กระบี่จงมา 380.4-383

 บทที่ 380.4 ลางบอกเหตุ

 

เฉินผิงอันกลับมานั่งข้างโต๊ะ ตรวจสอบตัวอักษรที่เผยเฉียนคัด เมื่อแน่ใจว่าไม่มีตัวอักษรใดที่นางเขียนอย่างขอไปทีก็ทำท่าบอกเป็นนัยให้นางไปเล่นได้แล้ว


เผยเฉียนเอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “อาจารย์ ข้ารู้สึกว่าต้นกุ้ยที่อยู่ด้านหลังพวกนั้นเทียบกับกิ่งกุ้ยใบกุ้ยที่น้ากุ้ยมอบให้ข้าไม่ได้เลย ห่างชั้นกันไกลนัก เหตุใดนักพรตพวกนั้นถึงบูชาพวกมันดั่งสมบัติล้ำค่าล่ะ? แถมยังคุยโวอย่างไม่กระดากอายว่า ‘พันธ์ในดวงจันทร์’ อะไรนั่น หากนี่คือลูกหลานรุ่นหลังของต้นกุ้ยในดวงจันทร์ ถ้าอย่างนั้นต้นของน้ากุ้ยเราก็ต้องเป็นเทพเซียนอยู่บนดวงจันทร์เลยน่ะสิ ใช่ไหม?”


หัวใจเฉินผิงอันกระตุกเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวว่า “ห้ามนินทาคนอื่นลับหลัง”


เผยเฉียนร้องอ้อรับหนึ่งที


แต่จู่ๆ เฉินผิงอันก็หัวเราะกับตัวเอง “ข้ารู้สึกว่าเจ้าพูดไม่ผิด”


เผยเฉียนยิ้มกว้างสดใส “อาจารย์ก็รู้สึกแบบนี้เหมือนกันใช่ไหม ข้าบอกแล้ว”


เฉินผิงอันหุบยิ้ม เอ่ยกำชับ “เพราะฉะนั้นครั้งหน้าที่เจอน้ากุ้ยต้องมีมารยาทมากกว่าเดิม”


เผยเฉียนพยักหน้ารับ “แน่นอนอยู่แล้ว ข้าชอบน้ากุ้ยจริงๆ นะ”


เฉินผิงอันเอ่ยสัพยอก “แล้วนักพรตน้อยของอารามจินกุ้ยที่ให้เจ้ายืมร่มกันฝนคนนั้นล่ะ?”


เผยเฉียนกำหมัดทุบลงบนโต๊ะ พูดเสียงขุ่น “เจ้าหมอนี่น่ารำคาญยิ่งนัก หากไม่เป็นเพราะข้ากับเขามาพบกันโดยบังเอิญ แถมยังมีคนนอกอยู่ด้วย ป่านนี้ข้าคงซ้อมเขาให้น่วมจนอาจารย์พ่ออาจารย์แม่ของเขาจำหน้าไม่ได้ไปแล้ว”


เฉินผิงอันยิ้ม “ทีอย่างนี้รู้จักรำคาญแล้ว? เจ้าลองคิดดูสิว่าตัวเองไปตอแยเว่ยเซี่ยนกับหลูป๋ายเซี่ยงอย่างไร?”


เผยเฉียนเบิกตากว้าง ครุ่นคิดอยู่นานก็ได้แต่หยิบเอายันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจที่รักที่สุดแผ่นนั้นออกมาแปะไว้บนหน้าผาก ถอนหายใจพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าเหล่าเว่ยกับเสี่ยวป๋ายน่าสงสารมากเลยน่ะสิ”


เฉินผิงอันเขกมะเหงกลงไป “เจ้าเพิ่งรู้หรือ? ในตำรากล่าวว่าวิญญูชนต้องหมั่นทบทวนตัวเอง เจ้าต้องหัดทบทวนตัวเองบ้างแล้ว”


เผยเฉียนกุมหัวลุกพรวดขึ้นยืนแล้ววิ่งไปทางหน้าประตูห้อง ก่อนจะหันหน้ามายิ้มพูด “อาจารย์ ข้าจะไปบอกกับเหล่าเว่ยและเสี่ยวป๋ายว่า ครั้งหน้าที่ไปถึงตลาด ถึงคราวที่ข้าต้องควักกระเป๋าซื้อถังหูลู่ให้พวกเขาคนละไม้บ้างแล้ว”


พอเผยเฉียนจากไป เฉินผิงอันก็เริ่มใคร่ครวญเรื่องการหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตชิ้นที่สอง


ส่วนคราบร่างจิตหยางของตู้เม่าที่เทียบเคียงได้กับร่างทองของขอบเขตเซียนเหริน เฉินผิงอันตัดสินใจว่าเมื่อไปถึงสำนักศึกษาซานหยาต้าสุยจะขอคำแนะนำจากชุยตงซานแล้วค่อยตัดสินใจอีกที


ลึกๆ ในใจเฉินผิงอันไม่เชื่อใจสันดานของ ‘ราชครูเด็กหนุ่ม’ แต่จะดีจะชั่วก็เชื่อมั่นในความรู้ของลูกศิษย์คนแรกของเหวินเซิ่งในอดีตผู้นี้


ตอนนี้ได้กลับมาเจอกับจางซานเฟิงอีกครั้ง ได้สอบถามความรู้เรื่องการฝึกตนมาจากเขาไม่น้อย โดยเฉพาะเรื่องการหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตที่จางซานเฟิงเต็มใจบอกทุกเรื่องที่รู้อย่างไม่มีกั๊กไว้


แม้ว่าตบะของจางซานเฟิงจะไม่สูง แต่อันที่จริงโลกทัศน์และมุมมองของเขาต่างก็ไม่ธรรมดา น่าจะเกี่ยวข้องกับที่เขามีชาติกำเนิดมาจากตระกูลเซียนระบบดั้งเดิม ถึงอย่างไรอาจารย์ของเขาก็คือเทียนซือต่างแซ่ท่านหนึ่งของภูเขามังกรพยัคฆ์ แม้ว่าระดับความสูงต่ำของเทียนซือต่างแซ่จะแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน แต่นักพรตที่สามารถถูกบันทึกชื่อลงในเทียบวงศ์ตระกูลจื่อหวงของตำหนักเทียนซือได้ก็ย่อมไม่ธรรมดา


เฉินผิงอันหยิบเหล้าหมักกุ้ยฮวาไหหนึ่งออกมา หาจอกเหล้าแล้วรินดื่มเพียงลำพัง


ตามคำบอกของจางซานเฟิง ต่อให้อยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ทั้งทรัพย์สินและโชควาสนาต่างก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ วัตถุแห่งชะตาชีวิตก็ไม่ใช่ว่าจะมีประโยชน์มากมายไปเสียหมด หากรวบรวมได้ครบห้าธาตุย่อมดีที่สุด วัตถุแห่งชะตาชีวิตชิ้นหนึ่งที่คล้ายคลึงกับขวดกระเบื้องเขียวของวัวดินสีเหลืองที่นำมาช่วยเพิ่มความเร็วในการดึงดูดปราณวิญญาณฟ้าดิน ถือเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องมี ชิ้นหนึ่งใช้โจมตีสังหาร ยกตัวอย่างเช่นกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกกระบี่ก็คือวัตถุแห่งชะตาชีวิตขั้นสูงสุดบนโลกที่ใช้ในการโจมตี อีกชิ้นหนึ่งนำมาใช้ป้องกันซึ่งควรมีประสิทธิผลเฉกเช่นชุดคลุมอาคมจินหลี่หรือเม็ดเสื้อเกราะสำนักการทหาร อีกชิ้นหนึ่งคือวัตถุฟางชุ่นวัตถุจื่อชื่อที่คล้ายคลึงกับคลังยุทโธปกรณ์ฟางชุ่นหรือเนินกระบี่จื่อชื่อ เพียงแต่ว่าวัตถุล้ำค่าหายากเช่นนี้แทบจะได้แค่ปรารถนามิอาจได้มาครอบครอง ส่วนอีกชิ้นหนึ่งคือวัตถุสยบความชั่วร้ายคว้าชัยชนะที่ถูกบำรุงด้วยความอบอุ่นอยู่ในช่องโพรงแห่งชะตาชีวิต มีวัตถุชิ้นนี้ก็จะมีพลังสยบภูตผีสิ่งชั่วร้าย อีกทั้งยังสามารถเพิ่มพูนพลังหยางในร่างได้อย่างต่อเนื่อง เมื่อผ่านสถานที่ที่มีปราณชั่วร้ายอึมครึมที่มากจนเกินจะคาดเดา น้ำไฟไม่อาจรุกราน เสนียดจัญไรไม่อาจย่างกรายเข้าใกล้


จางซานเฟิงยังบอกด้วยว่าการหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตคือดาบสองคม ในเมื่อเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิต หากถูกทำลายขึ้นมา รากฐานมหามรรคาก็จะเสียหายโยกคลอนตามไปด้วย ผลร้ายที่ตามมามากเกินจะคาดการณ์ได้ไหว


อีกทั้งวัตถุแห่งชะตาชีวิตทุกชิ้นล้วนจำเป็นต้องยึดครองช่องโพรงแห่งหนึ่ง หากมีสิ่งแปลกปลอมปนเข้ามาหรือหากไม่พิจารณาถึงเส้นทางที่ปราณวิญญาณต้องโคจรผ่านก็ง่ายที่ธาตุจะขัดแย้งกันเอง กลับกลายเป็นว่าเป็นอุปสรรคต่อการฝึกตนของผู้ฝึกลมปราณ ถึงขั้นมีความเป็นไปได้ว่าอาจจะทำให้ผู้ฝึกลมปราณธาตุไฟเข้าแทรก


สุดท้ายจางซานเฟิงบอกว่าหากรวบรวมวัตถุแห่งชะตาชีวิตได้ครบห้าธาตุก็คือผลลัพธ์ที่ผู้ฝึกลมปราณทุกคนเว้นจากผู้ฝึกกระบี่ปรารถนาแม้ในยามหลับฝัน แต่ไม่จำเป็นต้องจงใจเสาะแสวงหาสิ่งนี้ เพราะสิ้นเปลืองเงินเทพเซียนมากเกินไป พิถีพิถันเรื่องโชควาสนามากเกินไป โดยทั่วไปแล้วมีวัตถุแห่งชะตาชีวิตสามชิ้นที่ระดับขั้นค่อนข้างดีก็ถือว่าเพียงพอแล้ว หนึ่งป้องกันหนึ่งโจมตี ส่วนอีกชิ้นหนึ่งช่วยให้ผู้ฝึกลมปราณสามารถดึงดูด กักเก็บปราณวิญญาณ ผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตกลางในใต้หล้าส่วนใหญ่ล้วนเป็นเช่นนี้ เว้นแต่พวกเซียนดินที่จะแสวงหาสิ่งที่มากกว่านี้


เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อยว่าควรจะหลอมหัวใจบุ๋นสีทองของเทพอภิบาลเมืองแยนจือแคว้นไฉ่อีหรือไม่


แต่ว่าในกล่องไม้สีเขียวใบนั้น ว่ากันว่าคือ ‘ตราประทับเสี่ยนโย่วโป๋เทพอภิบาลเมืองแยนจือ’ ที่เทียนซือใหญ่บางรุ่นของภูเขามังกรพยัคฆ์แกะสลักขึ้นด้วยตัวเอง เฉินผิงอันตัดสินใจว่าจะนำไปมอบให้จางซานเฟิงเป็นของขวัญจากลา มอบให้แก่เทียนซือต่างแซ่ในอนาคตของภูเขามังกรพยัคฆ์ท่านนี้


เสิ่นเวินเทพอภิบาลเมืองแยนจือให้ความสำคัญกับตราประทับอาคมชิ้นนี้มาก เฉินผิงอันเดาว่ามีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่ามันจะเป็นอาวุธกึ่งเซียนชิ้นหนึ่ง เสิ่นเวินพูดเองว่า ขอแค่ใช้ตราประทับนี้ร่วมกับเวทห้าอสนีที่สืบทอดมาจากภูเขามังกรพยัคฆ์ก็จะมีอานุภาพน่าตกตะลึง


ตอนนั้นตราประทับอาคมถูกปิดผนึกอยู่ในศาลเทพอภิบาลเมืองก็สามารถสกัดกั้นการรุกรานจากปราณชั่วร้ายในสุสานไร้ญาติขนาดใหญ่นอกเมืองแยนจือเอาไว้ได้ แค่นี้ก็พอจะมองออกถึงระดับความสูงของมันว่าไม่ใช่สิ่งที่สมบัติอาคมทั่วไปจะทำได้


นับตั้งแต่ที่เฉินผิงอันได้ตราประทับอาคมมาจนถึงวันนี้ เขายังไม่เคยเปิดกล่องไม้สีเขียวออกสักครั้ง


การที่เขาลังเลว่าควรจะหลอมหัวใจบุ๋นสีทองดีหรือไม่ นั่นก็เพราะตอนที่ผ่านศึกแคว้นไฉ่อี เฉินผิงอันได้ถ้วยขาวที่วาดภาพจริงของห้าขุนเขาในแคว้นกู่อวี๋มาใบหนึ่งซึ่งสามารถสร้างดินห้าสีของแคว้นกู่อวี๋ได้ ภายใต้การแนะนำของสวีหย่วนเสีย สุดท้ายจึงไม่ได้ขายมันไปที่หอชิงฝู แน่นอนว่าเฉินผิงอันไม่มีทางนำถ้วยขาวที่แต่ละปีได้กำไรแค่ ‘ห้าเหรียญเงินเกล็ดหิมะ’ มาหลอมเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตธาตุดินของตัวเองแน่นอน


และพอเฉินผิงอันคิดถึงการกรีฑาทัพลงใต้ของกองทัพม้าเหล็กต้าหลีในตอนนี้ที่ดุจดั่งผ่าลำไม้ไผ่ ทางเหนือมีเว่ยป้อองค์เทพแห่งขุนเขาเหนือพิทักษ์ภูเขาพีอวิ๋น ทางใต้คล้ายจะมีฟ่านจวิ้นเม่าเป็นผู้พิทักษ์ภูเขาใต้แห่งใหม่ของต้าหลี หากเรื่องนี้สำเร็จ ต้าหลีที่มีพื้นแผ่นดินของหนึ่งทวีปเป็นอาณาเขตของราชวงศ์ตัวเอง ดินห้าสีก็จะกลายมาเป็นของที่ล้ำค่าอย่างถึงที่สุด ถึงเวลานั้นราชวงศ์ต้าหลีต้องควบคุมไว้อย่างเข้มงวดแน่นอน ดังนั้นหากตอนนี้เฉินผิงอันสามารถยืนยันได้ว่าสถานที่ตั้งของยอดเขาทั้งสามแห่งที่เหลือนอกจากทิศเหนือและทิศใต้คือที่ใด แล้วรวบรวมดินห้าสีไว้ในปริมาณที่มากพอ จากนั้นค่อยหาภาชนะบรรจุหนึ่งชิ้นที่เหมาะสม ต้องได้รับผลประโยชน์มหาศาลอย่างแน่นอน


แต่ความยากนั้นอยู่ที่ว่าที่ตั้งของสามขุนเขาจะเป็นที่ใด ส่วนภัยแฝงนั้นอยู่ที่หากใช้วัตถุชิ้นนี้มาเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิต ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ จะได้รับผลประโยชน์มหาศาล แต่จะต้องเกี่ยวข้องกับแนวโน้มของสถานการณ์บ้านเมืองที่ขึ้นๆ ลงๆ ของต้าหลีอย่างแนบแน่น ทว่าหากต่ำกว่าห้าขอบเขตบนย่อมได้ผลประโยชน์มากกว่าผลเสีย จะได้กลายเป็นเซียนดินอย่างรวดเร็ว


เฉินผิงอันดื่มเหล้าแล้วก็นึกไปถึงกองลาดตระเวนของต้าหลีท่ามกลางพายุหิมะกลุ่มนั้น แล้วก็นึกไปถึงซ่งจี๋ซินผู้เป็นเพื่อนบ้าน


ดื่มเหล้าหมักกุ้ยฮวาอีกเล็กน้อยที่เหลือในจอก สุดท้ายเฉินผิงอันก็ตัดสินใจล้มเลิกความคิดที่จะชุบหลอมดินห้าสีนี้


เมื่อตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาดแล้ว เฉินผิงอันก็ไม่มีความลังเลใดๆ อีก ถ้าอย่างนั้นก็เตรียมหลอมหัวใจบุ๋นสีทอง!


เพียงแต่ว่าคิดอยากจะให้มีฟ้าอำนวยดินอวยพรและคนสามัคคีอย่างที่นครมังกรเฒ่ากลับยากราวขึ้นสวรรค์


เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าต่าง ฟุบตัวลงบนขอบหน้าต่าง มองไปข้างหน้าอย่างเหม่อลอย


ถึงอย่างไรนี่ก็ไม่ใช่การฝึกหมัดที่แค่ยืนหยัดไม่ย่อท้อครั้งแล้วครั้งเล่า สักวันหนึ่งก็จะฝึกจนครบหนึ่งล้านหมัดเอง


สวีหย่วนเสียเคาะประตูเดินเข้ามา เฉินผิงอันกลับมานั่งที่โต๊ะ หยิบจอกเหล้ามาเพิ่ม สองคนนั่งดื่มเหล้าอยู่ด้วยกัน


ไม่ได้พูดคุยเรื่องที่มีสาระอะไร สวีหย่วนเสียพูดถึงบันทึกภูเขาและแม่น้ำเล่มนั้นของเขา บอกว่าหวังว่าสักวันหนึ่งจะมีร้านหนังสือเต็มใจเอาไปจัดพิมพ์ จะได้มีเงินเก็บส่วนตัวกับเขาบ้าง


เฉินผิงอันจึงหยิบแผ่นไม้ไผ่แผ่นเล็กที่บันทึกสิ่งที่พบเจอระหว่างทางออกมา ไม่ว่าจะเป็นเรือข้ามฟากตระกูลเซียนขนาดใหญ่ยักษ์อย่างเกาะกุ้ยฮวา เต่าทะเลภูเขา ทะเลเมฆเหนือนครมังกรเฒ่า เทวรูปเทพพิรุณของสำนักบนทะเล มังกรเฒ่าโปรยพิรุณที่หมดแรงตกลงไปบริเวณใกล้เคียงกับร่องเจียวหลง เซียนกระบี่ทั้งหลายในภาพวาดของเรือนหลิงจือภูเขาห้อยหัว ทางเดินม้าบนกำแพงเมืองปราณกระบี่ ถนนเรียกสวรรค์ของสำนักฝูจีใบถงทวีป พระอาทิตย์ขึ้นที่ยอดเขาจ้าวผิงนอกเมืองเซิ้นจิ่ง…เขาส่งแผ่นไม้ไผ่ที่สลักตัวอักษรไว้เต็มแน่นเหล่านี้ไปให้สวีหย่วนเสีย สวีหย่วนเสียถามรายละเอียดบางอย่างอีกเล็กน้อย คนทั้งสองดื่มเหล้าด้วยกัน คนหนึ่งถามคนหนึ่งตอบ กาลเวลาไหลผ่านไปท่ามกลางน้ำสุรา


ในห้องที่อยู่ข้างกัน นักพรตหนุ่มจางซานเฟิงที่อยู่ในห้องตัวเองหยุดการนั่งเข้าฌานแล้วเริ่มออกหมัดช้าๆ กระบวนท่าหมัดนี้ไม่ค่อยเหมือนกับกระบวนท่าหมัดส่วนใหญ่ในใต้หล้า เน้นช้าไม่เน้นเร็ว ได้แค่เอามาฝึกฝนบำรุงร่างกายเท่านั้น แต่จางซานเฟิงรู้สึกว่าเหมาะสมกับเพื่อนของตนที่สุด


กระบวนท่าหมัดนี้เขาสร้างสรรค์ขึ้นมาเอง ตอนนี้ยังแค่พอเป็นรูปเป็นร่างเท่านั้น สัจธรรมแห่งหมัดมาจากคำกล่าวยามเมามายของอาจารย์เขาและการตระหนักรู้ของตัวเขาเอง เพียงแต่ไม่รู้ว่าเฉินผิงอันจะรังเกียจหรือไม่ จะยินดีเรียนหรือไม่


……


เมืองหลวงแคว้นชิงหลวน ท่ามกลางแสงสายัณห์ ศิษย์ลัทธิขงจื๊อชุดเขียวสองคนที่เดินทางมาไกลนั่งอยู่ข้างโต๊ะตัวเล็กที่มีคราบน้ำมันค่อนข้างเยอะของร้านข้างทางร้านหนึ่ง


ศิษย์ลัทธิขงจื๊อร่างผอมแห้งวัยประมาณสามสิบปีคนหนึ่งรู้จักนิสัยของอีกฝ่ายดี ดังนั้นจึงพูดอย่างจริงจังว่า “โจวจวี่หราน บอกไว้ก่อนว่าข้ากินเผ็ดไม่ได้”


ศิษย์ลัทธิขงจื๊อหนุ่มที่ชื่อว่าโจวจวี่หรานยิ้มกล่าวว่า “เจ้าลิง เพราะว่าเจ้าไม่กินเผ็ดนี่แหละที่ทำให้พลาดอาหารรสเลิศมากมายในโลกไป”


ศิษย์ลัทธิขงจื๊อหนุ่มที่ถูกเรียกล้อเลียนว่า ‘เจ้าลิง’ ส่ายหน้าอย่างระอาใจ


ตลอดทางที่เดินทางมานี้มีแต่เรื่องที่ทำให้เขาอกสั่นขวัญผวาทั้งนั้น ช่วยไม่ได้ เจ้าโจวจวี่หรานผู้นี้เป็นตัวก่อเรื่องอย่างแท้จริง ถูกผิดของในใจคนผู้นี้มักจะพร่าเลือนกว่านักปราชญ์คนอื่นๆ ในสำนักศึกษาเสมอ แต่ก็ยังดีที่โดยภาพรวมแล้วตนยังพอจะรับได้


ศิษย์ลัทธิขงจื๊อผอมบางที่มีบุคลิกสอดคล้องกับกลิ่นอายของสำนักศึกษามากกว่าโจวจวี่หรานผู้นี้กวาดตามองไปรอบด้าน ครั้งนี้ฮ่องเต้สกุลถังแคว้นชิงหลวนตัดสินใจเองโดยพลการ ถึงขนาดจะเอาฝ่ายที่ชนะในการโต้วาทีพุทธเต๋าครั้งนี้มาเป็นลัทธิประจำแคว้น เชิดชูฐานะให้สูงส่งยิ่งกว่าลัทธิขงจื๊อ


หากไม่เป็นเพราะตอนนี้ความสนใจของสำนักศึกษากวานหูพวกเขาถูกเทียนจวินลัทธิเต๋าแห่งอุตรกุรุทวีปดึงไปทั้งหมดจนไม่อาจมาสนใจที่แห่งนี้ ก็คงไม่ใช่แค่เขาโหวเจิ้งกับโจวจวี่หรานหนึ่งวิญญูชนหนึ่งนักปราชญ์ ‘เดินทางท่องเที่ยว’ มาถึงแคว้นชิงหลวนแล้ว แต่คนทั้งสองจะต้องตรงดิ่งไปตำหนิฮ่องเต้สกุลถังผู้นั้นถึงในวังหลวงสักรอบหนึ่ง


นักปราชญ์โจวจวี่หรานสั่งบะหมี่เพียนเอ๋อร์ชวนอาหารรสเลิศขึ้นชื่อของท้องที่มาสองชาม ชามหนึ่งใส่พริกเผ็ดมาก อีกชามหนึ่งไม่เผ็ด แล้วก็เริ่มกินพร้อมกับ ‘เจ้าลิง’ แห่งนครมังกรเฒ่า


นักปราชญ์หนุ่มที่ชอบเรียกตัวเองว่าโจวจวี่ม้วนเส้นบะหมี่เพียนเอ๋อร์ชวนเข้าปากคำใหญ่แล้วก็พูดเสียงอู้อี้ว่า “ได้ยินอาจารย์บอกว่าการโต้วาทีพุทธเต๋าของแคว้นชิงหลวนครั้งนี้ค่อนข้างจะเป็นการบุกเบิกโฉมหน้าใหม่ พวกเขาป่าวประกาศแก่คนนอกว่าให้ลัทธิพุทธและลัทธิเต๋าส่งเจินเหรินและภิกษุสมณศักดิ์สูงมาฝ่ายละสิบท่าน จากนั้นก็ให้ไปโต้เถียงกันที่วังหลวง ดูว่าใครมีความสามารถในการถกเถียงมากกว่ากัน ทว่าการตัดสินแพ้ชนะที่แท้จริงกลับอยู่ในที่มืด พวกเขาตั้งใจเชิญผู้เฒ่าจากสกุลเจียงอวิ๋นหลินคนหนึ่งมาเป็นประธานโดยเฉพาะ จากนั้นก็ให้เซียนดินสองท่านใช้วิชาอภินิหารมองแม่น้ำและภูเขาผ่านฝ่ามือมาตรวจสอบดูนักพรตท่านหนึ่งและภิกษุท่านหนึ่งตลอดเวลา ต้องจัดให้คนสองคนนี้ทำการโต้วาทีกันเป็นการส่วนตัวโดยไม่ให้ใครจับพิรุธได้ ดูว่าใครที่พระธรรมหรือมรรคกถาสูงกว่ากัน ทั้งต้องแบ่งแยกแพ้ชนะในด้านพระไตรปิฎกและคัมภีร์เต๋า แถมยังต้องเปรียบเทียบในด้านการจัดการเรื่องราว รวมไปถึงความสามารถในการโน้มน้าวชักจูงคน ความรู้ การฝึกบำเพ็ญตน การอบรมสั่งสอน รวมแล้วก็แข่งกันสามด้านพอดี”


ศิษย์ลัทธิขงจื๊อที่อายุมากกว่าขมวดคิ้ว เรื่องวงในเหล่านี้ โจวจวี่หรานเพิ่งจะเคยพูดเป็นครั้งแรก หลังจากใคร่ครวญอยู่ชั่วครู่ หัวคิ้วก็คลายออก “มิน่าเล่าเจ้าขุนเขาถึงได้ไม่โมโห ที่แท้ก็จะใช้หินของภูเขาลูกอื่นมากลึงเป็นหยก การกระทำนี้ของแคว้นชิงหลวน อันที่จริงไม่ถือว่าเลวร้ายไปซะหมด”


โจวจวี่หรานยิ้มอย่างชอบใจ หยิบตะเกียบมาชี้หน้าศิษย์ลัทธิขงจื๊อที่อยู่ฝั่งตรงข้าม “นิสัยนี้ของเจ้าโหวเจิ้งนี่แหละที่ถูกใจข้าที่สุด มองทุกอย่างในมุมกว้าง อีกทั้งยังมองแต่ในด้านดี”


วิญญูชนสำนักศึกษาที่ชื่อว่าโหวเจิ้งส่ายหน้าไม่พูดไม่จา


โจวจวี่หรานถามว่า “นครมังกรเฒ่าเกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ เจ้าไม่คิดจะกลับบ้านไปดูบ้างหรือ?”


โหวเจิ้งยังคงส่ายหน้า “ไปก็ไม่มีประโยชน์ เดิมทีขนบธรรมเนียมประจำบ้านที่บรรพบุรุษสกุลโหวสืบทอดต่อกันมาก็หลงเหลืออยู่ไม่มากแล้ว ก็แค่เทียนกลางสายลม ข้าไปก็ได้แค่บีบให้ไส้เทียนในตะเกียงสว่างขึ้นอีกนิดเท่านั้น ไม่สู้มีชีวิตอยู่เหมือนตายไปครึ่งหนึ่งแบบนี้ยังดีกว่า ข้าได้แต่ฝากความหวังกับเด็กรุ่นหลังที่มีความรับผิดชอบ แล้วถึงจะกล้าช่วยเหลือเขาอีกแรงหนึ่ง”


โจวจวี่หรานพยักหน้ารับ “ยังคงเป็นเจ้าที่คิดได้รอบคอบ”


โหวเจิ้งยิ้มขื่น “ถึงอย่างไรก็เกิดและเติบโตมาจากที่นั่น จะไม่ให้ข้าคิดเผื่อบางเลยหรือ?”


โจวจวี่หรานวางตะเกียบลง ถามว่า “เจ้ากินอิ่มแล้วหรือยัง?”


โหวเจิ้งมองชามขาวใบใหญ่ตรงข้ามที่ว่างเปล่า ไม่เหลือแม้แต่น้ำแกง แล้วก็ไม่สนใจโจวจวี่หรานอีก รีบก้มหน้าก้มตากินบะหมี่ของตัวเองต่อไป


โจวจวี่หรานทอดถอนใจ หันหน้ากลับไปตะโกน “เถ้าแก่ เอามาอีกชาม…ใส่พริกน้อยหน่อย เผ็ดมากของร้านเจ้านี่เผ็ดจนคนตายได้จริงๆ”


บนถนนใหญ่มีสตรีแต่งงานแล้วและเด็กสาวอายุน้อยสวมผ้าคลุมหน้ากลับมาจากเที่ยวชานเมือง โจวจวี่หรานทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจัง “สาวงามที่กลับมาจากท่องเที่ยวฤดูใบไม้ผลิ เหงื่อออกเล็กน้อย บวกกับกลิ่นหอมสดชื่นที่นำกลับมาจากป่าเขาทะเลสาบซึ่งได้กลิ่นเลือนๆ นั้น ช่างงดงามซะจริง”


โหวเจิ้งแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน


โจวจวี่หรานกล่าวต่ออีกว่า “หรือข้าควรจะเข้าไปร่วมวงด้วย เปลี่ยนให้งานโต้วาทีพุทธเต๋าของแคว้นชิงหลวนครั้งนี้กลายเป็นงานประชันเล็กๆ ของสามลัทธิครั้งหนึ่งไปเลย?”


คราวนี้โหวเจิ้งตอบกลับอย่างว่องไว เพียงกล่าวด้วยน้ำเสียงเฉยเมยโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้ามอง “ไม่ได้”


โจวจวี่หรานเอามือตบโต๊ะ “เถ้าแก่ เปลี่ยนเป็นเผ็ดมากเหมือนเดิม!”

 

 

 


บทที่ 380.5 ลางบอกเหตุ

 

ในขณะที่นักปราชญ์และวิญญูชนแห่งสำนักศึกษากำลังนั่งกินบะหมี่เพียนเอ๋อร์ชวนตรงข้ามกัน ในเมืองหลวงห่างไปไม่ไกลมีอารามเต๋าขนาดเล็กที่ชื่อเสียงไม่โด่งดังอยู่แห่งหนึ่ง เจ้าอารามคือนักพรตวัยกลางคน ไร้ชื่อไร้สัญชาติในแคว้นชิงหลวน หากนับแค่ฐานะผู้ฝึกตนย่อมไม่มีค่าพอให้พูดถึง เจ้าอารามท่านนี้ไม่ใช่ผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตกลางด้วยซ้ำ เมื่อเทียบกับอารามเต๋าเก่าแก่ทั้งหลายที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานมาหลายร้อยหรือหลายพันปีในแคว้นชิงหลวน อารามเมฆขาวแห่งนี้เพิ่งจะสร้างขึ้นแค่ร้อยกว่าปี พื้นที่ฮวงจุ้ยดีๆ ในเมืองหลวงล้วนถูกวัดวาอารามที่เป็น ‘ผู้อาวุโส’ ทั้งหลายแบ่งกันไปจนหมดสิ้นแล้ว


อารามเมฆขาวที่มีขนาดเหมือนก้อนเต้าหู้แห่งนี้จึงจำต้องอยู่ติดกับตลาดที่เสียงดังจอแจ ทว่าด้านในอารามกลับมีต้นไม้โบราณอยู่หลายต้น แต่สิ่งที่พอจะเอามาออกหน้าออกตาได้อย่างถูไถนี้กลับสร้างปัญหาใหญ่ให้กับอารามเมฆขาว เด็กๆ ที่อยู่ใกล้กับตลาดชอบเล่นว่าว ว่าวจึงมักจะลอยมาติดอยู่บนต้นไม้ใหญ่ในอารามเป็นประจำ ดังนั้นทุกๆ สามวันห้าวันจึงจะมีสตรีแต่งงานแล้วหรือไม่ก็ชายฉกรรจ์พาเด็กๆ ที่ร้องไห้โยเยมายืนด่าอยู่นอกอาราม ด่าจบก็ค่อยเข้ามาในอารามเต๋าเพื่อตำหนินักพรตน้อยที่ขลาดกลัวทั้งหลาย บอกให้พวกเขานำบันไดพาดต้นไม้แล้วเก็บว่าวกลับมา พอได้ว่าวกลับคืน พวกเด็กๆ ยิ้มทั้งน้ำตา พวกผู้ใหญ่ที่ต้องพักงานในมือเสียเวลามาทำเรื่องไร้สาระส่วนใหญ่จะยังสบถด่าต่อ หนีไม่พ้นประโยคทำนองว่าต้นไม้ผุๆ ที่เป็นตัวปัญหาพวกนี้ ทำไมไม่รู้จักรีบๆ ตัดมาทำเป็นฟืนไปซะ


อันที่จริงทุกครั้งเจ้าอารามวัยกลางคนที่รูปร่างผอมแห้งจะเดินออกมาจากหอหนังสือ แต่ก็แค่กล้ามาแอบยืนหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ไกลๆ เท่านั้น ปล่อยให้ศิษย์น้องหรือไม่ก็ลูกศิษย์รับหน้าที่เป็นหนังหน้าไฟ


มีครั้งหนึ่งนักพรตน้อยของอารามแอบวิ่งออกไปเล่นว่าวกับเด็กละแวกใกล้เคียงที่สนิทกัน ไม่ทันระวังก็ทำให้ว่าวมาติดอยู่บนต้นไม้เหมือนกัน ความคิดในหัวตีกันอยู่พักใหญ่ เพราะเสียดายว่าวตัวนั้นมากจริงๆ จึงฝืนใจมาบอกกับทางอาราม ผลกลับกลายเป็นว่าถูกอาจารย์เจ้าอารามคว้าตัวมาระบายโทสะ ตีจนก้นเกือบลายพร้อย แต่ว่าวันนั้นนักพรตน้อยก็ยิ้มหน้าบาน ที่แท้ไม่รู้ว่าตุ๊กตากระเบื้องที่เขาอยากได้มานานมาอยู่ในผ้าห่มของเขาได้อย่างไร ทำให้เขาเอาไปโอ้อวดกับเด็กๆ คนอื่นได้เป็นนาน


เวลานี้เป็นยามพลบค่ำแล้ว นักพรตวัยกลางคนอยู่ในหอหนังสือขนาดเล็ก เงยหน้าจ้องมองตัวอักษรบนตำราอยู่เป็นนานจนตาเขาเริ่มจะเจ็บเล็กน้อย


บนชั้นหนังสือชั้นหนึ่งในนั้นที่ทั้งสองด้านต่างก็สูงจรดเพดาน นอกจากจะเก็บคัมภีร์เต๋าครบชุดที่มากมายมหาศาลแล้ว อันที่จริงยังปะปนไปด้วยพระไตรปิฎกและคัมภีร์ลัทธิขงจื๊อด้วย


นักพรตวัยกลางคนไล่อ่านอย่างละเอียดจนจบ ลำพังแค่ฉบับร่างของตัวอักษรเล็กๆ ที่สรุปเขียนจากความเข้าใจของตัวเองตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ก็มีมากถึงเก้าแสนกว่าตัว


คนอื่นฝึกตนเพื่อได้ดูแคลนเหล่าผู้สูงศักดิ์ เพื่อบรรลุความเป็นอมตะไม่ดับสลาย เพื่อหลุดพ้นจากกรงขังขนาดใหญ่ของฟ้าดิน ทว่าเจ้าอารามของอารามเต๋าขนาดเล็กท่านนี้กลับเพื่อให้ได้มีชีวิตต่ออีกหลายๆ ปี จะได้อ่านหนังสือได้มากขึ้น


ตำราของอริยะปราชญ์สามลัทธิร้อยสำนักล้วนต้องอ่านให้หนึ่งครบ


……


แม้ว่าตอนนี้กลุ่มของเฉินผิงอันจะถือว่าอาศัยอยู่ใต้ชายคาของพรรคต้าเจ๋อ แต่จู๋เฟิ่งเซียนกลับไม่เคยมาเยือนที่พักของเฉินผิงอันเพื่อตีสนิทเขา แค่เช้าตรู่ของวันชมงานพิธีมาเรียกให้เฉินผิงอันขึ้นเขาไปยังอารามจินกุ้ยที่อยู่บนยอดเขาด้วยกัน


ระหว่างทางที่เดินขึ้นเขา จู๋เฟิ่งเซียนเดินเคียงไหล่ไปกับเฉินผิงอัน เรื่องที่พูดคุยกันก็มีแค่เรื่องขนบธรรมเนียมประเพณีของแคว้นชิงหลวน


พอไปถึงหน้าประตูอารามจินกุ้ย สวี่ป๋อรุ่ยก็ยิ้มรอต้อนรับอยู่แล้ว เขาพาคนสองกลุ่มของจู๋เฟิ่งเซียนและเฉินผิงอันไปนั่งข้างกันตรงแถวหน้าสุดของสถานที่ที่อารามทำพิธีรับลูกศิษย์


สุดท้ายจางกั่วเซียนซือผู้เฒ่าเจ้าอารามรับลูกศิษย์ไปเก้าคน จู๋จื่อหยางและหลิวชิงเฉิงล้วนเป็นหนึ่งในนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย อีกเจ็ดคนที่เหลือ มีสองคนที่เป็นคู่พี่สาวน้องชายซึ่งมีชาติกำเนิดเป็นชาวบ้านธรรมดา อีกห้าคนที่เหลือล้วนเป็นลูกหลานชนชั้นสูงจากสามแคว้นอย่างชิงหลวน ชิ่งซานและอวิ๋นเซียว


เมื่อรวมคนสามคนซึ่งมีสวี่ป๋อรุ่ยเป็นหนึ่งในนั้น เจ้าอารามจางกั่วก็มีลูกศิษย์ผู้สืบทอดทั้งหมดสิบสองคน


นักพรตน้อยที่เอาร่มให้เผยเฉียนยืม ตอนนี้กลายเป็นศิษย์พี่ของคนทั้งเก้าที่เข้าสำนักมาพร้อมกันในภายหลัง เขายืนอยู่ด้านหลังสวี่ป๋อรุ่ย ดีใจจนยิ้มกว้างแทบหุบปากไม่ลง


จากนั้นเขาก็รีบหันมามองเผยเฉียน แต่กลับค้นพบว่านางไม่ได้มองตนเลยแม้แต่น้อย นักพรตน้อยจึงอดผิดหวังนิดๆ ไม่ได้


เรื่องที่เซียนซือลัทธิเต๋ารับลูกศิษย์ ใช้คำว่าพิธีการซับซ้อนยิบย่อยก็ไม่เกินจริงไปแม้แต่น้อย ถึงกับเสียเวลาไปเกือบหนึ่งชั่วยาม


ชมพิธีเสร็จ เหล่าผู้นำของขั้วอิทธิพลต่างๆ อย่างเฉินผิงอัน จู๋เฟิ่งเซียน และหญิงชรา ฯลฯ ทางอารามจินกุ้ยมอบร่มกระดาษน้ำมันกิ่งกุ้ยที่ราคาไม่ธรรมดาให้คนละหนึ่งคัน


จู๋เฟิ่งเซียนยังจะพักอยู่ที่กึ่งกลางภูเขาอีกหลายวัน ถึงอย่างไรจู๋จื่อหยางก็เพิ่งกลายเป็นลูกศิษย์ของจางกั่วเจ้าอารามจินกุ้ย บางทีนางอาจจะยังไม่เคยชินหรือปรับตัวเข้ากับสภาพดินฟ้าอากาศไม่ได้ จู๋เฟิ่งเซียนจึงยังไม่วางใจที่จะลงภูเขาแล้วจากไปทั้งอย่างนี้


ได้ดูพิธีรับลูกศิษย์โดยไม่ต้องเสียเงิน และยังได้ร่มกิ่งกุ้ยมาเปล่าๆ บอกลากับจู๋เฟิ่งเซียนและหญิงชราจากเรือนแยนจือผู้นั้นแล้ว พวกเฉินผิงอันก็ลงจากภูเขาชิงเย่า เร่งเดินทางกันต่ออีกครั้ง เดินไปบนทางเล็กในผืนป่าที่มืดลึกและเงียบสงบ มุ่งหน้าไปยังจวนผู้บัญชาการทหารสูงสุด


วัวดินสีเหลืองเข้ามาร่วมขบวน เผยเฉียนขี่อยู่บนหลังของมัน


ก่อนหน้านี้ครั้งแรกที่เผยเฉียนเรียกร้องว่าจะขี่วัวสีเหลืองก็ถูกเฉินผิงอันเขกมะเหงกแบบเน้นๆ ไปหนึ่งที ทว่าวัวเหลืองกลับไม่ได้ปฏิเสธ ยอมปล่อยให้เผยเฉียนนั่งอยู่บนหลังของตัวเอง


เมื่อเทียบกับคนทั้งสี่ในภาพวาดของพื้นที่มงคลดอกบัว จางซานเฟิงกับสวีหย่วนเสียรู้เรื่องบนภูเขามากกว่า ดังนั้นจึงค่อนข้างจะตกตะลึงมากเป็นพิเศษ


ผ่านไปอีกสิบวัน พวกเขาก็ได้เดินทางผ่านหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่สามด้านล้อมรอบด้วยภูเขา ช่วงสนธยา ควันจากการทำอาหารลอยกรุ่น กระเบื้องดำกำแพงขาว คานแกะสลักเสาลงสี งดงามเงียบสงบดุจแดนสุขาวดี


พวกเฉินผิงอันเดินตามทางเล็กๆ บนสันเขาลงไปก็ถึงหมู่บ้าน แต่กลับพบว่าสื่อสารกันไม่รู้เรื่อง ยังดีที่ภายหลังมีอาจารย์สอนหนังสือในหมู่บ้านคนหนึ่งออกมา เขาสื่อสารกับเฉินผิงอันด้วยภาษาทางการของแจกันสมบัติทวีปอย่างติดๆ ขัดๆ บังเอิญยิ่งนัก เฉินผิงอันจึงได้รู้ว่าหมู่บ้านแห่งนี้มีแต่คนแซ่เฉินแทบทั้งหมด คนแต่ละรุ่นจะต้องฝึกวรยุทธ์ทำหน้าที่เป็นผู้คุ้มกัน แต่ตามกฎบรรพบุรุษที่ตั้งไว้ ต่อให้จะเป็นครอบครัวที่ยากจนแค่ไหน เด็กๆ ก็ต้องเรียนให้จบชั้นประถมปีที่สี่เสียก่อนถึงจะออกจากโรงเรียนไปทำไร่ทำนาได้


ประมุขตระกูลคือผู้เฒ่าวัยเจ็ดสิบปีคนหนึ่ง สีหน้าท่าทางแข็งแรงกระฉับกระเฉง ก้าวเดินรวดเร็วราวกับบิน สวมชุดกว้าตัวยาว (ชุดแบบจีนที่ยาวเกินเข่า) สีเทา สวมรองเท้าผ้า ตามคำบอกของอาจารย์ที่สอนหนังสือคนนั้น ประมุขผู้เฒ่าท่านนี้มีวรยุทธ์สูงส่งที่สุดในพื้นที่รัศมีหลายร้อยลี้นี้ อีกทั้งยังมีชื่อเสียงและคุณธรรมสูงส่ง เพราะปีนั้นมีวีรกรรมยิ่งใหญ่ที่เคยขวางม้าช่วยชีวิตเด็กในตลาดที่วุ่นวาย ดังนั้นจึงได้รับการขนานนามอย่างให้เกียรติว่า ‘เฉินซุ้มประตู’ (เพราะซุ้มประตูในสมัยศักดินาถูกสร้างขึ้นเพื่อยกย่องผู้ที่ทำความดีความชอบ) พอผู้เฒ่าได้ยินว่าเฉินผิงอันก็แซ่เฉินเหมือนกันก็ดีใจอย่างถึงที่สุด เชื้อเชิญพวกเขาให้ไปเป็นแขกที่บ้านอย่างกระตือรือร้น เดิมทีทุกคนกินข้าวเย็นกันเสร็จแล้ว แต่ผู้เฒ่าก็บอกให้คนในครอบครัวทำอาหารโต๊ะใหญ่มาใหม่ ผู้เฒ่าน้ำเหล้าเกาเหลียงที่หมักเองออกมา แล้วนำพาเฉินผิงอันดื่มเหล้าด้วยกัน


แม้ว่าผู้เฒ่าจะชอบดื่มเหล้า แต่เวลาอยู่ในวงเหล้ากลับไม่ชอบคะยั้นคะยอให้คนอื่นดื่ม เมื่อเป็นเช่นนี้กลับกลายเป็นว่าเฉินผิงอันดื่มจนเพลินเสียเอง


สุดท้ายถึงขั้นไม่รู้ว่ากลับไปที่พักได้อย่างไร ตอนที่ตื่นขึ้นมากลางดึกถึงได้พบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงใหญ่ไม่คุ้นตาด้วยท่าทางประหลาด เขาเลิกผ้าห่มออก สวมรองเท้าผลักประตูเดินออกไป เงยหน้ามองด้านบนเห็นโต่วกง (โครงสร้างรับหลังคาแบบจีน มีลักษณะเป็นการเข้าไม้แบบตุ๊กตาหลายๆชิ้นทบซ้อนขึ้นไป) ที่ประณีตงดงาม ตอนนั้นที่อยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัวได้ขอตำรากรมโยธาที่เกี่ยวข้องกับการสร้างสะพานจำนวนมากมาจากราชครูจ้งชิว หนึ่งในนั้นมีเล่มหนึ่งที่ชื่อว่า ‘รูปแบบมาตรฐานการก่อสร้าง’ ที่เฉินผิงอันเปิดอ่านบ่อยที่สุด ไม่ได้มีแค่เรื่องการสร้างสะพานเท่านั้น ยังมีคำแนะนำถึงการสร้างสิ่งปลูกสร้างอย่างบ้าน หอเรือน ฯลฯ อีกด้วย เฉินผิงอันอ่านจนติดงอมแงม


บ้านเรือนส่วนใหญ่ของหมู่บ้านแห่งนี้เชื่อมติดกัน เป็นเหตุให้ระเบียงยาวมากเป็นพิเศษ พี่น้องแม้จะแยกบ้านไปแล้ว แต่กลับยังเป็นเพื่อนบ้านกัน


เฉินผิงอันเดินออกไปจากระเบียงเส้นนั้น เลียบเส้นทางหินสีดำไปถึงข้างบ่อน้ำแห่งหนึ่ง ยืนนิ่งอยู่ที่นั่นพักใหญ่


อันที่จริงก็ไม่ได้คิดอะไรมากนัก แค่ยืนเหม่อเท่านั้น


วันที่สองก็ยังถูกประมุขตระกูลผู้เฒ่ารั้งตัวเอาไว้อย่างยากที่จะปฏิเสธคำเชื้อเชิญได้


แม้ว่าเผยเฉียนจะพูดภาษาท้องถิ่นไม่ได้ แต่ก็ยังสามารถเล่นกับคนวัยเดียวกันได้อย่างสนุกสนาน


วันนี้ตอนที่ไปเรียกให้เผยเฉียนมากินข้าว เด็กทั้งกลุ่มกำลังเล่นเหยี่ยวจับลูกเจี๊ยบกันอยู่


เผยเฉียนบอกให้เฉินผิงอันมาเล่นด้วยกัน เฉินผิงอันยิ้มแล้วงอสองนิ้ว ยกมือขึ้นทำท่าเขกมะเหงก


เพียงแต่ต้านทานลูกตื๊อของเผยเฉียนไม่ไหว เฉินผิงอันจึงเล่นเป็นแม่ไก่ที่ปกป้องลูกเจี๊ยบ ส่วนเผยเฉียนคือเหยี่ยวที่จะจับลูกเจี๊ยบ


เผยเฉียนหรือจะจับ ‘ลูกเจี๊ยบ’ ที่อยู่ท้ายสุดของแถวคนด้านหลังเฉินผิงอันได้


ดังนั้นนางจึงเปลี่ยนตำแหน่งกับคนวัยเดียวกันคนนั้น


ผลกลับกลายเป็นว่าตลอดทั้งการเล่นเป็นเผยเฉียนที่หัวเราะดังที่สุด


นักพรตหนุ่มคนหนึ่งมายืนอยู่ห่างไปไม่ไกล ยิ้มกวักมือเรียกให้อาจารย์และศิษย์อย่างพวกเขาสองคนไปกินข้าว


พวกเด็กๆ ก็แยกย้ายกันกลับบ้านใครบ้านมันพร้อมกับกลิ่นควันจากการทำอาหารและแสงสุดท้ายของวัน รวมไปถึงเสียงตะโกนเรียกชื่อลูกหลานของตัวเองของผู้ใหญ่ที่ยืนอยู่หน้าประตูบ้าน


เฉินผิงอันจูงมือเผยเฉียนเดินไปหาจางซานเฟิง


ตอนที่คนทั้งสามเดินอยู่ในตรอก จู่ๆ ด้านหน้าก็มีผู้เฒ่าล่างเล็กเตี้ยจมูกเปรอะคราบสุราคนหนึ่งโผล่ออกมากะทันหัน เขาสวมชุดคลุมเต๋าสีดำ ตรงชายแขนเสื้อซ้ายขวาต่างก็ปักลายมังกรเพลิงสีแดงสดราวกับมีชีวิตจริง


จางซานเฟิงอึ้งตะลึงอยู่ที่เดิม


เฉินผิงอันกลั้นหายใจทำสมาธิเหมือนเจอกับศัตรูตัวฉกาจ


ส่วนเผยเฉียนก็ยิ่งกล้ามองแค่ไม่กี่ที ก่อนจะรีบก้มหน้าลงไม่กล้ามองอีก


จางซานเฟิงก้าวเร็วๆ ไปข้างหน้า กล่าวอย่างสงสัย “อาจารย์ ท่านมาได้อย่างไร?”


ผู้เฒ่าถลึงตาใส่ “หากอาจารย์ไม่มาจับตัวเจ้ากลับไปฝึกตนบนภูเขา เจ้าคงจะคิดแต่งเมียมีลูก แตกกิ่งก้านสาขาอยู่ข้างนอกนี่สินะ?”


จางซานเฟิงหันไปยิ้มจนใจให้เฉินผิงอัน ความหมายน่าจะประมาณว่าอาจารย์ข้าก็เป็นคนเช่นนี้เอง อย่าได้ถือสาเลย


หลังจากที่นักพรตหนุ่มหันหน้าไป ผู้เฒ่าก็เหม่อมองจางซานเฟิงที่ใบหน้าซีดขาวน้อยๆ แล้วพอเห็นไหล่ของลูกศิษย์ตนที่ถูกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตแทงทะลุก็กระทืบเท้า พูดอย่างเดือดดาล “ใครกล้าทำร้ายเจ้า?! บอกชื่อมันมา อาจารย์…จะเอาเข็มไปทิ่มตุ๊กตาฟางที่เขียนชื่อมันเดี๋ยวนี้!”


จางซานเฟิงยื่นฝ่ามือออกมาเช็ดหน้าตัวเอง มาเจอกับอาจารย์ที่เป็นเช่นนี้ เขาไม่มีหน้าจะพบเฉินผิงอันแล้วจริงๆ


เฉินผิงอันสีหน้าเคร่งขรึม กุมหมัดคารวะนักพรตเฒ่าที่มาจากอุตรกุรุทวีปท่านนี้อย่างจริงจัง


ผู้เฒ่าที่เป็นเทียนซือต่างแซ่ของภูเขามังกรพยัคฆ์พยักหน้าให้เฉินผิงอัน ใช้ริ้วคลื่นในทะเลสาบบอกกับเขาอย่างตรงไปตรงมาว่า “เจ้าหนู สะพานแห่งความเป็นอมตะของเจ้าถูกทำลายแล้วก็สร้างขึ้นใหม่ใช่ไหม? ค่อนข้างจะลำบากหน่อยนะ แต่วัตถุแห่งชะตาชีวิตจากธาตุน้ำห้าธาตุของเจ้าตอนนี้กลับมีกลิ่นอายแห่งเซียนอย่างเปี่ยมล้น อืม ไม่เลวๆ”


พอผู้เฒ่าพูดจบก็หันมามองจางซานเฟิงอีกครั้ง บอกให้เขายื่นมือออกมา นักพรตเฒ่าประกบสองนิ้ววาดยันต์ไว้กลางอากาศเหนือฝ่ามือของจางซานเฟิง พอวาดยันต์เสร็จแล้วก็โบกชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง ประกายแสงสีทองเปล่งระยิบระยับ ชั่วพริบตาเดียวก็หายวับไป จากนั้นกระบี่เจินอู่และมีดสั้นของสวีหย่วนเสียที่เดิมทีควรอยู่ในจวนผู้บัญชาการทหารสูงสุดก็ร่วงลงมาจากกลางอากาศ


จางซานเฟิงไม่แปลกใจแม้แต่น้อย ยื่นมือมารับกระบี่เจินอู่และมีดสั้น ไม่ลืมหันไปอธิบายกับเฉินผิงอัน “ตบะของอาจารย์ข้าไม่สูง อย่างอื่นไม่เชี่ยวชาญ แต่เคล็ดลับเล็กๆ ที่เป็นวิชานอกรีตพวกนี้กลับเก่งกาจอย่างมาก”


ผู้เฒ่าลูบหนวดยิ้ม ใบหน้าเต็มไปด้วยความลำพองใจ ถูกลูกศิษย์แฉ เขากลับไม่คิดว่าน่าอาย กลับกันยังรู้สึกเป็นเกียรติอย่างมาก


เฉินผิงอันมองนักพรตหนุ่ม แล้วก็มองนักพรตเฒ่าที่ชายแขนเสื้อสองข้างปักลายมังกรเพลิง มีความรู้สึกว่าจางซานเฟิงอาจจะเห็นอีกฝ่ายเป็นเงาใต้โคมไฟจึงเข้าใจอาจารย์ของตัวเองผิดมหันต์เลยหรือไม่


ผู้เฒ่าใช้ปลายเท้าวาด ‘ยันต์ผี’ บนพื้นซึ่งมองดูเหมือนเป็นการวาดมั่วซั่ว ไม่มีร่องรอยใดๆ อยู่บนพื้นกระดานหินสีดำ แต่เขากลับบอกให้จางซานเฟิงมายืนอยู่ตรงกลางยันต์ที่เขาวาดเมื่อครู่นี้ จางซานเฟิงทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่ได้พูด เพราะผู้เฒ่าชิงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่ยอมให้ปฏิเสธเสียก่อน “อาจารย์จะพาเจ้าไปเยือนภูเขามังกรพยัคฆ์สักรอบ”


จางซานเฟิงเดินเข้าไปใน ‘ยันต์’ ที่ราวกับว่าไม่มีอยู่จริงแผ่นนั้น โยนมีดสั้นในมือมาให้เฉินผิงอัน ยิ้มเจื่อนกล่าวว่า “ช่วยขอโทษพี่ใหญ่สวีแทนข้าสักคำ ฉุกละหุกเกินไป ได้แต่จากไปโดยไม่ลาแล้ว”


เฉินผิงอันรับมีดสั้นของสวีหย่วนเสียมา นึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้จึงรีบหยิบกล่องไม้สีเขียวออกมาจากวัตถุฟางชุ่น โยนให้จางซานเฟิง “ด้านในมีตราประทับอาคมชิ้นหนึ่งของศาลเทพอภิบาลเมืองแยนจือแคว้นไฉ่อี มอบให้เจ้า ทางที่ดีที่สุดคือเอาไปใช้ร่วมกับเวทห้าอสนี”


จางซานเฟิงเห็นว่ากล่องไม้เก่าแก่เหมือนว่าจะธรรมดามาก จึงรับไว้อย่างสบายใจ


ผู้เฒ่าพลันหรี่ตา แต่ก็กลับมาเป็นปกติในเสี้ยววินาที ยิ้มถามว่า “เจ้ามีอะไรก็ลองเรียกร้องดู ข้าจะนับถึงสิบ หากเกินเวลาจะไม่รอ”


เฉินผิงอันกล่าวอย่างไม่ลังเล “ถ้าอย่างนั้นก็รบกวนเจินเหรินผู้เฒ่าช่วยถ่ายทอดมรรคกถาที่สูงส่งให้กับจางซานเฟิงดีๆ รบกวนเจินเหรินผู้เฒ่าช่วย…ตั้งใจสักหน่อย”


ผู้เฒ่าหัวเราะเสียงดังอย่างอารมณ์ดี ยื่นนิ้วมาชี้หน้าเฉินผิงอัน จุ๊ปากพูด “ไอ้หนู นี่เจ้าด่าคนทางอ้อมนี่นา”


ผู้เฒ่ายื่นมือมาคว้าจับจางซานเฟิง ร่างของคนทั้งสองหายวับไป เฉินผิงอันค้นพบว่าปราณวิญญาณเบาบางรอบตรอกไม่มีความเคลื่อนไหวเลยแม้แต่นิดเดียว


เฉินผิงอันจมสู่ภวังค์ความคิด


เผยเฉียนกระตุกชายแขนเสื้อของเขา ถามว่า “เอายังไงต่อ?”


เฉินผิงอันคืนสติกลับมา ยิ้มตอบว่า “ไปกินข้าวกัน”

 

 

 


บทที่ 381.1 หลังจากแยกย้ายก็จะได้กลับ...

 

เฉินผิงอันมาที่โต๊ะกินข้าวของประมุขสกุลเฉินแล้วนั่งลงตรงตำแหน่งของจางซานเฟิง บอกกับสวีหย่วนเสียอย่างง่ายๆ ว่าจางซานเฟิงถูกอาจารย์ของเขาพาตัวไปแล้ว สำหรับจอมยุทธ์เคราดกแล้ว อย่าว่าแต่เรื่องการจากลาเลย ในอดีตเขาเคยมีชาติกำเนิดอยู่ในสนามรบ เรื่องความเป็นความตายล้วนเห็นมาจนชินแล้ว จึงไม่ได้รู้สึกเศร้าใจเท่าไหร่นัก เฉินผิงอันดื่มเหล้าร่วมกับสวีหย่วนเสียสองสามจอก ก่อนจะมาที่โต๊ะกินข้าว ในมือเฉินผิงอันหิ้วเหล้าหมักกุ้ยฮวาสองกา กาหนึ่งมอบให้แก่ผู้เฒ่าที่สวมชุดคลุมตัวยาว ส่วนอีกกาหนึ่งเอามาดื่มร่วมกับสวีหย่วนเสีย


ผู้เฒ่าดื่มเหล้าเกาเหลียงที่หมักเองมาทั้งชีวิต ความทรงจำที่มีต่อเหล้าจึงเป็นประมาณว่าแสบร้อนลำคอ เผาไหม้ท้องไส้ แถมยังเป็นคนที่มีนิสัยตรงไปตรงมาจึงบอกให้อาจารย์ที่สอนหนังสือซึ่งนั่งอยู่ข้างกายบอกกับเฉินผิงอันด้วยภาษาทางการของแจกันสมบัติทวีปว่าเหล้านี่น่าจะแพงมาก เพียงแต่รสชาติอ่อนนุ่มไปหน่อย ไม่แรงพอ ขาดรสชาติบางอย่างไป ให้สตรีในหมู่บ้านดื่มน่าจะกำลังดี สำหรับเรื่องนี้เฉินผิงอันก็ได้แต่จนใจ สวีหย่วนเสียรู้ดีถึงความล้ำค่าของเหล้าหมักกุ้ยฮวาว่าเป็นเหล้าตระกูลเซียนที่สามารถต่ออายุขัยให้คนธรรมดาได้ เหล้ากาเล็กกานี้ ต่อให้เอาเหล้าเกาเหลียงทั้งหมู่บ้านมารวมกันก็ยังซื้อไม่ได้ ผลกลับถูกผู้เฒ่าชุดคลุมยาวพูดซะเสียหาย ชายฉกรรจ์เคราดกได้ยินแล้วเกือบจะสำลักตาย


พอกินอาหารแล้ว เฉินผิงอันกับสวีหย่วนเสียก็ไปเดินเล่นอยู่ในหมู่บ้านที่เงียบสงบ หลังจากเฉินผิงอันคืนมีดสั้นเล่มนั้นแล้ว สวีหย่วนเสียก็เก็บมีดสั้นลงไป ได้ยินคำอธิบายถึงอาจารย์ของจางซานเฟิงจากปากเฉินผิงอัน สวีหย่วนเสียก็ตกตะลึงอย่างมาก “การย่อพื้นที่ให้หดสั้นของผู้ฝึกลมปราณ เดิมทีก็มีต้นกำเนิดมาจากก้าวลมกรดของลัทธิเต๋า จางซานเฟิงคือนักพรตต่างแซ่ของภูเขามังกรพยัคฆ์ อาจารย์ของเขาเชี่ยวชาญวิชานี้ไม่น่าแปลกใจ เพราะสืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้วก็ยังคงเป็นวิชาของสำนักตัวเอง ประเด็นสำคัญคือต้องดูที่ว่าใช้วิชาอภินิหารครั้งหนึ่งสามารถไปได้ไกลแค่ไหน หนึ่งครั้งไปได้สิบกว่าจั้งกับหลายสิบจั้ง ทั้งสองฝ่ายย่อมต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่หากจะบอกว่าสามารถวาดยันต์ไว้ใต้ฝ่าเท้า พาคนจากไปด้วยกันได้ กลับยังไม่เคยได้ยินมาก่อน”


สวีหย่วนเสียกล่าวต่อ “หากแค่นี้ก็แล้วไปเถิด ทว่าการที่เขาวาดยันต์กลางฝ่ามือจางซานเฟิงก็สามารถเอากระบี่เจินอู่และมีดสั้นกลับมาได้จากระยะทางยาวไกลนับพันลี้ นั่นมันคือวิชาอะไร?”


เฉินผิงอันกล่าวอย่างปลงอนิจจัง “ไม่รู้เหมือนกัน”


สวีหย่วนเสียยิ้มกล่าว “ไม่ว่าจะอย่างไรก็ถือเป็นเรื่องดีที่จางซานเฟิงมีอาจารย์ที่มีวิชาล้ำเลิศเช่นนี้ เพียงแต่เจ้าหมอนั่นไม่มีคุณธรรมสักเท่าไหร่ เอาแต่ปิดบังไว้ ทำให้ข้าเข้าใจผิดมาตลอดว่าเขาคือลูกศิษย์ฝ่ายนอกของสำนักบนภูเขาที่ไม่เข้าขั้นของอุตรกุรุทวีป ถึงอย่างไรพวกนักต้มตุ๋นที่บอกว่าตัวเองเป็นเทียนซือของภูเขามังกรพยัคฆ์ ลงจากภูเขามากำจัดปีศาจปราบมารก็มีมากมาย ตลอดทางที่เดินทางกันมาข้าเป็นกังวลอยู่ตลอดเวลา คอยหยั่งเชิงถามอยู่หลายครั้ง อยากจะแน่ใจว่าเขาเข้าไปอยู่ในสำนักที่ขุดหลุมดักเงินของคนอื่นหรือไม่ หากไปกราบไหว้นักต้มตุ๋นที่มีความรู้งูๆ ปลาๆ เป็นอาจารย์เข้าจริงๆ ก็ควรจะกลับตัวเสียแต่เนิ่นๆ ไม่ต้องย้อนกลับไปที่อุตรกุรุทวีปแล้ว ดีนะที่ตอนนั้นข้าไม่ได้อยู่ด้วย ไม่อย่างนั้นคงถลึงตามองจนตาแทบหลุดออกจากเบ้าไปแล้ว”


เฉินผิงอันหัวเราะเหมือนคนมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น


สวีหย่วนเสียยังลังเลใจอีกเล็กน้อย


คนทั้งสองเดินเลียบเส้นทางหินดำของบ่อน้ำไปอย่างเชื่องช้า เฉินผิงอันกล่าวว่า “พี่ใหญ่สวีมีอะไรก็พูดมาตามตรงเถอะ ระหว่างพวกเรายังจะต้องเกรงใจอะไรกันอีก”


สวีหย่วนเสียจึงเอ่ยว่า “การเดินทางมาแคว้นชิงหลวนครั้งนี้ แรกเริ่มเป็นจางซานเฟิงที่เอาเถ้าอัฐิของสหายโกศนั้นมาส่งเป็นเพื่อนข้า ภายหลังเป็นข้าที่ไปชมงานสัมมนามหายานและพิธีหลัวเทียนร่วมกับจางซานเฟิง ตอนนี้จางซานเฟิงไปจวนเทียนซือที่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางกับอาจารย์ของเขาแล้ว ข้าเลยเริ่มคิดถึงบ้านขึ้นมาบ้างแล้ว”


เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “ถ้าอย่างนั้นก็รีบกลับไป”


สวีหย่วนเสียหยุดเดิน ยื่นฝ่ามือออกมาลูบเคราข้างแก้ม “พเนจรอยู่นอกบ้านมานานหลายปี นอกจากส่งเงินที่ได้จากการเป็นทหารและจดหมายกลับไปแล้ว ก็ไม่รู้ว่าที่บ้านเกิดเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้างแล้ว”


เฉินผิงอันถามเบาๆ “ให้ข้าไปกับท่านดีไหม? หากท่านรู้สึกว่าพวกเว่ยเซี่ยนสี่คนไม่ควรไป ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะพาเผยเฉียนไปกับท่านแค่คนเดียว ให้พวกเว่ยเซี่ยนรออยู่ที่เมืองหลวงแคว้นชิงหลวนก่อน”


สวีหย่วนเสียยิ้มพลางโบกมือ “เจ้าไม่ใช่สตรีงดงามราวบุปผาสักหน่อย ข้าจะต้องให้เจ้ากลับไปบ้านเกิดเป็นเพื่อนทำไม? เจ้าเดินทางไปตามแผนการเดิมของตัวเองเถอะ อย่าให้เสียแผนเพราะข้าเลย”


เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เดิมทีข้าก็ไม่มีแผนการอะไรอยู่แล้ว ทำไม ที่บ้านเกิดของท่านมีเรื่องอะไรที่ให้คนรับรู้ไม่ได้งั้นหรือ? กลัวว่าข้าจะรู้เบื้องลึกเบื้องหลังของท่านหรือไร?”


สวีหย่วนเสียถอนหายใจหนึ่งที นั่งยองอยู่ข้างบ่อน้ำ หยิบมีดสั้นออกมา ใช้ด้ามมีดเคาะลงบนพื้นหินดำเบาๆ “ฐานะครอบครัวของข้าถือว่าพอมีพอใช้ ในอำเภอก็ถือว่าเป็นตระกูลที่มีชื่อเสียง ในอดีตข้าเคยมีคู่หมายมาก่อน ก่อนจะออกจากบ้านเกิด ข้าแอบไปมองแม่นางคนนั้นแวบหนึ่ง หน้าตางดงามใช้ได้ อันที่จริงข้าก็ชอบนาง แต่ตอนนั้นข้าค่อนข้างทระนงตัว คิดว่าแค่สามปีห้าปีก็สามารถสร้างชื่อเสียงให้ตนเองได้ ถึงเวลานั้นจะไปสู่ขอนางอย่างมีหน้ามีตา คิดไม่ถึงว่าไม่ทันระวังก็ใช้ชีวิตอยู่ข้างนอกมาสิบกว่าปีแล้ว”


เฉินผิงอันนั่งยองลงข้างกายสวีหย่วนเสีย เอ่ยปลอบใจ “พี่ใหญ่สวี ท่านเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตห้าที่แท้จริง อีกทั้งยังเชี่ยวชาญการสู้รบ เมื่ออยู่ในบ้านเกิดของท่าน หากคิดจะเป็นแม่ทัพของราชสำนักก็คงไม่ยากกระมัง”


สวีหย่วนเสียพยักหน้ารับ “ไม่ยาก”


แต่จากนั้นเขาก็ถอนหายใจอีกครั้ง “ใกล้ถึงบ้านเกิดกลับยิ่งขลาดกลัว แค่คิดแบบนี้ ในใจก็รู้สึกหวาดหวั่นแล้ว ตอนที่สู้รบเอาชีวิตรอดอยู่บนสนามรบตอนเป็นหนุ่มยังไม่เคยกลัดกลุ้มขนาดนี้มาก่อนเลย”


เฉินผิงอันครุ่นคิด ในเมื่อสวีหย่วนเสียอยากกลับบ้านเกิดเพียงลำพังมากกว่า แสดงว่าต้องมีเหตุผลของตัวเอง เขาจึงพูดขึ้นเบาๆ ว่า “จากนี้ข้าจะไปเยือนเกาะชิงเสียที่ทะเลสาบเจี่ยนหู ไปหาเด็กคนหนึ่งที่ชื่อกู้ช่าน ในอดีตเขาเคยอาศัยอยู่ในตรอกหนีผิงเหมือนกับข้า ตอนนี้อาจารย์ของเขาคือหลิวจื้อเม่าสกัดคงคาเจินจวิน หากทุกอย่างราบรื่น หลังจากนั้นข้าจะไปสำนักศึกษาที่ต้าสุย ไปหาเด็กๆ ที่มาจากบ้านเกิดเดียวกับข้า พี่ใหญ่สวี กลับบ้านเกิดไปแล้ว หากท่านมีเรื่องที่แก้ไขคนเดียวได้ไม่ง่าย ก็อย่าลืมว่ายังมีเพื่อนรักที่ได้รู้จักกันในยุทธภพอยู่อีกสองคน ในเมื่อตอนนี้จางซานเฟิงหาตัวเจอยาก ถ้าอย่างนั้นก็ไปหาข้าเฉินผิงอัน เพียงแต่ว่าอาจจะยุ่งยากสักหน่อย จำเป็นต้องส่งจดหมายไปพร้อมกันสองฉบับ จะได้ไม่คลาดกับข้า”


สวีหย่วนเสียตบไหล่เฉินผิงอัน จากนั้นก็ชี้ไปยังบ่อน้ำที่อยู่ตรงหน้าคนทั้งสอง “ที่บ้านเกิดของข้าใหญ่แค่บ่อน้ำนี่เอง ไม่ใช่แม่น้ำทะเลสาบอะไรหรอก ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตห้าคนหนึ่ง อีกทั้งยังมีอาวุธวิเศษระดับไม่ธรรมดาอีกสองชิ้น มากพอจะให้ข้าโอ้อวดบารมีแล้ว ต่อให้ขุนนางใหญ่ในพื้นที่เจอหน้าข้าก็ยังต้องเห็นข้าเป็นดั่งแขกผู้มีเกียรติ เจ้าคิดว่าทุกคนเป็นเหมือนเจ้าเฉินผิงอันหรือไร?”


เฉินผิงอันส่งน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ไปให้ พูดเบาๆ ว่า “ดื่มเหล้าที่อยู่ในนี้สิ นี่ถึงจะเป็นสุราดีอย่างแท้จริง หากท่านชอบดื่มก็เอาเหล้าไป แต่แน่นอนว่าต้องทิ้งกาเหล้าเอาไว้”


สวีหย่วนเสียเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ผลคือพอดื่มเหล้าหลอมเล็กที่หลอมมาจากโอสถทองของเจียวเฒ่าก่อกำเนิดใน ‘กาเหล้าสีชาด’ หนึ่งคำ ใบหน้าเขาก็พลันแดงก่ำ ปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์ในร่างทะยานขึ้นลง พุ่งไปตามช่องโพรงลมปราณแห่งต่างๆ ประหนึ่งคลื่นยักษ์ที่ตีกระทบหินผา สวีหย่วนเสียรีบโคจรปรับลมปราณ กว่าจะสลายแรงกระแทกจู่โจมขุมนั้นได้ไม่ใช่เรื่องง่าย เขาเรอเอิ้กพ่นเอาลมปราณขุ่นมัวที่เก็บสะสมมานานซึ่งไม่อาจทำให้บริสุทธิ์ได้สักทีออกมาคำหนึ่ง ครั้นจึงเช็ดปาก ดวงตาเป็นประกายแวววาว “เหล้านี้ ผู้ฝึกยุทธ์ดื่มแค่อึกเดียวเท่านั้น สุดยอดจริงๆ เลย”


เฉินผิงอันไม่ได้รีบร้อนเก็บน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่กลับมา เขายกสองแขนกอดอก พูดด้วยรอยยิ้ม “ท่านคิดว่าทุกคนเหมือนท่านสวีหย่วนเสียไปซะหมดหรือไร? ไม่ว่าใครก็ดื่มเหล้าหลอมเล็กในกาเหล้าใบนี้ได้หรือ?”


ชายฉกรรจ์หัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง แล้วจึงไม่คิดจะเกรงใจเฉินผิงอัน ดื่มยาดองอีกอึกใหญ่เพื่อช่วยขจัดลมปราณขุ่นมัวที่ปะปนกันอยู่ในลมปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์ในร่าง สุดท้ายยังไม่สาแก่ใจจึงดื่มเป็นอึกที่สาม ถือโอกาสนั่งลงขัดสมาธิ เข้าฌานดั่งภิกษุเฒ่าอยู่เป็นนาน พอลืมตาขึ้นก็คืนกาเหล้าให้เฉินผิงอัน “เอาล่ะ เรื่องเดิมไม่ทำซ้ำสามครั้ง ในที่สุดชีวิตนี้ก็พอมีความหวังว่าจะได้เห็นทัศนียภาพของผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตหกบ้างแล้ว สามคำก็พอ มากเกินไปจะกลายเป็นว่าไม่ดี รากฐานวรยุทธ์ปูมาได้ไม่ดีพอ ไม่อาจแบกรับของดีๆ เช่นนี้ได้ แต่บอกไว้ก่อนว่ารอให้ข้าฝ่าคอขวดสุดท้ายของขอบเขตห้าได้เมื่อไหร่ ถึงเวลานั้นค่อยขอเหล้าเจ้าดื่มอีกครั้ง”


เฉินผิงอันกล่าวอย่างสงสัย “ถ้าอย่างนั้นก็เอาเหล้าไปเถอะ จะได้ไม่ต้องคอยมาขอจากข้าให้ยุ่งยาก”


แม้ว่าตอนนี้เฉินผิงอันจะต้องการเหล้าดองหลอมเล็กมาบำรุงร่างกายและจิตวิญญาณ แต่การฝึกตนบนวิถีวรยุทธ์ในตอนนี้ได้เดินกลับเข้ามายังเส้นทางที่ถูกต้องแล้ว ไม่ดื่มเหล้าก็แค่ทำให้การไต่ทะยานของตบะช้าลงเท่านั้น ไม่เหมือนการส่งถ่านร้อนท่ามกลางหิมะอย่างตอนที่เพิ่งถูกเรือกลืนกระบี่อาวุธเซียนทำร้ายร่างกายให้บาดเจ็บสาหัสในนครมังกรเฒ่า แต่เป็นแค่การปักบุปผาลงบนผ้าแพรเท่านั้น แต่สำหรับสวีหย่วนเสียแล้ว เหล้าดองที่ทองพันชั่งก็ยากจะหาซื้อได้กานี้กลับมีความหมายไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง ผู้ฝึกยุทธ์ของแคว้นเล็กในแจกันสมบัติทวีปนอกเหนือจากราชวงศ์ต้าหลี ความต่างระหว่างขอบเขตห้ากับขอบเขตหกมักจะได้รับการปฏิบัติที่แตกต่างกันราวฟ้ากับดิน หากเป็นแคว้นเล็กๆ ที่อยู่ห่างไกล ไม่แน่ว่าผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเจ็ดก็อาจเกี่ยวพันไปถึงโชคชะตาบู๊ของหนึ่งแคว้นแล้ว ถ้าเช่นนั้นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตหกที่มีหวังว่าจะเลื่อนสู่ขอบเขตร่างทองก็ย่อมกลายเป็นสมบัติล้ำค่าในใจของกษัตริย์แคว้นเล็กๆ เป็นดั่งของหายากที่ควรต้องเก็บสะสมเอาไว้

 

 

 


บทที่ 381.2 หลังจากแยกย้ายก็จะได้กลับ...

 

สวีหย่วนเสียมองเฉินผิงอันแวบหนึ่ง “เหล้าดองระดับนี้ ดื่มแล้วช่วยให้ตบะรุดหน้า อีกทั้งยังไม่เหลือโรคร้ายทิ้งไว้ภายหลัง แน่นอนว่าเป็นของดีอันดับหนึ่ง ทว่าสำหรับการขัดเกลาสภาพจิตใจของผู้ฝึกยุทธ์ที่ต้องการฝ่าทะลุขอบเขตแล้วกลับไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป มีเหล้าดองยาก็อาจจะทำให้ในใจอดคาดหวังว่าตัวเองจะโชคดีไม่ได้ วันหน้าเมื่อฝึกวิชาหมัด มืออาจจะไม่มีความเกียจคร้าน แต่สภาพจิตใจกลับหละหลวมแล้ว สัจธรรมแห่งหมัดก็ต้องหย่อนคล้อยตามไปด้วย เฉินผิงอัน เจ้าคิดว่าผู้ฝึกยุทธ์ใต้หล้านี้ เมื่อตบะและขอบเขตอยู่ใกล้เพียงเอื้อมมือคว้า แค่ดื่มเหล้าอึกเดียวตบะและขอบเขตก็เพิ่มขึ้นอีกนิด จะสามารถข่มใจไม่แตะต้องได้ไหวหรือ?”


สวีหย่วนเสียมองไปยังทิศไกล พูดอย่างสะท้อนใจ “ต่อให้รู้ดีว่าสุดท้ายจะเป็นอุปสรรคต่อโอกาสในการฝ่าทะลุขอบเขต แต่ข้าสวีหย่วนเสียรู้ดีว่าเวลาปกติย่อมต้องทนไม่ไหว อีกอย่างผีขี้เหล้านี่นะ พอติดเหล้าแล้วยังจะสนคอขวดไม่คอขวดอะไรอีก ดื่มไปแล้วก็ค่อยว่ากันอีกที”


เกี่ยวกับสภาพจิตใจที่แน่วแน่มั่นคงบนเส้นทางของการฝึกตน สวีหย่วนเสียคิดว่าตัวเองสู้จางซานเฟิงไม่ได้ ยิ่งเทียบเฉินผิงอันไม่ติด


เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ถ้าอย่างนั้นก็รอให้พี่ใหญ่สวีเลื่อนสู่ขอบเขตหก ข้าค่อยมอบเหล้าให้ท่าน ถือเป็นเหล้าที่ดื่มเพื่อการเฉลิมฉลอง”


สวีหย่วนเสียพลันเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าเดินทางขึ้นเหนือครั้งนี้ หากมีโอกาสผ่านแคว้นไฉ่อี แคว้นซูสุ่ย อย่าลืมแวะไปหาอริยะกระบี่ผู้เฒ่าเซิ่ง เด็กคู่นั้นของเมืองแยนจือ แน่นอนว่ายังมีคู่สามีภรรยาเรือนผีแห่งนั้นด้วย”


เฉินผิงอันยิ้มกล่าวว่า “นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว ข้ายังต้องเลี้ยงหม้อไฟผู้อาวุโสซ่งมื้อหนึ่ง แล้วค่อยไปดูว่าเด็กคู่นั้นฝึกตนได้ราบรื่นหรือไม่ สุดท้ายยังต้องไปเยือนเรือนเก่าแก่หลังนั้น ลองชิมเนื้อตุ๋นหน่อไม้แห้งฝีมือท่านยาย”


สวีหย่วนเสียหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง ถูกแล้ว เฉินผิงอันยังคงเป็นเฉินผิงอันในปีนั้น ตอนที่ตบไหล่เจ้าหมอนี่อีกครั้ง ชายฉกรรจ์เคราดกเพิ่มแรงบนฝ่ามือค่อนข้างมาก พูดอย่างฮึกเหิมว่า “เฉินผิงอัน เจ้ากับจางซานเฟิงล้วนต้องมีชีวิตที่ดี วันหน้าหากได้ดิบได้ดีและมีชื่อเสียงจนข้าที่อยู่บ้านเกิดยังได้ยิน ถึงเวลานั้นข้าจะได้เอาไปโอ้อวดกับคนอื่น ทำให้คนจำนวนนับไม่ถ้วนร่ำร้องว่าจะเลี้ยงเหล้าข้าสวีหย่วนเสีย ขอให้ข้าเล่าเรื่องของพวกเจ้าสองคนให้พวกเขาฟัง”


เฉินผิงอันกุมหมัดพูดสัพยอก “พี่ใหญ่สวี ขอให้สมพรปากของท่าน”


สวีหย่วนเสียลุกขึ้นยืน “เอาล่ะ ก่อนหน้านี้ยังดี เดินทางเตร็ดเตร่ไปเรื่อยยังไม่รู้สึกว่ามีอะไร แต่พอนึกถึงบ้านเกิดขึ้นมาก็ราวกับว่าหนอนขี้เหล้าในท้องก่อกบฏ ไม่ดื่มเหล้าอึกหนึ่งก็รู้สึกเหมือนจะเป็นจะตาย ฮ่าๆ บ้านเกิดก็มีแต่เหล้าเก่าแก่ไหนั้นแล้ว ต้องกลับไปดื่มสักหน่อย!”


เฉินผิงอันลุกขึ้นตาม “ถ้าอย่างนั้นข้าจะไปเก็บสัมภาระเป็นเพื่อนท่านในที่พัก เดินไปด้วยกันอีกสักระยะทางหนึ่ง”


สวีหย่วนเสียถลึงตาใส่ “จู้จี้เป็นหญิงแก่ ข้อนี้เจ้าต้องเรียนรู้จากจางซานเฟิงซะบ้าง คิดจะไปก็ไป เด็ดขาดฉับไว”


เฉินผิงอันกลอกตามองบน “เขาเนี่ยนะ? ตอนนี้ไม่ร้องไห้ก็ถือว่าจางซานเฟิงเอาถ่านแล้ว ไม่สู้พวกเรามาเดิมพันกันดูไหมล่ะ?”


สวีหย่วนเสียลูบปลายคาง “ถ้าอย่างนั้นข้าเดิมพันว่าจางซานเฟิงต้องแอบอาจารย์เขาไปร้องไห้น้ำตานองอยู่คนเดียว”


เฉินผิงอันก็ลูบปลายคางเช่นกัน “อย่างพวกเราสองคนนี่เรียกว่าวีรบุรุษมีความเห็นสอดคล้องตรงกันหรือไม่?”


สวีหย่วนเสียหัวเราะพลางก้าวเดินยาวๆ จากไปโดยไม่ต้องให้เฉินผิงอันไปส่ง แล้วจอมยุทธ์เคราดกก็นึกขึ้นมาได้ว่าตอนนี้ดึกแล้ว ไม่แน่ว่าเด็กสตรีและคนชราในหมู่บ้านอาจจะนอนหลับกันไปนานแล้วจึงเงียบเสียงลง หันหลังให้เฉินผิงอัน ยกมือขึ้นโบกลาอย่างไม่อืดอาดยืดยาดแม้แต่น้อย


เฉินผิงอันยืนอยู่ที่เดิมด้วยความรู้สึกระทมทุกข์จากการพรากจากเล็กน้อย


ประมาณสองก้านธูปต่อมา เผยเฉียนก็วิ่งมาอย่างมึนงง นางวิ่งไปตามตรอกเล็กตรอกใหญ่ยามค่ำคืนเช่นนี้ค่อนข้างน่าตกใจ บนหน้าผากของนางแปะยันต์กระดาษสีเหลืองแผ่นนั้นเอาไว้ พอหาตัวเฉินผิงอันเจอก็ถามอย่างประหลาดใจ “ทำไมท่านอาเคราดกถึงจากไปล่ะ? หรือเป็นเพราะเขาติดเงินอาจารย์ หามาคืนไม่ได้ ไม่มีหน้ามาพบคนอื่นถึงได้ดอดหนีไปดึกๆ ดื่นๆ”


นี่ทำให้เผยเฉียนหงุดหงิดใจเล็กน้อย นางกระทืบเท้าแรงๆ หนึ่งครั้ง ใช้หมัดทุบฝ่ามือ พูดอย่างขุ่นเคือง “ผียากจนเคราดกผู้นี้ไม่มีคุณธรรมเลยจริงๆ ไม่มีเงินใช้หนี้ก็มาขอยืมข้าเป็นการส่วนตัวสิ ข้าไม่คิดจะเปิดเผยเรื่องน่าอายนี้ของเขาต่ออาจารย์เสียหน่อย”


แม้เผยเฉียนจะไม่รู้สาเหตุ แต่มักจะรู้สึกว่าพอเฉินผิงอันได้พบกับนักพรตหนุ่มที่ความสามารถไม่มากและชายเคราดกที่เสียงดังมาก เขาดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษตลอดการเดินทาง ราวกับว่าดีใจยิ่งกว่าได้เงินมาเพิ่มมากมายซะอีก แต่ในความเป็นจริงแล้วนับตั้งแต่ที่เจอวัวดินสีเหลืองตัวนั้นในหุบเขา อาจารย์ของตนก็ขาดทุนมาตลอดจนถึงตอนนี้ ก่อนหน้านี้ก็เพิ่งยกกล่องไม้สีเขียวใบหนึ่งไปให้จางซานเฟิงไม่ใช่หรือ? ดูเหมือนว่าจะเป็นตราประทับอะไรสักอย่าง อีกอย่างตั้งแต่นครมังกรเฒ่ามาถึงท่าเรือหางผึ้ง เวลาปกติอาจารย์ตัดใจเอาเหล้าหมักกุ้ยฮวากับเหล้าเซียนบ่อน้ำมาดื่มทุกวันได้เสียที่ไหน?


ดูเหมือนว่ามีเพื่อนในยุทธภพจะไม่น่าสนใจสักเท่าไหร่ เพราะตั้งแต่ต้นจนจบก็มีแต่เรื่องเสียเงินทั้งนั้น


เฉินผิงอันยิ้มพลางส่ายหน้า “ท่านอาเคราดกของเจ้าก็แค่คิดถึงบ้านเท่านั้น วันหน้าพวกเราไปหาเขาได้ วันใดที่เจ้าออกมาท่องยุทธภพเพียงลำพังก็สามารถไปหาเขาได้เช่นกัน ถึงเวลานั้นเจ้าก็น่าจะดื่มเหล้าได้แล้ว จำไว้ว่าต้องพกเหล้าดีๆ ไปด้วย”


เผยเฉียนส่ายหน้า “ยุทธภพอันตราย เหล้าแพงเกินไป ข้าตัดสินใจว่าจะไม่ท่องยุทธภพอีกแล้ว”


เฉินผิงอันบิดหูนาง “อายุน้อยๆ ก็พูดกับข้าแล้วหรือว่ายุทธภพอันตราย?”


เผยเฉียนเขย่งปลายเท้า พูดวิงวอน “เหล่าเว่ยกับท่านอาเคราดกล้วนพูดแบบนี้ ข้าก็เลยรู้สึกว่าพูดแบบนี้เหมือนวีรบุรุษในยุทธภพอย่างมาก ก็เลยพูดไปอย่างนั้นเอง”


เฉินผิงอันปล่อยมือ ยิ้มกล่าว “เดินนิ่งหกก้าว กลับไปนอน”


ตอนนี้การเดินนิ่งของเผยเฉียนเริ่มเข้าท่าเข้าทีแล้ว เพียงแต่ว่ายืนนิ่งเจี้ยนหลูยังเข้าไม่ถึงแก่น ส่วนท่าฟ้าดินนั่น เผยเฉียนรู้สึกอยากเรียนมาก เพียงแต่เรียนไม่ได้ เพราะตอนนี้แม้แต่ตั้งท่าก็ยังทำไม่ได้


หนึ่งค่ำคืนผ่านไปอย่างสงบ


ไก่ในหมู่บ้านโก่งคอขันแต่เช้า หลังจากเฉินผิงอันตื่นนอนแล้วก็ไม่ได้ออกมาเดินเล่น เพราะอีกสองเค่อคนที่ฝึกวรยุทธ์ของหมู่บ้านแห่งนี้ก็จะมารวมตัวกันที่ลานแสดงวรยุทธ์แล้ว เช้าเย็นสองครั้ง เป็นอย่างนี้ตลอดทั้งปี แม้ฟ้าผ่าก็ไม่อาจสั่นคลอน ขอแค่เป็นบุรุษ ไม่ว่าจะเป็นชายฉกรรจ์หรือเด็กหนุ่มก็ล้วนต้องทำเช่นนี้ ต่อให้สตรีอยากจะเข้าร่วมด้วยก็ยังไม่มีข้อห้ามใดๆ


ถึงอย่างไรหากคิดจะเป็นผู้คุ้มกัน หากไม่มีฝีมือการต่อสู้อย่างแท้จริงก็ไม่อาจช่วงชิงความน่าเชื่อถือมาให้ตัวเองได้ และตามคำบอกของอาจารย์ในโรงเรียน ลูกหลานสกุลเฉินที่เป็นทำอาชีพเป็นผู้คุ้มกันอยู่ในยุทธภพล้วนอาศัยฉายา ‘เฉินซุ้มประตู’ ของประมุขตระกูล ถือว่ามีชื่อเสียงและบารมีอย่างมากในแคว้นชิงหลวนแห่งนี้


เมื่อวานตอนที่เฉินผิงอันเดินผ่านลานแสดงวรยุทธ์ของตระกูลเฉิน เขาไม่ได้หยุดยืนดูเหมือนที่ทำกับศูนย์ฝึกวรยุทธ์ของพื้นที่มงคลดอกบัว แต่ก้าวเร็วๆ จากไปโดยตรง


ไม่เพียงเท่านี้ ยังบอกกับคนทั้งสี่ในภาพวาด โดยเฉพาะหลูป๋ายเซี่ยงกับสุยโย่วเปียนว่า ทางที่ดีที่สุดไม่ควรพกอาวุธเดินอยู่ในหมู่บ้าน


เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม


เช้าวันนี้คนทั้งกลุ่มกินอาหารเช้าร่วมกัน กินอาหารเสร็จแล้วก็ต้องไปจากหมู่บ้าน เฉินผิงอันวางแผนว่าจะไปเยือนเมืองหลวงแคว้นชิงหลวนสักครั้ง ไปร่วมงานโต้วาทีพุทธเต๋าที่ฮ่องเต้สกุลถังทุ่มเทแรงกายแรงใจจัดขึ้นแล้วค่อยจากไป แคว้นชิงหลวนนอกจากท่าเรือหางผึ้งที่อยู่ติดกับแคว้นทั้งสามแล้ว ทางทิศตะวันออกภายในอาณาบริเวณของแคว้นยังมีท่าเรือตระกูลเซียนอยู่แห่งหนึ่ง ว่ากันว่ามีขนาดใหญ่กว่าท่าเรือหางผึ้งเล็กน้อย ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ท่าเรือหางผึ้งแล้วรู้ถึงความโกลาหลวุ่นวายในภาคกลางของแจกันสมบัติทวีป ทั้งบนและล่างภูเขาต่างอยู่กันไม่เป็นสุข เรือข้ามฟากหลายลำที่มุ่งหน้าไปที่นั่นล้วนหยุดการเดินทางไว้ชั่วคราว อีกทั้งทะเลสาบเจี่ยนซูก็ไม่มีท่าเรือ และท่าเรือสองแห่งที่อยู่ใกล้ทะเลสาบเจี่ยนซูมากที่สุดที่ซึ่งอยู่ในพื้นที่สำคัญอย่างเมืองหลวงแคว้นหนึ่งและอยู่ในสำนักบนภูเขาแห่งหนึ่ง ตอนนี้ต่างก็ประสบหายนะ ถูกกองทัพม้าเหล็กของต้าหลีเหยียบย่ำจนเลือดสดกระเซ็นไปสี่ทิศ ดังนั้นเฉินผิงอันจึงอยากจะไปลองเสี่ยงดวงที่ท่าเรือทางทิศตะวันออกดู ไม่อย่างนั้นหากคิดจะเดินทางไปทะเลสาบเจี่ยนซู เส้นทางก็ยาวไกลเกินไปมากจริงๆ


ตอนที่ทุกคนนั่งล้อมโต๊ะกินโจ๊กกัน แต่ละคนต่างทยอยกันหันไปมองลานบ้านเบื้องล่างเพดานเปิดอ้านอกห้อง เงาร่างสีขาวหิมะร่างหนึ่งลอยออกมาจากมุมมืดของระเบียงจึงค่อนข้างสะดุดตา หลังจากยืนนิ่งแล้ว คนผู้นั้นก็คลี่ยิ้มเจิดจ้า


คือเทพเซียนเด็กหนุ่มชุดขาวคนหนึ่ง


เมื่อเทียบกับเฉินผิงอันแล้วมีกลิ่นอายความเป็นเซียนมากกว่าเสียอีก


เผยเฉียนเหม่อมองแขกที่ไม่ได้รับเชิญคนนี้ ไม่รู้ว่าผีดลใจหรือเพราะเหตุใดถึงรีบหยิบยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจมาแปะลงบนหน้าผากตัวเอง


เฉินผิงอันวางตะเกียบลง ถอนหายใจหนึ่งที


คนทั้งสี่ในม้วนภาพต่างก็มีสีหน้าสงสัย


คนผู้นี้นอกจากเสื้อผ้าและหน้าตาที่โดดเด่นแล้วก็มองไม่ออกว่าตบะลึกหรือตื้น แม้แต่ข้อที่ว่าเป็นเทพเซียนบนภูเขาหรือผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวก็ยังบอกได้ยาก


แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ ในใจคนทั้งสี่ก็ยิ่งไม่มีความมั่นใจ


เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน เดินมาหยุดอยู่ใกล้กับธรณีประตู เอ่ยถามว่า “เจ้ามาได้อย่างไร?”


เด็กหนุ่มชุดขาวผู้นั้นน้ำตาเอ่อคลอดวงตา ริมฝีปากสั่นระริก ท่าทางซาบซึ้งใจอยู่มาก เขาร้องไห้พลางโผเข้าหาเฉินผิงอันเหมือนจะกอดเฉินผิงอันเอาไว้ ปากก็ระบายความทุกข์หลังจากที่ต้องพลัดพรากจากกัน “ศิษย์มาช่วยท่านช้าไป ทำให้อาจารย์ต้องเจอกับความทุกข์ยากมากถึงเพียงนี้ ต่อให้ศิษย์ชุยตงซานตายเป็นร้อยรอบก็ยากจะไถ่โทษ…อ๊า…”


เฉินผิงอันถีบ ‘ลูกศิษย์’ ที่ทำตัวน่ารังเกียจผู้นั้นกระเด็นออกไปทันที


เผยเฉียนเบิกตากว้าง เจ้าหมอนี่โผล่มาจากไหนกัน บังอาจจะมาแย่งอาจารย์กับตนอย่างนั้นรึ?


เด็กหนุ่มชุดขาวหมุนตัวอยู่กลางอากาศหลายตลบจนนับครั้งไม่ได้ ชายแขนเสื้อสองข้างพลิ้วสะบัด งดงามราวกับก้อนเมฆสีขาวที่ถูกเซียนยื่นมือผลักออกไป

 

 

 


บทที่ 382.1 โชคชะตาบู๊ของหนึ่งแคว้น

 

หลังจากชุยตงซานยืนได้มั่นคงแล้วก็ปาดน้ำตา วิ่งเหยาะๆ มาหา “อาจารย์นอนกลางดินกินกลางทรายมาตลอดทาง เดินทางไกลอยู่ใต้หล้าไม่ใช่แค่หนึ่งล้านลี้ ลำบากท่านแล้ว ลำบากเหลือเกินแล้ว ศิษย์ไม่อาจคอยอยู่เคียงข้างช่วยอาจารย์คลายทุกข์ สมควรตาย สมควรตายจริงๆ”


หลูป๋ายเซี่ยงกระจ่างแจ้งอยู่ในใจ จำได้ว่าเฉินผิงอันเคยพูดว่าตัวเองมีลูกศิษย์ที่ ‘ไม่ได้รับการบันทึกชื่อ’ อยู่คนหนึ่งซึ่งเรียนหนังสืออยู่ในสำนักศึกษาซานหยาต้าสุย เล่นหมากล้อมเก่ง มีโอกาสสามารถประลองฝีมือกันได้


เฉินผิงอันหมุนตัวกลับมานั่งที่ม้านั่งตัวยาว เผยเฉียนที่บนหน้าผากยังแปะกระดาษยันต์สีเหลืองลังเลเล็กน้อย ก่อนจะยกที่นั่งของตัวเองให้อีกฝ่าย แล้วเดินไปนั่งข้างกายสุยโย่วเปียนแทน


ชุยตงซานก้าวยาวๆ ข้ามธรณีประตูเข้ามา แต่กลับไม่ได้นั่งลงข้างกายเฉินผิงอัน เขาเดินไปหยิบชามและตะเกียบจากในห้องครัวมาให้ตัวเองก่อน สุดท้ายนั่งอยู่บนม้านั่งตัวเดียวกับหลูป๋ายเซี่ยง ชุยตงซานเตรียมจะคีบเต้าหู้ยี้ที่กินกับโจ๊กขึ้นมา แต่จู่ๆ กลับวางตะเกียบลง “ศิษย์ปวดใจจนมิอาจจับตะเกียบได้”


เฉินผิงอันถามเข้าประเด็นทันที “เจ้าตามมาโดยดูจากเนื้อหาในจดหมายที่ข้าส่งไปให้หลี่เป่าผิงฉบับนั้น? แต่เจ้ามาทำอะไรที่แคว้นชิงหลวน ถึงอย่างไรข้าก็ต้องไปหาพวกเจ้าที่สำนักศึกษาซานหยาอยู่แล้ว มาเพื่องานโต้วาทีพุทธเต๋าน่ะหรือ?”


ชุยตงซานยิ้มตอบ “พวกลูกเจี๊ยบที่แย่งกันจิกอาหาร มีอะไรให้น่าดู ข้ากลัวแต่ว่าหากไม่ทันระวัง…”


ภายใต้สายตาของทุกคนที่จับจ้องมองมา เทพเซียนเด็กหนุ่มที่พูดจาใหญ่โตพลันตบบ้องหูตัวเอง “ไม่โม้แล้วจะตายหรือไง”


หลังจากนั้นเฉินผิงอันก็ไม่ถามอะไรอีก ชุยตงซานจึงจ้วงตะเกียบเร็วราวกับบิน กินไปไม่น้อยเลย


หลังกินอิ่ม จูเหลี่ยนกับเผยเฉียนช่วยกันเก็บโต๊ะ ชุยตงซานถามผู้เฒ่าหลังค่อมว่าต้องการให้ช่วยหรือไม่ จูเหลี่ยนพูดอย่างเกรงใจว่าไม่ต้อง ชุยตงซานจึงร้องอ้อหนึ่งทีแล้วออกไปจากห้องพร้อมกับเฉินผิงอัน เดินไปทางลานบ้านใต้เพดานเปิดโล่งอย่างสง่างาม


หลูป๋ายเซี่ยงเอ่ยถาม “หากมีเวลาว่าง ขอเล่นหมากล้อมกับเจ้าสักตาจะได้ไหม?”


ชุยตงซานไม่แม้แต่จะหันหน้ากลับมา เพียงโบกมือกล่าวว่า “เล่นไม่เป็น”


รอจนเด็กหนุ่มชุดขาวออกไปพ้นจากสายตาแล้ว ทุกคนก็พลันรู้สึกโล่งเหมือนยกภูเขาออกจากอกพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย


จูเหลี่ยนยืนอยู่หน้าประตูห้องครัว เช็ดคราบน้ำที่มือ มองเว่ยเซี่ยนที่นั่งอยู่บนบันได ถามด้วยรอยยิ้ม “ว่ายังไง?”


เว่ยเซี่ยนเอ่ยอย่างเฉยเมย “เห็นปลาชัดเกินไปย่อมไม่ดี” (ความหมายก็คือหากคนคนหนึ่งสายตาดีเกินไป ไม่ว่าน้ำในลำคลองจะใสหรือขุ่น เขาก็ล้วนมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่ามีปลาอยู่มากน้อยเท่าไหร่ นี่ไม่ใช่เรื่องที่ดี เพราะคนผู้นี้อาจเจอกับอันตรายหรือไม่ก็อาจต้องตาบอด)


ส่วนหลูป๋ายเซี่ยงก็ถามสุยโย่วเปียน “เจ้ารู้สึกว่าเป็นเพราะคนผู้นี้รู้สึกว่าข้าไม่มีคุณสมบัติที่จะเล่นหมากล้อมกับเขา หรือเป็นเพราะกลัวว่าตัวเองจะขายหน้า?”


สุยโย่วเปียนตอบไม่ตรงคำถาม “เนื้อหนังมังสาร่างนี้ค่อนข้างจะแปลก”


เผยเฉียนผลุบๆ โผล่ๆ หัวอยู่ตรงหน้าประตูของห้องหลักราวกับว่ายังต้องหลบเด็กหนุ่มผู้หล่อเหลาที่สวมชุดขาวพลิ้วไหวคนนั้น กลัวว่าหากกะพริบตาอีกฝ่ายจะวิ่งออกมาจากระเบียงอีก


ดูท่านางจะกลัวคนผู้นี้มากจริงๆ


เพียงแค่ชั่วเวลากินอาหารหนึ่งมื้อ เผยเฉียนก็มองชุยตงซานผู้นี้เป็นสัตว์ร้ายที่มากับน้ำไหลบ่าแล้ว (เปรียบเปรยถึงหายนะ/พิบัติภัยที่ยิ่งใหญ่มาก)


เฉินผิงอันพาชุยตงซานมาเดินเล่นในตรอกของหมู่บ้าน บนพื้นล้วนปูด้วยแผ่นหินสีดำมันเกลี้ยงแวววาวราวกับกระจก ชุยตงซานเดินตามมาด้านหลังเฉินผิงอันอย่างว่าง่าย ตรอกที่ค่อนข้างมืดสลัวซึ่งอยู่ตรงกลางระหว่างกำแพงสูงทั้งสองด้าน พื้นสีดำ อาจารย์และลูกศิษย์สองคนจึงคล้ายนกสีขาวสองตัว


ฝีเท้าของชุยตงซานว่องไว เดินเคียงบ่าไปกับเฉินผิงอัน มือหนึ่งไพล่หลัง อีกมือหนึ่งตีกำแพง พูดเบาๆ ว่า “ได้ยินมาว่าอาจารย์ได้ร่างกายนอกกายจิตหยางของตู้เม่าที่เป็นผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานมา? นั่นมันร่างที่เทียบเคียงกับผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนเหรินเชียวนะ ระดับความยืดหยุ่นทนทานมากพอจะทัดเทียมกับผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเก้าได้เลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่าคราบร่างเซียนเหรินนี้ถูกตู้เม่านำมาสร้างให้คล้ายคลึงกับถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลขนาดเล็กแห่งหนึ่งนานแล้ว ใครที่ได้เป็นนกพิราบครองรังนกกางเขน คนคนนั้นก็จะได้ครอบครองความราบรื่นในการเลื่อนสู่ห้าขอบเขตบนบนมหามรรคา”


เฉินผิงอันถาม “ได้ยินมา? เจ้าได้ยินใครพูดมา?”


ชุยตงซานยิ้มบางๆ “คนบนภูเขาย่อมต้องมีแผนการอันมหัศจรรย์ของตัวเอง ศิษย์ก็มีช่องทางของตัวเอง”


เฉินผิงอันถามไปตรงๆ “เจ้าต้องการคราบร่างเซียนเหรินนี้?”


ชุยตงซานสีหน้าซับซ้อน ส่ายหน้ากล่าวว่า “เนื้อหนังมังสาของข้าในเวลานี้ เดิมทีก็เป็นคราบร่างเซียนเหรินในยุคบรรพกาลอยู่แล้ว อีกอย่างยังเป็นร่างของเจียวหลงบางตัวในแคว้นสู่โบราณ เมื่อเทียบกับกายนอกกายของตู้เม่าร่างนี้ ระดับความล้ำค่าก็มีแต่จะมากกว่า ไม่มีด้อยกว่า เพียงแต่ว่าของดีที่มูลค่าควรเมืองเช่นนี้ ใครบ้างที่เห็นแล้วจะไม่เกิดหวั่นไหวอยากได้มาครอง? หากอาจารย์สงสารศิษย์ โบกมือหนึ่งครั้งมอบคราบร่างเซียนเหรินนี้ให้แก่ศิษย์ ศิษย์ย่อมซาบซึ้งใจจนน้ำหูน้ำตาไหล ยอมเป็นวัวเป็นม้าให้อาจารย์…”


เฉินผิงอันถาม “จะไปหาวัตถุหยินที่แข็งแกร่งซึ่งคู่ควรกับคราบร่างเซียนเหรินนี้ได้จากที่ไหน? วิญญาณวีรบุรุษในซากปรักหักพังของสนามรบโบราณ? หรือว่าพวกขุนพลผีราชาผีที่อยู่ในสุสานไร้ญาติ?”


ชุยตงซานยิ้มทะเล้น “ที่แท้อาจารย์ก็เชี่ยวชาญเรื่องนกพิราบครองรังนกกางเขนขนาดนี้เชียวหรือ แต่ศิษย์ยังมีข่าวที่ไม่ดีนักจะบอกกับอาจารย์ สนามรบโบราณที่มีทหารหยินแม่ทัพหยินล่องลอยป้วนเปี้ยนอยู่เป็นจำนวนนับไม่ถ้วนก็ดี สุสานไร้ญาติที่ฝังร่างคนที่ตายอย่างอยุติธรรมไว้หลายหมื่นหลายแสนคนก็ดี เจ้าพวกของเล่นที่ถูกฟูมฟักออกมาจากสถานที่เหล่านี้ยังเล็กจ้อยเกินไป หากจะพูดถึงตบะ มากสุดก็แค่ผีก่อกำเนิด ไม่อาจสยบคราบร่างเซียนเหรินไว้ได้เลย ถ้าเข้าไปอยู่ข้างในก็ไม่ต่างจากเข้าไปในกระทะน้ำมันเดือด หรือเข้าคุกน้ำ ทั้งสองฝ่ายต่างก็รุกรานกัดกินกัน ไม่มีใครที่จะมีจุดจบที่ดี ดังนั้นสืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้วก็ยังต้องอาศัยหน้าตาและโชคของอาจารย์เองว่าจะสามารถพบเจอวัตถุหยินที่เกิดมาก็มีฐานกระดูกแข็งแรง มีกระดูกที่แข็งอย่างถึงที่สุดหรือไม่ ส่วนขอบเขตของภูตผีหรือวัตถุหยินนั้นจะสูงหรือต่ำ กลับกลายเป็นว่าไม่สำคัญ”


เฉินผิงอันจดจำไว้ในใจเงียบๆ จากนั้นก็พูดว่า “อีกเดี๋ยวข้าจะเดินทางไปที่เมืองหลวงแคว้นชิงหลวนแล้ว ระหว่างทางอาจผ่านจวนผู้บัญชาการทหารสูงสุดแห่งหนึ่ง แต่ไม่แน่เสมอไปว่าจะไปเยือน ทว่ามีความเป็นไปได้มากว่าอีกฝ่ายจะเป็นฝ่ายมาหาพวกเราเอง เรื่องพวกนี้ต้องบอกกับเจ้าไว้ก่อน”


ชุยตงซานยกสองมือขึ้นกุมคารวะ “อาจารย์เชิญจัดการได้ตามสบาย ศิษย์ไม่มีความเห็นต่าง”


เวลาห้าวันหลังออกมาจากหมู่บ้าน ขึ้นเขาลงห้วย นอกจากชุยตงซานจะพูดจาประจบเอาใจเฉินผิงอันแล้ว เขาก็ไม่ไปคบค้าสมาคมกับเผยเฉียนและสี่คนในภาพวาด แทบไม่เคยพูดอะไรกับคนเหล่านี้


ราวกับว่าในกลุ่มแค่มีผู้ติดตามที่ว่างงานทั้งวันเพิ่มขึ้นมาอีกคนหนึ่งเท่านั้น นอกจากวันที่ปรากฎตัวซึ่งไม่ปกติแล้ว การแสดงออกของชุยตงซานหลังจากนั้นก็สมกับคำว่าอยู่เฉยไม่ทำอะไร ใช้ชีวิตธรรมดาสามัญอย่างแท้จริง ตอนที่หลูป๋ายเซี่ยงเล่นหมากล้อมกับสุยโย่วเปียน เขาก็ไม่ขยับเข้าไปใกล้ ตอนที่เผยเฉียนฝึกท่ากระบี่บ้าคลั่งก็ไม่แม้แต่จะชายตามอง ตอนที่จูเหลี่ยนก่อไฟหุงหาอาหารก็ไม่เคยช่วยเหลือ ตั้งแต่เช้าจรดค่ำเอาแต่ตามติดอยู่ข้างกายเฉินผิงอันต้อยๆ


วันนี้พวกเขามาถึงอำเภอขนาดเล็กแห่งหนึ่ง ด้านในมีศาลบุ๋นศาลบู๊ เพียงแต่ว่าควันธูปของศาลบุ๋นหม่นหมอง ควันธูปของสายบู๊รุ่งโรจน์โชติช่วง เล่าลือกันว่าศาลแห่งนี้ศักดิ์สิทธิ์ในการคุ้มครองปกปักษ์และให้โชคให้ลาภ เมื่อเป็นเช่นนี้ควันธูปจะไม่โชติช่วงได้อย่างไร


พอถึงยามค่ำคืน ศาลบู๊ที่ตอนกลางวันคึกคักคลาคล่ำไปด้วยผู้คนก็เงียบสงบขึ้นเยอะมาก ศาลบุ๋นบู๊จะไม่เหมือนกับศาลอื่นๆ ที่ส่วนใหญ่จะปิดประตูตอนกลางคืน วันนี้เฉินผิงอันหยุดพักแรมในตัวอำเภอ และพอถึงช่วงกลางคืนก็พาชุยตงซานเดินทางไปที่ศาลบุ๋นบู๊ บอกให้คนทั้งสี่ในภาพวาดอยู่โรงเตี๊ยมเพื่อดูแลเผยเฉียน


คนทั้งสองไปที่ศาลบุ๋นก่อน ด้านในศาลบูชาขุนนางบุ๋นที่ได้สมญานามว่าเหวินเจิน (คือสมญานามขั้นสูงสุด เหวินหมายถึงสุภาพอ่อนน้อม เจินหมายถึงความซื่อสัตย์จงรักภักดี) ในประวัติศาสตร์ของแคว้นชิงหลวน เคยเป็นขุนนางที่เคยสร้างความผาสุกให้กับผู้คนในท้องถิ่น ศาลบุ๋นน้อยใหญ่ที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงล้วนตั้งเทวรูปบูชาคนผู้นี้


การที่มาเยือนศาลบุ๋นในยามค่ำก็เพราะก่อนหน้านี้ตอนที่เฉินผิงอันอยู่บนสันเขาห่างไปไกลแล้วมองลงมาที่อำเภอ หากเพ่งตามองจะพอเห็นได้เลือนๆ ว่าในเมืองมีสองสถานที่ที่อากาศเบื้องบนมีก้อนเมฆทะมึน ปราณชั่วร้ายลอยผุดพุ่ง จากนั้นก็ค่อยๆ แผ่กระจายไปทั่วสี่ทิศของอำเภอ พอเฉินผิงอันค้นพบความผิดปกตินี้ ชุยตงซานก็เลยแย้มพรายความลับของที่แห่งนั้น “ศาลบุ๋นถูกเล่นงาน ถูกผู้ฝึกตนนำมาทำเป็นสะพานข้ามแม่น้ำที่บังคับโคจรให้ขโมยโชคลาภของใครบางคน หากชาวบ้านในเมืองที่เกิดมาก็พอจะมีคุณสมบัติในการฝึกตน ไม่แน่ว่าช่วงนี้หากไปจุดธูปกราบไหว้ก็อาจจะมองเห็นเทวรูปอริยะบุ๋นบู๊หลั่งน้ำตาเป็นสายเลือดได้ในเสี้ยววินาที หรือไม่ตอนกลางคืนที่นอนหลับก็อาจมีเทพสององค์ของที่แห่งนี้มาเข้าฝันบอกเตือน”


เพียงแต่ว่าพอพวกเฉินผิงอันไปเยือนที่ศาลบุ๋น นอกจากปราณอึมครึมที่ค่อนข้างจะเข้มข้นแล้ว ก็ไม่มีลางว่าองค์เทพจะแสดงความศักดิ์สิทธิ์ใดๆ ออกมา เป็นแค่เทวรูปดินเผาไร้ชีวิตที่มีควันธูปบางเบาล้อมเวียนวนเท่านั้นเอง


ตอนที่ออกมา ชุยตงซานยิ้มอธิบายว่า “ถึงอย่างไรพวกเราก็เป็นคนนอก ไม่เคยจุดธูปในศาลบุ๋นแห่งนี้มาก่อน เดิมทีองค์เทพในพื้นที่องค์นี้ก็มีดวงจิตอ่อนแอดุจตะวันที่ใกล้จะลาลับตกดินอยู่แล้ว ต่อให้อยากจะเผยตัวมาคุยกับพวกเราก็ยังยาก อีกทั้งยังมีความกังขาในตัวพวกเรา ก็ไม่สู้หลบซ่อนตัวรอความตาย ยังไงก็ดีกว่าออกจากร่างทองแล้วถูกพวกผู้ฝึกตนที่มีจิตคิดร้ายจับเอาไว้ ใช้วิธีพันธนาการวิญญาณมากักขัง แบบนั้นไม่เท่ากับพาตัวไปติดร่างแหหรอกหรือ ไม่แน่ว่าจุดจบอาจจะอนาถกว่าร่างทองถูกทำลายเสียอีก”


พอมาถึงศาลบู๊ หัวใจของเฉินผิงอันหดรัดเกร็ง เห็นเพียงว่าท่ามกลางภาพบรรยากาศที่มองดูคล้ายจะเจริญรุ่งเรืองกลับมีความเยียบเย็นน่าสะพรึงกลัวที่ทำให้คนขนลุกขนชันแทรกซอนอยู่ เพิ่มความร้อนแรงให้กับสถานการณ์ย่อมไม่ใช่แผนการในระยะยาว ไม่เพียงแค่นี้เท่านั้น ตอนที่เฉินผิงอันไปดูเศษซากก้านธูปที่เหลืออยู่ในกระถาง คีบออกมาท่อนหนึ่ง เพียงไม่นานมันก็สลายกลายเป็นผุยผงอยู่บนปลายนิ้ว มีกลิ่นคาวจางๆ ขุมหนึ่งลอยโชยมา


 

 

 


บทที่ 382.2

 

ชุยตงซานเดินข้ามธรณีประตูใหญ่เข้ามานานแล้ว เขาเอามือสองข้างไพล่หลัง จ้องนิ่งมองไปยังร่างทองของเทวรูปที่สูงหนึ่งจั้ง ถึงอย่างไรก็เป็นการตั้งบูชาในศาลบู๊ของอำเภอเล็กๆ แห่งหนึ่ง จึงไม่มีการปิดทองตกแต่งภายนอกมากนัก ดังนั้นเทวรูปดินเผาเองก็ไม่สูงเท่าไหร่ เวลานี้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่จมอยู่ในปลักดินโคลนองค์นี้อยู่ในสภาวะหลับสนิท หากไม่ได้กำลังไปเข้าฝันชาวบ้านหรือขุนนางท้องถิ่นก็คงกำลังหาวิธีรับมือกับการแทรกซึมของควันธูปที่ได้มาไม่ถูกวิธีอย่างยากลำบาก


 


หลังจากที่เฉินผิงอันเดินเข้าไปในห้องโถงใหญ่ ชุยตงซานก็ยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกมาโบกชายแขนเสื้อ ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “อาจารย์สามารถอาศัยโอกาสนี้มาดูการเผยตัวของโชคชะตาบู๊ในโลกใบนี้”


 


เพิ่งจะขาดคำของเขา เฉินผิงอันก็ได้ยินเสียง ‘ติ๋ง’ ดังขึ้นในทะเลสาบหัวใจ


 


เงยหน้ามองไปก็เห็นว่าตรงจุดสูงมีน้ำสีทองหยดหนึ่งหยดลงมา สุดท้ายร่วงหล่นใส่กระถางธูปที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของเทวรูปจึงเกิดริ้วกระเพื่อมเบาๆ


 


เพียงแต่เฉินผิงอันตั้งใจรออยู่พักใหญ่ก็ไม่เห็นน้ำฝนสีทองหล่นลงมาจากฟ้าอีกแล้ว


 


ชุยตงซานหลุดหัวเราะพรืด “นี่ก็คือโชคชะตาบู๊แห่งแคว้นชิงหลวนของสกุลถังแล้ว หากเป็นราชวงศ์สกุลหลูในอดีต ไม่ว่าจะเป็นในศาลบู๊แห่งใดก็ล้วนมีภาพที่หยดน้ำหลายหยดร่วงหล่นติดต่อกันมาอย่างรวดเร็วจะแทบจะกลายเป็นเส้นยาว นี่ไม่เกี่ยวข้องกับระดับความสูงต่ำของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพียงแต่ว่าเชื่อมโยงกับโชคชะตาแคว้นของหนึ่งแคว้นว่าสั้นหรือยาว เกี่ยวพันกับโชคชะตาบู๊ว่าหนาหรือบาง อีกทั้งผู้ฝึกลมปราณทั่วไป ต่อให้เป็นเซียนดินก็ยังได้แค่มองดูดายอยู่ข้างๆ ข้าเองก็แค่พอจะรู้เวทลับยุคบรรพกาลบางอย่าง อีกทั้งยังเรียนรู้วิชาที่เกี่ยวข้องกับควันธูปขององค์เทพมาจากเสินจวินผู้เฒ่าในร้านยามาบ้าง ถึงได้พอจะทำให้มันปรากฏตัวได้ ส่วนพวกแคว้นซูสุ่ย แคว้นไฉ่อีที่อาจารย์เคยเดินทางผ่านนั้น ยังสู้แคว้นชิงหลวนที่มีของเหลวสีทองควันธูปหนึ่งหยดหล่นลงมาภายในเวลาหนึ่งก้านธูปไม่ได้ด้วยซ้ำ ไม่แน่ว่าต้องใช้เวลาถึงสองสามก้านธูปกว่าจะรวบรวมได้หนึ่งหยด”


 


และพอเฉินผิงอันรอจนครบเวลาหนึ่งก้านธูปก็ได้เห็นฝนควันธูปสีทองอันเป็นสัญลักษณ์ของชะตาบู๊หยดลงมาอีกครั้งจริงๆ


 


เฉินผิงอันพอจะเข้าใจบ้างแล้ว ตอนนั้นที่อยู่ในนครมังกรเฒ่า วิญญาณกระบี่บอกว่าเผยเฉียนคือ ‘ตัวอ่อนชะตาบู๊’ นั่นเป็นครั้งแรกที่เฉินผิงอันได้ยินคำเรียกนี้


 


เมื่อเอามาเชื่อมโยงเข้ากับคำพูดของชุยฉานในคืนนี้จึงเริ่มชัดเจนมากขึ้น คิดดูแล้วน่าจะคล้ายคลึงกับการที่เจ้าแม่เทพวารีลำคลองหมายเหอมองปราดเดียวก็มองออกว่าแก่นควันธูปของแต่ละเดือนมีกี่จินกี่ตำลึง ส่วนตระกูลเซียนบนภูเขาก็มีต้นไม้และหญ้าวิเศษที่นำมาใช้ช่วยตรวจสอบโชคชะตาภูเขาและแม่น้ำว่ามีมากหรือน้อย


 


เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เจ้ากำลังรอให้ข้าถามเจ้าว่าศาลบู๊ของต้าหลีเป็นอย่างไรใช่ไหม?”


 


ชุยตงซานกุมหมัดคารวะ ก้มหน้าหัวเราะ “อาจารย์ช่างกระจ่างแจ้งในเรื่องทางโลก ครั้งนี้ออกจากบ้านเดินทางไกลมาได้แค่ไม่กี่ปีก็มีจิตใจเช่นนี้แล้ว ไม่เสียแรงที่เป็นผู้มีพรสวรรค์ ดั่งเทพในร่างคน”


 


เฉินผิงอันมองชุยตงซานปราดหนึ่ง ลังเลอยู่ชั่วขณะ แต่ก็ยังถามว่า “ราชวงศ์ต้าตวนของแผ่นดินกลางที่มีเทพีสงคราม ภาพบรรยากาศในศาลบู๊ของพวกเขาจะไม่ยิ่งแข็งแกร่งยิ่งใหญ่กว่าแคว้นบ้านเกิดของอวี๋ลู่หรอกหรือ?”


 


ชุยตงซานหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “นั่นมันแน่อยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นสกุลหลิวเทพเจ้าแห่งทรัพย์สินเงินทองของธวัลทวีปจะยินดีลงเดิมพันข้างราชวงศ์ต้าตวนได้อย่างไร นอกจากสำนักการค้า สำนักจ้งเหิงของเมธีร้อยสำนักแล้ว อันที่จริงยังมีระบบการศึกษาอีกไม่น้อยที่เลือกราชวงศ์ต้าตวน”


 


แต่แล้วชุยตงซานก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเสียดายเล็กน้อย “นอกจากเรื่อง ‘ศาลบู๊ในท้องถิ่น หยดน้ำมองชะตา’ แล้ว อันที่จริงศาลบู๊ดั้งเดิมที่อยู่ในเมืองหลวงของทุกแคว้นยังสามารถมองตรวจสอบได้มากกว่านี้ หรือถึงขั้นมองเห็นการลด การเพิ่มที่เกิดขึ้นเพราะคนบางคนได้อีกด้วย”


 


ชุยตงซานเดินมานั่งบนธรณีประตูศาลบู๊ เงยหน้ามองไปยังเทวรูปขุนพลบู๊ที่ตกอยู่ในสภาพย่ำแย่ แสงเรืองรองหม่นมัว พูดอย่างปลงอนิจจังว่า “ในอดีตเคยได้ยินว่าราชวงศ์ต้าตวนมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่มีชะตาบู๊น่าตะลึงโผล่มา เขาถูกอาจารย์พากลับไปด้วยกัน วันที่เขาเข้าไปอยู่ในถิ่นกำเนิดของราชวงศ์ต้าตวน ภาพบรรยากาศโชคชะตาบู๊ของศาลบู๊แต่ละแห่งที่เดิมทีก็น่าเหลือเชื่ออยู่แล้วยิ่งเปลี่ยนจากน้ำในลำคลองไปเป็นน้ำตกใหญ่หนึ่งสาย กระถางธูปที่เหมือนกลายมาเป็นอ่างน้ำเกิดสะเก็ดน้ำชะตาบู๊จำนวนนับไม่ถ้วนกระเซ็นขึ้นมาจนก่อให้เกิดเสียงดังครืนครั่น ขอแค่เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ต่อให้อยู่ห่างจากศาลไปไกลก็ยังได้ยินเสียงที่น่าตกตะลึงนี้”


 


เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “คนผู้นั้นชื่อเฉาสือ ข้าเคยพบเขาที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ยังได้ต่อสู้กับเขาสามครั้ง แพ้ทุกครั้ง ข้าแพ้อย่างยอมศิโรราบให้ทั้งกายและใจ หวังว่าวันหน้าจะไม่ทิ้งระยะห่างจากเขามากนัก และยังมีโอกาสได้สู้กันอีกสามครั้ง”


 


ชุยตงซานมองเฉินผิงอันที่มีสีหน้าใจกว้าง ยิ้มจริงใจก็ยกนิ้วโป้งให้พลางพูดชมจากใจจริง “อาจารย์ร้ายกาจ ปณิธานสูงส่งยาวไกล…”


 


คำพูดยกยอประโยคนี้ฟังดูแล้วไม่ประจบเอาใจที่สุด หากมีคนนอกอยู่ด้วย ยกตัวอย่างเช่นสี่คนในภาพวาด ไม่แน่ว่าอาจจะยังรู้สึกว่าชุยตงซานเหมือนจะพูดดี แต่แท้จริงแล้วกลับจงใจแขวะเฉินผิงอัน แต่เฉินผิงอันกลับรู้ดีว่านี่น่าจะเป็นคำพูดที่จริงใจที่สุดของชุยตงซานแล้ว


 


เพียงแต่ว่าชุยตงซานกลับถอนหายใจ ใบหน้าเต็มไปด้วยความเสียดาย “อาจารย์อยู่ในยุคสมัยเดียวกับคนผู้นี้ เสียเปรียบยิ่งนัก”


 


เฉินผิงอันเดินมาตรงหน้าประตู ชุยตงซานลุกขึ้นยืน คนทั้งสองก้าวออกจากธรณีประตูไปด้วยกัน เฉินผิงอันพลันพูดขึ้นว่า “เป็นราชครูชุยฉานที่ตรวจสอบพบการเปลี่ยนแปลงของโชคชะตาบู๊ในศาลบู๊ดั้งเดิมของต้าหลี ดังนั้นจึงส่งเจ้ามาช่วยพูด เพราะกลัวว่าข้าจะพาเว่ยเซี่ยนสี่คนเปลี่ยนสัญชาติไปอยู่แคว้นอื่น ยกตัวอย่างเช่นต้าสุย?”


 


คราวนี้ชุยตงซานไม่ได้ประจบสอพลอ เพียงแค่อืมรับหนึ่งที “ทางฝั่งของเสินจวินผู้เฒ่าได้รับข่าว รู้ว่าท่านเริ่มฝึกตนแล้ว จำเป็นต้องหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิต ใต้เท้าราชครูผู้เฒ่าของพวกเราท่านนั้นจึงเสนอการแลกเปลี่ยนครั้งหนึ่ง ขอแค่อาจารย์บอกให้เว่ยเซี่ยนสุยโย่วเปียนสี่คนย้ายเข้าสัญชาติต้าหลี วัตถุแห่งชะตาชีวิตธาตุดินของห้าธาตุ ราชวงศ์ต้าหลีสามารถบอกให้อาจารย์รู้ถึงที่ตั้งห้าขุนเขาในท้ายที่สุดของแจกันสมบัติทวีป และตอนนี้สามารถสั่งจองดินห้าสีให้กับอาจารย์ได้ล่วงหน้า ดินที่มาจากรากภูเขาของห้าขุนเขา ทุกขุนเขาสามารถเอาออกมาให้ได้สิบจิน มากพอให้อาจารย์หลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตสองครั้งแล้ว”


 


ไม่รอให้เฉินผิงอันปฏิเสธหรือตอบรับ ชุยตงซานก็อธิบายต่อทันทีว่า “วัตถุแห่งชะตาชีวิตชิ้นที่สองที่อาจารย์จะหลอมถือเป็นเรื่องเร่งด่วน แต่ไม่ต้องเป็นกังวล ดินห้าขุนเขา ตอนนี้นอกจากภูเขาพีอวิ๋นที่เว่ยป้อนั่งบัญชาการณ์ซึ่งชอบด้วยเหตุผลแล้ว ขุนเขาใต้ของฟ่านจวิ้นเม่ายังเป็นแค่ต้นกล้า ส่วนภูเขากลาง ตะวันออกและตะวันตกอีกสามแห่ง แม้ว่าสกุลซ่งต้าหลีจะมีความตั้งใจมานานแล้ว แต่ในช่วงสิบยี่สิบปีนี้ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะแต่งตั้งได้อย่างราบรื่น เรื่องพวกนี้อาจารย์ไม่ต้องเป็นกังวล เพราะนี่จะกลับกลายเป็นเรื่องดี ระดับความยากในการหลอมตอนนี้จะน้อยลง อีกอย่างอาจารย์เพิ่งจะฝึกตน ไม่จำเป็นต้องใช้วัตถุแห่งขชะตาชีวิตที่ระดับขั้นสูงเกินไปนัก รอจนขุนเขาทั้งห้าได้รับการยอมรับจากราชสำนักต้าหลีและสถานศึกษาบางแห่งของลัทธิขงจื๊อในแผ่นดินกลาง เชื่อมโยงโชคชะตาของหนึ่งทวีปไว้ได้อย่างมั่นคงแล้ว ถึงเวลานั้นวัตถุแห่งชะตาชีวิตของอาจารย์ก็จะระดับขั้นสูงตามไปด้วย”


 


คนทั้งสองเดินออกจากศาลบู๊ เฉินผิงอันที่เดินอยู่บนถนนใหญ่ท่ามกลางม่านราตรีเอ่ยถาม “นี่คือการแลกเปลี่ยนที่ราชครูชุยฉานจะทำกับข้า เจ้าชุยตงซานคิดว่าอย่างไร?”


 


ชุยตงซานหยุดเดิน “อาจารย์เชื่อใจข้าหรือ?”


 


เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่เชื่อ แต่ต่อให้เป็นคำลวง ข้าก็ยังอยากลองฟังอยู่ดี”


 


ชุยตงซานหลุดหัวเราะพรืด ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ก็ลองฟังคำลวงของข้าดู ในสายตาของศิษย์ชุยตงซาน การที่สี่คนนั้นมีสัญชาติต้าหลี สำหรับอาจารย์แล้วคือเรื่องดีที่มีแต่ผลประโยชน์ ไม่สู้ลองเอาใครสักคนหนึ่งมาตั้งราคากับสกุลซ่งต้าหลีดู เอาดินห้าสีสิบจินของแต่ละพื้นที่มาให้ได้ก่อน ส่วนเรื่องที่ว่าตัวอาจารย์เองจะเปลี่ยนสัญชาติจากต้าหลีไปเป็นต้าสุย หรือเป็นสัญชาติอื่นอะไรก็ตามแต่ รอจนวันที่ห้าขุนเขาของต้าหลีได้รับตำแหน่งที่ถูกต้องชอบธรรมอยู่ในแจกันสมบัติทวีป อาจารย์ค่อยตัดสินใจก็ยังไม่สาย ส่วนระหว่างนี้จะหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตธาตุดินหรือไม่ก็ล้วนไม่ส่งผลต่อผลประโยชน์ที่อาจารย์ได้รับมาก่อนหน้า อย่างน้อยมีอยู่ในกระเป๋าก็สบายใจอย่างไรล่ะ”


 


เฉินผิงอันเงียบงัน สาวเท้าเดินหน้าต่อไป


 


หลังจากเดินไปได้หลายก้าวก็พบว่าชุยตงซานยังยืนอยู่ที่เดิม เฉินผิงอันหันหน้ากลับไปมอง ชุยตงซานหัวเราะคิกคัก “คืนนี้ศิษย์จะไปจัดการกับเหตุไม่คาดฝันที่เกิดขึ้นในศาลบุ๋นบู๊สักหน่อย หากเป็นฝีมือของพวกผู้ฝึกตนมารนอกรีต ศิษย์ก็จะผดุงคุณธรรมแทนสวรรค์ ช่วงชิงผลบุญเล็กๆ ในปรโลกมาให้อาจารย์ หากเป็นเพราะการอบรมสั่งสอนของท้องถิ่นไม่ดีพอ เป็นชาวบ้านในพื้นที่ที่ก่อกรรมทำชั่วเอง ก็หวังว่าอาจารย์จะปล่อยให้ศิษย์นิ่งดูดายอยู่เฉยๆ ปล่อยควันธูปของที่นี่ไปตามยถากรรม”


 


เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ได้”


 


จากนั้นเขาก็หมุนตัวเดินจากไป คิดจะกลับโรงเตี๊ยม


 


ชุยตงซานพลันตะโกนเรียก “อาจารย์!”


 


เฉินผิงอันหันกลับมา “มีอะไร?”


 


ชุยตงซานพูดอย่างขุ่นเคือง “ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวสี่คนที่ราวกับมดสี่ตัวนั้น ในฐานะผู้ติดตามของอาจารย์กลับทำตัวไม่เคารพท่านเช่นนี้ หลายวันมานี้ศิษย์ปฏิบัติตามบทบาทของอาจารย์และศิษย์ ได้แต่มองอยู่ข้างๆ ไม่อาจพูดอะไร เห็นแล้วก็ให้รู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวใจยิ่งนัก นับตั้งแต่พรุ่งนี้ไป ขออาจารย์โปรดอนุญาตให้ศิษย์สั่งสอนพวกเขาว่าเป็นคนควรทำเช่นไร!”


 


เฉินผิงอันถามด้วยรอยยิ้ม “เจ้าคิดจะสั่งสอนอย่างไร?”


 


ชุยตงซานยืนอยู่ใต้บันไดของประตูใหญ่ศาลบู๊ กล่าวอย่างเด็ดเดี่ยวและผึ่งผาย “แน่นอนว่าต้องปฏิบัติตามความรู้ของอาจารย์ ใช้เหตุผลสยบคน ใช้คุณธรรมสยบคน”


 


เฉินผิงอันไม่สนใจชุยตงซานอีก เขาเดินตรงกลับไปที่โรงเตี๊ยม ระหว่างทางกลับก็ใคร่ครวญไปด้วยว่าชุยตงซานมาที่นี่เพราะเหตุใดกันแน่ แล้วเพราะอะไรถึงออกมาจากสำนักศึกษาซานหยาต้าสุยกะทันหัน


 


เรื่องคราบร่างเซียนเหรินที่ทำให้คนอิจฉาตาร้อนอยากครอบครองของตู้เม่า เรื่องสัญชาติที่ราชครูผู้เฒ่าชุยฉานเป็นคนเสนอ รวมไปถึงงานโต้วาทีพุทธเต๋าที่มีคลื่นอยู่ใต้น้ำของแคว้นชิงหลวน เฉินผิงอันมีความรู้สึกว่านี่ล้วนเป็นเป้าหมายในการเดินทางมาของชุยตงซาน แต่กลับไม่ใช่เป้าหมายที่สำคัญที่สุด


 


ห่างออกไปไกลทางด้านหลัง ชุยตงซานหมุนตัวกลับเดินขึ้นบันได อ้าปากหาว ย้อนกลับเข้าไปในศาลบู๊อีกครั้ง

 

 


บทที่ 383 บนกระดานหมาก

 

เฉินผิงอันกลับมาถึงโรงเตี๊ยมก็พบว่าไม่เพียงแต่เผยเฉียนที่ยังไม่นอน ยังเป่าแผ่นยันต์ที่แปะบนหน้าผากเล่น คนทั้งสี่ในม้วนภาพวาดก็ล้วนมารวมกันอยู่ในห้องครบทุกคน ต่างก็กำลังรอฟังผลจากศาลบุ๋นบู๊


เฉินผิงอันรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย พวกเขาทั้งกลุ่มเดินทางตั้งแต่ภาคกลางของใบถงทวีปมาถึงแคว้นชิงหลวนทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของแจกันสมบัติทวีป ผ่านศึกเป็นตายมาก็หลายครั้ง ตามหลักแล้วไม่ควรจะสนใจศาลบุ๋นบู๊ในอำเภอเล็กๆ แห่งนี้ ต่อให้ในสถานที่เล็กๆ จะมีลมมารฝนปีศาจ แต่ก็ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะไม่มีทางสร้างคลื่นลมมรสุมใหญ่อะไรได้ ทว่าไม่นานเฉินผิงอันก็เข้าใจ มีความเป็นไปได้มากว่าคืนนี้เป็นครั้งแรกที่ชุยตงซานลูกศิษย์ของตน ‘ลงมือ’ คิดดูแล้วพวกเว่ยเซี่ยนสุยโย่วเปียนจึงค่อนข้างให้ความสนใจ


หลังนั่งลงเรียบร้อย จูเหลี่ยนก็รินชาส่งมาให้ เฉินผิงอันจึงกล่าวอย่างตรงไปตรงมา “มีคนเล่นตุกติกกับศาลบุ๋นบู๊จริงๆ ชุยตงซานจะจัดการทุกอย่างให้เหมาะสมเอง จะไม่ทำให้การเดินทางวันพรุ่งนี้ล่าช้า”


สุ่ยโย่วเปียนมีนิสัยตรงไปตรงมาที่สุด นางพูดเข้าประเด็นโดยตรงว่า “ชุยตงซานผู้นี้เป็นลูกศิษย์ของเจ้าจริงๆ หรือ?”


เฉินผิงอันลูบศีรษะเผยเฉียน บอกให้นางไปนอนก่อน แต่เผยเฉียนกลับบอกว่านอนไม่หลับ กลัวผี บอกว่าตัวเองนอนไม่นิ่ง ชอบเตะผ้าห่ม ถึงเวลานั้นถ้าเตะแผ่นยันต์บนหน้าผากหลุดไป ภูตผีปีศาจก็คงจะฉวยโอกาสนี้เข้ามาหลอกหลอน แบบนั้นก็ไม่เท่ากับว่าปกป้องพี่หญิงสุยไม่ได้หรอกหรือ


เพราะเฉินผิงอันเคยพูดถึงข้อห้ามและกฎเกณฑ์บางอย่างเกี่ยวกับเรื่องยันต์ให้เผยเฉียนฟัง ยกตัวอย่างเช่นยันต์เป็นทั้งยันต์คุ้มกันกายเวลาขึ้นเขาลงห้วย สามารถสยบกำราบสิ่งชั่วร้าย ทำให้พวกเทพภูเขาและแม่น้ำปลายแถว รวมถึงภูตผีหวาดกลัวยำเกรง แต่ขณะเดียวกันก็เป็นดั่งโคมไฟสว่างจ้าดวงหนึ่งที่ชักนำให้พวกผีร้ายที่ไม่หวาดกลัวลมพายุในโลกคนเป็นเกิดความละโมบอยากครอบครอง หรือไม่ก็มองเป็นศัตรูได้อย่างง่ายดาย


เฉินผิงอันจึงไม่ได้บังคับให้เผยเฉียนกลับไปนอนที่ห้องด้านข้างในทันที แต่พูดกับสุยโย่วเปียนว่า “แม้ว่าตอนแรกชุยตงซานจะหน้าด้านหน้าทนตอแยข้า แต่ตอนนี้เขากลับถือเป็นลูกศิษย์ของข้าจริงๆ ตลอดทางมานี้พวกเจ้าก็น่าจะพอเข้าใจนิสัยของเขาคร่าวๆ แล้วว่าเป็นคนเย่อหยิ่งทระนงตน ขอแค่พวกเจ้าไม่ไปหาเรื่องเขา ชุยตงซานก็ไม่มีทางเป็นฝ่ายวางแผนเล่นงานพวกเจ้า กฎเกณฑ์ต่างๆ ยามท่องอยู่ในใต้หล้าไพศาล เช่นก่อนหน้านี้ที่ข้าเคยพูดกับเผยเฉียนว่าไม่เคารพภูเขาได้ แต่ไม่เคารพน้ำไม่ได้ เวลาเข้าวัดไปไหว้พระ หากคนเยอะไม่จำเป็นต้องรอ อันที่จริงเรื่องพวกนี้ล้วนเป็นชุยตงซานที่อธิบายให้ข้าฟังตอนที่ข้าเดินทางร่วมกับเขา”


เฉินผิงอันไม่ได้พูดตรงเกินไปนัก ไม่ได้บอกว่าในสายตาของราชครูต้าหลีที่อยู่ในร่างของเด็กหนุ่ม คนทั้งสี่ในม้วนภาพวาดที่เดินออกมาจากพื้นที่มงคลดอกบัว ยังไม่มีค่าพอให้เขาต้องใช้กลอุบายด้วย


เพียงแต่ว่าคำพูดเช่นนี้ทำร้ายจิตใจคนมากเกินไป เฉินผิงอันจึงรู้สึกไม่ดีที่จะพูดออกมา


ก็เหมือนวันที่ได้กลับมาพบกันอีกครั้งที่ชุยตงซานพูดถึงเรื่องคราบร่างเซียนของตู้เม่าโดยตรง แม้ปากจะขอร้องให้เฉินผิงอันใจกว้างยกคราบร่างเซียนให้เขา แต่ในใจชุยตงซานอาจไม่ได้ให้ความสำคัญกับมันเสมอไป


ชุยตงซานยินดีมาตอแยเขาเฉินผิงอัน สิ่งที่เขามองเห็นอย่างแท้จริงอาจไม่ได้อยู่บนร่างของเขา แต่อยู่ที่เงามืดและเบื้องหลังม่านที่อยู่ห่างไปไกลแสนไกล อยู่ที่อาจารย์ฉีซึ่งไม่มีร่างกายและจิตวิญญาณเพราะจากโลกนี้ไปแล้ว อยู่ที่ซิ่วไฉเฒ่าเหวินเซิ่งที่กักขังตัวเองให้อยู่ในกรอบและให้ ‘สอดคล้องกับกฎเกณฑ์’ ของใต้หล้าไพศาล อยู่ที่อาเหลียงที่บินทะยานไปยังฟ้านอกฟ้า งัดข้อกับเต๋าเหล่าเอ้อร์ อยู่ที่ลู่เฉินเจ้าลัทธิเต๋าที่ตอนนี้นั่งบัญชาการณ์ป๋ายอวี้จิงห้าเมืองสิบสองชั้น


ต้าหลีสามารถสร้างหอกระบี่เลียนแบบป๋ายอวี้จิงแห่งนั้นขึ้นมาได้ก็มีเงาของสำนักหยินหยางและสำนักโม่ให้เห็นอยู่แล้ว ยังรวมไปถึงภูเขาเจินอู่และศาลลมหิมะที่เป็นปฐมสำนักการทหารของแจกันสมบัติทวีป โดยเฉพาะฝ่ายแรกที่มีความเชื่อมโยงกับต้าหลีอย่างลึกซึ้งมานานแล้ว ยังรวมถึงนครมังกรเฒ่าเมืองที่การค้าร่ำรวยซึ่งอยู่ทางทิศใต้สุด ในบรรดาเมธีร้อยสำนักที่มีศักยภาพมากที่สุดเว้นจากสามลัทธิ นอกจากสำนักนิติธรรม สำนักจ้งเหิงที่ไม่เคยเปิดเผยโฉมหน้าแล้ว อันที่จริงต้าหลีก็ถือว่าได้รับความโปรดปรานจากกองกำลังมากมายนอกเหนือจากในทวีปของตัวเองแล้ว


นี่ต่างหากถึงจะเป็นความมั่นใจที่ทำให้ต้าหลีกล้าฮุบกลืนแผ่นดินครึ่งหนึ่งของแจกันสมบัติทวีปมาครอง


กองทัพม้าเหล็กต้าหลี ซ่งจ่างจิ้งอ๋องเจ้าเมืองคือผู้ที่แย่งชิงแผ่นดินซึ่งแสดงออกให้เห็นภายนอก แต่จะรักษาแผ่นดินไว้อย่างไรกลับยิ่งเป็นการทดสอบรากฐานและความสามารถของราชวงศ์ต้าหลีเอง


เรื่องเหล่านี้เฉินผิงอันใคร่ครวญออกมาเองหลังจากที่ได้เห็นประวัติศาสตร์ในแต่ละช่วงตอนของแม่น้ำแห่งกาลเวลาสายยาวในพื้นที่มงคลดอกบัว อาจจะอยู่ห่างจากความจริงอีกไม่น้อย แต่ทิศทางคร่าวๆ น่าจะไม่ผิดเป็นแน่


และหมากล้อมในการกรีฑาทัพลงใต้ของราชวงศ์ต้าหลีกระดานนี้ได้เกี่ยวพันไปถึงกองกำลังที่ซับซ้อนมากมาย คนที่วางแผนอย่างละเอียด ช่วยให้สกุลซ่งต้าหลี ‘ตระเตรียมทุกอย่างไว้พร้อมสรรพ’ ก็คือ ‘เด็กหนุ่มชุดขาว’ ที่อยู่ในศาลบู๊คนนั้น


ตอนนี้มาย้อนนึกดู การเดินทางในแจกันสมบัติทวีปของเฉินผิงอัน ต้าสุยที่อยู่ทางทิศเหนือและแคว้นหวงถิงอันเป็นแคว้นใต้อาณัติ แคว้นไฉ่อี แคว้นกู่อวี๋และแคว้นซูสุ่ยที่อยู่ภาคกลาง จนกระทั่งมาถึงนครมังกรเฒ่า ทุกก้าวเดินของเขา อันที่จริงล้วนอยู่ในกระดานหมากล้อมของราชครูชุยฉาน ไม่เคยเดินออกไปนอกสถานการณ์หมากบนกระดานเลย เพียงแต่ว่าชุยฉานและชุยตงซานที่วิญญาณแยกจากกัน ราชครูสองคนที่หนึ่งอยู่ในร่างเด็กหนุ่ม หนึ่งอยู่ในร่างคนแก่ต่างก็ไม่ได้ให้ความสนใจเขาเฉินผิงอันเท่านั้น


หลูป๋ายเซี่ยงยิ้มถาม “ท่านชุยผู้นี้คือผู้ฝึกตนที่มีตบะลึกล้ำจนหวนกลับคืนสู่สภาพดั้งเดิมใช่ไหม?”


เฉินผิงอันไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไร ได้แค่พูดไปว่า “เขาเคยเป็นลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊ออย่างถูกต้องชอบธรรม บ้านเกิดอยู่ในแจกันสมบัติทวีป ภายหลังมาขอศึกษาต่อที่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ขอบเขตของตบะก่อนหน้านี้…ค่อนข้างสูง แต่ภายหลังขอบเขตถดถอย ตอนนี้คือผู้ฝึกลมปราณขอบเขตที่เท่าไหร่ ข้ามองไม่ออก แล้วก็ไม่ได้ถามเขาด้วย”


จูเหลี่ยนยิ้มตาหยี “ก่อนหน้านี้เคยได้ยินนายน้อยพูดว่าผู้ฝึกตนใหญ่ในโลกมีเรือนกายแข็งแกร่งไม่เป็นรองผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวสามขอบเขตหลอมจิตเลยแม้แต่น้อย ไม่ทราบว่าเทพเซียนบนภูเขาที่มีหน้าตาเป็นเด็กหนุ่มผู้นี้มีวิชาหมัดเป็นอย่างไร? หากมีสมบัติอาคมติดกาย ไม่รู้ว่าจะสามารถทำลายเสื้อเกราะน้ำค้างหวานของเว่ยเซียนได้หรือไม่?”


เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “คำพูดไม่น่าฟังเอามาพูดกันก่อน พวกเจ้าใครก็ตามที่ยินดีจะไปหยั่งเชิงชุยตงซาน ข้าไม่มีทางขัดขวางแน่นอน เพียงแต่ว่าต้องรับผิดชอบผลลัพธ์เอาเอง”


เผยเฉียนพูดเสียงเบา “ข้าไม่กล้าแย่งตำแหน่งลูกศิษย์ใหญ่บุกเบิกขุนเขากับเขาแล้ว วันหน้าจะเรียกเขาว่าศิษย์พี่ใหญ่ก็แล้วกัน”


ชุยตงซานผลักประตูเดินเข้ามา พูดด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง “นังหนูน้อย เหตุใดเจ้าถึงด่าคนอื่นลับหลัง?! ใครเป็นศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้า เจ้าต่างหากที่เป็นศิษย์พี่ใหญ่ พูดจาให้ดีๆ นะ!”


อยู่ดีๆ ชุยตงซานก็โผล่มาโวยวายซักไซ้เอาความผิด ทำเอาเผยเฉียนตกใจจนหน้าซีดขาว


เฉินผิงอันถาม “ทางศาลบู๋เป็นอย่างไรบ้าง?”


ชุยตงซานรินชาให้ตัวเองหนึ่งถ้วยแล้วกระดกดื่มจนหมด พูดด้วยรอยยิ้มว่า “จัดการเรียบร้อยแล้ว ทั้งศาลบุ๋นบู๊และผู้ที่บงการอยู่เบื้องหลัง ข้าล้วนได้พบหน้าแล้ว ทั้งสองฝ่ายนับว่าปรึกษาพูดคุยกันได้ดี ก็ศิษย์ใช้เหตุผลในการจัดการเรื่องราวกับพวกเขานี่นะ หากไม่เป็นเพราะรีบร้อนอยากกลับมาแจ้งข่าวแก่อาจารย์ ไม่แน่ว่าคราวนี้นายท่านผู้เฒ่าสองศาลบุ๋นบู๊ก็อาจจะลากตัวเทพเจ้าที่ออกมา เอาสุราหมักรสชาติดีหลายไหที่ฝังไว้ใต้ดินมาดื่มพลางพูดคุยกับข้าอย่างถูกคอจนถึงวันพรุ่งนี้แล้วล่ะ”


เฉินผิงอันกล่าวอย่างกังขา “ใครกำลังก่อกวน?”


ชุยตงซานยิ้มกล่าว “เป็นคนรวยในท้องที่ที่เสียดายชีวิต อยากจะมีชีวิตอยู่ต่ออีกสักยี่สิบสามสิบปี แล้วบังเอิญพอดีที่ในบ้านมีหลานชายซึ่งกำลังฝึกตนอยู่ในสำนักตระกูลเซียนแห่งหนึ่ง เรื่องดีๆ ไม่เล่าเรียน ดันไปเรียนแต่เรื่องที่ไม่ดี เรียนพวกวิชามารนอกรีตมาอย่างงูๆ ปลาๆ จึงคิดจะเปลี่ยนแปลงอายุขัยของตัวเองโดยพลการ โดยใช้การทำลายโชคชะตาของพื้นที่แห่งหนึ่งมาเป็นค่าตอบแทน แลกเปลี่ยนมาเป็นอายุขัยที่เพิ่มขึ้น รวมไปถึงยกระดับฮวงจุ้ยของสุสาน แน่นอนว่าต้องเกิดข้อพิพาทกับศาลบุ๋นบู๊ในท้องถิ่น ผู้ที่ฝึกตน เล่าเรียนจนใช้วิชาเซียนได้ ลูกศิษย์ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจในสำนักเล็กๆ ซึ่งอายุยังน้อยทั้งหลายย่อมมีนิสัยไม่ค่อยดีนัก พอไม่ทำก็คือไม่ทำ พอทำแล้วก็ทำจนถึงที่สุดโดยไม่ฟังอีร้าคร่าอีรม นักพรตหนุ่มคนนั้นเกือบจะช่วงชิงร่างทองไปพร้อมกันด้วยแล้ว ว่ากันว่าตอนนี้องค์เทพภูเขาแม่น้ำในศาลเถื่อนที่อยู่ในแถบของแคว้นชิงหลวน แคว้นชิ่งซาน ตลอดทั้งทิศตะวันออกเฉียงใต้ของแจกันสมบัติทวีปล้วนถูกราชสำนักของแต่ละแคว้นสังหารเข่นฆ่าไปไม่น้อย แต่ผลผลิตชิ้นส่วนร่างทองก็ยังคงไม่เพียงพอต่อความต้องการ หากเกิดปัญหาขึ้นกับควันธูปของศาลบุ๋นบู๊สองแห่งนี้ แล้วผู้ฝึกตนของท้องถิ่นลงมือ สภาพการฮุบกินของพวกเขาอาจจะไม่น่ามองไปบ้าง แต่จะดีจะชั่วก็ไม่ถึงขั้นที่ถูกนักปราชญ์ของสำนักศึกษาสืบสาวราวเรื่องไม่ยอมปล่อยผ่าน หากนักพรตหนุ่มและที่พึ่งเบื้องหลังเขาโชคดีพอ เรื่องนี้ไปคลี่คลายอยู่ในห้องทรงพระอักษรของแคว้นชิงหลวนโดยตรง ข่าวแพร่ไปไม่ถึงสำนักศึกษากวานหู…”


ได้ยินมาถึงตรงนี้ อารมณ์ของเฉินผิงอันก็หนักอึ้ง ดื่มเหล้าดองหลอมเล็กไปหนึ่งคำ


ชุยตงซานสีหน้าเป็นปกติ ราวกับไม่สังเกตเห็นความผิดปกติของอาจารย์ตัวเอง ยังคงพูดต่อด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาและแม่น้ำต่างก็มีโชควาสนาเป็นของตัวเอง แล้วก็มีผลบุญผลกรรมของตัวเอง ก็แค่เกิดขึ้นก่อนล่วงหน้าเล็กน้อยเท่านั้น เมื่อในอนาคตหากราชวงศ์ต้าหลีฮุบกลืนพื้นที่ของหนึ่งแคว้นไปได้จริงๆ ศาลเถื่อนพวกนี้อย่างไรก็ต้องถูกจัดการแน่อยู่แล้ว และมีแต่จะใช้วิธีการโหดเหี้ยมยิ่งกว่านี้ ตอนนี้ทางเหนือของสำนักศึกษากวานหูที่อยู่ในภาคกลางก็มีขุนนางกรมพิธีการร่วมมือกับกองโหราศาสตร์เริ่มทำการ ‘ค้นหาเบาะแสตามลายแทง’ กันแล้ว สองปีมานี้ที่อาจารย์ไม่ได้อยู่ในแจกันสมบัติทวีป ลำพังเพียงแค่ทางใต้ของแคว้นหวงถิง ทางเหนือของแคว้นไฉ่อี เหนือทางเดินมังกรใต้ดินเส้นนั้นก็มีศาลเถื่อนในแคว้นน้อยใหญ่หกสิบสองแคว้นที่ไม่สอดคล้องกับกฎเกณฑ์ ละเมิดกฎของการก่อสร้างมากถึงสี่พันกว่าแห่งที่ถูกทำลายไปแล้ว นี่ยังเป็นเพราะขุนนางกรมพิธีการของต้าหลีแต่ละคนใบหน้าอิ่มเอิบเปล่งปลั่ง (เปรียบเปรยถึงว่ากินอยู่สุขสบาย) รับของคนอื่นต้องมืออ่อน จึงค่อนข้างสำรวมกันแล้ว ไม่อย่างนั้นจำนวนนี้อย่างน้อยก็ต้องเพิ่มขึ้นไปอีกเป็นเท่าตัว แน่นอนว่าสำนักศึกษากวานหูย่อมยินดีที่จะได้เห็นศาลเถื่อนถูกกำจัด ต่อให้ไม่ยินดีจะคบค้าสมาคมกับราชสำนักต้าหลี แต่ก็ยังส่งนักปราชญ์และวิญญูชนหลายสิบท่านที่มีรองเจ้าขุนเขาเป็นผู้นำมาช่วยต้าหลีตรวจสอบเรื่องนี้ รวมไปถึงกำหนดขอบเขตให้กับต้าหลี สำหรับเรื่องนี้ต้าหลีนับว่าให้หน้าสำนักศึกษากวานหูอย่างมากเลยล่ะ”


พร่ำพูดเรื่องพวกนี้เสร็จ ชุยตงซานก็วางถ้วยชาลง กวาดตามองไปรอบด้าน ยิ้มตาหยีกล่าวว่า “ทำไม นอนเร็วตื่นเร็วร่างกายแข็งแรง พวกเจ้าไม่รู้จักหลักการบำรุงร่างกายพวกนี้ แล้วยังจะมารบกวนการพักผ่อนของอาจารย์ข้าอีกงั้นหรือ?”


เผยเฉียนเป็นคนแรกที่ลุกขึ้นแล้ววิ่งออกไป จากนั้นคนทั้งสี่ในม้วนภาพที่มีสีหน้าต่างกันก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ทยอยกันจากไป


สุดท้ายชุยตงซานลุกขึ้นยืน กุมมือคารวะบอกลาอาจารย์


เฉินผิงอันต้องลงดาลประตูจึงเดินไปที่หน้าประตูห้องพร้อมกับชุยตงซาน คนหนึ่งยืนอยู่นอกธรณีประตู คนหนึ่งยืนอยู่ด้านในธรณีประตู เฉินผิงอันกล่าวว่า “หากเจ้าแอบเข้าไปมีส่วนร่วมกับงานโต้วาทีพุทธเต๋าของแคว้นชิงหลวนลับหลังข้า ทางที่ดีที่สุดเจ้าควรจะอธิบายกับข้าให้ชัดเจน อย่างมากข้าก็แค่อ้อมผ่านเมืองหลวงไปรอเจ้าอยู่ที่ท่าเรือตระกูลเซียนซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกสุด หลีกเลี่ยงไม่ให้ถึงเวลานั้นเจ้าและข้าแตกหักกัน เจ้าชุยตงซานจะได้ไม่ต้องทำเรื่องที่หลอกลวงบรรพจารย์ลบล้างบรรพชนอีกครั้ง”


ชุยตงซานทำสีหน้าน้อยใจราวกับว่ากางเกงเปื้อนเปรอะไปด้วยดินโคลน “อาจารย์มีใจกว้างเปิดเผย ประหนึ่งสายลมและแสงจันทร์ ปีนั้นอาจารย์กับศิษย์สองคนเดินทางท่องเที่ยวต้าสุยด้วยกัน ศิษย์รู้สึกเหมือนได้อาบไล้อยู่ท่ามกลางสายลมฤดูใบไม้ผลิตลอดเวลา เหตุใดถึงใช้ใจคนถ่อยมาประเมินความคิดของวิญญูชนได้เล่า?”


ชุยตงฉานพูดด้วยน้ำเสียงเจ็บปวด “ข้ารู้แล้ว ต้องเป็นเพราะผู้ติดตามสี่คนนั้นที่จิตใจไม่ซื่อตรง อาจารย์อยู่กับพวกเขานานวันเข้าจึงแปดเปื้อนกลิ่นอายของปุถุชนมาบ้าง ไม่เป็นไร พรุ่งนี้ศิษย์จะ…”


เฉินผิงอันปิดประตู พูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ไสหัวไป”


ชุยตงซานที่สวมชุดขาวพลิ้วปลิวไสวดุจเทพเซียนผู้หลุดพ้นจากไปด้วยการหมุนตัวเป็นวงกลมอยู่บนระเบียง น่าจะพอสมกับคำว่าไสหัวไปแล้ว (ไสหัวไป ภาษาจีนคือคำว่ากุ่นที่แปลว่ากลิ้ง/หมุน)


ตอนที่ผ่านห้องของเผยเฉียนที่อยู่ติดกัน ชุยตงซานหยุดชะงักเล็กน้อย หมุนตัวอยู่ที่เดิมพลางเอ่ยเตือนเผยเฉียนด้วยความหวังดีไปด้วย “เผยเฉียนเอ๋ย เจ้ากับข้ามีมิตรภาพเนื่องจากมีอาจารย์คนเดียวกัน ข้าก็จะบอกข่าวดีกับเจ้าข่าวหนึ่ง ขอแค่ไม่เปิดหน้าต่างก็ไม่มีทางเห็นผีแขวนคอตายที่ห้อยหัวแลบลิ้น ขอแค่ไม่โผล่หัวออกจากผ้าห่มก็มองไม่เห็นผีสาวสวมชุดเจ้าสาวสีแดงสดที่แต่งงานกับราชาผีแห่งสุสานไร้ญาติที่นอนหมอบอยู่บนหัวเตียง ขอแค่ไม่ลุกมาดื่มน้ำกลางดึกก็ไม่มีทางมองเห็นผีพรายหน้าซีดขาวที่จมน้ำตาย ท้องเลยมีสาหร่ายขึ้นยุบยับ…อ้อ ใช่แล้ว มีเด็กสาวผมยาวบางคนที่ตายไปอย่างอยุติธรรมชอบห่อตัวนอนขดอยู่ปลายเท้าเด็กหญิง ไม่ต้องกลัวนะ ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็เป็นแค่เส้นผมกองใหญ่กองหนึ่งเท่านั้น…”


เผยเฉียนหลบอยู่ในผ้าห่ม ตัวสั่นระริก ใช้สองมือปิดหูไว้แน่น


พอไปถึงห้องของสี่คนในม้วนภาพวาด ชุยตงซานที่หมุนตัวไม่หยุดก็แค่ส่งเสียงหัวเราะอยู่นอกห้องของหลูป๋ายเซี่ยง “ได้ยินอาจารย์ของข้าบอกว่าฝีมือการเล่นหมากล้อมของเจ้าสูงส่งมาก พรุ่งนี้ข้าจะเรียนรู้จากเจ้าว่าควรจะเล่นหมากล้อมเช่นไร”


หลูป๋ายเซี่ยงที่กำลังเล่นหมากล้อมอยู่ในห้องที่จุดตะเกียงยิ้มกล่าวว่า “หากท่านชุยยินดี ไม่สู้เล่นกันสักตาก่อนค่อยไปพักผ่อน?”


ชุยตงซานค่อยๆ ห่างไปไกลแล้ว “คืนนี้คงไม่ล่ะ เรื่องอย่างการเรียนหมากล้อมนี้ต้องเลือกฤกษ์ยาม ต้องดูอารมณ์”


นอกโรงเตี๊ยมขนาดเล็ก


มีเทพร่างทองสององค์ที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า คนหนึ่งอยู่ซ้ายคนหนึ่งอยู่ขวา คนหนึ่งบุ๋นคนหนึ่งบู๊ ยืนเฝ้ายามที่หน้าโรงเตี๊ยมหน้าตาเคร่งเครียดประหนึ่งเทพทวารบาล

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)