ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง 382-386
ตอนที่ 382 มารดาของเขาก็คือข้า
สีหน้าของนางเคร่งเขรึมเย็นชา ไม่มีความเห็นใจแม้แต่น้อย
นางไม่ได้ต้องการให้จีเฉวียนมาลงมือแทน หากเป็นเรื่องที่สามารถทำได้ด้วยตนเอง แล้วจะต้องไปพึ่งเขาอีกทำไม?
ตู๋กูจุนจับตาดูอยู่ด้านข้าง ก่อนหน้านี้เขาสู้ศึกอยู่ที่ด้านนอกอยู่ตลอด ด้านในพูดคุยเรื่องอะไรกันไปบ้าง เขาล้วนไม่รู้เรื่อง
แม่นางน้อยที่อยู่อยู่ก็ปรากฏตัวขึ้นมาดูแล้วก็ลึกลับไม่ธรรมดา
แต่ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์ใดก็ตาม เขาย่อมยืนอยู่ฝ่ายน้องเล็กของตนอยู่เสมอ
ที่ผ่านมาเขานึกว่าขาทั้งสองข้าของน้องเล็กประสบอุบัติเหตุจากสระสวรรค์ในแคว้นเซอปี่ซือเสียอีก แต่พอมองดูจากสถานการณ์ในตอนนี้ ดูท่าราชครูจะต้องมีส่วนเกี่ยวพันอย่างแน่นอน
ประกายตาของเขาเคร่งขรึมลง ไม่ว่าจะเป็นใคร หากทำร้ายน้องเล็กก็จงอย่าหวังว่าจะได้มีชีวิตที่สงบสุขอีกเลยในชาตินี้!
จะว่าไปแล้ว ตลอดหลายปีมานี้ เขากับราชครูก็ไม่เคยมีอะไรที่ขัดแย้งกัน
ในเมื่อเป็นบุรุษคนสุดท้ายของตระกูลฉางซุน จีเฉวียนมอบตำแหน่งราชครูให้กับเขา มอบเกียรติยศและอำนาจราชศักดิ์ที่ไม่มีผู้ใดจะเสมอเหมือนให้ ในสายตาของผู้อื่นนี่คือเรื่องที่น่าอิจฉาอย่างยิ่ง!
แต่หากมองจากเรื่องที่เขาแพร่เชื้อผีดิบออกไป ก็สมควรตายอย่างที่สุด
พอคิดย้อนไปถึงศึกที่ริวกิวในตอนนั้น……จนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้ตู๋กูจุนก็ยังเสาะหาตัวคนที่แพร่เชื้อผีดิบไม่พบ….ตอนนี้เมื่อได้เห็นฉางซุนซิ่ว สายตาของเขาก็เกิดไอสังหารขึ้นมา
“พี่!” ฉางซุนอิงร้องออกมาอย่างตื่นตระหนกในทันที นางรีบใช้มือกดปาดแผลของฉางซุนซิ่วเอาไว้ ถุงมือสองข้างที่ข้าวสะอาดถูกย้อมไปด้วยเลือดอย่างรวดเร็ว
นางลืมตาโตมองดูจีเฉวียน “เฉวียน…….”
คำพูดอัดแน่นไปหมด คิดจะกล่าวอะไรก็พูดไม่ออกทั้งสิ้น
ครู่ใหญ่นางถึงได้พูดว่า “หลายปีมานี้ข้าฝึกฝนกับท่านอาจารย์ผู้เป็นเซียนมาตลอด เมื่อเร็วๆ นี้ข้าทำนายพบว่าท่านจะมีเคราะห์หนัก จึงได้มาหาท่านโดยไม่สนใจสิ่งใดทั้งสิ้น
คิดจะช่วยท่าน…. แต่ไยท่านกับใจร้ายถึงเพียงนี้ ตัดขาพี่ชายทั้งสองข้าง?”
พูดแล้ว สายตาของนางก็จับจ้องไปที่ร่างของตู๋กูซิงหลัน ใช้มือที่เปื้อนเลือดชี้ไปที่นาง “เป็นเพราะเพื่อนาง?”
แขนเสื้อของนางเลื่อนลงมา พอดีเผยให้เห็นรอยสีแดงสดบนข้อมือ
จีเฉวียนและฉางซุนซิ่วต่างก็เกิดความเจ็บปวดเพราะรอยไฝนั้น
ถึงแม้ว่าเมื่อครู่พวกเขาจะยังมีข้อขัดแย้งใดๆ แต่พอได้เห็นตำหนิบนร่างกายนี้พวกเขาต่างก็พูดอะไรไม่ออก
นี่เป็นการสร้างร่างขึ้นมาใหม่ ที่แม้แต่ไฝฝ้าบนร่างก็ยังคืนมา
เรื่องนี้ฟังดูแล้วช่างน่าเหลือเชื่อ แต่ว่านางก็คือสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าจริงๆ
พักใหญ่จีเฉวียนถึงได้ตรัสว่า “อาอิง เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า”
“ทุกเรื่องของท่านล้วนเกี่ยวกับข้าทั้งสิ้น!” ฉางซุนอิงล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมาช่วยพันแผลให้กับฉางซุนซิ่ว ปากก็ยังคงพร่ำต่อไปว่าแต่ไหนแต่ไรล้วนเกี่ยวข้องกับข้า….”
“ท่านรังเกียจข้าแล้วใช่หรือไม่ ……. เห็นว่าข้าตายอย่างสกปรก ทั้งยังรังเกียจที่ข้าเป็นคนก็ไม่ใช่เป็นผีก็ไม่เชิง?”
“ไม่ใช่” จีเฉวียนวางง้าวในมือ เสด็จเข้าไปพยุงนางขึ้นมา “เราไม่เคยรังเกียจเจ้ามาก่อน”
พระหัตถ์ที่ใหญ่หนานั้นกุมข้อมือที่นวลเนียนละเอียดของฉางซุนอิงเอาไว้เพียงเบาๆ ราวกับว่าหากใช้แรงมากไปก็จะทำให้หักได้
“อาอิง เจ้าสามารถอาศัยวิธีเช่นนี้กลับมาได้ เราประหลาดใจมาก และก็ดีใจมากด้วย”
หืมมม ฉากตรงหน้านี้ทำเอาขนาดตู๋กูจุนเองก็ยังควันออกทั่วทั้งใบหน้า!
การกระทำเช่นนี้มันหมายความว่าอะไรรึ?
ก่อนหน้านี้ยังเอาแต่พัวพันน้องเล็กสุดจิตสุดใจจะต้องแต่งกับนางให้ได้ แต่นี่เป็นไงได้พบกับแสงจันทร์ในหัวใจอีกครั้ง เลยดีใจหนักหนา?
เช่นนี้แล้วน้องเล็กนับเป็นอะไรกันแน่?
ไอ้สุนัขเสเพล! ดาบยักษ์ของพี่ใหญ่ส่งเสียงระงม น่าเสียดายช่วงเวลาที่ผ่านมาเขาอุตส่าห์เปลี่ยนมุมมองที่มีต่อฮ่องเต้ผู้นี้ไปบ้างแล้ว ทั้งๆ ที่อุตส่าห์คิดว่าพระองค์มิใช่คนที่น่ารังเกียจสักเท่าไร
แต่ดูเอาเถอะ เจ้าแผ่นดินอย่างไรเสียก็ยังเป็นเจ้าแผ่นดิน มีสตรีนับไม่ถ้วน คำหวานมากมายเหลือคณา
ตู๋กูซิงหลัน “……”
วิญญาณทมิฬ “หลันหลัน หากว่าเจ้ารู้สึกว่าทรมาน เจ้าก็ร้องไห้ออกมาเถอะ เจ้ามีฉายาว่าพี่สาวเจ้าน้ำตามิใช่หรือ? ร้องออกมาแช่งให้มารดาเขาตายไปเลย! นางเป็นแสงจันทราแล้วอย่างไร ใช่ว่าพวกเราจะต้องพ่ายแพ้เสียหน่อย!
ตู๋กูซิงหลัน “มารดาของเขาก็คือข้า!
วิญญาณทมิฬ “ไอ้ชั่ว ไอ้คนไร้น้ำใจ!”
“งั้นพวกเรามาเปลี่ยนวิธีกัน หากว่ามีอยู่วันหนึ่งตาแก่ที่เป็นอาจารย์ของเจ้าตายไปเพราะเจ้า แล้วอยู่ๆ ก็กลับมามีชีวิตกระดุกกระดิกได้ เจ้าเองก็จะไม่แปลกใจหรือ? ไม่ดีใจหรือ?” วิญญาณทมิฬเห็นว่าในฐานะที่เป็นสัตว์อสูร มันสมควรจะต้องปลอบใจนางเสียหน่อย
ไม่งั้นหากว่าอยู่ดีๆ นางเกิดคิดไม่ตกขึ้นมา มันมิต้องจบสิ้นไปด้วยหรอกหรือ?
ตู๋กูซิงหลัน “นั่นมันไม่เหมือนกัน ท่านอาจารย์เแข็งแกร่งจะตายไป ต่อให้เขาตาย พวกยมบาลก็ไม่กล้ามารับตัวเขาไปหรอก”
วิญญาณทมิฬน้ำตาอาบหน้า เจ้าช่างเชื่อมั่นในตัวของซื่อมั่วเหลือเกิน!
“ลองคิดดูนะ สมมติว่าเจ้าไปไล่ล่าเหยื่อตัวน้อยทั้งหลายกับข้าแล้วเกิดตายไปเพราะข้า จากนั้นก็คืนชีพขึ้นมา….” ตู๋กูซิงหลันหัวเราะออกมาในทันใด “ข้าต้องย่อมรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งเลยใช่ไหม?”
วิญญาณทมิฬถึงกับพูดอะไรไม่ออกไปเลย
มันชักจะรู้สึกขึ้นมาว่าสตรีผู้นี้เล่าเรื่องขำขันได้อย่างไร้น้ำจิตน้ำใจมาก!
ไม่ใช่สักหน่อย……หากเจ้ามีความสุขดีก็แล้วไป แต่ว่านี่มุมปากก็มีเลือดไหลอยู่นะพี่สาว!
แน่ใจหรือว่าตัวเองกำลังมีความสุขดี ไม่ใช่กำลังหัวใจสลายอยู่ใช่ไหม?
อีกด้านหนึ่ง จีเฉวียนทรงคลายพระหัตถ์จากฉางซุนอิง ทอดพระเนตรมองดูฉางซุนซิ่ว จากนั้นก็ยื่นพระหัตถ์ข้างหนึ่งไปเหนือกระหม่อมของเขา ไอสีดำกลุ่มหนึ่งซึมเข้าไปในพระหัตถ์
ทันใดนั้นร่างของเขาก็สั่นสะท้านอย่างแรง สีหน้าบูดเบี้ยวเหยเก
ไอสีดำที่ไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าจากร่างฉางซุนซิ่วล้วนถูกพระองค์ดูดซับไปจนหมด
รอจนจีเฉวียนถอนพระหัตถ์กลับไป ก็เห็นฉางซุนซิ่วล้มลงไปกองอยู่บนพื้น ราวกับว่าถูกคนดูดพลังชีวิตออกไปจนหมดสิ้น
จีเฉวียนไม่เพียงแต่ตัดขาของเขาทิ้งไปเท่านั้น แต่ว่ายังทำลายพลังในร่างของเขาจนหมดสิ้น
นับจากวันนี้เป็นต้นไป เขาเป็นได้แต่เพียงคนพิการเท่านั้น!
ฉางซุนซิ่วย่อมไม่ยินยอม หากให้เป็นคนพิการนั่นมิเท่ากับว่าให้เขาต้องตายหรอกหรือ!
เพื่อที่จะได้ชดเชยให้กับสตรีผู้หนึ่ง พระองค์ถึงกับทำกับเขาเช่นนี้!
“เฮอะ เฮอะ เฮอะ ….” เขายิ้มออกมาอย่างพิลึกพิลั่น ส่งสายตาเคียดแค้นไปยังตู๋กูซิงหลัน หากว่าเขายังไม่ตาย จะต้องไม่ให้นางได้อยู่ดีแน่นอน!
ไม่เพียงแต่นางเท่านั้น แต่เป็นทุกๆ คนที่นางห่วงใย!
ลองคิดดูสิ….หากว่าคนเหล่านั้นได้รู้ว่า ร่างเนื้อนี้ถูกเปลี่ยนวิญญาณไปแล้ว ในโลกนี้ยังจะมีใครที่ชอบนางอยู่อีกหรือไม่?
อิงเอ๋อร์นั้นเปลี่ยนร่างเนื้อไป ตู๋กูซิงหลันก็เปลี่ยนจิตวิญญาณ…..
หากเอามาเปรียบเทียบกันก็ไม่มีอะไรแตกต่าง
“นับจากวันนี้เป็นต้นไป เจ้าไม่ใช่ราชครูแห่งแคว้นต้าโจวอีกแล้ว เราจะเห็นแก่ความผูกพันเก่าก่อน คุมขังเจ้าในคุกของราชวงศ์ ชาตินี้จงสำนึกผิดอยู่ในนั้นไปก็แล้วกัน”
จีเฉวียนไม่สนพระทัยเสียงหัวเราะที่เจ็บปวดของเขาอีกต่อไป เพียงหันไปปรายพระเนตรมองดูฉางซุนอิงแวบหนึ่ง “ส่วนอาอิง เราจะดูแลนางเอง”
เพียงประโยคเดียว ก็ทำให้เสียงหัวเราะของเขาหยุดอย่างกระทันหัน
ดวงตาของเขาตกลง อ่อนแรงไปทั้งร่าง
จีเฉวียนทำเช่นนี้…..เพราะว่าต้องการข่มขู่เขา หรือว่าต้องการจะดูแลอาอิงอย่างจริงใจกันแน่?
เขาดูไม่ออกเลย
ถึงตอนนี้ ตู๋กูซิงหลันก็มิได้ดึงดันเอาแต่ใจอีกต่อไป สำหรับคนอย่างฉางซุนซิ่วแล้ว การกักขังเขาเอาไว้ชั่วชีวิต ยังเจ็บปวดยิ่งกว่าการแทงเขาให้ตายในดาบเดียวเสียอีก
จีเฉวียนทำถึงเพียงนี้แล้ว หากว่านางยังคงไล่บี้ต่อไปอีก ก็คงต้องฉีกหน้ากันแล้ว
ความมีเหตุผลและสติเตือนให้นางสงบนิ่งลง อนาคตยังอีกยาวไกล ไม่จำเป็นจะต้องเอาชนะในตอนนี้
แต่ในตอนนั้นเอง ดาบใหญ่ของพี่ใหญ่ก็ตวัดลงมา “ฝ่าบาท กระหม่อมยังมีเรื่องที่อยากจะสอบถามเขา เชื้อผีดิบในศึกที่ริวกิว ก็เป็นฝีมือของเขาใช่หรือไม่?”
ดาบใหญ่ของเขาส่งเสียงระงมด้วยแรงสั่นสะเทือน คมดาบกรีดร้องด้วยความกระหายเลือด
คมดาบที่ส่องประกายวาววามสะท้อนเข้าไปในดวงตาที่มืดครึ้มทั้งคู่ของฉางซุนซิ่ว
“หากว่ามีความสามารถ ทำไมเจ้าไม่ไปสืบหาเอาเอง?” ฉางซุนซิ่วสบตาเขาแวบหนึ่ง ด้วยท่าทีไม่ใส่ใจอย่างไรทั้งสิ้น
“หากว่าเป็นเจ้าจริงๆ เจ้าก็สมควรจะไปขอขมาพี่ชายของเจ้าฉางซุนซู่ในปรโลก!”
ตอนที่ 383 ติดตามข้ามีเนื้อให้กิน
ตู๋กูจุนเค้นเสียงออกมา “เขาติดเชื้อผีดิบเข้า….เขายอมตายแต่ไม่ยอมกลายเป็นศพที่เดินได้ เขาร้องขออย่างหนักแน่นยอมตายในมือข้า เขาคือผู้กล้าที่ทำเพื่อชาติบ้านเมือง ส่วนเจ้า….เจ้ามันไม่สมควรจะเกิดเป็นคนตระกูลฉางซุน!”
ตลอดหลายปีมานี้ ตู๋กูจุนไม่เคยเอ่ยถึงสาเหตุการตายของฉางซุนซู่กับใครมาก่อน…..
ทั้งยังยอมให้องค์หญิงใหญ่เข้าใจผิดมาหลายปี
ตอนนี้พอได้ระบายออกมาในครั้งเดียว ความอัดอั้นที่ทับถมอยู่ในใจทั้งหมดค่อยคลายออก
ฉางซุนซิ่วอ้าปากค้าง พูดอะไรไม่ออกไปในทันที
เขามิได้ยอมรับ แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ ได้แต่ทำตาตก ไม่มีใครรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ในใจ
“ทูลฝ่าบาท ที่ด้านนอกของเมืองหลวงพวกผีดิบกำลังรวมตัวจะบุกเข้ามาในเมืองแล้วพะยะค่ะ” ในตอนนั้นเองนายทหารผู้หนึ่งรีบรุดเข้ามารายงาน
สายพระเนตรของจีเฉวียนมืดครึ้มลงไป ขณะเดียวกันก็ได้ยินทหารอีกคนกราบทูลว่า “ฝ่าบาท กองกำลังสิบหมื่นของแคว้นเหยียนก็ไม่ยอมแพ้ คิดขัดขืนจนตัวตาย กำลังพลของเราไม่เพียงพอ พละกำลังของกองทัพใกล้จะถึงขีดสุดแล้วพะยะค่ะ”
นี่เป็นปัญหาที่สำคัญอย่างยิ่ง
เมื่ออยู่ระหว่างกองทัพสิบหมื่นและกองทัพผีดิบ ด้านหนึ่งเป็นสุนัขป่าด้านหนึ่งเป็นเสือ สองทางล้วนไม่มีอะไรที่ดีทั้งสิ้น
สีพระพักตร์ของจีเฉวียนยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ทรงฉวยกระบี่เหมันต์ขึ้นมาไว้นพระหัตถ์ เตรียมจะรุดออกไป แต่ฉางซุนอิงกลับถลันมารั้งเอาไว้ “เฉวียน ท่านอาจารย์เซียนของข้าเป็นผู้สูงส่ง ถึงแม้ว่าไม่อาจจะรักษาเหล่าคนที่เป็นผีดิบไปแล้ว แต่ว่ายังมียาที่สามารถป้องกันมิให้คนเป็นกลายเป็นผีดิบอยู่ ที่ข้ารีบรุดมาในครั้งนี้ ก็เพื่อนำยามามอบให้กับท่าน”
ฉางซุนอิงพูดพลางก็ล้วงเอาห่อยาออกมาจากในอกเสื้อ “เหนือสุสานคนตายมีดอกหวางหลิงฮวาผลิบาน สามารถใช้กลีบดอกของมันเป็นยาได้ หากโรยลงไปบนร่างสามารถป้องกันเชื้อผีดิบ”
ว่าแล้ว นางก็พยักหน้าให้กับพระองค์อย่างหนักแน่น “ท่าโปรดเชื่อข้าเถอะ ข้าไม่เคยทำร้ายท่านมาก่อน”
วิญญาณทมิฬอยากจะปรมมือให้นางจริงๆ ดูท่าทีของนางที่ในสายตามีแต่ฮ่องเต้ผู้นั้นแต่เพียงผู้เดียวสินะ พี่ชายของตนเองขาขาดไปแล้วยังไม่คิดจะหันไปเหลือบดูสักหน่อยหรือ?
พอหันมามองดูหลันหลันของฝ่ายตนเอง ตลอดทางรีบร้อนเดินทางมาอย่างบ้าคลั่ง ระหว่างทางถึงกลับยอมใช้ยันต์โลหิตไปไม่น้อย เห็นอยู่ชัดๆ ว่ากังวลห่วงใยอย่างยิ่ง ทุ่มเทไปเสียขนาดนี้แล้ว แต่กลับไม่ยอมพูดอะไรออกไปสักคำ
นี่เรียกว่าอะไรดี? เด็กที่รู้จักร้องไห้ย่อมมีน้ำตาลกิน!
มันรีบหันไปส่งสายตาให้กับตู๋กูซิงหลันในทันที อาหลัน…..
ตู๋กูซิงหลันไม่สนใจมันเลยสักนิด สองขาของนางเจ็บปวดอย่างยิ่ง นางได้แต่ต้องหันไปขี่หลังติ๊งต๊อง
ติ๊งต๊องส่งเสียงร้องกะต๊ากๆ ก็รีบพานางออกไปด้านนอกในทันที
ภายในสวน ราชาสุนัขป่านั่งอยู่อย่างสง่างาม หลังจากที่มันได้ตดออกไปหลายต่อหลายครั้ง ก็รมเหล่าทหารต้าเหยียนจนอ้วกแตกไปมากมาย
“ไปที่กำแพงเมือง” ตู๋กูซิงหลันพูดพลางก็ย้ายไปขี่หลังของราชาสุนัขป่า
ตู๋กูจุนไม่พูดพร่ำทำเพลง ติดตามมาอย่างรวดเร็ว ขาของน้องเล็กยังไม่หายดี เขาจะวางใจปล่อยนางไปคนเดียวได้อย่างไร
จีเฉวียนเองก็ติดตามมาเช่นกัน แต่ว่ากลับถูกฉางซุนอิงรั้งเอาไว้ นางโอบพระศอของพระองค์เอาไว้ กล่าวอย่างหนักแน่นจริงจังว่า “เฉวียน ท่านอย่าได้ไปที่แนวหน้ามากเกินไป ข้าเป็นห่วงท่าน….”
เนื่องเพราะว่ามีหน้ากากปิดอยู่นางจึงมองสีพระพักตร์ของจีเฉวียนไม่ออก เห็นแต่ว่าพระองค์ปัดมือของตนออกไป
“เจ้ารั้งอยู่ที่นี่ เราย่อมต้องกลับมา”
ตรัสแล้ว พระองค์ก็รับสั่งเรียกหลงเซียวให้เขามาคอยเฝ้าฉางซุนซิ่วกับนาง
หลงเซียวอยู่ๆ ก็ต้องมารับมอบงานนี้ ในใจของเขารู้สึกปวดใจอย่างยิ่ง….
เขาขวางอยู่ด้านหน้าฉางซุนอิงด้วยสีหน้าเรียบเฉย พอมองดูสาวน้อยที่มีรูปโฉมบริสุทธิ์ผุดผ่องผู้นี้ ในใจก็แอบครุ่นคิดอย่างเงียบๆ ไม่รู้ว่าฝ่าบาททรงมีรสนิยมเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน
จะมองซ้ายมองขวา ….. มองอย่างไรไทเฮาน้อยก็ยังทรงงดงามกว่ามาก
เหยียนหยุนที่คอยดูอยู่ด้านข้างมาโดยตลอด นับตั้งแต่ที่ตู๋กูซิงหลันปรากฏตัวขึ้นมา สายตาของเขาก็จับจ้องอยู่ที่นาง
เขาไม่นึกไม่ฝันเลยว่า ชาตินี้จะมีโอกาสได้พบกับนางอีก
นับตั้งแต่ตอนที่อยู่ในแคว้นเซอปี่ซือคราวนั้น เขาส่งคนไปตามหานางที่ต้าโจว แต่กลับไม่มีข่าวคราวเลยแม้แต่น้อย
คิดไม่ถึงเลยว่า ที่แท้แล้วนางก็คือไทเฮาแห่งต้าโจว!
เขาเข้าใจผิดมาตลอดว่า นางคือสนมคนโปรดของจีเฉวียน….
สถานการณ์ด้านนอกกำลังวุ่นวาย ขณะที่ด้านในตำหนักบรรทม หลงเซียวไม่ได้ใส่ใจกับตัวเขา
เหยียนหยุนเก็บตราราชลัญจกรหยกที่แตกหักขึ้นมาจากบนพื้น อาศัยไม้เท้าค้ำยันไล่ตามออกไปที่ด้านนอกบ้าง
บนกำแพงเมือง สายลมกรรโชกแรง
ตู๋กูซิงหลันขี่ราชาสุนัขป่ามาถึง นางสะพายคันธนูเอาไว้บนแผ่นหลัง นางเขวี้ยงยันต์สีเหลืองออกไป
เกิดเสียงระเบิด ‘บรึม’ ดังสะท้อนไปทั่วท้องฟ้าในทันที
คนที่กำลังต่อสู้เอาเป็นเอาตายต่างก็พากันตกใจ หยุดมือและมองขึ้นมาบนกำแพงเมือง
เห็นบนทำแพงเมืองมีสาวน้อยผู้หนึ่งขี่หลังสุนัขป่าตัวใหญ่พ่วงพี นางสวมใส่ชุดกระโปรงสีเขียวอมดำ ดวงตาเปล่งประกายสุกสกาว เส้นผมสยายปลิวออกไป มือข้างหนึ่งถือคันธนูด้วยท่วงท่าองอาจงามสง่า ประหนึ่งขุนพลหญิง
“เราคือไทเฮาแห่งต้าโจว!” ตู๋กูซิงหลันกล่าวด้วยเสียงทุ้มกังวาน
นางใช้ยันต์ส่งสำเนียงที่ทำให้ทุกมุมในเมืองหวงตูล้วนสามารถได้ยินเสียงของนาง
เหล่าทหารและประชาชนธรรมดาในแคว้นต้าเหยียนต่างก็ต้องพากันประหลาดใจ พวกเขารู้แต่ว่าฮ่องเต้แคว้นต้าโจวเสด็จมาแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าไทเฮาน้อยที่เล่าลือกันก็เสด็จมาด้วย
ยิ่งคิดไม่ถึงว่าไทเฮาน้อยจะเป็นสตรีที่งดงามถึงเพียงนี้
ความงามเช่นนี้….แม้จะได้มองจากไกลๆ ก็ยังรู้สึกว่าเหนือธรรมดา
ทั้งๆ ที่รูปร่างก็เล็กบาง แต่กลับให้ความรู้สึกถึงพลังอันยิ่งใหญ่ ในร่างของนางคล้ายกับว่ามีขุมพลังบางอย่างที่ดึงดูดผู้คนเข้าไป
“ตอนนี้แคว้นเหยียนเหลือเพียงเมืองหลวงหวงตูเท่านั้นที่ยังเป็นพื้นที่ปลอดภัย เมื่อฮ่องเต้แคว้นเหยียนสิ้นพระชนม์ แคว้นเหยียนย่อมล่มสลายตามกฎของธรรมชาติ ที่พวกเจ้าควรปกป้องคือราษฎร์แคว้นเหยียน มิใช่เหล่าเชื้อพระวงค์แซ่เหยียนที่เหลวไหลเลอะเทอะ!”
“พวกเจ้าล้วนก็เป็นคนเหมือนกัน ต่างก็เป็นสามี และบิดา สิ่งที่แบกอยู่บนบ่ามิใช่เพียงแว่นแคว้น แต่ยิ่งกว่านั้นคือคนในครอบครัว! มีแต่คุ้มครองครอบครัวของตนเองจึงจะสำคัญที่สุด!”
ถ้อยคำของนางสะกดใจของเหล่าทหารแคว้นเหยียนอย่างลึกซึ้ง
เมื่อตนเป็นทหารของแคว้นเหยียนพวกเขาสมควรต่อสู้จนถึงคนสุดท้าย
ถึงฮ่องเต้จะสิ้นพระชนม์ไปแล้ว แต่ว่าแคว้นยังอยู่
แต่ที่นางกล่าวออกมานั้นก็ถูกต้อง พวกเขาล้วนมีญาติพี่น้อง ญาติพี่น้องที่ปราศจากอาวุธยิ่งสมควรจะต้องปกป้อง
“ตอนนี้ผีดิบกำลังบุกโจมตีกำแพงเมืองด้านนอก ทุกคนสมควรใช้เหตุผล รวมใจกันเป็นหนึ่ง ปกป้องญาติพี่น้องและผืนแผ่นดินสุดท้ายเอาไว้!”
นี่ไม่อาจโทษว่าตู๋กูซิงหลันที่ฉวยโอกาสนี้กระทำตนเป็นวีรสตรี ที่จริงแล้วสำนักหุบเขาภูติเร้นลับมีกฎมากมายที่ทำให้คนกลายเป็นวีรษุรุษวีรสตรีอยู่แล้ว
เมื่อพบเห็นภัยพิบัติพึงให้ความช่วยเหลือ นางไม่อาจอยู่เฉยๆ
“ปกป้องได้แล้วจะได้อะไร ยังไงแคว้นต้าเหยียนก็ต้องถูกต้าโจวทำลายล้าง…..พวกเราก็ต้องตายอยู่ดี!” นายทหารแคว้นต้าเหยียนถลันออกมา ไม่ยอมแพ้โดยง่าย
“เราขอสาบานในฐานะไทเฮาแห่งแคว้นต้าโจว หากชาวเหยียนยอมอ่อนน้อมต่อต้าโจว จะไม่เข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์”
“เจ้าเป็นแค่สตรีนางหนึ่ง สักแต่พูดจะใช้ได้อย่างไร ใครจะไปเชื่อเจ้ากัน?”
“จริงด้วย…..พวกเรามีกองทัพสิบหมื่น ยังจะสู้พวกเจ้าต้าโจวที่มีอยู่ไม่ถึงพันไม่ได้หรือไง?”
เหล่าทหารมิใช่คนโง่ คิดจะใช้กลยุทธไม้อ่อนมาสยบแข็ง โป้ปดผู้คนหรืออย่างไร? พวกเขาล้วนมิใช่เด็กสามขวบนะ
ตู๋กูซิงหลันหรี่ตาลง “กองกำลังสนับสนุนของต้าโจวกำลังจะมาถึงแล้ว หากว่าพวกเจ้าอยากจะกลายเป็นเนื้อบด และทำให้แคว้นเหยียนกลายเป็นขุมนรกตลอดกาล เช่นนั้นก็เชิญต่อต้านกันต่อไป”
“น่าสงสารก็แต่เหล่าภรรยา คนชรา และเด็ก คนทั้งครอบครัวล้วนต้องติดตามพวกเจ้าไปยังปรโลก!”
“ความเป็นความตายล้วนอยู่ในมือของพวกเจ้าเอง เราจะปกป้องแต่คนที่ติดตามเราเท่านั้น หากติดตามต้าโจวพวกเจ้าจะไม่ตาย และมีเนื้อกิน!”
ตอนที่ 384 ฮ่องเต้ทรงทรยศน้องเล็ก พวก...
ติดตามนางมีเนื้อกิน คำพูดนี้นับว่ากล่าวได้อย่างเหมาะสม ติดดินอย่างที่สุด
ทั้งยังตรงที่สุดแล้ว
เหล่าทหารต่างก็ลังเลขึ้นมาแล้ว เพราะประชาชนแคว้นเหยียนต่างก็ยอมนอบน้อมให้กับต้าโจวไปตั้งแต่แรกแล้ว….
ทหารอย่างพวกเขาที่ยังต่อต้านอยู่นั้น ก็เป็นเพราะว่าทำตามพระบัญชาเท่านั้น
หากฮ่องเต้มีพระบัญชาลงมา แม้ตายก็ต้องปฏิบัติตาม! นี่เป็นข้อปฏิบัติที่สืบทอดกันมาตามขนบของกองทหารแคว้นต้าเหยียนมานับร้อยปี ย่อมไม่อาจล้มเลิกโดยง่าย
แต่ตอนนี้คำพูดของไทเฮาน้อยกลับทำให้พวกเขาหวั่นไหวแล้ว
อย่าว่าแต่ด้วยลักษณะจากภายในของไทเฮาน้อยยังมีพลังบางอย่างที่ทำให้คนต่างต้องเกิดการยอมรับ
ขณะที่พวกเขากำลังลังเลอยู่นั้น ก็เห็นท่านแม่ทัพผู้พิชิตตู๋กูจุนขึ้นมาบนกำแพงเมือง มือหนึ่งกุมดาบเล่มใหญ่เอาไว้ อีกมือหนึ่งหิ้วเหยียนหยุนที่ขาพิการขึ้นมา
เหยียนหยุนใช้ไม้เท้าพยุงตัวย่อมเดินได้ไม่เร็ว ตู๋กูจุนได้แต่ต้องยอมออกแรงช่วยเหลือเขาสักครั้ง
ก่อนหน้านี้ก็เป็นตู๋กูจุนที่ยื่นมือช่วยเหลือเขาจากน้ำมือของอันหร่วนเช่นกัน
นี่จะต้องเป็นพรหมลิขิตที่สำคัญประการหนึ่งสินะ
“น้องเล็ก นี่เป็นเพราะว่าเจ้าได้รับความสะเทือนใจมากเกินไปใช่หรือไม่? จึงได้คิดจะรับแคว้นต้าเหยียนเอาไว้ ตระเตรียมจะก่อกบฏสินะ?” พี่ใหญ่กระชับดาบยักษ์ในมือ มองดูน้องเล็กด้วยความปวดใจ
ก่อนหน้านี้ถึงน้องเล็กจะไม่ยอมรับออกมา แต่เขาที่เป็นพี่ใหญ่ย่อมทราบดี ความรู้สึกที่นางมีต่อฮ่องเต้สุนัขจีเฉวียนผู้นั้น มิใช่ว่าจะไม่ได้รู้สึกอะไรด้วยเลย
ดูสิ นางทั้งตอบจดหมาย ทั้งทำระเบิด ทำหน้ากากที่ส่งมาให้เขาด้วยตนเอง
นี่มันก็แสดงว่ามีใจให้ไปมากกว่าครึ่งแล้ว!
แต่อยู่ดีๆ กลับมีสาวน้อยที่เป็นแสงจันทราของเขาโผล่ออกมา เป็นใครจะทนได้กัน?
ตู๋กูจุนมองดูใบหน้าของน้องสาวตนเองอย่างพิจารณาด้วยความระมัดระวัง ดูสิหน้าดำเป็นก้นหม้อถึงขนาดนั้น นี่มิใช่ว่าได้รับความสะเทือนใจจนกลายเป็นดำคล้ำไปหรอกหรือ?
ตู๋กูซิงหลันถูกคำพูดของเขาทำเอาตกใจจนแทบจะกระโดดขึ้นมา
ไม่ใช่นะ….พี่ใหญ่ท่านเข้าใจอะไรผิดไปถึงไหนแล้ว?
นางแค่เป็นโรคชอบช่วยเหลือมนุษยชาติ ไม่เกี่ยวอะไรกับจีเฉวียนสักหน่อย!
“ไทเฮาพะยะค่ะ ตัวข้าขอสนับสนุนท่าน!” เหยียนหยุนที่อยู่อีกด้านหนึ่งพยักหน้าอย่างไม่คิดชีวิต “ท่านเป็นผู้ที่มีจิตใจดีเปี่ยมไปด้วยเมตตา หากว่าแคว้นเหยียนอยู่ในมือของท่านจะต้องสามารถฟื้นฟูชีวิตขึ้นมาได้อย่างแน่นอน ตัวข้าขอสนับสนุนยกท่านเป็นฮ่องเต้พระองค์ใหม่!”
ตู๋กูซิงหลัน “???” ผีหลอกแล้ว?
“นี่มัน….”
นางกำลังจะเอ่ยปาก ก็เห็นเหยียนหยุนเอาตราหยกที่แหลกเป็นชิ้นแล้วชูขึ้นมา ตะโกนบอกต่อทหารแคว้นต้าเหยียนที่อยู่ใต้กำแพงเมืองว่า “เราขออาศัยฐานะรัชทายาทแห่งแคว้นต้าเหยียน ออกคำสั่งให้ทั่งหมดศิโรราบต่อไทเฮาแห่งต้าโจว นับจากวันนี้เป็นต้นไปจะจงรักต่อไทเฮา ภักดีต่อไทเฮา! ราชวงศ์เหยียนนั้นจบสิ้นไปแล้ว นับแต่นี้คือราชวงศ์ตู๋กู!”
ผู้คนทั้งหลายต่างพากันตกตะลึงไป ตอนนี้ฮ่องเต้ชราและองค์ชายเจ็ดต่างก็สิ้นพระชนม์กันไปหมดแล้ว คนอื่นๆ ที่อยู่ในราชวงศ์เหยียนก็ไม่มีผู้ใดกล้าเสนอตัวออกมา
เหยียนหยุนทรงเป็นองค์ชายรัชทายาท กลับเป็นฝ่ายยอมนอบน้อมต่อไทเฮาแห่งต้าโจวก่อนใคร เดิมทีพวกเขาก็หวั่นไหวใจอยู่แล้ว เพียงแต่หาเหตุผลที่เหมาะสมไม่ได้เท่านั้น
ทันใดนั้นเองก็เห็นศีรษะดำๆ มากมายพากันวางอาวุธ คุกเข่าลงไป
“พวกกระหม่อมขอถวายความจงรักภักดีต่อตู๋กูไทเฮา! ติดตามไทเฮาไปกินเนื้อ!”
ตู๋กูซิงหลัน “ข้าจะ….” บ้าตาย
เหยียนหยุนนั่นบ้าไปแล้ว นี่มิเท่ากับว่าบังคับให้นางก่อกบฏหรือ?
นี่จะบรรยายอย่างไรดี? คล้ายกับว่าจีเฉวียนลำบากตรากตรำก่อสร้างเก้าสิบเก้าชั้น จากนั้นนางก็แค่มาทำหลังคาครอบ แต่ว่าอาคารทั้งหลังกลับกลายเป็นของนางไป?
เจ้าฮ่องเต้สุนัขผู้นั้นไม่โกรธตายก็ประหลาดแล้ว
วิญญาณทมิฬเองก็ทำสีหน้าประหลาดใจยกใหญ่ “อ้ายย๋าห์ เอาละโว้ย รีบๆ ก่อกบฏกันเลย ปล่อยให้ไอ้บุรุษเสเพลผู้นั้นไปอี๋อ๋อกับแม่แสงจันทราของเขาไป พวกเรากลายเป็นฮ่องเต้หญิงไม่ดีกว่าหรือไง?”
ตู๋กูจุน “น้องเล็ก เลือกวันมงคลก็มิสู้คล้อยตามฟ้าดิน พวกเราวางแผนจะกบฏกันมามิใช่ว่าแค่วันสองวัน”
ตู๋กูซิงหลัน “!!!”
นี่มันอะไรกัน คนนี้ก็ยังจะมาจริงจังกว่าอีกคนอีก?
“ภายหน้ามิว่าเจ้าต้องการบุรุษเช่นไร พวกพี่ๆ จะจับมัดมาให้เจ้าเอง ต่อให้เจ้าอยากจะมีวังหลัง พวกพี่ๆ ก็ไม่ว่าอะไร!”
ถึงแม้ว่าตู๋กูจุนจะเป็นบุรุษแท้อกสามศอก แต่ก็รู้ดีกว่า วิธีรักษาอาการบาดเจ็บที่ดีที่สุด ก็คือเสาะหาบุรุษโฉมงามมาสักคนหรือว่าหลายๆ คน พอมีคนใหม่ก็ย่อมสามารถลืมคนเก่าได้เอง
พี่ใหญ่จำเป็นจะต้องทำให้ถึงเพียงนั้นเลยหรือ?
ตู๋กูซิงหลันยังไม่ทันได้ตอบคำเลย ก็เห็นนอกเมืองหลวงต้าเหยียนมีฝุ่นลอยคลุ้งทั่วท้องฟ้า
“อ้าวหวู้วว์……..”
เสียงสุนัขป่าเห่าหอนดังมาแต่ไกล
นางมองลงไป เห็นที่ด้านหน้าสุดเป็นสุนัขป่าสีดำตัวหนึ่ง
เหล่าสุนัขป่าพากันร้องคำราม เข่นฆ่าเหล่าผีดิบจนกลายเป็นเนื้อบด กลายเป็นถนนโลหิตสายหนึ่งขึ้นมา
สุนัขป่าสีดำนับพันนับหมื่นตัว บนหลังสุนัขป่าเหล่านั้นคือกองทัพของตระกูลตู๋กู!
พวกเขาแบกธงประจำแคว้นต้าโจวและตระกูลตู๋กูมาแต่ไกล บุกเข้ามาอย่างไร้การสกัดขัดขวาง
ท่านผู้เฒ่าตู๋กูถิงย่อมนำอยู่ด้านหน้าสุด
“นี่มันเป็นฝีมือของไอ้อ่อนที่ไหนกัน ข้าผู้เฒ่าทำศึกมานานปี ไม่เคยเห็นอะไรที่อนาถขนาดนี้มาก่อนเลย!” ท่านผู้เฒ่าขี่สุนัขป่ามาถึงกำแพงเมือง ก็ยังอดที่จะออกปากไม่ได้
เดินทีต่อให้ตายเขาก็ไม่คิดจะยื่นมือช่วยเหลือจีเฉวียน
แต่ดูสิ ตอนนี้หลานสาวตัวเองกลับไม่เสียดายชีวิตแล้ว ถึงกับวิ่งอออกมาคุ้มครองฮ่องเต้กลางดึก เขาอาจจะไม่สนใจฮ่องเต้น้อยจีเฉวียนผู้นั้นได้ แต่ว่าหลานสาวของตนเองคือแก่นชีวิต!
ตอนนี้แคว้นต้าเหยียนวุ่นวายจนกลายเป็นขุมนรกบนดินไปแล้ว ที่เขากลัวก็คือจะเกิดอะไรขึ้นกับนางที่เป็นหญิงสาวอ่อนแอคนหนึ่ง
ยามนี้ท่านผู้เฒ่าเงยหน้าขึ้นมา พอมองเห็นตู๋กูซิงหลันขี่หลังสุนัขป่าอยู่หัวใจที่เคว้งคว้างมาตลอดถึงได้กลับเข้าไปในอกได้
“หลันหลัน ไม่ต้องกลัว ปู่มาช่วยเจ้าแล้ว!”
ขณะที่ท่านผู้เฒ่าเอ่ยขึ้นมา ก็มีผีดิบนับร้อยเข้ามารายล้อมเขาเอาไว้
หอกในมือของท่านผู้เฒ่ากวาดออกไป เพียงชั่วแวบเดียวก็ตัดศีรษะนับสิบร่วงระนาวลงมา โดยที่ตนเองมิได้รับบาดเจ็บใดๆ ทั้งสิ้น
พี่ใหญ่ที่อยู่บนกำแพงเมืองยังคงโกรธแค้นไม่หาย เขาตะโกนลงไปที่ใต้กำแพงเมืองว่า “ท่านปู่ ฮ่องเต้ทรงทรยศน้องเล็กแล้ว พวกเรากบฏเถอะ!”
ท่านปู่สะบัดหอกออกไปตัดอีกศีรษะลงมา ค่อยเงยหน้าขึ้น “นี่เล่นอะไรกันอยู่?”
“พวกเรากบฏแล้ว” พี่ใหญ่กล่าวอย่างหนักแน่น “จะยกตำแหน่งฮ่องเต้ให้น้องเล็กนั่ง”
ตู๋กูซิงหลัน “ฉิบหาย!”
นี่เป็นครั้งแรกที่นางต้องยอมรับว่าตนเองไร้มารยาท พูดอะไรไม่ออกได้แต่ร้องฉิบหายออกมาแล้ว
ท่านปู่ “ข้าหมายถึงประโยคแรกเมื่อครู่ เจ้าว่าใหม่อีกครั้งซิ?”
พี่ใหญ่คิดอยู่ชั่วแวบ ก็ตอบกลับไปอย่างจริงจังว่า “ฮ่องเต้ทรงทอดทิ้งน้องเล็ก!”
ท่านผู้เฒ่าระเบิดโทสะขึ้นมาในทันที “ข้าเคยบอกแล้วไงว่าเขามันเจ้าเล่ห์จอมเสแสร้ง! หลันหลันอย่าได้ร้องไห้ ปู่กับพวกพี่ๆ ยังอยู่ มา! เป็นฮ่องเต้หญิงสักตั้งเป็นไง!”
ท่านผู้เฒ่าพิโรธโกรธาสุดหัวใจ ตลอดหลายวันมานี้ จากจดหมายของเจ้าใหญ่ที่ส่งหนังสือทางบ้านมา ทำให้เขาเกือบจะเชื่อว่าจีเฉวียนไอ้เด็กน้อยงี่เง่านั้นเป็นคนดีขึ้นมาแล้ว
หลันหลันไม่ห่วงอันตรายบุกมาช่วยเหลือเขา เขากลับกล้าหักหลังหลันหลัน?
เจ้าชาติสุนัข!
ท่านผู้เฒ่าเคยให้สัตย์สาบานกับปฐมฮ่องเต้เอาไว้ว่าชั่วชีวิตนี้ตนจะไม่กบฏ
แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกันแล้ว ที่นี่คือแคว้นเหยียน เขาก็แค่แย่งแคว้นหนึ่งมาให้หลานสาวของตนเอง ไม่ได้กบฏต่อต้าโจวสักหน่อย
“เปิดประตูเมือง!” เพียงครู่เดียว ตู๋กูจุนสั่งให้คนเปิดประตูเมืองเปิดทางให้ท่านผู้เฒ่านำกองทหารตระกูลตู๋กูเข้ามา
เหล่าผีดิบยังคิดจะบุกเข้ามาอย่างคลุ้มคลั่ง ติ๊งต๊องก็พ่นไฟเผาผลาญออกไป ทำให้พวกผีดิบที่พุ่งเข้ามาเหล่านั้นมอดไหม้กลายเป็นเถ้าถ่านลงตรงหน้า
ท่านปู่นำกำลังคนมานับหมื่น แต่ละคนขี่สุนัขป่าหนึ่งตัว ทันทีที่เข้ามาเหล่ากองทหารต้าเหยียนต่างก็ต้องตัวสั่นสะท้าน
ตู๋กูถิง!
นั่นคือบุคคลในตำนานที่ฆ่าคนโดยไม่กระพริบตา ที่ผู้คนต่างก็เรียกกันเป็นพยายมมีชีวิต แม่ทัพโลหิตแห่งต้าโจว!
ที่แท้ ที่ไทเฮาน้อยทรงรับสั่งว่าทัพหนุนของต้าโจวกำลังมาถึงแล้ว ก็ไม่ได้โกหกพวกเขา!
ยังดีนะ……ที่พวกเขายอมอ่อนน้อมไปแล้ว
ตอนที่ 385 แม่เลี้ยงตัวน้อยจะเป็นฮ่อง...
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะมีกันถึงสิบหมื่นนาย!
แต่ว่าเมื่อต้องเผชิญหน้ากับพยายมมีชีวิต นั่นจะนับเป็นอะไรได้!
พวกเขาถึงกับเข่นฆ่าผีดิบจำนวนนับไม่ถ้วนมาตลอดทาง
ตอนนี้พอเหล่าทหารทั้งหลายนึกย้อนไปต่างก็รู้สึกหวาดหวั่นใจ หากว่าพวกเขายังคงมัวเมาต่อต้านไทเฮาน้อยต่อไป…..ตอนนี้ก็คงจะต้องกลายเป็นส่วนหนึ่งของก้อนเนื้อบดเละๆ กองหนึ่งจริงๆ
อีกด้านหนึ่ง จีเฉวียนยังไม่ทันขึ้นไปบนกำแพงเมือง ก็เห็นตู๋กูถิงนำกำลังทัพเข้ามาอย่างขึงขัง
ดวงเนตรหงส์ของฝ่าบาทเคร่งขรึมลง เงยพระพักตร์ทอดพระเนตรขึ้นไปบนกำแพงเมือง
นี่เป็นครั้งแรกที่พระองค์ประทับอยู่ด้านล่างถึงเพียงนี้ แล้วทอดพระเนตรขึ้นไปมองดูนาง
นางดูราวกับแม่ทัพหญิงที่นำกองทัพนับหมื่น สูงส่ง สง่างามเกินใครเทียบ
พระองค์ไม่เคยเห็นนางในมุมนี้มาก่อนเลย
ก่อกบฏสองคำนี้พระองค์ทรงได้ยินอย่างชัดเจนแล้ว เมื่อสองปีก่อนก็เคยได้ยินมาแล้ว วันนี้พอถูกยกขึ้นมาอีกครั้งทำเอาพระองค์ทรงงุนงงไปในช่วงสั้นๆ
แคว้นเหยียนนี้……ทรงมีพระประสงค์จะตีมาให้นางตั้งแต่แรกอยู่แล้ว!
เพื่อที่จะให้นางได้เปลี่ยนแปลงฐานะอย่างเหมาะสม จากไทเฮาของต้าโจวกลายเป็นฮ่องเต้หญิงแห่งแคว้นเหยียน
ถึงตอนนั้นฮ่องเต้แห่งต้าโจวจะทรงขออภิเษกสมรสกับฮ่องเต้หญิงแห่งต้าเหยียน…..กลายเป็นการร่วมมือที่เข้มแข็ง ทั้งยังปิดปากพวกที่มีวาจาไร้สาระทั้งหลายได้อย่างสนิท
ใต้หล้านี้จะไม่มีผู้ใดกล้ากล่าวตำหนินางแม้แต่ครึ่งคำ หากจะพูด ก็มีแต่จะด่าว่าพระองค์ที่เป็นฮ่องเต้ต้าโจวเท่านั้น
จีเฉวียนทรงคิดคำนวนทุกอย่างเอาไว้อย่างจริงจังแต่แรกแล้ว
เพียงแต่คิดไม่ถึงว่า…..
“ฝ่าบาท เช่นนี้แล้วจะทำอย่างไรดี?” เหล่าทหารของต้าโจวต่างก็ตกตะลึงกันไปหมด
ใครมันจะไปคาดคิดกันว่า ตระกูลตู๋กูคิดจะก่อกบฏก็แล้วไปเถอะ แต่กลับจะมากบฏเอาตำตาเสียขนาดนี้!
นี่มิใช่เท่ากับว่าปล้นชิงตามไฟ ฉวยโอกาสให้ได้มาหรอกหรือ?
จีเฉวียน “ไม่ต้องรีบร้อน”
เหล่าผู้ติดตาม “ฝ่าบาท ไฟไหม้ลามถึงหัวคิ้วแล้ว ยังไม่รีบได้อีกหรือพะยะค่ะ?”
ฮ่องเต้มิได้ทรงตรัสตอบ เพียงทอดพระเนตรตู๋กูซิงหลันที่อยู่บนกำแพงเมือง ทรงคิดจะตรัสอะไรกับนางสักสองประโยค แต่ว่านางมิได้หันมามองที่พระองค์เองเลยสักนิด
นางกำลังโกรธ กำลังโกรธอย่างยิ่ง
“ฮ่องเต้น้อย!” ในตอนนั้นเอง ท่านผู้เฒ่าขี่สุนัขป่าตัวใหญ่มาถึงเบื้องพระพักตร์ของจีเฉวียน แค่ประโยคที่เรียกพระองค์เป็นฮ่องเต้น้อย ก็แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนแล้วว่าเขากำลังโกรธาถึงขนาดไหนกัน
จีเฉวียน “เราอายุยี่สิบห้า ไม่เด็กแล้ว”
ท่านผู้เฒ่าเกือบจะถ่มน้ำลายใส่พระพักตร์ของฝ่าบาทอยู่รอมร่อ ขณะที่มองดูจีเฉวียนด้วยความขุ่นเคือง หอกในมือของเขายังเสียบศีรษะของคนผู้หนึ่งเอาไว้อยู่เลย “เจ้ามันเหมือนกับจีจ้านปู่ของเจ้า จีเย่พี่น้องของเจ้าจริงๆ ต่างก็รู้จักแต่ใช้คำพูดอ่อนหวานประสาดอกไม้มาหลอกล่อหญิงสาว! ยังดีที่เราผู้เฒ่าดวงตาแจ่มใส ถึงได้ไม่ยอมให้หลันหลันหลงกลของเจ้าเข้า!”
ท่านผู้เฒ่าโทสะครอบงำ จนไม่สนใจขนบธรรมเนียมใดๆ อีกแล้ว
มีแต่สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่ายามที่เขาได้อ่านจดหมายที่หลันหลันทิ้งเอาไว้ฉบับหนึ่งว่าจะมาช่วยฝ่าบาท เขาวิตกกังวลจนวิญญาณแทบหลุดออกจากร่าง
พอมาถึงก็ได้ข่าวว่าจีเฉวียนรังแกนาง ย่อมต้องโกรธเคืองจนร่างจะระเบิดอยู่รอมร่อแล้ว
“ความจริงใจของเรา ไม่เคยเปลี่ยนแปลง”
จีเฉวียนตรัสพลางก็โผขึ้นไปกับสายลมท่ามกลางสายตาของผู้คนทั้งหลาย เพียงได้ยินเสียงสะบัดพระบาทไม่กี่ครั้งก็เสด็จขึ้นไปถึงบนกำแพงเมืองแล้ว จากนั้นก็ร่อนลงที่ข้างกายตู๋กูซิงหลันอย่างแผ่วเบา
เพียงแค่ครู่เดียวบนกำแพงเมืองก็เต็มไปด้วยผู้คน
ขณะที่จีเฉวียนกำลังร่อนลงที่ข้างกายตู๋กูซิงหลัน ก็ถูกตู๋กูจุนถลันเข้ามาขวางเอาไว้
สีหน้าของพี่ใหญ่ไม่พอใจอย่างยิ่ง พอคิดถึงเหตุการณ์ในตำหนักบรรทมเมื่อครู่ เขาก็โมโหแทนน้องสาวจนไฟลุก
ตู๋กูซิงหลันเองกลับตกอยู่ในความงุนงง นางอยู่ของนางดีๆ ตอนนี้ก็จะให้ไปก่อกบฏ?
พอหันศีรษะไปมองดูฮ่องเต้สุนัข หน้ากากใบนั้นก็ปิดบังใบหน้าเอาไว้ จนมองอารมณ์ของเขาไม่ออก เห็นแต่ว่าดวงตาของเขามีแต่เส้นเลือดขึ้นมาเต็มไปหมด
นี่ใช่ว่ากำลังโกรธจนระเบิดแล้ว คิดจะมาสังการ ‘กบฏ’ แล้วใช่ไหม?
“ซิงซิง เราสามารถอธิบายให้ฟังได้” จีเฉวียนประทับอยู่ตรงหน้านาง อยากจะตรัสกับนางดีๆ เหลือเกิน
เรื่องของฉางซุนอิง นางไม่ได้เรียบง่ายเหมือนดั่งที่เห็นภายนอก
“ยังมีอะไรจะต้องอธิบายกัน! สตรีผู้นั้นถึงกับจูบคอเจ้าแล้ว! แต่เจ้ากับไม่ปฏิเสธเลยสักนิด แถมยังบอกว่าจะดูแลนางอีก!” พี่ใหญ่ตอนนี้ถึงกับระเบิดความสามารถในการพูดจาของตระกูลออกมาแล้ว
สำหรับบุรุษแล้ว การไม่ได้ปฏิเสธก็แสดงว่าเป็นการยอมรับ
เขาเป็นฮ่องเต้วังหลังจะมีหญิงสาวมากมายถึงเพียงใดก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่ในขณะที่เขากำลังไล่จีบน้องเล็กอย่างบ้าคลั่งนั้น เขาไม่ควรผุดสตรีอื่นขึ้นมาอีกมิใช่หรือ?
จีเฉวียน “….”
ท่านปู่ก็ติดตามขึ้นมาเช่นกัน “ฝ่าบาท ขณะที่พระองค์กินอยู่กับปากอยากอยู่กับท้อง ก็อย่าได้มายุ่งกันหลันหลันจะดีกว่า ถึงแม้ว่าข้าไม่อาจกบฏต่อต้าโจว แต่ว่าหากจะให้นางเป็นฮ่องเต้หญิงของแคว้นอื่น ก็มิใช่เรื่องยากอันใด!”
ตู๋กูซิงหลัน “…..” ไม่ใช่แล้ว คนเราจะกบฏก็สามารถทำได้อย่างอาจหาญถึงเพียงนี้เลยหรอ?
นางไม่ได้คิดจะแย่งชิงแคว้นเหยียนกับจีเฉวียนเลยสักนิด รู้ไหม?
ก็แค่มีอาชีพบ้าช่วยเหลือสรรพชีวิตนะ เข้าใจไหม?
“ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาพูดกันเรื่องนี้ แคว้นเหยียนกำลังวุ่นวาย ท่านปู่ พี่ใหญ่ รัชทายาทแคว้นเหยียน พวกเรามีแต่ต้องร่มมือกันทำลายผีดิบและหยุดการแพร่เชื้อจึงจะสำคัญที่สุด”
ตู๋กูซิงหลันกล่าวอย่างสงบอารมณ์
ฮ่องเต้ทรงได้ยินว่าจะอย่างไรนางก็มิได้นับพระองค์เองเข้าเป็นส่วนหนึ่งด้วย พระทัยก็หล่นวูบลงไป
“ไอ้ตัวประหลาดพวกนั้นมันติดตามกลิ่นของคนเป็นมาจนถึงหวงตูเมืองหลวงแคว้นเหยียนแล้ว รอให้พวกมันรวมตัวกันเข้า ก็จัดการเผาให้วอดในครั้งเดียว” ครู่หนึ่ง ฮ่องเต้ก็ทรงตรัสออกมาอีกว่า “ซิงซิง ไม่จำเป็นต้องกังวลใจไป”
ตู๋กูซิงหลัน “…….”
นางไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่า แสงจันทร์ในดวงใจของเขากลับมาแล้ว เขายังจะสามารถเรียกนางได้เช่นนี้โดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนลมหายใจไม่สะดุดได้อย่างไรกัน
“ตอนนี้แคว้นเหยียนสับสนวุ่นวาย การฟื้นฟูหลังจากถูกเผาทำลายจึงจะเป็นงานหนักที่ยากลำบาก ทั่วทั้งเมืองหวงตูยังตกอยู่ในสภาวะที่ขาดแคลนทั้งน้ำและอาหาร เจ้าไม่เคยปกป้องราชสำนักมาก่อน ย่อมไม่รู้ว่าจะต้องทำเช่นไร”
จากนั้นจีเฉวียนก็ทรงเสริมขึ้นอีกประโยค “เราจะช่วยเจ้า”
“ขอบคุณมาก แต่ไม่จำเป็น”
มีครอบครัวอยู่ข้างๆ ย่อมทำให้นางกล้าขึ้นมาอีกหลายขั้น
“เรื่องเหล่านี้ล้วนมิต้องให้ฝ่าบาทกังวลพระทัยแล้ว” ท่านผู้เฒ่าตู๋กูและพี่ใหญ่ล้วนสนับสนุนอยู่ด้านข้าง
……………………….
เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นมาแผ่นดินนี้แล้ว
แคว้นเหยียนถูกถล่ม ถล่มโดยต้าโจว!
แต่ว่าเจ้าแผ่นดินพระองค์ใหม่กับมิใช่โอรสสวรรค์แห่งต้าโจว….เดาสิว่าเป็นใครกัน?
แซ่ตู๋กูต่างหาก!
นี่เป็นข่าวใหญ่ที่ดังไปทั้งแผ่นดินเลยทีเดียว!
กี่ปีมาแล้วใต้หล้านี้ไม่มีฮ่องเต้หญิง?
เกรงว่าจะต้องมีมากว่าพันปีกระมัง!
ฟังมาว่าโอรสสวรรค์แห่งต้าโจวผู้นั้นเกือบจะได้ครองต้าเหยียนอยู่รอมร่ออยู่แล้ว …… แต่ว่าสุดท้ายแล้ว กลับถูกแม่เลี้ยงของตนเองยกพลมา แย่งเอาไป!
ฟังมาว่าไทเฮาน้อยผู้นั้นทอดทิ้งหน้าที่ ไม่ต้องการตำแหน่งไทเฮาอีกต่อไปแล้ว กลับนั่งเป็นฮ่องเต้หญิงอย่างสุขสบายใจ
ผีดิบในแคว้นเหยียนถูกเผากำจัด ทั่วทั้งแคว้นรกร้างว่างเปล่า แทบจะมีแต่ซากปรักหักพัง
แต่ว่าฮ่องเต้หญิงผู้นั้นกลับรู้จักวิธีการปกครองอยู่บ้าง จัดสรรที่ดินใหม่ สร้างบ้านเรือน ขุดคลองเพิ่ม ละทิ้งข้อกฏระเบียบเดิมๆ ของราชวงศ์เหยียน จัดตั้งกฏระเบียบแบบแผนใหม่
แถมทักษะทางการเมืองการปกครองนั้นก็แสนจะยอดเยี่ยม มีแต่ฝีมืออันแพรวพราวที่ไม่เคยได้พบเห็นมาก่อน ทำเอาพวกเขาถึงกับงุนงงจนหูตาลาย
ใครเลยจะคิดว่า ไทเฮาน้อยผู้นั้นจะมีความสามารถถึงเพียงนี้?
ตอนนี้แคว้นเหยียนทั้งคนชั้นบนและชั้นล่างต่างก็รวมใจกัน แทบจะอยากยกนางเทิดทูนเป็นบรรพชนอยู่แล้ว
โดยเฉพาะเหล่าราษฏร์ทั้งหลาย ต่างก็พูดกันว่านางเป็นเทพเซียนลงมาจุติ เพื่อปกครองแผ่นดิน
ส่วนฮ่องเต้ต้าโจวผู้นั้นก็เท่ากับขุดหลุมฝังตนเอง หากว่าตอนนั้นเขาถือทิฐิให้มากกว่านี้หน่อย ต่อให้ตายก็ไม่ยอมยกบัลลังก์ฮ่องเต้ให้ ก็คงจะทำให้ตนเองไม่ต้องมาเผชิญกับปัญหาใหญ่โตถึงเพียงนี้แล้ว
ตอนที่ 386 บุรุษโฉมงามอันดับหนึ่งในแผ...
แคว้นเหยียน เมืองหลวงหวงตู
ช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิที่หิมะละลายจนหมดสิ้น สายลมในฤดูใบไม้ผลิพัดโชย นำพาให้ทุกชีวิตฟื้นคืน
ภายในวังหลวง ณ ตำหนักบรรทมของฮ่องเต้หญิง
กลางวันแท้ๆแต่กลับหับหน้าต่างจนหมดสิ้น ปิดผ้าม่าน จุดเพียงโคมไฟ
ที่จริงนี่ก็ถึงยามเที่ยงแล้วแท้ๆ แต่บนเตียงบรรทมของฮ่องเต้หญิง ขาที่เรียวยาวข้างหนึ่งยังเลื้อยลงมาจากบนเตียง
ผ้าโปร่งสีแดงพลิ้วไหวเบาๆ แสงเทียนสลัวๆ บนเตียงบรรทมมีเสียงลมหายใจแผ่วเบา ทั้งนุ่มนวลและสงบสุข
ในความง่วงงุน ตู๋กูซิงหลันพลิกตัว มือไปสัมผัสกับเนื้อนุ่มๆบางอย่าง
นางจึงค่อยๆกระพริบตาสองครั้ง….อืม นุ่มดี ลื่นดีมาก อืม ผิวดีจริงๆ
จากนั้นจึงค่อยลืมตาขึ้นมาดูอย่างจริงจัง
พอลืมตาขึ้นมามองก็เห็นใบหน้าดวงหนึ่งกระจ่างอยู่ตรงหน้า หนุ่มน้อยผู้นั้นนอนอยู่ข้างกายนาง
เขามีริมฝีปากแดงฟันสีขาว พอเห็นว่านางกำลังมองดูตนเองอยู่ก็รีบก้มหน้าลงไป กล่าวอย่างเขินอายคำหนึ่งว่า “ฝ่าบาท ทรงตื่นแล้ว~”
ตู๋กูซิงหลันเหม่อลอยไปเล็กน้อย จากนั้นก็เก็บมือที่สัมผัสบนใบหน้าของเขากลับมาอย่างเงียบงัน
ค่อยเหลือบตามองดูหนุ่มน้อยที่ผอมบาง และเสื้อผ้าเนื้อบางที่หลุดรุ่ย
หนุ่มน้อยดูเขินอายกว่าเดิม พลางเขยิบเข้ามาด้านข้างอีกนิด “ฝ่าบาท ข้าพึ่งจะเข้ามาอยู่ในวัง ไม่รู้ขนบธรรมเนียม ……. เสื้อผ้าเช่นนี้ก็ออกจะน่าอายไปสักหน่อย …… แต่ว่าใต้เท้าตู๋กูบอกว่า …..ต้องสวมใส่แบบนี้ฝ่าบาทจึงจะทรงโปรด”
หนุ่มน้อยยิ่งพูดเสียงก็ยิ่งเบาลงไป แทบจะเอาใบหน้ามุดลงไปกับเตียงบรรทมอยู่แล้ว
ตู๋กูซิงหลัน “…….”
นางลุกขึ้นนั่ง พิงร่างลงไปกับเบาะอิงนุ่มๆ มองดูหนุ่มน้อยที่เขินอายเสียจนใบหน้าแดงก่ำ ด้วยสายตาพิจารณาอย่างจริงจัง
หนุ่มน้อยหลุบตาลง ไม่กล้าสบตากับนาง เปลี่ยนเป็นนั่งอย่างเรียบร้อยอยู่ข้างเตียง ในใจก็เต็มไปด้วยความประหม่าได้แต่คาดหวังว่าจะได้รับความโปรดปรานจากนาง
นับตั้งแต่ฮ่องเต้หญิงทรงขึ้นครองราชย์ ก็ผ่านมาได้หลายเดือนมากแล้ว มีบุรุษโฉมงามไม่น้อยถูกคัดเลือกเข้ามาถวายงานรับใช้ฝ่าบาทในวัง
ตอนแรกๆ ที่ถูกคัดเลือกเขาเองก็ยังรู้สึกต่อต้าน
ใต้หล้ากว้างใหญ่ไพศาลล้วนถือธรรมเนียมเคารพบุรุษกดขี่สตรีมานานหลายปี แต่ว่าตอนนี้อยู่ๆก็มีฮ่องเต้หญิงปรากฏพระองค์ขึ้นมา ….ทั้งยังต้องการให้มีบุรุษปรนิบัติ นี่มันช่างน่าละอายเหลือเกิน
หากมิใช่เพราะว่าก่อนหน้านี้มีสงคราม ในบ้านแทบจะขาดแคลนจนไม่มีอาหารเพียงพอจะรับประทาน เขาก็คงจะไม่ขายตัวเข้ามาอยู่ในวังหรอก
ก่อนที่จะได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้หญิง เขาก็พยายามบ่ายเบี่ยงอยู่หลายครั้ง แต่ว่าตอนนี้….ความกังวลใจทั้งหมดล้วนหายไปจนสิ้นแล้ว
เขาถูกคัดเลือกขึ้นมาจากเหล่าบุรุษอายุเยาว์ที่มีความโดดเด่น จนมาถึงการเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติได้ปีนเตียงของฝ่าบาทได้แล้ว
คนทั่วไปต่างก็กล่าวว่า ฮ่องเต้หญิงทรงเป็นผู้ที่มีสิริโฉมงดงามเหนือผู้ใดในโลกหล้า ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าคำพูดเหล่านั้นออกจะเกินจริงมากไป
แต่พอตอนนี้ได้มาเห็นแล้ว ดวงเนตรดอกท้อที่สามารถควักวิญญาณได้ เส้นคิ้วโก่งโค้งดั่งไต้หยู่ ริมฝีปากที่ชุ่มฉ่ำดั่งผลอิงเถาอีก แล้วยังจะมีเรียวขาที่โผล่ออกมา ทั้งตรง ยาว ขาวกระจ่างกว่าหิมะ ทั้งยังงดงามยิ่งกว่าเนื้อหยก
ไม่รู้ว่าสวรรค์จะต้องทุ่มเทจิตใจเท่าใดจึงจะสร้างขึ้นมาได้……
ยามนี้หากว่าสามารถได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาทสักแวบหนึ่ง เกรงว่าจะทำให้เขาแม้ตายก็ไม่รู้สึกเสียดายแล้ว
ตู๋กูซิงหลันสวมใส่แต่เพียงชุดนอน นางค่อยๆเก็บขาที่โผล่ออกมาด้านนอกกลับเข้าไป หลังจากสำรวจหนุ่มน้อยอยู่พักใหญ่ ค่อยตรัสว่า ขอโทษที เจ้าไม่ใช่แบบที่ข้าชอบ”
หนุ่มน้อยรู้สึกเหมือนถูกราดน้ำเย็นไปทั้งศีรษะในทันที
“ฝ่าบาท….เป็นเพราะว่าข้าทำสิ่งใดผิดไปหรือไม่? ข้าจะต้องแก้ไขเป็นอย่างดี ฝ่าบาทอย่าได้ทรงผลักไสข้าได้หรือไม่?” หนุ่มน้อยน้อยอกน้อยใจ ดวงตากลมโตแทบจะมีน้ำตาไหลรินออกมา
นี่เรียกว่า ได้โปรดสงสารข้าเถิด!
ตู๋กูซิงหลันรีบปาดเช็ดน้ำตาให้เขา “ โอ๋ๆ ไม่ร้องนะ โอ๋ ไม่ร้อง ตัวน้อยที่น่าสงสาร….”
วิญญาณทมิฬ “หลันหลัน เจ้าทำเช่นนี้ดูวิปริตอย่างยิ่ง”
ทั้งที่ไม่ได้ชมชอบผู้อื่น แต่กลับเรียกผู้อื่นเป็นตัวน้อยที่น่าสงสาร นี่ไม่เท่ากับว่ากำลังหย่อนเบ็ดตกปลาหรอกหรือ?
ยิ่งทียิ่งเสเพล ยิ่งกล้าใหญ่แล้ว หยอดคนอื่นเขาไปทั่ว
ตู๋กูซิงหลันค้อนตาขวาใส่มันครั้งหนึ่ง ค่อยๆบรรจงช่วยเช็ดน้ำตาให้หนุ่มน้อย “เด็กน้อยเจ้าหน้าตาดี ช่างน่าเอ็นดู มาอยู่ข้างกายข้าทุกๆวันยกน้ำเทชาดีกว่า เตียงนี้ ต่อไปไม่ต้องขึ้นมาแล้ว ได้ไหม?
หนุ่มน้อยน้ำตาหยดปรอยๆ พอได้ยินว่ายังสามารถรั้งอยู่ข้างกายนางได้ ก็คลี่ยิ้มออกมา
“ข้าจะตั้งอกตั้งใจรับใช้ฝ่าบาท”
เขารีบลงจากเตียง โขกศีรษะหนักๆติดๆกัน ใบหน้ายังคงแดงก่ำไม่หาย กล่าวเสียงหวานว่า “ข้ามีชื่อเรียกว่า เซี่ยวเหลี่ย……”
หากว่าฝ่าบาททรงจดจำชื่อแซ่ของตนเองได้นั่นจะเป็นโชคดีถึงเพียงไหน
ตู๋กูซิงหลันแย้มยิ้มอย่างงดงาม โบกพระหัตถ์เบาๆ “รู้แล้วล่ะ ครั้งหน้าสวมใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อยค่อยมาดูแลเราเถอะ”
พอหนุ่มน้อยล่าถอยออกไป ก็เห็นตู๋กูเจวี๋ยวิ่งเข้ามาด้วยสีหน้ายินดี
“น้องเล็ก ครั้งนี้เป็นอย่างไร พอใจหรือไม่?”
“พี่รอง บอกท่านไปตั้งหลายครั้งแล้ว ข้าไม่ขาดแคลนบุรุษ ยิ่งไม่อยากจะพอลืมตาตื่นมาก็เห็นบุรุษน้อยน้ำตาไหลเปาะแปะอยู่ตรงหน้า” ตู๋กูซิงหลันลงจากเตียงด้วยเท้าเปล่า ค่อยยืนอยู่บนพรมที่อ่อนนุ่ม
หลังจากผ่านการรักษามานานหลายเดือน ขาของนางก็ดีขึ้นมากแล้ว
นางสวมใส่ชุดนอนสีขาวตลอดทั้งร่าง เส้นผมสีดำสนิทยาวสยายล้อมวงหน้าของนางที่งดงามเกินใดจะเปรียบ
ภายใต้แสงเทียนอ่อนจาง ทั่วทั้งร่างของนางเปล่งประกายสูงส่งอย่างอธิบายไม่ถูก
พี่รองได้แต่บ่นพึมพำว่า “หากไม่ต้องการแล้วทำไมเจ้าถึงยิ้มเหมือนพวกอาอี้เลยละ?”
“ตอนนี้เจ้าเป็นฮ่องเต้หญิงแล้ว! แล้วจะปล่อยให้วังหลังว่างเปล่าได้อย่างไร?” ตู๋กูเจวี๋ยกล่าวอย่างเป็นจริงเป็นจัง “พวกพี่ๆเสาะหาบุรุษมาให้เจ้า ย่อมต้องผ่านการเลือกสรรเป็นอย่างดี รับรองว่าแต่ละคนจะต้องทั้งสายตา ทั้งในใจต้องมีแต่เจ้าเท่านั้น เจ้าสนใจแค่คอยจัดการพวกเขาก็พอ พอเบื่อแล้วพวกเราก็เปลี่ยนเป็นคนใหม่!”
ตู๋กูซิงหลันถูกคำพูดของเขาทำเอาตาโตขึ้นมาบ้างแล้ว
นี่พี่ๆของนางไปประสบอะไรเข้าจนไม่พอใจขึ้นมา?
วันๆถึงได้คิดแต่จะผลักบุรุษขึ้นเตียงของน้องสาว…..
แต่อย่าว่าไป สายตาของพวกพี่ๆช่างดีจริงๆ พ่อเนื้ออ่อนเหล่านี้แต่ละคนยิ่งทียิ่งนุ่มดีงามขึ้นเรื่อยๆ ช่วยกระตุ้นเลือดลมดีนัก ขนาดดูเฉพาะแค่รูปร่างหน้าตานะ ล้วนไม่มีแพ้เหล่าดาราหนุ่มในยุคปัจจุบันเลย
ตลอดหลายเดือนมานี้ ทุกช่วงระยะเวลาไม่กี่วัน ตู๋กูซิงหลันลืมตาขึ้นมาเป็นต้องได้เห็นใบหน้าใหม่ๆอยู่บนเตียงของนางอยู่เสมอ
ว่าก็ว่าเถอะ พี่ชายน้อยๆที่หน้าตาดีเหล่านั้น จะผลักไสออกไปย่อมไม่ดี ได้แต่ต้องรั้งเอาไว้คอยปรนนิบัติในวังแล้ว
ยกน้ำชา เทน้ำ หากใช้การอะไรไม่ได้ก็มาคอยตบบ่านวดไหล่ให้นางก็แล้วกัน
แค่ช่วงสั้นๆเพียงไม่กี่เดือนนี้ เหล่าพี่ชายตัวน้อยที่คอยปรนนิบัติในตำหนักบรรทมของนางก็มีมากเสียจนจะตั้งทีมเตะบอลได้แล้ว
ยามที่ตู๋กูเจวี๋ยโผมาถึงเบื้องหน้าของนางนั้น เขาก็พูดอย่างมีลับลมคมนัยว่า “บอกข่าวดีให้เจ้าฟัง เมื่อเร็วๆนี้พวกพี่ๆหมายตาบุรุษอันดับหนึ่งในเมืองหวงตูเอาไว้แล้ว ตระเตรียมจะใช้เชือกไปมัดมาส่งให้กับเจ้า คราวนี้เจ้าจะต้องถูกตาถูกใจอย่างแน่นอน!”
ตู๋กูซิงหลัน “เมืองหวงตูมีบุรุษอันดับหนึ่งตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”
เรื่องที่พวกพี่ๆจับบุรุษกลับมานั้น นางเห็นจนชินชาเสียแล้ว เรื่องการบังคับยัดเยียดมาให้นี้นางไม่เพียงแต่ห้ามไม่อยู่ ตอนนี้ยังรู้สึกตื่นเต้นที่ได้เฝ้ารออยู่บ้างเหมือนกัน?
พอได้เป็นฮ่องเต้หญิงขึ้นมา วังหลังก็เต็มไปด้วยอู๋เสี่ยงฝายเอย หลัวเสี่ยวซีเอย หูเสี่ยวเกอเอย อี้เสี่ยงสี่เอย เป็นใคร ใครจะอยากปฏิเสธกัน!
ต่อให้วันๆได้แต่ปล่อยให้เดินไปเดินมาอยู่ในวัง นั่นก็ยังถือว่าเป็นทัศนียภาพที่น่าชื่นชมอย่างหนึ่งแล้ว!
ตอนนี้อยู่ๆก็มีบุรุษโฉมงามอันดับหนึ่งของหวงตูขึ้นมา จะต้องงดงามถึงเพียงไรถึงจะสามารถมีความมั่นใจในตนเองได้เช่นนั้น?
ตู๋กูซิงหลันชักจะเกิดความสนใจขึ้นมาแล้ว
ตู๋กูเจวี๋ยเห็นดวงเนตรทั้งสองของนางทอประกายแวววาว ก็เงียบขรึมไปครู่หนึ่ง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น