หมอดูยอดอัจฉริยะ 381-384

 ตอนที่ 381 ตระกูลหู

โดย

Ink Stone_Fantasy

ตอนที่เยี่ยเทียนโยนคิตะทาโร่ออกไป เขาใช้ปลายนิ้วขวาของเขาปัดเบาๆที่จุดเทียนชู จุดเสินเชวี่ย และจุดชี่ไห่


บริเวณท้องน้อยของคิตะทาโร่ ส่งลมปราณแฝงไหลผ่านเข้าไปในจุดการฝังเข็มทั้งสามอย่างเงียบ ๆ


เยี่ยเทียนได้เล่นกับหุ่นมนุษย์ทองแดงตั้งแต่เขาอายุห้าขวบ และเขาคุ้นเคยกับจุดฝังเข็มของร่างกายเป็นอย่างดี


แม้จะหลับตาก็สามารถสัมผัสได้อย่างแม่นยำ


หลังจากเข้าสู่การหลอมปราณสู่จิตแล้ว การควบคุมลมปราณที่แท้จริงของเยี่ยเทียนได้ถึงระดับที่ลึกซึ้งแล้ว และพลังลมปราณแฝงของเขาจะอยู่ในร่างกายของคิตะทาโร่เป็นเวลานานถึงหนึ่งเดือน


หนึ่งเดือนต่อจากนั้นพลังลมปราณแฝงจึงจะกระจายออกมา เลือดจุดเทียนชู เสินเชวี่ยจะถูกกั้นเป็นสัดส่วน  ทำให้กระอักออกมาเป็นเลือด ในเวลาเดียวกันอวัยวะภายในจะได้รับการกระทบกระเทือน ลมปราณจุดชี่ไห่จะถูกทำลายโดยสิ้นเชิง


อาการนี้คล้ายกับการฝึกฝนลมปราณแล้วเกิดอาการเจ็บหน้าอกเมื่อหายใจ  ถึงเวลานั้นคิตะทาโร่จะไม่ตาย แต่ก็จะกลายเป็นคนพิการ ในตอนนั้นจะไม่มีใครคิดว่าเป็นฝีมือของเยี่ยเทียน


ในความเป็นจริงหากเยี่ยเทียนอยากทำให้คิตะทาโร่ตายเร็วขึ้น มีหลากหลายวิธี แต่หลังจากประสบเหตุการณ์เกิดเรื่องที่ฮ่องกง เยี่ยเทียนเข้าใจดีว่าทำอะไรที่ชัดเจนและแสดงฝีมือมากเกินไป จะนำมาซึ่งภัยพิบัติในภายหลัง


เวลานี้ในสนามประลอง ที่เคยตึงเครียดอย่างมาก กลายเป็นสงบราบคาบลงเป็นปกติ และทัศนคติของคิตะทาโร่ ผู้หยิ่งผยองก็กลายเป็นคนถ่อมตนขึ้นมามากมาย


เยี่ยเทียนผู้ชนะได้เสนอตัวช่วยรักษาอาการบาดเจ็บของคิตะทาโร่ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงคุณธรรมในศิลปะการต่อสู้ของจีน แต่สิ่งที่ทั้งสองคนคิดอยู่ภายในใจนั้น คนภายนอกไม่อาจหยั่งรู้ได้


แม้ว่า เยี่ยเทียนจะปลดล็อคความไม่ตรงแนวของกระดูกบนร่างของคิตะทาโร่ได้ แต่กระดูกบริเวณข้อเท้าของเขา


ได้รับบาดเจ็บสาหัส หลังจากยืนขึ้นด้วยความช่วยเหลือของนักศึกษาญี่ปุ่นสองคน คิตะทาโร่เผชิญหน้ากับเยี่ยเทียนโค้งคำนับ


แล้วพูดว่า “ขอบคุณมากสำหรับการชี้แนะของคุณ ในอนาคตหวังว่าทาโร่จะมีโอกาสเรียนรู้ศิลปะการต่อสู้จีนจากคุณอีก!”


“เกรงว่าคุณจะไม่มีโอกาสนี้แล้ว!”


เยี่ยเทียนยิ้มเยาะเย้ยอยู่ในใจ แต่บนใบหน้าของเขามีรอยยิ้มและพูดว่า “ยินดีต้อนรับทุกเวลา ฉันชื่นชอบคาราเต้และยูโดญี่ปุ่นมาเป็นเวลานานแล้ว และฉันมีความสุขมากที่ได้รู้จักผู้เชี่ยวชาญศิลปะการต่อสู้ของญี่ปุ่น!”


ทันทีที่คำพูดนี้ของเยี่ยเทียนได้กล่าวออกไป ทำให้คิตะทาโร่ก็อดไม่ได้ที่จะเปิดเผยความลำบากใจเล็กน้อย สิ่งที่เยี่ยเทียนพูดนั้นชัดเจนแล้วว่าตนนั้นไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา ถ้าเขากลับมาอีกครั้ง ให้ผู้มีฝีมือที่แท้จริงออกโรงจะดีกว่า


“ครับ ทาโร่จำไว้แล้ว!” คิตะทาโร่พยักหน้าอย่างหนักแน่นต่อเยี่ยเทียน และพานักศึกษาที่อยู่ข้างๆเขาออกไปจากสนามประลอง


ส่วนเยี่ยเทียนนั้น ถูกล้อมรอบไปด้วยนักศึกษาของชมรมศิลปะการต่อสู้ พวกเขาถามกันถึงประสบการณ์ที่พวกเขา


เพิ่งแลกเปลี่ยน บางคนแนะนำว่าเยี่ยเทียนควรเป็นประธานของชมรมมศิลปะการต่อสู้ด้วยซ้ำ ที่ตรงนั้นก็เกิดความสนุกสนาน


ขึ้นมา


ในที่สุดสวีเจิ้นหนานก็ออกมาเพื่ออธิบายความจริงที่ว่าเยี่ยเทียนออกจากหวาชิงกลางคัน หลังจากที่ทุกคนเสียใจแล้วจึงได้ปล่อยเยี่ยเทียนไป หลังจากทักทายอวี๋ชิงหย่าเสร็จ เยี่ยเทียนก็ออกจากชมรมแห่งนั้น


“ฉันว่า ตอนแข่งขันก็ไม่ได้เหนื่อยขนาดนั้นนี่นา?”


หลังจากดึงอวี๋ชิงหย่าออกจากชมรมแล้ว เยี่ยเทียนก็เช็ดเหงื่อที่หน้าผากของเขา จริง ๆ แล้วชาวจีนไม่ได้ขาดคนมีฝีมือ แต่เป็นเพราะถูกกดดันไว้นานและลึกเกินไป จึงทำให้สาบสูญไป


 “ นายสามารถเป็นคนดังในหวาชิงได้ นายยังไม่มีความสุขอีกหรือ?”อวี๋ชิงหย่าพูดแกล้งเยี่ยเทียนด้วยรอยยิ้มเมื่อเห็น


แฟนหนุ่มของเธอแสดงพลังอันยิ่งใหญ่ ภายในใจของเธอก็รู้สึกอ่อนหวาน


“พอแล้วมั้ง เอาชนะญี่ปุ่นที่มีอิทธิพลคนนึง ควรแก่การมีความสุขหรือ?”


เยี่ยเทียนส่ายหัว เขาใช้ความสามารถและตำแหน่งในยุทธภพ แลกเปลี่ยนกับคิตะทาโร่นั้นถือได้ว่าเป็นการกลั่นแกล้ง


ผู้อื่น แต่เด็กนั้นไม่รู้และในที่สุดก็บังคับให้ตัวเองต้องใช้ท่าไม้ตาย


“จริงด้วยสิ ชิงหย่า ผู้หญิงคนนั้นที่ชื่อพัคจุนฮี ก็มาจากมหาวิทยาลัยโซลด้วยใช่ไหม?” ถ้าจะบอกว่าเป้าหมายของ


เยี่ยเทียน ยังคงเป็นเรื่องของพัคจุนฮีมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นทักษะหรือสถานะของเธอในฐานะลูกศิษย์ของวีรบุรุษคิตะ


“นายสนใจในเรื่องนี้ทำไมกัน?  เป็นเพราะเห็นว่าหญิงสาวคนนั้นหน้าตาสวยใช่ไหม?” หลังจากได้ยินเยี่ยเทียนถาม


เกี่ยวกับพัคจุนฮี สีหน้าของอวี๋ชิงหย่าก็มึนตึงขึ้นมาทันที


“เฮ้ยๆ ฉันมีความสัมพันธ์กับอาจารย์ของเขาอยู่บ้าง แขนของศิษย์พี่ใหญ่ ถูกตัดออกโดยอาจารย์ของพัคจุนฮี เฮ้ ฉันจะมาอธิบายเรื่องพวกนี้ให้เธอฟังทำไมกันนะ ฉันว่าละพวกผู้หญิงนี้น่าเบื่อจริงๆเลย”


เยี่ยเทียนอธิบายสองสามคำ และทันใดนั้นก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ ดูเหมือนว่าเรื่องต่อสู้ฆ่ากันนี้ ไม่จำเป็นต้อง


ให้อวี๋ชิงหย่ารู้เรื่องเหล่านี้ “แขนของอาจารย์ผู้เฒ่าถูกคนตัดทิ้งหรือ?”


คำพูดของเยี่ยเทียนทำให้อวี๋ชิงหย่าตกใจ เมื่อวานนี้ตอนกินข้าวเธอก็พบกับเโก่วซินเจีย คาดไม่ถึงเลยว่าไหล่ของชาย


ชราผู้ใจดีนี้ จะถูกตัดขาดโดยอาจารย์ของพัคจุนฮี


“พอได้แล้วนะ อย่าแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไปนะ พวกเขามาแล้ว”


เมื่อเห็นอวี๋ชิงหย่าตกใจจนหน้าซีด เยี่ยเทียนก็จับมือเล็กๆ ของอวี๋ชิงหย่า เอาไว้ และโทษตัวเองอยู่ในใจว่าตนนั้น


ปากไว จะบอกสิ่งเหล่านี้กับผู้หญิงทำไมกัน?


หญิงสาวหน้าหวานๆและกลมๆ ส่งยิ้มให้อวี๋ชิงหย่า รอยยิ้มหวานของเธอสามารถส่งออกไปสู่ภายนอกได้ เมื่อเดินเข้าใกล้ก็ยื่นมือออกมาและคว้าแขนของเยี่ยเทียนไว้ พูดชมออกหน้าว่า “เยี่ยเทียนนายเก่งจัง อวี๋ชิงหย่า ไม่ได้แล้วนะ เธอต้องให้


ฉันยืมแฟนสักสองสามวันนะ โอพระเจ้า เขาหล่อมาก ฉันหลงใหลแฟนของเธอแล้วสินะ! “


“หูเสี่ยวเซียน นางจิ้งจอก หลงแฟนตัวเองจนหัวปักหัวปัง ยังกล้ามาแย่งแฟนของฉันอีกหรือ? ฉันจะจัดการกับเธอ!”


อยู่ด้วยกันเป็นเวลาสี่ถึงห้าปี เรื่องเหล่านี้กลายเป็นเรื่องตลกที่คุ้นชินไปแล้ว แต่อวี๋ชิงหย่าที่ดูเหมือนจะอ่อนแอ ในเวลานี้ก็ได้ปกป้องอธิปไตยของตน แต่ก็ปล่อยมือจากเยี่ยเทียน แล้วไปสนุกสนานกับหูเสี่ยวเซียนและสาวๆอีกหลายคน


“หูเสี่ยวเซียน หูเสี่ยวเซียน ชื่อนี้ค่อนข้างน่าสนใจ” ก่อนหน้านี้ต่อหน้าแฟนสาวของเขา เยี่ยเทียนไม่เคยกล้าที่จะมองสาวหน้ากลมนี้ แต่ในเวลานี้ทั้งคู่กำลังคุยเล่นอยู่นั้น เยี่ยเทียนก็อดไม่ได้ที่จะมองมาที่หูเสี่ยวเซียน


“หือ? จริง ๆ แล้วในตัวมีพลังวิญญาณเล็กน้อย หรือจะเป็นคนในฉีเหมิน?”


จากจุดนี้เอง เยี่ยเทียนก็ตกตะลึงไปชั่วขณะหนึ่ง แม้ว่าพลังลมปราณของหูเสี่ยวเซียนจะอ่อนมาก แต่ก็ยังถูกเขาจับได้


ขณะที่เยี่ยเทียนกำลังจะพิจารณาตรวจจับอย่างละเอียด สวีเจิ้นหนานก็ปรากฏยืนอยู่ข้างหน้าเขา ยกนิ้วแล้วพูดว่า “เยี่ยเทียน วรยุทธ์ของนายดีเพียงนี้เชียวรึ? ยอดฝีมือ มียอดฝีมืออยู่ท่ามกลางชาวบ้านจริงๆ”


“พอเถอะน่า มันเป็นเพราะวรยุทธ์ของพี่ยังอ่อนหัด”


เยี่ยเทียนโบกมือ มองตรงมา แล้วพูดว่า “พี่ใหญ่ คนญี่ปุ่นนั้นมีจิตใจที่แคบ แต่ฝีมือพี่นั้นยังห่างไกล ไม่สามารถสู้กับเขาได้ ในอนาคตหากมีคนจะท้าทายพี่ จำไว้นะ อย่าหุนหันพลันแล่น!”


หากเหตุการณ์ในวันนี้เยี่ยเทียนไม่มาพบโดยบังเอิญ มันจะเป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดความปราณี สวีเจิ้นหนานอาจจะ


ไม่ตายแต่อาจจะถูกโจมตีจนพิการโดยคิตะทาโร่ ในครั้งนี้เยี่ยเทียนสามารถปกป้องสวีเจิ้นหนานได้อย่างปลอดภัย แต่ครั้งต่อ


ไปโชคอาจไม่ดีอย่างวันนี้


สวีเจิ้นหนานพยักหน้าและพูดว่า “ฉันรู้ กลับไปฉันจะแก้ไขวัตถุประสงค์ของชมรมศิลปะการต่อสู้ และเพิ่มกฎว่า


ฝึกฝนศิลปะการต่อสู้เพื่อความสมบูรณ์ของร่างกายเท่านั้น และเพิ่มกฎระเบียบว่าจะไม่ขัดแย้งกับองค์กรอื่น”


นักศึกษาที่สามารถสอบเข้าหวาชิงได้ ไม่ต้องสงสัยในไอคิวของพวกเขา สวีเจิ้นหนานรู้ดีว่าในวันนี้เขารอดมาได้ และได้คิดเกี่ยวกับวิธีที่จะหลีกเลี่ยงความท้าทายในอนาคตเอาไว้แล้ว


” อื่ม โดยเฉพาะคนญี่ปุ่น พี่ต้องระวังหน่อยนะ ” เยี่ยเทียนคิดอยู่ครู่นึง ไม่ไว้ใจจึงเน้นย้ำอีกประโยคกับสวีเจิ้นหนาน เขากลัวว่าในอนาคตจะมีเหตุอุบัติขึ้นกับคิตะทาโร่ และเมื่อมีคนอื่น ๆ ตามมาเรื่องก็จะวนกลับไปที่สวีเจิ้นหนาน


“ฉันรู้ เยี่ยเทียน แต่วันนี้ก็ต่อสู้ได้สนุกจริงๆ และได้จัดการกับพวกปีศาจน้อยนั้นแล้ว!”


เมื่อพูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี่ สวีเจิ้นหนานอดไม่ได้ที่จะปิติยินดี เมื่อก่อนหน้านี้พวกเขาแข่งคาราเต้ด้วยมือเปล่า ส่วนใหญ่เก่งพอๆกัน จะเหมือนอย่างเยี่ยเทียนที่สามารถต่อสู้กับคู่แข่งง่ายอย่างกับถอนต้นหญ้าได้ยังไง


“ไม่พูดถึงเรื่องนี้แล้ว”


ในเวลานี้เยี่ยเทียนยังรู้สึกว่าเขาได้กลั่นแกล้งผู้อื่น เมื่อเขาได้ยินสวีเจิ้นหนานพูดขึ้นมาอีกครั้งเขายกมือขึ้นอย่างรวดเร็วเพื่อหยุดเขา และถามว่า “พี่ใหญ่ ถามเรื่องนึงหน่อยสิ หูเสี่ยวเซียนคือใครเหรอ? “


“มีอะไรเหรอ? มีของกินในชามแล้วยังมีความกังวลเกี่ยวกับของในหม้อหรือ?”


สวีเจิ้นหนานมองไปที่เยี่ยเทียนอย่างแปลกประหลาด และพูดว่า “เด็กผู้หญิงคนนั้นมาจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และดูเหมือนว่าจะเป็นตระกูลขนาดใหญ่ที่นั่น เธอเป็นผู้กล้าหาญมาก และมักจะเล่าเรื่องผีให้พวกหรงหรงฟังอยู่ประจำ”


“เป็นคนภาคตะวันออกเฉียงเหนือหรือ?”


เยี่ยเทียนพยักหน้าเข้าใจ และภายในใจของเขาก็มีความชัดเจนบ้างแล้ว ไอลมปราณของหูเสี่ยวเซียนดูสับสนเล็กน้อย ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ฝึกฝนด้วยตัวเอง น่าจะเป็นของตระกูลหูทางตะวันออกเฉียงเหนือ


อดีตนั้นคนในยุทธภพฉีเหมิน มีอยู่ในภูมิภาคต่างๆ ฉีเหมินทางตะวันออกเฉียงเหนือนั้นถูกครอบงำโดยลัทธิ


ชาแมนและลัทธิตะวันและจันทรา


ลัทธิชาแมนมีมานานแล้ว เชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดของสรรพสิ่งต่าง ๆ แบ่งออกเป็นการเชิญเจ้า เจ้าจุติและนำ


ทวยเทพ ที่รู้จักกันทั่วไปว่าเป็นเจ้าแห่งการกระโดด ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นที่รู้จักในกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ในภาคเหนือ


สำหรับลัทธิตะวันและจันทรา เป็นที่นิยมในภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่เชิญสุนัขจิ้งจอกทุกชนิด พังพอน งูและ


สัตว์ที่มีจิตวิญญาณบางชนิดให้เข้ามาสิงในร่างของมนุษย์เพื่อการรักษา ก็คือแม่มดร่างทรงในแบบพื้นบ้าน


อย่างไรก็ตามลัทธิตะวันและจันทรายังเป็นประเภทหนึ่งของฉีเหมิน และวิธีการฝึกฝนของพวกเขานั้นแปลกประสาด


มาก แม้แต่หลี่ซั่นหยวนเองก็ยังไม่รู้จัก ดังนั้นแม้เยี่ยเทียนจะสามารถเดากำเนิดของหูเสี่ยวเซียนได้ แต่ก็ไม่รู้ว่าเธอมีความ


สามารถอะไรบ้าง


“เฮ้ ฉันรู้ว่าแกคิดอะไรอยู่ หูเสี่ยวเซียนและอวี๋ชิงหย่ามีความสัมพันธ์ที่ดีมาก แกกล้าที่จะต่อกรกับเธอ อันดับแรกให้ผ่านด่านของอวี๋ชิงหย่าก่อนเถอะ” เห็นเยี่ยเทียนใคร่ครวญโดยไม่พูดอะไรนั้นสวีเจิ้นหนานคิดว่าเขากำลังคิดอะไรบางอย่าง


อยู่แน่นอน


“ไปไกลๆเลย ฉันจะคิดอะไรกับเธอเล่า? เพียงแต่ว่ามันแปลกที่ได้ยินชื่อนี้”


เยี่ยเทียนจ้องไปที่สวีเจิ้นหนานด้วยใบหน้าที่แสดงความโกรธ พวกเขาเดินไปที่หอพักหญิงอย่างครึกครื้น เพราะรถของเยี่ยเทียนก็ยังจอดอยู่ที่นั่น


หลังจากเดินผ่านทางโค้งไป ทุกคนก็เห็นว่ามีหญิงสาวคนนึงยืนอยู่ข้างรถของเยี่ยเทียน และในมือถือวัตถุยาวที่ห่อ


ด้วยผ้าสีดำ


เมื่อเดินไปถึง ก็เห็นพัคจุนฮียืนอยู่ในระยะห่างห้าหกเมตร อวี๋ชิงหย่าไปถึงก่อน และถามเป็นภาษาเกาหลีว่า “คุณมาทำไม” ก่อนหน้านี้เยี่ยเทียนยังถามเกี่ยวกับเธอ ไม่คิดว่าจะพบกันเร็วเพียงนี้ ทำให้ในใจของอวี๋ชิงหย่ารู้สึกอึดอัดเล็กน้อย


“ฉันมาหาเขา”


พัคจุนฮียิ้มอย่างสุภาพกับอวี๋ชิงหย่า และมองไปที่เยี่ยเทียน พร้อมกับก้มลงโค้งคำนับพูดว่า “ฉันต้องการฝึกฝนวิชามวยของเยี่ยเทียน และขอให้เยี่ยเทียนสอนฉันด้วย!”


 ………………..


ตอนที่ 382 อาหารขุนนาง

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ฉันจะไม่ต่อสู้กับเธอหรอก ดาบนั้นไร้ความปราณี ระหว่างเราก็ไม่มีความเกลียดชังและความแค้นกัน!”


เมื่อได้เห็นพัคจีฮุนมาพบตัวเอง เยี่ยเทียนก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว แม้ว่าเขาจะเคยมีเรื่องกับทาโร่ แต่เขาก็ไม่ได้เกลียด


ชังกับสาวเกาหลีผู้นี้


ในการประลอง มวยนั้นไม่ใช่สิ่งสำคัญ เยี่ยเทียนสามารถควบคุมความแข็งแกร่งของเขาได้ แต่ดาบและปืนนั้นไม่มีตา และเขาไม่ได้เรียนมวยจีน ที่ใช้มือเปล่าสู้มีดหรือดาบ เยี่ยเทียนไม่สามารถรับประกันว่าจะได้ชัยชนะ


หากไม่ต้องการให้ตัวเองได้รับบาดเจ็บ แน่นอนว่าเยี่ยเทียนจะต้องจู่โจมพัคจีฮุนด้วยความรวดเร็วอย่างสายฟ้า แต่นั่นคือสิ่งที่เขาไม่ต้องการจะเห็น


หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว พัคจีฮุนก็ส่ายหัวและยืนยันว่า “ไม่ ดาบของฉันจะไม่ออกจากฝัก แต่ได้โปรดให้คำแนะนำกับฉันด้วย!”


เหตุผลที่พัคจีฮุนยืนกรานอย่างมาก ก็คือเมื่อสักครู่ที่สนาม เธอรู้สึกตกใจกับสายตาของเยี่ยเทียน ทิ้งร่องรอยความกลัวไว้ในใจ ซึ่งเป็นอันตรายอย่างมากต่อการฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ในอนาคตของเธอ และจะเสียเปรียบอย่างยิ่ง


ต้องรู้ว่า พัคจีฮุนนั้นฝึกฝนเทคนิคการใช้ดาบ ที่ฝึกกันในญี่ปุ่นนั้นรู้จักกันในชื่อเคนโด้ ย้อนกลับไปในช่วงสงครามกลางเมืองของญี่ปุ่นที่ต่อเนื่องหลายปี นักฟันดาบหลายคนได้รับการแต่งตั้งให้อยู่ในตำแหน่งสูง จึงเป็นการปฏิวัติวิชาฟันดาบหลังจากนั้นก็มี นักฟันดาบที่มีชื่อเสียงหลายคนปรากฏตัวออกมา


แต่เมื่อถึงศตวรรษนี้ การต่อสู้ของเคนโด้ถูกใช้โดยทหาร  กลายเป็นเครื่องมือในการทำสงคราม จึงก่อให้เกิดสงครามโลกครั้งที่สองขึ้น และเกิด “การโจมตีที่ยาวนาน” และ “การแตกสลาย” ซึ่งเป็นสาเหตุของโศกนาฏกรรม


ด้วยเหตุนี้เอง ดาบของญี่ปุ่นในเคนโด้จึงมีความดุร้าย กระทั่งที่ว่าเมื่อดาบฟันและเคลื่อนออกไปก็จะทำให้ศัตรูนั้นแพ้โดยไม่ต้องต่อสู้ สิ่งนี้จำเป็นต้องฝึกด้วยสภาพจิตใจที่สูงมาก


แต่สายตาที่ไม่ตั้งใจของเยี่ยเทียน ได้สร้างปีศาจภายในหัวใจของพัคจีฮุน และพัคจีฮุนเองก็รู้ว่า ถ้าเธอไม่ได้ประลองการต่อสู้กับเยี่ยเทียนและหากเอาชนะเขาไม่ได้ ในอนาคตของเธอก็จะไม่มีความก้าวหน้าในศิลปะการต่อสู้


ดังนั้นพัคจีฮุนจึงให้คนไปนำเอาดาบซามูไรบนรถมา และมาท้าทายเยี่ยเทียนทันที


“ดาบที่ไม่ได้ชักออกจากฝัก จะเรียกว่าการต่อสู้ด้วยดาบได้หรือ? เธอกำลังดูถูกฉัน หรือว่ากำลังดูถูกวิชาฟันดาบที่เธอกำลังฝึก?”  ใบหน้าของเยี่ยเทียนเย็นลงและพูดต่อไปว่า  “เมื่อฉันลงมือจะเป็นการทำให้ผู้อื่นเจ็บ การประลองระหว่างเราลืมมันไปเถอะ”


แม้ว่าเยี่ยเทียนจะอยากปะลองดาบที่มีชื่อเสียงสักครั้ง แต่วันนี่อวี๋ชิงหย่าอยู่ด้วย เขาจะมีใจไปประลองกับผู้หญิงเกาหลีคนนี้ได้อย่างไร?


“ไม่ แม้ว่าจะได้รับบาดเจ็บ ก็เป็นความเต็มใจของพัคจีฮุน ขอให้เยี่ยเทียนสอนฉันด้วยเถอะ ขอร้องละ!!” เมื่อเห็นเยี่ยเทียนจะเปิดประตูรถออกมา พัคจีฮุนก็ยืนขวางอย่างดื้อรั้นอยู่ต่อหน้าเยี่ยเทียน


“คนนี้คือใครกัน?”


เพราะท่าทีของพัคจีฮุนทำให้เยี่ยเทียนทำอะไรไม่ถูกเล็กน้อย ถ้าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้านี้เป็นผู้ชาย เขาก็คงเตะให้ แต่ผู้หญิงคนนี้ทั้งก้มหัวและโค้งคำนับ เยี่ยเทียนก็ไม่สามารถลงมือได้เลยจริงๆ


“จริงสิ คนพวกนี้เอาเงินไปแล้ว จะไม่ทำอะไรไม่ได้หรอกนะ?”


เยี่ยเทียนมองไปก็เห็นคนของมาราไกย์ซึ่งอยู่ห่างออกไปยี่สิบหรือสามสิบเมตร เขาจึงตัดสินใจกวักมือเรียกมาราไกย์


นี่นับตั้งแต่ที่เยี่ยเทียนตกลงว่าจะให้พวกเขาติดตาม  และเป็นครั้งแรกที่ได้เปิดเผยพวกเขาต่อหน้าผู้คน มาราไกย์รีบเร่งด้วยความเร็วที่สุดมุ่งหน้ามา และถามด้วยความเคารพว่า “คุณเยี่ยครับ มีเรื่องอะไรครับ?”


การแสดงของเยี่ยเทียนในชมรมศิลปะการต่อสู้เมื่อสักครู่นี้ เป็นเหตุให้คนมาราไกย์และคนอื่นมั่นใจว่าเขาเป็นสาเหตุการตายของทหารรับจ้างมากกว่า 20 คน ก็เกิดความเกรงขามเยี่ยเทียนออกมาจากใจ ถลำลึกโดยไม่รู้ตัว


เยี่ยเทียนชี้ไปที่พัคจีฮุน และพูดว่า “ผู้หญิงคนนี้กำลังก่อกวนฉัน พวกคุณไล่เธอออกไป ไม่ให้ขวางการขึ้นรถของฉัน”


“ครับ คุณเยี่ย!”


บอดี้การ์ดมาราไกย์มีสติดีมาก หลังจากที่เจ้านายออกคำสั่งแล้ว เขากับอีกคนหนึ่งก็ยืนซ้ายคนขวาคนประกบพัคจีฮุนไว้ตรงกลาง


พัคจีฮุนยังไม่ทันรู้ตัวต่อสิ่งที่เกิดขึ้น เธอก็โดนชายสองคนนี้ประกบให้ออกจากรถแลนด์โรเวอร์ของเยี่ยเทียน แม้แต่ดาบซามูไรในมือของเธอก็ไม่มีโอกาสถูกดึงออกมา


 “เฮ้ พี่ชายใช้ได้เลยนะ กับงานประเภทนี้?” เยี่ยเทียนมองเห็นฉากนี้และยิ้มกว้างอย่างไม่รู้ตัว ในที่สุดเขาก็พบว่าชาวต่างชาติเหล่านี้ติดตามตัวเองก็มีประโยชน์อยู่นะ


“ไป รีบขึ้นรถเถอะ”


เยี่ยเทียนเปิดประตูที่นั่งคนขับและนั่ง หลังจากอวี๋ชิงหย่าขึ้นรถแล้ว เยี่ยทียนออกรถและเหยียบคันเร่ง ทิ้งพัคจีฮุนไว้กับมาราไกย์ไว้ข้างหลัง


“เยี่ยเทียน นาย … โปรดยอมรับการท้าทายของฉันด้วย!” พัคจีฮุนรู้สึกตะลึงกับการกระทำของเยี่ยเทียน เมื่อรู้ตัว รถของเยี่ยเทียนก็ขับหายไปแล้ว



หลังจากขับรถออกจากสวนหวาชิง ผู้คนในรถเริ่มไหวตัวตอบโต้  สวีเจิ้นหนาน มองเพื่อนร่วมชั้นคนนี้ที่นอนหอพักกับเขามาครึ่งปี แล้วถามว่า “ฉันว่านะเยี่ยเทียน นายมีความลับมากแค่ไหนกันเนี่ย ?”


            “ฉันมีความลับอะไรเหรอ?” เยี่ยเทียนเรียกร้องความอยุติธรรม “พี่ใหญ่ พวกเราแก้ผ้าต่อหน้ากันก็ผ่านมาแล้ว ในวันนั้นฉันถูหลังให้พี่ พี่ก็เห็นแล้วไม่ใช่หรือ?”


เมื่อฟังเสียงอู้อี้ของเยี่ยเทียน หลายคนในรถมีก็อาการขนลุก เว่ยหรงหรงก็บิดมือของเธอบนหูของสวีเจิ้นหนาน และเริ่มบังคับให้สารภาพ


อวี๋ชิงหย่าเองก็จิกเยี่ยเทียนไปหนึ่งที และพูดด้วยความโกรธว่า “ขยะแขยง ให้มันน้อยหน่อย”


แต่หูเสี่ยวเซียนที่นั่งอยู่แถวหลังไม่สนใจ ตบไหล่ของเยี่ยเทียน และตะโกนว่า “เยี่ยเทียน หล่อมาก แม้แต่ชาวต่างชาติก็ฟังคำสั่งของคุณ”


ไม่ต้องพูดถึงหูเสี่ยวเซียน แม้แต่อวี๋ชิงหย่าก็ยังไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับบอดี้การ์ดเหล่านั้นและก็ถามว่า “เยี่ยเทียนชาวต่างชาติพวกนั้นทำอะไรกัน?”


“เอ่อ เพื่อนของฉันเอง จะบอกกับเธอภายหลังนะ”


ตอนเยี่ยเทียนอยู่ไต้หวัน คนที่บ้านก็ไม่รู้เรื่องนี้ และทุกอย่างมันก็ผ่านไปแล้ว เยี่ยเทียนไม่ต้องการที่จะนึกขึ้นอีก จึงได้เปลี่ยนการสนทนา และพูดว่า “ทุกคน อยากกินอะไรกัน? ฉันเป็นคนจนนะ หรือไม่ก็กินเต้าหู้คนละหนึ่งชามละกันนะ! “


“คิดได้สวยนะ ไปร้านอาหาร “ชวนจวี้เต๋อ” เลย ไม่เพียงอาหารอร่อย ราคาก็แพงที่สุดด้วย!”


“ใช่แล้ว ขับรถคันนี้แล้ว ยังคงกล้าพูดว่าเป็นคนจน ล้อเลียนคนรวยเหรอ!”


“ไม่ได้ “ชวนจวี้เต๋อ” ถูกเกินไป ไปที่ร้าน “จิ่งเช็ง” ต้นตำรับอาหาร “ถานเจีย” ฉันต้องการกินหอยเป๋าฮื้อกับหูฉลาม!”


คำพูดของเยี่ยเเทียนทำให้เกิดสงครามในรถ สวีเจิ้นหนานตะโกนว่าอยากกินหอยเป๋าฮื้อกับหูฉลาม และได้รับการตอบรับอย่างเป็นเอกฉันท์จากหญิงสาวทั้งหลายเพราะอาหารนี้สามารถช่วยบำรุงความงามได้


 “พี่ใหญ่ พี่นี่ร้ายกาจมากนะ นี่จะฆ่าฉันเลยใช่มั้ย? ” เยี่ยเทียนเปล่งเสียงร้องที่น่าสงสารออกมา แม้ว่าเขาจะไม่เคย กินอาหารต้นตำรับถานเจีย เขาก็ได้ยินชื่อเสียงของอาหารต้นตำนี้


อาหารต้นตำรับถานเจียเป็นหนึ่งในอาหารขุนนางที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในประเทศจีน อาหารต้นตำรับถานเจียเป็น


เมนูอาหารในงานฉลองของครอบครัวข้าราชการถานจงในช่วงปลายราชวงศ์ชิง เพราะว่าเขาเป็นปั๋งเหยี่ยนของถงจื้อปีที่สอง และเป็นที่รู้จักกันในนาม “อาหารปั๋งเหยี่ยน” นอกจากนี้ยังเป็นร้านอาหารตำรับขุนนางในปักกิ่งร้านเดียวที่รักษาและสืบทอดต่อมา


       เมื่อครั้งก่อนที่เยี่ยเทียนและเว่ยหงจวินพูดคุยกัน มักจะได้ยินว่าเขาเชิญเจ้าหน้าที่ให้ไปทานอาหารต้นตำรับถานเจียถ้ากินหนึ่งมื้อจ่ายเป็นหมื่นถือว่าเป็นเรื่องปกติ


“ใครใช้ให้แกซ่อนความลับมากมายเล่า? หรือไม่ก็บอกเราเกี่ยวกับมันเถอะ? พวกเราหาร้านอาหารเล็ก ๆนั่งคุยกันก็ได้นะ”


สวีเจิ้นหนานหัวเราะเมื่อเขาได้ยินคำพูดเขา เขาและเว่ยหรงหรงเคยไปกินที่ อาหารต้นตำรับถานเจีย มื้อเดียวพวกเขาทั้งสองกินแล้วจ่ายไปมากกว่า 7,000 หยวน แต่คราวนี้มันเพียงพอที่จะฆ่าเยี่ยเทียน


“ได้ ไปก็ได้?”


“เยี่ยเทียนยิ้มอย่างขมขื่น แม้ว่าในสองปีที่ผ่านมาเขาจะทำงานได้เงิน แต่เขาก็ยากจนตั้งแต่เขายังเป็นเด็ก ยกเว้นว่าคน


อื่นเลี้ยง เขายังไม่เคยใช้เงินหลักหมื่นเพื่อกินอาหารหนึ่งโต๊ะ


แต่ในวันนี้เพื่อเป็นหน้าเป็นตาให้ภรรยา เยี่ยเทียนไม่สามารถที่จะตระหนี่ หลังจากเข้ามาที่ประตูร้านอาหาร เขาจอดรถให้ทุกคนลงรถ แล้วเยี่ยเทียนจึงนำรถไปจอดที่ลานจอดรถ ในปีนี้มีการบริการรับจอดรถในเมืองปักกิ่งน้อยมาก


“บรรยากาศในสถานที่นี้ค่อนข้างดีเลย?” ทันทีที่เขาออกมาจากลิฟต์บนชั้นเจ็ด เสียงกู่เจินก็แว่วเข้าหูของเยี่ยเทียน ไม่มีเสียงรบกวนและดังอย่างร้านอาหารทั่วไป


“เกิดอะไรขึ้น? หาที่นั่งสิ? รอฉันทำไมกัน?”


หลังจากเข้ามาแล้ว เยี่ยเทียนก็ตกใจเล็กน้อย เมื่อเห็นสวีเจิ้นหนานกับพรรคพวกพากันยืนอยู่ข้างที่จ่ายเงิน ไม่รู้ว่าพวกเขารอตัวเองอยุ่หรือไม่?


“เยี่ยเทียน ไม่มีที่นั่งแล้ว”


เว่ยหรงหรงจ้องมองสวีเจิ้นหนานอย่างไม่พอใจ แล้วพูดว่า “นายไม่ใช่ไม่รู้ว่า มากินข้าวนายต้องจองที่นั่ง แล้วตอนนี้จะทำอย่างไรล่ะ?”


“ฉันจำได้ที่ไหนเล่า?”


     แม้ว่าฐานะทางบ้านของสวีเจิ้นหนานจะไม่ยากจน  แต่สำหรับนักศึกษาคนหนึ่งกับการกิน จะเลือกได้มากน้อยเท่าไหร่กัน?  โดยปกติแล้วก็กินอยู่แถวบริเวณมหาลัย ร้านทั่วไปก็สามารถนั่งกินแล้วดื่มเบียร์ได้แล้ว


ร้านอาหารต้นตำรับถานเจียนี้สวีเจิ้นหนานก็เคยมาเพียงแค่ครั้งเดียว จะจำได้อย่างไรว่าจะต้องสำรองที่นั่งเพื่อมาทานอาหาร?


เมื่อเห็นว่าสวีเจิ้นหนานและแฟนของเขากำลังจะต่อสู้กัน เยี่ยเทียนกล่าวอย่างรวดเร็วว่า “พอได้แล้ว จะทะเลาะกันทำไมเราสามารถเปลี่ยนไปร้านอื่นได้นี่”


เมื่อขณะที่เยี่ยเทียนและคนอื่น ๆ กำลังจะจากไป มีพนักงานเสิร์ฟมา และพูดว่า “สุภาพบุรุษและสุภาพสตรี มีแขกในห้องส่วนตัวได้ยกเลิกการจองอย่างกะทันหัน ไม่ทราบว่าพวกคุณต้องการหรือไม่?”


 “ อ้า ฉันจะออกไปแล้ว กลับมีห้องส่วนตัวมาอีก วันนี้ก่อนออกมาไม่ได้เช็คดวง ดูเหมือนว่าจะเสียทรัพย์แล้วสินะ?”


หน้าตาที่ยิ้มอย่างขมขื่นของเยี่ยเทียน เป็นเหตุให้พนักงานก็หัวเราะตาม แต่กลุ่มคนในช่วงในปี 98 มาทานอาหารที่นี่ได้นั้น ไม่ใช่คนธรรมดา พนักงานยิ้มอย่างสุภาพและพาทุกคนไปที่ห้องส่วนตัว


เว่ยหรงหรงที่เดินตามหลังมา กระซิบว่า “จริง ๆ แล้วพวกเขามีห้องส่วนตัวที่สงวนไว้จำนวนมาก ซึ่งสงวนไว้สำหรับผู้ที่เป็นเจ้าหน้าที่ นอกจากนี้ยังมีห้องวีไอพีบนชั้นแปด ได้ยินมาว่าพวกเขาเตรียมพร้อมสำหรับเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่กว่า!”


เยี่ยเทียนเมื่อได้ยินแล้วก็ส่ายหัวของเขา เแม้ว่าคนร่ำรวยจะมากขึ้นเรื่อยๆ ชนชั้นทางสังคมก็ค่อยๆแยกออกจากกัน เช่นเดียวกันสโมสรของซ่งอิงหลันรวมถึงอาหารต้นตำรับถานเจียแห่งนี้มันค่อยๆกลายเป็นสถานที่ที่บางคนแสดงความมั่งคั่งและอำนาจของพวกเขา


อย่างไรก็ตามสังคมมนุษย์เป็นเช่นนี้มาตลอด โครงสร้างปีรามิดจะไม่เปลี่ยนแปลง เยี่ยเทียนเป็นผู้ที่ไม่มีความสามารถนี้ สิ่งที่เขาทำได้คือปกป้องครอบครัวของเขาจากการถูกกลั่นแกล้ง


“เสี่ยวหลี่ รอก่อน … “


ขณะที่เยี่ยเทียนและคนอื่นๆ กำลังเดินไปที่ประตูห้อง ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งในชุดสูทกระโปรงสีดำรีบวิ่งเข้ามา


“ผู้จัดการมีอะไรเหรอ?” พนักงานหญิงมองด้วยความไม่รู้


ผู้จัดการหญิงมองเยี่ยเทียนและคนอื่น ๆด้วยสีหน้าขอโทษ และพูดว่า “ท่านสุภาพบุรุษและสุภาพสตรีทั้งหลาย ขอโทษจริง ๆ ห้องส่วนตัวนี้ถูกจองแล้ว เป็นความผิดพลาดของทางเรา ขณะนี้แขกมาที่นี่แล้ว!”


…………..


ตอนที่ 383 ตบเสียงดัง

โดย

Ink Stone_Fantasy

เยี่ยเทียนได้ยินจึงยืนนิ่ง ตาจ้องมองไปที่ผู้จัดการคนนั้น ถามว่า “เมื่อครู่ไม่ได้พูดเหรอครับว่าลูกค้าที่จองไว้ได้ยกเลิก


ไปแล้ว? นี่มันเรื่องอะไรกันครับ?”


เยี่ยเทียนมีความรู้สึกโดยตรงว่า ลูกค้าที่จองห้องส่วนตัวห้องนี้น่าจะทำเรื่องยกเลิกไปแล้ว เพียงแต่ว่าผู้จัดการที่อยู่ตรงหน้าคนนี้ ที่ทำเป็นเห็นอกเห็นใจ กำลังจะส่งมอบห้องไปให้คนอื่นแล้ว


“ขอโทษทุกคนด้วยค่ะ มันเป็นความผิดพลาดในการทำงานของพวกเราเอง ที่สร้างความไม่สะดวกให้กับพวกคุณ”


ผู้จัดการสาวคนนั้นกำลังพูดอยู่ หยิบคูปองไม่กี่ใบออกจากกระเป๋าเสื้อผ้า พูดว่า“นี่คือคูปองส่วนลดจากทางร้านอาหารของพวกเรา เพียงนำคูปองมาแสดงสามารถรับสิทธิพิเศษลด 20 เปอร์เซ็น ถือว่าเป็นการขอโทษพวกคุณจากทางร้านของเราด้วยค่ะ ”


เยี่ยเทียนเดาไว้ไม่มีผิด ห้องส่วนตัวห้องนั้นถูกคนยกเลิกไปเรียบร้อย แต่เมื่อสักครู่นี้เองมีลูกค้าประจำท่านหนึ่งโทรศัพท์เข้ามาบอกว่าอยากได้ห้องส่วนตัว และกำลังจะมาถึงแล้ว


ใครจะไปคิดว่าร้านอาหารที่คนไม่เยอะตอนแรก วันนี้กลับเต็มจนล้น ดังนั้นผู้จัดการคนนี้จึงได้แก้ปัญหาโดยมาลงที่กลุ่มหนุ่สาวอย่างเยี่ยเทียน


เยี่ยเทียนส่ายหัวไปมา พูดว่า “เรื่องเงินสำหรับฉันไม่มีปัญหาหรอกก แต่วิธีการบริการของร้านอาหารต้นตำรับขุนนางที่แพงขนาดนี้ ต้องเลือกคนที่จะเข้ามาทานด้วยหรือ ”


“เออ ขอประทานโทษจริงๆค่ะ” ผู้จัดการสาวคนนั้นถูกพูดแทงใจจนทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน


“ไปเถอะ มากินข้าวที่แบบนี้ สูญเสียตัวตนไปอย่างไม่มีสาเหตุ ไม่มีที่มาที่ไป”


เยี่ยเทียนไม่ได้ยื่นมือไปรับคูปองส่วนลดที่ผู้จัดการคนนั้นยื่นมาให้ หันหลังและเดินออกไปทันที อวี๋ชิงหย่าและคนอื่นก็รู้สึกโกรธอยู่ในใจเหมือนกัน และเดินตามหลังเยี่ยเทียนออกไป


“เห้ พวกนาย ไม่ได้มาปักกิ่งสิบกว่าปีแล้วมั้ง?”


“เหล่าม่อ? คุณหมายถึงร้านอาหารในมอสโคว? ชิ นั่นมันเรื่องของปีไหนกันแล้ว ”


“ตอนนี้ร้านอาหารที่ดีที่สุดก็คือร้านอาหารต้นตำรับขุนนางของร้านปักกิ่งเนี่ยแหละ ผมจะบอกพวกนายนะ ถ้าเป็นเมื่อก่อนของในนี้มีแต่ฮ่องเต้เท่านั้นถึงจะได้กิน”


เยี่ยเทียนและคนอื่นๆตอนที่จะเดินออกไปข้างนอก มีเสียงคุยและเสียงหัวเราะของผู้ชายหลายคนดังเข้ามาประจันหน้า และเสียงดังมากๆ เสียงของกู่เจิงที่เหมือนดั่งสายน้ำที่ไหลจากภูเขาสูงยังถูกกลบไปเลย


“ที่นี่คือชั้นเจ็ด จะพูดให้ฟัง ชั้นแปดนั่นคือ……มาเพื่อกิน พวกเรายังไม่เคยขึ้นไปเลย”


“ห้องส่วนตัวจองยาก? จองยากแน่นอนแหละ แต่พวกเราคือใคร? ปักกิ่งถิ่นชาววังนี้มีร้านไหนไม่ให้เกียรติหน้าฉันบ้าง?”


เสียงพูดคุยพร้อมกับคนกลุ่มหนึ่งเดินประจันหน้ากับกลุ่มเยี่ยเทียน เยี่ยเทียนที่เดินอยู่ข้างหน้าสุดสบตากับหัวหน้าของฝั่งนั้น ทั้งสองคนจึงหยุดก้าวขา


“คุณเอง? เหอะเหอะ ภูเขาไม่หมุนน้ำหมุน พวกเราเจอกันจนได้สินะ?” ฝั่งตรงข้ามมองเห็นหน้าเยี่ยเทียนอย่างชัดเจน ใบหน้าแสดงรอยยิ้มออกมาในทันใด เพียงแต่ว่ารอยยิ้มนั้นแอบแฝงไปด้วยความร้ายกาจ


“จะเอายังไง จะเล่นปืนเหรอ? ระวังพลาดโดนตัวเองนะ?”


พอเห็นคนๆนี้ ใบหน้าของเยี่ยเทียนก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มเช่นกัน ถ้าหากไม่ฟังบทสนทนาของพวกเขาแล้วดูแค่สีหน้าละก็ อาจจะคิดว่าความสัมพันธ์นี้คล้ายกับคนรู้จักกัน


ที่จริงแล้วคนที่มาคนนี้ไม่สามารถนับได้ว่าเป็นคนรู้จักของเยี่ยเทียนหรอก ดังนั้นความสัมพันธ์ที่ไม่เลวก็ไม่น่าจะใช่ รถแลนด์โรเวอร์ที่จอดอยู่ในลานจอดรถ ก็เป็นเพราะบุญของคนนี้ถึงซื้อมาได้นั่นเอง


“ไอ้หนุ่ม พูดอะไรอย่างั้น?”


ได้ยินเยี่ยเทียนพูดถึงเรื่องปืน หวงซือจื้อนึกถึงวันที่ได้รับความอัปยศที่ร้าน 4S ในทันใด เขาก็มีนิสัยของคนเกิดปีหมา พอแตกหักกันไปข้างนึงก็แตกหักทันทีจริงๆ


เยี่ยเทียนขี้เกียจพูดกับคนไร้สาระพวกนี้ จึงได้ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว พูดว่า “หมาที่ดีจะไม่บังทาง หลบๆ”


“ไอ้นี่ ด่าใครหะ?” คำพูดของเยี่ยเทียนพูดออกไปปุ๊ป คนหลายคนที่อยู่ข้างๆ หวงซือจื้อก็ตอบโต้ออกมา


“ใครโต้ตอบกลับมาก็ด่าคนนั้น!”


ตอนแรกเยี่ยเทียนต้องการจัดการหวงซือจื้อคนเดียวเท่านั้น แต่พวกนั้นจะหาเรื่องให้ได้ เยี่ยเทียนจึงเลยตามเลยรับไว้  ตอนแรกเขากำลังโมโหเรื่องห้องส่วนตัวอยู่พอดี อยากจะหาคนมาระบายซะหน่อย


“เห้ พี่หวง ปักกิ่งถิ่นชาววังยังมีคนกล้าต่อปากกับพี่อีกเหรอ?”


ห้าคนที่ยืนอยู่ข้างหลังหวงซือจื้อ อายุแต่ละคนราวๆสามสิบ ทุกคนมีร่างกายตั้งตรง สายตาแหลมคม มีอยู่สองคนยิ่งกว่า หักคอไปมาอย่างช้าๆ สายตากำลังเปล่งแสงความตื่นเต้นออกมา


“เป็นทหาร?”


มองแว๊บเดียวเยี่ยเทียนก็รู้สถานะของคนพวกนี้แล้ว แต่ถ้าเป็นทหารจะทำตัวกร่างได้ขนาดนี้เชียวหรือ แม้แต่หวงซือ


จื้อเองก็ประมาณนั้นเช่นกัน น่าจะเป็นพวกที่เติบโตมาในค่ายทหารใหญ่แหละมั้ง?


มองเห็นเยี่ยเทียนทำตาเหล่ อวี๋ชิงหย่ารีบดึงเขาเอาไว้ พูดว่า “เยี่ยเทียน ช่างมันเถอะ พวกเราไปหาที่กินข้าวกันดีกว่าไม่ต้องไปอะไรกับพวกเขาหรอก”


อวี๋ชิงหย่าที่เติบโตมาพร้อมกับเยี่ยเทียน รู้นิสัยของเยี่ยเทียนเป็นอย่างดี เขาแค่เหล่ตาครู่เดียว นั่นหมายความว่าเขาลังจะเอาจริงแล้ว


เพียงแต่ว่าตอนเด็กๆเยี่ยเทียนจะฉลาดแกมโกง ตอนที่เขาอยู่ที่โรงเรียนแล้วมีเรื่องกับเพื่อนร่วมห้อง เขาจะไม่ทำอะไรทันที แต่จะดักรอที่ทางกลับบ้านของฝั่งตรงข้าม และจัดการตีพวกเขาจนหน้าบวมจมูกเขียว


เนื่องจากเรื่องราวไม่ได้เกิดขึ้นภายในโรงเรียน นักเรียนเหล่านั้นจึงไม่สามารถรายงานกับคุณครู ทำได้เพียงกลับไปฟ้องกับพ่อแม่ที่บ้านแทน


แต่เยี่ยตงผิงก็เป็นคนที่มีนิสัยถือหางเด็ก อยู่ต่อหน้าจะขอโทษ แต่ลับหลังกลับชื่นชมว่าเยี่ยเทียนทำได้ดีมาก ดังนั้นไปๆมาๆ แม้แต่เด็กนักเรียนระดับชั้นที่สูงกว่าก็ไม่กล้าหาเรื่องเยี่ยเทียนอีกเลย


แต่ด้วยอายุที่เพิ่มขึ้น ตอนนี้อวี๋ชิงหย่าก็มองตัวตนของเยี่ยเทียนไม่ออกแล้ว เพียงแต่รู้สึกว่าครั้งนี้ถ้าเขาโมโหขึ้นมา ในใจของเธอจะรู้สึกขนลุกขึ้น จึงได้รีบคว้าเขาเอาไว้


“อ้าว คนนี้ใช่คุณผู้หญิงวันนั้นหรือเปล่า?”


อวี๋ชิงหย่าแค่เอ่ยปากพูด หวงซือจื้อมองเห็นเธอทันที หยอกล้อเธอว่า “คุณผู้หญิงท่านนี้ ไม่มีห้องส่วนตัวให้นั่งทานข้าวใช่ไหม? ผมว่านะ อย่าอยู่กับคนนี้เลย ผมจองห้องส่วนตัวไว้แล้ว เราไปกินด้วยกันดีกว่าดีไหม?”


หวงซือจื้อเป็นคนที่นิสัย เวลาเจอผู้หญิงจะไม่สามารถเดินต่อไปได้แบบนั้น มิฉะนั้นครั้งก่อนก็คงไม่ถึงกับต้องมีเรื่องกับเยี่ยเทียนหรอก เวลานี้เห็นผู้หญิงสวยๆ ที่หาได้ยากตามหลังเยี่ยเทียนอยู่หลายคน นิสัยเดิมๆก็เผยออกมาทันทีทันใด


“ไปไกลๆ วันนี้อารมณ์ไม่ดี ถ้าพูดอีกจัดการแกแน่!” เห็นหวงซือจื้อพูดจาหยอกล้ออวี๋ชิงหย่า สีหน้าของเยี่ยเทียนเปลี่ยนทันที


“พี่หวง คนนี้เป็นใคร พูดจากร่างดีนัก?” เห็นเยี่ยเทียนเปิดปากพูดเอะอะจะตี คนที่อยู่ข้างหลังหวงซือจื้อก็เริ่มสงสัยขึ้นมา


เยี่ยเทียนเดาไว้ไม่มีผิด คนพวกนี้เติบโตมาจากค่ายทหารใหญ่พร้อมกับหวงซือจื้อทั้งนั้น และที่สำคัญรุ่นคุณปู่ของพวกเขาล้วนเป็นลูกน้องของคุณปู่ของหวงซือจื้อ


เพียงแต่ว่าคนพวกนี้ได้เป็นทหารในภายหลัง ออกจากเมืองหลวงตามพ่อแม่ รุ่นพ่อของพวกเขาตอนนี้อย่างน้อยก็น่าจะเป็นพลตรีแล้ว และมีอำนาจอย่างแท้จริงในพื้นที่ทางทหารที่ประจำการอยู่


คนพวกนี้กลับมาปักกิ่งในครั้งนี้กลับมาเยี่ยมคนแก่ และบังเอิญเจอกับหวงซือจื้อ ถึงแม้รุ่นพ่อของพวกเขาจะมีชีวิตดีกว่าพ่อของหวงซือจื้อก็ตาม แต่อย่างไรแล้วก็ยังมีความสัมพันธ์รุ่นคุณปู่อยู่ ดังนั้นจึงยังมีความเคารพต่อหวงซือจื้ออยู่เรื่อยมา


แน่นอน คนพวกนี้ไม่ใช่คนโง่ ที่นี่คือปักกิ่งถิ่นชาววัง ถ้าอิฐก้อนเดียวหลุดละก็สามารถทุบเจ้าหน้าที่ราชการระดับล่างได้ถึง 7-8 ที่เลยทีเดียว เหมือนกับที่ยังมีคนอื่นอีกมากมายที่พวกเขาไม่สามารถมีเรื่องด้วย พอเห็นเยี่ยเทียนกร่างขนาดนี้ คนพวกนั้นก็กระซิบกันในใจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้


“คนนี้ชื่อเยี่ยเทียน พวกนาย ฉันไม่โทษพวกคุณหรอก เขากับหงจวินมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน!””


หวงซือจื้อรู้ดีว่าคนพวกนี้ถึงแม้จะใช้ชีวิตอยู่ในค่ายทหาร แต่เนื่องจากประวัติครอบครัวทำให้ไม่มีใครเป็นไฟที่ไม่ประหยัดน้ำมันเลย ถ้าหากวันนี้ตนเองไม่พูดออกมาให้ชัดเจน ในภายภาคหน้าจะขุ่นเคืองกับคนพวกนี้แน่นอน


นี่ก็เป็นกฎของวงการลูกผู้ลากมากดีของเมืองหลวง ถ้าหากคิดคดกับคนกันเอง ในภายภาคหน้าก็อย่างหวังว่าจะมีคนใกล้ตัวคอยช่วยเหลืออีก ถึงแม้หวงซือจื้ออยากสั่งสอนเยี่ยเทียนโดยยืมกำลังของพวกนี้ แต่เขาก็อยากพูดออกมาให้เคลียร์ก่อน


“หงจวิน? คือหงจวินหรือนี่? เห้ พี่หวงฉันว่า คนกันเองไม่ใช่เหรอ?”


ได้ยินคำพูดของหวงซือจื้อแล้ว สีหน้าของคนพวกนั้นก็เปลี่ยนไปทั้งหมด เพราะว่าทุกวันนี้พ่อของหงจวินเป็นกลุ่มคนหนุ่มสาวเลือดใหม่ที่กำลังเป็นที่สนใจในค่ายทหาร ตำแหน่งหน้าที่สูงกว่าพ่อแม่ของพวกเขาเยอะมาก และแน่นอนการเปลี่ยน


คณะกรรมธิการทหารในครั้งนี้พ่อหงจวินได้เข้าไปอย่างแน่นอน


เมื่อเทียบกับตระกูลหวงที่กำลังจะถดถอยดั่งพระอาทิตย์ตกดิน คนพวกนี้รู้ดีว่าจะต้องทำยังไง ถึงแม้ว่าจะไม่ถึงขั้นจะไปสร้างความสัมพันธ์กันแบบเพื่อนกับเยี่ยเทียน แต่ก็มีคนช่วยพูดให้สถานการณ์เบาลง


“หงจวินมีอำนาจสูง พวกเราเทียบไม่ได้หรอก”


ได้ยินคนข้างกายเอ่ยถึงหงจวิน ทันใดนั้นหวงซือจื้อนึกถึงเรื่องที่ไอ้หนุ่มนี่เป็นสาเหตุ ทำให้เขากับหงจวินตัดขาดกัน จึงโมโหขึ้นมาทีเดียว ชี้ไปที่เยี่ยเทียนพูดว่า “เขาก็เป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง ก็แค่มีเงินหน่อยแค่นั้น พวกนาย ฉันพูดไว้ตรงนี้เลยนะ มีฉันต้องไม่มีเขา มีเขาต้องไม่มีฉัน พวกนายจะช่วยใคร?”


“ปากมากจริงๆนะนาย!”


กลุ่มเยี่ยเทียนถูกบล็อกไว้ตรงทางเดินห้องส่วนตัวกับทางออกห้องโถงพอดี ทะเลาะเสียงดังจนคนมากมายที่กำลังกินข้าวอยู่ที่ห้องโถงใหญ่ก็หันมาสนใจพวกเขาแทน เยี่ยเทียนสัมผัสได้ถึงสายตาจากทั้งสี่ทิศที่กำลังมองมา ในใจก็อดทนต่อไปไม่


ไหวแล้วเหมือนกัน


“ไอ้เวรนี่ แกกล้าด่าฉันเเหรอ?”


หวงซือจื้อทำตัวกร่างจนเป็นนิสัยแล้วในแถวปักกิ่งถิ่นชาววัง พอได้ยินเยี่ยเทียนด่าออกมา ใบหน้าของเขาก็ไม่สามารถทนต่อไปได้อีก จึงก้าวไปตบหน้าของเยี่ยเทียนหนึ่งที


แต่หลังจากที่ตบออกไปแล้ว ทันใดนั้นหวงซือจื้อก็นึกถึงความสามารถของเยี่ยเทียน ในใจก็ร้องคำว่าแย่แล้ว แต่กลับ


ได้ยินเสียง “เพียะ” ที่แหลมคมแทน หวงซือจื้อรู้สีกแค่ว่าหัวหมุน ทั้งตัวหมุนอยู่ที่พื้นจุดเดิมไปสองรอบ จากนั้น “ฟุบ” นั่งลงกับ


พื้นไปทั้งก้น


เสียงดั่งสนั่นหูของเยี่ยเทียนนี้ ชัดเจนมากที่สุดจนคนที่กินข้าวอยู่ตามมุมต่างๆของร้านอาหารที่ใหญ่มากยังได้ยิน คนที่อยู่ข้างหลังหวงซือจื้อทั้งหมดก็อึ้งตามกัน


ตบบ้องหูใครๆก็ทำเป็น แต่การตบจนหมุนอยู่กับที่อย่างเยี่ยเทียนแบบนี้ ยังไม่เคยมีใครเห็นมาก่อน ไม่เพียงแต่ความแรงของมือต้องมีเยอะมาก และยังต้องมีฝีมืออีกด้วย มิฉะนั้นก็อาจจะตบจนคนลอยออกไปเลยก็ได้


“พู่…….”


ถูกเยี่ยเทียนตบจนหัวหมุนเปลี่ยนทิศ หวงซือจื้อถึงขั้นกระอักเลือดออกมา เลือดที่พุ่งออกมามีฟันหลุดออกมาด้วยสองซี่ ยิ่งกว่านั้นคือกรามที่บวมขึ้นมาอย่างรวดเร็ว


“ฉันว่านะ คนในวงการเดียวกัน ทำไมนายต้องลงมือรุนแรงขนาดนี้เชียวหรือ?”


วิธีการจัดการของเยี่ยเทียน ทำให้พวกที่ติดตามหวงซือจื้อไม่กล้าหาเรื่องอีกเลย เมื่อกี้หวงซือจื้อเองก็พูดจนชัดเจนแล้ว ถ้าพวกเขายังทำเหมือนไม่เข้าใจอีก ก็คงไม่มีหน้าอยู่ในวงการนี้อีกต่อไป


“จะเอายังไง จะช่วยเขา?” ครั้งนี้เยี่ยเทียนโมโหจริงๆ ใช้ตาเหล่มองดูตัวของพวกนั้น


“บ้าเอ้ย ไอ้นี่มันทำอะไร?” ถูกเยี่ยเทียนจ้องมองเท่านั้น พวกนั้นรู้สึกหนังหัวชาเป็นพักๆในทันทีทันใด อดไม่ได้ที่จะก้าวถอยหลังไป


…………


ตอนที่ 384 ล้มละลาย

โดย

Ink Stone_Fantasy

พวกที่ติดตามหวงซือจื้อ มั่วกันอยู่ในค่ายทหารตั้งแต่รุ่นปู่แล้ว ตอนที่ปลดแอกสงครามต่อต้านญี่ปุ่นฆ่าคนไปเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ ตราประดับความดีความชอบล้วนถูกย้อมสีแดงด้วยเลือดสดของศัตรู


ถึงแม้นายพลแก่เหล่านี้ ในตอนนี้จะแก่ตัวลงกันหมดแล้ว แต่พลังพายุเสือแก่ยังคงอยู่ แรงอาฆาตที่ก่อตัวขึ้นจากกองศพดั่งภูเขา เลือดเยอะดั่งน้ำทะเล ก็ยังสามารถทำให้ไอ้เด็กเกเรพวกนี้กลัวจนขนลุกได้เหมือนกัน


แต่เมื่อสักครู่ตอนที่เยี่ยเทียนกวาดสายตาไปที่พวกเขา ภายในใจของคนเหล่านี้ขนลุกขึ้นมาพร้อมกัน เหมือนกับตอนที่ถูกคนแก่ในบ้านจ้องมองอย่างนั้นเลย รู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก


จนถึงเวลานี้ หวงซือจื้อที่ถูกเยี่ยเทียนตบบ้องหูจนสลบสมองบวมเพิ่งจะรู้สึกตัว คลานไปหลบอยู่ข้างหลังคนพวกนั้นคำรามอย่างหมาป่า “แม่งเอ้ย กล้าตีฉัน พี่น้อง จัดการพวกมันสิ!”


“ถ้าร้องอีก ฉันจะตบหูอีก จากนั้นก็ดึงฟันหน้าของแกมาอีกสักสองซี่ เชื่อไหม?”


เยี่ยเทียนจ้อง ถึงแม้เสียงจะไม่ค่อยดัง แต่ก็ทำให้หวงซือจื้อตกใจจนรีบปิดปากในทันที ล้ออะไรเล่นกันเล่า ฟันด้านข้างที่ถูกตีจนหลุดไปไม่กระทบต่อการพูดเลย แต่ถ้าฟันหน้าก็หลุดไปด้วย การหายใจก็คงเป็นเหมือนการระบายอากาศไปด้วย


เมื่อเห็นหวงซือจื้อถูกเยี่ยเทียนรังแกจนเป็นสภาพนี้ มีอยู่หนึ่งคนพูดอย่างเกร็งต่อว่า “น้องคนนี้ การฆ่าคนก็แค่หัวแตะพื้น คนในวงการด้วยกัน ไม่ต้องทำรุนแรงขนาดนี้หรอกมั้ง?”


“วงของฉันกับพวกนายไม่มีความเกี่ยวข้องกัน และฉันไม่ใช่คนในวงเดียวกับพวกนายด้วย เขาเริ่มตีฉันก่อน ฉันก็แค่ป้องกันตัวเท่านั้นเอง ถ้าพวกนายอยากจะหาสนาม ฉันขอรับไว้เลย!”


ถึงแม้จะตบหูของหวงซือจื้อไปหนึ่งที แต่ไฟที่อยู่ในใจของเยี่ยเทียนยังไม่คลายลง เขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าคนพวกนี้จะเริ่มก่อนด้วยซ้ำ ถึงเวลานั้นจะตบเป็นรางวัลให้เป็นรายคน ส่วนตัวเองก็ไปกินข้าวอย่างสบายใจ


“ได้ แน่มาก เยี่ยเทียน ตบเป็นรายคนอีก!”


เยี่ยเทียนเพิ่งพูดจบ คำว่า ”ได้” ก็ดังจากด้านหลัง หันกันกลับไปมอง เป็นหูเสี่ยวเซียนที่กำลังง้างฝ่ามืออยู่ เหมือนท่าทางที่กลัวว่าโลกจะไม่วุ่นวาย


หลังจากได้ยินคำพูดของหูเสี่ยวเซียนแล้ว พวกที่เผชิญหน้าอยู่กับเยี่ยเทียนก็รีบถอยหลังไปอีกหลายก้าว กลัวว่าเยี่ยเทียนจะฟังคำของผู้หญิงคนนั้นและตบบ้องหูของตนเองจริงๆ ถ้าพูดถึงความเร็วเมื่อสักครู่ของเยี่ยเทียนแล้ว เกรงว่าพวกเขาน่าจะหลบไม่ทันอย่างแน่นอน


ขณะที่ทั้งสองฝ่ายกำลังยืนกรานอยู่นั้น หวงซือจื้อที่หลบอยู่ข้างหลังคนพวกนั้นก็ลุกขึ้นมาทันที พูดว่า “พวกเราไป


เยี่ยเทียน วันนี้ฉันยอมนาย!”


สุภาษิตกล่าวไว้ว่าคนพาลกลัวคนบุ่มบ่าม คนบุ่มบ่ามกลัวคนไม่เสียดายชีวิต ในปักกิ่งถิ่นชาววัง หวงซือจื้อสามารถเดินอย่างแนวนอนได้ แต่เขาดันเจอกับเยี่ยเทียนที่เขาเองก็ไม่คิดว่าจะทำอะไรได้ง่าย ๆเหมือนผัดข้างซักจาน แต่ดันมุทะลุเข้าไปตบเยี่ยเทียนก่อน


ดังนั้นหวงซือจื้อเป็นอันว่าเข้าใจแล้ว การใช้กำลังและมีคนอีกจำนวนหนึ่งอยู่ข้างกาย เกรงว่าก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเยี่ยเทียนอยู่ดี ขืนอยู่ต่อก็เป็นการฉีกหน้าตัวเองเปล่าๆ


แต่ในโลกนี้การใช้กำลังไม่สามารถแก้ไขปัญหาทุกอย่างได้ เสียเปรียบครั้งใหญ่ขนาดนี้ หวงซือจื้อคิดไว้แล้วว่าจะเอาคืนเยี่ยเทียนยังไง


สายตาโหดเหี้ยมจ้องไปที่เยี่ยเทียน หวงซือจื้อไม่แม้จะหันหลังกลับ เดินออกจากร้านอาหารไป คนพวกนั้นตะลึงกันไปหมด วิ่งตามหลังไป


“ซวยจริงๆ พวกเราไปกินข้าวกัน!”


มองเห็นหวงซือจื้อพูดว่าจะไปแล้ว เยี่ยเทียนกลับไม่เดินไปไหน และใช้นิ้วชี้ไปที่ผู้จัดการคนนั้นพูดว่า “ตอนนี้ห้องส่วนตัวว่างแล้วใช่ไหม? จัดการให้พวกเรากินข้าวเถอะ”


“เยี่ยเทียน เปลี่ยนที่กินข้าวดีไหม?” อวี๋ชิงหย่าดึงไหล่ของเยี่ยเทียนเบาๆ ใครๆก็ดูออกตอนที่หวงซือจื้อจะเดินออกไป สายตาของเขาเต็มไปด้วยการแก้แค้น


ถึงแม้ฐานะทางครอบครัวของอวี๋ชิงหย่าจะมั่งคั่ง แต่สุภาษิตกล่าวไว้ว่าประชาชนไม่สู้กับขุนนาง เธอมักจะได้ยินพ่อเล่าว่าพวกที่รับราชการใช้วิธีโหดเหี้ยมขนาดไหน ดังนั้นเธอกลัวว่าถ้าเยี่ยเทียนอยู่ต่อเขาจะเสียเปรียบ


“ทำไมต้องเปลี่ยนที่ด้วย? กินที่นี่แหละ วุ่นวายมาครึ่งวันแล้ว ฉันหิวแล้วด้วย” เยี่ยเทียนส่ายหัวปฎิเสธ สายตามองไปที่ผู้จัดการสาวคนนั้น พูดต่อว่า “ยังไม่มีห้องส่วนตัวใช่หรือไม่?”


“หา?” จนถึงเวลานี้ ผู้จัดการคนนี้เพิ่งจะได้สติ รีบพูดตอบกลับว่า “ไม่…..ไม่……มีห้องส่วนตัว!”


เดิมทีห้องส่วนตัวที่เยี่ยเทียนและคนอื่นๆจะไป ที่จริงแล้วก็คือห้องที่ถูกหวงซือจื้อแย่งไปนั่นเอง


ร้านอาหารปักกิ่งถึงแม้จะพื้นหลังที่แข็งแกร่ง การที่หวงซือจื้ออยู่ในปักกิ่งถิ่นชาววังแถวนี้เขาก็ไม่ได้ใช้ชีวิตไปวันๆ ผู้จัดการของร้านอาหารนี้เวลาที่เห็นเขาก็ต้องมีรอยยิ้มตลอดเวลา ดังนั้นตอนที่ได้รับโทรศัพท์จากหวงซือจื้อ ผู้จัดการจึงกันห้องส่วนตัวของเยี่ยเทียนไว้และเอาไปให้คนอื่น


แต่ในเวลานี้ดูเหมือนว่าหวงซือจื้อจะถูกเยี่ยเทียนตีจนไม่กล้ามีอารมณ์อีก และยังทำให้ผู้จัดการคนนี้ตกใจไม่เบาทีเดียว นี่มันยมทูตตีกันผีน้อยรับผลกรรมนั่นเอง


ตอนนี้ผู้จัดการกล้าพูดคำว่าไม่ที่ไหนกันเล่า? มิฉะนั้นก็คงโดนตบอีกหนึ่งฉาดจากคุณท่านนี้แน่นอน ใบหน้าที่สะสวยของตนเองก็คงจบเพียงเท่านี้ ตอนนี้อดทนกับอาการปวดฉี่เอาไว้ ผู้จัดการสาวตัวสั่นงันงกพากลุ่มของเยี่ยเทียนเดินไป


“ทุกท่าน เชิญ…เชิญเข้าค่ะ”


ผลักประตูห้องส่วนตัวออกแล้วเสร็จ ผู้จัดการสาวส่งเยี่ยเทียนและคนอื่นๆเข้าไปข้างใน จากนั้นก็เรียกพนักงานบริการมา ส่วนตัวเองเดินออกไปทางห้องน้ำด้วยรองเท้าส้นสูงอย่างรวดเร็ว


“การกินข้าว ก็คือการกินบรรยากาศไม่ใช่เหรอ?”


เยี่ยเทียนมองไปที่หน้าต่างครึ่งวงกลมและการจัดวางที่หรูหราคลาสสิคในห้องส่วนตัวแล้วส่ายหัวไปมา คนปักกิ่งให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์มาก การเชิญมาทานข้าวที่นี่ ถือว่าเป็นสถานที่ ที่ดีแห่งหนึ่ง


“เยี่ยเทียน เมื่อกี้……ไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”


การตบเมื่อกี้ของเยี่ยเทียน คนที่ตกใจไม่เพียงแต่หวงซือจื้อพวกนั้นกับผู้จัดการร้านอาหาร แม้แต่สวีเจิ้นหนานและคนอื่นๆก็นิ่งกันไปหมด


เมื่อเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น นอกหูเสี่ยวเซียนแล้ว คนอื่นๆก็สูญเสียความสนุกฮึกเฮิมที่มีตอนแรกไปหมดแล้ว พวกเธอคนอื่นๆไม่มีใครเกิดในตระกูลขุนนาง ในใจรู้สึกหวาดกลัวพวกนั้นตามธรรมชาติ


เยี่ยเทียนส่ายหัวไปมาพูดว่า “มีเรื่องอะไรหรือเปล่า? คุณผู้หญิงทั้งหลาย ผมเป็นคนหยาบ อนาคตผู้ประกาศทางทีวีอย่างพวกคุณอย่าแปลกใจไปเลยนะ”


“ไม่ได้เรื่อง ขี้เกียจพูดกับนายแล้ว” อวี๋ชิงหย่าใช้คำพูดกัดเยี่ยเทียนไปหนึ่งครั้ง หยิบเมนูอาหารขึ้นมา “สาวๆ เพื่อเป็นการปลอบขวัญพวกเรา เลือกแต่อาหารที่แพงๆไปเลยนะ!”


เยี่ยเทียนที่ทำตัวแปลกๆแบบนี้ ทันใดนั้นบรรยากาศในห้องก็ผ่อนคลายลง


สาวๆพวกนี้ถึงแม้ฐานะทางครอบครัวไม่เลว แฟนที่หาได้ก็ล้วนแต่เป็นชายรูปหล่อฐานะดีทั้งนั้น แต่ไม่เคยเข้ามาห้องส่วนตัวของร้านอาหารปักกิ่งแห่งนี้จริงๆ หลังจากได้ยินสิ่งที่อวี๋ชิงหย่าพูด ก็เริ่มสั่งอาหารกันทีละคน


“ฉันเอาหูฉลามสามสหาย……”


“เอาหูฉลามเนื้อปูอีกหนึ่ง……”


“หูฉลามตุ๋นที่นี่มีชื่อเสียงมาก สั่งเลย!”


“แล้วก็รังนกซุปใสคนละถ้วย……”


ถึงแม้ว่าเมื่อสักครู่จะตกใจกันไม่เบา แต่สาวๆสั่งอาหารกันอย่างไม่มีใครเบลอเลยสักคน ปากที่ตะโกนออกมา ไม่ใช่หูฉลามก็รังนก เยี่ยเทียนฟังจนทำหน้าขมขื่นทันที


“วันหลังถ้าจะออกไปข้างนอกต้องเสี่ยงทายก่อนแล้วแหละ ถ้ามีชะตาล้มละลาย อยู่บ้านยังดีกว่า”


ในใจก็รู้สึกขมขื่น แต่ปากก็ยังคงสั่งอาหารอยู่ “อันนั้น……พระกระโดดกำแพงมาอันนึง แล้วก็หอยเป่าฮื้อนึ่งกระเทียมเอาสองอันนะ แล้วก็ ไวน์แดงมาสักสองสามขวด อืม เอาลาฟีทปี 82 มา 3 ขวด…..”


อย่างไรก็ตามวันนี้จะล้มละลายแล้ว เยี่ยเทียนก็เลยเต็มที่เช่นกัน จะว่าไปแล้วพวกเพื่อนๆ ฐานะสิบล้านกันทั้งนั้น คงไม่ถึงขั้นกินข้าวมื้อนึงก็กินไม่ไหวหรอกมั้ง?


ฟังเมนูอาหารที่เยี่ยเทียนสั่ง พนักงานบริการตกตะลึงจนพูดไม่ออก ปกติเธอเคยเห็นคนรวยเลี้ยงข้าวกันไม่น้อย  แต่ยังไม่เคยเห็นคนที่ฟุ่มเฟือยมากๆอย่างเยี่ยเทียน


แต่พนักงานบริการกลับไม่รู้จริงๆว่าบนเมนูไม่ได้เขียนราคากำกับเอาไว้ ดังนั้นเยี่ยเทียนไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าอาหารเหล่านี้รวมแล้วจะต้องเสียเงินท่าไหร่?


ส่วนลาฟีทอะไรนั่น เยี่ยเทียนยิ่งไม่รู้จักเลย เขารู้แค่ว่าไวน์ลาฟีทในตู้ไวน์ของวิลล่าเหล่าถัง เป็นไวน์แดงยี่ห้อเดียวที่เขาสามารถกลืนลงไปได้ ดังนั้นเขาจึงได้สั่งมันไป


หลังจากสั่งอาหารเสร็จพนักงานบริการจึงเดินออกไป นำใบสั่งอาหารยื่นให้กับผู้จัดการสาวคนนั้น ผู้จัดการเองก็ตกใจเช่นกัน รีบเดินไปที่ห้องครัวให้เขาจัดเตรียมอาหาร ส่วนตัวเองวิ่งไปถึงห้องทำงานของผู้จัดการใหญ่ รายงานที่ไปที่มาของเรื่องเมื่อสักครู่ให้กับผู้จัดการใหญ่


“เหอะ คุณภาพตามราคาจริงๆ หอยเป่าฮื้อที่กินอยู่ก็ไม่ได้แย่ไปกว่าที่กินกับเหล่าถังเลยนิ?”


หลังจากที่อาหารเสริฟบนโต๊ะแล้ว เยี่ยเทียนก็เรียกให้ทุกคนจับตะเกียบเริ่มกินกัน ไวน์แดงหนึ่งแก้วไหลลงท้องไป ทุกๆคนก็ลืมเรื่องเมื่อครู่ไปเลย บรรยากาศภายในห้องค่อยๆคึกคักขึ้นมา


“หูเสี่ยวเซียน ได้ข่าวว่าตะวันออกเฉียงเหนือฝั่งนั้นมีการเชิญเทพเจ้า เรื่องจริงหรือเรื่องปลอม?”


กินกันไปจนถึงครึ่งทาง จู่ๆเยี่ยเทียนก็หันไปถามหูเสี่ยวเซียน หลังจากได้ทำความรู้จักภายในไม่กี่ชั่วโมงมานี้ เขาสามารถดูออกเลยว่าผู้หญิงคนนี้มีนิสัยตรงไปตรงมา


หูเสี่ยวเซียนก็ชัดเจนว่าไม่มีการป้องกันเยี่ยเทียน จึงตอบกลับไปว่า “จริงสิ ยายของฉันสามารถเชิญเทพเจ้าจิ้งจอก”


“เชิญเซียนจิ้งจอก? เธอถึงได้ชื่อว่าหูเสี่ยวเซียนสินะ เสี่ยวเซียน เธอกลายร่างจากนางจิ้งจอกใช่ไหมเนี่ย?”


หลังจากได้ยินคำพูดของหูเสี่ยวเทียน เว่ยหรงหรงอดไม่ได้ที่จะแซวเล่น อยู่หอพักเดียวกันมา 4-5 ปี พวกเธอไม่เคยได้


ยินหูเสี่ยวเซียนพูดถึงเรื่องนี้เลย


“อย่าพูดมั่วนะ มีวิญญาณเซียนจิ้งจอกจริงๆนะ ถ้าเขาได้ยินละก็ พวกเธอซวยแน่ๆ” หูเสี่ยวเซียนใช้ฝ่ามืออุดปากของเว่ยหรงหรงเอาไว้อย่างรวดเร็ว สีหน้ามีความหวาดกลัวบ้างและมองไปสี่ทิศรอบๆ


“นี่เชิญเซียนจิ้งจอกอะไรมาเนี่ย มันคืออะไรกันแน่เนี่ย?”


เห็นสีหน้าของหูเสี่ยวเซียน ในใจของเยี่ยเทียนอดไม่ได้ที่จะสั่น ถึงแม้เขาเชื่อว่าสรรพสิ่งบนโลกล้วนมีวิญญาณ แต่เขาไม่เคยเชื่อเรื่องผีสางปีศาจเลย แต่การเชิญเทพเจ้าในฉีเหมินนั้นมีอยู่จริง แต่เยี่ยเทียนเองก็ยังไม่เข้าใจหลักการของมัน


พอเห็นบรรยากาศเริ่มตึงเครียดอีกครั้ง เยี่ยเทียนชูแก้วขึ้นพูดว่า “มา ในฐานะว่าที่สามีของคุณผู้หญิงอวี๋ชิงหย่า ข้าพเจ้าขอขอบคุณคุณผู้หญิงทุกท่านที่ดูแลเธอเป็นอย่างดีมาโดยตลอด!”


“ว้าว หมั้นกันแล้วเหรอ”


“อวี๋ชิงหย่า เธอกล้าไม่บอกพวกเราได้ยังไง!”


“นั่นสิ ฉันเอาเธอตายแน่!”


หลังจากเยี่ยเทียนเผยข้อมูลนี้ออกไป บรรยากาศในห้องส่วนตัวก็คึกคักขึ้นอีกครั้ง ผู้หญิงทั้งหมดก็กินกันเสร็จพอสมควรแล้วก็เริ่มคุยล้อหยอกล้อกันขึ้นมา แต่ก็มีความรู้สึกเหมือนคนที่อยู่ใต้หลังคาเดียวกันกำลังจะจากกันอย่างนั้น


อาหารมื้อนี้กินกันจนถึงบ่ายสามโมงกว่าๆ หลังจากที่เยี่ยเทียนเรียกเก็บเงินแล้ว ผู้ชายวัยกลางคนอายุสี่สิบกว่า เดินเข้ามาในห้องส่วนตัว


“คุณผู้ชายท่านนี้ครับ ผมคือผู้จัดการใหญ่ของร้านอาหารร้านนี้ครับ อาหารมื้อนี้ของคุณมีค่าใช้จ่ายทั้งหมด 268,000


หยวน ทางร้านอาหารขอแสดงการขอโทษกับเรื่องเมื่อสักครู่โดยการเก็บคุณเพียง 260,000 ครับ!”


ถึงแม้ผู้ชายคนนี้จะใช้ถ้อยคำสุภาพมาก แต่ตัวเลขที่แจ้งออกมา กลับทำให้ใจของเยี่ยเทียนกำลังเลือดไหล ยื่นมือไปหยิบใบบิลจากมือมาดูอย่างเสียอาการ


 ………….

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)