิดว่าอู่เจิ้งซือไม่ได้มีเจตนาที่ดี แม้ว่าเธอจะไม่ได้มีวัฒนธรรมที่สูงส่ง แต่เธอก็รู้จักความล้มเหลวเป็นอย่างดี การกระทำของอู่เจิ้งซือในตอนนี้ก็เป็นเหมือนการทำให้อูเยวี่ยล้มเหลว แน่นอนว่าเธอไม่มีทางที่จะดูอยู่เฉยๆ ได้ เธอจะต้องช่วยผลักดันลูกเพื่อจะได้สอบได้ที่หนึ่งสำหรับการสอบในครั้งหน้า
สีหน้าท่าทีของอู่เยวี่ยเปลี่ยนไป และกลับไปมีลักษณะท่าทางเหมือนกับก่อนหน้านี้ อู่เจิ้งซือโมโหมากราวกับถูกแสงอาทิตย์สาดฟาดจนแสบร้อน จึงทำให้เขายื่นมือออกไปตบหน้าเธอโดยไม่คิดไตร่ตรองใดๆ
“คุณมันเป็นเมียที่โง่ เรื่องการเรียนของลูกใครให้คุณออกความเห็นเหรอ?”
อู่เจิ้งซือยื่นมือชี้ไปทางประตูและพูดอย่างเย็นชา “หากคุณถือเอาคำพูดของผมเป็นเพียงแค่อากาศเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา ก็ออกไปจากที่นี่แล้วกลับบ้านของคุณไป แล้วไม่ต้องกลับมาอีก!”
อู่เจิ้งซือที่โมโหขึ้นมาอย่างเดือนดาดได้หยุดการกระทำทุกๆ อย่างของเหอปี้อวิ๋น ใบหน้าที่ปวดแสบปวดร้อนได้เตือนสติเธอว่าเธอได้ถูกตบอีกแล้ว และนี่ก็เป็นครั้งที่สี่ที่เธอถูกตบ
เหอปี้อวิ๋นมองแววตาของอู่เจิ้งซือที่ฉายแววความโกรธแค้นและโมโห ใจเธอชาไปจนถึงส่วนลึกข้างใน
เธอรู้ดี ว่ามีบางอย่างที่ทำให้พวกเขาไม่สามารถกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้อีก
เมื่อเห็นว่าเหอปี้อวิ๋นถูกตบหน้า ลักษณะท่าทางของอู่เยวี่ยไม่ได้เปลี่ยนไปเลย เธอยังคงมองด้วยสายตาเย็นชาดังเดิม ต่างจากเมื่อก่อนที่มองด้วยสายตาเป็นห่วงเป็นใย หรืออาจจะเป็นออกมาช่วยพูดจาดีๆ แทนเหอปี้อวิ๋น
ใจของเหอปี้อวิ๋นปวดร้าวมาก แต่เพียงไม่นานเธอก็ไม่ได้ยึดติดอะไรต่ออู่เยวี่ย เธอคิดแค่ว่าอาจเป็นเพราะอู่เยวี่ยสอบได้คะแนนไม่ดีเลยอารมณ์เสีย จึงทำให้เป็นอย่างเช่นตอนนี้
อู่เหมยผลักประตูและเดินเข้ามา เธอกลับมาช้าไปหน่อยจึงไม่ทันได้ดูละครสนุกๆ ครั้งนี้จนจบเรื่อง แต่เธอก็ทันได้ดูแค่ครึ่งหลัง ซึ่งเป็นจังหวะที่อู่เจิ้งซือตบหน้าเหอปี้อวิ๋น และนั่นก็ทำให้เธอมีความสุขจนแทบคลั่ง
…………………………………………………………………………………………..
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น